ฝึกอ่านกราฟผมลองเขียนภาพจากทางเฟรมที่ใหญ่ที่สุดขึ้นมาก่อนอย่างที่เห็นตามภาพเลยครับที่ผมเห็นผมเห็นแบบนี้แหละสิ่งที่จะวิเคราะห์ต่อไปก็คือช่วงราคาที่เราจะใช้ในการเทรดในกรอบเป็นหัวใจหลักตัวอื่นๆนั้นก็แค่เป็นภาพรวมในการมองเห็นเฉยๆมันไม่ได้มีสาระสำคัญอะไรบางคนถนัดใส่ indicator ก็ใส่ลงไปมีอะไรที่เข้าใจก็ใส่ลงไปเลยแล้วก็ลองดูสังเกตดูว่าสิ่งที่มันใส่ไปมันได้ผลอะไรกับชุดวิเคราะห์ของเราไหมอย่างตัวอย่างนี้ที่ใส่ก็คือโบริงเจอร์แบนด์บายที่ BB ล่างเซลล์ที่ BB บนตรงกลางก็ไม่เข้าแต่บางคนอาจจะเข้าในรูปแบบของ indicator อะไรที่มาบอกเพิ่มเติมทำให้สามารถเข้าตรงกลางได้ก็แค่นั้นเองอย่างตอนนี้ครับมันลงมาหา BB ล่างเราก็ต้องมองไปแต่บางคนก็บอกว่าเฮ้ยมันเซลล์ดีกว่าเพราะมันควรต้องเซลล์ก่อนเพราะมันเอียงตัวลงมาแล้วราคาปัจจุบันมันลงก็ต้องหาสัญลักษณ์เพื่อที่จะเทรดลงส่วนคนบายก็ต้องหาสัญลักษณ์ที่จะขึ้นแล้วถ้าทดลองใส่ rsi divergent ลงไปล่ะตอนนี้มันอยู่ตรงกลางแบบนี้จะเข้าซื้อไหมมันก็ไม่มีผิดมีถูกอีกบางคนก็สามารถซื้อขายได้ในกรอบตรงกลางเลยด้วยซ้ำทุกอย่างมันต้องสังเกตและก็ทำซ้ำๆกับรูปแบบเดิมๆที่เราเคยทำ
ไอเดียชุมชน
Risk per Trade ในการเทรด Forex: การบริหารความเสี่ยงเพื่อความอยูในการเทรด Forex หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่นักเทรดควรให้ความสนใจคือ การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) โดยเฉพาะ Risk per Trade หรือความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้ง ซึ่งเป็นแนวคิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้พอร์ตการลงทุนของเราหมดตัวจากการขาดทุนในระยะสั้น
Risk per Trade คืออะไร?
Risk per Trade หมายถึง เปอร์เซ็นต์ของเงินทุนที่เรายอมเสี่ยงต่อการเทรดหนึ่งครั้ง โดยทั่วไปแล้ว นักเทรดมืออาชีพแนะนำให้ใช้ 1-2% ของเงินทุนทั้งหมด ต่อการเทรดหนึ่งครั้ง เช่น หากมีทุน $10,000 และใช้ Risk per Trade ที่ 1% หมายความว่าการเทรดแต่ละครั้งเราจะเสี่ยงขาดทุนสูงสุดที่ $100 เท่านั้น
ทำไมต้องกำหนด Risk per Trade?
ป้องกันการล้างพอร์ต – หากเราไม่จำกัดความเสี่ยง อาจทำให้พอร์ตสูญเสียเงินทุนอย่างรวดเร็วจากการขาดทุนติดต่อกัน
สร้างความสม่ำเสมอในการเทรด – การกำหนดความเสี่ยงที่แน่นอนช่วยให้นักเทรดมีวินัยและสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น
เอาชนะความผันผวนของตลาด – ตลาด Forex มีความผันผวนสูง การจำกัดความเสี่ยงทำให้เราสามารถอยู่รอดในระยะยาว
วิธีคำนวณ Risk per Trade
กำหนดเปอร์เซ็นต์ที่ต้องการเสี่ยง
เช่น กำหนดที่ 1% ของเงินทุนทั้งหมด
คำนวณจำนวนเงินที่เสี่ยงได้
ถ้าทุน $10,000 และเสี่ยง 1% จะได้ $100
กำหนดระยะห่างของ Stop Loss
เช่น หากวาง Stop Loss ไว้ 50 pips
คำนวณ Lot Size ที่เหมาะสม
Lot Size = (Risk per Trade) / (Stop Loss * Value per Pip)
ถ้าค่าเฉลี่ยของ 1 pip = $10 และ Stop Loss = 50 pips
Lot Size = $100 / (50 * $10) = 0.2 lot
