อัพเดต XAU/USD ที่ดูไว้เมื่อวันที่ 25 มิถุนา XAU/USD ที่ดูไว้เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน
ถ้าการ Extension เป็นการยืดตัวแบบ Impulsion wave
ก็ไม่ยากเลย พอจะคาดการณ์ตามกฏ Impulsion wave
กฏของ Impulsion wave
1.กฏของการสลับ Rule of alternation มักจะใช้กับ Wave 2 และ Wave 4
A = Price B=Time C=Severity % เมื่อเทียบกับ Wave 2 และ Wave4 D = Intricacy จำนวนคลื่นย่อยใน Wave 2
และ Wave4 E= Construction (โครงสร้างรูปแบบ Correction wave ของ wave2 และ wave4) คือ ถ้าสองเป็น Flat ไปแล้ว
Wave 4 จะเป็น Flat ซ้ำไม่ได้ ต้องเป็น Zigzag หรือ Triangle เท่านั้น
2.Overlap Rule ซึ่งเป็นตัวแยกแยะรูปแบบ Impulsion ด้วยรูปแบบ Teminal Impulse เป็นรูปแบบสำคัญ เพราะหากเกิดขึ้น
เมื่อใดเมื่อจบแล้ว ราคา จะต้องลงไปต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของ WAVE 1 เสมอ
3.Rule of Equality คือ เมื่อเทียบระหว่าง 1 3 5 คลื่นที่ไม่ใช่คลื่นยืดตัว ทั้งสองมักต้องมีสัดส่วนเท่ากันในแง่ของราคา
หรือ เวลา หรือเป็นสัดส่วนในอัตราส่วน 61.8%
4.Extension Ruls กฏการยืดตัว จะต้องมีคลื่นยาวที่สุดเป็นคลื่นยืดตัว (เทียบเฉพาะ คลื่น 1 / 3 / 5 เท่านั้น) โดนทั่วไปคลื่นที่
Extension มักยาวตั้งแต่ 161.8% ขึ้นไป อาจจะความยาวน้อยกว่านี้แต่พบได้น้อย คือ
A.1 Extension คลื่น 1 ยาวที่สุด อาจมีความยาวไม่ถึง 161.8% ของความยาวคลื่นที่ 3 แต่ความยาวคลื่นที่ 3 ต้องยาว
ไม่เกิน 61.8% ของคลื่นที่1 เพราะว่าคลื่นที่ 1 ต้องเป็นคลื่นที่ยาวที่สุด
B.หากคลื่น 3 Extension แต่ความยาวไม่ถึง 161.8% ของคลื่นที่ 1 และ คลื่น 5 คลื่น 5 สั้นกว่าคลื่นที่ 3 ในกรณีนี้ อาจทำให้
เกิดรูปแบบ Terminal impulse
******หาก รูปแบบคลื่น ไม่เป็นไปตามกฏของ Extension rules นี่้แล้ว และไม่เข้าข้อยกเว้นทั้งสองขึ้นข้างต้น แสดงว่าไม่ใช้
Impulsion แต่เป็นรูปแบบ Correction Patterns ซึ่งพบได้ทั่วไปในปัจจุบันในทุกตราสาร
ไอเดียชุมชน
เผยไอเดียกำไรง่ายๆ สั้นๆ หวังผลไม่มาก กับ GULFเผยไอเดียกำไรง่ายๆ สั้นๆ หวังผลไม่มาก กับ GULF หุ้นพลังงานไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ ช่วงนี้จะ Seidway 125.5-128.5 แน่นอนว่าคงมีโอกาสมากพอที่จะตกไปอีก และขึ้นมา127.5-128.5 อีกครั้ง ซึ่งใช้เวลาน้อยมากๆ และไม่เสื่ยงมาก จึงแนะนำว่าซื้อตอน 125.5 ในราคา BID และขาย128 ในราคา OFFER เป็นกำไรที่น้อยๆแต่สำหรับคนไม่เสื่ยงถือเป็นไอเดียที่ดี หวังว่าจะมีประโยชน์สำหรับทุกคนนะครับ
BTC/USD Correction Pattern Flat?Standard Correction Pattern Flat ซึ่งรูปแบบนี้มีกฎพื้นฐานของรูปแบบนี้ดังนี้
-Wave-c ต้องยาวอย่างน้้อย 38.2% ของ wave -a
-Wave-b ต้อง Retrace Wave -a อย่างน้อย 61.8% ขึ้นไป
กฎทั้งสองข้อนี้เป็นกฎพื้นฐานของรูปแบบ Flat ที่ขาดไม่ได้ หากไม่เข้า กฎนี้ก็ไม่ใช่ Flat
Flat ที่เป็นประเภท Normal Flat / Weak -b / Strong -b พวกนี่เขาแยกแยะกัน ด้วย ความยาวของ wave-b
เทียบกับ wave -a ว่ายาวแค่ไหน
Normal Flat ความยาว wave-b จะยาว 81% -100 % ของ wave-a
ความสําคัญของรูปแบบ หรือความยาวของ Wave-b จะมีนัยยะสําคัญที่จะบอกเราว่าความแข็งแรงของตลาดเป็นอย่างไรในแนวโน้มหลัก อย่าลืมว่า correction นี้เป็นการปรับตัวเพื่อลดความ
