:F3 :c3 x:c3 :sL3 :L3 :5 :s5 :L5 มันคืออะไร:F3 :L5 มันคือ Position Structure Labels ครับ นำไว้กำหนดลำดับการเกิดของ Structure Labels อย่าง :3 และ :5 โดยเรื่องนี้จะอยู่ในหนังสือ Mastering Elliott Wave แล้วผมบอกเลยนะ แม่งโคตรง่าย ไม่รู้ใครไปกำหนดให้มันวิเศษ วิษงอะไรมากมาย เป็นบทที่กระจอกมาก และไร้ประโยชน์มากที่สุดครับ
- และ ++ คืออะไร - คือเอาไว้ขั้นลำดับของ Position Structure Labels ที่อยู่ใน Degree เดียวกัน เช่น :F3-:c3-:L5 ก็จะเป็นรูปแบบ Flat
:F3
สัญลักษณ์โครงสร้างนี้ เรียกว่า "First Three(3) ". :F3 มันสามารถเป็นคลื่นเริ่มชุดได้ และสามารถเกิดหลัง x:c3 ได้ หรือจะอยู่ระหว่าง :5 ก็ได้เหมือนกัน. ถ้าเราเจอ :F3 อยู่ติดกันนั่นหมายความว่า :F3 อันที่สองจะเป็นคลื่นในดีกรีที่เล็กกว่านั่นเอง. ก็ให้เราวงกลมจุดเริ่มต้นของ :F3 ทั้งสองตัวนั้น แต่ไม่ต้องพยายามไปเชื่อม :F3 ทั้งสองตัว จนกว่า :F3 ตัวที่สอง จะกลายเป็นส่วนนึงของรูปแบบที่เป็น Polywave ซึ่งจะใช้คลื่นก่อนหน้านั่นเอง
:c3
สัญลักษณ์โครงสร้างนี้ เรียกว่า "Center Three(3) ". :c3 จะไม่สามารถเป็นคลื่นเริ่มชุดหรือคลื่นจบชุดได้ และด้วยเหตุผลนี้ทำให้คลื่นหลังจบ :c3 จะไม่ได้รุนแรงมากนัก. ถ้าคลื่นชุดแรกมีสัญลักษณ์โครงสร้างที่มากกว่าหนึ่ง และมี :c3 อยู่ด้วย เช่น {:5/(:F3)/ } ให้เราตัด :c3 ออกไปได้เลย เพราะมันจะเริ่มชุดไม่ได้ เช่นกันถ้ามันอยู่คลื่นสุดท้ายอ่ะนะ.
x:c3
สัญลักษณ์โครงสร้างนี้เรียกว่า "Center Three(3) ". x:c3 มันเอาไว้แทนคลื่น X-Wave นั่นเอง ทั้ง Small/Large เช่นเดียวกันกับ :c3 มันจะไม่สามารถเริ่มชุดได้. และถ้ามันมีการปรับตัวของราคาที่รุนแรงมากๆ(รุนแรงมากเมื่อเทียบกับ Monowave รอบข้าง) เกิดขึ้นหลังจากการจบ x:c3 ตามทฤษฏีบอกไว้ว่า มันอาจจะเป็น Non-Limiting Triangle ได้. แน่นอนว่าไอ x:c3 นี้มันจะเกิดระหว่าง correction สองตัว ซึ่งมันทำให้คลื่นนั้นมีความซับซ้อนมากขึ้นอย่างมาก. เนื่องจากมันเป็นคลื่นกลางชุด ดังนั้นถ้าคลื่นที่เรากำลังวิเคราะห์มันมี x:c3 เป็นสัญลักษณ์คลื่นอยู่ในนั้น และเป็นคลื่นท้ายหรือเริ่มชุด เราสามารถตัดมันออกไปได้เลย เช่น M(-1) นั้นมีสัญลักษณ์คลื่นหลายตัวเช่น {:F3/(:sL3)/ } ให้เราตัด x:c3 ออกไปได้เลยครับ. แน่นอนว่า x:c3 มันก็คือ x-wave ดังนั้น x:c3 ก็ไม่ควรมี Complexity Level ที่มากกว่า ชุดรูปแบบทั้งก่อนหน้าและหลังจากมัน
:sL3
สัญลักษณ์โครงสร้างนี้เรียกว่า "second to Last three(3) ". :sL3 มันจะไม่สามารถเป็นคลื่นชุดเริ่มต้นหรือคลื่นสิ้นสุดของรูปแบบได้ ซึ่งไอสัญลักษณ์คลื่นนี้จะต้องมี :L3 ตามหลังมันด้วย เพราะว่า :sL3 มันคือคลื่น corrective "ก่อนจบ" ดังนั้นคลื่นจบมันก็จะเป็น :L3 นั่นเอง. ซึ่งถ้ามี :sL3 อยู่นั่นก็แสดงว่าทั้งชุดอาจจะเป็น Terminal หรือ Triangle ได้ หรืออีกความหมายนึงคือ มันจะมี 5 คลื่นแล้วเป็น :3 ทั้งหมดนั่นแหละ
:L3
สัญลักษณ์คลื่นนี้เรียกว่า "Last Three(3) ". :L3 แน่นอนว่าคำว่า Last มันแปลว่าสุดท้าย แสดงว่า :L3 มันก็คือคลื่น :3 คลื่นสุดท้าย. แต่มันไม่เหมือนกับ :sL3 ที่จะต้องมี :L3 ตามท้ายนะ ไอ :L3 จะมี :sL3 อยู่ข้างหน้า หรือไม่ก็ได้. ถ้า :L3 มันเป็นคลื่นที่เล็กที่สุด ดังนั้น :L3 ก็จะต้องถูก Completely Retrace โดยใช้ระยะเวลาที่น้อยกว่าหรือเท่ากับที่ :L3 ใช้ (ต้องบวกระยะเวลาหนึ่งช่วงไปด้วยนะ หมายความว่า ให้เราบวกระยะเวลาที่ข้อมูลจากจุดนึงที่จะไปเชื่อมจากจุดนึงนั้นใช้ เช่น 2.5 ปี เราก็บวกเพิ่มไปในระยะเวลาที่ :L3 นั้นใช้). แน่นอนว่าไอ :sL3 กับ :L3 มันคล้ายๆกัน คือมันจะต้องเป็นส่วนนึงของ Terminal และ Triangle
:5
สัญลักษณ์โครงสร้างนี้เรียกว่า "Five (5) ". :5 มันก็คือคลื่นที่เป็น Impulsive ซึ่งจะไม่ใช่คลื่นจบชุด. โดยมันสามารถเป็นขาแรกของ Zigzag ได้ หรือแม้แต่ขาตรงกลางของ Complex Correction หรือรูปแบบ Impuse. ถ้าเราเจอ :5 คลื่นปรับตัวจะไม่สามารถปรับตัวได้เกิน 61.8% และหลังจากนั้นตลาดก็จะย้อนทะลุไปไฮเดิม และถ้าเราเจอการปรับตัวที่เกิน 61.8% ไปก็ให้ตัดความเป็นไปได้ของ :5 ออกไป
:s5
สัญลักษณ์โครงสร้างนี้เรียกว่า "Special Five(5) ". :s5 จะกำหนดสัดส่วนที่เฉพาะเจาะจงสำหรับคลื่นในก่อนหน้าและหลัง :s5 ซึ่งไอ :s5 ก็จะมีความคล้ายคลึงกับ :L5 แต่จะไม่ต้องมีการกลับตัวของราคาเพื่อยืนยันการจบของ :L5 นะ. โดยปกติแล้ว :s5 มักจะเกิดในคลื่นที่มีความซับซ้อนมากๆ เช่นพวก Non-Standard Small-X Wave หรือพวกคลื่น 3 ในชุด Trending Impulse ที่เป็น 5 ล้มเหลว หรือ 5 ขยายก็ได้. และถ้าเราเจอ :s5 คลื่นก่อนหน้าสองคลื่นจะต้องถูกเชื่อมกับ :s5 ด้วย. และลำดับที่จะถูกเชื่อมก็จะเป็น :5-:F3 หรือ :F3-c3
:L5
สัญลักษณ์โครงสร้างเรียกว่า "Last Five(5) ". เจ้าตัว :L5 แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นคลื่นที่จบชุด ซึ่งการมีอยู่ของ :L5 นั่นหมายถึงว่า มันก็จะจบคลื่นในดีกรีที่สูงกว่าไปด้วยนั่นเอง. การยืนยันการจบของ :L5 ก็คือเทรนด์ไลน์ที่พาดจาก m(-2) ไป m0 จะต้องถูกเบรกโดยใช้ระยะเวลาที่เท่ากับหรือน้อยกว่าที่ :L5 ใช้. และเพื่อที่จะเชื่อม :L5 เข้ากับคลื่นก่อนหน้าได้นั้น คลื่นก่อนหน้าจะต้องเป็น :F3 หรือ :c3 เท่านั้น.
ไอเดียชุมชน
INVERTED YIELD CURVE ภาวะถดถอย! ในพันธบัตรสหรัฐอเมริกาสัญญาณเตือนภาวะเศรษฐกิจถดถอย!
