ไอเดียชุมชน
เทคนิคเทรดการทองคำให้แม่นยำถึง 95% EP2เทคนิคเทรดการทองคำให้แม่นยำถึง 95% นั้นเริ่มต้นจากการใช้รูปแบบ QM ทั่วไปโดยที่ผมจะเพิ่มจุดเข้าที่ได้เปรียบยิ่งขึ้นเพื่อให้เกิดความแม่นยำในการเทรดและได้ราคาที่ดีที่สุดจากการใช้ FIBO ระดับ 78.6 ถึง 88.6 เข้ามาช่วยในการหาจุดเข้านั่นเอง จากตัวอย่างข้างต้นจะเป็นการพูดถึงการใช้รูปแบบ QM BUY + FIBO 78.6-88.6 ใน TF 15 นาที ซึ่งจะเห็นว่าที่จุดเข้า BUY นั้นราคาได้มีการชนแล้วค่อยๆกลับตัวขึ้นไป เนื่องจากเทรด set up นี้เป็นการเทรดแบบสวนเทรนจึงทำให้ราคาไปถึงเพียงแค่ TP1 เท่านั้น
การใช้เทคนิคนี้มีเงื่อนไขที่ต้องระวังอยู่ 2 ข้อด้วยกัน คือ
1. ต้องตั้งจุด SL เหนือหัวของ QM ประมาณ 100-200 เสมอ
2. ให้ใช้รูปแบบ QM + FIBO 78.6 - 88.6 ใน TF 15 นาที ขึ้นไปจะมีความแม่นยำสูงขึ้น
เพียงเท่านี้เราก็สามารถเทรดทองคำได้อย่างแม่นยำสูงถึง 95% แล้วครับ
+++ หากใครที่สนใจที่จะเข้ากลุ่มเรียนรู้การใช้เทคนิคเทรดทองคำด้วย QM และรับซิกทองคำด้วยรูปแบบ QM สามารถส่งข้อความมาสอบถามได้นะครับ +++
📢📢วางแผนเทรดทองด้วย Advance QM Demand Supply 7 กรกฎาคม 2565แผนต่างๆ อธิบายอย่างละเอียดใน Live ตอนเช้าครับ
------------------------------------------------------------------------------
ข้อควรระวัง ในการเทรด Pattern SNCR1ต้องสัญญาณมี RSI Divergence Confirm ก่อนเข้าเทรด
MM ด้วยนะครับเป็นห่วง 😊😊
ช่วย Like Comment และกดติดตาม เพื่อเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ
รายการตัวย่อ
RBR = Rally Base Rally
DBD = Drop Base Drop
SBR = Support Become Resistance
RBS = Resistance Become Support
R= Resistance
S= Support
TF= Time Frame
QM = Quasimodo Pattern
QMR = Quasimodo Reversal
QML = Quasimodo Level
QMC = Quasimodo Continuous
QMM = Quasimodo Manipulation
MPL = Maximum Pain Level
เทคนิคเทรดการทองคำให้แม่นยำถึง 95% EP1เทคนิคเทรดการทองคำให้แม่นยำถึง 95% นั้นเริ่มต้นจากการใช้รูปแบบ QM ทั่วไปโดยที่ผมจะเพิ่มจุดเข้าที่ได้เปรียบยิ่งขึ้นเพื่อให้เกิดความแม่นยำในการเทรดและได้ราคาที่ดีที่สุดจากการใช้ FIBO ระดับ 78.6 ถึง 88.6 เข้ามาช่วยในการหาจุดเข้านั่นเอง จากตัวอย่างข้างต้นจะเป็นการพูดถึงการใช้รูปแบบ QM SELL + FIBO 78.6-88.6 ใน TF 15 นาที ซึ่งจะเห็นว่าที่จุดเข้า SELL นั้นราคาได้มีการชนแล้วกลับตัวลงไปอย่างรุนแรง
การใช้เทคนิคนี้มีเงื่อนไขที่ต้องระวังอยู่ 2 ข้อด้วยกัน คือ
1. ต้องตั้งจุด SL เหนือหัวของ QM ประมาณ 100-200 เสมอ
2. ให้ใช้รูปแบบ QM + FIBO 78.6 - 88.6 ใน TF 15 นาที ขึ้นไปจะมีความแม่นยำสูงขึ้น
เพียงเท่านี้เราก็สามารถเทรดทองคำได้อย่างแม่นยำสูงถึง 95% แล้วครับ
หลงรัก Asset ที่กำลังเทรดหนึ่งในกฎสำคัญในการเทรดของ OhManLan คือ ไม่หลงรัก Asset ที่เทรด
...มันทำให้เรามีสติพร้อมที่จะเตรียมตัวรับมือสำหรับการสูญเสียหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้น
การไม่หลงรัก Asset ที่เทรด ทำให้เราตัดความเชื่อออกจากการเทรดได้ ทำให้ตัวเราเห็นความจริง
-------- -------- --------
ความรักทำให้คนตาบอด ...หาก Trader หลงรัก Asset ที่เทรดมากเกินไป ก็อาจจะทำให้ตาบอดได้เช่นกัน
การที่เชื่อว่า Asset ที่เราเทรดจะทำเงินให้เราได้ ทั้ง ๆ ที่สถานการณ์ของ Asset ไม่ดีเลย
