[CK] ณ ระดับแนวรับที่สำคัญ ภายใต้ราคานี้เขามีอะไรอยู่กันนะ!!???หุ้น CK นับว่าเป็น 1 ในหุ้นที่ทำรับเหมาก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดของไทยซึ่งมีรายหลักๆ อยู่ 3 ราย อันได้แก่ STEC ITD CK
โดยหากมองแบบลึกๆ แล้ว หุ้นหมวดนี้เขามีวัฎจักรรายได้ที่ล้อตามการลงทุนของภาครัฐเลยครับ หากภาครัฐมีการลงทุนใหญ่ๆ สำคัญๆ คงไม่พ้นทั้ง 3 ตัวนี้ที่จะได้หน้าเหนือเค๊กเป็นแน่แท้ กอปรกับอาจมีการแข่งขันจากประเทศมหามิตรอย่างจีนในการที่เขามาเข้าประมูลควบคู่กับกลุ่ม CP ด้วยครับ
นอกจาก CK จะทำหน้าที่หลักเป็นรับเหมาก่อสร้างแล้ว เราก็ต้องไม่ลืมเลย ว่า CK ก็ได้ทำหน้าที่เป็นคุณแม่ที่ให้กำเนิดลูกๆ ที่สำคัญทั้งสิ้น 3 คนอันได้แก่ CKP TTW BEM ด้วย ซึ่งทั้ง 3 หุ้นนี้สังกัดอยู่ในหุ้นหมวด SET100 ด้วยกันทั้งสิ้นครับ
ซึ่งก็เข้ามาสู่ประเด็นที่ผมผูกไว้ที่หัวข้อเรื่องกันนะครับ ว่าที่ราคา 15 บาทแนวสำคัญนี้ มันมีอะไรแฝงอยู่กันแน่ นั่นคือเรื่องของเงินลงทุนในบริษัทลูกนั่นเองครับ ซึ่งที่ราคานี้นั้น Market Cap เทียบเท่ากับเงินลงทุนในบริษัทลูกเลย เรียกได้ว่าได้ซื้อธุรกิจรับเหมาที่ใหญ่ที่สุดแล้วก็ได้ของแถมเป็นลูกๆ ที่ทำกิจการเงินสดนั่นเองครับ (ไม่ว่าจะรับเงินค่าไฟจาก กฟผ เอย รับเงินค่าประปาเอย รับเงินจากคนที่สัญจรทางด่วนเอย)
ยาวหน่อยแต่ถ้าคุณชอบ ผมก็ดีใจนะครับ
ไอเดียชุมชน
เราได้เพิ่มประวัติราคาทองคำและเงินมากกว่า 100+ ปีทีมงานของเราที่ TradingView มุ่งมั่นที่จะสร้างแพลตฟอร์มที่ให้แผนภูมิ, ข้อมูล และการแสดงผลที่ดีที่สุดเพื่อการตัดสินใจที่ดีขึ้น วันนี้เรายินดีที่จะแสดงฟีดข้อมูลใหม่สองฟีด ที่เราได้ขยายเพิ่มเติมมันออกไปสำหรับผู้ที่ต้องการดูประวัติศาสตร์ของทองคำและแร่เงิน
ตอนนี้คุณสามารถสร้างแผนภูมิประวัติศาสตร์ของราคาทองคำและเงินกว่า 100 ปีได้แล้ว ในฐานะที่เป็นโลหะมีค่าที่เก่าแก่ที่สุดสองชนิด และจำเป็นต่อวิวัฒนาการของสกุลเงินและการค้า เราเชื่อว่าจำนวนปีที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้จะมีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์และผู้ที่ชื่นชอบโลหะมีค่าในระยะยาว ดูทองหรือเงินในกรอบเวลาระยะสั้นหรือกรอบเวลาระยะยาวย้อนไปไกลได้ถึงปี 1915
ในการเริ่มต้นพิมพ์ GOLD หรือ SILVER ในช่องค้นหาของคุณ หรือคุณยังสามารถใช้ลิงค์ 2 ลิงค์ที่เรารวมไว้ด้านล่างนี้เพื่อการเข้าดูอย่างรวดเร็วได้:
• ดูชาร์ตราคาทองคำเรียลไทม์
• ดูชาร์ตราคาแร่เงินเรียลไทม์
เราหวังว่าคุณจะเพลิดเพลินไปกับชุดข้อมูลเพิ่มเติมเหล่านี้ และหากคุณต้องการให้เราเพิ่มข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับทิกเกอร์/สัญลักษณ์ใดโดยเฉพาะ โปรดเขียนลงในความคิดเห็น ทีมงานของเราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเพิ่มมันให้คุณ ขอขอบคุณที่อ่าน!
EURUSD : น่าจะเป็น 1-2 1-2อัพเดทต่อจากบทวิเคราะห์ก่อนหน้านี้ที่โดน SL เพราะตั้ง sl ต่ำไปนะครับ
ปัจจุบัน EURUSD เหมือนจะจบคลื่นย่อยแล้วกำลังจะ rally 3 of 3
มุมมองปัจจุบันคือราคาอาจจะมีการวิ่งขึ้นต่อตามเทรนด์ ไปถึงบริเวณ1.22918 เป็นอย่างน้อยซึ่งเป็นเป้าของคลื่น iii สีเหลือง
หากใครจะเล่นรอ Buy on dip SL ที่ปลอดภัยสุดคือ 1.20810
BTCUSD : อาจจะ SW ออกข้างก่อนบินชุดอีกชุดราคา Bitcoin หลังจากที่ติดกระแสวิ่งทะลุ 1 ล้านบาทขึ้นมา จะเห็นว่าราคาได้แกว่งตัวเออกข้าง
การออกข้างแบบนี้บ่งบอกถืงความกังวลของนักลงทุนอันเป็น Characterist ของ w4 แบบ triangle
จากมุมมองเชื่อว่าหากชุดนี้ไม่ใช่ 3 เหลี่ยม มีโอกาสที่ราคาจะวิ่งเบรค New high ขึ้นไปได้ในขานี้ (เส้นสีเขียว)
หากใครต้องการเทรดแนะนำให้ดูจุด SL ที่ 30350$ หากมีการอัพเดทเพิ่มเติมจะอัพเดทให้ครับ
อัพเดท Set50 future ที่นับไว้เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2564ลงมาอย่างที่คาดการณ์ไว้ ตอนนี้น่าจะจบคลื่นย่อย a(สีน้ำเงิน)ของคลื่น b(สีฟ้า) แล้ว
คาดการณ์ว่ากำลังจะขึ้นคลื่น b (สีน้ำเงิน) เดาว่าไม่น่าจะขึ้นไปไกลเพราะอาจะเป็น Zigzag
เมื่อจบจะลง c แต่ก็คิดว่าไม่ลงเยอะเพราะน่าจะเป็น Truncated zigzag 937 เป็นจุดวัดใจ
EURUSD : ลุ้นเวฟ 5 ขาสุดท้ายห่างหายจากการอัพเดทไปนาน
ปัจจุบัน EURUSD ได้อยู่ในกรอบพักตัวระยะกลาง
มุมมองปัจจุบันคือราคาอาจจะมีการกลับตัวเพื่อวิ่งขึ้นต่อตามเทรนด์ เพราะตรงนี้เป็นแรว Fibo 50% ของเวฟ 3 สีขาว
จากตรงนี้หากราคาจะขึ้นต่อจริง ไม่ควรจะลงมาถึง 1.19240 เพราะตรงนั้นจะเป็นจุดที่ทำให้กราฟเสียทรง แล้วเราอาจจะต้องมาเล่นขาลงกันแทน
Xau/usd ลงมาเป็น Impulse wave x3 หรือไม่ สองหลักการในการแยกแยะ1.หลักการพิจารณาในเคสนี้ก็คือ ต้องเอากฏ Rule of Equality มาช่วยในการแยกแยะ
Rule of Equality กฏแห่งความเท่าเทียมในรูปแบบ Impulse จะต้องอยู่ภายใต้กฏ Extention rule คลื่น 1/3/5 จะต้องเกิดการยืดตัวยาวกว่าคลื่นอื่นอย่างมีนัยยะสำคัญ
และเมื่อระบุได้ว่าคลื่นใดยาวที่สุด กฏ Rule of Equality จะถูกนำมาพิจารณา กฏนี้ใช้เทียบระหว่างคลื่น 1/3/5 เช่น ถ้าคลื่น 1 ยืดขยาย กฏนี้จะนำมาใช้กับคลื่น 3 และ 5 ถ้าคลื่น 3 ยืดขยาย กฏนี้จะนำมาใช้กับคลื่น 1 และ 5 ถ้าคลื่น 5 ยืดขยาย กฏนี้จะนำมาใช้กับคลื่น 1 และ 3 คลื่นที่ไม่ได้ยืดตัวทั้งสองคลื่นนั้นจะต้องมีสัดส่วนเท่ากันในแง่ราคา หรือ เวลา หรือ เป็นสัดส่วนกันในอัตราส่วน 61.8 % อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่าง
***กฎมีอิทธิพลมากที่สุดในรูปแบบคลื่น 3 Extention และ การวัดความยาวของคลื่นลูกที่ 5Failure แต่กฎนี้ไม่ครอบคลุมคลื่นที่ 1 ยืดขยาย
หรือเป็น Terminal Impulse เมื่อเอาพิจารณาตามกฏนี้คลื่นที่ 5 จะต้องลงไปเท่ากับคลื่น 1 หรือ ใช้เวลาเท่ากับคลื่น 1 หรือ เป็นอัตราส่วน 61.8%
2.อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ Correction คลื่นสอง และ คลื่น 4 ของ Impulse wave x3 คลื่น 2 กับ 4 มักจะทำสัดส่วนกันในแง่ราคา หรือ เวลา อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเช่นเดียวกับ ในคลื่นยืดขยาย หลักการนี้อยู่ในบทที่ 12 หน้าที่ 25
Corrections
Wave-2 & Wave-4 If wave-2 is the largest price correction of the Impulse pattern, the 4th wave will likely be 61.8% of the price covered by wave-2 (see Figure 12-29, Diagram A). The next choice would be 38.2%. If wave4 is the larger price correction in the Impulse pattern, wave-2 should be 61.8%, or less likely, 38.2% of wave-4 (refer to Figure 12-29, Diagram B).
Wave-a & Wave-b Unlike waves 2&4, waves a &b move in opposite directions. Contrary to the prevailing beliefs of many, Fibonacci relationships are more reliable between patterns traveling in the same direction, not opposite directions. As a result, there are no consistently reliable relationships between waves-a & b. The relationship between waves a &b is used mostly in deciding the Structure of the a-wave (see Retracement Rules and Pre-Constructive Rules of Logic, Chapter 3).