Inverted Yield Curve คือ “ภาวะผิดปกติ” เกิดขึ้นเมื่ออัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้นสูงกว่าผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุยาว
Chart ในอดีตได้เกิด Inverted Yield Curve มาแล้วหลายครั้ง จากหลากหลายสาเหตุ แต่แทบทุกครั้งในอดีตหลังเกิด Inverted Yield Curve จะตามมาด้วยภาวะเศรษฐกิจถดถอย สะท้อนให้เห็นได้ด้วยการถดถอยของอัตราผลตอบแทนตามภาพ
แต่ Inverted Yield Curve ในปี 2022-2023 ครั้งนี้ อาจไม่เหมือนกับครั้งที่ผ่านๆ มา เพราะเศรษฐกิจโลกได้ถดถอยงรุนแรงไปแล้วในเหตุการณ์ COVID-19 ทำให้ลงไปสร้างจุดต่ำสุดเกือบถึง 0% และหลังจากนั้น FEDใส่คันเร่งปรับดอกเบี้ย ทำให้อัตราผลตอบแทนปรับขึ้นรวดเร็วและรุนแรง ระดับที่ทำให้ Chart แสดงการจบแนวโน้มของขาลง และได้ผ่านการทำจุดต่ำสุดของอัตราผลตอบแทนไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ภาวะผิดปกติของ Invertd Yield Curve ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเกิดการถดถอย แต่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหลังจากนี้ อาจไม่รุนแรงถึงระดับการเกิดจุดต่ำสุดใหม่ได้(New Low) และอาจจะเป็นเพียงแค่การพักเพิ่มสร้างแนวโน้มใหม่ในอนาคตแทน
**ยกเว้นเกิดปัจจัยลบใหม่ที่ใหญ่และรุนแรงกับเศรฐกิจโลกขึ้นอีกครั้ง
มนุษย์กราฟ | Humangraphy
การหาจุด Entry Buyหลังจากราคาเข้า POI Zone การหาจุด entry โดยใช้ TF ที่เล็กลงมา
จุดที่ 1 ไม่ใช่จุด entry เพราะไม่มี LQ ( Liquidity )
จุดที่ 2 ไม่ใช่ เพราะ หลังจากเบรกทำ H แล้วลงมากิน LQ แต่ไม่เบรก H ขึ้นไป แต่เบรก Low ลงมาแทน
จุดที่ 3 ราคามีโอกาสขึ้นมากที่สุด เพราะ หลังจากเบรกทำ H แล้วลงมากิน LQ และเบรก H ขึ้นไป
10 เหตุผลที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่เสียเงินสวัสดีทุกคน!👋
การซื้อขายและการลงทุนไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้ามีคงรวยกันทุกคน
ต่อไปนี้เป็นเหตุผลสองประการที่ทำให้เทรดเดอร์เสียเงิน และเคล็ดลับบางประการที่จะช่วยให้คุณกลับสู่พื้นฐาน
ขาดความรู้ 📘
เทรดเดอร์จำนวนมากกระโดดเข้าสู่ตลาดโดยขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่ามันทำงานอย่างไรและต้องใช้อะไรบ้างจึงจะประสบความสำเร็จ เป็นผลให้พวกเขาทำผิดพลาดและสูญเสียเงินอย่างรวดเร็ว
การจัดการความเสี่ยงไม่ดี 🚨
ความเสี่ยงเป็นส่วนหนึ่งของการเทรด และสิ่งสำคัญคือต้องจัดการอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อปกป้องเงินทุนของคุณและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จสูงสุด อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์จำนวนมากไม่มีกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงที่ชัดเจน และเป็นผลให้พวกเขามีความเสี่ยงที่จะขาดทุนเกินขนาด
การตัดสินใจด้วยอารมณ์ 😞
เป็นเรื่องง่ายที่จะรู้สึกอารมณ์รุนแรงในขณะซื้อขาย อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจโดยใช้อารมณ์มากกว่าการวิเคราะห์อย่างมีเหตุผลอาจเป็นตัวกำหนดหายนะได้ เทรดเดอร์หลายคนตัดสินใจได้ไม่ดีเมื่อพวกเขารู้สึกถูกครอบงำ โลภ หรือหวาดกลัว และสิ่งนี้อาจนำไปสู่การสูญเสียที่สำคัญ
ขาดวินัย 🧘♂️
การเทรดที่ประสบความสำเร็จต้องมีระเบียบวินัย แต่เทรดเดอร์จำนวนมากพยายามทำตามแผนของตน นี่อาจเป็นความท้าทายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตลาดผันผวนหรือเมื่อนักเทรดกำลังเผชิญกับการขาดทุน สร้างระบบให้ตัวเองปฏิบัติตามได้ง่าย!
โอเวอร์เทรด 📊
เทรดเดอร์หลายคนทำผิดพลาดในการเทรดมากเกินไป ซึ่งหมายความว่าพวกเขาเทรดมากเกินไปและไม่อนุญาตให้เทรดได้อย่างเหมาะสม สิ่งนี้นำไปสู่ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนค่านายหน้าที่สูงขึ้น และโอกาสในการขาดทุนมากขึ้น การจัดฉากที่คุณชอบอย่างชัดเจนสามารถช่วยแยกโอกาสที่ดีออกจากแกลบได้
ขาดแผนการเทรด 📝
แผนการเทรดมีกฎและแนวทางที่ชัดเจนในการปฏิบัติตามเมื่อทำการเทรด หากไม่มีการวางแผน เทรดเดอร์อาจตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น ซึ่งอาจเป็นอันตรายและมักนำไปสู่การสูญเสีย
ไม่ติดตามข้อมูลสำคัญและข้อมูล ⏰
ตลาดและเรื่องราวทั่วไปของตลาดนั้นมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ที่จะต้องติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับการพัฒนาล่าสุดเพื่อทำการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด
ไม่ตัดขาดทุนเร็ว ✂️
ไม่มีนักเทรดรายใดที่สามารถหลีกเลี่ยงการขาดทุนได้อย่างสมบูรณ์ แต่กุญแจสำคัญคือต้องลดผลกระทบต่อบัญชีของคุณให้น้อยที่สุด หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการทำเช่นนี้คือการตัดการขาดทุนของคุณอย่างรวดเร็วเมื่อการซื้อขายสวนทางกับคุณ อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์หลายคนหยุดการเทรดที่ขาดทุนไว้นานเกินไป โดยหวังว่าพวกเขาจะฟื้นตัว และสิ่งนี้อาจนำไปสู่การขาดทุนที่มากกว่าที่คาดไว้
ไม่เพิ่มจำนวนผู้ชนะสูงสุด 💸
เช่นเดียวกับการลดความสูญเสียของคุณอย่างรวดเร็ว สิ่งสำคัญคือการเพิ่มผู้ชนะให้ได้มากที่สุด เทรดเดอร์หลายคนล้มเหลวในการทำเช่นนี้ อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่มีแผนในการบอกพวกเขาว่าจะออกจากการซื้อขายเมื่อใดและอย่างไร เป็นผลให้พวกเขาอาจทิ้งเงินไว้บนโต๊ะและพลาดผลกำไรที่อาจเกิดขึ้น
ไม่ปรับตัว 📚
การปรับตัวให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จในตลาดการเงิน ระบอบการปกครองเปลี่ยนแปลง ความได้เปรียบในการซื้อขายหายไปและปรากฏขึ้นอีกครั้ง และระบบที่หนุนทุกอย่างอยู่ในภาวะผันผวนตลอดเวลา วันหนึ่งกลยุทธ์การซื้อขายสร้างผลกำไรที่สม่ำเสมอ วันต่อมากลับไม่ใช่ ผู้ค้าจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อสร้างรายได้ในระยะยาว มิฉะนั้นอาจเสี่ยงที่จะถูกเลิกเล่นจากตลาด
โดยรวมแล้ว เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ขาดทุนเพราะพวกเขาไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับความท้าทายของตลาด ด้วยการให้ความรู้แก่ตนเอง พัฒนาแผนการเทรดที่มั่นคง และวางแผนการตัดสินใจล่วงหน้า เทรดเดอร์สามารถเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จและหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทั่วไปได้
เราหวังว่าคุณจะสนุก! โปรดอย่าลังเลที่จะเขียนเคล็ดลับหรือคำแนะนำเพิ่มเติมในส่วนความคิดเห็นด้านล่าง!
เจอกันใหม่สัปดาห์หน้า 🙂
– ทีม TradingView
10 ข้อควรจำเกี่ยวกับตลาดหมี ความผันผวน และความตื่นตระหนกการค้าและการลงทุนไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าทำได้ ทุกคนคงรวย
หนึ่งในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดสำหรับเทรดเดอร์ทุกคน และโดยเฉพาะนักลงทุน คือเมื่อตลาดอยู่ในภาวะหมีอย่างผิดปกติ มีแนวโน้มลดลงหรือไปในทิศทางที่สวนทางกับตำแหน่งของพวกเขา การเพิ่มความยากลำบากนั้นคือเมื่อความผันผวนเพิ่มขึ้นและเมื่อความไม่แน่นอนสูง เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นตลอดประวัติศาสตร์ของตลาดและควรเกิดขึ้น นักเทรดหรือนักลงทุนทุกคนควรจำความจริงง่ายๆ ไว้: ตลาดจะสวนทางกับคุณเมื่อถึงจุดหนึ่ง เตรียมตัวให้พร้อม
การเรียนรู้ที่จะซื้อขายหรือลงทุนในตลาดขาลงและผันผวนนั้นต้องใช้ทักษะ ประสบการณ์ และความใจเย็นอย่างมาก 12 เดือนที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นแล้วว่า หุ้น พันธบัตร ฟอเร็กซ์ คริปโต และฟิวเจอร์สมีความผันผวนสูงขึ้นในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา แล้วเราควรทำอย่างไร? อะไรตอนนี้?
