3 ข้อผิดพลาดในการเทรดที่เทรดเดอร์ควรหลีกเลี่ยงแม้แต่นักเทรดที่มีประสบการณ์มากที่สุดก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงกับดักทางจิตวิทยาที่อาจทำให้ประสิทธิภาพการเทรดของพวกเขาลดลงได้
ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือมืออาชีพ การเข้าใจข้อผิดพลาดทางจิตใจเหล่านี้ — และเรียนรู้วิธีหลีกเลี่ยง — คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนในตลาด
มาดูกันใกล้ ๆ ว่า 3 ข้อผิดพลาดในการเทรดที่พบบ่อยที่สุด ที่เทรดเดอร์ควรหลีกเลี่ยงมีอะไรบ้าง:
⸻
🧠 1. FOMO — ความกลัวที่จะพลาดโอกาส (Fear of Missing Out)
FOMO เป็นหนึ่งในความท้าทายทางอารมณ์ที่ใหญ่ที่สุดของนักเทรด มันคือความรู้สึกตื่นเต้น — หรือความกังวล — เมื่อเห็นตลาดเคลื่อนไหวโดยไม่มีคุณ และผลักดันให้คุณรีบเข้าออเดอร์โดยไม่วางแผนล่วงหน้า
ผลลัพธ์คือการไล่ตามเทรนด์และเข้าเทรดโดยไม่มีการยืนยันที่ชัดเจน ซึ่งมักจะนำไปสู่การขาดทุน
วิธีหลีกเลี่ยง:
ยึดมั่นในแผนการเทรดของคุณ รอจังหวะที่เหมาะสม และจำไว้ว่า — การพลาดโอกาสหนึ่งครั้งดีกว่าการเสียเงินจากการเทรดที่ไม่พร้อม ตลาดจะมีโอกาสใหม่ให้คุณเสมอ
⸻
😡 2. Revenge Trading — การเทรดเพราะอารมณ์อยากเอาคืน
หลังจากขาดทุน หลายคนมักจะรู้สึกอยาก “เอาคืน” โดยรีบเข้าเทรดใหม่เร็วเกินไป ซึ่งมักจะนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดและขาดทุนมากกว่าเดิม
วิธีหลีกเลี่ยง:
ยอมรับการขาดทุนว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเทรด หยุดพักและกลับมาเมื่อคุณควบคุมอารมณ์ได้แล้ว
เป้าหมายของคุณไม่ใช่เพื่อเอาเงินคืน — แต่คือการเทรดให้มีคุณภาพ
⸻
🎲 3. ความเชื่อของนักพนัน (Gambler’s Fallacy)
นักเทรดหลายคนเข้าใจผิดว่าผลลัพธ์ที่ผ่านมาอาจมีผลต่อผลลัพธ์ในอนาคต เช่น “แพ้มาสามครั้ง ครั้งนี้ต้องชนะแน่” แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่ตลาดทำงาน
แต่ละการเทรดเป็นเหตุการณ์อิสระที่มีความน่าจะเป็นของตัวเอง
วิธีหลีกเลี่ยง:
เชื่อในวิเคราะห์ของคุณ ไม่ใช่ความรู้สึกหรือโชคชะตา
เน้นการบริหารความเสี่ยงและวางแผนอย่างมีระบบ แทนที่จะหวังพึ่งความบังเอิญ
⸻
💡 สรุป
ความสำเร็จในการเทรดไม่ใช่แค่การมีสูตรหรือกลยุทธ์ที่ดีที่สุด — แต่คือการควบคุมจิตใจของตัวเอง
เมื่อคุณสามารถหลีกเลี่ยงกับดักทางอารมณ์เหล่านี้ได้ คุณจะเทรดอย่างมีวินัย ชัดเจน และมั่นใจมากขึ้น
จำไว้ว่า: นักเทรดที่เก่งที่สุด ไม่ใช่คนที่ควบคุมตลาดได้ — แต่คือคนที่ควบคุมตัวเองได้ต่างหาก
ไอเดียชุมชน
ฝึกอ่านกราฟหาจุดเข้าให้คมที่สุไม่ได้พูดนานแล้ว การวิเคราะห์นี้คือบันทึกการฝึกหาจุดเข้าส่วนตัวไม่ใช่การส่งซิกแนลการเทรดใดๆทั้งสิ้นเป็บสมุดบันทึกการเทรดส่วนตัว