วิธีใช้แผนภูมิแบบล็อกและเหตุใดมันจึงสำคัญแผนภูมิทั้งสองในไอเดียนี้แสดงราคาหุ้นของ Tesla ตั้งแต่การเสนอขายหุ้น ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือแผนภูมิหนึ่งคือแผนภูมิแบบล็อกและอีกแผนภูมิหนึ่งคือแผนภูมิราคาเชิงเส้นปกติ นั่นเป็นเหตุผลที่มันดูแตกต่างกัน การทำความเข้าใจแผนภูมิแบบล็อกและแผนภูมิเชิงเส้นปกติเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับเทรดเดอร์และนักลงทุนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดูการเปลี่ยนแปลงของราคาในช่วงระยะเวลาที่ยาวนาน
แผนภูมิด้านซ้ายเป็นแผนภูมิแบบล็อกของ Tesla และแผนภูมิด้านขวาเป็นแผนภูมิราคาเชิงเส้นของ Tesla แผนภูมิแบบล็อกแสดงเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างระหว่างราคา ในขณะที่แผนภูมิเชิงเส้นปกติจะแสดงระยะทางคงที่ระหว่างราคา ดูแผนภูมิทั้งสองทางด้านบนอีกครั้ง หากคุณยังไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาแสดงไม่ต้องกังวลอ่านต่อไป 😁
สมมติว่า Tesla ย้อนกลับไปในช่วงแรกๆ ในฐานะบริษัท ที่มีการซื้อขายเพิ่มขึ้นจาก $5 ต่อหุ้น เป็น $10 ต่อหุ้น นั่นคือการเคลื่อนไหว 100% คุณจะต้องเพิ่มเงินเป็นสองเท่า ไม่กี่ปีต่อมา Tesla มูลค่าสูงขึ้นถึง $100 ต่อหุ้น และเพิ่มขึ้นเป็น $105 ต่อหุ้น นั่นเป็นเพียงการเคลื่อนไหว 5% เท่านั้น การเคลื่อนไหวของราคาทั้งสองในตัวอย่างนี้แสดงถึงการเพิ่มขึ้น $5 ต่อหุ้น แต่ราคาหนึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ใหญ่กว่ามาก นั่นคือสิ่งที่แผนภูมิแบบล็อกมีประโยชน์ - มันแสดงเปอร์เซ็นต์ของการเปลี่ยนแปลงนี้! อย่างไรก็ตามในแผนภูมิปกติ ราคาแต่ละระดับจะแสดงที่ระยะทางคงที่ ดังนั้นการเคลื่อนที่จาก $5 เป็น $10 จะแสดงในลักษณะเดียวกับการเคลื่อนที่จาก $100 ไปเป็น $105
การเริ่มต้นใช้งานแผนภูมิแบบล็อกนั้นทำได้ง่ายและรวดเร็ว:
1. หากคุณใช้ PC ให้กด Alt + L บนแป้นพิมพ์ของคุณ ชุดแป้นพิมพ์นี้จะปรับแผนภูมิของคุณให้เป็นแผนภูมิแบบล็อกอย่างรวดเร็ว คุณสามารถกดคีย์ลัดนั้นอีกครั้งเพื่อกลับสู่แผนภูมิราคาเชิงเส้นปกติ
2. หากคุณใช้ Mac ให้กด Option + L คุณสามารถสลับระหว่างแผนภูมิแบบล็อกได้อย่างรวดเร็วด้วยคีย์ลัดนี้บน Mac ของคุณ
3. คุณยังสามารถคลิกปุ่ม log ที่อยู่บริเวณมุมขวาล่างของแผนภูมิเพื่อเปิดหรือปิดการใช้งาน
อีกหนึ่งเคล็ดลับ: วางเมาส์เหนือสเกลราคา จากนั้นคลิกค้างไว้แล้วลากขึ้นหรือลงเพื่อบีบอัดหรือขยายขนาดสเกลราคา เคล็ดลับง่ายๆ นี้ช่วยให้คุณควบคุมสเกลราคาได้มากขึ้นสำหรับทั้งแผนภูมิแบบล็อกและแผนภูมิเชิงเส้นปกติ
คุณควรใช้แผนภูมิแบบล็อกอย่างไรในอนาคต?
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องรู้ว่าคุณมีเครื่องมือในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาในหลายๆ วิธี เปรียบเทียบและดูความแตกต่างกันเสมอโดยการดูแผนภูมิทั้งสองเมื่อจำเป็น เทรดเดอร์และนักลงทุนมือใหม่มักจะประหลาดใจกับข้อมูลที่แสดงในแผนภูมิแบบล็อกในช่วงเวลาอันยาวนาน นอกจากนี้การเปรียบเทียบแผนภูมิแบบล็อกกับแผนภูมิราคาเชิงเส้นปกติสามารถปลดล็อกข้อมูลเชิงลึกใหม่ๆ ได้ แผนภูมิ Tesla ทั้งสองในตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นถึงสิ่งนั้นอย่างสมบูรณ์แบบ แผนภูมิหนึ่งมีลักษณะพาราโบลา ไม่เป็นระเบียบและดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย ส่วนอีกอันมีพื้นที่ แสดงแนวโน้มที่ชัดเจน และทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะพลาดช่วงการซื้อขายที่สำคัญไป
ขอบคุณที่อ่าน! เช่นเคยโปรดฝากคำถามหรือความคิดเห็นไว้ด้านล่าง หากคุณมีคำร้องขอผลิตภัณฑ์หรือต้องการฟีเจอร์เพิ่ม โปรดเขียนมันไว้ในช่องความคิดเห็น ทีมงานของเราจะช่วยคุณ
ทำไมเราถึงไม่สามารถถือ BTC + Altcoins เพื่อกระจายความเสี่ยงได้?ความน่าเบื่อของตลาดคริปโตอย่างนึง ที่ผมเจอและเห็นมาตลอดคือ..
"เมื่อไหร่ Bitcoin ร่วงลงแรง -- พวกเหรียญอื่นๆ จะร่วงกันแรงยิ่งกว่า"
นั่นก็คือ หมายความว่า ตลาดนี้ ทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับ Bitcoin และ Bitcoin เท่านั้น
เหรียญอื่นๆ เป็นแค่ตัวหลอก ที่จะทำให้ท่านเสียเงินโดยใช่เหตุ
เพราะคุณแทบจะไม่สามารถหลบการร่วงของราคาได้เลย ถ้า Bitcoin ลงแรง
ตัวอย่างเช่น รอบนี้ ( วันนี้ ที่ 12/1/2021 )
BTC -13.89%
ETH -21.84%
XRP -12.34% ( ทีงี้ล่ะสู้งาน 55 )
LTC -25.76%
ADA -15.38%
และอื่นๆ อีกมากมาย
เห็นไหมครับว่า สุดท้ายแล้ว เหรียญอื่นๆ ดันร่วงหนักกว่า Bitcoin เป็นส่วนใหญ่ ซะงั้น..
ซึ่งมันต่างจากหุ้นตรงที่ว่า... ถึงแม้ว่า วันนี้ตลาด จะทุบ Tesla แต่ว่า ในทางกลับกัน หุ้น NIO ก็อาจจะไม่ลงตามไปด้วยก็ได้
ดังนั้น มันทำให้เราสามารถ diversify portfolio โดยการเข้าหุ้นหลายตัวได้ เพื่อลดความเสี่ยง
ต่างกับคริปโตที่ .. ถ้าเราไป diversify ด้วยการเข้า Bitcoin และ Altcoins อื่นๆ กลับจะทำให้พอร์ตภาพรวมของเราโตได้ไม่เต็มที่ และสูญเสียมากกว่าเดิม ถ้า Bitcoin ร่วงด้วยซ้ำไป..
ดังนั้น ผมก็ขอให้ทุกๆ ท่านมองตลาดคริปโตว่า มันคือ "สินทรัพย์เสี่ยง" ตัวหนึ่ง
และนำเงินแค่เล็กๆ น้อยๆ เพียงไม่กี่ % ของ Portfolio การลงทุน มาเข้า Bitcoin เท่านั้น เช่น 3-5% เป็นต้น
เพราะอย่างที่เห็นว่า บทมันจะแกว่งลง มันก็แกว่งลงแรง และถ้าใครไปเข้าด้วยเงิน 100% ของพอร์ต.. ผมรับรองว่า.. Mindset จะพังแน่นอนครับ
BTC/USD กำลังลงคลื่น 4 หรือไม่ ใช้อะไรเป็นตัวชี้วัด เมื่อบิทคอยน์ผ่านกฏ Extension Rule มีโอกาสเป็น Impulse wave จึงเปลี่ยน labal เป็น 1 2 3
ตอนนี้กำลังจะเข้า Correction แล้ว ก็มาดูว่าใช่คลื่น 4 ไหม ก็ต้องเอากฏเรื่อง Overlap Rule กฏการทับซ้อนใช้แยกแยะ Trending (Impulse wave) กับ Terminal Impulse wave ซึ่งใน Impulse wave และที่สำคัญคือ Rule of alternation คือ กฏของการสลับในรูปแบบ Correction ใน Impulse wave ใช้กับคลื่น 2 และ 4 มาตรวจเช็คว่าใช่คลื่น 4 ตามกฏ Impulse wave หรือไม่ ตอนนี้คลื่นที่เราตั้งข้อสงสัยว่าเป็นคลื่น 2? เป็น Flat ไปแล้ว คลื่น 4 ก็จะเป็น Flat ซ้ำอีกไม่ได้ตามกฏเรื่อง Rule of alternation และ เมื่อเป็นคลื่นที่เราตั้งข้อสงสัยว่าเป็น คลื่น 3? มันยืดตัว ดังนั้นคลื่นที่ 4 ก็ไม่ควร Overlap
QM combined with HMNQM เป็นแพทเทิร์นการกลับตัวที่มีประสิทธิภาพสูง เพราะเกิดจากการเสียทรงของเทรนด์ตามทฤษฏี Dow Theory และก่อนที่เทรนด์จะเกิดการกลับตัว ก้มักจะเกิดการ Side way สักพัก ซึ่งตรงส่วนนี้ก้มักจะมี Harmonic ให้เห็น
การนำสองเทคนิคอลมารวมกัน จะยิ่งช่วยเพิ่มการเข้าเทรดได้แม่นยำมากขึ้น
1. มองหา QM
2. มองหา zone
3. มองหา 3D
และจะเจอ HMN ไม่ตรงสนใจสัดส่วน แต่สนใจแค่ว่ามี zone ไหม จะช่วยทำให้ได้จุดเข้าที่คม และแม่นยำมากขึ้น
วิธีใช้ Session Volume HD เพื่อศึกษาราคาและปริมาณการซื้อขายSession Volume HD ถูกสร้างขึ้นเพื่อเพิ่มระดับรายละเอียดและความแม่นยำใหม่ในการศึกษาราคาและปริมาณการซื้อขายของแต่ละเซสชัน Session Volume HD จะปรับแบบไดนามิกเพื่อแสดงข้อมูลเพิ่มเติมเมื่อคุณซูมเข้าและออกจากแผนภูมิ
ให้คิดว่า Session Volume HD เป็นเหมือนแว่นขยายสำหรับศึกษาปริมาณการซื้อขายและราคา ระดับราคาใดที่ดึงดูดปริมาณการซื้อขายมากที่สุด? สิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเมื่อเราซูมเข้าหรือออกจากช่วงการซื้อขายที่เฉพาะเจาะจง? ด้วย Session Volume HD ยิ่งคุณซูมมากเท่าไหร่คุณก็จะยิ่งเห็นรายละเอียดเกี่ยวกับราคาและปริมาณการซื้อขายสำหรับวันซื้อขายที่เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น มันเป็นเครื่องมือที่สมบูรณ์แบบสำหรับเทรดเดอร์และนักลงทุนที่ซูมเข้าและออกและเปลี่ยนกรอบเวลาของกราฟอย่างรวดเร็ว
ในตัวอย่างข้างต้น เรากำลังดูแผนภูมิสองรายการของ Tesla ที่ตั้งค่ากรอบเวลาและความละเอียดต่างกัน คุณเห็นความแตกต่างระหว่าง Volume Profiles ที่แสดงในแต่ละแผนภูมิหรือไม่? แผนภูมิทางด้านซ้ายคือแผนภูมิรายวันย้อนหลังไปถึงเดือนพฤศจิกายน แผนภูมิทางด้านขวาคือแผนภูมิราย 65 นาทีที่ซูมเข้าในช่วงสองสามวันสุดท้ายของการซื้อขาย แผนภูมิทั้งสองใช้ Session Volume HD เพื่อแสดงการวิเคราะห์ Volume Profiles แต่ทว่าแต่ละแผนภูมิจะแสดงรายละเอียดในระดับที่แตกต่างกัน นั่นเป็นเพราะเครื่องมือ Session Volume HD ได้รับการปรับแบบไดนามิกเมื่อเราซูมเข้าหรือออก กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเมื่อการซูมเพิ่มขึ้นระดับ volume profile จะแสดงเพิ่มมากขึ้น