มาดูพื้นฐานกันอีกครั้ง - ทักษะ ลักษณะ และกรอบความคิดที่จำเป็นต่อการอยู่รอดในช่วงเวลาเหล่านี้
1. วางแผนล่วงหน้า 🗺
วางแผนการเทรดของคุณ เทรดตามแผนของคุณ ทุกการซื้อขาย ทุกการลงทุน ควรมีแผนรองรับ เขียนคำถามพื้นฐานก่อนที่คุณจะซื้อหรือขาย ตัวอย่างเช่น ราคาค่าเข้าที่คุณต้องการคือเท่าไร? ราคาทางออกที่คุณต้องการคืออะไร? Stop Loss ของคุณคืออะไร? คุณเสี่ยงด้วยเงินเท่าไหร่? ทำไมคุณถึงทำการค้าหรือการลงทุนตั้งแต่แรก? ในช่วงเวลาแห่งความผันผวน คำถามเหล่านี้มีความสำคัญมากกว่าที่เคย กลับสู่พื้นฐาน
2. ไม่ต้องรีบร้อน 🧘♂️
ความผันผวนและโดยเฉพาะอย่างยิ่งความตื่นตระหนกในตลาดทำให้ผู้คนมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว แรงกดดัน การเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็ว มักบังคับให้ผู้คนดำเนินการโดยไม่ได้ทบทวนแผนเดิมของตนสักครู่ อย่าทำแบบนี้! ใช้เวลาของคุณ สงบสติอารมณ์และจัดการกับมือที่คุณได้รับ
3. อดใจรอผลงาน🎯
ผู้ค้าและนักลงทุนจำนวนมากพูดถึงการซื้อที่ลดลง แต่วลีนี้อธิบายถึงขั้นตอนที่จำเป็น คุณไม่ซื้อการลดลงโดยไม่มีแผน คุณวางแผนกลยุทธ์ของคุณ คุณรอการเข้ามาที่สมบูรณ์แบบ และปล่อยให้ตลาดเข้ามาหาคุณ เมื่อตลาดอยู่ในแนวโน้มขาลงและมีความผันผวนสูง สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณต้องอดทนรอการเข้าสู่ที่สมบูรณ์แบบ ใช้คำสั่งจำกัดอย่างชาญฉลาด
4. รู้กรอบเวลาของคุณ ⏰
คุณซื้อขายหนึ่งวันหรือไม่? หนึ่งเดือน? หรือ 5 ปี? คำถามพื้นฐานเหล่านี้จะเตือนคุณถึงสิ่งที่คุณกำลังพยายามทำให้สำเร็จ และคุณควรเร่งรีบหรืออดทนเพียงใด นอกจากนี้ยังจะเตือนคุณเกี่ยวกับแผนภูมิที่คุณควรดู ไม่ว่าคุณควรขยายเป็นแผนภูมิราย 30 นาทีหรือย่อเป็นแผนภูมิรายสัปดาห์ โดยแสดงประวัติราคาเป็นปี
5. มีกลยุทธ์การออก 🚨
กลยุทธ์ทางออกหมายความว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณรู้ว่าจุดหยุดการขาดทุนของคุณอยู่ที่ไหน และคุณรู้ว่าเป้าหมายกำไรของคุณอยู่ที่ไหน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขึ้นหรือลง หรือออกด้านข้าง คุณมีแผนออก อย่าปล่อยให้เข้าหรือออกตามโอกาส สร้างกลยุทธ์ทางออกของคุณก่อนที่คุณจะทำการซื้อขายและปฏิบัติตาม
6. ท่ากระชับขนาด💪
ความผันผวนและความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นจะต้องนำมาพิจารณาในแผนเกมของคุณก่อนที่จะเริ่มตั้งแต่แรก อย่างไรก็ตาม นักลงทุนและเทรดเดอร์รายใหม่จำนวนมากลืมที่จะทำเช่นนี้ หากเป็นคุณ ถึงเวลาปรับกลยุทธ์ แผนของคุณ สำหรับช่วงการซื้อขายที่กว้างขึ้น ความผันผวน แนวโน้มตลอดทั้งปีที่กำหนดตลาดก่อนหน้านั้นไม่ถูกต้อง
7. ซูมออกเพื่อดูบริบททางประวัติศาสตร์ 🔎
ย่อชาร์ตของคุณ จากนั้นให้ซูมออก และตอนนี้ซูมออกอีก วงกลมแท่งเทียน เส้น หรือการเคลื่อนไหวของราคาล่าสุด และปล่อยให้มันเป็นเครื่องเตือนใจว่าราคาอยู่ที่ใดในวันนี้เทียบกับที่มา มีคำกล่าวว่า: เมื่อสงสัยให้ซูมออก อย่าหลงทางในขณะนี้ มองเฉพาะวันหรือสัปดาห์ แต่ให้ศึกษาประวัติราคาทั้งหมดแทน เรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต
8. เงินสดคือตำแหน่ง 💸
ต้องการใช้เงินดอลลาร์เฉลี่ยในการค้าขายหรือไม่? ต้องการซื้อเพิ่มเติมหรือไม่ ต้องการค้าขายเพิ่มเติมหรือไม่? คุณต้องการเงินสดเพื่อทำเช่นนั้น มีความสะดวกสบายที่สามารถมีส่วนร่วมในความผันผวนได้ทุกเมื่อที่คุณต้องการ เงินสดเป็นตำแหน่งและรับประกันสิ่งนี้
9. หลีกเลี่ยงความตื่นตระหนก FUD และ FOMO 😳
เมื่ออารมณ์พลุ่งพล่าน ความผิดพลาดทางจิตใจที่ใหญ่ที่สุดบางอย่างอาจเกิดขึ้นได้ FUD ย่อมาจากความกลัว ความไม่แน่นอน และหายนะ FOMO ย่อมาจากความกลัวที่จะพลาดโอกาส นี่คือสองอารมณ์ทั่วไปในตลาดที่พังทลาย ในแง่หนึ่ง ทุกคนคิดว่าจุดจบใกล้เข้ามาแล้ว ในทางกลับกัน ทุกการเคลื่อนไหวขึ้นเล็กน้อยคือการวิ่งสู้วัวครั้งต่อไป อย่าปล่อยให้อารมณ์เหล่านี้พาคุณไป
10. พักก่อน😀
บางครั้งการถอยห่างก็ช่วยได้ ออกจากระบบ ปิดแอพของคุณ ออกไปข้างนอกและออกกำลังกาย กลับมาที่ตลาดเมื่อคุณพร้อม จิตใจของคุณก็จะได้รับการพักผ่อนอย่างดีเช่นกัน
เราหวังว่าคุณจะสนุกกับโพสต์นี้ และเราหวังว่ามันจะช่วยคุณได้เมื่อคุณสำรวจตลาดต่างๆ
โปรดอย่าลังเลที่จะเขียนเคล็ดลับหรือคำแนะนำเพิ่มเติมในส่วนความคิดเห็นด้านล่าง!
Internal และ External คืออะไร หลักการของมันคือ?ตามนี้ครับ สรุปมาให้แล้ว หลักการของมันประมาณนี้แค่นี้เลยครับ วัด Internal และ External หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านที่ผ่านมาเห็นครับ
ปล.รอทองมันวิ่ง ไม่มีไรทำมาแชร์ความรู้ดีกว่า ยิ่งเราแชร์มากเรายิ่งได้รับมากครับ ยิ่งเราพูดถึงเรื่องใดเรื่องนึงมาก เราก็จะยิ่งเก่งเรื่องนั้นครับ ดังนั้นมีความรู้อย่าเก็บไว้คนเดียวครับ แชร์ให้คนอื่นๆรู้ด้วย จะมีประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ครับ :)
BTC 1D 15/01/2023ทดสอบความเข้าใจ การใช้ SMC (กราฟ DAY วันที่ 15/1/2023 14.12 )
มองจากภาพใหญ่กราฟ Day จุดราคา 21,480 US มีโอกาสเป็น inducement
ดังนั้นราคาต้องไปเกิน 21,480 US ก่อนจึงจะลงมาโดยเป้าหมายจะอยู่ที่ LL เดิม
แต่ถ้าราคาสามารถขึ้นไปเหนือ 25,211 US หรือ HH เดิม จะถือเป็น CHoch เทรนเปลี่ยนเป็น UP trend
ETH Channel Line: Break เทรน ยืนยันการเปลี่ยนแนวโน้มเป็น UptrendETHUSDT ราคาข้ามกรอบ Channel ลง ยืนยันการผ่านด้วยแท่งเทียนเขียวยาว บอกเราว่าภาพระยะกลางมีการเปลี่ยนแนวโน้มเกิดขึ้นแล้ว
Channel Line (สีส้ม) เป็นหนึ่งในเครื่องมือคลาสสิค ที่นักเทรดใช้ช่วยในการอ่านแนวโน้ม Channel Line บอกเราได้ว่าราคาที่เคลื่อนเป็นทิศทางขึ้นหรือลงนั้นยังเป็นทิศทางเดิมอยู่มั้ย
เนื่องจากการเคลื่อนของราคาไม่ได้เคลื่อนตัวขึ้นหรือลงเป็นเส้นตรง มักจะมีการพักตัวระหว่างเทรนให้เราสับสนกับทิศทางอยู่เสมอ เช่นใน Downtrend ก็จะมีการเด้งขึ้นอยู่ แต่เราจะทราบได้อย่างไรว่าการเด้งนั้นเป็นการพักเพื่อลงต่อ หรือเด้งขึ้นไปเปลี่ยนแนวโน้มเป็น Uptrend.. Channel Line สามารถบอกเราได้!
Channel Line คือ การวางกรอบของทิศทางด้วยเส้นตรงที่ขนานกัน 2 เส้น หากราคายังเคลื่อนตัวอยู่ในกรอบ Channel Line จะยังถือว่าราคายังอยู่ในแนวโน้มนั้น ในทางตรงกันข้ามกันหากราคาเบรกกรอบสวนทิศทาง ก็จะแปลว่าทิศทางเดิมนั้นได้สิ้นสุด แนวโน้มได้ถูกเปลี่ยนแปลงทิศทางเปลี่ยนแล้ว
วิธีการวาง Channel Line มีหลักการง่ายว่า เมื่อราคาเกิดเป็นทิศทาง Low ต่ำลง High ต่ำลง เป็น Downtrend สีสัมตามภาพตัวอย่าง เราจะวางเส้นกรอบบนด้วย High 2 จุด หลักก่ารง่ายๆ วางเส้นแล้วห้ามมีส่วนของราคาทะลุขึ้นออกมานอกเส้น เพราะเราต้องการให้เส้นเทรนนี้เป็นกรอบของเทรน... ส่วนเส้นคู่ขนานอีกเส้นเราจะมาสร้างกรอบล่างโดยการลากมาวางไว้ที่ Low ที่เคยเป็นแนวรับเดิมที่พึ่งหลุดลงไป
เพียงเท่านี้ เทรดเดอร์ก็จะสามารถใช้ Channel Line เป็นตัวสร้างกรอบของทิศทาง และเทรดไปตามแนวโน้มนั้นได้แล้ว
***การลงทุนมีความเสี่ยง จำกัดความเสี่ยงด้วยความรู้
มนุษย์กราฟ | Humangraphy
@Kunnaphatz รูปแบบ Flat ประเภทต่างๆFlat = 3-3-5
1. Normal B มี 3 ประเภท คือ
1.1 Common Flat
1.2 Elongated Flat
1.3 C-Failure Flat
.
2. Strong B มี 3 ประเภทคือ
2.1 Irregular Flat
2.2 Irregular Failure Flat
2.3 Running Flat
.