เพียงแต่นำมาเพื่อให้ผู้ที่ได้เห็นได้ไปฝึกใช้ให้เข้ากับแนวทางการเทรดของตนเองหรือผู้เรียนรู้ใหม่ได้รู้จักตั้งไข่แบบใดยืนให้ได้ด้วยตนเองควรเริ่มเรียนรู้สิ่งใด
ควรฝึกตั้งคำถามและหาคำตอบให้ตนเองเท่านั้น
หุ้นที่ไล่ฝึกอ่านนั้นส่วนตัวจะไม่ทราบว่าเขาทำธุรกิจอะไรมีงบการเงินดีหรือไม่ มีปันผลกี่%เพราะส่วนตัวจะวิเคราะห์กราฟก่อนถ้าดีจะค่อยเจาะดูอีกทีว่าทำมาหากินอะไร ผู้ที่ต้องการอยากรู้ควรหาข้อมูลด้วยตนเอง
กำหนดแผนสร้างรูปแบบการเทรดของตัวเองแล้วเริ่มเดินตามแผนที่วางไว้
จะทำอะไรต้องมีรูปแบบตัวเองนะครับ อย่าเห็นแต่ภาพที่ตีไว้พอกราฟถึงแถบที่ตีปุ๊บกดปั๊บโดนลากปั๊บเลยนะจะบอกให้
ฉะนั้นแนวทางไม่ใช่จุดเข้าแนวทางใช้เพื่อเตรียมหาจุดเข้า
ฝึกอ่านกราฟจะไปถึงไหนก็2.618ถ้าไม่ไปต่อก็สร้างการพักตัวแล้วลงมาก่อน
หาสัญญาณPA ฝั่งSELLได้ แล้วBUYตามแนวโน้มหลัก
ตอนนี้ไม่มีวิธีการใดจะแม่นยำได้100%ในสถานการณ์ตอนนี้มันคือการมั่วแบบมีระบบรูปแบบ แบบแผนของเราเท่านั้นบางคนบอกใครSELLตอนนี้จะเสียใจ แล้วคนที่บอกคนนั้นเขารู้ได้ไงว่าคนSELLจะเสียใจในเมื่อ ทุกช่วงราคามันมีย่อพักพุ่งขึ้นพุ่งลงเสมอ มันอาจจะลงมาก่อนแล้วก็ปิดกำไรแล้วค่อยBuyก็ได้ มันไม่มีผิดไม่มีถูกมันขึ้นกับระบบของตัวเราเองนะครับตั้งไข่ให้ตัวเองครับฟังเสียงหัวใจ สมอง ความรู้สึกนึกคิดของเราครับเราเป็นคนไม่ใช่นกจะคอยอาปากกินอาหารจากแม่นก แม่นกเอาอะไรมาใส่ปากให้เรากินเราก็กินแบบนั้นนะครับเราเป็นคนมี1สมอง2มือเหมือนกันเราเอาวิธีการของใครก็ได้มาทดลองเรียนแบบแล้วค่อยๆปรับสร้างระบบของตัวเองครับ
ฉะนั้นอย่างที่ได้พูดเสมอมาครับ จดบันทึกการเทรด บันทึกอารมณ์ความรู้สึก จดทุกอย่างที่มีอะไรมาสะกิดจิตใจเราจนมันบังเกิดเป็นแสงสว่างให้จดให้หมดคุยกับตัวเองบ่อยๆครับไม่ลองไม่รู้อ่านผ่านไม่ลองทำก็ตัวคุณเองนะครับได้ก็ได้กับตัวเองผมก็แค่แนะนำจากประสบการณ์ตัวเองเท่านั้น ยาหอมมันหวามยาขมมันมีวันอร่อยหรอกครับ
ทริคการใช้งาน Pending Order ให้มีประสิทธิภาพการใช้ Pending Order ไม่ใช่แค่การตั้งราคาแล้วปล่อยทิ้งไว้ แต่มีเทคนิคและทริคสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไรและควบคุมความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น นี่คือทริคเด็ด ๆ ที่เทรดเดอร์มืออาชีพใช้กัน:
1. ใช้คู่กับ "กรอบเวลาที่ใหญ่ขึ้น" (Higher Timeframe) 🗺️
ทริค: วิเคราะห์แนวโน้มและระดับแนวรับ/แนวต้านสำคัญในกรอบเวลา H4 หรือ Daily แล้วจึงใช้ Pending Order ตั้งซื้อขายที่ระดับเหล่านี้
เหตุผล: ระดับราคาที่สำคัญใน Timeframe ใหญ่มีความน่าเชื่อถือสูงกว่า ทำให้ Pending Order มีโอกาสสำเร็จตามแผนมากขึ้น ลดสัญญาณหลอก (Fakeouts) ที่เกิดขึ้นใน Timeframe เล็ก