ตัวอย่างการใช้งานจริง
สมมติว่าเรามีเงินทุน $5,000 และต้องการเสี่ยง 2% ต่อการเทรด
Risk per Trade = 2% ของ $5,000 = $100
Stop Loss = 25 pips
ถ้าค่าเฉลี่ยของ 1 pip = $10 (สำหรับ 1 lot)
Lot Size = $100 / (25 * $10) = 0.4 lot
ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยงในการกำหนด Risk per Trade
เสี่ยงมากเกินไป – การใช้ความเสี่ยงเกิน 5% ต่อเทรด อาจทำให้ขาดทุนหนักเมื่อเจอการขาดทุนติดต่อกัน
เปลี่ยนเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงบ่อยเกินไป – การไม่มีแผนที่แน่นอนอาจทำให้เกิดการตัดสินใจที่ขาดความรอบคอบ
ไม่ใช้ Stop Loss – การไม่กำหนด Stop Loss อาจทำให้การขาดทุนบานปลายเกินกว่าที่จะควบคุมได้
สรุป
Risk per Trade เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญสำหรับการเทรด Forex อย่างยั่งยืน หากเราบริหารความเสี่ยงได้ดี โอกาสที่จะอยู่รอดในตลาดและสร้างผลกำไรในระยะยาวจะเพิ่มขึ้น การยึดหลัก 1-2% ของเงินทุนทั้งหมดในการเทรดแต่ละครั้งจะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด และทำให้เราสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จในการเทรด Forex
ฝึกอ่านกราฟวันนี้เพิ่งได้มาดูกราฟ
กำหนดแผนในการเทรดกำหนดระยะในการเทรดสร้างแผน by และเซลล์หาเงื่อนไขจุดเช่าซื้อตามรูปแบบที่ร่ำเรียนมาจากเกจิอาจารย์ต่างๆด้วยการใช้อินดิเคเตอร์หรือเปล่าหรือสัญญาณเข้าซื้อแท่งเทียนต่างๆตามรูปแบบที่ตนเองเคยทำได้เงินให้ทำซ้ำทำช่วงเวลาที่ตัวเองทำได้ให้ทำซ้ำช่วงเวลาที่ไม่เคยทดสอบไม่เคยต้องลองทำก็ต้องลองทำด้วยแต่ออกมาทุกครั้งให้กำหนดแผน fl TP เอาไว้เสมอเพื่อให้เกิดภาพจำในรูปแบบของตลาดที่ไม่คงที่ที่ผันผวนตลอดจะได้ปรับตัวทันตามเกมตามเวลาของกราฟ
ฝึกอ่านกราฟคู่เงินยูเจที่วิเคราะห์ภาพรวมใหญ่ในไทม์เฟรมเดือนเราก็รู้แล้วแหละว่าควรต้องทำอย่างไรแต่พอในชีวิตจริงนั้นเราย่อลงมาในทางเกมที่เล็กลงเพื่อหาจุดเช่าซื้อและเก็บรายวันให้สำเร็จซึ่งมันก็ต้องหาเงื่อนไขต่างๆเข้ามาในการอ้างอิงการเช่าซื้อของเราว่าควรต้องเป็นรูปแบบใดซึ่งภาพที่เห็นก็ขีดเขียนตามที่เห็นนี้เลยแล้วก็ต้องรอสัญญาณอะไรก่อนที่จะเข้าว่าจะเป็นไปตามแผนที่เรากำหนดไหมถ้าไม่ใช่เราควรจะต้องรอเข้าแผนอะไรต่ออีก
ฝึกอ่านกราฟตัวนี้ก็ย่อให้มันเล็กลงอย่าไปสนใจแท่งเทียนอยากให้เห็นว่าภาพที่เห็นตามที่ขีดเขียนนี้มันจะประมาณนี้แหละคำถามต่อมาว่าแล้วมันจะขึ้นไปถึงนั้นน่ะมันอีกกี่สิบปีถึงจะขึ้นและระหว่างทางตรงนี้มันมีกรอบให้เทรดอยู่ตั้ง 8,000 จุดเพราะฉะนั้นถ้าเราจะเทรดในกรอบเราก็เทรดได้ทั้งบายและเซลล์แต่ถ้าคิดว่าอยากจะถือเอาไว้ก็ซื้อเก็บซื้อเก็บแล้วลืมไปเลยสั่งซื้อทางโทรศัพท์ให้เสร็จแล้วก็โยนโทรศัพท์เข้าป่าไปเลยแล้วค่อยไปค้นหาอีกทีหลังจาก 10 ปีข้างหน้าเหมือนกับฝากเงินออมเงินไว้นั่นแหละครับมันจะขึ้นมันจะลงก็ปล่อยมัน