3. Weak B มี 3 ประเภท คือ
3.1 B-Failure C=A
3.2 B-Failure C>A
3.3 Double Failure
รูปแบบ Flat ใน NEoWaveในรูปแบบ Flat คลื่น B ยิ่งใหญ่มากเท่าไหร่เมื่อเทียบกับ
คลื่น a จะยิ่งทำให้คลื่น c รีเทรซคลื่น b น้อยเท่านั้น และ
คลื่น a กับคลื่น c ก็จะมีความคล้ายคลึงกันเท่านั้น และถ้า
ยิ่ง b รีเทรซคลื่น a น้อยเท่าไหร่ ก็จะทำให้คลื่น c ใหญ่กว่าเท่านั้น
ให้ทุกท่านดูเป็นแนวทางพอนะครับไม่ต้องไปซีเรียสกับว่า
มันจะต้องเท่าตามนี้เป๊ะๆ ไม่ต้องนะครับ เพราะหากเราใช้
มันในการเทรดจริงๆ เราก็ไม่ได้นำทุกรูปแบบมาประมวล
ผลครับ สมองมนุษย์เราไม่ได้ทำงานแบบนั้น สมองคนเรา
รับข้อมูลได้มากสุดในการประมวลผลหนึ่งครั้งแค่ 7 อย่าง
เท่านั้นครับ เวลาเราไปใช้จริง เราจะดูแค่ความเป็นไปได้
บางรูปแบบเท่านั้น แล้วสมองเราก็จะตัดความเป็นไปได้
อย่างอื่นออกไป เหลือแค่ไม่กี่ความเป็นไปได้เท่านั้นครับ
สมองมนุษย์เราเน้นที่การจดจำรูปแบบว่า ถ้าไม่ใช่แบบนี้
ก็จะเป็นแบบอื่น
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากตลาดขาลง ปี 2022เหลืออีกแค่ สองวัน ก็หมดปี 2022 กันแล้ว ผมก็เลยแวะมาสรุป บทเรียน ที่ผมได้เรียนรู้ จากการเห็นคนอื่น และ ทำด้วยตัวเอง เพื่อจะได้เก็บไว้เป็นเครื่องเตือนใจ/อุทาหรณ์ ให้กับเหล่าเทรดเดอร์ในอนาคต ได้เรียนรู้กันไปครับ
1) ได้เงินมาเยอะแค่ไหน ตอนตลาดดีๆ ก็ไม่สำคัญเท่าการรักษาเงินก้อนนั้นไว้ตอนตลาดแย่ๆ
- ที่ยกให้ข้อนี้ขึ้นเป็นข้อแรก เพราะหลังจากผมคิดไปคิดมา ก็พบว่า ข้อนี้มันสำคัญสุดจริงๆ
- เพราะปีที่แล้ว ( 2021 ) เราจะเห็น success stories มากมายก่ายกองจากหลายๆ คน เช่น เปลี่ยนเงินสองแสนเป็นห้าสิบล้าน บางคนก็พอร์ตโตเป็นหลายร้อยล้าน วัยรุ่นหลายๆ คนก็ได้จับเงินหกหลักเจ็ดหลักกันถ้วนหน้า
- หลักๆ ที่ไปลองศึกษาแนวทางของคนเหล่านี้มา ก็คือ การ “All-in ไปเรื่อยๆ” เช่น จากเงินสองแสนไป all-in จนได้มาเป็น ห้าแสน … จากห้าแสนก็ all-in เป็น หนึ่งล้าน.. จากหนึ่งล้านก็ all-in เป็นสามล้าน.. วนๆ ไป และคนเหล่านี้ก็จะ “ไม่มีการคัทลอสด้วย เพราะเชื่อว่า ถ้าของดี เดี๋ยวมันก็แค่ย่อแล้วไปต่อ”
- ในช่วงตลาดดีๆ การทำแบบนี้มันจะให้ผลตอบแทนที่ดีมากๆ และพอร์ตก็จะโตเร็วมากๆ ด้วยเช่นกัน … แต่ก็นั่นแหละ ท่านี้มันมีปัญหาซ่อนอยู่ตอน “ตลาดขาลง”
- เพราะเมื่อไหร่ที่ตลาดเริ่มกลับตัว เป็นขาลง ถ้าคุณยังไปใช้ท่า all-in อยู่ ไม้สุดท้ายที่คุณไปเข้า คุณก็จะไปเข้าที่ “ยอดดอย” พอดี และพอคุณไม่มีแผนคัทลอส ก็จะทำให้การขาดทุน เริ่มลุกลามไปเรื่อยๆ
- จากขาดทุน 10% ก็กลายเป็น 20% กลายเป็น 50% รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็น 99%.. ได้มา 100 ล้าน ก็อาจจะเหลือแค่ 1-2 ล้าน
- หลายๆ คนก็จะชอบบอกว่า “โอ้ย ก็ยังมีกำไรอยู่เลย เพราะฉันลงไปแค่ 5 แสน ตอนนี้ก็ยังเหลือตั้ง 2 ล้าน มันก็ตั้ง 4 เด้งอยู่นา” … แหม แต่พี่จะไม่สะทกสะท้านกับกำไรทิพย์ 98 ล้านที่หายไปเลยเหรอครับ เป็นผม ผมเครียดนะครับ 555
- สุดท้าย ก็เหมือนเราต้องมาเริ่มกันใหม่หมด เดินไปข้างหน้า 100 ก้าว แล้วถอยหลังมา 98 ก้าว แบบนั้นก็เหมือนเหนื่อยฟรีครับ
- ดังนั้น การ “รักษากำไร” ที่ได้มาตอนตลาดดีๆ มันถึงสำคัญมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการ cash out ออกมาพักเป็นเงินสดนอกตลาดบ้าง หรือเอาไป diversify ลงทุนในสิ่งอื่นๆ บ้างเพื่อกระจายความเสี่ยง หรือถ้าตลาดโดยรวมเป็นขาลงก็ถือเงินสดทั้งหมดเลยก็ยังได้
- แต่ก็นั่นแหละ ถ้าคนเหล่านี้มีแผนรักษากำไร เขาก็คงจะไม่ all-in ทุกเม็ดตั้งแต่แรกอยู่ดีครับ พูดง่ายๆ ก็คือ เริ่มมาก็ติดกระดุมผิดเม็ดแล้วนั่นเอง..
- ปล. สำหรับสาย Maximalist เก็บยาวบน Time Horizon 200 ปี อันนี้เขาก้าวข้ามกำไร/ขาดทุน ทุกสิ่งอย่างไปหมดแล้ว ดังนั้น เราก็จะไม่ต้องไปสนใจเขาครับ ปล่อยเขาดำเนินแผนของเขาไป 555
2) ระบบอย่าง Trend Following บน Timeframe Daily+Weekly ช่วยป้องกันไม่ให้เราขาดทุนหนักได้
- สำหรับปีนี้ ระบบ Trend Following อย่าง Action Zone ( หรือ MACD ตัดศูนย์ ) เราเจอ false sig บน TF Daily กันกระจาย แต่ถ้าดูบน TF Weekly คือ ไม่มีสัญญาณซื้อเลยตลอดทั้งปี
- แต่ถ้าเราเข้าไปดูผลการเทรดจริงๆ ก็จะเห็นว่า ใน TF Daily เราขาดทุนไปจริงๆ ราวๆ -8% จาก false sig ทั้งหมดประมาณ 6 ครั้ง บนความเสี่ยง 2% Risk per trade
- ส่วน TF Weekly ก็คือ ไม่มีการเทรดเกิดขึ้นเลยสักครั้งเดียวในปีนี้..
- ถ้าเทียบกับ Benchmark การ Buy & Hold BTC ตอนเริ่มปี 2022 ก็จะพบการขาดทุนถึง -65% และถ้า DCA ก็จะขาดทุนถึง -33% นั่นเอง ยังไม่นับพวกสาย all-in จากข้อ 1 ที่โดนกันไปราวๆ -80% ถึง -99% อีกนะครับ
- ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การที่เราจะสามารถ “รักษากำไร” ที่ได้มาตอนตลาดดีๆ ได้ สิ่งที่เราต้องมีก็คือ “ระบบการเทรด” ที่จะช่วยบอกเราว่า เมื่อไหร่ ที่เราควรถือเงินสด เมื่อไหร่ ควรกลับเข้ามาลงทุน และ “Money Management” ที่จะช่วยลดความเสี่ยงโดยรวม จากการ diversify กำไรออกไปไว้ที่อื่นที่เสี่ยงน้อยกว่าบ้างครับ
- เทียบง่ายๆ ก็คือ เหมือนเราก้าวไปข้างหน้า 100 ก้าว แล้วเราถอยหลังมาแค่ 8 ก้าวแล้วก็หยุด เวลาที่เราจะเริ่มเดินใหม่ เราก็เริ่มเดินที่ก้าวที่ 92 นะครับ มันต่างกับคนที่ต้องถอยมา 98 ก้าวแล้วต้องเริ่มเดินที่ก้าวที่ 2 เยอะมากๆ เลยนะครับ 555
3) พยายามคิดถึงความเสี่ยงให้รอบด้าน ถ้าท่าไหนมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินเยอะ หรือทั้งหมด..ก็อย่าเอาเงินเยอะเข้าไปเล่น
- ช่วงตลาดดีๆ หลายๆ คนจะชอบลืมมองข้อนี้กันไป เอาง่ายๆ ก็ตัวอย่างของเคส all-in ไปเรื่อยๆ ในข้อแรก มันก็มีความเสี่ยงมากมายที่เราจะเสียตังทั้งหมดไป ไม่ว่าจะเป็น product ที่เราไปลงมันโดน rug pull หรือการไม่มีแผนคัท ก็จะทำให้เราติดดอยและขาดทุนหนัก เป็นต้น
- ยังไม่นับเคสที่นอกเหนือความคาดหมาย เช่น FTX หรือ Zipmex หรือ Exchange อื่นๆ ล่มสลายอีก
- แถมเคสคริปโตทั่วไปอีก ที่หลายๆ คนกระโจนเข้ามากันแบบไม่มีความรู้ สุดท้ายพอเห็นว่าได้กำไรง่ายๆ ก็หอบเงินก้อนใหญ่มาลงกัน บางคนหนักกว่านั้นก็ไปกู้มาลงทุน… พอตลาดเป็นขาลงก็เจ๊งกันถ้วนหน้า
- เอาจริงๆ ข้อนี้มันก็เหมือนกับการทำธุรกิจแหละ เช่น บางคนก็เอาเงินเก็บทั้งชีวิตมาลงทุนทำอะไรบางอย่าง แล้วพอเจ๊ง ชีวิตก็เดือดร้อนไปเลย ต้องกู้หนี้ยืมสิน ติดวังวนหนี้กันไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่
- สุดท้าย ก่อนเราจะลงทุนทำอะไรก็ตาม ให้คิดถึงความเสี่ยงก่อนเสมอ เอาง่ายๆ ให้คิดใน worst-case scenario ไปเลยว่า ถ้าเงินก้อนนี้หายหมด ชีวิตเราจะไม่เดือดร้อนนะ ชีวิตเรายังไปต่อได้นะ ถ้าดูแล้วสิ่งที่เราจะลง มันต้องใช้เงินเยอะ มากกว่าที่เราจะยอมเสียได้ ก็อย่าไปทำมันเลยครับ ลองเริ่มจากเล็กๆ ดูก่อน พอเรามีประสบการณ์ มีสกิล ก็ค่อยๆ ขยายไปก็ได้ครับ
4) การลงทุนอะไรที่ too good to be true จงอยู่ให้ห่าง
- ปีที่ผ่านมา เราเห็นการล่มสลายของสิ่งที่ให้ผลตอบแทนสูงเกินความจริงกันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็น..