ร้อนแรงราคาก่อนหน้าที่ผ่านมา ดังนั้น wave-b ของ Flat มันจะมีทิศทางไปทางเดียวกับ แนวโน้มหลัก ดังนั้นหากความยาวของ wave-b มากก็แสดงว่าตลาดยังมีแรงส่งไปในแนวโน้มหลัก
สูงอยู่ด้วย แต่เราต้องดูความยาวของ wave-c อีกที่ตามมาว่ายาวแค่ไหน หาก wave-c สั้น แสดงว่า หลังจบ wave-c แล้ว ราคาจะวิ่งไปแนวโน้มหลักอย่างรุนแรง
ฺ BTC/USD จะกลับไปสูงกว่าดอยเดิม ?จากที่ forecast ไว้วันที่7/กุมภา/2018 ว่าน่าจะเป็นรูปแบบ correction flat a-b-c
ตอนนี้คลื่น a ก็จบไปเป็นที่แน่นอนแล้ว เพราะเกิดการ completely retracement ตอนนี้คือคลื่น b แน่นอน
เราต้องไปดูกฏของคลื่น b ว่ามีอะไรบ้าง
Normal Flat / Weak -b / Strong -b พวกนี่เขาแยกแยะกัน ด้วยความยาวของ wave-b เทียบกับ wave-a ว่ายาวแค่ไหน
1. Normal Flat ความยาว wave-b จะยาว 81% -100 % ของ wave-a
2. Weak -b Flat จะยาว 61.8%-80%
3. Strong -b Flat จะยาวมากกว่า Wave-a ข้อนี้ยังแบ่งย่อยออกเป็นรูปแบบอื่นอีก
3.1.Irregular Flat - wave-b จะยาวกว่า wave-a และ wave-c จะยาวกว่า wave-b
3.2.Irregular Failure หาก wave-b ยาวกว่า Wave-a แต่ wave-c สั้นกว่า wave-b
ความสําคัญของรูปแบบ หรือความยาวของ Wave-b จะมีนัยยะสําคัญทจี่ะบอกเราว่า ความแข็งแรงของตลาดเป็นอย่างไรในแนวโน้มหลัก
อย่าลืมว่า correction นี้เป็นการปรับตัวเพื่อลดความ ร้อนแรงของการขึ้น ก่อนหน้าที่ผ่านมา ดังนั้น wave-b ของ Flat
มันจะมีทิศทางไปทางเดียวกับ แนวโน้มหลัก ดังนั้นหากความยาวของ wave-b มากก็แสดงว่าตลาดยังมีแรงส่งไปในแนวโน้มหลักสูง อยู่ด้วย
แต่เราต้องดูความยาวของ wave-c อีกททีตี่ามมาว่ายาวแค่ไหน หาก wave-c สั้น แสดงว่า หลังจบ wave-c แล้ว ตลาดจะวิ่งไป
แรงในแนวโน้มหลักเดิมด้วย
ส่วนจะเป็น impulse wave คลื่น 1 ปรับฐานในคลื่น 2 หรือไม่ ผมใส่ความคิดเห็นไว้ เมื่อวันที่ 19/พฤศจิกายน /2018
XAUUSD และ ทอง ระยะยาวขอเปลี่ยนมุมมอง Update จะราฟที่มองไว้ จากพฤจิกา ปีที่แล้ว
ที่มองไว้ว่าการลงเป็น impulse wave ตอนนี้ ที่มองไว้ว่าเป็นคลื่น 4
มันขึ้นมาสูงเกินกว่าที่จะเป้นคลื่น 4 ก็อาจจะเป็น แค่ A B C
ช่วงที่ขึ้นมาขอ label เป็น a b c ไว้ก่อน ยังไม่นับเป็น 1 2 3
เพราะยังไม่ผ่านกฏการ Extension
"หากคลื่น 3 Extension แต่ความยาวไม่ถึง 161.8% ของคลื่นที่ 1 และ คลื่น 5 คลื่น 5 สั้นกว่าคลื่นที่ 3"
รอผ่านกฏค่อยเปลี่ยน
SCB Mid-termภาพรวมระยะกลาง ราคายังคงปรับตัวอยู่ในแนวโน้มขาลง โดยล่าสุดมีการรีบาวน์จากบริเวณแนวรับของเส้น Bullish trendline support ที่ประมาณ 127.5 บาท ก่อนจะมีการ sideway เล็กน้อยเกิดเป็นกรอบสามเหลี่ยม
การกลับตัวขึ้นไป ราคาจะต้องเบรคแนวรับที่ 132 - 135.5 บาท ไปให้ได้ เพื่อที่จะได้มี Potential ในการกลับตัวขึ้นไป
หากไม่สามารถเบรคแนวต้านได้ ราคาอาจจะมีการย่อลงมาทดสอบแนวรับอีกครั้งที่ประมาณ 128 บาท
KTC Long-termราคาได้มีการปรับตัวขึ้นมาเหนือกรอบสามเหลี่ยมและมีการเบรคจุดสูงสุดก่อนหน้าของช่วงวันที่ 7 พ.ค. 61 โดยขึ้นมาทำ New High ไว้ที่ 41.25 บาท
โดยการปรับตัวหลังจากขึ้นไปทำจุดสูงสุดในช่วงก่อนหน้า มีสัดส่วนการพักตัวอยู่ที่ 78.6 Fib retracement ดังนั้น โอกาสที่จะกลับขึ้นไปต่อจะมีสัดส่วนการเคลื่อนที่อยู่ที่ประมาณ 61.8 - 161.8 Fib หรือที่ 45 - 56.25 บาท โดยประมาณ
หากมีการย่อตัวลงมาจะมีแนวรับอยู่ที่ 38.25 - 37 บาท โดยประมาณ