ฝึกอ่านกราฟส่วนตัวนี้ก็ไม่มีอะไรก็ย่อมาจาก time frame ที่วิเคราะห์เมื่อสักครู่นี้ก็ตามรูปเลยครับไม่มีอะไรมากมันขึ้นอยู่กับตัวเราแล้วว่า price action ของเราคืออะไรจุดเข้าของเราคืออะไร SL ของเราคือตรงไหนยอมรับขาดทุนแบบใดจะเข้ากี่ไม้จะเบิ้ลไม้ไหมมันขึ้นอยู่กับรูปแบบของเราจะเก็บสั้นเก็บยาวมันก็เป็นรูปแบบของเรา indicator จะมีอะไรก็ใส่เข้าไปตามที่ตัวเองเข้าใจร่ำเรียนมาแบบไหนก็ลองใส่ดูรูปแบบเดิมๆซ้ำๆสำคัญที่สุดต้องลองดู
ฝึกอ่านกราฟตรงที่เป็นดาวสีขาวอย่าเพิ่งมองมันเป็นของชุดวิเคราะห์H4
อยากให้มองภาพรวมใหญ่ก่อนจากภาพที่เขียนตามรูปนี้เลยเห็นอะไรก็ต้องให้เขียนแบบนั้นแหละอย่าไปเชื่อหรือว่าไปอ้างอิงจากข่าวสารหรือว่าจากแนวคิดของใครคนใดคนหนึ่งอยากให้ฝึกคิดด้วยตัวเองมากกว่าจากภาพที่ขีดเขียนเนี่ยอยากให้เห็นภาพเฉยๆว่าสังเกตไหมครับว่าการซื้อขายทั้งข้างบนและข้างล่างมันบีบราคาขึ้นไปเรื่อยๆบายที่ต่ำลงแล้วก็ค่อยๆสูงขึ้นไปเรื่อยๆเซลล์ที่สูงสุดแล้วก็เซลล์ที่ต่ำลงมาเรื่อยๆบีบตัวกันจนเป็นสามเหลี่ยมชายธงหรือสามเหลี่ยมปากนกอย่างที่ทุกคนพูดกันนั่นแหละครับสังเกตไหมว่าเราจะได้ราคาบายและเซลล์ในราคาที่แย่ลงเรื่อยๆเพราะฉะนั้นสิ่งที่จะบอกในภาพนี้มันหมายถึงอะไรการเทรดมันขาดทุนได้ตลอดเสมอแต่ถ้าเราอยากจะได้ราคาที่ดีถ้าจะบายก็ต้องรอให้ย่อลงมาแล้วบายถ้าจะเซลล์ก็ต้องรออย่างนี้ยกขึ้นไปแล้วเซลล์ในราคาที่ดีที่สุดแต่คำถามคือจะยกขึ้นไปแล้วจะอยู่ตรงไหนแล้วมันจะไปเบรคเอาตรงไหนทำให้เรารู้ว่าจะต้องเซลล์เมื่อไหร่แล้วเหมือนกันแล้วมันจะลงไปลงไปแค่ไหนมีการทำ price action แบบไหนในราคาที่เราจะบายในราคาที่ดีที่สุด
ทุกคนจะต้องมีรูปแบบของตัวเองที่เคยทำเงินได้ตามจำนวนกี่จุดต่างๆก็ว่ากันไป SL กี่จุดก็ว่ากันไป
ฝึกอ่านกราฟทดลองใส่ indicator อิชิโมกุใส่ rsi divergentเกิดความขัดแย้งกันลักษณะแบบนี้แล้วจะทำแบบไหนจะเข้าอย่างไรก็ต้องมีรูปแบบที่ตัวเองต้องทำความเข้าใจให้ได้ว่าในลักษณะสัญลักษณ์อะไรที่เราควรจะเข้าออเดอร์เซลล์หรือจะรอจังหวะเจ้าบายอย่างไร
ในมุมมองของแต่ละคนก็จะไม่เหมือนกันอยู่แล้วบางคนมองเซลล์บางคนมองบายต้องเซลล์ณตอนนี้บางคนบอกรอให้ย่อลงมาสักหน่อยค่อยบายก็ได้แต่บางคนบอกว่าตรงนี้ล่ะเสียวได้แล้วเซลล์ก่อนแล้วค่อยบายก็ได้มันคือรูปแบบและมุมมองที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงนะครับมันขึ้นอยู่กับการที่เราฝึกบ่อยๆซ้ำๆเดิมๆ
ฝึกอ่านกราฟจากชุดวิเคราะห์เดิมไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไรเพิ่มเติมเพียงแค่ใส่อินดิเคเตอร์ 2 ชนิดเข้าไปโบริงเจอร์แบนด์และ rsi divergentโดยไม่ได้มีการปรับแต่งค่าใดๆ