...จุดจบคือกว่าจะรู้ตัว กว่าจะเห็นความจริง ก็อาจสายไปแล้ว ...กี่ครั้งแล้ว ที่เจ็บไม่เคยจำ
เงินที่ลงทุนไปแล้วใช่ว่าจะเปลี่ยนไปมา เสียแล้วเริ่มต้นใหม่ได้ง่าย ๆ
เป้าหมายในเทรด ...ต้องรู้จักแยกแยะเทรดแบบมีเป้าหมาย กับเทรดแบบเพ้อฝัน มันต่างกัน
มีเป้าหมายแล้ว ...จะสำเร็จได้ ก็ต้องรู้จักแยกแยะให้เป็น
1.เป้าหมายที่เป็นไปได้ และสามารถทำได้
2.เป้าหมายที่เป็นไปได้ แต่ยังไม่สามารถทำได้
ต้องรู้จักความพอดี
- ถ้าโฟกัสข้อ 1 มากเกินไป ก็จะไม่พัฒนา
- ถ้าโฟกัสข้อ 2 มากเกินไป ก็จะเป็นการมโนเพ้อฝัน
***เป้าหมายที่มีเวลาเข้ามาบีบด้วย อาจจะส่งผลให้การตัดสินใจนั้นไม่เป็นกลาง
เรียนเทรดแบบท่องจำ ...แล้วนำไปเทรดการศึกษาเกี่ยวกับการเทรด สำหรับ OhManLan นั้น
คือเพื่อพัฒนาทักษะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการวิเคราะห์ …ไม่ใช่ท่องจำแล้วนำไปเทรด
ฟุตบอลไม่ได้เล่นแผนเดียวหรือกลยุทธ์เดียวตลอดทั้งเกม
แต่ละแผน แต่ละกลยุทธ์ จะใช้ได้ดีในบางสถานการณ์
…ไม่มีกลยุทธ์ไหน แผนไหน ที่จะใช้ได้ดีในทุกสถานการณ์
ต้องรู้จักการพลิกแพลง และเล่นไปตามสถานการณ์ ...การเทรดก็เช่นกัน
-------- -------- --------
ตัวฉุดรั้งศักยภาพของนักเทรด
คือพยายาม Copy คนอื่น แล้วเอาวิธีการของคนอื่นมาเป็นตัวกำหนดเพื่อวัดมาตรฐานของตนเอง
แทนที่จะเป็นผลลัพธ์ แต่กลับไปให้น้ำหนักที่วิธีการ ต้องลาก Fibo แบบนี้ถึงจะถูก ...ถ้าตีเส้นแบบนี้ผิดนะ
ในการเทรด ...ใครกัน! เป็นคนกำหนดว่าสิ่งนั้นถูกหรือสิ่งนี้ผิด?
สำหรับ OhManLan การนำข้อมูลต่าง ๆ มาใช้วิเคราะห์เพื่อออกแบบกลยุทธ์ …มันไม่มีถูก …ไม่มีผิด
คนที่บอกว่าทำแบบนั้นผิด วิเคราะห์แบบนี้ถึงจะถูก มันก็แค่เป็นสิ่งที่เขาไม่เห็นด้วยเท่านั้นเอง
OhManLan เชื่อว่าจุดประสงค์ของการเทรดเกือบร้อยละ 99.99 คือ เทรดเพื่อเอาเงิน …ไม่ได้เทรดเพื่อถูก หรือผิด
…ประเด็นคือทำยังไงก็ได้ วิเคราะห์ยังไงก็ได้ ใช้เครื่องมืออะไรก็ได้ …ท้ายที่สุด ดูกันที่ว่าทำเงินได้หรือไม่
ทำเงินไม่ได้ มันก็ห่วย มันก็ผิด ...ถ้าทำเงินได้ มันก็ถูก มันก็ดี
กับดักความสับสนของนักเทรด คือ ลืมจุดประสงค์หลักของการเข้ามาเทรด
กลยุทธ์การเทรดที่ดีที่สุด คือ กลยุทธ์ที่เหมาะกับเรา และทำเงินได้ …หามันให้เจอ
แต่ละคนมีสภาพแวดล้อมชีวิตไม่เหมือนกัน บางกลยุทธ์มันอาจจะเหมาะกับคนอื่น แต่ไม่ได้เหมาะกับเรา
จิตวิทยาด้านประสิทธิภาพการซื้อขาย: ตอนที่ 1 ยิ่งมีความยากลำบากมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีเกียรติในการเอาชนะมันมากขึ้นเท่านั้น นักบินที่เก่งกาจได้รับชื่อเสียงจากพายุและความปั่นป่วน
- เอพิคเตตัส.
เฮ้ทุกคน! 👋
สัปดาห์นี้ เราคิดว่าหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจที่จะเจาะลึกในหัวข้อที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึง: จิตวิทยาด้านประสิทธิภาพ - และอภิปรายว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการซื้อขายอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราจะพิจารณาคำถามต่อไปนี้: อะไรเป็นตัวขับเคลื่อนประสิทธิภาพที่เหนือกว่าจากเทรดเดอร์รายหนึ่งไปยังเทรดเดอร์รายถัดไป
โดยจุดยืนของกระบวนการแล้ว มีหลายสิ่งหลายอย่างจากประสิทธิภาพด้านอื่น ๆ (เช่น กีฬา) ที่เทรดเดอร์ผู้ทะเยอทะยานสามารถนำไปใช้ เพื่อให้เข้าใจขั้นตอนที่จำเป็นมากขึ้นเพื่อไปยังที่ที่พวกเขาต้องการ มาลุยกันเลย!