SPRC Long-termราคายังคงปรับตัวอยู่ในแนวโน้มขาลง โดยการปรับตัวลงหลังจากที่มีการรีบาวน์ในช่วง ต้นเดือน กรกฏาคม 61 ราคาได้ปรับตัวลงมาคิดเป็นสัดส่วนที่ 200 Fib ก่อนจะมีการรีบาวน์ขึ้นมาในสัดส่วนที่ 23.6 Fib retracement
ซึ่งสัดส่วนในการรีบาวน์ขึ้นมานั้นค่อนข้างน้อย จึงมีโอกาสเป็นเพียงการพักตัวเพื่อลงต่อ และนอกจากนี้ในช่วงการรีบาวน์ขึ้นมาราคาได้มีการฟอร์มตัวจนเกิดเป็นกรอบสามเหลี่ยมแบบ Ascending triangle ซึ่งเป็น reversal pattern บ่งบอกถึงโอกาสในการกลับตัว
แต่ในช่วงปลายเดือน เมษายน 62 ราคาได้มีการเบรคลงมาต่ำกว่ากรอบสามเหลี่ยมที่เกิดขึ้น จึงทำให้เคลียร์สัญญาณในการกลับตัวทิ้งไป
ในส่วนของ Indicator โมเมนตัมของ MACD และ RSI ยังคงอยู่ในฝั่ง Bearish
ดังนั้นจากภาพรวมทั้งหมด ราคายังคงมีโอกาสที่จะลงไปต่อได้อีกที่ 200 - 261.8 Fib หรือที่ 9.3 - 7.6 บาท
โดยการปรับตัวลงมาจะมีโซนแนวรับสำคัญอยู่ที่ 9.3 - 9 บาท โดยประมาณ ต่ำกว่านี้จะมีแนวรับอีกแนวอยู่ที่ 8.3 บาท ซึ่งถ้าหลุดก็มีโอกาสลงไปที่ 261.8 Fib หรือที่ 7.6 บาท โดยประมาณ
SET Mid-termราคายังคงปรับตัวอยู่ในกรอบ Ascending Channel บ่งบอกถึงโอกาสในการปรับตัวขึ้นไปต่อในแนวโน้มขาขึ้น
แต่อย่างไรก็ตามการปรับตัวขึ้นมายังคงมีแนวต้านสำคัญที่เป็นอุปสรรของราคาอยู่ที่ 1,677 - 1,665 และแนวต้านที่เป็นเส้น Bearish trendline อยู่ที่ 1,700 โดยประมาณ
ซึ่งราคาจะต้องเบรคแนวต้านเหล่านี้ขึ้นไปให้ได้เพื่อที่จะทำให้มี Potential ในการปรับตัวขึ้นไปต่อในระยะยาว
แต่ถ้าไม่สามารถเบรคขึ้นไปได้ก็มีโอกาสปรับตัวลงไปทดสอบแนวรับอีกครั้ง โดยจะมีแนวรับอยู่ที่ 1,640 - 1,612 ตามลำดับ
DXY Mid-termในช่วงท้ายสัปดาห์ที่ผ่านมาก่อนตลาดปิด มีการประกาศตัวเลขของ ข่าว Non-Farm และ Unemployment Rate ซึ่งมีความขัดแย้งกันจึงทำให้ราคาค่อนข้างผันผวน
แต่ในเชิง TA แล้วราคายังคงอยู่บริเวณโซนแนวรับสำคัญที่ 97.71 - 97.40 ดังนั้นในสัปดาห์ยังคงมีลุ้นการ Throw back กลับขึ้นไปจากบริเวณแนวรับได้อีกครั้ง
สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือในส่วนของ MACD นั้นเกิด Bearish Divergence ซึ่งบ่งบอกถึงการสะสมความอ่อนแรงของราคาทำให้ ราคายังมีโอกาสที่จะลงไปต่ำกว่าแนวรับสำคัญได้อยู่
ดังนั้นจากภาพรวมทั้งหมดบ่งบอกได้ว่า ในสัปดาห์หน้ายังคงต้องระวังเรื่องความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์ แต่แนวโน้มโดยรวมยังเป็นไปในทิศทางเชิงบวก
BNBUSDT Long - termหลังจากราคาขึ้นไปทำจุดสูงสุดไว้ที่ 25.18 ดอลลาร์ ในช่วงต้นปี 61 การปรับตัวลงมาจนถึงปลายปี 61 คิดเป็นสัดส่วน 112.8 Fib retracement ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมาที่ค่อนข้างลึก ดังนั้นการกลับตัวขึ้นมาอาจจะไปได้ไม่ไกลนัก
โดยสัดส่วนในการกลับขึ้นไปจะอยู่ในช่วง 61.8 - 161.8 Fib ซึ่งปัจจุบันราคาได้ปรับตัวขึ้นมาเกิน 61.8 Fib แล้ว โดยขึ้นมาทดสอบบริเวณโซนแนวต้านสำคัญซึ่งเป็นจุดสูงสุดที่เคยทำไว้
ดังนั้นหากราคาสามารถเบรคแนวต้านสำคัญนี้ขึ้นไปได้ก็มีโอกาสที่จะไปต่อที่ 161.8 Fib หรือที่ประมาณ 38.19 ดอลลาร์ ก่อนจะมีการ Correction อีกครั้ง
แต่ถ้าไม่สามารถเบรคโซนแนวต้านสำคัญขึ้นไปได้ก็มีโอกาสที่จะกลับลงไปที่โซนแนวรับที่ 17 - 11 ดอลลาร์ โดยประมาณ
LTCUSD Mid-termราคายังคงถูกปฎิเสธอยู่บริเวณโซนแนวต้านที่ประมาณ 84.5 ดอลลาร์ ถึงแม้ว่าจะมีการเบรคแนวต้านที่เป็นเส้น Beraish trendline ขึ้นมาก็ตาม