ซึ่งถ้าทุกคนเข้าใจวิธีการใช้งานก็จะรู้กันอยู่แล้วว่ามันคืออะไรซึ่งใครๆก็รู้และก็ต้องรู้ว่าจะต้องเข้าออเดอร์อย่างไรซึ่งเกิดdivergent ให้เราเซลล์แล้วทำไมเรากดเซลล์ไปแล้วมันถึงขึ้นไปกิน SL เราเพราะอะไรเหตุผลมันมีมันต้องหาเหตุผลทำไมเราถึงไม่ควรจะเข้าตามอินทิเกเตอร์ที่เขากำหนดมันต้องมีเหตุผลแล้ว BB เราควรต้องเข้าตามที่เขากำหนดหรือไม่มันเป็นวิธีการคิดที่แตกต่างซึ่งบางคนมองอาจจะทำตาม indicator เลยโดยการกด cell แต่ในอีกกลุ่มหนึ่งมองใน indicator อีกรูปแบบหนึ่งว่าควรต้องรอย่อมาก่อนแล้วค่อยบายซึ่งมันไม่มีสิทธิ์ไม่มีถูก indicator เป็นส่วนหนึ่งในการเอามาวางสายตาให้เราเห็นอะไรบางอย่างเท่านั้นแต่สิ่งที่มันสำคัญที่สุดคือรูปแบบที่เราเคยได้เงินการลงของแต่ละแท่งเทียนเป็นอย่างไรควรต้องลงแบบไหนทุกอย่างต้องเกิดจากการสังเกตสมมติฐานขึ้นมาในการทำตัวอย่างทดสอบดูอย่างน้อย 10 20 30 40 ถึง 100 ตัวอย่างไปเลยแล้วมาดูค่าเฉลี่ยว่าอัตราชนะคือเท่าไหร่ถ้ามันทำได้แล้วถูกต้องบันทึกการเทรดนั้นจดเอาไว้แล้วเริ่มทำใหม่อีกครั้งหนึ่งโดยที่ทั้งที่จะทำต่อไปอย่าให้มันผิดต้องให้มันชนะให้เยอะกว่าแพ้แล้วก็จำนวนครั้งให้น้อยลง
ฝึกอ่านกราฟh1ตัวนี้ก็ย่อมาจากไทม์เฟรมก่อนหน้าที่วิเคราะห์เอาไว้สักครู่นี้ลองใส่ indicator ลงไปโดยส่วนมากทุกคนก็ต้องรู้จักอยู่แล้วว่าใช้งานอย่างไรใช้ไม่เป็นก็เช็คใน google ได้ค่าที่ใช้ไม่ได้มีเซ็ตค่าอะไรเลยมาจากโรงงานเลยซึ่งถ้าใครใส่อะไรลงไปเงื่อนไขต่างๆมันเป็นสิ่งที่เจ้าตลาดกำหนดเอาไว้ให้แล้วเป็นค่าที่เขาใส่ไว้ให้เราอยู่แล้วเป็นสิ่งที่เขาสร้างกับดักเอาไว้ให้เราใช้งานอยู่แล้วซึ่งสิ่งที่จะบอกณขณะนี้คือใครที่มองเห็นภาพรู้แล้วว่ามันต้องเข้ายังไงซื้ออย่างไรทุกคนก็จะไปซื้อตามที่เขากำหนดสุดท้ายเขาก็จะกินรวบหมด
เพราะฉะนั้นเครื่องมือที่มีให้เราสามารถใช้ได้แต่เราต้องใช้ในรูปแบบของเราที่เราเคยได้เงินอย่าไปนอกเหนือจากรูปแบบเดิมๆที่เราเคยทำ
อย่างเช่นก่อนหน้านี้เกิดไดเวอร์เจนท์ครั้งที่ 1 กราฟให้เราเซลล์ผมเข้าออเดอร์เซลล์ไปขาดทุนไป SL 1000 จุดจากจุด SL ตรงนั้นผมเพิ่มอีก 1 ไม้ SL1000 จุดเท่ากันสุดท้ายไม้ที่ 2 รอดแต่ณปัจจุบันนี้มีไดเวอร์เจนท์อีกชุดหนึ่งขึ้นมาเป็น divergent ที่ 2 แล้วเราจะเข้าออเดอร์เซลล์ไหมเราจะกล้าเข้าไหมถ้าเราเข้าเซลล์เราจะโดนดันตัวขึ้นไปไหมในเมื่อแนวโน้มมันเป็นขาขึ้นเราก็ต้องมีรูปแบบที่เราจะเก็บกำไรเข้าพอร์ตแบบไหนแล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคนตามความถนัดของแต่ละคนตามที่ตนเองเรียนมาแบบใดเกจิอาจารย์ท่านไหนสอนแบบใดก็ล้วนแล้วแต่ร้อยแปดพันก้าว
ฝึกอ่านกราฟจากในภาพที่เห็นนี่ขีดเขียนออกมาตามที่เห็นเลยครับคนที่เทรดมานานก็อาจจะบอกว่าเออก็รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นแบบนี้ส่วนคนที่ยังไม่เคยเทรดก็จะไม่รู้เลยว่าจะไปทางไหนมือใหม่ๆก็จะไม่รู้เลยภาพที่เห็นมันก็เป็นอย่างที่เขียนนี่แหละครับไอ้รูปหลอดไฟนั่นก็คือสิ่งที่เป็นแนวความคิดของทุกคนบนโลกใบนี้ว่าจะเข้าออเดอร์แบบไหนดีจะกดเซลล์ก็กลัวโดนทุบจะกดบายก็กลัวโดนทุบเพราะว่ามันอยู่ในจุดที่สูงสุดณขณะนี้ซึ่งเราไม่รู้เลยว่ามันสูงหรือยังณขณะนี้แล้วมันกำลังจะลงหรือยังอันนี้คือสิ่งที่มันเป็นปัญหาแล้วแล้วปัญหาของทุกคนก็คือเราจะรอเข้า order ตามแนวรับต่างๆซึ่งเจ้าตลาดรู้หมดแหละว่าเรากำลังจะเข้าออเดอร์บริเวณนั้นทั้งหมดและเขาก็รอกินรวบกับคนที่เข้าออเดอร์บายทั้งหมดแล้วก็กำลังจะรอกิน