เวลาเป็นองค์ประกอบทั่วไปของความเชี่ยวชาญ ⏰
การเรียนรู้ถูกสร้างขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เริ่มจากการสำรวจก่อน, จากนั้นจึงสร้างองค์ความรู้, แล้วจึงฝึกปฏิบัติเพื่อให้มีโครงสร้างที่ดี
ในการทุ่มเทเวลาและความพยายามอย่างมากเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญ ผู้นั้นมักจะมีความผูกพันทางอารมณ์กับกับสิ่งที่ทำ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว
เทรดเดอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงเกือบทั้งหมดเป็นเพราะความรักในการซื้อขายโดยธรรมชาติของพวกเขา นี่หมายถึงความรักในการวิเคราะห์ชาร์ต, ความรักในการทำงานเชิงกลยุทธ์, ความรักในการดูตลาด และความรักที่จะพยายามรวบรวมส่วนต่างๆ เข้าด้วยกัน ในมุมมองนี้ การซื้อขายไม่ใช่งาน แต่เป็น งานคราฟ หากคุณรักในสถานะภาพ, ไลฟ์สไตล์ หรือรายได้ ก็มีแนวโน้มว่าคุณจะไม่ถึงจุดสูงสุดของอาชีพนี้ เทรดเดอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงๆ ใช้เวลาหลายชั่วโมงในการซื้อขาย ไม่ใช่เพราะความต้องการของพวกเขา แต่เป็นเพราะพวกเขารักที่จะทำ
หาแหล่งเฉพาะด้าน ❤️
คนที่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้ยิ่งใหญ่ด้วยการทำงานหนัก แต่พวกเขาทำงานหนักเพราะพวกเขาพบด้านเฉพาะที่ยอดเยี่ยม: พื้นที่ที่ให้พวกเขาได้ใช้พรสวรรค์, ความสนใจ และจินตนาการของพวกเขา ผู้ขว้างลูกที่เก่งที่สุดในโลกอาจสร้างผู้ตีลูกที่แย่ที่สุดก็ได้
หากคุณอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเดินทาง (หรือหลงทาง) สิ่งที่ควรพิจารณาคือการพยายามหาด้านเฉพาะที่คุณตรงใจคุณ เนื่องจากโรงพยาบาลและธนาคารมีการหมุนเวียนเพื่อให้ผู้มาใหม่ได้รับประสบการณ์ประเภทต่างๆ ความสำคัญอย่างยิ่งยวดจึงอยู่ที่การวางด้านเฉพาะนั้นๆ ในกลุ่มวิชาชีพและสถาบันในด้านการเงิน
เหตุใดเทรดเดอร์แต่ละรายจึงไม่ทำเช่นนี้? วิธีที่ดีในการตั้งศูนย์ทางความคิดของคุณคือการสร้างโปรแกรมหมุนเวียนสำหรับตัวคุณเอง นี่คือรายการประเภทสินทรัพย์และรูปแบบการซื้อขายที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ลอง google หาข้อมูลหรือค้นหาแนวคิดที่นี่ใน TradingView ก็ได้ และพิจารณาสิ่งที่คุณเห็นด้วยมากที่สุด เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความเชี่ยวชาญในระยะยาวด้วยการค้นหาสิ่งที่คุณชอบทำในแต่ละวันจริงๆ
ประเภทสินทรัพย์สภาพคล่อง:
-หุ้น
-สกุลเงิน
-สกุุลเงินดิจิทัล
-ฟิวเจอร์ส
-รายได้คงที่
-ความผันผวน
รูปแบบ (ไทม์เฟรม):
-ระหว่างวัน - เวลาในการถือคือวินาทีถึงชั่วโมง
-สวิง - เวลาในการถือคือวันถึงสัปดาห์
-โพสิชั่น- เวลาในการถือคือสัปดาห์ถึงเดือน
สไตล์การถือครองแบบไหนที่เหมาะกับอารมณ์ของคุณ? คุณชอบเรียนรู้หัวข้ออะไร?
กระบวนการเรียนรู้ ✅
ในการซื้อขายและในชีวิตจริง เรามักจะได้ยินเสมอว่า "การฝึกฝนทำให้เกิดความสมบูรณ์แบบ" คำพูดที่ดีกว่าอาจเป็น "การฝึกฝนที่สมบูรณ์แบบทำให้เกิดความสมบูรณ์แบบ" โครงสร้างเวลาฝึกซ้อมแบบไหนที่สร้างความแตกต่างระหว่างผู้ที่มีประสบการณ์ห้าปีกับผู้ที่มีประสบการณ์หนึ่งปีที่ซ้ำกันห้าครั้ง ดังนั้น; คุณควรจัดโครงสร้างการปฏิบัติของคุณอย่างไร?