การถูกปฏิเสธของราคาทำให้ราคายังมีโอกาสที่จะปรับตัวลงไปที่บริเวณแนวรับ ที่ประมาณ 70 - 60 ดอลลาร์
จากภาพรวมทั้งหมด หากราคายังไม่หลุดไปต่ำกว่าแนวรับที่สอง ที่ประมาณ 60 ดอลลาร์ ก็ยังมีโอกาสที่จะกลับขึ้นไปได้ที่ 61.8 - 161.8 Fib
แต่อย่างไรก็ตามการกลับตัวขึ้นไปราคาจะต้องเบรคแนวต้านที่ 84.5 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นแนวต้านที่มีการปฏิเสธราคาอยู่ ณ ปัจจุบัน และจะต้องเบรคแนวต้านที่ 99.4 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดก่อนหน้า เพื่อที่จะไปต่อในแนวโน้มขาขึ้น
OMGUSD 1.ถึงแม้จะมีการเบรคแนวต้านที่เป็นเส้น Bearish trendline ไปได้ แต่ราคาก็ยังคงถูกปฎิเสธจากโซนแนวต้านที่ 1.61 - 1.81 ดอลลาร์ ซึ่งทำให้ราคามีโอกาสที่จะลงไปทดสอบโซนแนวรับที่บริเวณ 1.38 - 1.31 ดอลลาร์
การปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมา ราคาลงมาอยู่ในสัดส่วน 78.6 Fib retracement ซึ่งหากมีการรีบาวน์ขึ้นไปจากบริเวณนี้ จะมีโอกาสกลับไปได้ตั้งแต่ 61.8 - 161.8 Fib แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ราคาจะต้องเบรคโซนแนวต้านที่ 1.61 - 1.81 ดอลลาร์ไปให้ได้ก่อน
และหากสามารถเบรคจุดสูงสุดเดิมที่เคยทำไว้ได้ที่ประมาณ 2.5 ดอลลาร์ ก็มีโอกาสที่จะไปต่อที่ 161.8 Extension หรือที่ประมาณ 3.18 ดอลลาร์
ETHUSD Mid-termราคายังคงทรงตัวอยู่บริเวณโซนแนวต้านสำคัญที่ประมาณ 163 - 187 ดอลลาร์ โดยมีเส้น EMA200 ทำหน้าที่เป็นแนวต้านร่วมอยู่บริเวณนั้น
อย่างไรก็ตามการปรับตัวขึ้นมาของราคายังคงมีการทำ Higher Low ขึ้นมาเรื่อยๆ ส่งผลให้เกิดกรอบสามเหลี่ยมแบบ Ascending triangle โดยทำหน้าที่เป็น Reversal pattern ซึ่งราคาจะต้องเบรคโซนแนวต้านสำคัญเพื่อคอนเฟิร์มรูปแบบที่เกิดขึ้น
แต่ยังมีสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ การปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ธันวาคม 61 ทำให้เกิด Bearish Divergence จาก MACD บ่งบอกถึงความอ่อนแรงสะสม
ส่วน RSI ในช่วงการปรับตัวสั้นๆตั้งแต่ปลายเดือน มีนาคม 62 เกิด Hidden Bullish Divergence ซึ่งบ่งบอกถึงโอกาสในการปรับตัวขึ้นไปต่อของราคา
ดังนั้นจากความขัดแย้งกันของหลายๆสัญญาณที่เกิดขึ้น อาจทำให้ราคามีความผันผวนอยู่ในช่วงปลายของกรอบสามเหลี่ยม จนกว่าราคาจะมีการเบรคไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งเพื่อคอนเเฟิร์มสัญญาณ
BTCUSD Mid-termราคายังคงปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้ปรับตัวขึ้นมาทดสอบโซนแนวต้านสำคัญในระยะยาวที่บริเวณ 5,755 - 6,425 ดอลลาร์ โดยราคาได้ทำ Swing High ไว้ที่ 6,190 ดอลลาร์ ก่อนจะมีเริ่มมีการปรับตัวลงเล็กน้อยที่บริเวณโซนแนวต้าน
โดยการปรับตัวขึ้นมาของราคาอยู่ในสัดส่วน 261.8 Fib Projection ซึ่งโดยปกติเมื่อมีการปรับตัวขึ้นมาในสัดส่วนนี้จะมีการพักตัวเกิดขึ้นก่อนจะมีการปรับตัวอีกครั้ง
นอกจากนี้ที่บริเวณ 261.8 Fib จะมีโซนแนวต้านสำคัญของราคาใน TF 1W อยู่ที่บริเวณนี้ อีกทั้งยังเกิดความอ่อนแรงสะสมจากการเกิด Bearish Divergence ของทั้ง MACD และ RSI บ่งบอกได้ว่า การที่จะเบรคขึ้นไปเหนือโซนแนวต้านสำคัญอาจจะเป็นไปได้ค่อนข้างยาก
ดังนั้นหากมีการย่อตัวเกิดขึ้น เราจะมีแนวรับในระยะสั้นอยู่บริเวณ 5,500 - 5,100 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นช่วงการปรับฐานในระยะสั้นที่ผ่านมา