เมื่อคุณเริ่มเข้าใจและใช้ Session Volume HD สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าเครื่องมือนี้สามารถปรับแต่งตามความต้องการและการสังเกตของคุณได้ เปิดการตั้งค่าเพื่อเริ่มต้น เทรดเดอร์และนักลงทุนทุกคนมีวิธีการของตนเองและการตั้งค่าเหล่านี้จะช่วยให้คุณสร้างรูปแบบการวิจัยที่เป็นเอกลักษณ์ของคุณเอง:
Point of Control (POC) - ระดับราคาสำหรับช่วงเวลาที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุด เส้นสีแดงที่แสดงบนทั้งสองแผนภูมิภายในโซน Volume Profile แต่ละโซน
Up Volume - กำหนดสีสำหรับ Up Volume หรือตำแหน่งที่เกิดการซื้อและราคาเพิ่มสูงขึ้น
Down Volume - กำหนดสีสำหรับ Down Volume หรือตำแหน่งที่เกิดการขายและราคาลดลง
Value Area Up - กำหนดสีของ Value Area Up หรือตำแหน่งที่การซื้อเกิดขึ้นในโซนปริมาณการซื้อขายสูง เช่น 70% ของปริมาณซื้อขายทั้งหมด
Value Area Down - กำหนดสีของ Value Area Down หรือตำแหน่งที่การขายเกิดขึ้นในโซนปริมาณการซื้อขายสูง เช่น 70% ของปริมาณซื้อขายทั้งหมด
Profile High - ระดับราคาที่สูงที่สุดที่ไปถึงในช่วงเวลาที่กำหนด
Profile Low - ระดับราคาที่ต่ำที่สุดที่ไปถึงในช่วงเวลาที่กำหนด
Value Area (VA) - ช่วงของระดับราคาที่มีการซื้อขายเป็นเปอร์เซ็นต์ตามที่ระบุ ของปริมาณการซื้อขายทั้งหมดในช่วงเวลานั้น โดยปกติเปอร์เซ็นต์นี้จะกำหนดไว้ที่ 70% อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเทรดเดอร์แต่ละท่าน
Value Area High (VAH) - ระดับราคาสูงสุดภายในพื้นที่มูลค่านั้น
Value Area Low (VAL) - ระดับราคาต่ำสุดภายในพื้นที่มูลค่านั้น
เราหวังว่าคำแนะนำนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงพลังของ Session Volume HD และเครื่องมือ Volume Profile อื่นๆ ที่สำคัญเราหวังว่าจะช่วยให้คุณเข้าใจคุณสมบัติ การปรับแต่งและฟังก์ชันการทำงานทั้งหมดที่มาพร้อมกับคุณสมบัติเหล่านี้ Session Volume HD เป็นหนึ่งในเครื่องมือ Volume Profile ที่มีให้สำหรับคุณ และจะมีประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อซูมเข้าและออกจากกราฟ เปลี่ยนกรอบเวลา และค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมขณะที่คุณศึกษาช่วงการซื้อขายเฉพาะใดๆ
ขอบคุณที่อ่านและกรุณาแสดงความคิดเห็นของท่านด้านล่างนี้ หากคุณต้องการดูเครื่องมือหรือคุณสมบัติ Volume Profile เพิ่มเติม - เราต้องการทราบข้อมูลเหล่านั้น! เพราะเราอาจสร้างมันเพื่อคุณ
[Repost] สรุปข้อคิดการเทรด จากปี 2017 - 2019
เนื่องจากผมนั่งคิดๆ อะไรออก ก็พิมพ์ ออกมาเรื่อยๆ ทำให้บางทีหัวข้อมันกระจัดกระจาย ไม่ group สวยเท่าไหร่ และตอนนี้ก็เหมือนจะยังใส่ไม่ครบด้วย แต่วันนี้ขี้เกียจคิดละ ปวดหัว เอาเท่านี้ก่อนล่ะกัน 555
ก็เป็นข้อคิด และสิ่งที่เจอมา ตลอดการนั่งเทรดมาสองปีครึ่งนะครับ ซึ่งอาจจะถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่ก็เป็นสิ่งที่ผมเจอมา และพยายามที่จะยัดพวกแนวคิดเหล่านี้เอาไว้ในสมองของผม เพื่อจะได้ไม่ทำพลาดอีกในอนาคต
ส่วนลูกเพจ ที่อ่านแล้ว ยังไง บางข้อ ไม่เข้าใจ ก็ไม่เป็นไรนะครับ เพราะผมคงไม่ลง detail แต่ก็ให้อ่านผ่านๆ ตาไปก่อนแล้วกัน .. สิ่งที่ผมอยากจะให้เป็นก็คือ อ่านแล้ว ไปตกผลึก list ของตัวเอง ออกมาให้ได้ครับ
ไอเดีย หลักๆ
1) รอดให้ได้ก่อน แล้วค่อยหากำไร
2) มองความเสี่ยงไว้ก่อนเสมอ ว่าถ้าผิดทางเรายอมเสียเท่าไหร่
3) พอร์ตใหญ่ควรเสี่ยงให้น้อยที่สุด ถ้าอยากเสี่ยงมากให้เอากำไรจากพอร์ตใหญ่ไปเทรดแบบพนัน
4) การได้กำไรติดๆ กัน ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเราจะรอดได้ในระยะยาว
5) อย่าเพิ่งหวังกำไร หลายๆ เท่า 10x - 100x ให้ตั้งเป้ากำไรที่เป็นไปได้ เช่น ปีละ 15-20% เพราะถ้าเราทำได้เราก็เก่งกว่ากองทุนระดับโลกแล้ว -- ให้คิดเสมอว่า เราแม่งเป็นใครวะ จะมาทำกำไรแซงหน้ากองทุนระดับโลกได้เนี่ย
6) ระวังกับดักของความสำเร็จ เพราะถ้าคุณประมาท ตลาดจะทวงคืนกำไรที่ได้มาคืนไปหมดทุกบาททุกสตางค์
7) อย่า Overtrade ให้เทรดด้วยความเสี่ยงที่คุมได้เสมอ -- ถ้าจะ overtrade ต้องแยกเศษกำไร จากพอร์ตเสี่ยงน้อยมา overtrade เท่านั้น -- ถ้ายังไม่มีกำไร ก็อย่าเสี้ยน overtrade เด็ดขาด
Risk Management
* คิดถึงความเสี่ยงก่อนเสมอ ทุกๆ ครั้งที่จะเข้าเทรด ไม่ว่าจะ long หรือ short
* ก่อนเข้า เราต้องตอบคำถามเหล่านี้ได้ว่า
- เข้าทำไม เพราะอะไร
- จุด stop จุด take profit อยู่ตรงไหน
- ถ้าตลาดไปผิดทาง เรามีกลยุทธอย่างไร ( เช่น คัทลอส หรือ ถัวไม้แก้เพิ่มเติม แต่ถ้าผิดจนถึงจุดไหนเราจะยอมมอบตัวโดยไม่มีเงื่อนไข )
- และถ้าเรายอมมอบตัว เราจะเสียตังเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต
Market Cycle
* มองภาพใหญ่ให้ออก ว่าตอนนี้เราน่าจะอยู่ช่วงไหนของวัฏจักรตลาด
* ปรับเปลี่ยนกลยุทธ ให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงของวัฏจักรตลาด
* คนส่วนใหญ่ อยากจะซื้อเมื่อราคาขึ้นไปสูงๆ เสมอ ( Greed )
และ คนส่วนใหญ่ ก็อยากจะขายเมื่อราคาร่วงลงมาหนักๆ เสมอ ( Fear )
* ถ้าเทรนใหญ่เป็นขาลง ก็อย่าช้อนซื้อ หรือเปิด long ให้ ดีดแล้ว short
* ถ้าเทรนใหญ่เป็นขาขึ้น ก็อย่ารีบขาย หรือรีบ short สวน ให้ย่อแล้ว long / ซื้อ เพื่อลดความเสี่ยง
Mindset
* มองว่าการเทรดคือการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งสั้น อย่างน้อยถ้าจะวัดผลต้องรอดให้ได้อย่างน้อย 1-2 ปี
* อย่าดูถูกตลาด คิดว่าเราเรียนมาแล้วแพงๆ จากอาจารย์เทพๆ ที่โชว์กำไรเยอะๆ จะหาตังได้ง่ายๆ
* ห้ามมั่นใจทางใดทางหนึ่งจนเกินไป ตลาดพร้อมจะไปไหนก็ได้
* เวลาที่เราเทรดแล้วได้กำไรเยอะๆ ให้เราคิดเสมอว่า ตลาดมีแนวโน้มไปอีกทางได้เสมอ อย่ามั่นใจและไปเพิ่มหน้าตักเด็ดขาด
* ตลาดถูกเสมอ อย่าไปเถียงตลาด จงทำตัวเหมือนน้ำ และพร้อมจะปรับมุมมองได้เสมอ ถ้าสภาวะตลาดมีการเปลี่ยนแปลง ( หลักๆ ก็คือต้องมีแผนรับมือ ทั้งมุมมองขึ้นและมุมมองลง อยู่ในหัวตลอดเวลา และถ้ามุมมองไหน ถูก invalidated ไป ก็ต้องเอาอีกมุมมองมาใช้ ตามระบบทันที )
* เห็นกราฟวิ่งๆ เราต้องนั่งทับมือ ทนรอสัญญาณเข้าให้ได้ ถ้ายังไม่มี ก็นั่งดูไปเฉยๆ อย่าไปคันมือ เข้าคร่อมจังหวะ เพราะจะได้จุดเข้าที่ค่อนข้างเสียเปรียบ
* อย่ามั่นใจในตัวเอง ถ้าเริ่มมีความคิดว่า ข้านี้แน่ ข้านี้เจ๋ง ตลาดต้องไปตามที่ฉันคิด ให้รีบทบทวนตัวเองโดยด่วน! เพราะท่านกำลังโดนอีโก้เข้าครอบงำ....ท่านเป็นแค่ขี้ฝุ่นในตลาด เงินของท่านไม่สามารถทำให้ตลาดไปตามอย่างที่ท่านคิดได้เลย ... จำไว้เลยว่า อีโก้ = หนทางสู่หายนะ
Long Entry
* ควรเข้า Long / ซื้อ ในตอนตลาดเป็น "ขาขึ้น" เท่านั้น
* ถ้ากราฟขึ้นไปชันๆ สูงๆ แล้ว ก็ถือว่า ตกรถ ให้นั่งดูเฉยๆ อย่าพยายามไป FOMO เข้าตาม โดยเฉพาะยิ่งถ้าเห็นตอน RSI ระดับ TF ใหญ่ๆ Peak + Overbought ไปแล้ว
* ถ้าอยากเข้าจริงก็ให้นั่งรอจังหวะย่อลงมา หรือกราฟเริ่ม sideway แล้วค่อยเข้าซื้อ ลองหาจุดอ้างอิงที่จะใช้มองว่าย่อได้ที่หรือยัง เช่น EMA 18 daily หรือย่อเข้ามาในกรอบ action zone เป็นต้น
* ถ้าเข้าแล้ว เทรนมาจริง อย่ารีบขาย ให้ถือไปจนสุดเทรน
* ถามว่าจะรู้ได้ไงว่าสุดเทรน .. ก็ไม่มีใครรู้ แต่อาจจะใช้วิธีการ Trailing Stop ไล่ lock profit ตามราคาไปเรื่อยๆ .. ซึ่งตรงนี้จะเป็นเรื่อง advance ต้องไปศึกษาเพิ่มเติมและลองทำดูเอง
* ควรเก็บไม้ฐาน ที่เข้าที่ราคาต่ำมากๆ เอาไว้ให้นานที่สุด อย่าปล่อยออกจนหมด
* ถ้าจะเข้าเพิ่มตอนจังหวะย่อ ไม้ใหม่ ควรมีขนาดเล็กกว่าไม้ฐาน ที่เราเข้าตอนแรก เพื่อไม่ให้มันดึงราคาเฉลี่ยขึ้นมา
Short Entry
* การเล่นฝั่ง short ให้จำกฏข้อแรกไว้เสมอว่า .. การ short จะขาดทุน "ไม่จำกัด" แต่จะได้กำไร "จำกัด ไม่เกิน 100%"
* เพราะราคา สามารถขึ้นไปได้แบบไม่มี limit ส่วนเวลาลง มันลงได้เต็มที่ก็ไม่มีทางเกิน 100% ( ถ้างง ไปลองกดเครื่องคิดเลขดู จะเข้าใจ )
* กฏข้อสอง คือ ให้รอจนเกิดเทรนขาลงก่อน แล้วค่อย หาจังหวะ short เมื่อราคาดีด แล้วไม่พ้นแนวต้านเก่า หรือ เด้งเข้ามาใน Action Zone
* ไม่ควร short สวนเทรน ตอนที่เทรนเป็นขาขึ้น เด็ดขาด .. ถ้าไม่เข้าใจว่าทำไม ไปอ่านกฏข้อแรก
* การ short ไม่สามารถ รันเทรน ได้ .. ให้ใช้วิธีเก็บกำไร เมื่อถึงเป้าเท่านั้น .. โดยเป้า หาได้จากการใช้ fibo มาช่วย
* การ short ไม่ควรโลภ ถ้าถึงเป้า ก็เก็บกำไรแล้วนั่งเฉยๆ รอมันดีดค่อยหาจังหวะเข้าใหม่ .. อย่าไปคันมือรีบเข้าตรงแนวรับเด็ดขาด!