ในทางจิตวิทยาด้านประสิทธิภาพ มีแนวคิดที่เรียกว่า "การเรียนรู้แบบวนลูป" ซึ่งมีอยู่ด้วยกันสามส่วน
การปฏิบัติ -> คำติชม -> การเรียนรู้ (ซ้ำ)
นี่เป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากคำติชมเป็นกุญแจสำคัญในการปรับปรุง การซื้อขายเป็นกีฬาที่เล่นเดี่ยว ซึ่งหมายความว่ากระบวนการรวมความคิดเห็นนั้นเป็นสิ่งสำคัญ
กำไร/ขาดทุนคือผลตอบรับ แต่กลไกการตอบรับของคุณเพียงอย่างเดียวอาจเป็นปัญหาได้ แม้แต่เทรดเดอร์ที่เก่งที่สุดที่ดำเนินการซื้อขายได้ดีที่สุด ก็สามารถอยู่อีกด้านหนึ่งของความแตกต่างได้ในแต่ละวันได้ กระบวนการเป็นสิ่งสำคัญที่สุด รับข้อเสนอแนะเกี่ยวกับประสิทธิภาพที่ไม่ได้ขึ้นกับกำไร/ขาดทุน เพื่อให้คุณสามารถติดตามข้อมูลประกอบการตัดสินใจของคุณได้ เทรดเดอร์บางคนจดบันทึกอย่างละเอียด, บางคนบันทึกหน้าจอ, บางคนบันทึกข้อมูลในแต่ละวันที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกำไร/ขาดทุน (ระยะเวลาการนอนหลับ, การดื่มน้ำ, อารมณ์ ฯลฯ)
(เรามีฟีเจอร์การบันทึกโน็ตที่อยู่บนชาร์ตที่คุณสามารถใช้เพื่อจุดประสงค์นี้ได้)
หากคุณต้องการที่จะรวบรวมสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเข้าด้วยกันเพื่อสร้างพิมพ์เขียวระยะยาวสำหรับต้นแบบความเชี่ยวชาญ ควรมีลักษณะดังนี้:
1.) ค้นหาสิ่งที่คุณรักเกี่ยวกับการซื้อขายอย่างแท้จริง
2.) สำรวจให้ลึกยิ่งขึ้น
3.) อยู่ร่วมกับมันตลอดเวลาและปล่อยให้ความเพลิดเพลินที่แท้จริงของคุณกระตุ้นให้คุณผ่านช่วงขาขึ้นและขาลง
4.) จัดโครงสร้างการปฏิบัติของคุณในช่วงเวลานั้นๆ ในลักษณะที่คุณสามารถสร้างข้อเสนอแนะสำหรับตัวคุณเองได้
5.) รวมข้อเสนอแนะนั้นเพื่อปรับปรุงกระบวนการของคุณอย่างต่อเนื่อง ให้ลูปการเรียนรู้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว
หวังว่าคุณจะเพลิดเพลินกับการอ่าน, และอยู่อย่างปลอดภัย
- ทีม TradingView
เทรด "เจ๊ง" เพราะรีบเป็น "เทพ"…ลองดูก่อน เก็บเกี่ยวประสบการณ์ก่อน จะได้รู้ว่าขาดตกบกพร่องตรงไหน ต้องแก้ไขจุดไหนบ้าง ถ้าอยู่รอดได้จริง ค่อยเป็นเทพ
2 เทพ ที่อย่าพึ่งรีบเป็น
1.)เทพอุปกรณ์ …อุปกรณ์ไม่ต้องเทพ โต๊ะเก้าอี้ไม่ต้องดีเด่น สเปคคอมไม่ต้องเวอร์วังอลังการ …ขอแค่ปลอดภัยก็พอ
2.)เทพเงินทุน … ตัวอย่าง ถ้ามีเงิน 1 ล้านบาท ก็แบ่งเงินมาเทรดสัก 1 - 3 หมื่นบาท …แล้วค่อย ๆ ประเมินผลลัพธ์ไปแต่ละรอบการเทรด // ถ้าผลลัพธ์ออกมาดี ก็ค่อย ๆ เพิ่มเงินทุนเข้าไป ประสบการณ์มากขึ้น เข้าใจตลาดมากขึ้น การแก้ไขปัญหาและการวางแผนก็จะดีขึ้น // แต่ถ้ารู้สึกว่าไม่รอดแล้ว ถอยดีกว่า ไม่เอาแล้ว ใส่เงินเข้าไปรอบละ 1 หมื่นบาท ขาดทุนยับ 10 รอบ ตลอด 1 ปี ก็ยังมีเงินเหลืออีกเยอะเลยที่จะออกไปเริ่มต้นใหม่
...ลึก ๆ แล้วก็คือประมาทนั้นแหละ ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ ยังเก็บเกี่ยวไม่มากพอ
แต่เงินทุนหมดแล้ว ไปต่อไม่ได้ …ก็เลยมองตลาดในแง่ร้าย และถ้าถึงขั้นชีวิตพัง ก็อาจจะฆ่าตัวตาย
มีความรู้ มีทักษะ มีประสบการณ์ อยู่ไหนก็เทรดได้ มีเงินเท่าไหร่ก็ทำกำไรได้
// ถ้าไร้ซึ่งสิ่งเหล่านี้แล้ว ต่อให้มีเงินมากแค่ไหน ก็ทำกำไรไม่ได้
RSI Divergence หลอกให้เจ๊งโดยทั่วไปเรามักจะได้ยินว่าเมื่อเกิด RSI Divergence นั้นคือสัญญาณที่เตือนว่าแนวโน้มมีโอกาสจะกลับตัว ...แต่นักเทรดส่วนใหญ่มักจะเชื่อมั่นว่าแนวโน้มจะกลับตัวเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากมี RSI Divergence (นี่คือจุดแรกที่นักเทรดเริ่มทำพลาด คือ การเทรดด้วยความเชื่อ)