แต่ถ้าหากราคาปรับตัวลงเล็กน้อยและสามารถเบรคโซนแนวต้านสำคัญขึ้นไปต่อได้ก็มีโอกาสที่จะไปได้ถึง 461.8 Fib Projection หรือที่ประมาณ 7,817 ดอลลาร์
OMGUSD Mid-term หลังจากที่ราคาปรับตัวขึ้นมาทำจุดสูงสุดของปี 2019 ที่ประมาณ 2.5 ดอลลาร์ ในช่วงต้นเดือนเมษายน ราคาก็ได้มีการปรับตัวลงมาอีกครั้ง
โดยการปรับตัวลงมาครั้งนี้หากเทียบจากการรีบาวน์ขึ้นมาในช่วงต้นเดือน มีนาคม จะมีสัดส่วน retracement อยู่ที่ 78.6 Fib ซึ่งถือเป็นการพักตัวที่ค่อนข้างลึกและบ่งบอกถึงโอกาสที่จะกลับไปทำ New high นั้นมีค่อนข้างน้อย
ความเป็นไปได้กรณีถ้ากลับตัวขึ้นไปได้ อาจจะขึ้นไปทดสอบ High ก่อนหน้าและเกิดการ Sideway ก่อนที่จะมีการเบรคเพื่อเลือกทิศทางอีกครั้ง
แต่การปรับตัวลงมาครั้งนี้ ราคาได้กลับลงมาต่ำกว่าโซนแนวต้านที่เคยเบรคไปอีกครั้ง ดังนั้น จากการพักตัวลงมาที่ 78.6 Fib และอยู่ต่ำกว่าแนวต้าน อาจทำให้การกลับขึ้นไปนั้นค่อนข้างลำบาก
ปัจจุบันราคาปรับตัวอยู่ในกรอบ โดยมีแนวต้านอยู่ที่ 1.6 - 1.7 ดอลลาร์ และมีแนวรับอยู่ที่ 1.38 - 1.31 ดอลลาร์ โดยประมาณ หากลงไปต่ำกว่าแนวรับก็มีโอกาสลงไปที่ 100 Fib retracement หรือที่ 1.15 ดอลลาร์
ในส่วนของ Indicator เกิด Hidden Bullish Divergence จาก RSI บ่งบอกถึงโอกาสในการกลับตัวขึ้นไปของราคา
XAUUSD Mid-termราคาทองคำ หลังจากมีการ Pullback ที่บริเวณ EMA200 การกลับตัวขึ้นไปนั้นเป็นเพียงการกลับขึ้นไปทำ Lower High ซึ่งบ่งบอกว่าราคายังคงอยู่ในแนวโน้มขาลงในภาพรวมระยะกลาง
การเคลื่อนที่ของราคายังคงอยู่ในกรอบ Descending channel ซึ่งบ่งบอกถึงโอกาสในการปรับตัวลงไปต่อของราคา โดยมีแนวรับในระยะกลางอยู่ที่ประมาณ 1243 - 1233 ต่ำกว่านั้นจะมีแนวรับของกรอบสามเหลี่ยมในภาพรวมระยะยาวอยู่ที่ 1200 โดยประมาณ
ในส่วนของ Indicator ในช่วงการปรับตัวลงมาตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ภาพรวมของทั้ง MACD และ RSI โมเมนตัมยังคงอยู่ในฝั่ง Bearish
DXY Mid-termราคามีการปรับตัวลงมาอีกครั้งหลังจากที่ราคาเบรคโซนแนวต้านสำคัญที่ 97.4 - 97.7 ขึ้นไปได้ อย่างไรก็ตามการปรับตัวลงมาราคายังคงอยู่บริเวณโซนแนวรับที่เคยเป็นแนวต้านมาก่อน
โดยแท่ง 1วัน เมื่อวานปิดแท่งในรูปแบบ Hammer ที่บริเวณแนวรับ บ่งบอกถึงโอกาสที่จะกลับตัวขึ้นไปได้อีกครั้ง
ดังนั้นจากภาพรวมทั้งหมดยังคงส่งผลในเชิงบวกต่อค่าเงินดอลลาร์
หลักการบริหารเงินลงทุน (Money Management) สำหรับผู้เริ่มต้นสวัสดีครับ วันนี้ผมอยากจะมาแนะนำการบริหารเงินลงทุนด้วยระบบ T-L-S Trend-Level-Signal
จากประสบการณ์ของผม ได้พบว่ามี Trader หลายๆคนที่มีปัญหาการลากพอร์ทให้ติดลบ ตรงข้ามกับคำพูดที่ว่า
"Let's the profit run, cut the losers lose"
กลายเป็น
"Let's the losers run, cut the profit lose"
หลักการลงทุนในตลาดทั่วๆไป เรามักจะได้ยินคำว่า "ในการเทรดแต่ละครั้ง ไม่ควรเสี่ยงเกิน 1-2% ของเงินทั้งหมด"
แต่ในความเป็นจริง เรากลับได้ยินคำว่า "จงคำนวณว่าเงินในพอร์ทของเรา ใช้ maximum lot size ได้เท่าไร"
Standard lot จริงๆคือ 100,000 USD ต่อ 1.00 Lot
หากคุณลงทุนตามหลักการ นั่นหมายความว่าในการเข้าออเดอร์เทรดแต่ละครั้ง จุด stop loss ของคุณต้องห่างไม่เกิน 200 จุดสำหรับการลงทุน 1 standard lot
เมื่อคุณมีเงินไม่ถึง 100K USD คุณต้องถามตัวเองว่า
ในการเทรดครั้งนี้ "ฉันอยากเสี่ยงจำนวนเงินเท่าไร คิดเป็นกี่%ของพอร์ท"
"จุด Target point ของฉัน ให้ Risk:Reward ratio เท่าไร"