2. กำหนดระยะห่างที่เหมาะสม (Buffer Zone) 📏
ทริค: อย่าตั้ง Pending Order ตรงเป๊ะ ที่ระดับแนวรับหรือแนวต้าน แต่ให้เว้นระยะห่าง (Buffer) ไว้เล็กน้อย
Buy Limit/Sell Limit: ตั้งให้ห่างจากแนวรับ/แนวต้าน เล็กน้อย เพื่อป้องกันราคาแตะไม่ถึงแล้ววิ่งกลับ
Buy Stop/Sell Stop: ตั้งให้ห่างจากจุด Breakout เล็กน้อย เพื่อยืนยันว่าราคาได้ทะลุไปจริง ๆ ไม่ใช่แค่สัญญาณหลอก
ประโยชน์: ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกลากไปตัดขาดทุนจากการแกว่งตัวของราคาเพียงเล็กน้อย
3. ตรวจสอบ "วันและเวลา" ที่มีความเสี่ยง 🗓️
ทริค: หากตั้ง Pending Order ข้ามคืน หรือในช่วงที่มี Non-Farm Payroll (NFP), การประชุมธนาคารกลาง (FOMC) หรือช่วง ตลาดเปิด/ปิดวันจันทร์ ให้ตรวจสอบและพิจารณายกเลิก
เหตุผล: ช่วงเวลาเหล่านี้มีโอกาสเกิด Gap (ราคากระโดด) และ Slippage สูงมาก ซึ่งอาจทำให้คำสั่งถูกเปิดในราคาที่เสียเปรียบอย่างรุนแรง
4. ใช้ Pending Order เพื่อ "ยืนยันการกลับตัว" (Reversal Confirmation) 🔄
ทริค: เมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับ/แนวต้านสำคัญ อย่าเพิ่งรีบตั้ง Buy Limit/Sell Limit ให้รอสัญญาณแรกของการกลับตัวก่อน (เช่น แท่งเทียน Pin Bar, Engulfing) แล้วจึงตั้ง Pending Order ถัดจากสัญญาณนั้น
ตัวอย่าง: ถ้าราคาลงมาที่แนวรับและเกิดแท่งเทียนกลับตัว ให้ตั้ง Buy Stop สูงกว่ายอดแท่งเทียนนั้นเล็กน้อย เป็นการ "ยืนยัน" การกลับตัวก่อนเข้าเทรดจริง
5. ตั้ง "วันหมดอายุ" (Expiration Date) ⛔
ทริค: หาก Pending Order ของคุณไม่ได้ถูกดำเนินการภายใน 24-48 ชั่วโมง หรือไม่ได้ดำเนินการก่อนวันศุกร์ ให้ ยกเลิก คำสั่งนั้น
เหตุผล: หากคำสั่งรอดำเนินการนานเกินไป หมายความว่าสภาวะตลาดอาจไม่เป็นไปตามที่คุณคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรก การปล่อยคำสั่งไว้ต่อไปอาจมีความเสี่ยง หรือแผนการเทรดนั้นล้าสมัยไปแล้ว
ฝึกอ่านกราฟหาจุดเข้าให้คมที่สุดเตรียมแผนเทรดไม่สนข่าว
กำหนดแผนสร้างรูปแบบการเทรดของตัวเองแล้วเริ่มเดินตามแผนที่วางไว้
ไม่ได้พูดนานแล้ว การวิเคราะห์นี้คือบันทึกการฝึกหาจุดเข้าส่วนตัวไม่ใช่การส่งซิกแนลการเทรดใดๆทั้งสิ้นเป็บสมุดบันทึกการเทรดส่วนตัว
เพียงแต่นำมาเพื่อให้ผู้ที่ได้เห็นได้ไปฝึกใช้ให้เข้ากับแนวทางการเทรดของตนเองหรือผู้เรียนรู้ใหม่ได้รู้จักตั้งไข่แบบใดยืนให้ได้ด้วยตนเอง
ควรเริ่มเรียนรู้สิ่งใด ควรฝึกตั้งคำถามและหาคำตอบให้ตนเองเท่านั้น
กำหนดแผนสร้างรูปแบบการเทรดของตัวเองแล้วเริ่มเดินตามแผนที่วางไว้
จะทำอะไรต้องมีรูปแบบตัวเองนะครับ อย่าเห็นแต่ภาพที่ตีไว้พอกราฟถึงแถบที่ตีปุ๊บกดปั๊บโดนลากปั๊บเลยนะจะบอกให้