* ที่สำคัญ อย่า overtrade เด็ดขาด เพราะถึงแม้ตลาดจะเป็นขาลง แต่บางทีเราก็อาจจะเจอการเหวี่ยงของราคาอย่างรุนแรงได้ เพราะไม่มีอะไรแน่นอน
* ถ้าจะเข้า short ต้องมี จุดเข้า, จุดที่ stop, จุดที่จะ Take Profit และ Risk ที่ยอมเสียเสมอ
* Short ได้กำไรแค่ไหนก็แค่นั้น อย่าโลภ อย่าไป short ไล่ราคา ตามแนวรับ ออกมาแล้วก็นั่งเฉยๆ ให้เป็น
* ยิ่งราคาย่อลงมาใกล้แนวรับ fibo สำคัญๆ ในโครงสร้างใหญ่ มากขึ้นเท่าไหร่ การ short ก็จะเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้นเท่านั้น
* ถ้าเข้าใจเรื่อง short บางทีเราสามารถ hedge BTC ที่เราถืออยู่ ด้วยการแบ่งเงินบางส่วนมา short ได้ จะได้ไม่ต้องขาย BTC ออกมาเป็นเงิน fiat หมด ( บางส่วนก็เก็บไว้ใน HW wallet จะได้ไม่ต้องเอาเงินของเราทั้งหมดไปไว้ใน exchange )
* รวมถึง เราสามารถใช้การ short เพื่อ lock profit BTC ของเรา โดยไม่ต้องขาย BTC ออกมาเป็นเงิน fiat ก็ได้เช่นกัน ( ถือ synthesis usd )
การ Stop Loss
* การ stop loss เป็นส่วนหนึ่งของแผนการเทรด และ risk management เพราะถ้าตลาดไปผิดทาง เราก็ต้องยอม take loss ที่เราได้ออกแบบเอาไว้แล้ว โดยห้ามลังเล
* สำหรับบางคน อาจจะใช้วิธีออกไม้แก้ โดยไม่ stop เลยในทันที แต่ก็ต้องระวังว่า การออกไม้แก้นั้น จะต้องไม่ทำให้ Risk ของเรา สูงจนเกินไป หรือเกิน loss ที่เราได้วางแผนไว้ตั้งแต่แรก
* ไอ้ loss เนี่ย มันน่ากลัวอย่าง คือ ถ้าเราไม่ยอมคัทไว้ ตามแผนแรก แล้วเราไปปล่อยให้มันไหลไปต่อ และบอกกับตัวเองว่า ปล่อยไปอีกนิดล่ะกัน เดี๋ยวมันก็คงเด้งกลับ เพราะกลัวว่า จะ "คัทแล้วเด้ง"
* แต่บางที มันก็มีโอกาสเหมือนกันที่จะ "ไม่คัท และไม่เด้ง" อยู่ด้วยน่ะสิ..
* และพอคุณปล่อย loss ไหลไปเรื่อยๆ จากเดิม ที่อาจจะเสียแค่ 2-3% พอไหลไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็เป็น -10% รู้ตัวอีกทีก็เป็น -20% ไปเรื่อยๆ ..
* จนสุดท้าย บางทีมันก็เกินเยียวยา ทีนี้ จะคัท ก็ไม่กล้าแล้ว เพราะทำใจไม่ได้
* จะไปอยากจะคัท อีกทีก็ตอนที่มันลงไปถึง -70% ถึง -80% โน่นแหละ ดีไม่ดีก็ล้างพอร์ต หมดตัว กันไปเลย
* จึงเป็นที่มาของคำแซวเม่าว่า * จึงเป็นที่มาของคำแซวเม่าว่า "ตอนขาดทุน ทนถือได้นานๆ ไม่ยอมคัท แต่พอได้กำไร นิดเดียวล่ะ ไม่ทน รีบออก"
* พอร์ตจะโตได้ ต้อง * พอร์ตจะโตได้ ต้อง "ยอม take loss เล็กๆ และปล่อยให้ profit run" นะครับ
กลยุทธการเทรด
* คนบางคน จะชอบเอาตัวเลขกำไรเยอะๆ มาอวด เพื่อล่อเม่าให้เข้ามาคุยด้วย จะด้วยผลประโยชน์แอบแฝงอะไรก็ตามแต่
* ถ้าเจอเคสอวดกำไร ให้ถามกลับไปว่า เทรดแบบนี้ หรือใช้ กลยุทธการเทรดแบบนี้ มานานแค่ไหนแล้ว
* เพราะส่วนใหญ่ ที่เจอมาคือ การได้กำไรเยอะๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็มักจะลงเอยด้วยการล้างพอร์ต หรือคืนกำไร+ทุนแทบจะทุกครั้ง ..
* เพราะสิ่งที่เขาใช้คือการ overtrade ขั้นรุนแรง เช่น ใช้ leverage สูงๆ หรือมีหน้าตักที่มีขนาดใหญ่มาก
* เพราะคนส่วนใหญ่ จะมองแต่ "ตัวเลขกำไร" ว่าได้มากี่ usd ไม่ได้มอง "เปอร์เซ็นกำไร" ว่าได้มากี่ % ของพอร์ต
* สิ่งสำคัญ ในการเทรด ไม่ได้เป็นการที่เราจะได้กำไรเยอะๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ ( แต่สุดท้ายก็โดนล้าง )
* แต่เป็นการทำยังไงก็ได้ ให้พอร์ตเราค่อยๆ โต โดยมีความเสี่ยงที่เราควบคุมได้มากที่สุด และเงินต้นของเรา หายไปน้อยที่สุด
* เพราะ ความเสี่ยง เป็นสิ่งเดียว ที่เราควบคุมได้ ในตลาดที่มีแต่ความไม่แน่นอนนี้ ( ถ้าเสีย จะยอมเสีย กี่ % ของพอร์ต )
* กลยุทธ ที่ดี ควรจะทำให้พอร์ตอยู่รอดได้ครบรอบ cycle ของตลาด ( accumulation -> mark up -> distribution -> mark down ) และไม่เกิด drawdown ที่หนักจนเกินไป
* ที่สำคัญ ทุกกลยุทธ ที่จะนำมาใช้ ควรมีผล Backtest และ Forward Test มาประกอบด้วย ว่าได้กำไรจริง และรอดได้จริง อย่างน้อย ครบ 1 cycle ของตลาด
การวางแผน portfolio
* ถ้าเอาง่ายๆ ก็ควรแบ่งพอร์ตออกสองพอร์ต คือ..
1) พอร์ตเสี่ยงต่ำ มองภาพระยะยาว ได้กำไรไม่หวือหวา แต่ยั่งยืน
2) พอร์ตเสี่ยงสูง พอร์ตพนัน เอากำไร"บางส่วน" จากข้อ 1. มาเทรด ด้วย leverage ที่สูงได้ เพื่อเร่งความเร็ว
( 3) พอร์ต DCA ระยะยาว ถ้าเรามั่นใจว่า asset นั้นระยะยาวจะไม่พัง 4/1/2021 )
* แต่คนส่วนใหญ่ จะไม่ค่อยวางแผนทำพอร์ตเสี่ยงต่ำ เพราะใจร้อน อยากได้กำไรเร็วๆ เยอะๆ ไวๆ ... แต่ลืมดูไปว่า ตัวเองยังไม่มีความรู้อะไรเลย หรือดูถูกตลาด คิดว่าตลาดมันง่ายๆ
* ถ้าจะให้ดี ก็ควร diversify เงิน ออกเพื่อไปลงในตลาดที่ไม่ correlated กัน
* เช่น ถ้าตลาดไหน มันเป็นขาลง เราก็โยกเงินหนีไปเล่นในตลาดที่เป็นขาขึ้นแทน
* เพราะ การเทรดเพื่อทำกำไรในขาลงนั้น ... มันยากกว่าตอนเทรดในตลาดขาขึ้นมากมายยิ่งนัก
* ไม่ควรเพิ่มหรือลดเงินในพอร์ต โดยไม่จำเป็น เพราะจะทำให้การบันทึกผลการเทรด รวนได้
* อย่ารีบเอาเงินกำไร จากการเทรด ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ให้แยกส่วนกันให้ชัดเจน ถ้าจะเอาไปใช้ ต้องมีแผน cash out ที่ชัดเจนเสมอ
การวัดผล และปรับปรุงตัวเอง
* จดบันทึกผลการเทรดเสมอ ให้ติดเป็นนิสัย
* เทรดได้ ก็ต้องเขียนมาให้ละเอียดว่า ได้เพราะอะไร เทรดเสีย ก็ต้องระบุปัญหาให้ชัด ว่าเพราะอะไร จดให้ละเอียดถึงอารมณ์ที่เข้า position ณ ตอนนั้นๆ ด้วย
* ประเมินผลการเทรดทุกๆ เดือน ว่าพอร์ตโต หรือลดลงเท่าไหร่ และในแต่ละเดือนเราได้เรียนรู้อะไรบ้าง และเดือนหน้าเรามีแผนการที่จะแก้ปัญหานั้นๆ อย่างไร
* การเทรด ก็เหมือนการทำอาชีพ อาชีพหนึ่ง มันต้องใช้เวลา ศึกษา และเรียนรู้ เริ่มจากระดับอนุบาล และค่อยๆ advance ขึ้นไปเรื่อยๆ
* คนส่วนใหญ่ คิดว่า การเทรด คือหนทางรวยทางลัด เพราะเห็นโฆษณาต่างๆ หลอกเอาไว้ ..
* ยกตัวอย่างเช่น เหมือนกับการที่เราอยากเปิดร้านกาแฟ แต่เรามีแต่เงิน ไม่มีความรู้ใดๆ เรื่องกาแฟเลย รวมถึงไม่ขวนขวายหาความรู้ ไปเข้าคอร์สสอนชงกาแฟแค่ครั้งเดียว แล้วก็มาทำเลย ( ร้อนวิชา ) .... ผมก็รับประกันได้เลยว่า เปิดได้ไม่ถึงสามเดือน ยังไงก็เจ๊ง
* การเทรดก็เหมือนกัน มันไม่ง่าย มันยาก ตลาดมันมีแต่คนที่จ้องจะเอาเงินจากกระเป๋าของคุณอยู่ตลอดเวลา
* คนที่เข้าคอร์ส หรือเข้าห้อง VIP ของพวกอวดตัวเลข แล้วคิดว่าจะรวยง่ายๆ หลังเรียนจบ .. บอกได้เลยครับ ว่า คุณจะเจ๊งแน่นอน
* เอาจริงๆ มันต้องเจ๊งก่อนทุกคนด้วยซ้ำ เพราะถือว่าเป็นค่าครู ค่าวิชา ไปอ่านหนังสือดู ก็จะพบว่า พวกเซียนหุ้นเก่าๆ ยังไง ช่วงแรกๆ ที่เข้าตลาดมาก็เจ๊ง หรือขาดทุนหนักกันแทบจะทุกคน
* แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ตอนที่คุณเจ๊งนั่นน่ะ คุณได้เรียนรู้อะไร จากค่าครู ที่เสียไปหรือเปล่า และได้เรียนรู้จากมันมามากแค่ไหน?