*โดยทั่วไป Risk:Reward ratio ขั้นต่ำ ควรจะเป็น 1:3 เป็นอย่างน้อย หมายความว่า หากคุณมี SL 200 จุด TP คุณต้องอย่างน้อย 600 จุด
เห็นมั้ยครับ การใช้หลัก common sense ที่ถามตัวเองว่า การลงทุนครั้งนี้ อยากเสียเงินเท่าไร จะนำไปสู่การ manage เงินที่สำคัญคือ
"จะใช้ Lot เท่าไรดี?
การจะตอบคำถามนี้ได้นั้น
1. เราจะ "ซื้อ" หรือ "ขาย"
เรากำลังเล่น "go with the trend" หรือเล่น "counter trend" เรากำลังตามเทร็นด์ใน Time frame ใหญ่ หรือสวนเทร็นด์
2. เราต้องรู้ก่อนว่าจุด stop loss เราอยู่ตรงไหน จุด target point เราอยู่ตรงไหน
การที่จะรู้ได้นั้น เราต้องรู้ว่า key level ที่ราคาของ asset ที่เราลงทุนจะกลับตัวที่จุดไหน โดยการหาจุดเหล่านี้มีหลายวิธี ไม่ว่าจะลาก Trend line, ใช้ Fibonacci, หรือนับ Elliot wave
3. เราต้องรอ "สัญญาณ" ตรงนี้สำคัญมากๆ ครับ ท่องไว้เลย "ไม่มีสัญญาณฉันจะไม่เข้า"
Level ทั้งหลายที่เราหาได้จากเครื่องมือต่างๆ ไม่มีใครบอกได้ว่าถูกหรือผิด สิ่งที่่จะบอกได้ว่าถูกหรือผิด คือ สัญญาณการกลับตัว
สัญญาณการกลับตัวสามารถหาได้จากเครื่องมือหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น indicator เช่น RSI divergence หรือ candlestick เช่น Pin bar หรือ reversal pattern เช่น Head and shoulder, diamond top and bottom etc.
แต่สัญญาณทั้งหมดนี้จะเชื่อไม่ได้เลย หากไม่ได้เกิดบน "key level" ข้อนี้สำคัญมาก หากไม่ถึง key level ไม่ต้องมองหา divergence ครับ ไม่มีประโยชน์
สัญญาณที่จะให้จุด stop loss ของเรามีตั้งแต่ candle 1 แท่ง เช่น Pin bar หรือสัญญาณแบบกลุ่ม เช่น reversal pattern
ตัวอย่าง
1. เมื่อเกิด Pin bar บนแนวรับหรือแนวต้านสำคัญ โดยมีขนาดของแท่ง candle 200 จุด นั่นหมายความว่า หากคุณโชคดีพบสัญญาณการกลับตัวตอนกำลังเกิดพอดี คุณจะได้ตำแหน่ง stop loss ที่ 200
2. Pattern เช่น Head and shoulder จะมีจุด stop loss ตามทฤษฎี ซึ่งอยู่นอกเหนือscope ของโพสนี้ ต้องไปศึกษาเพิ่มเติมครับ
เมื่อคุณได้
1. Trend จะซื้อหรือขาย
2. Level ราคามาถึงเลเวลที่คุณวิเคราะห์แล้ว
3. เกิดสัญญาณกลับตัวแล้ว
ถึงจุดนี้ ถามตัวเองตามนี้ครับ
"คุณอยากเสียเงินเท่าไรหากคุณวิเคราะห์ผิด"
"จุด Target ของคุณคือเท่าไร คุ้มเสี่ยงมั้ย R:R เป็นเท่าไร"
คำนวณ Lot size จากจุด SL ครับ ถามตัวเองบ่อยๆ "อยากเสียเงินเท่าไรหากวิเคราะห์ผิด"
เรามาดูตัวอย่างกันครับ
GBP/USD major forex pair ผมคำนวณหา key level ด้วยวิธี Fibonacci แล้วพบว่าแนวต้าน/รับที่แข็งแกร่งคือ 1.302
เมื่อราคาได้ทะลุลงมาใต้ 1.302 มันจะกลับไปเทส เพราะฉะนั้น Trend คือ ขาย
จากภาพจะเห็นได้ว่า เมื่อราคาเข้าใกล้ 1.302 ได้มีการส่ง "signal" ในรูปแบบของ Pin bar อันเล็กๆ ที่มีความยาวประมาณ 170 จุด
นี่คือ SL ครับ 170 จุด
แนว target ที่ผมคำนวณได้มี 2 จุดคือแนว Fibonacci ขนาดกลางบริเวณ 1.292-1.290 และแนว Fibonacci ขนาดใหญ่ ที่ 1.286-7
หมายความว่า Pin bar signal ที่เกิดขึ้นบน Key level 1.302 มี SL 170 จุด โดยมี
Target แรกที่ 1.292 (1000 จุด) และ
Target ที่ 2 ที่ 1.287 (1500 จุด)
SL ผม 170 จุด นั่นหมายความว่าการเทรดนี้ R:R อยู่ที่ 1:5 หรือ 1:7
สำหรับผม คุ้มเสี่ยงครับ
ถ้าคุณมีเงิน 100k usd คุณเล่น 1 lot เสี่ยงเงิน 170 usd (0.17% ของพอร์ท) แรกกับโอกาสกำไร 1000 usd (1%)
"คุณยอมเสี่ยงมั้ย?"