order คนที่เซลล์ทั้งหมดณขณะนี้ซึ่งสิ่งที่จะตอบได้ณขณะนี้เลยว่าเราควรจะเข้าออเดอร์แบบใดนั่นคือรูปแบบที่เราเคยทำได้เงินแบบไหนตีเส้นอย่างไรใช้อินดิเคเตอร์แบบไหนเราเคยได้ออเดอร์ลักษณะแบบนี้กี่จุดแล้วเราปิดหลังจากปิดมันจะโดนทุบเลยทันทีหรือไม่หรือมันจะไปต่อสถิติสำคัญที่สุดบันทึกการเทรดสำคัญที่สุดเราก็ต้องฝึกอย่างเดียวเท่านั้นซึ่งปัจจุบันนี้ตอบได้อย่างเดียวคือแนวโน้มขาขึ้นหน้าที่ของมันคือย่อแล้วบายซึ่งจะมาย่อตอนไหนก็ไม่รู้แล้วจะไปบายช่วงไหนก็ไม่รู้แต่รู้แค่นี้ซึ่งรูปแบบสำคัญที่สุดคือรูปแบบของตัวเอง
ฝึกอ่านกราฟผมลองสังเกตภาพนี้ได้เขียนภาพขึ้นมาตามที่เห็นเลยครับรูปแบบกราฟมันคือ sideway สังเกตไหมว่าราคาแนวรับและแนวต้านมันค่อยๆบีบตัวแคบลงเรื่อยๆนั่นคือราคาที่ทุกคนบนโลกใบนี้ยังไงก็ต้องรู้อยู่แล้วแหละว่าจะต้องเข้าบายที่แนวรับเข้าเซลล์ที่แนวต้านใครๆก็รู้แล้วก็ถูกเจ้าตลาดกินรวบหมดทุกคนภาพที่เห็นแค่อยากจะสื่อให้เห็นว่าถึงยังไงมันก็โดนกินอยู่ดีแหละแต่วิธีการที่เราจะเข้าซื้อนั่นน่ะสำคัญรูปแบบเดิมๆที่เราเคยได้เงินนั่นแหละคือสิ่งที่สำคัญเพราะว่ามันเป็นรูปแบบที่เรายังไม่เคยโดนตลาดเขามาช้อนกินเราหรือไม่ก็เป็นจังหวะที่ว่าเราเก็บกำไรแล้วมันเพิ่งจะกินเจ้าตลาดเพิ่งจะมากินร่วมไอ้นั่นแหละครับคือสิ่งที่อยากจะบอกจับฟิกเล็กๆพวกนี้เอาไว้พอแล้วแล้วก็ทำแบบเดิมๆซ้ำๆด้วยรูปแบบที่ตัวเองเข้าใจ
ฝึกอ่านกราฟอย่าง m15 นี่ก็ย่อมาจาก h1 ที่วิเคราะห์ไว้ก่อนหน้าถ้าไม่เข้าใจต้องย้อนไปดูข้างหลังอีกทีนึงผมไม่ได้ไปปรับภาพอะไรเลยลบข้อความออกบางข้อความแค่นั้นเองก็อยากจะให้ขยายออกมาให้ดูสิ่งที่ทำตรงนี้ใช้โบว์ลิงเจอร์แบนด์ค่าเดิมเลยไม่ได้ปรับอะไรของโรงงานที่เขาให้มาเลยค่า rsi divergent ก็ไม่ได้ปรับอะไรเลยทุกคนสามารถดูได้เข้าใจหมดแต่ทุกคนต้องรู้ว่าจะเข้าแบบไหนแค่นั้นเอง
แต่อย่างไรเราก็ติดกับดักของเจ้าตลาดอยู่ดีแหละถึงจะบอกเลยว่าถึงยังไงเราก็ยังแพ้อยู่ดี
แต่ถ้าเราเข้าต้องมีเหตุมีผลที่จะเข้าเพราะอะไรด้วยแล้วเราจะปิดกำไรแบบไหนเราจะไม่ปิดถ้าเราไม่ปิดแล้วเราจะโดนย้อนกลับมาโดนกิน SL เราไหมไอ้นั่นก็ต้องพิจารณาดู
ถ้าไม่เข้าใจก็ google youtube มีเยอะครับไปลองหาข้อมูลดูจุดเข้าจุดออกเราความถนัดช่วงเวลาสำคัญด้วยไม่เทรดช่วงข่าวแล้วเราจะได้แบบไหนเทรดช่วงข่าวเราจะโดนแบบไหนก็ต้องเอาให้ได้ทุกตลาดต้องลองฝึกดูครับ
ฝึกอ่านกราฟอันนี้ก็ใช้ชุดวิเคราะห์ทำเฟรม h1 อันเดิมเลยแต่ผมขยายภาพให้มันใหญ่ขึ้นแล้วก็บันทึกการเทรดของตนเองออกมาได้รูปดังนี้จะเห็นได้ว่าเขาเกิดใดเวอร์เจ้นจริงแต่ทำไมเรากดเซลล์แล้วยังโดน SL นั่นแหละครับมันเป็นสิ่งที่จะบอก
ต่อให้เรารู้อะไรมากแค่ไหนยังไงเราก็โดนเจ้าตลาดเอาไปกินอยู่ดี
เรากด sale เขาก็ขึ้นไปกินเราจนได้แต่อย่างว่าล่ะครับเราก็ต้องกดตามแผนแล้วก็ SL ตามแผนไป
อย่างน้อยเราก็รู้แค่ว่าเรายอมรับในการขาดทุนได้แค่ไหน
สุดท้ายเขาจะขึ้นไปแค่ไหนเราก็ยัง SL เท่าที่เรากำหนดไว้แค่นั้นแหละ