* หรือจะเป็นคนห่วยๆ ที่พอเจ๊งแล้วก็โทษตลาด โทษเจ้า โทษคนโน้นคนนี้ไปทั่ว แต่ไม่เคยโทษตัวเองเลย เลือกเอาครับ
เอาเท่านี้ก่อน ถ้านึกอะไรออกเพิ่ม จะมาอัพเดทนะครับ
[Re] ข้อเตือนใจ จากคนที่เคยเจ็บ เนื่องในโอกาส BTC ดีด 15/1/2020
วันนี้เป็นวันที่ บ้า และ FOMO ที่สุดแล้วมั้ง ในรอบหลายๆ เดือน ของตลาดคริปโต ตั้งแต่รอบล่าสุด ตอน Oct 2019 คือแท่ง สีจินผิง สองวัน +43% .. ทำเอาหลายๆ คนหมดตัวจากการถัว short หรือไม่ยอม stop short จนโดนลากไปล้างพอร์ตกัน
รอบนี้ ถ้าให้ผมมองแบบตรงๆ ที่มันขึ้นมาขนาดนี้ ส่วนนึงก็เพราะแท่งที่มีการเปิดขึ้นมาจาก 8000 ไป 8400 ตอนเช้าวันที่ 14/1 ที่ลากขึ้นมาทะลุ trendline ใหญ่ที่คุมมาตลอด 6 เดือนได้ และไม่โดนกดกลับ
ทำให้พอช่วงใกล้ๆ หมดวัน ก็เลยดีดกันใหญ่เป็นเจ้าเข้า ซึ่ง ถ้าเราดูแค่เรื่องการ break out อย่างเดียว นี่ก็คือการ break out กรอบใหญ่ แบบมี vol ด้วย ซึ่งก็ถือว่า ค่อนข้างดี และถ้าดูจากในรูป ก็จะพบว่า สาย short โดน liquidate วันนี้วันเดียว สอง exchange สูงถึง 100 mil USD ซึ่งก็ถือว่า เป็นการ break out แบบมี vol ก็น่าจะว่าได้ ( ถึงแม้รอบนี้จะน้อยกว่าตอน ทะลุ 4200 ไป 5000 เมื่อต้นปี 2019 ก็เถอะ )
ตอนนี้ มองไปทางไหนก็มีแต่คนดีใจ ดี๊ด๊า อวดกำไรกันใหญ่ ใครทำนายไว้ว่าจะขึ้นก็รีบออกมารับเครดิตกันทั่วไปหมด ส่วนผมก็ขี้เกียจจะอวดไรละ เพราะรอบนี้ ผมเองก็ยังไม่ได้เข้า 55 ( จริงๆ เข้าไปแล้ว แต่ออกไปเมื่อวาน เพราะดูทรงแล้วไม่น่าไว้ใจ + เข้าเพราะ FOMO ไม่ได้เข้า ตามระบบ...ซึ่งก็ออกปุ๊บดีดปั๊ป 555 )
ก็เลยขอเป็นหนึ่งเพจ ที่มาแชร์ มุมมอง อีกมุม ล่ะกัน เพื่อให้หลายๆ คนได้ระวังตัวกันนะครับ
ข้อควรระวัง
1) สาย short ต้องระวัง เพราะเทรนใหญ่ เป็นขาขึ้นไล่ไปจนถึง monthly แล้ว ควรงด short อย่างเด็ดขาด
* ตลาดช่วงที่ผ่านมา ตลอดหลายเดือน มันเป็นขาลงมาตลอด และวิ่งอยู่ในกรอบแคบๆ และการดีดขึ้น ส่วนใหญ่ ก็มักจะลงต่อ ทำให้สายที่จ้องจะ short อย่างเดียว สามารถทำกำไรเป็นกอบเป็นกำจากการ short ได้เรื่อยๆ ( ถ้าไม่โดนล้างจนหมดตัวตอนแท่งพี่จีน สองวัน +40% อ่ะนะ )
* แต่สำหรับรอบนี้ ถ้าเราดูภาพใหญ่ ระดับ weekly และ monthly เราจะเห็นทรงกลับตัวค่อนข้างชัด ซึ่งถ้ามันกลับตัวจริง มันก็จะวิ่งคล้ายๆ กับช่วงต้นปี 2019 ที่ราคามันจะไปของมันเรื่อยๆ ทำเหมือนจะย่อ เสร็จแล้วก็ไม่ย่อ ไปต่อแบบงงๆ
* ทำให้สาย short ที่จ้องจะ short เมื่อเห็น bear div ถัวแล้วถัวอีก ถัวเท่าไหร่ ก็ไม่หลุดดอย short ซะที หวังจะให้มันย่อ แต่มันก็ไม่ย่อ แถมไปต่ออีกเรื่อยๆ อีกต่างหาก .. จนสุดท้าย ก็ต้องล้างพอร์ตกันไป
* ดังนั้น วิธีที่เราจะหลีกเลี่ยง ความเสียหายได้ ก็คือ "งด short ถ้าเทรนใหญ่เป็นขาขึ้น" ครับ... ง่ายๆ the trend is your friend. ( ปล. การ short สามารถขาดทุนได้ไม่จำกัด ด้วยนะครับ แต่กำไรมีจำกัด ( ไม่เกิน 99.99% ) )
2 ) สาย long ก็อย่า FOMO ไปอัด leverage หนักๆ เพราะคิดว่ามันจะไปต่อเรื่อยๆ
* นอกจากสาย short ที่ต้องระวัง คนที่เล่นสาย long เอง ก็ต้องระวังตัวกันไว้ด้วย
* เพราะ จากที่ผมเคยเจอมา ( และเป็นเอง ) คือ พอเราได้กำไรเยอะๆ จากไม้แรก และบางทีเรา "ขายหมู" ไปเรียบร้อยแล้ว และราคามันไปต่อ ... เราจะเกิดอาการ "กลัวตกรถ" ขึ้นมาครับ
* และไอ้อาการ FOMO กลัวตกรถเนี่ย มันน่ากลัวอย่าง เพราะมันจะทำให้ การคิด และการตัดสินใจ ของเรา มั่วไปหมด เป็นการใช้อารมณ์นำ ไม่ได้ทำตามแผนการที่ได้วางไว้ ... ( เอาจริงๆ ส่วนใหญ่มือใหม่ไม่มีแผนไรหรอก 555 )
* ช่วงนี้ ผมเชื่อเลยว่า มือใหม่ หลายๆ คน ทำกำไรได้ "ง่ายๆ" ดีไม่ดีเป็น 100% หรือ 200% จากการเข้า long ด้วย leverage สูงๆ เข้าๆ ออกๆ วันนึง ได้กำไรรัวๆ ย่อก็รีบกดซื้อ พอเด้งก็รีบกดขาย วันนี้วันเดียว ทำไปได้ไม่รู้กี่รอบ 555
* แต่.. ในตลาดนี้ มันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ครับ * แต่.. ในตลาดนี้ มันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ครับ อะไรที่มันได้มาง่ายๆ ให้คิดไว้เลยว่า ... คุณก็จะเสียไปง่ายๆ เช่นกัน...
* กับดักที่ผมเคยเจอ และเคยทำเองด้วย ก็คือ ... พอออก และไปเข้าใหม่ ไม้สุดท้าย แบบ จัดหนักจัดเต็ม เพราะคิดว่ามันจะไปต่ออีกแน่ๆ เว้ย เราจะรวยกันแล้ว... ..ไอ้ไม้นี้แหละครับ ที่มันจะทำให้กำไรที่คุณอุตสาห์ได้มาง่ายๆ ตลอดวัน... อาจจะหายไปหมดเลยก็ได้!!! แถมดีไม่ดีเข้าเนื้อไปอีกด้วยนะ!!
* วิธีแก้ ก็คือว่า... ถ้าคุณเริ่มได้กำไรเยอะๆ มากๆ จนคุณเริ่มรู้สึกว่า เอ๊ะ ทำไมมันง่ายอย่างนี้วะ... ให้คุณ พักมือ เลยครับ หยุดเทรด หยุดเข้า position ถือ usd แล้วนั่งเฉยๆ ไปก่อนเลย สักวันสองวัน
* ถ้าคันมือจริงๆ ก็ให้ แบ่งกำไรแค่สัก ไม่กี่ % เอามาเล่นขำๆ ได้ แต่กำไร+ ทุนส่วนใหญ่ ให้เก็บเข้ากระเป๋า ดึงออกจากระบบไปเลย อย่าไปแตะมันอีก
* จำไว้เลยครับว่า "ทุกการขึ้น ต้องมีการลง ... ยิ่งขึ้นแรงเท่าไหร่ ยิ่งย่อแรงเท่านั้น" ...
* ถ้าคุณไปพยายามเข้าๆ ออกๆ แบบ leverage สูงๆ .. แบบ all-in ....เวลาที่มันเกิดการลงแรง ไอ้ไม้สุดท้ายนี่แหละครับ จะทำให้คุณโดนล้างพอร์ตแบบไม่ทันตั้งตัว ... และทำให้ กำไร + ทุนที่ได้มาทั้งหมด .."หายเรียบ"
เน้นนะครับ... "หายเรียบ" เกลี้ยง ... รวยแต่เขือเลยครับ...
สรุป
* ก็เลยมาแบ่งปัน มุมมอง สองมุม ที่ผมคิดว่า น่าจะมีประโยชน์ต่อมือใหม่ หรือมือเก่าทั้งหลาย ที่กำลัง FOMO กันอยู่ตอนนี้
* เรื่องเทรดเนี่ย การควบคุมความโลภ และความกลัว ก็เป็นอีกเรื่องที่ทุกๆ ท่านจะต้อง master มันให้ได้.. ไม่เช่นนั้น.. ท่านจะโดนอารมณ์ของท่าน ทำให้ท่านตัดสินใจหน้างานแบบไม่มีแผน... และก็จะนำไปสู่พอร์ตที่พังยับได้เลยครับ...
* เชื่อผมเถอะ ผมเคยเป็นมาก่อน ไอ้ที่ว่ามาทั้งหมดเนี่ย 5555
[ Repost ] มือใหม่ อยากลงทุนบิตคอยน์ ต้องทำไง?[ Repost จากของเก่า แต่ก็เหมือนจะใช้กับสถานการณ์ช่วง fomo 30k ได้อยู่นะ 555 )
ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ผมสังเกตุได้ว่า ใน group ใหญ่มีสมาชิกใหม่เข้ามาเยอะมากๆ และส่วนใหญ่ ก็เข้ามาแบบ no idea เกี่ยวกับ Bitcoin หรือ การลงทุนโดยภาพรวมเลยแม้แต่น้อย ..
จริงๆ ผมก็ค่อนข้างแปลกใจนะ ที่อยู่ๆ ในช่วงตลาดร่วงหนักแบบนี้..แทนที่หลายๆ คนจะกลัว .. กลับกล้าที่จะซื้อขึ้นมาซะงั้น?
เท่าที่คุยๆ กับหลายๆ คน ก็เหมือนจะพบว่า .. มือใหม่ ที่ตกรถ Bitcoin กันไป ตอนที่มันขึ้นไประดับ 20k / 14k หรือแม้แต่ 10k มองว่า .. ราคานี้มันถูกมากๆ แล้ว ลงมาขนาดนี้แล้ว ( ตั้ง -40% จาก 10k หรือ -57% จาก 14k ) ก็เลยอยากจะซื้อกัน
จริงๆ ก็ไม่ต่างกับคนในกลุ่มหุ้นไทยเท่าไหร่ ที่มาถามกันรัวๆ ว่า หุ้นตัวนี้ดีไหมคับ ราคานี้ซื้อได้หรือยังคะ เพราะก็ต่างเห็นว่า “มันลงมาเยอะแล้ว” เหมือนกันหมด...