มาดูกันต่อครับ
ราคาได้มาทำการหยุดพักที่แนว Fibo เล็กๆที่ 1.292 ก่อนที่จะลงไปต่อที่แนวใหญ่ที่ผมคิดไว้ คือ 1.286-7
หากคุณเข้าเทรดครั้งนี้ คุณจะกำไรไปแล้ว 1-1.5% ด้วยการเสี่ยงเงิน 0.17%
หลังจากนั้นราคาได้ทำการส่ง "สัญญาณ" กลับตัว ในรูปของ Bullish diver อันเล็กๆ (ผมเทรด MT4, บนมือถือผม มีสัญญาณ Bullish Pinbar อันใหญ่เกิดขึ้นที่ 4 hr ครับ)
พร้อมทั้งทำ Bullish engulfing pattern
เมื่อพิจาณาจากสัญญาณแล้ว ผมมีจุด SL ตรงนี้ 1-200 จุด หากผมคำนวณ target ด้วยวิธีต่างๆ แล้ว R:R มากกว่า 1:3 ผมก็จะเข้าเทรดครับ
จะเห็นว่า หากเราทำการบ้าน หา key level มาดี
เราเฝ้า "รอ" สัญญาณบน key level
เราทำการบ้านวิเคราะห์ trend มาอย่างดี
เราจะได้ตำแหน่งเข้าที่ดี มี R:R เหมาะสม
"ไม่มี" คำว่าลาก แล้วเราจะไม่เครียด ไม่ต้องเพิ่มไม้โดยไม่จำเป็น
เพราะการที่ปล่อยให้เกิดการ "ลาก" แสดงว่าคุณไม่ได้ทำการบ้าน ไม่มี level ในใจ ไม่มีจุดเข้าจุดออกก่อนซื้อขาย
อยากดอย แนะนำไปดอยหุ้นครับ อย่ามาดอย Forex
Trend-Level-Signal และ Target คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับ Money management ครับ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หากคุณใช้หลักการ Money management นี้ การออก order ของคุณจะลดลง และกำไรจะเพิ่มขึ้น
แต่คนที่จะไม่แฮปปี้คือ Broker หรือ Introducing broker ของคุณครับ
เพราะว่าหลักการหาเงินของคนพวกนี้คือ
ทุกๆ order ที่คุณทำการวาง คนเหล่านี้จะได้ commission ครับ
เช่น คุณวาง order 1.0 lot introducing broker คุณจะได้เงินไปทันที 1 usd ครับ
หากคุณใช้หลักการบริหารเงินแบบที่ผมพูดมา คุณคิดว่าเดือนนึง คุณจะเหลือ order กี่ครั้ง
คนพวกนี้จะได้เงินจากคุณมากน้อยแค่ไหน ทำไม copy trade หรือการ clone หรือ bot ทั้งหลายจึงออก order ให้ถี่ๆ
คุณกำลัง "ถูกสูบเงิน" ครับ
การจะอยู่รอดได้ต้องหาความรู้ และเท่าทันผู้ไม่หวังดีทั้งหลายในตลาดครับ
ผมโดนมาหมดแล้ว อย่าทำพลาดแบบผมครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ของแถมก่อนจบโพสท์นี้ครับ
ทำไมคุณถึงไม่ควรติด "ดอย"
เรามักจะได้ยินคำว่า "คนรวยจะไม่ขายหุ้น เค้าจะซื้อหุ้นเพราะเค้าวิเคราะห์พื้นฐานของหุ้นนั้นมาดี ไม่มีวันล้ม เค้าจะเป็นเจ้าของบริษัท กินเงินปันผล เมื่อหุ้นลง เค้าก็จะซื้อเพิ่ม"
สำหรับผม ผมจะถามกลับว่า "ตกลงรวยแล้วเลยมาลงทุน" หรือว่า "มาลงทุนเพราะอยากรวย"
เอาดีๆครับ มันคนละเรื่องกัน
คนรวยที่ฉลาดเค้าก็จะไม่ Buy and Hold หรอกครับ มีงานวิจัยตีพิมพ์ออกมาเยอะนะครับ ว่าการวิเคราะห์ตลาด ซื้อขายด้วยการวิเคราะห์ Sector rotation สามารถเอาชนะวิธี Buy and hold ได้ 3-5 เท่า
การที่คุณยังไม่รวย แล้วมาลงทุน แปลว่า คุณอยากรวย
หากคุณไม่มี stop loss ไม่ทำการบ้าน ไม่หาเลเวล สิ่งที่จะเกิดคือ
"เงินจม"