* สารพัด DeFi ที่เคยให้ผลตอบแทนสูงถึงระดับ 100%++ APY … สุดท้ายก็เจ๊งกันหมด
* Anchor Protocol ที่ให้ผลตอบแทน 20% ต่อปี … สุดท้ายเจ๊งสนิท
* ZipLock ที่ให้ผลตอบแทนดี .. สุดท้ายก็เจ๊ง
* การขุดเหรียญสารพัด สามเดือนคืนทุน.. สุดท้ายก็ขุดไม่คุ้ม
* สารพัดแชร์ลูกโซ่ …ที่สุดท้ายก็ปิดตัวหนีกันไปหมด
- ทุกอย่างที่ว่ามาข้างบน จะเอาเลขผลตอบแทนที่ดีๆ เวอร์ๆ มาล่อกันทั้งนั้น แต่ถ้าเราแค่ “เอ๊ะ??” สักหน่อย เราก็จะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า.. มันเป็นไปได้ไงวะ? เราก็จะไม่ยุ่งกับพวกนี้เองครับ
5) จงเชื่อกราฟ อย่าไปเชื่อกูรู
- ในทุกขาขึ้น และขาลง จะมีกูรูมาทำนายเสมอ และแต่ละคน ก็จะเต็มไปด้วย Bias ของตัวเอง ทำนายถูก ก็ออกมาเคลม ทำนายผิด ก็… ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ทำนายใหม่ไปเรื่อยๆ
- สิ่งที่เราควรทำ ก็คือ อย่าไปฟังนักทำนายเหล่านี้มาก เพราะ ไม่มีใครรู้อนาคตได้จริงสักคนหรอก มั่วกันทั้งนั้นแหละ
- สิ่งที่จะบอกเราได้แน่ๆ ก็คือกราฟครับ พยายามดูให้เป็น ดูให้ออก ว่า กราฟแบบไหนที่เป็นทรงขาขึ้น กราฟแบบไหนที่เป็นทรงขาลง แล้วเราก็ take action ตามแผนไป
- ขาขึ้น ก็ทยอยเข้าตลาด ขาลง ก็ทยอยถือเงินสด แค่นี้เองครับ … มันเหมือนง่ายนะ แต่ทำโคตรยากเลยล่ะ
6) เมื่อสื่อพูดถึงสิ่งใดมากๆ… ให้ระวังจุดจบของสิ่งนั้นๆ
- ไม่ว่าจะเป็นจุดจบของขาขึ้น หรือจุดจบของขาลง .. มีวิธีดูง่ายๆ ดังนี้
- ถ้าสื่อพูดถึงแต่ข่าวดี เอากูรูสายมองขึ้นมาออกเยอะๆ ทำนายราคากันไปเท่านั้นเท่านี้ = ตลาดมีโอกาสจบรอบสูง ให้ลงทุนด้วยความระมัดระวัง ให้ดึงกำไรออกมากอดไว้บ้าง และเตรียมพร้อมเมื่อกราฟบอกให้เราหนี
- ถ้าสื่อพูดถึงแต่ข่าวร้าย เอากูรูสายมองลงมาทำนายวิกฤตกันไปเรื่อยๆ ซึนามิมาแน่ ปีหน้าเผาจริง = ตลาดมีโอกาสกลับตัวสูง ให้ทำการบ้าน หาหุ้น หาสินทรัพย์รอไว้ และเตรียมพร้อมจะซื้อเมื่อกราฟบอกให้เราเข้า
- แค่นี้เองครับ
7) อยู่ในเกมของตัวเอง อย่าไปเทียบอะไรกับคนอื่นเขามาก ทุกคนมีช่วงขึ้นและลงที่ต่างกัน
- ข้อนี้สำคัญมากๆ เช่นกัน เพราะบางทีเกมของเรา มันยังไม่มา แต่ของคนอื่นเขามาไปแล้ว พอเขาได้ตังเขาก็จะมาอวดกำไร พอเราเห็นกำไรเราก็จะเริ่มไขว้เขว และอาจจะกระโดดไปเข้าเล่นในสิ่งนั้นๆ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้เตรียมตัว ไม่ได้ทำการบ้านอะไรมาเลย สุดท้าย ก็อาจจะโดนเล่นได้ครับ
- ดังนั้น ถ้าเราทำการบ้านในสิ่งใดๆ อยู่แล้ว และเรารอให้เกิด “สัญญาณ” อยู่ ก็ต้องอย่าวอกแวก ร้อนรน คันมือ ก็แค่ นั่งเฉยๆ รอทำตามแผนของเราไปครับ
ข้างล่างเป็น list ที่ผมคิดๆ เขียนๆ ไว้ตอนแรก แต่ไม่ได้หยิบมาอธิบายต่อ ก็แปะมาให้ลองเก็บไปคิดกันดูเองครับ
ถ้าคุณได้เงินมาเร็วๆ ง่ายๆ จากการลงทุนแบบไม่สนความเสี่ยง คุณก็จะคืนกำไรที่ได้มากลับไปให้ตลาดอย่างรวดเร็วเช่นกัน ตัวอย่างก็เช่นพวกชาว DeFi, GameFi 2021
สิ่งสำคัญที่สุดในการอยู่รอดในตลาด ก็คือการรักษากำไรที่ได้มาเอาไว้ช่วงตลาดดีๆ ไม่ให้คืนไปตอนตลาดแย่ๆ
ตอนตลาดดีๆ กลยุทธกะโหลกกะลาแค่ไหน ถ้าไม่สวนเทรน ยังไงก็ได้ตัง แต่ตอนตลาดแย่ๆ ถ้าคุณไม่มีหลักการควบคุมความเสี่ยงที่ดี ยังไงก็หมดตัว
กลยุทธที่ทำแล้วได้ตังง่ายๆ ตอนตลาดดีๆ เช่น เห็นลงหนักๆ ก็ไปช้อนแบบจัดหนักจัดเต็ม พอเด้งก็ขาย … จะทำให้คุณหมดตัวตอนตลาดกลับมาเป็นขาลง
ตลาดไม่เคยขาดกูรู ตอนตลาดวิ่งแรงๆ ก็จะมีกูรูบอกเป้าว่าจะขึ้นไปเท่านั้นเท่านี้ พอตลาดลงหนักๆ ก็จะมีกูรูบอกเป้าว่าจะลงไปเท่านั้นเท่านี้ .. แต่ คนที่จะบอกว่าอนาคตจะไปทางไหน คือ Mr.Market เท่านั้น ไม่ใช่กูรู ดังนั้น จงเชื่อตลาด
สำหรับคนที่ทำตามระบบ Consecutive Losses เกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้น จงวางแผนความเสี่ยง Risk per trade ให้ดี ที่จะไม่ทำให้พอร์ตเราพัง หรือเสียหายหนัก ตอนเจอ consecutive losses หลายๆ ทีติดกัน
ตลาดจะ Top ตอนทุกคนมองขึ้น ข่าวดีออกมารัวๆ กูรูเต็มตลาด เสมอ และ ตลาดจะ Bottom ตอนทุกคนมองลง ข่าวร้ายออกมารัวๆ กูรูหายหมด เสมอ
เมื่อคุณอยากอวดกำไรลงเฟส ลงเพจ ให้ทุกคนรู้ เมื่อนั้น มักจะเป็นจังหวะตลาด Top เสมอ
อย่ากู้เงิน เอาเงินร้อน มาเทรด เด็ดขาด
ถ้ามีกำไร ต้องมีแผนเก็บกำไรเสมอ อย่าปล่อยให้ตัวเองเห็นกำไรละลายหายไปต่อหน้าต่อตาเด็ดขาด
กำไรที่ได้มาจากข้อที่แล้ว ควรเก็บออกมากอดนอกสนามเลย อย่าเอาไป reinvest พร่ำเพรื่อ
อะไรที่ได้ตังง่ายๆ โดยไม่ต้องทำอะไร แค่ฝากเงินไว้เฉยๆ.. มันไม่มีจริง
ความเชื่อ มันน่ากลัว เพราะมันจะมาทำให้เราเชื่อจนไม่ยอมตัดสินใจ take action ที่ดี
การเข้ามาเทรด คือการทำให้ wealth ของเรางอกเงย เพื่อที่เราจะได้มีชีวิตที่มีคุณภาพดีขึ้น ไม่ใช่การเข้ามาเพื่อพิสูจน์ความเชื่ออันสุดโต่งของเราเอง
อะไรที่มีขึ้น ก็ย่อมจะมีลง อะไรที่ลงก็ย่อมจะมีขึ้น.. จงเตรียมพร้อมและวางแผนรับมือความเปลี่ยนแปลงเสมอ
มือใหม่เข้าตลาดมา ยังไงต้องเจ๊งอยู่แล้ว เป็นเรื่องปกติ แต่ที่จะไม่ปกติคือ เข้ามาเจ๊งแล้วไม่ได้เรียนรู้อะไรจากความผิดพลาดนั้นๆ เลย
เพราะ ถ้าคุณเรียนรู้จากความผิดพลาด โอกาสที่คุณจะได้ตังในขาขึ้นรอบหน้าก็จะมีสูงขึ้น
การเทรดให้น้อยลงในตลาดขาลง นอกจากจะช่วยไม่ให้เราเสียเงินโดยไม่จำเป็นแล้ว ยังช่วยให้เรารักษาสภาพจิตใจไม่ให้ถดถอยด้วย เพราะในการเทรด สภาพจิตใจของเรา สำคัญมากๆ ถ้าใจพัง มันจะทำให้เราไม่กล้าตัดสินใจ หรือ ไปตัดสินใจทำอะไรที่จะทำให้พอร์ตพังมากยิ่งขึ้น ( เช่น เทรดแก้แค้น )
กลยุทธใดๆ ถ้ามันทำซ้ำอีกไม่ได้ ก็ไม่ใช่กลยุทธที่ดี เราก็แค่โชคดีต่างหาก
การทำตามกลยุทธอย่างมีวินัย มันช่วยให้เราไม่มีวันติดดอยหนัก และไม่มีวันตกรถ 100%
การถือเงินสดในช่วงตลาดขาลง จะทำให้เราได้เปรียบคนอื่นๆ เพราะเราจะมีเงินเอาไว้ซื้อของราคาถูก หลังจากมันเริ่มกลับตัวแล้ว
ตลาดขาลงที่ยาวนาน จะทำให้เราเริ่มหมดไฟ ท้อ และเลิกสนใจตลาดไป แต่อยากจะบอกว่า มันคือโอกาสที่ดีต่างหาก ดังนั้น จงอย่างทิ้งตลาด และเตรียมความพร้อมที่จะกลับเข้ามาเสมอ เพราะถ้าคุณไม่อยู่กับตลาดตลอด คุณจะไปรู้ตัวอีกทีตอนตลาดกลับเป็นขาขึ้นเรียบร้อยแล้ว..และแน่นอน ก็อาจจะมีโอกาสติดดอยใหม่เหมือนเดิมนั่นเอง 555
ช่วงตลาดดีๆ อะไรก็ดูดี ช่วงตลาดแย่ๆ อะไรก็พร้อมพังเสมอ ดังนั้น ถ้าได้ตังมาเยอะช่วงตลาดดีๆ ตอนตลาดเริ่มหัวทิ่ม ก็ต้อง cash out ออกมาก่อน
จงเป็นคนขี้ระแวง ถ้าเริ่มได้กลิ่นตุๆ ให้วิ่งหนีทันที อย่ามัวรอดูก่อน เพราะอาจจะช้าเกินไป
-- ส่งท้าย --
สุดท้ายนี้ ปี 2022 ก็น่าจะให้บทเรียนกับทุกคนที่เข้ามาตลาดกัน ไม่มากก็น้อย ตัวผมเองก็ได้ ตอกย้ำ บทเรียน ที่เคยตกผลึกมาก่อนหน้านี้ ว่า ... เออ ไอ้ที่เราคิดมา มันถูกแล้วล่ะ จงทำสิ่งเหล่านี้ต่อไป
ส่วนใครที่เจ๊งหนักในปีนี้ แต่อยากจะเอาดีทางด้านการเทรดนี้จริงๆ ก็ขอให้อย่ายอมแพ้นะครับ เพราะจากที่ผมอ่านและฟังเทรดเดอร์ไทยและฝรั่งมาหลายท่าน บอกได้เลยว่า ทุกคน ต้องผ่านจุดนี้กันมาทั้งนั้น ... จุดที่เจ๊ง หมดตัว และไม่ยอมแพ้ ฮึด ลุกขึ้นมาสู้ต่อ ผมเองก็เคยผ่านมาเช่นกัน.. และ ในปีนี้ ผมก็รอดมาได้ โดยแทบไม่เสียหายหนักเลย
จงเรียนรู้จากข้อผิดพลาด และก้าวต่อไปครับ เพราะ ข้อผิดพลาด คือ ครูที่ดีที่สุด ของเราครับ..