ฉะนั้นแนวทางไม่ใช่จุดเข้าแนวทางใช้เพื่อเตรียมหาจุดเข้า
XAUUSD M15 ( อธิบายการเข้า ออเดอร์ ) เทคนิคการเทรดที่ผมใช้ : M15
1.trend : H4 + H1
2. Structure : ( จาก ทฤษฎี SMC นิดหน่อย )
3. wyckoff : นิดหน่อย ( ใช้หาการสะสมราคา , โซนเงินไหลเข้า/ออก , เทรด M15 )
4. liquidity + FVG : การสะสมราคา , โซนเงินไหลเข้า/ออก , ระยะ Tp ( จาก ทฤษฎี ICT )
5. session : การเทรด ช่วงเวลาตลาด London+Ny ( จาก ทฤษฎี ICC )
** ยิ่ง TF เล็กลง ** ยิ่งต้องใช้เทคนิคสูง แนะนำไม่ควรเทรดต่ำกว่า M5 ( WTF!! M1 พวกมโน )
⚙️ หลักสำคัญ (Key Principles)
• Structure Matters (โครงสร้างสำคัญ):
ราคามักไม่เบรกแนวรับ/แนวต้านเดิมสองครั้งติดกัน
→ ให้มองหาการเบรกครั้งเดียว แล้วรอการพักตัว
• Money Flow Zones (โซนเงินไหลเข้า/ออก):
กล่องสีเหลืองคือบริเวณที่มีเงินทุนจำนวนมากติดอยู่จากการเบรกครั้งแรก
→ บ่งบอกว่ามีแรงซื้อขายสำคัญตรงนั้น
• Patience (ความอดทน):
รอ “การเคลื่อนไหวรอบที่สอง” หลังจากการพักตัว
→ เพราะรอบที่สองมักแม่นยำกว่าและมีความเสี่ยงน้อยกว่า
ฝึกอ่านกราฟหาจุดเข้าให้คมที่สุดไม่ได้พูดนานแล้ว การวิเคราะห์นี้คือบันทึกการฝึกหาจุดเข้าส่วนตัวไม่ใช่การส่งซิกแนลการเทรดใดๆทั้งสิ้นเป็บสมุดบันทึกการเทรดส่วนตัว
เพียงแต่นำมาเพื่อให้ผู้ที่ได้เห็นได้ไปฝึกใช้ให้เข้ากับแนวทางการเทรดของตนเองหรือผู้เรียนรู้ใหม่ได้รู้จักตั้งไข่แบบใดยืนให้ได้ด้วยตนเอง
ควรเริ่มเรียนรู้สิ่งใด ควรฝึกตั้งคำถามและหาคำตอบให้ตนเองเท่านั้น
กำหนดแผนสร้างรูปแบบการเทรดของตัวเองแล้วเริ่มเดินตามแผนที่วางไว้
จะทำอะไรต้องมีรูปแบบตัวเองนะครับ อย่าเห็นแต่ภาพที่ตีไว้พอกราฟถึงแถบที่ตีปุ๊บกดปั๊บโดนลากปั๊บเลยนะจะบอกให้
ฉะนั้นแนวทางไม่ใช่จุดเข้าแนวทางใช้เพื่อเตรียมหาจุดเข้า
ช่วงที่ราคาค่อย ๆ ไต่ขึ้น แบบช้า ๆ มันกำลัง !!!บอกอะไรเรา!!!**ทำไม “แรงเท” ถึงสำคัญ**,
และ **ช่วงที่ราคาค่อย ๆ ไต่ขึ้นแบบช้า ๆ** มันกำลัง “บอกอะไร” เกี่ยวกับรายใหญ่ 👇
---
.
## 💧 1. “แรงเทลง” คืออะไรในมุมของรายใหญ่
“แรงเทลง” หรือ *Sharp Drop* ไม่ได้เกิดเพราะเทรดเดอร์ทั่วไปขายเยอะ
แต่มันคือ “การเทหลอก” จากรายใหญ่ (Smart Money) เพื่อ **สร้างสภาพคล่อง (Liquidity)**
ให้ตัวเองเข้า Position ได้ในราคาที่ดีที่สุด
### 🔍 ตัวอย่าง:
* ราคาไต่ขึ้นเรื่อย ๆ แบบช้า ๆ
* Retail trader (รายย่อย) เริ่ม “กล้า Buy”
* แต่ยัง **ไม่มีคนตั้ง Stop Loss เยอะพอ**
→ รายใหญ่ “ยังไม่สามารถเข้าไม้ใหญ่ได้”
→ จึงต้อง **เทแรงลง (Sweep)** เพื่อ “ลาก Stop Loss” ของฝั่ง Buy
→ หลังจากนั้น **ค่อย Buy กลับในจุดล่างสุด** (OB zone)
---
.