เรามักจะได้ยินเพื่อนนักเทรดส่วนใหญ่พูดคำว่า "ไม่ต้องกลัวนะ เพราะมี Divergence แล้วเดี๋ยวก็กลับตัว"
---------------------------------------
RSI Divergence สำหรับมุมมองของ OhMan Lan
Bearish Divergence หมายถึง ราคามีโอกาสปรับตัวลงชั่วคราว หรือ "ย่อลง" เท่านั้น
Bullish Divergence หมายถึง ราคามีโอกาสปรับตัวขึ้นชั่วคราว หรือ "เด้งขึ้น" เท่านั้น
การกลับตัวของแนวโน้มไม่ได้ขึ้นอยู่กับ RSI Divergence // แต่คือการพิจารณาหลังจากที่เกิด RSI Divergence และราคาได้ปรับตัวขึ้นหรือย่อลงแล้ว
พยายามไม่ดู RSI Divergence ซี้ซั้ว
1.ไม่สนใจ ถ้าหากส่วนใดส่วนหนึ่งของ RSI Divergence ไม่อยู่ในโซน overbought/oversold
2.ให้ความสำคัญน้อยลงเมื่อ RSI Divergence มี overbought/oversold กั้น
3.RSI Divergence จะยังไม่ใช่ RSI Divergence ถ้ายังไม่มีการยืนยันสัญญาณหรือการปิดแท่งเทียน (นี่คืออีกหนึ่งจุดสำคัญที่นักเทรดทำพลาด) หากไม่รอยืนยันสัญญาณก่อน แล้วราคาวิ่งต่อเนื่องอย่างรุนแรงอาจจะทำให้ RSI Divergence นั้นหายไป
หากให้ความสำคัญทุกจุด ก็จะสามารถเห็น RSI Divergence ได้แบบเรื่อยเปื่อย
วิธีที่จะล้มเหลวในฐานะเทรดเดอร์เฮ้ทุกคน! 👋
ในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้พิจารณาวิธีที่ดีที่สุดสองสามวิธีในการปรับปรุงการซื้อขายของคุณ รวมถึง เรียนรู้การปรับตัวตามสภาวะตลาด , สร้างกรอบความคิดในการซื้อขายที่เหมาะสม และอื่นๆ วันนี้เราคิดว่าน่าจะสนุกที่จะทำตรงกันข้าม แทนที่จะพยายามช่วยชุมชนสร้างแนวทางการซื้อขายแบบมืออาชีพที่มั่นคง - มาลองออกแบบการซื้อขายที่ขาดทุนตั้งแต่เริ่มต้นกันเถอะ! คุณลักษณะ/การตัดสินใจใดที่เราจะต้องสนับสนุนเพื่อให้ได้ผลที่แพ้?
ในทางทฤษฎี ตลาดเป็นเพียงเกมของความน่าจะเป็น แล้วเราจะรับประกันได้อย่างไรว่าเทรดเดอร์ของเราจะแพ้? ผลปรากฏว่า มีพฤติกรรมง่ายๆ สองสามอย่างที่เรานำมารวมกันได้ เพื่อให้แน่ใจว่าผลลัพธ์ที่เสียไปนั้นเป็นข้อสรุปมาก่อน
วิธีที่ 1: พวกเขาไม่เคยกำหนดความเสี่ยง 🤷🏼♂️
ในการซื้อขาย ผู้คนมักจะพูดถึง "การจัดการความเสี่ยง", "การกำหนดความเสี่ยงของคุณ" หรือ "การกำหนดปัญหาของคุณ" แต่บางครั้งอาจเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินว่าคนทั่วไปพูดถึงอะไรในฐานะเทรดเดอร์รายใหม่ กำหนดความเสี่ยงของฉัน? มันเป็นยังไง? คุณกำลังพูดถึงอะไร? ทั้งหมดนี้มันความว่าอย่างไร?
พูดง่ายๆ ก็คือ การกำหนดความเสี่ยงของคุณคือกระบวนการในการหาว่า *ที่ไหน* ที่คุณทำผิดพลาดในการซื้อขาย/การลงทุน
สำหรับเทรดเดอร์ที่มีความเคลื่อนไหวอยู่บ้าง อาจทำได้ง่ายๆ แค่เลือกจุดต่ำสุดหรือสูงสุด และพูดว่า "หากมันมาถึงราคานี้ ฉันก็จะออกจากการซื้อขาย, การอ่านผลระยะสั้นของสินทรัพย์นี้ของฉัน ใช้ไม่ได้อีกต่อไป, ฉันทำไม่ได้, ฉันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป” สำหรับคนที่เป็นเทรดเดอร์โพสิชั่นมากกว่า อาจพูดง่ายๆ ว่า "ฉันไม่ต้องการที่จะสูญเสียมากกว่า 10% (หรือบางส่วน) ของเงินทุนของฉัน ณ จุดที่ฉันอยู่ในโพสิชั่นนี้, ฉันคิดว่า ฉันเลือกจุดเข้าของฉันได้ดีพอ ซึ่งหากมันล่วงลงไป 10% (หรือ x%) หมายความว่า คงมีอะไรผิดพลาดไป"
จากมุมมองของการจัดการเงินสด / การจัดการพอร์ตโฟลิโอ การกำหนดความเสี่ยงของคุณมีมิติอื่น: คุณต้องการสูญเสียเงินทุนทั้งหมดเท่าไรในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด? การซื้อขายแต่ละครั้งควรเสี่ยง 50% ของเงินทุนของคุณหรือไม่? 20%? 5%? 1%? คุณจะต้องเสียเงินทั้งหมดเท่าไหร่ก่อนที่คุณจะหยุด?