แต่...
สิ่งที่น่ากลัว และผมเป็นห่วงคือ .. ในตอนนี้ ภาพใหญ่ของทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็น หุ้น หรือ คริปโต มันยังเป็นขาลงชัดเจน
และจาก ประสบการณ์ ส่องกราฟของผม ที่ผ่านมา เวลาที่มันเข้าสู่ช่วงขาลง ใน Timeframe ใหญ่.. โอกาสที่มันจะลงต่อไปเรื่อยๆ ก็มีสูงกว่าขึ้น...
ถูก ว่ามันอาจจะมีการเด้งบ้าง แรงๆ อย่างการเด้งในช่วงสามสี่วันที่ผ่านมา แต่มันก็มักจะเป็นแค่ rally in the downtrend ที่สุดท้ายแล้ว มันก็มักจะร่วงลงต่ออยู่ดี
ดังนั้น..
สิ่งที่อยากจะฝากมือใหม่ หรือคนที่คิดอยากจะซื้อ Bitcoin หรือ หุ้น ใดๆ ในช่วงนี้ ก็มีดังนี้ครับ
1) เทรด ไม่ง่าย หาความรู้ก่อน จากคนที่สอนให้เทรดอย่างเป็นระบบ และรอดในระยะยาว
ในตลาด มันมีคนหลายประเภทครับ บางเพจ ก็อวดแต่กำไร และซุกผลเทรดที่ขาดทุนเอาไว้ ไม่โชว์ เพราะต้องการที่จะหาผลประโยชน์บางอย่าง ถ้าคุณไปตามคนเหล่านี้ โอกาสที่คุณจะไม่ได้ความรู้อะไรเลย และหมดตัว ก็มีสูงมากๆ
ส่วนตัว ถ้าให้ผมแนะนำ คนที่เทรดอย่างเป็นระบบ และสอน mindset ที่ดีให้กับเทรดเดอร์ ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นครับ คือลุงโฉxก
ก็ลองไปค้นๆ หาดูกันเองใน แพลทฟอร์มดูวีดีโอสีแดงๆ ผมบอกได้เลยว่า ค่าแห่งความไม่รู้ มันแพงกว่าเยอะมากๆ ครับ
2) ถ้าไม่มีตังเรียน ก็ไปศึกษาจากใน แพลตฟอร์มดูวีดีโอสีแดงๆ ก่อน
ช่อง ดีๆ ที่สอน mindset การเทรด มีเยอะแยะครับ ( ไม่แน่ใจว่า mod จะแบนหรือป่าว เลยอ้างถึงไม่ได้เลย ตอนนี้ หลอนกับ mod ของ tradingview มากๆ ไม่รู้จะพิมพ์อ้าง content ข้างนอกได้ถึงแค่ไหน ทางที่ดีเลยไม่อ้างเลยแล้วกัน บ้าบอ )
เอาเป็นว่า ถ้าคุณ "ขยันพอ" คุณก็ได้ความรู้เยอะมากๆ แน่นอน
3) ถ้าคันมือจริง ให้เทรดหยั่งเชิงด้วยเงินน้อยๆ ก่อน
คุณเป็นมือใหม่ เทรดยังไงก็ต้องพลาด ก็ต้องหมดตัวครับ มันเป็นเรื่องธรรมดาของตลาด
แต่เราก็ควรที่จะเรียนรู้ตลาดไป ด้วยเงินน้อยๆ ก่อน อย่าเพิ่งเอาเงินเยอะไปลง เพราะเปรียบเหมือนคุณเป็นแค่ทหารเลว ที่ไม่เคยฝึกรบเลย แล้วอยู่ๆ คุณก็ไปขับเฮลิคอปเตอร์เลย ... ถามว่า คุณจะขับได้ไหมครับ? 5555
ทุกอย่าง ต้องเรียนรู้ครับ การเทรดก็เช่นกัน ไม่มีอะไรง่ายๆ แบบกระดิกตีนแล้วได้ตังเลย... อันนั้นมันแชร์ลูกโซ่ครับ
4) แต่ถ้าจะให้แนะนำจริงๆ ช่วงนี้ก็ควรถือเงินสด เฉยๆ และงดลงทุนไปก่อน จนกว่าสถานการณ์ไวรัส จะคลี่คลายไปจากโลกนี้ครับ...
ระวังนะ คิดว่าจะเอาเงินมาลงทุน เพราะไม่อยากให้เงินอยู่เฉยๆ ... ระวังมันจะหมดไปแทน..
ตลาดนี้มันโหดนะครับ หมดแล้วหมดเลย ไปทวงคืนมาจากไหนก็ไม่ได้แล้วด้วย
แถมสภาพเศรษฐกิจ ที่ยังเป็นขาลง ยาวๆ และ Bitcoin เองก็ต้องพิสูจน์ตัวเองว่า จะยืนหยัดสู้มรสุมเศรษฐกิจ ไปได้ เหมือนที่หลายๆ คนคิดกันหรือป่าว... ก็ยังไม่มีใครรู้
ถือเงินสด แล้วศึกษาหาความรู้ ไปก่อนดีกว่าครับ
สรุป
ที่โพส ก็หวังดีกับทุกคน ไม่อยากให้หลายๆ คนที่เข้ามาเทรด แบบ งงๆ แล้วขาดทุนยับ หรือไปเข้ากลุ่มผิด เจอกลุ่มนักพนัน บอกซิกรัวๆ โดยไม่มีผล backtest อะไร แอดมินมันก็ไม่เคยรับผิดชอบ
ตลาดมันไม่ง่าย เน้นอีกที ไม่ง่ายเลย ... อย่ามักง่าย อย่าขี้เกียจ นะครับ เรียนรู้เยอะๆ ศึกษาเยอะๆ
ถ้าคุณมักง่าย คุณก็จะหมดตัวง่ายๆ ครับ
[Repost] บันทึก Bitcoin Halving #3 (2020)
ผ่านไปแล้วกับ Bitcoin Halving ครั้งที่ 3 ในปี 2020 ที่ชาวคริปโตฯ ตื่นเต้นกันมาตั้งแต่ปี 2019 ว่า Bitcoin จะ Moon ไปเป็นระดับ 100,000 ตามที่ Stock to Flow Model ได้ทำนายไว้
ซึ่ง หลายๆ คนก็ใช้ไอ้ S2F Model เนี่ยแหละ ในการเอามาอ้างว่า เดี๋ยวราคามันก็จะต้องขึ้นไปตามนี้ “อย่างแน่นอน”
ซึ่ง...ไอ้ความอย่างแน่นอน เนี่ยแหละ ที่มันคาใจผมมาก 555 เพราะพอเริ่มศึกษาการเทรด มาเยอะๆ .. ก็พบว่า .. มันไม่มีอะไรที่ “แน่นอน” ในตลาดเก็งกำไร .. ทุกอย่างถูก drive ด้วย อุปสงค์ อุปทาน
เมื่อมีคนต้องการมาก ราคาก็ขึ้น เมื่อไม่มีใครต้องการ ราคาก็ลง ก็แค่นั้นเอง
จริงๆ ผมจะเขียนบันทึกโน่นบันทึกนี่ เล่าว่าทำไม ราคา BTC ถึงบินแรงในปี 2017 , 2019, 2020 แต่คิดๆ แล้วจบไม่ลง + สมองตื้อเพราะนอนน้อยมาหลายวัน เอาเป็นว่า... สรุปแบบรวบรัดเลยแล้วกันครับ 555
1.สาย Buy & Hope ต้องระวัง เพราะสุดท้าย รอบนี้ เราก็เป็นการ halving ที่ Bitcoin อยู่ในกรอบขาลงใหญ่
ก่อนหน้านี้ Bitcoin Halving เกิดในช่วงที่ ราคา Bitcoin เป็น “Trend ขาขึ้น” ที่ชัดเจน
รอบนี้ ถามว่า มันก็เกิดในเทรนขาขึ้นไหม? ... ถ้าจะให้บอกด้วยเส้น EMA 18 Weekly ก็คงจะบอกได้ว่า “ใช่”
แต่ถ้าลองลาก Trendline connect ระหว่างยอดเก่าๆ ที่ผ่านมา ก็พบว่า... “ยังอยู่ใน downtrend”..
ซึ่ง.. ถ้า BTC จะไปถึง 20k , 100k หรือ 1m อย่างที่หลายๆ คนฝันกัน ว่าจะรวยง่ายๆ แล้ว ... มันก็จะต้องทะลุ เทรนไลน์นี้ขึ้นไปให้ได้ก่อนอยู่ดี..
พูดง่ายๆ ก็คือ ต้องดีดแรงๆ แท่งเดียวไปยืนเหนือ 11000 ได้ แล้วก็จะได้ไปต่อ..
ส่วน ถ้ายัง ก็ไม่ต้องลุ้นอะไรมาก ลุ้นแค่ว่า มันอย่าทำ new low ก็พอ 5555
2. หลังจากนี้ จะเล่นข่าวอะไร?
ที่ผ่านมา ตลอดสองปี 2019-2020 เราเล่นข่าว halving มาตลอด .. ก่อนหน้านั้นเราเล่นข่าว สถาบันการเงิน เช่น CBOE, CME มาเปิด Bitcoin Future รวมถึง Bitcoin ETF ที่สุดท้าย ผ่านมาสองปีก็เป็นหมันกันไปหมดแล้ว
ซึ่ง.. พอ halving เกิดไปแล้ว..แล้วหลังจากนี้ เราจะมีข่าวอะไรให้เล่นอีก? ... ก็ไม่มีเลย 555 ผมก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่า แล้วหลังจากนี้ ตลาดจะลาก BTC ขึ้นไปต่อได้อย่างไร ก็คงได้แต่คอยติดตามกันต่อไป
3. สองปีที่ผ่านมา 2019-2020 เรายังไม่เจอสภาพตลาดที่ “สิ้นหวัง อย่างรุนแรง” เหมือนปี 2018
ถ้าใครนั่งตาม Bitcoin มาตลอดสองปี เหมือนผม เราก็จะเจอช่วงที่ตลาดสิ้นหวัง จิตตก อย่างรุนแรง นั่นก็คือช่วงที่ Bitcoin หลุดจาก 6000 มา 3200 .. สภาพตอนนั้น คือ จำได้ว่า มีแต่คนมองลง มองว่ามันจะไร้ค่า เป็นขยะ จบแล้ว .. หลายๆ คนที่ดอย ก็พยายามหาที่พึ่งทางดอย ว่า จะทำยังไงดี จะแก้ดอยอย่างไร .. แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบได้ 555
ซึ่งก็กลายเป็นว่า ช่วงที่ตลาด สิ้นหวังๆ คนเบื่อๆ นั่นแหละ คือสัญญาณ “ซื้อ”
แต่ถ้าเรานึกกันดีๆ ตั้งแต่ปี 2019-2020 เป็นต้นมา เราแทบไม่เจอช่วงที่ตลาด “สิ้นหวังอย่างสุดๆ” เลย... เราอาจจะมีช่วงสิ้นหวังนิดๆ หน่อยๆ ช่วงปลายปี 2019 ที่ราคาเหี่ยวๆ ไปสองสามเดือน แต่จาก sense ที่ผมสัมผัสมา ก็ยังไม่สิ้นหวังเท่าไหร่
และช่วงที่มันลงไป 3600 ต้นปี 2020 นี่ .. มันก็ยังไม่แช่ ให้คนสิ้นหวังเลย อยู่ๆ ก็ตะบี้ตะบันกลับขึ้นมา retest 10k ในเวลาเพียงแค่ 2 เดือน เท่านั้น
ถ้าให้มอง ก็คงเป็นเพราะกระแส halving นี่แหละ...