## 💡 2. ทำไม “การไต่ขึ้นช้า” = “ของรายใหญ่ยังอยู่ในมือ”
ช่วงที่ราคาค่อย ๆ ไต่ขึ้น:
* Volume ต่ำ
* Candle body เล็ก
* ไม่มี Break Structure ที่ชัด
* ไม่มี Volatility (แรงเหวี่ยง)
สิ่งนี้บอกว่า:
> “รายใหญ่ยังไม่ปล่อยของ”
> และ “ยังไม่มีฝั่งตรงข้ามพอจะกิน Stop Loss”
เพราะฉะนั้น…
รายใหญ่จะ **ไม่สร้าง Trend ใหม่** จนกว่าเขาจะ **สร้าง Liquidity พอให้เข้าไม้ใหญ่ได้ก่อน**
---
.
## ⚙️ 3. สัญญาณว่า “แรงเท” ใกล้จะมาแล้ว
อย่าลืมสังเกต 4 อย่างนี้ก่อนเกิด Liquidity Grab ใหญ่ ๆ:
1. ราคาไต่ขึ้นเรื่อย ๆ → แต่อยู่ในกรอบ Supply เดิม
2. Volume ลดลงเรื่อย ๆ
3. มี Fair Value Gap (FVG) ค้างไว้ด้านล่าง
4. Timeframe ใหญ่ (H1–H4) เริ่ม Divergence
👉 เมื่อครบ 4 เงื่อนไขนี้ — มักจะตามด้วย **แรงเทแรง ๆ (Stop Hunt)**
และ **กลายเป็นจุดกลับตัว (Reversal OB)** ในเวลาต่อมา
---
.
.
## 🧠 Mindset ระหว่างรอ “แรงเท”
> "อย่ารีบเข้าตลาดตอนที่มันนิ่ง"
> “ของจริงจะมาเมื่อเจ็บก่อนรวย”
รอให้ตลาด “ทุบแรงก่อน” แล้วค่อยเข้าเล่น “จุดเก็บของ” หลังจากการเท
นั่นคือจุดที่ “รายใหญ่เพิ่งเข้ามา” — และคือจุดที่ “เราควรตาม”
ฝึกอ่านกราฟหาจุดเข้าให้คมที่สุด***ว่าด้วยการสังเกตุหาจุดกลับตัว***
กราฟอ่อนกำลังเมื่อแนวโน้มหลักของราคาเริ่มมีกำลังซื้อหรือกำลังขายลดลง โดยสังเกตได้จากรูปแบบราคา เช่น ขาขึ้นอ่อนกำลังเมื่อราคาทำจุดสูงสุดที่ต่ำกว่าเดิม (Lower High) หรือ ขาลงอ่อนกำลังเมื่อราคาทำจุดต่ำสุดที่สูงกว่าเดิม (Higher Low) นอกจากนี้ ยังสามารถดูจาก Indicators เช่น MACD ที่วิ่งเข้าหา Center Line หรือ RSI ที่ลดลงในขาขึ้นหรือเพิ่มขึ้นในขาลง.
วิธีการสังเกตสัญญาณการอ่อนกำลังของกราฟ
ดูพฤติกรรมราคา (Price Action)
ขาขึ้นอ่อนกำลัง: ราคาเริ่มทำจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำกว่าจุดสูงสุดเดิม (Lower High) และจุดต่ำสุดก็มีแนวโน้มยกระดับขึ้นช้าลง.
ขาลงอ่อนกำลัง: ราคาเริ่มทำจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงกว่าจุดต่ำสุดเดิม (Higher Low) และจุดสูงสุดก็มีแนวโน้มลดลงช้าลง.
พิจารณา Indicators (เครื่องมือทางเทคนิค)
MACD (Moving Average Convergence Divergence): สังเกตเส้น MACD ที่วิ่งเข้าหาเส้น Center Line หรือเส้นแนวนอน หมายถึง แรงซื้อหรือแรงขายกำลังหมดลง.
RSI (Relative Strength Index): หาก RSI อยู่ในระดับต่ำกว่า 30 และเริ่มเคลื่อนที่กลับขึ้นมาในแนวโน้มขาขึ้น หรือ RSI อยู่ในระดับสูงกว่า 70 และเริ่มเคลื่อนที่กลับลงมาในแนวโน้มขาลง อาจเป็นสัญญาณการอ่อนกำลัง.