เพื่อให้แน่ใจว่าเรามีเทรดเดอร์ที่ขาดทุน สิ่งสำคัญคือพวกเขาไม่มีแผนสำหรับขนาดโพสิชั่น การตั้งสต็อปลอส หรือการตั้งค่าการหยุดการขาดทุนของบัญชี ด้วยวิธีนี้พวกเขาจะไม่มีความสม่ำเสมอและจะต้องสูญเสียครั้งใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ซึ่งจะทำให้แพ้เกมไปตลอดกาล
วิธีที่ 2: พวกเขาใช้เลเวอเรจมากจนเกินไป 🍋
เมื่อรวมกับอันดับ 1 การใช้เลเวอเรจจำนวนมากเป็นวิธีที่ดีในการเร่งกระบวนการสูญเสียเงิน เนื่องจากกลยุทธ์ที่ชนะ 50% ของเวลาจะต้องเผชิญกับการสูญเสียทางการซื้อขาย 7 ครั้งในการซื้อขาย 100 ครั้งถัดไป การเพิ่มขนาดและการใช้เลเวอเรจเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการรับรองว่าเมื่อแพทช์คร่าวๆ เกิดขึ้น คุณจะสูญเสียเงินทุนทั้งหมดของคุณ การปล่อยให้การซื้อขายผ่านไปกว่าที่คุณคาดว่าจะสูญเสียเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเร่งกระบวนการนี้ เพราะด้วยการเพิ่มเลเวอเรจ สิ่งต่าง ๆ จะต้องสวนทางกับคุณเพียง 50%, 20%, 10% และอื่น ๆ ก่อนที่คุณจะหมด คุณไม่สามารถเสี่ยงที่จะเป็นศูนย์
เมื่อพิจารณาว่ากองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ก้าวร้าวที่สุดในโลกมักไม่ใช้เลเวอเรจเกิน 5-8x แม้แต่ในการเทรด FX เราจะต้องให้เทรดเดอร์ที่ขาดทุนของเราใช้เลเวอเรจอย่างน้อย 10-20x เพื่อเร่งการตายของพวกเขา
วิธีที่ 3: พวกเขามักกระโดดจากกลยุทธ์หนึ่งไปอีกกลยุทธ์หนึ่ง 🐰
บรูซ ลี เคยกล่าวไว้ว่า “ฉันไม่กลัวคนที่ฝึกเตะ 10,000 ท่า ต่อครั้ง แต่ฉันกลัวคนที่ฝึกเตะท่าเดียว 10,000 ครั้ง”
ในตัวอย่างนี้ ผู้ที่ฝึกเตะท่าเดียวมาหลายครั้ง แม้ว่าจะไม่ได้ผลก็ตาม เทรดเดอร์ที่วางแผนกลยุทธ์คือผู้ที่พยายามแทบทุกอย่างแล้ว แต่ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเลย เพื่อให้แน่ใจว่าเทรดเดอร์ของเราเป็นเทรดเดอร์ที่ขาดทุน เราต้องแน่ใจว่าพวกเขาไม่เคยพัฒนาความเชี่ยวชาญใดๆ และเปลี่ยนจากกลยุทธ์เป็นกลยุทธ์ เราจำเป็นต้องห้อยกลยุทธ์, อินดิเคเตอร์ หรือรูปแบบการซื้อขายใหม่อย่างต่อเนื่องต่อหน้าผู้ซื้อขายของเรา ดังนั้น ไม่ว่าเทรดเดอร์จะเลือกกลยุทธ์ใด พวกเขาจะไม่มีเวลาที่จำเป็นในการมีสิ่งใดนอกจากการดำเนินการซื้อขายที่ไม่เหมาะสม ความรู้สึกตลาดโดยรวมที่ไม่ดี และการขาดความแตกต่างและความเข้าใจโดยทั่วไป
เมื่อรวมกับอันดับ 1 และอันดับ 2 แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เทรดเดอร์รายนี้จะทำกำไรได้
คุณรู้ทั้งหมดแล้ว; 3 วิธีเพื่อให้แน่ใจว่าเทรดเดอร์จะล้มเหลว พอจะคุ้นๆ บ้างไหม?
ความหวังของเราในการเขียนเรื่องนี้ไม่ใช่การกีดกันไม่ให้ใครก็ตามเข้ามามีส่วนร่วมในตลาด แต่เป็นการชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมที่ไม่ดีบางอย่างที่เราจะได้รับเมื่อเริ่มต้นอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงความผิดพลาดของมือใหม่และแนวปฏิบัติที่ไม่ดีที่สามารถขัดขวางอาชีพการเป็นเทรดเดอร์และสร้างนิสัยที่ไม่ดี ขอบคุณที่ติดตามแจ้งให้เราทราบหากคุณชอบ และเราจะพยายามสร้างโพสต์เหล่านี้เพิ่มเติมที่ผ่าน "แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด" ในการซื้อขาย
ขอให้เป็นสัปดาห์ที่ดี!