แต่ หลังจากวันนี้เป็นต้นไป .. halving ก็เกิดไปแล้ว ตลาดรับรู้ข่าวไปแล้ว ราคาก็ขึ้นมาจาก low 3600 เยอะมากแล้ว ( ถ้าวัดก็เป็นหลัก 250% up ถือว่าเยอะมากๆ )
แถมรอบที่ขึ้นไป 10k สองรอบ ใน 5 เดือนที่ผ่านมานี้ ก็ทำให้มือใหม่ ที่ไม่รู้เรื่องราว อะไรเลย เข้าตลาดกันอีกเพียบ เพราะคิดว่า นี่คือหนทางปลดทุกข์ ที่แค่ buy & hope แล้วเราก็จะรวยกันง่ายๆ โดยไม่ต้องทำไรเลย
แต่มันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ เหรอ?... ถ้ามันง่ายขนาดนั้นคนก็คงรวยกันหมดโลกแล้วล่ะครับ 555
ก็นั่นแหละ.. ส่วนตัวผมคิดว่า เราน่าจะต้องเจอสภาวะที่ตลาดสิ้นหวัง อย่างรุนแรง คนเทขายทิ้ง กันไม่เหลือเยื่อไย และแช่ราคาให้อยู่ในจุดที่ไม่มีใครต้องการ กันอีกสักพักใหญ่ๆ ... หลังจากนั้นเจ้าก็จะทยอยเก็บของต่อไปเรื่อยๆ เพื่อลากขึ้นต่อ ในอนาคตข้างหน้า
ปัญหาคือ .... แล้วมันจะใช้เวลากี่เดือน หรือกี่ปี เนี่ยแหละ... ก็ไม่มีใครตอบได้ 555
ส่วนถ้าถามผมว่า ราคาเท่าไหร่ ที่เม่าจะยอมแพ้ .. เท่าที่ผมไล่ดูราคามา ก็พบว่า ... เม่าจะยอมแพ้ ยกธงขาวกันหมด ที่แถวๆ ติดลบ 80% จากจุดเข้าครับ...
ซึ่งเท่าที่ดู คนที่เข้าแถวๆ 10k น่าจะเยอะมากๆ ...
ดังนั้น -80% ของ 10k ก็คือ 2000 นั่นเอง 5555 ในที่สุด ทีม 2000 ก็จะได้กดซื้อซะที หลังจากรอมานานแสนนาน :D
ผมเชื่อว่า ถ้าเจ้ากดมาแช่ราคาที่ 2000-3000 สักสองสามเดือน คนที่มาเข้าแถว 10k นี้ จะยอมแพ้ ยกธงขาวกันหมดครับ 555
สรุป
เนื่องจากตลาด เป็น random walk การเดินแบบสุ่ม
ไม่มีใครหน้าไหน ในโลกนี้ สามารถ “รู้อนาคต” ที่แน่นอนได้
กูรูทุกคน ก็ได้แต่ “ทำนาย” ราคา ตามระบบ ของตัวเองกันทั้งนั้น ( เช่น S2F model, Fibo Projection , Trendline ฯลฯ)
แต่ถามว่า มันจะขึ้นไปถึงหรือป่าว... ก็ไม่มีใครรู้หรอกครับ
มันอาจจะถึงก็ได้ หรืออาจจะไม่ถึงเลยก็ได้ มันอาจจะเหี่ยวแห้งตาย เป็นขยะ digital เหมือนที่ลุงปีเตอร์ ชริฟ แกชอบแซะชาว Bitcoin ก็ได้ 555
สิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ผมอยากจะฝากไว้ก็คือว่า ... มือใหม่เอง ก็อย่ามามั่นใจ ในคำทำนายพวกนี้มากนัก และเสี่ยงด้วยเงิน เท่าที่ยอมเสียได้ก็พอ
เพราะตลาดอย่าง Crypto มันเป็นตลาดที่มีความเสี่ยง และความผันผวนสูงมาก ... ถ้าคุณเข้ามาแบบ งงๆ คุณก็จะเสียเงินแบบ งงๆ ครับ
ศึกษา เยอะๆ เรียนรู้ เยอะๆ นะครับ อย่ามักง่าย ในการเทรด เด็ดขาด หาระบบอะไรสักอย่าง แล้วก็ทำตามมันไปซะ และต้องมีจุดที่ยอมแพ้ เสมอ อย่าไปถัวเฉลี่ยขาดทุนไปเรื่อยๆ ...เพราะนั่นคือหนทางสู่หายนะ ...
ขอให้โชคดี...
[RE]รวบรวมบทเรียน จากเหตุการณ์ BTC -50% ใน 28 ช.ม. ( 13/3/2020 )
ในวันที่ 12-13/3/2020 ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ที่น่าจะถือเป็นหนึ่งหน้าในประวัติศาสตร์ของ Bitcoin กันเลยทีเดียว นั่นก็คือ ราคา BTC ร่วงลงมาจาก 8000 ลงมาถึง 3600 ( ประมาณ -55% ) ในเวลาแค่ 28 ชั่วโมง
โดยผมได้อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด ตลอดการทุบแรงทั้งสองรอบ ซึ่งก็บอกได้เลยว่า... ผมเองนั้นก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์ทุบที่เร็วและแรง แบบนี้มาก่อน ตั้งแต่เทรดมาสองปีกว่า
ครั้งสุดท้ายที่เจอก็คือ Nov 2018 ตอนวันที่หลุด 6000 ลงไป 5000 ในวันเดียว และค่อยๆ ซึมต่อจาก 5000 ลงไปถึง 3100 ในอีก 1 เดือนข้างหน้า .. ช่วงนั้น ผมเองก็เกือบล้างพอร์ต หมดตัว ขาดทุนหนักถึง -80% เพราะดันไปคิดว่า 6000 เอาอยู่ ลงไปเดี๋ยวก็เด้งกลับ และกราฟทำทรงสามเหลี่ยม เตรียมระเบิดขึ้นไปต่อแรง ... และก็ไม่ได้มองเรื่อง Risk กรณีที่มันอาจจะลงต่อเลยแม้แต่นิดเดียว
ดังนั้น รอบนี้ พอเห็นท่าไม่ดี เริ่มเสียทรงขาขึ้นตั้งแต่หลุด 9500 ผมก็เลยดำเนินนโยบายนั่งถือเงินสดเฉยๆ ไม่คันมือ และก็ได้ผลเป็นอย่างดี เพราะผมรอดจากการทุบครั้งนี้มาได้แบบ กำไรด้วยซ้ำ ( มีการ buy put option เก็บไว้ด้วย ทำให้ได้กำไร )
แต่ก็นั่นแหละ ไม่ใช่ผมคนเดียวที่โชคดี หลายๆ คนก็โดนล้างพอร์ต หมดตัว หรือขาดทุนหนัก จากเหตุการณ์ในวันนั้น ผมก็เลยขอเป็นหน่วยกล้าตาย สรุปข้อผิดพลาด จากของตัวเอง และของคนอื่น เอามาไว้ในบทความนี้ เพื่อที่ ในอนาคต ลูกเพจ หรือตัวผมเอง จะได้ย้อนกลับมาอ่าน และจะได้ไม่เกิดปัญหา แบบเดิมอีก ในอนาคต ครับ
1.อย่ามั่นใจว่า เอาอยู่ ไม่ลงแน่ เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้
ข้อนี้ น่าจะเป็นสาเหตุหลัก ที่ทำให้คนหลายๆ คนหมดตัว ล้างพอร์ต หรือขาดทุนหนัก ในการทุบ -55% ในวันนั้นเลยครับ ..เพราะพอเรามั่นใจ ว่าเอาอยู่ ไม่ลงหรอก กูรูคนนั้นคนนี้เขาบอกไว้ เชื่อถือได้แน่ๆ ก็เลยจัดกันไปแบบ จัดหนักจัดเต็ม all-in หรือไม่ก็ จัดแบบ all-in + 20x กันตรงแนวรับสำคัญกันเลยทีเดียว
แต่ก็นั่นแหละ ถ้าคนที่เคยผ่านเหตุการณ์ ตอนปี 2018 มา .. ก็จะมีสติ และบอกตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า ... “เฮ้ย ตอนที่คนส่วนใหญ่มั่นใจว่า เอาอยู่... แบบนี้ มันจะเอาไม่อยู่ และหลุดลงไปแรงเอานะนี่” .. ซึ่งผมก็ใช้แนวคิดนี้แหละ มาคอยเตือนสติตัวเอง ว่าไม่ให้เทรดหนัก หรือไปมั่นใจตามคนอื่นเขา .. เพราะเวลามันไม่เป็นอย่างที่เราคิด แล้วเราไปจัดหนักนี่... ความเสียหายต่อ portfolio มันสูงมาก เกินกว่าที่เราจะสามารถเอาคืนมาได้... โดยเฉพาะถ้าโดนล้างพอร์ต หมดตัวไป... คือจบ เลย จบกัน...
2. ถึงแม้เราจะ Long ด้วยความเสี่ยง ที่เราคิดว่า น้อยที่สุด ที่ Bitmex ... ก็ยังไม่รอด
รอบนี้ มันโหดตรงที่ว่า ถึงแม้คุณจะ เปิด Long Position ด้วยความเสี่ยงที่น้อยที่สุด ที่ Bitmex เช่น มี 1 BTC และตอนนั้นราคา BTC = 8000 ก็เปิด long position ด้วยจำนวน 8000 contracts
นั่นก็หมายความว่า liquidation price ของคุณจะอยู่ที่ entry / 2 = 8000/2 = 4000 นั่นเอง...