แต่ถ้าเขาย่อตัวลงมาสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นก็คือจุดที่เราเคยมองเอาไว้ว่าจะเซลล์ในชุดแรกมันก็จะต้องเปลี่ยนเป็น by แทนแต่เราจะทำยังไงต่อก็ต้องหา price action ด้วยในแท่งเทียนด้วยในรูปแบบที่ตัวเองเข้าใจด้วยประมาณนี้ล่ะครับลองสังเกตดูแล้วกันอันนี้คือตัวอย่าง
ฝึกอ่านกราฟทดลองใส่ indicator ตามค่ามาตรฐานที่โปรแกรมมีให้เลยมุมมองของแต่ละคนไม่เหมือนกันแน่นอนบางคนมองว่าจะต้องบายบางคนมองว่าจะต้องเซลล์ซึ่งมันไม่มีผิดไม่มีถูกมันขึ้นอยู่กับการเลือกใช้ว่าเราจะเข้าใช้แบบใดโดยให้เงื่อนไขของแท่งเทียนแบบใดจึงจะเข้าออเดอร์บ่ายหรือแบบใดจึงจะเข้าออเดอร์เซลล์ซึ่งอินดิเคเตอร์ถ้าคนเข้าใจในรูปแบบการใช้งานมันก็คือเครื่องไม้เครื่องมือชนิดนึงที่เอามาให้เรามองและก็หาจุดเช่าซึ่งมันก็คือกับดักที่เจ้าตลาดเขาได้ set เอาไว้ให้เราอยู่แล้วนั่นแหละคือสิ่งที่จะบอกว่าเครื่องมือมีให้มีประโยชน์แต่ก็ต้องหาวิธีเข้าที่ต้องระวังโดนเจ้าย้อนกลับมากินเราจนขาดทุน
ฝึกอ่านกราฟภาพที่เห็นนี้มันจะดูรกๆหน่อยนะครับจากที่เห็นด้วยตาเห็นอะไรอยากเขียนอะไรพูดออกมาพูดออกมาให้หมดรู้อะไรใส่เข้าไปให้หมดแล้วเราก็มาดูซิว่าไอ้สิ่งที่เราใส่เข้าไปนั่นน่ะมันมีจุดไหนที่เป็นจุดที่สังเกตว่ามันเป็นไปตามที่เราคิดแล้วมันเป็นแบบนั้นกี่รอบทำสัก 10 ครั้งมันขึ้นแบบที่เราคิดไหมสักกี่ครั้งแล้วถ้าเราจะเข้าออเดอร์ตรงนั้น sltp คือเท่าไหร่เราพอใจแค่ไหนควรจะต้องมองหาทุกๆวิถีทางดูตามที่ตัวเองถนัดจะใส่ฟีโบเข้าไปก็ได้แต่ผมไม่ใส่เพราะมันรกมากแล้วตอนนี้ก็เลยเอาให้ดูประมาณนี้เขียนภาพออกมาว่ามันจะขึ้นหรือมันจะลงหรือมันจะ side way ลองจินตนาการภาพออกมาหาสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นคาดการณ์อนาคตของกราฟดับค้างเอาไว้หลายๆมุมมองเพื่อให้ได้เห็นว่ามันเข้ามุมมองไหนแล้วเราก็ไปเข้าแผนในการเข้าออเดอร์ในมุมมองนั้นๆ
MTA : วิธีการใช้ Multiple Timeframe Analysis MTA: วิธีการใช้ Multiple Timeframe Analysis
👰กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับการเทรดวิเคราะห์กราฟและการแชร์เทคนิคคอลแจ่มๆที่ใช้ดีและบอกต่อ หลายคนอาจจะงง กับการเทรดหลายๆทามเฟรม และบางคนก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าการเทรดเพียงแค่ทามเฟรมเดียว หรือ เทรดหลายทามเฟรมมีดีอย่างไร มาครับวันนี้แอดพาไปทำความรู้จักการเทรดแบบ MTA กัน ตามมาอ่านกันได้เลย
การใช้ Multiple Timeframe Analysis (MTA) เป็นเทคนิคที่ช่วยให้เทรดเดอร์เห็นภาพรวมของตลาดได้ชัดเจนขึ้น โดยการวิเคราะห์กรอบเวลาใหญ่เพื่อหาแนวโน้มหลัก และกรอบเวลาเล็กเพื่อหาจุดเข้า-ออกที่แม่นยำ นี่คือขั้นตอนละเอียดในการใช้ MTA อย่างมีประสิทธิภาพ
1. เลือกกรอบเวลาที่เหมาะสม
การวิเคราะห์หลายกรอบเวลาควรใช้กรอบเวลาที่สัมพันธ์กัน เช่น:
กรอบเวลาใหญ่ (Higher Timeframe - HTF): ใช้เพื่อหาแนวโน้มหลัก เช่น Daily (D1), H4