-ทีม TradingView ❤️
4 ข้อควรจำเกี่ยวกับตลาดหมีเฮ้ทุกคน! 👋
เฮ้อ นี่มันสัปดาห์อะไรกันเนี่ย สินทรัพย์ทั่วกระดานถูกรมควัน และ Nasdaq สิ้นสุดสัปดาห์อย่างเป็นทางการด้วยตลาดหมี สำหรับเทรดเดอร์คริปโต, Bitcoin, Ethereum และสินทรัพย์ คริปโตอื่น ๆ บางส่วนได้ลดมูลค่าลงครึ่งหนึ่งหรือมากกว่านั้น แม้ว่า S&P 500 จะลดลงเพียง 13-14% จากระดับสูงสุด แต่มีเพียง 25% ของหุ้นที่จดทะเบียนทั้งหมดอยู่เหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน พูดได้อย่างปลอดภัยว่าหลังจากการวิ่งขึ้นครั้งใหญ่ในเกือบทุกอย่างที่เราได้เห็นในช่วงสองปีที่ผ่านมา ตอนนี้เราอยู่ในตลาดหมีอย่างเป็นทางการแล้ว
เนื่องจากนี่อาจเป็นตลาดหมีครั้งแรกของใครหลายๆ คนในชุมชนของเรา เราจึงคิดว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์ที่จะแนะนำสิ่งสำคัญเล็กๆ น้อยๆ ที่ควรจำเกี่ยวกับตลาดหมี เพื่อช่วยให้ผู้คนสำรวจระบบตลาดใหม่นี้
มาลุยกันเลย!
1.) ความผันผวนทำให้โพสิชั่นของคุณดูใหญ่ขึ้นในแง่ของ P/L 💥
ตลาดหมีมักทำให้เกิดความผันผวนของราคาสินทรัพย์มากกว่าตลาดกระทิง ในช่วง 20 วันที่ผ่านมา เราได้เห็นการเคลื่อนไหวเฉลี่ยรายวันในดัชนีประมาณ 3% ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ย 20 วันในปี 2564 ที่ประมาณ 0.9% อย่างมาก ด้วยจำนวนเงินทุนที่เท่ากัน การเบิกสินค้าในช่วงเฉลี่ยนี้หมายความว่าในแง่ $$ การเคลื่อนไหวของ P/L ของคุณน่าจะมากกว่า "ปกติ" มาก ในเดือนมีนาคม 2020 ช่วงรายวันเฉลี่ยใน S&P 500 นั้นมากกว่า 5%!
นี่เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ เพราะ P/L สามารถมีผลกระทบอย่างมากต่อจิตวิทยาของเทรดเดอร์ ผู้จัดการเงินมืออาชีพและกองทุนป้องกันความเสี่ยงจำนวนมากควบคุมปัจจัยนี้ โดยลดความเสี่ยงจากการผันผวนของพอร์ตรายวันให้ใกล้เคียงกับเป้าหมาย กองทุนบางส่วนได้รับคำสั่งให้ทำสิ่งนี้ แม้ว่าคุณจะมีอิสระที่จะทำสิ่งที่คุณต้องการในการปฏิบัติตามแผนการซื้อขายของคุณ แต่นี่เป็นความคาดหวังหลักที่จะถือไว้! คาดว่าจะมีการเคลื่อนไหวที่ใหญ่กว่าปกติ
2.) ตลาดหมีเฉลี่ยอยู่ได้ประมาณ 2 ปี 📉
ตัวเลข 2 ปีส่วนใหญ่หมายถึงระยะเวลาเฉลี่ยของตลาดหมี *หุ้น* จนถึงตอนนี้ในส่วนของคริปโต ตลาดหมีโดยเฉลี่ยใช้เวลาประมาณ 9 เดือน สำหรับการเปรียบเทียบ ในหุ้น ตลาดกระทิงเฉลี่ยอยู่ได้นานกว่า 6 ปี ดังนั้น แม้ว่าตลาดหมีมักจะเร็วกว่าช่วงที่หุ้นเติบโต แต่ก็มีแนวโน้มที่จะน่าจดจำมากกว่า
เมื่อเร็วๆ นี้ ตลาดหมีเริ่มสั้นลงเรื่อยๆ โดยตลาดหมีล่าสุดในปี 2020 ดำเนินไปเพียงไม่กี่เดือน คุณลักษณะบางอย่างเป็นผลจากการที่เฟดก้าวเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่คนอื่นๆ มักอ้างว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารที่ดีกว่าที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันในศตวรรษที่ 21 นั้นช่วยให้ข้อมูลสามารถกำหนดราคาได้เร็วกว่ามาก แม้ว่าแนวโน้มจะมุ่งไปสู่ตลาดหมีที่สั้นลงและสั้นลงอย่างแน่นอน แต่บ่อยครั้งก็ยังสามารถยืนยาวได้นานกว่าที่คาดไว้ ปรับความคาดหวังตามนั้น!