ผมเชื่อว่า ณ เวลานั้น ไม่มีใครคิดหรอกครับ ว่า มันจะลงไป 4000 ได้ยังไงวะ เพราะที่ผ่านมา Bitcoin ไม่เคยลงไปถึงขนาดนั้นเลย
แล้วเราเห็นไหมครับ ว่ามันลงไปถึงไหน... 3596 นะครับ ... ก็โดนล้างกันไปเรียบร้อย ขนาดเสี่ยงน้อยที่สุดก็ยังไม่รอด
3. อย่าสวนเทรนใหญ่
รอบนี้ ผมก็งงกับหลายๆ คนที่มาใช้มุก ย่อซื้อ ย่อซื้อกัน เพราะเอาจริงๆ เทรนขาขึ้นรอบนี้ มันเสียตั้งแต่ราคาหลุด 9500 ลงมา ตั้งแต่แถวๆ ช่วงปลาย Feb 2020 แล้ว และมันก็ไม่ได้ไม่เตือนเราล่วงหน้า... เพราะถ้าเราตาม indicators หลายๆ ตัว เราก็เห็นว่า ตั้งแต่ หลุด 9500 ลงมา พวก trend following หลายๆ ตัวก็บอกให้ออกไปเรื่อยๆ ทีละตัว สองตัว และผมเองก็โพสลงในเพจ มาโดยตลอด ว่าให้ระวัง
เอาง่ายๆ แค่ MACD ตัดศูนย์ ( Action Zone แดง ) TF Daily มันก็บอกให้ออกตั้งแต่ วันที่ 28 ก.พ. 2020 ตอนราคา 8700 ซึ่งถ้าเราทำตามระบบ เราก็ควรนั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไรกันตั้งแต่ตอนนั้น
ถูก ว่า มันจะมีบางระบบ ที่สวนเทรน เช่น การวัด fibo หรือการนับเวฟ แต่เราก็ต้องยอมรับว่า โอกาสผิดมันก็มีสูง เพราะเรากำลังสวนเทรนใหญ่อยู่ การจะสวนเทรนใหญ่ ถ้าจะเข้าจริงๆ ก็ต้องมี risk management ที่ดีและชัดเจน .. ต้องรู้ว่า จุด stop อยู่ตรงไหน และความเสี่ยง ถ้าเราผิดทาง เป็นเท่าไหร่ ..... และที่สำคัญคือ.. ห้าม all-in
4. อย่าถัวขาดทุน ผิดทางก็ stop loss ซะ
เอาจริงๆ รอบนี้ ถามว่าผมได้มีการออกไม้เสี่ยงบ้างไหม ... ก็มีนะครับ โดย ลองเข้าดู ตรงแถวๆ 7800-7900 ไม้นึง แต่สุดท้าย พอประเมินแล้ว ดูซ้ายดูขวาแล้ว ผมก็คิดว่า รอบนี้ ไม่น่ารอด ออกมาถือเงินสดดูลาดเลาก่อนดีกว่า และก็รีบหนีก่อนจะมีการทุบลงมาในวันรุ่งขึ้น
แต่เท่าที่ผมเห็น หลายๆ คนที่มาเทรดสวนเทรนใหญ่รอบนี้ แทนที่จะผิดทางแล้วยอมตัดขาดทุน แล้วนั่งเฉยๆ ไปก่อน ก็ดันไม่ยอมแพ้ และไปถัวลงไปเรื่อยๆ ตลอดทาง .. ถ้าถัวด้วย spot ก็ยังไม่ค่อยเป็นไรเท่าไหร่ แต่บางคนที่ผมเห็นมา ก็ดันไปถัวด้วย margin บ้าง ด้วย leverage สูงๆ บ้าง ... เพราะมั่นใจว่าเดี๋ยวก็เด้ง สุดท้าย พอมันราคาร่วงจริงๆ ก็ล้างพอร์ตกันระนาว ใส่ไป 100 BTC ก็หมด 100 BTC ใส่ไป 1000 BTC ก็หมด 1000 BTC ครับ
ถ้าเราคุมความเสี่ยงดีๆ คำนวณ position size + risk ที่เหมาะสม และตั้ง stoploss ดักไว้เลย มาชนก็ยอมแพ้ อย่าไปกลัวเด้ง เพราะถ้ามันเด้ง อย่างน้อย เราก็เสียตังเท่าที่เรายอมเสีย แต่ถ้ามันไม่เด้ง ก็อย่างที่เห็นนี่แหละครับ ... เละ + ล้าง กันได้เลยทีเดียว
5. Overtrade ไป กะรวยเร็ว สุดท้าย ได้มาเยอะเท่าไหร่ ก็คืนตลาดไปหมด จากการเสียเพียงแค่ครั้งเดียว
หลังๆ พวก leverage exchange เปิดขึ้นมาเยอะมาก ที่ระดมเปิดกันมาแย่งลูกค้า
ไอ้ exchange ที่เปิดให้เราใช้ leverage ได้เนี่ย.. ถ้าเราใช้เป็น มันก็เหมือนเครื่องมือชั้นดี ที่ช่วยให้เราสามารถบริหารจัดการ BTC ของเราได้อย่างง่ายขึ้น ดีขึ้น ผ่านพวก instruments ต่างๆ ของมัน เช่น perpetual swap หรือ future รวมทั้ง option
แต่มือใหม่ส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจ ถึงความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ และคิดว่า เออ exchange เขาใจดีจัง เรามีตังแค่ 100$ แต่สามารถเทรดได้สูงถึง 12,500$ ( 125x ) และกลายเป็นการกำเงินเข้าบ่อนกันหมด กะรวยเร็ว รวยลัด ... ซึ่งสุดท้าย ก็พบว่า .. แทนที่จะรวย ก็กลายเป็นหมดตัวไปซะงั้น...
บางคน ก็มือขึ้น เทรดแบบหลายๆ x ได้กำไรบางช่วงมาเยอะมาก แล้วก็มั่นใจสุดๆ ว่าเรานี่โคตรเก่ง ตลาดมันง่ายขนาดนี้เลยนี่หว่า แล้วก็ไปเถียงตลาด และเปิด position ขนาดใหญ่มาก กะรวยเร็วไปเลย เพราะคิดว่าไม่หลุดแน่ เอาอยู่... แต่พอหลุด ก็จบ ... ล้างพอร์ต ... กำไร + ทุน หายหมด ไม่เหลือแม้แต่บาทเดียว...
6. ถ้าไปสวน แล้วโดน stop บ่อยๆ ก็พักมือบ้างก็ได้ อย่าไปพยายามจะเอาคืน
อันนี้ เห็นบางคน พยายามจะ call bottom อยู่นั่นแหละ โดยการหาจุดเข้าสวนเทรนใหญ่ เรื่อยๆ เพราะที่ผ่านมา ตลาดมันลงไม่แรง มันลงเนิบๆ และก่อนหน้านี้มันก็เป็นขาขึ้นเล็กๆ .. การใช้กลยุทธ ย่อ long พอดีดก็ขาย และรอ short พอร่วงก็ take profit จึงทำได้ง่ายๆ
แต่หลังจากหลุด 9500 ลงมา ตลาดก็ร่วงลงมาแบบแทบจะไม่ได้พัก เพราะเจอแรงเทขายมาตลอดทุกวัน ทั้งวัน ( ถ้าไปดูแท่ง 4H จะเห็นว่า แดงเถือกแทบทุกแท่ง ยาวลงมาตลอดสองสามวัน )
ทีนี้ คนที่เคยเล่นได้กับกลยุทธ เดิมๆ ก็คือ ตั้ง buy + stop รอไว้เพื่อจะลุ้นเกี่ยวมาเข้า แล้วลุ้นเด้ง จึงไม่สามารถทำได้เลยแม้แต่นิดเดียว และโดน stop loss ไปทุกครั้งตลอดทาง
จริงๆ ถ้าเราเริ่มเสียบ่อยๆ โดน stop บ่อยๆ สิ่งที่เราควรทำก็คือการ “พักก่อน” อย่าเพิ่งรีบจะไปเอาคืน เพราะเราควรจะต้องประเมินกลยุทธ ที่เราใช้แล้วว่า ช่วงนี้ มันมีปัญหาอะไร ทำไมมันถึงโดน stop ถี่ขนาดนี้ ... แต่ก็นั่นแหละ เอาจริงๆ ก็วนไปเรื่องเดิมก็คือ การที่ไปรีบรับมีด สวนเทรน น่ะแหละ 5555
7. รอให้มีสัญญาณซื้อ หรือกราฟ confirm การกลับตัว ใน Timeframe ใหญ่ แล้วค่อยเสี่ยง จะดีกว่า
จากข้อที่แล้ว ถ้าจะสวน หรือจะเข้าซื้อจริงๆ เราก็ควรจะรอให้ระบบที่เราใช้ อย่างน้อย ก็มีสัญญาณเข้าซื้อใน timeframe ใหญ่ก่อนจะดีกว่า ได้จุดเข้าที่แพงหน่อย แต่มีโอกาสที่มันจะวิ่งขึ้นต่อ ... ก็ยังดีกว่าไปพยายามรับมีด แล้วก็มีดหลุดมือมาปาดคอตัวเองตายนะ
8. เงินต้นสำคัญที่สุด อย่าปล่อยให้ขาดทุนหนัก เพราะจะทำกำไรคืนกลับมาให้เท่าทุนยากมากๆ
ถ้าเราขาดทุน -10% เราพยายามไม่มาก จากเงินทุนที่เหลืออีก 90% ให้กลับคืนมา 100% ก็จะทำได้อย่างสบายๆ
แต่ถ้าเราขาดทุน -50% เราจะต้องทำกำไรจากเงินที่เหลือแค่ 50% อีกตั้ง 100% ถึงจะกลับมาเท่าทุน
แต่ถ้าเราขาดทุน -90% เราจะต้องทำกำไรจากเงินที่เหลือแค่ 10% ถึงตั้ง 1000% ถึงจะกลับมาเท่าทุน... และโอกาสก็แทบจะริบหรี่...
หลายๆ คนคิดว่า ขาดทุนนิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอก ไม่ขาย ไม่ขาดทุน แต่ไอ้แนวคิดบ้าเนี่ย มันอันตรายที่สุด เพราะมันอาจจะทำให้พอร์ตของคุณ เสียหายหนัก จนเกินเยียวยา และจะทำให้สภาพจิตใจของคุณเสียหายหนักไปด้วย.. และจะไปตัดสินใจอะไรผิดพลาดอีกเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ..
9. หลังราคาลงแรง อย่ารีบกระโดดเข้าไปกลางสนามรบ เพราะราคาจะผันผวนแรงมาก
ก็เช้าวันที่ 13 หลังจากราคามันดิ่งไป 3600 แล้วหลังจากนั้นมันก็เด้งกลับมา 5500 ในวูบเดียว และอีกสามวัน หลังจากนั้น มันก็แกว่งไปแกว่งมาใน 1 วันแรงมาก โดยแกว่งลงไปถึง 4500 แล้วเด้งขึ้นมา 5500 ตลอดทั้งวัน.. อย่าลืมว่า พอเราลงมาราคาต่ำๆ แบบนี้แล้ว 1000$ ของช่วงนี้ มันก็คือ +22% ถ้านับจาก 4500 และ -18% ถ้านับจาก 5500
การที่เราจะรีบไปเอาคืนในช่วงหลังสงครามแบบนี้ ก็จะมีความเสี่ยงสูงมาก โดยเฉพาะการที่ยังปรับโหมดความเสี่ยงไม่ทัน และคิดว่า ก็เข้าเหมือนเดิม 10x all-in ไป เหมือนแถวๆ ช่วง 10k ... คุณก็จะโดนล้างพอร์ตรัวๆ เพราะมันวิ่งตั้ง +-20% ในวัน โดยเฉลี่ย... ขนาด 2x ยังเจ็บหนัก 555
มีทางเดียวครับ คือพักมือ นั่งสงบสติอารมณ์ และทบทวนความผิดพลาดของตัวเองก่อน อย่าเพิ่งรีบโดดเข้าสนามรบ และอย่าลืม จดบันทึกด้วยว่า เราพลาดตรงไหน และจะทำไงไม่ให้พลาดโง่ๆ แบบนี้อีก ( เห็นมะ มีผมช่วยจดแทนให้ด้วยซ้ำ 555 แต่ผมจดให้ก็ไม่เท่าคุณจดเองนะครับ เพราะมันคือการที่คุณจะได้นั่งนึกๆ ความผิดพลาด ด้วยตัวคุณเอง คุณจะจำแม่นกว่ามานั่งอ่านของผม )
สรุป
เอาเท่านี้ก่อนแล้วกัน รอบนี้ ผมรอดตายมาได้ และได้กำไรมาด้วย เพราะบทเรียนของผมเอง ที่เกือบหมดตัวตอน BTC หลุด 6000 มา 3000 เมื่อปี 2018
นี่ถ้าผมปล่อยมันผ่านไป ไม่ได้บันทึก หรือตกผลึกหัวข้อว่า เราพลาดตรงไหนบ้าง ... ผมก็คงไปมั่นใจว่า 7500 ไม่หลุดแน่ และไป all-in หนักเหมือนคนอื่นๆ กันอีกแน่นอนครับ
ก็ฝากกันไว้ ผมมาเขียนระบายยาวๆ ให้ท่านฟัง ผมก็ได้ของผมเองนี่แหละ ส่วนใครอ่านจนจบได้ถึงตรงนี้ก็ยินดีด้วย ท่านน่าจะได้อะไรไปบ้างไม่มากก็น้อย 55
หลังๆ ผมปลงๆ นะ มองคนที่ขาดทุนว่าเป็นเรื่องปกติแล้ว และคงไม่ไปพยายามช่วยอะไรเขา เพราะเราก็ทำหน้าที่ของเราไปแล้ว ในการบอกลงออกสื่อของผม.. และคนที่ขาดทุน ถ้าไม่สามารถตกผลึกปัญหาของตัวเองออกมาได้ ว่า เป็นเพราะอะไร .. แล้วเที่ยวไปโทษคนอื่น ว่าทำไมกูรูบอกว่า ให้ all-in แล้วมันลงแบบนี้วะ ไม่แม่นเลยนี่หว่า... เขาเหล่านี้ก็จะไม่พัฒนาอะไรได้เลยครับ 555
เรียนรู้กันไปครับ ตลาดมันไม่ง่าย โดยเฉพาะช่วงขาลงแบบนี้ ถ้าคุณรอดไปได้ หรือไม่รอด แต่เรียนรู้ปัญหา รอบหน้า คุณก็จะแกร่งขึ้นครับ