วิเคราะห์ Trend Line (เส้นแนวโน้ม): หากเส้นแนวโน้มที่เคยกดดันราคาเริ่มที่จะหักหัวลง หรืออ้าปากขึ้น อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าแนวโน้มเริ่มอ่อนแรง.
ข้อควรจำ
การใช้ Indicator เป็นเพียงเครื่องมือประกอบการตัดสินใจ ไม่ได้รับประกันความแม่นยำ 100%.
ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น ปริมาณการซื้อขาย (Volume) และแนวรับแนวต้าน (Support & Resistance) ควบคู่ไปด้วย.
แบบทดสอบ: คุณจะทำยังไงเมื่อเจอ “กับดักตลาด”แบบทดสอบ “Mindset ของเทรดเดอร์ต่อกับดักตลาด”**
ออกแบบมาเพื่อให้คุณได้ “วัดตัวเอง” ว่าตอนนี้อยู่ในจุดไหนของวงจรเทรด
ใช้ฝึกจิตและพัฒนาแนวคิดให้คมขึ้น
เหมาะมากสำหรับเทรดเดอร์ที่เข้าใจเรื่อง *สภาพคล่อง*
แล้วอยากต่อยอดจิตวิทยาเทรด
.
---
.
# 🧭 แบบทดสอบ: คุณจะทำยังไงเมื่อเจอ “กับดักตลาด”
.
> เลือกคำตอบที่ “ตรงกับสิ่งที่คุณมักทำจริง ๆ” มากที่สุด
> ไม่มีถูกผิด — แต่แต่ละข้อจะบอก “Mindset” ที่อยู่เบื้องหลัง
---
## 🔹 ข้อ 1: ราคาพุ่งทะลุแนวต้านอย่างแรง พร้อมแท่งเทียนเขียวใหญ่ (Breakout)
คุณจะทำยังไง?
A. กด Buy ทันที เพราะคิดว่าตลาดจะไปต่อ
B. รอดูแท่งถัดไปว่าปิดเหนือแนวต้านไหม
C. รอให้ราคาย่อกลับมาทดสอบแนวที่เบรก (Retest) ก่อนค่อยเข้า
D. ขายสวน เพราะคิดว่าเจ้า “หลอกเบรก”
> 💡 เฉลยเชิง Mindset:
>
> * A = **FOMO bias** (กลัวตกรถ, รายย่อย 90%)
> * B = เริ่มใช้ “การยืนยัน” แบบเทคนิคแต่ยังเสี่ยงโดนหลอก
> * C = **Professional mindset** (รอ liquidity confirm)
> * D = Over-confidence trader (อาจโดนลากก่อนลง)
---
## 🔹 ข้อ 2: ราคาลงมาแรง แล้วเกิดแท่งไส้ยาว (Rejection wick) บนโซน Demand
คุณจะทำยังไง?
A. เข้า Buy ทันทีเพราะเห็นแท่งกลับตัว
B. รอดู 1-2 แท่งต่อไปว่ามีแรง follow หรือไม่
C. ใช้เครื่องมืออื่นยืนยัน (เช่น Volume, BOS, CHOCH)
D. ปิดจอหนี เพราะกลัวลงต่อ
> 💡 เฉลยเชิง Mindset:
>
> * A = **Impulsive entry** (ไวไป, ขาดการยืนยัน)
> * B = มีวินัย เริ่มเข้าใจพฤติกรรมราคา
> * C = **Smart trader** (เทรดจากข้อมูล ไม่ใช่อารมณ์)
> * D = Fear-based trader (มักเสียโอกาสเพราะกลัว)
---
## 🔹 ข้อ 3: หลังจากโดน Stop Loss สองไม้ติด คุณจะ...
A. เพิ่ม lot เพื่อ “เอาคืน” (Revenge Trade)
B. ลดขนาด lot แล้วเทรดต่อทันที
C. หยุดเทรดชั่วคราว เพื่อทบทวน setup
D. ปิดกราฟ แล้วเปิดดู YouTube หรือ scroll มือถือ
> 💡 เฉลยเชิง Mindset:
>
> * A = **อันตรายสุด!** อารมณ์นำ → เสี่ยงล้างพอร์ต
> * B = ดีขึ้น แต่ยังติด mindset “ต้องชนะตอนนี้”
> * C = **Master mindset** (โฟกัสระยะยาว ไม่ใช่ไม้เดียว)
> * D = Escapism (หนีปัญหา ไม่เรียนรู้จากมัน)
---
## 🔹 ข้อ 4: คุณเห็นราคาทำ New High ต่อเนื่องแบบไม่มีจุดย่อ (ATH Phase)
คุณจะ...