3.) เงินสดคือโพสิชั่น💵
แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อ USD ในปัจจุบันจะสูง โดยอยู่ที่ประมาณ 7-10% (ขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังดูตัวเลขใดอยู่) กำลังซื้อของ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนักในแต่ละวัน กำลังซื้อของ SPY หนึ่งหุ้นเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมากขึ้นทุกวัน และเมื่อเร็วๆ นี้ อำนาจซื้อก็สูญเสียเร็วขึ้นมาก สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องจำสำหรับตลาดหมีคือการมีชีวิตอยู่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ตราบใดที่คุณไม่ระเบิด คุณก็สามารถมีชีวิตเพื่อสู้ต่อไปได้อีกวัน การหนีสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพต่ำแล้วทำให้เป็นเป็นเงินสดเป็นทางเลือกหนึ่ง
สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ หากคุณดูประเภทสินทรัพย์หลัก ๆ ผู้คนดูเหมือนจะหนีไปหาเงินสด พันธบัตร, หุ้น, ทองคำ, คริปโต - ขายเป็นเงินสดทั้งหมด ในสภาพแวดล้อมที่ "ปิดความเสี่ยง" โดยทั่วไปแล้ว ผู้เล่นที่ระมัดระวังจะหมุนเวียนจากสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น เป็นสิ่งที่ "ปลอดภัยกว่า" เช่น พันธบัตรรัฐบาล ที่กล่าวว่าด้วยการปีนเขาและอัตราเงินเฟ้อที่สูงดูเหมือนว่าผู้คนจะข้ามผลตอบแทน 3% ที่พวกเขาจะได้รับในพันธบัตรเพื่อสนับสนุนความยืดหยุ่นทั้งหมดที่คุณได้รับด้วยเงินสด อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการป้องกันความเสี่ยงคือการขายสินทรัพย์สั้นที่คุณคิดว่าจะมีประสิทธิภาพต่ำกว่า หรือซื้อการลงทุนในพอร์ตของคุณ (ถ้ามี) คุณสามารถดูราคาการนอนหลับได้ดีในตลาดตัวเลือกโดยตรง
4.) การจะได้ราคาที่ด้านล่างนั้นยาก 🎣
แม้ว่าจะเป็นหน้าที่ของเราในฐานะเทรดเดอร์ในการค้นหาโอกาสที่มีมูลค่าที่คาดหวังในเชิงบวก การเลือกจุดต่ำสุดเป็นสิ่งที่ท้าทายมากในอดีต ในช่วงความผิดพลาดของปี 2020 กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่โดดเด่นหลายแห่งไม่ได้รับการป้องกันความเสี่ยงจากความผิดพลาด และก็ยากเกินที่จะออกมาจากมัน ที่แน่ๆ คนที่ฉลาดที่สุดในโลกบางคนก็ยังทำการเลือกจุดที่ต่ำสุดที่น่าจะเป็นไปได้ได้ไม่ดีพอ
เว้นแต่ว่าคุณมีกลยุทธ์ระยะยาวที่ช่วยให้สามารถใช้เงินทุนได้อย่างสม่ำเสมอเมื่อเวลาผ่านไป (DCA) การพยายามเลือกจุดต่ำสุดในตลาดที่มีแนวโน้มลดลงอาจเป็นกลยุทธ์ % อัตรา bat rate ที่ต่ำมาก
เอาล่ะ ทั้งหมดนี้คือ 4 ข้อควรจำสำหรับมือใหม่ที่ต้องแบกรับตลาด ดังที่เราได้กล่าวไปแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำในตลาดที่ยากกว่าคือการเอาตัวรอด! 🐻
ขอให้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ดี! 😄
-ทีม TradingView
อินดิเคเตอร์2ตัว สร้างกำไร120เท่า winrate67% ระยะเวลา 4เดือน วันนี้น้ามาแนะนำระบบ เทรดที่มีผลลัพธ์ 120RR ภายในระยะเวลา 4เดือน
winrate 67% ใครยังไม่มีระบบ ที่ถูกใจมารองดุชุดเทรดนี้กันเลย
คู่เทรดที่ใช้ทดสอบ BTCUSDT timeframe H1
อินดิเคเตอร์ที่ใช้
อินดิเคเตอร์ตัวแรก trendline with Breaks (lux)
อินดิเคเตอร์ตัสอง TRAMA
วิธีการใช้งาน รอจังหวะ สัญญา singal B เขียว เหนือเส้นม่วง
รอจังหวะ สัญญา singal B แดง ใต้เส้นม่วง
วางSL ไว้ที่ปลายแท่งเทียนก่อนหน้า
RR ขั้นต่ำ1.5 เท่า
เงื่อนไขการเทรด 1 รอสัญญา break signal
2 ดูว่าอยู่เหนือเส้นม่วง buy/long
ใต้ม่วง sell/short
3 วางstoploss ไว้ที่ปลายแท่งก่อนหน้า
4. วางTP ขั้นต่ำ1.5เท่า
คำเตือน ไม่เทรด ขัดแย้งกับหน้าเทรด
แท่งเทียนถัดไป ไม่ควรกลับมาเข้ากลับที่Break ไปแล้ว ควรปิดแท่งเป็นสีตามหน้าเทรด
สรุปผลbacktest เทรด43ไม้
win 29 ไม้ winrate 64%
loss 14ไม้
RR 120 เท่า
ระยะเวลาในการbacktest 4เดือน 1มค -30เมษา