กรอบเวลากลาง (Intermediate Timeframe): ใช้เพื่อยืนยันสัญญาณ เช่น H1
กรอบเวลาเล็ก (Lower Timeframe - LTF): ใช้เพื่อหาจุดเข้า-ออก เช่น M15, M5
2. วิเคราะห์กรอบเวลาใหญ่ (HTF) เพื่อหาแนวโน้มหลัก
ขั้นตอน:
เปิดกราฟกรอบเวลาใหญ่ (เช่น Daily)
ใช้เครื่องมือวิเคราะห์แนวโน้ม เช่น Moving Average (MA), Trendline, หรือ ADX
ระบุแนวโน้มหลัก:
ขาขึ้น (Uptrend): Higher Highs (HH) และ Higher Lows (HL)
ขาลง (Downtrend): Lower Highs (LH) และ Lower Lows (LL)
Sideway/Range: ราคาเคลื่อนที่ในกรอบแนวนอน
ระบุระดับ Support/Resistance ที่สำคัญ
ตัวอย่าง:
หากกราฟ Daily แสดงแนวโน้มขาขึ้น ให้มองหาโอกาสซื้อ (Buy) ในกรอบเวลาเล็ก
หากกราฟ Daily แสดงแนวโน้มขาลง ให้มองหาโอกาสขาย (Sell) ในกรอบเวลาเล็ก
3. วิเคราะห์กรอบเวลากลางเพื่อยืนยันสัญญาณ
ขั้นตอน:
เปิดกราฟกรอบเวลากลาง (เช่น H4)
ตรวจสอบว่าแนวโน้มในกรอบเวลากลางสอดคล้องกับกรอบเวลาใหญ่หรือไม่
ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพิ่มเติม เช่น Fibonacci Retracement, RSI, หรือ MACD เพื่อหาจุดกลับตัวหรือสัญญาณยืนยัน
ตัวอย่าง:
หากกราฟ Daily เป็นขาขึ้น และกราฟ H4 แสดง Pullback (การปรับตัวลงชั่วคราว) ให้มองหาโอกาสซื้อเมื่อราคากลับมาทะลุแนวต้านหรือยืนเหนือ MA
4. วิเคราะห์กรอบเวลาเล็ก (LTF) เพื่อหาจุดเข้า-ออก
ขั้นตอน:
เปิดกราฟกรอบเวลาเล็ก (เช่น M15)
หาจุดเข้าเทรดโดยใช้สัญญาณจาก Price Action หรือตัวบ่งชี้ เช่น:
Price Action: รูปแบบแท่งเทียน (Pin Bar, Engulfing, Inside Bar)
ตัวบ่งชี้: RSI, Stochastic Oscillator, หรือ MACD
ตั้ง Stop Loss และ Take Profit โดยอ้างอิงจากกรอบเวลาใหญ่และกลาง
ตัวอย่าง:
หากกราฟ Daily และ H4 แสดงแนวโน้มขาขึ้น และกราฟ M15 แสดงสัญญาณซื้อ (เช่น Bullish Engulfing) ให้เข้าซื้อและตั้ง Stop Loss ต่ำกว่า Support ล่าสุด
5. จัดการความเสี่ยงและวางแผนเทรด
Stop Loss: ตั้ง Stop Loss โดยอ้างอิงจากกรอบเวลาใหญ่หรือกลาง เพื่อให้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับการเคลื่อนไหวของราคา
Take Profit: ตั้ง Take Profit โดยอ้างอิงจากระดับ Resistance ในกรอบเวลาใหญ่หรือกลาง
Risk-Reward Ratio: ควรมีอัตราส่วน Risk-Reward อย่างน้อย 1:2 (เสี่ยง 1 เพื่อกำไร 2)
6. ตัวอย่างการใช้งานจริง
สมมติคุณวิเคราะห์กราฟ Daily และพบว่า EUR/USD อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
กรอบเวลาใหญ่ (Daily):
แนวโน้มขาขึ้น (Higher Highs และ Higher Lows)
Support หลักอยู่ที่ 1.1000
กรอบเวลากลาง (H4):
ราคากำลัง Pullback ลงมาใกล้ระดับ Support ที่ 1.1000
RSI ใกล้ Oversold (30)
กรอบเวลาเล็ก (M15):
ราคาเกิด Bullish Engulfing Pattern ใกล้ระดับ 1.1000
เข้าซื้อที่ 1.1005 และตั้ง Stop Loss ที่ 1.0980 (ต่ำกว่า Support)
ตั้ง Take Profit ที่ 1.1100 (ใกล้ระดับ Resistance ในกรอบ Daily)
7. ข้อควรระวัง
False Signal: สัญญาณในกรอบเวลาเล็กอาจไม่แม่นยำหากไม่สอดคล้องกับกรอบเวลาใหญ่