A. ไล่ตามเพราะกลัวตกรถ
B. รอจังหวะพักฐาน (consolidation)
C. มองหาสัญญาณ “เจ้าเริ่มปล่อยของ” (Volume divergence / sweep)
D. Sell เลย เพราะคิดว่า “มันต้องลงแล้ว”
> 💡 เฉลยเชิง Mindset:
>
> * A = FOMO Trader (หลงกระแส)
> * B = Balanced Trader (มีวินัย รอความชัด)
> * C = **Liquidity Hunter Mindset** (อ่านเจ้าออก, เข้าใกล้ระดับโปร)
> * D = Contrarian without confirmation (กล้าแต่ไม่มีเหตุผล)
---
## 🔹 ข้อ 5: หลังเข้าไม้ Buy แล้ว ราคาไม่ไปไหน ซึม ๆ อยู่หลายชั่วโมง
คุณจะ...
A. ปิดทิ้ง เพราะเบื่อ
B. ขยับ SL ให้แคบลง “กันเสียเยอะ”
C. ปล่อยไว้ตามแผน เพราะยังไม่หลุดโครงสร้าง
D. เปิด position เพิ่มเพราะอยากเร่งกำไร
> 💡 เฉลยเชิง Mindset:
>
> * A = ขาดความอดทน (impatient mindset)
> * B = Fear-based control (แผนไม่ชัด)
> * C = **Trader มีระบบ** (วินัยเหนืออารมณ์)
> * D = Greedy behavior (โลภ, เพิ่ม risk โดยไม่มีเหตุผล)
---
## 🔹 ข้อ 6: เจอกราฟแกว่งเร็ว ผันผวนสูง (Volatility Spike)
คุณจะ...
A. เข้าเทรดเลย เพราะ “น่าจะวิ่งแรง”
B. ลด lot size ลงครึ่งหนึ่ง
C. หยุดรอดูให้ตลาดนิ่งก่อน
D. ใช้โซนใหญ่ (H1/H4) เป็นหลักแทน M1-M5
> 💡 เฉลยเชิง Mindset:
>
> * A = Over-trading (เสพ adrenaline)
> * B = Risk control mindset
> * C = High emotional discipline
> * D = **Pro-level adjustment** (เข้าใจสภาพตลาดเปลี่ยน ต้องขยายมุมมอง)
---
## 🔹 ข้อ 7: หลังจากได้กำไรติดกันหลายวัน
คุณจะ...
A. เพิ่มขนาด lot เพื่อ “เร่งพอร์ต”
B. เทรดเท่าเดิม เพราะอยากรักษาความสม่ำเสมอ
C. หยุด 1 วัน เพื่อ reset อารมณ์
D. ขยายแผนเทรด — เพิ่ม TF หรือคู่เงิน
> 💡 เฉลยเชิง Mindset:
>
> * A = Ego trap (มั่นใจเกินไป → เสี่ยง crash)
> * B = Balanced mindset
> * C = **High-performance mindset** (เข้าใจจังหวะพักของสมอง)
> * D = Creative expansion (ดี แต่ควรคุม risk)
---
# 🔍 สรุปผล (นับคะแนน Mindset)
* ถ้า Kio ตอบ **ส่วนใหญ่เป็น C หรือ D** → Mindset แบบ “Smart Money / Professional”
* ถ้าส่วนใหญ่เป็น **B** → อยู่ในช่วง “Transition” (เริ่มคิดแบบระบบ)
* ถ้าส่วนใหญ่เป็น **A** → อยู่ใน “Emotional Trader Zone” (ยังเทรดจากความรู้สึกมากกว่าข้อมูล)
---
## 🧘♀️ คำแนะนำสั้น ๆ ต่อ Mindset แต่ละระดับ
🧘♀️ ระดับ | Emotional Trader
ลักษณะ - เทรดจากอารมณ์ / เร่งรีบ
ควรพัฒนาเรื่อง - ฝึกหยุดก่อนเข้า, จดบันทึกเหตุผลก่อนกด
.
🧘♀️ระดับ| Transition Trader
ลักษณะ - มีระบบแต่ยังลังเล
ควรพัฒนาเรื่อง - ฝึกเชื่อมั่นใน process, ไม่แก้ระบบบ่อย
.
.