แจ้งเตือน: 3 เหตุผลที่ทำให้คุณเป็นเทรดเดอร์ที่ดีขึ้นได้เฮ้ทุกคน! 👋
การแจ้งเตือนบนแอปพลิเคชันนั้นมีหลายลักษณะ หากพูดถึงในบริบท การเทรด มันมักถูกใช้งานน้อยเกินไปเนื่องจากอาจต้องใช้เวลาและความเฉลียวฉลาดในการสร้างระบบที่สามารถทำงานได้ดี มาดูเหตุผลบางประการที่ทำให้การลงทุนนั้น คุ้มค่า
1. พวกมันช่วยสร้างนิสัยที่ดีได้ 💪
หยุดเราหากสิ่งนี้ฟังดูคุ้นหู: คุณได้ยินเรื่องราวการลงทุนที่ยอดเยี่ยม จากนั้นจึงออกไปในตลาดและซื้อสินทรัพย์ทันทีโดยไม่มีแผน
แม้ว่าวิธีนี้จะได้ผล แต่ก็ไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีสำหรับความสำเร็จในระยะยาว เพราะในความเป็นจริงแล้ว การนั่งในตำแหน่งนั้นโดยไม่ได้วางแผนและเทรดอย่างมีประสิทธิภาพอาจเป็นเรื่องยากมาก คุณอาจเลือกที่จะออกจากตำแหน่งโดยไม่มีอะไรมากไปกว่าความโลภหรือความกลัวชั่วขณะ และการเคลื่อนไหวเช่นนั้นอาจขัดขวางความสม่ำเสมอและความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว
การแจ้งเตือนเป็นสิ่งที่ดีเพราะสามารถคาดเดาการเข้าและออกจากตำแหน่งได้ เพียงตั้งค่าการแจ้งเตือนสำหรับราคาที่คุณต้องการ จากนั้นทำการซื้อขายหากตรงตามเงื่อนไขเท่านั้น จากนั้นปล่อยให้ตลาดทำสิ่งนั้นและปล่อยให้ความน่าจะเป็นเข้าข้างคุณ
การแจ้งเตือนสามารถเปลี่ยนประสบการณ์การเทรดจากการค้นหาไอเดียอย่างต่อเนื่องและรู้สึกล้าหลังอยู่เสมอ ให้กลายเป็นงานที่ผ่อนคลายด้วยการรอให้เงื่อนไขที่ได้รับการอนุมัติล่วงหน้าของคุณทำงานก่อนที่จะดำเนินการ กล่าวโดยย่อ การแจ้งเตือนสามารถทำให้คุณพร้อมมากขึ้นสำหรับตลาดขาขึ้นและขาลง
2. ช่วยเพิ่มอิสระและลดความวิตกกังวล 🧘
มีคตินิยมที่รู้จักกันดีในการซื้อขายและในชีวิตที่ระบุว่าอารมณ์ด้านลบมีความรู้สึกรุนแรงเป็นสองเท่าอารมณ์ด้านบวก ข้อเท็จจริงนี้มีหลักฐานมากมาย แต่จะมีประโยชน์อย่างยิ่งในการทำความเข้าใจในฐานะเทรดเดอร์
พิจารณานักลงทุนต่อไปนี้:
ทันตแพทย์ที่ตรวจสอบรายงานรายไตรมาสจากนายหน้าของเขา
นักซื้อขายตำแหน่งที่ตรวจสอบตำแหน่งของเขาเดือนละครั้ง
เทรดเดอร์ที่ตรวจสอบตำแหน่งของเขาสัปดาห์ละครั้ง
เทรดเดอร์รายวันที่ตรวจสอบตำแหน่งของเขาวันละครั้ง หากไม่มากกว่านั้น
เมื่อพิจารณาจากความผันผวนตามธรรมชาติที่ตลาดประสบ ผู้เข้าร่วมตลาดรายใดที่มีแนวโน้มน้อยที่สุดที่จะโกรธหรือไม่พอใจ? ทันตแพทย์. ทำไม เพราะเขาได้รับจุดข้อมูลจากตลาดน้อยลง แม้แต่นักเทรดรายวันระดับโลกก็ยังต้องเผชิญกับสถานการณ์เชิงลบนับสิบหรือร้อยสถานการณ์ในแต่ละวันอันเป็นผลมาจากความผันผวนซึ่งพวกเขาไม่สามารถควบคุมได้ ระดับของการกระตุ้นเชิงลบนี้สามารถลดสุขภาพจิตและประสิทธิภาพการซื้อขายได้
การแจ้งเตือนช่วยให้เทรดเดอร์ที่เตรียมตัวมาอย่างดีพร้อมถอยห่างจากตลาดและอนุญาตให้เทรดมาหาพวกเขา
3. การแจ้งเตือนของเราจะไม่ปล่อยให้สิ่งใดหลุดลอดออกมา ✅
แม้ว่าสองประเด็นก่อนหน้านี้จะเป็นประโยชน์เมื่อพูดถึงการแจ้งเตือนราคา การแจ้งเตือนของเรายังยกระดับเกมขึ้นอย่างมากเมื่อพูดถึงยูทิลิตี้ของผู้ใช้ เมื่อคุณมีการตั้งค่าที่คุณต้องการเทรดแล้ว คุณสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนเกี่ยวกับเส้นแนวโน้ม ตัวบ่งชี้ทางเทคนิค สคริปต์ที่ปรับแต่งได้ และอื่นๆ อีกมากมาย คุณจึงมั่นใจได้ว่าจะไม่พลาดการตั้งค่าที่คุณชื่นชอบ
สิ่งนี้อาจเป็นเรื่องง่ายเหมือนนักลงทุนระยะยาวที่ตั้งค่าการแจ้งเตือน RSI บนหุ้น Dow 30 เพื่อซื้อการดิ่งลงอย่างแข็งแกร่ง ไปจนถึงซับซ้อนพอๆ กับการแจ้งเตือนการตั้งค่า Scalper ของฟิวเจอร์สระหว่างวันสำหรับความไร้ประสิทธิภาพด้านราคาภายในสัญญา 40 อันดับแรกของเขา
การแจ้งเตือนที่ปรับแต่งได้ของเราสามารถช่วยให้เทรดเดอร์ที่มีการจัดการที่ดีสามารถคว้าทุกโอกาสที่พวกเขามองเห็นได้
และคุณมีมัน! 3 เหตุผลในการใช้ประโยชน์จากการแจ้งเตือน และประโยชน์อันยอดเยี่ยมทั้งหมดที่พวกเขามอบให้
ขอบคุณที่อ่านและรักษาสุขภาพ!
รัก,
ทีมงานเทรดวิว ❤️❤️
Harmonic Series on TFEXTFEX - S50Z22 เป็น Series ที่มีสภาวะ Sideway อย่างยาวนาน นักเทรดไม่สามารถหาสัญญาณการเกิดเทรนได้ หรือเกิดสัญญาณแล้วก็ False
แต่ในสภาวะ Sideway ที่ราคาเคลื่อนตัวเหมือนจะไร้ทิศทางนี้ แท้จริงแล้วกลับมีรูปแบบที่ซ่อนอยู่ เป็นการฟอร์มตัวของจุดที่มีนัยยะสำคัญ 5 จุด ก่อเกิดเป็นรูปแบบที่เรียกว่า 'HARMONIC PATTERN'
Harmonic Pattern คือ Pattern ที่จะเกิดในสภาวะ sideway หรือในชุดพักตัว และยิ่งพักตัวยาวนานเท่าไหร่ เราก็จะได้เห็น Harmonic Pattern ที่ร้อยเรียงกันต่อเนื่องกันไปเหมือนอย่างในรูปชาร์ตของ TFEX Series Z นี้
HARMONIC TRADING เป็นเทคนิคการเทรดในสภาวะไร้ทิศทางด้วย 'Harmonic Pattern' ในแต่ละ Pattern ของ Harmonic จะมีหลักในการวาง จุดเข้าซื้อ จุดตัดขาดทุน และจุดล็อกกำไร ไว้อย่างชัดเจน และจะแตกต่างกันไปตามแต่ละ Pattern ซึ่งจำเป็นจะต้องเรียนรู้และฝึกฝนให้ชำนาญก่อนที่จะนำไปใช้ แล้วเราก็จะสามารถเปลี่ยนสภาวะไร้ทิศทางที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงสูง ไปเป็นการแกว่งตัวในรูปแบบที่เรารู้จักและสามารถเทรดทำกำไรกับมันได้
มนุษย์กราฟ | Humangraphy
[แกะหุ้นเด้ง pt.2] เล่า BizModel+งบ กับ Evolution หุ้น 100 เด้ง Evolution AB ตำนานหุ้น 100 เด้ง และเป็น หุ้น 10 เด้งใน 5 ปี
.
บริษัท Evolution AB เป็นบริษัทสัญชาติสวีเดนที่ประกอบธุรกิจเว็บพนันออนไลน์ที่มีอัตราการเติบโตในระดับที่น่าประทับใจ ผู้เพียบพร้อมทั้งเรื่องการเติบโตของรายได้ ผลกำไร และอัตราส่วนทางการเงิน ที่ไม่ว่าใครมาเห็นต้องอยากได้หุ้นตัวนี้มาประดับพอร์ตการลงทุนอย่างแน่แท้
.
โดยบริษัทเองนอกจากทำอัตรากำไรในระดับที่น่าพึงพอใจแล้ว บริษัทเองก็มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (CFO) และกระเงินสดอิสระ (FCF) เป็นบวกมาตลอดระยะเวลาหลายปี และมีเทรนด์ที่เป็นขาขึ้นตลอด จนกลายเป็นหุ้น 10 เด้งในระยะเวลา 5 ปี (และเป็นหุ้น 20 เด้ง เมื่อตอนที่ตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ ณ จุดสูงที่สุดตอนช่วงปี 2021)
.
และเราเองก็สามารถเป็นเจ้าของหุ้นนี้ได้ ผ่านการประยุกต์ใช้หลักการของคุณปีเตอร์ ลินซ์ ผ่านเพลย์บุคอย่างเล่ม One Up on Wall Street ด้วยการซื้อหุ้นที่มีค่า PEG ต่ำกว่า 1 ในการลงทุนได้ครับ
.
.
.
ทั้งหลายนี้แสดงให้เราเห็นอะไรบ้าง ก่อนอื่นผมขอพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับอัตราส่วน PEG ที่จะเป็นผู้ช่วยในการเลือกซื้อหุ้นนี้กันก่อนครับ
.
หุ้นมี PEG ต่ำกว่า 1 เท่า เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่แสดงให้เราเห็นว่า “หุ้นตัวนี้มีโอกาสขึ้น” จากการ “ปรับค่า PE ใหม่ของนายตลาดสู่ระดับที่ควรจะเป็น”
.
สมการของ PEG คือ PE / EPS Growth และสมการของ PE คือ Price / EPS
.
EPS ขึ้น หากราคาเท่าเดิม PE จะต่ำลงตามสมการ , เมื่อนายตลาดเห็น PE ที่ถูกลง นายตลาดก็อาจปรับ PE กลับไปสู่จุดเดิมได้
.
เช่น เมื่อก่อนหุ้นตัวหนึ่งถูกเทรดที่ ราคา 15 บาท ที่ PE 15 เท่า และมีกำไรต่อหุ้นที่ 1 บาท (สมการ Price = PE * EPS) ต่อมาหุ้นนี้มีกำไรเติบโต 30% หรือกำไรต่อหุ้นได้เปลี่ยนเป็น 1.3 บาทต่อหุ้น (EPS ใหม่ = EPS เดิม * อัตราการเติบโต , EPS ใหม่ = 1* = 1.3 บาทต่อหุ้น )
.