สิ่งเหล่านี้คือ "Opportunity cost" มันคือค่าเสียโอกาส แทนที่จะเอาเงินไปวางไว้ในจุดที่มันงอกเงย กลับต้องมาลุ้นว่าเมื่อไรราคาสินทรัพย์จะกลับมาจุดเท่าทุน
ทำไมที่ปรึกษาทางการเงินของคุณถึงบอกว่า ให้ซื้อหุ้นทุกเดือน ถัวๆเฉลี่ยๆ เป็นการออม
ไม่ใช่เลยครับ
เค้าได้ค่า commission จากการซื้อขายทุกๆเดือนของคุณครับ
ถ้าเจอ Financial advisor ไหนแนะนำแบบนี้ แนะนำให้เปลี่ยนครับ เค้าแคร์แค่เม็ดเงินที่เข้ากระเป็นเค้าเท่านั้นแหละครับ
ถ้าอยากรู้ว่า Financial advisor ที่แนะนำให้ซื้อหุ้นทุกเดือนมีความสามารถแค่ไหน ให้ถามว่า
"มีวุฒิ CMT มั้ยครับ" ถ้าไม่มี แนะนำให้ฟังหูไว้หูครับ
Happy Trading/Investing ครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผมได้ทำวิดีโอแนะนำการใช้ Fibonacci คร่าวๆไว้ตามนี้ครับ ในอนาคตอาจมีการอัพเดทได้ หากไม่อยากพลาดรบกวนกดติดตามครับ
Fibonacci part 1
Fibonacci part 2
ตัวอย่างการวิเคราะห์ Trend ด้วย Elliot และ Fibonacci
BTCUSD Mid-termการปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมา มันมี Bearish Divergence เกิดขึ้นมาก่อนหน้าแล้ว มีทั้งเพิ่งเกิดไม่นาน และเกิดแบบสะสมมาเรื่อยๆ ดังนั้นมีการปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมาก็ถือว่าไม่น่าแปลกใจอะไร
หากลองพิจารณา คาดการณ์โอกาสเกิดการปรับตัวในแบบต่างๆก็จะสามารถแยกออกมาได้เป็นสามกรณี ดังนี้
กรณีแรก :
ระยะสั้นมีกรอบปรับฐานใน TF 4H อยู่ที่ 5,400-4,800 ดอลลาร์ มีเส้น EMA200 TF 1D เป็นแนวรับร่วมแถวๆ 4,800 ดอลลาร์ ถ้าไม่หลุดกรอบนี้ ก็ยังมีโอกาสกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 6,000 ดอลลาร์
กรณีที่สอง :
ถ้าหลุด ก็ไปรอทดสอบแนวรับสำคัญที่ 4,500 - 4,225 ดอลลาร์ กรณีลงมาทดสอบแนวรับสำคัญแล้วยืนได้ ก็คงจะ Sideway อยู่ในกรอบ 4,500 - 5,600 ดอลลาร์
กรณีที่สาม :
กรณีที่จะต้องประกาศ Red Alert คือ
ราคาหลุดแนวรับสำคัญ ลงไปต่ำกว่า 4,200 ดอลลาร์ ซึ่งมันจะมีโซนแนวรับสุดท้ายอยู่ที่ 3,400 - 3,200 ดอลลาร์ ตรงนี้อาจจะ Sideway ในกรอบ 4,200 - 3,200 ดอลลาร์ ก่อนจะเบรคเลือกทิศทางกันไป แต่เคสนี้ให้น้ำหนักไปทางฝั่ง Bearish
ดังนั้นจากการแยกออกมาพิจารณาเป็นเคสๆ จะเห็นได้ว่าการปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมานั้นยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่
XAUUSD Mid-termหลังจากราคาปรับตัวลงมาทำ Lower Low ก็มีการรีบาวน์ขึ้นมาจากบริเวณเส้น EMA200 ที่ทำหน้าที่เป็นแนวรับร่วม
แต่อย่างไรก็ตามการรีบาวน์ขึ้นมานั้นยังไม่มีการเบรค High ก่อนหน้า จึงทำให้แนวโน้มยังคงอยู่ในฝั่งขาลง สำหรับภาพรวมในระยะกลาง
สัปดาห์หน้ายังคงต้องคอยติดตามการต่อว่าการรีบาวน์ครั้งนี้จะสามารถเบรค High ก่อนหน้าได้ไหม ถ้าไม่สามารถเบรค High ได้ก็จะเป็นการรีบาวน์ขึ้นไปทำ Lower High และกลับลงมาตามแนวโน้มเดิมต่อ