🧘♀️ระดับ|Smart Trader
ลักษณะ - เทรดตามโครงสร้าง / รอจังหวะ
ควรพัฒนาเรื่อง - รักษาวินัยต่อเนื่อง, จัดการจิตใจวัน drawdown
.
🧘♀️ระดับ| Professional
ลักษณะ - อ่านเจ้าออก, รอ confirm
ควรพัฒนาเรื่อง - สอนคนอื่นได้, ใช้จิตสงบและวินัยเหนือเงิน
สิ่งที่เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ ทำในวันเสาร์–อาทิตย์สิ่งที่เทรดเดอร์มืออาชีพทำในวันที่ตลาดปิด”
มักเป็น **สิ่งที่ทำให้เขานำหน้าคนอื่น** ในสัปดาห์ต่อไป 💪
.
---
.
# 💼 สิ่งที่เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จทำในวันเสาร์–อาทิตย์
.
## 🧭 1. ทบทวนสัปดาห์ที่ผ่านมา (Review Week)
เทรดเดอร์ระดับโปรไม่ปล่อยให้ “กำไรหรือขาดทุน” ผ่านไปเฉย ๆ
แต่เขาจะกลับไปดูว่า...
.
* จุดเข้าทุกจุด → เข้าเพราะ *ตามแผน* หรือ *ตามอารมณ์* ❓
* จุดออก → ออกตามเงื่อนไข หรือกลัวเกินไป ❓
* Market Structure → ยังสอดคล้องกับมุมมองใหญ่มั้ย ❓
* Emotion ตอนเทรด → มีจุดไหนที่ “เราถูกเจ้าหลอกด้วยอารมณ์” หรือเปล่า
.
📒 บางคนจะเขียน “Trading Journal” หรือ “สรุปภาพตลาดรายสัปดาห์” เก็บไว้เลย
---
.
## 🧠 2. ฝึก Mindset & Psychology
.
เทรดเดอร์ที่เก่งจะรู้ว่า “ตลาดคือเกมจิตวิทยา”
วันหยุดคือเวลาที่เขา:
.
* อ่านหนังสือจิตวิทยาเทรด เช่น *Trading in the Zone*, *The Disciplined Trader*
* ฝึกสมาธิ / เดินจงกรม / วิ่ง / ฟังเพลง เพื่อรักษาโฟกัส
* เขียน Affirmation สั้น ๆ เช่น
.
> “ฉันไม่ต้องเทรดทุกวันเพื่อรวย ฉันต้องรอวันของฉันเท่านั้น”
.
-.--
## 📊 3. เตรียมโซนสำคัญ (Top-Down Analysis)
.
ก่อนตลาดเปิด เขาจะ:
.
* ไล่ดูกราฟตั้งแต่ **Monthly → Weekly → Daily → H4 → H1**
* มาร์กแนว **Liquidity Zone / OB / EQH / EQL / Imbalance**
* ทำ “Scenario Plan” ว่า
.
* ถ้าราคามาทาง A → ฉันจะทำอะไร
* ถ้าราคาทะลุไปทาง B → ฉันจะไม่ทำอะไร
.
🎯 เป้าคือ “วันจันทร์ไม่ต้องคิดมาก” เพราะทุกอย่างวางไว้หมดแล้ว
.
---
.
## ⚙️ 4. ปรับปรุงระบบเทรด (System Optimization)
.
* ดูผล Backtest → ว่าระบบยังคงเสถียรหรือไม่
* ปรับ SL, RR หรือ Timeframe ให้เหมาะกับสภาวะ Volatility ล่าสุด
* ทดสอบกลยุทธ์ใหม่ใน TradingView / FTMO demo
---
## 🧩 5. พักผ่อนจริง ๆ (Recovery)
.
เทรดเดอร์ระดับสูงรู้ว่า “สมองและจิตใจคือเครื่องมือทำเงิน”
วันหยุดเขาจะ:
.
* เดินเล่น, พบเพื่อน, เล่นเกม, ไปคาเฟ่ ☕
* ทำสิ่งที่เติมพลัง เช่น วางแผนเป้าหมายชีวิต, ทำ vision board
* ปิดจอมือถือ ไม่ดูกราฟสักวัน เพื่อให้สมอง Reset
.
---
.
## 💡 สรุปสั้น ๆ (Takeaway)
.
> เทรดเดอร์ธรรมดา ใช้วันหยุดพักจากกราฟ
> เทรดเดอร์ระดับโปร ใช้วันหยุด “เข้าใจกว่ากราฟ”
.






