ทำให้ค่า PEG ของบริษัทเทรดอยู่ที่ 15/30 = 0.5 เท่า หากหุ้นนี้เทรดอยู่ที่ราคา 15 บาทเท่าเดิม ตอนนี้ PE ของบริษัทก็จะอยู่ที่ 11.53 เท่า
.
.
.
ดังนั้นแล้ว การที่บริษัทจะกลับไปเทรดเท่าเดิมที่ PE 15 เท่าเดิมได้นั้น ราคาหุ้นจะต้องไปอยู่ที่ 19.5 บาท คิดเป็น Upside ในสัดส่วนที่เทียบเท่ากับการเติบโตของกำไร 30%
.
แต่ทั้งนี้สิ่งที่เราต้องพิจารณา คือกำไรที่ได้มานี้ “เป็นกำไรจากการดำเนินงานที่เติบโตตามธรรมชาติบริษัท” หรือไม่ เราต้องพิจารณาผ่านการอ่านรายงานผลประกอบการรายไตรมาสด้วย
.
เพราะหากบริษัทได้กำไรมาจากกิจกรรมพิเศษ (เช่นการขายที่ดินออก การได้เงินประกัน) ความสามารถในการทำซ้ำอีกครั้งก็นับว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลย เช่น ถ้าบริษัทขายที่ดินแปลงนั้นไปแล้ว เราก็คงไม่สามารถเสกที่ดินแปลงเดิมมาขายใหม่ทุกๆ ปีได้ใช่ไหมครับ
.
ต่อมาเมื่อการทำซ้ำไม่มีแล้ว เมื่อปีหน้ามาถึงกำไรส่วนที่ได้จากกิจกรรมก่อนหน้าจะหายไป ตรงนี้จะทำให้นายตลาด “ตีมูลค่าบริษัทให้ต่ำลง” (จากการที่ EPS ลดลง) ในที่สุด
.
.
.
กลับมาที่บริษัท Evolution AB ราคาหุ้นของบริษัทเคยเทรดอยู่ในระดับที่ PEG ต่ำ 1 อยู่หลายช่วงเวลาเหมือนกันครับ โดยช่วงที่เห็นได้ชัดมากที่สุดคือตอนกลางปี 2017 จนถึงท้ายปี 2018 ต้นปี 2019 หากเราได้ซื้อหุ้นตัวนี้ในช่วงราคา 140 เหรียญ (Swedish Krona) ตอนเดือนกันยายน 2018 ซึ่งเป็นจุดซื้อที่จั่วยอดดอย ณ PEG Ratio 0.9x และทนถือเพื่อรอกำไรและราคาหุ้นบริษัทเบ่งบานตอนเดือนเมษายน 2021 ที่ราคา 1,6xx เหรียญ (Swedish Krona) คุณจะได้ผลตอบแทนกว่า 1,1xx% ทีเดียว
.
ในด้านธุรกิจ Evolution เองมีผลการดำเนินงานที่เป็นบวกและเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ ครับ ผ่านการเปิดแพลตฟอร์มไปในประเทศต่างๆ รวมถึงมียอดผู้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ผสานกับลักษณะบริษัทเป็น Asset Light Model ซึ่งมีต้นทุนการดำเนินงานที่คงที่ ใช้สินทรัพย์ไม่หนักมากทั้งด้านบุคลากรและอุปกรณ์ มีรายได้เข้ามาไม่จำกัดแต่ต้นทุนคงที่ ทำให้รายได้ของบริษัทลงมาสู่บรรทัดล่างที่เติบโตขึ้นทุกปี ด้วยปัจจัยนี้เองจึงช่วยผลักดันให้มูลค่าของบริษัทสามารถไปได้ไกลนั่นเองครับ
.
และอีกประเด็นที่เลี่ยงไม่ได้ คือ “เทรนด์ธุรกิจ” ผู้เป็นพระเอกที่ช่วยผลักดันให้บริษัทเติบโตเหนือกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ ในตลาดอีกด้วยโดย Evolution เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ซึ่งรูปแบบแพลตฟอร์มออนไลน์นี้ได้มา Disrupt ธุรกิจกาสิโนแบบมีพื้นที่ตั้ง โดยจากข้อมูลบริษัทได้ระบุว่าขนาดตลาดของกาสิโนแบบมีพื้นที่มีอัตราการหดตัวแบบทบต้น (CAGR) กว่า -8.2% ตลอดปี 2017-2021 ในขณะที่ตลาดเกมแบบออนไลน์ที่บริษัทกำลังประกอบการอยู่มีอัตราการเติบโตแบบทบต้น (CAGR) ที่ 31.1%
.
ปฏิเสธไม่ได้เลยครับ ว่าท่ามกลางความแตกต่างของ 2 เทรนด์บริษัทที่ขาหนึ่งกำลังถอยลง และขาหนึ่งกำลังพุ่งทะยาน นายตลาดจึงมอบรางวัลและความคาดหวังแก่ Evolution ให้เป็นหุ้นเด้งผู้เติบโตด้วยศักดิ์และศรีเพียบพร้อมด้วยตัวเลขการเงินอันเป็นผลประจักษ์และราคาอย่างแท้จริง
.
.
.
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมได้บอกเล่าทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้แม่นยำ 100% ว่าสิ่งที่เขียนจะเป็นเพลย์บุคที่ต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ในอนาคต สิ่งนี้อาจมีความแม่นยำเพียง 30-40% เพียงเท่านั้นครับเมื่อนำไปประยุกต์ผ่านการลงทุน
.
ทั้งนี้ขอให้พี่ๆ เพื่อนๆ พึงระลึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องตามปกติ เพราะว่าไม่มีวิธีการลงทุนใดที่ให้ผลลัพธ์ 100% ได้ และการที่เราจะทำเงินจากตลาดหุ้นได้ไม่ได้อยู่ที่การเลือกวิธีการที่แม่นยำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ประกอบไปด้วยองค์ประกอบอันหลายอย่างซึ่งก่อรูปและร่าง ผ่านบริบทและเวลาของบริษัทนั้นๆ ครับ
.
สิ่งที่เราเล่าทั้งหมด เป็นเพียงการชี้ให้เห็นภาพเท่านั้นว่าคุณสามารถนำความรู้จากหนังสือหุ้นไปทำเงินได้ครับ
[แกะหุ้นเด้ง pt.1] หาจุดซื้อรันเทรน กับ Evolution หุ้น 100 เด้ง - วีดีโอนี้พูดถึง Technical จุดซื้อ/ขาย 75% และพูดเกริ่นถึงบริษัท 25%
- บริษัท Evolution AB เป็นบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมใหม่อย่างอุตสาหกรรม pนันออนไลน์ ซึ่งมีอัตราการเติบโตของกำไรมากกว่า 2 หลักมาโดยตลอด
- นอกจากการเติบโตของกำไรแล้ว ในขาของด้านการบริหารนั้นบริษัทก็สามารถบริหารจนได้อัตรากำไรในระดับที่ดีมากๆ โดยสะท้อนมาที่ตัวเลขการเงินอย่างอัตรากำไรสุทธิ ที่บริษัทสามารถทำได้มากกว่า 30-40% ซึ่งเป็นระดับที่น้อยบริษัทจะสามารถทำได้
- กำไรจากการเทรดที่ได้แต่ละรอบสั้นนั้น สามารถทำได้มากกว่า 2x%
แต่ว่าเวลาที่หุ้นลง บริษัทจะมี Downside จาก ATH มากกว่า 30% เลย ดังนั้นแล้ว ใครซื้อแบบ FOMO อาจต้องระวังจุดนี้
- Breakout รับมือได้ดีที่สุดกับบริษัทจำพวกที่กำไรโตตลอดเวลา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นควรวางจุด Stoploss ให้ดีๆ เพราะว่าเวลาโดนคืนสามารถโดนคืนได้ในระดับ 3x% ได้ และหากเข้าช้าไปควรกำหนด Postition Size ที่เพียงพอต่อการถือทนด้วยครับ
-------------------------------
สำหรับเนื้อหาจะมี 2 พาร์ทด้วยกัน โดยพาร์ทนี้จะเน้นในเรื่อง Technical อย่างเดียวนะครับ จากนั้นอีกพาร์ทจะเป็นเรื่องของการเงินและธุรกิจล้วนๆ
และโพสนี้ผมแบ่งเป็น 3 ส่วน คือหลักการเลือกหุ้นลงทุน ตามมาด้วยจุดซื้อที่พอทำได้ และสิ่งที่ได้เรียนรู้จากหุ้นนี้/บริษัทนี้
---------------------------------
1. หลักการเลือกหุ้น
สำหรับระบบคัดเลือกหุ้นของบริษัทนี้ โดยหลักแล้วมาจากการเลือกบบริษัทที่มีกำไรเติบโตก่อนครับ โดยถ้ากำไรเติบโตเป็น 2 หลัก เหนือกว่าตัวเลข GDP สักราว 5 เท่า นายตลาดจะชอบบริษัทแบบนี้มาก
นอกจากกำไรเติบโตแล้ว การใช้ตัวกรองอย่าง PEG Raio มาช่วย จะทำให้เราเลือกหุ้นได้คมมากขึ้นครับ โดย PEG Ratio ที่ต่ำกว่า 1 จะเป็นตัวบอกว่าบริษัทนี้มีความน่าสนใจ
-------------------------------------
2. จุดซื้อหุ้นตัวนี้
สำหรับผมแล้ว ผมให้เรื่องของ Value Line ครับ โดยในกรณีนี้บริษัท Evolution ถูกเทรดอยู่ที่เส้นแดงมาโดยตลอดเลย หากเราตั้งสมมติฐานว่าซื้อหุ้นในจุดที่บริษัทมีราคาต่ำกว่าเส้น และนำมาขายบริเวณที่อยู่เหนือเส้น Value Line ก็นับเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่น่าสนใจ
ต่อมาคือการเทรดเมื่อหุ้นวิ่งตัดขึ้นเส้นค่าเฉลี่ย 50 weeks หรือแม้แต่ 20 วัน เพื่อที่หลีกเลี่ยงอาการ FOMO หลังหุ้นตัวนั้นเด้งขึ้นอย่างร้อนแรง
และที่สำคัญคือบริษัทที่เป็นหุ้นเติบโต ในกรณีที่เขาเติบโตด้วยพื้นฐานอย่างแข็งแรง ส่วนมากราคาของบริษัทจะไม่มาเทรดที่จุดเดิมได้บ่อยๆ ครับ การที่เราซื้อขายหลังราคาตัดเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาวเพื่อรันเทรนด์อาจช่วยให้เราได้เปรียบมากขึ้น
และอย่างสุดท้าย การเทรดโดยใช้หน้าเทรด Breakout ในหุ้นเติลโต โดยเหตุผลหลักจะคล้ายๆ กับการเทรดตอนหุ้นตัดขึ้นเส้นค่าเฉลี่ย โดยหากบริษัทเติบโตไปแบบเรื่อยๆ อย่างบริษัท การ Breakout จึงเป็นหน้าเทรดที่สามารถปรับประยุกต์ใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการเทรดแบบScalper ภายในวันอาศัยความผันผวนตอนช่วงประกาศผลประกอบการ หรือแม้แต่การซื้อเป็นไม้สุดท้ายหลังจากที่เรา MM ไม้ก่อนหน้านี้มาแล้ว
-------------------------------
3. สิ่งที่ได้จากหุ้นตัวนี้
บริษัทที่มีการเติบโตของกำไรอย่างสม่ำเสมอ และทำได้ดีกว่าที่ตลาดคาดมักเป็นหุ้นที่ไปได้ไกล(จากสมการ Price = PE * EPS) ไม่ว่าจะจากการปรับค่า PE ของตลาดหรือ EPS ที่เติบโตได้ด้วยตัวเอง
การเทรดโดยให้ราคาตัดเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว เป็นจุดที่ปลอดภัยจากการไม่โดนสะบัดหรือเขย่าตอนซื้อแนวจุดสูงสุดใหม่
หุ้นเติบโตมักมีการ Pullback 3x% เป็นเรื่องปกติมาก ถ้าจะให้ดี อย่าซื้อตอน ATH เว้นแต่ว่าเราจะลงทุนแบบ Day Trade/Scalper แบบจบในวัน
Case Study ; MPL & QM Pattern & FakeoutCase Study ; MPL & QM Pattern & Fakeout
📊 รูปแบบ Type : SELL SETUP
****************************
⛔️ คำเตือน : เป็นเพียงเนื้อหาสำหรับกรณีศึกษาเท่านั้น ทั้งหมดล้วนต้องใช้เวลาและประสบการณ์จริงของแต่ละท่านเพื่อนำไปใช้ประโยชน์อย่าสูงสุด โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล
****************************
● MPL หรือชื่อเต็ม Maximum Pain Level
● MPL ตามตัวอย่างหรือโครงสร้างในภาพนั้น จริงๆ แล้วก็เป็นหนึ่งในรูปแบบของ Supply and Demand Zone ( SND ) ซึ่งรูปแบบของ MPL ในภาพนั้น ก็เป็นรูปแบบที่ก่อเกิดขึ้นในโครงสร้างของ QM Pattern(QML) ด้วยเช่นกัน จึงทำให้น่าสนใจ
● ทั้ง QML และ MPL ก็นับว่า เป็นรูปแบบหนึ่งของ SND เช่นกัน และมักจะมีรูปแบบเส้น SNR (QML) หรือ SND ZONE ที่เกิดการทับซ้อนกันอยู่ จึงมีนัยะและความน่าสนใจที่มากขึ้น
● MPL ที่ผมมองว่าเป็น RBD ตามในภาพ เนื่องจากว่า การเคลื่อนที่ของกลุ่ม Base Balance Zone หรือ Sideway เล็กๆ นั้น อาจจะก่อเกิดแนวต้านเล็กๆ หรือ Resistance Fakeout หรือเกิดเป็น Mini QM เล็กๆ ก่อนก็เป็นได้ และหลังจากนั้นราคาอาจจะตีทะลุกรอบขึ้นไป เหนือระดับ QML ซึ่งช่วงนี้จะเกิดการพุ่งของ IMB ขึ้นไปเล็กน้อยคือ Rally(R) และพักฐาน Base(B) และจากนั้นเกิดแรงขาย Drop(D) ลงมา ซึ่งหลังจากการ Drop ลงมานี้ จะเกิดแท่งเทียนกลืนกิน Bearish Engulfing ก็เป็นได้
● ณ โซน MPL ( RBD ) ในโซนนี้นั่นเองที่จิตวิทยานักเทรดส่วนใหญ่จะเห็นพ้องต้องกันว่ามีโอกาสเข้า Sell ได้ จึงนับเป็นโซนที่ใช้ตัดสินใจเข้าที่ MPL & QML (Decision Point = DP)
***************************
✅ วิธีการเข้าออเดอร์
● เมื่อตลาดเกิดโครงสร้าง QM Pattern แสดงถึงการอ่อนกำลังขาขึ้น Loss Momentum Up กำลังส่งจะเริ่มลดลง และมีโอกาสเกิด Momentum กลับทิศลง ดังนั้นเมื่อเจอโครงสร้างนี้ ให้สังเกตุหาเส้น SNR Key Level ก็คือ QML (Left Shoulder)
● ตีกรอบครอบโซนของ QML ด้วยก็ได้/หรือจะละไว้ในฐานที่เข้าใจก็ได้ เพราะเรามอง QML เป็นเส้นหลักแล้ว และจากนั้นจะต้องมองหา Base ที่เกิดตรงข้ามกับ QML ZONE นั่นก็คือ MPL เนื่องจากตรงนี้ หากว่าตลาดเกิดแรง Drop ลงมาจริงๆ ตามภาพตัวอย่าง จะเป็น MPL Supply Zone ที่น่าสนใจมาก เนื่องจากกลืนกินแรงซื้อ Clean up Significant Demand ได้และหากราคาทำ Lower Low ด้วยการทำลายโครงสร้าง BMS (Break Market Structure) ได้อีก จะยิ่งมีนัยะและบ่งบอกถึง Momentum Down ที่แข็งแกร่ง ในด้านกลับทิศลง ก็ให้ตีกรอบครอบ SND ZONE ของ MPL ได้เลย
● ตั้งออเดอร์ Sell Limit (Pending Order) ที่ระดับ MPL Supply Zone
● SL ตั้งเหนือ Swing Higher High(HH)
● TP แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ TP1 ตั้งที่ระดับ Swing Low ของไหล่ซ้าย หรือแนวรับไหล่ซ้ายของ QML และ TP2 ตั้งที่ระดับ Swing Lower Low ของโครงสร้างหลัก QM Pattern ซึ่งเป็นขา Swing Under (HL -> LL) ของรูปแบบ QM
*******************************
⚠️ MM บริหารเงินทุนต่อแผนยอมแพ้ไม่เกิน DD 2-5% และทุกแผนต้องทำ Position Sizing เสมอ
THE MARKET STRUCTURETHE MARKET STRUCTURE (ขั้นพื้นฐาน เบื้องต้น) 📊 Sell Setup 📊 เป็นกรณีศึกษา Case Study Only
● ที่ต้องบอกว่าเบื้องต้น ก็เพราะว่าโครงสร้างตลาดนี้เป็นไปในแบบฉบับที่ผมปรับจูนนิดหน่อย อาจจะไม่เปะ ไม่ได้สมบูรณ์แบบ 100%
.
แต่คิดว่า สำหรับคนที่ต้องการศึกษาไว้ น่าจะเป็นไกด์นำทิศทาง ในการมองภาพรวมของตลาดได้
.
และทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับการศึกษาพฤติกรรมพื้นฐาน ทั้งคลื่นและโครงสร้าง ให้แตกฉาน จนเกิดเป็น ปสก. และทักษะส่วนตัว ถึงขั้นชำนาญ แตกฉานแล้วเท่านั้น ถึงจะเข้าใจว่า โครงสร้างทั้งหมด ก็เป็นเพียงไกด์นำทางเท่านั้น เมื่อถึงจุดนั้นแล้ว นักเทรดจะเริ่มปรับประยุกต์ใช้ และยืดหยุ่นเทคนิค เป็นการปรับมุมมองตามอารมณ์ของตลาดในช่วงเวลานั้นๆ
.
เพื่อให้รู้จังหวะในช่วงเวลานั้นๆ ว่าจะหลีกเลี่ยง จะฟอลโล่ตาม หรือเข้าปะทะร่างกาย
.
จากแผนภาพ เป็นการวางแผน 2 ชั้น ในระดับ Supply Zone ทั้ง 2 โซนนะครับ การเทรดควรวางแผนมากกว่า 1 แผนเสมอและควรทำ Position Sizing คำนวณล็อตและ MM ทุกๆ แผนนะครับ
#อย่าได้จดจำหรือยึดติดกับคำย่อมากมายนัก
#เน้นศึกษาและนำส่วนจำเป็นมาใช้ก็พอ
#เป็นเพียงตัวอย่างแนวทางกรณีศึกษาเท่านั้น
กฏและแนวทางการนับคลื่น Zigzag(5-3-5)Zigzag(5-3-5)
ซิกแซกมี สาม รูปแบบได้แก่ Single Zigzag,Double Zigzag,Triple Zigzag
Single Zigzag คือการลดลงสามคลื่นที่มีลำดับคลื่นย่อยภายในเป็น 5-3-5 และคลื่น B ต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของคลื่น A อย่างชัดเจน ในบางกรณี Zigzag อาจเกิดขึ้น สองครั้งหรือมากสุดสามครั้งติดต่อกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีนัยสำคัญ Zigzag แต่ละอันจะถูกคั่นกลางด้วยรูปแบบสามคลื่น(Corrective wave) ทำให้เกิด Double หรือ Triple Zigzag โดยที่ Zigzag มักจะเกิดขึ้นในคลื่นสองของ Motive wave มากกว่าคลื่นสี่ และอยู่ในคลื่นย่อยของสามเหลี่ยม และคลื่น X ในชุดคลื่นผสม
Rules
ซิกแซกแบ่งออกเป็นสามคลื่นเสมอ
คลื่น A แบ่งย่อยออกเป็น impulse หรือ leading diagonal.
คลื่น C แบ่งย่อย impulse หรือ ending diagonal.
คลื่น B แบ่งย่อยออกเป็น zigzag, flat, triangle หรือ combination เสมอ
คลื่น B ไม่เคยเคลื่อนที่เกินจุดเริ่มต้นของคลื่น A
Guidelines
คลื่น A แบ่งย่อยออกเป็น impulse.กือบทุกครั้ง
Wave C แบ่งย่อยเป็น impulse เสมอ
คลื่น C มักจะมีความยาวเท่ากับคลื่น A
คลื่น C มักจะสิ้นสุดเกินกว่าจุดสิ้นสุดของคลื่น A
คลื่น B มักจะย้อนกลับ 38 ถึง 79 เปอร์เซ็นต์ของคลื่น A
ถ้าคลื่น B เป็น running triangle โดยทั่วไปจะย้อนกลับระหว่าง 10 ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ของคลื่น A
หากคลื่น B เป็นคลื่นซิกแซก โดยทั่วไปจะถอยกลับ 50 ถึง 79 เปอร์เซ็นต์ของคลื่น A
หากคลื่น B เป็นรูปสามเหลี่ยม โดยทั่วไปจะย้อนกลับ 38 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ของคลื่น A
เส้นที่เชื่อมปลายคลื่น A และ C มักจะขนานกับเส้นที่เชื่อมปลายคลื่น B กับจุดเริ่มต้นของคลื่น A (แนวทางคาดการณ์ คลื่น C มักจะสิ้นสุดเมื่อถึงเส้นที่ลากจากปลายคลื่น A นั่นคือ ขนานกับเส้นที่เชื่อมจุดเริ่มต้นของคลื่น A และจุดสิ้นสุดของคลื่น B)