Overanalysis: อย่าวิเคราะห์กรอบเวลาเล็กมากเกินไปจนเสียโฟกัสจากแนวโน้มหลัก
ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับสไตล์การเทรด: หากเป็นเทรดเดอร์ระยะสั้น อาจใช้กรอบเวลาเล็กเป็นหลัก แต่ต้องยืนยันแนวโน้มจากกรอบเวลาใหญ่
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กลยุทธิ์การเทรดแบบ MTA เรียบง่ายแต่ทรงพลัง แถมทำกำไรได้เรื่อยๆอีกนะ มันทำให้เราไม่ต้องไปพะว้าพะวง หรือเครียดมากจนเกินไปด้วย ที่สำคัญต้องหมั่นฝึกฝนและทดสอบกลยุทธ์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดข้อผิดพลาดในการเทรดเสมอ แล้วเราจะเก่งและกำไรเรื่อยๆครับ
ฝึกอ่านกราฟผมย่อลงมาให้มันเล็กอีกให้เห็นอะไรมากขึ้นอย่างที่พวกคุณเห็นนั่นแหละ
คนที่เทรดมาเก่าๆก็รู้อยู่แล้วแหละว่าต้องเข้าออเดอร์ที่รับต้านใช่ไหมครับ
แต่ถ้าคนใหม่ๆอาจจะยังไม่เข้าใจที่กำลังเขียนอยู่ว่ามันคืออะไรก็ลองไปศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อน
กลับมาดูใหม่มันถึงจะเข้าใจส่วนตัวเองก็ไม่ได้เก่งอะไรไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากมายอยู่แล้ว
ก็เห็นตามรูปนั่นแหละสิ่งที่เห็น ณ ขณะนี้มันก็คือการสร้างแนวรับแนวต้านที่แคบลงเรื่อยๆ
จากกว้างๆค่อยๆบีบ แคบ แคบ แคบ ลงมาเป็นปากแหลมให้เราได้ราคาออเดอร์ที่ไม่ดีทั้งขาขึ้นและขาลง
แล้วสุดท้ายเขาก็จะกินฝั่งใดฝั่งนึงให้เราขาดทุนซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันอยู่ในการควบคุม control ของเขาอยู่แล้ว
แต่เราต้องเข้าใจว่าสิ่งที่เราเห็นนั่นแหละเราจะเข้าออเดอร์เก็บกำไรได้ในช่วงแบบไหน
แล้วเขาจะเริ่มเก็บรวบกินร่วมเมื่อไหร่ไอ้นี่แหละคือสิ่งที่เราต้องศึกษาหาข้อมูลเพิ่ม
เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเขาอ่ะเห็นหมดแล้วแม้แต่กระทั่ง indicator ที่ทำขึ้นมาเขาก็เห็นหมดแล้ว
เขาเป็นคนสร้างขึ้นมาเองด้วยเพื่อให้เราเข้าตามเงื่อนไขอะไรบางอย่าง
ซึ่งการลองผิดลองถูกจากเกจิอาจารย์ทั้งหลายแหล่ทั้งหมดก็คือเรียนรู้ว่าสิ่งที่เขาเคยทำด้วยอินดิเคเตอร์ต่างๆนั้นมันคืออะไรมันควรต้องเข้าแบบไหนเก็บกำไรอย่างไร
เพราะว่าถ้าไม่เก็บตรงนั้นจะโดนกวาดแบบไหนเมื่อไหร่เป็นสิ่งที่เขาทดลองทางวิทยาศาสตร์ทางคณิตศาสตร์มาหมดแล้ว
ซึ่งทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับการสังเกตจริงๆอยากให้ฝึกอย่างเดียวเท่านั้นรูปแบบเดิมๆซ้ำๆถามตัวเองย้ำไปย้ำมาย้ำคิดย้ำทำอยู่เรื่อยๆนั่นแหละ
มันไม่ใช่คนโรคจิตหรอกมันคือการฝึกฝึกความอดทนฝึกความชำนาญในด้านใดด้านหนึ่งของเรา
ซึ่งผมต้องบอกก่อนว่าผมไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้นแล้วก็ยังขาดทุนอยู่เหมือนกันแล้วก็ยังไม่เคยชนะตลาดเลย
แต่ไม่ได้มาอวดเก่งแต่พูดจากที่ตัวเองเห็นเอามาเล่าให้ฟังเผื่อใครได้เห็นข้อความบางอย่างในภาพภาพนี้เอาไปต่อยอดอะไรได้ก็เป็นเรื่องที่ดีอนุโมทนาของบุญกุศลให้กลับเข้ามาสู่ตัวเองให้ได้บุญกุศลนั้นทำให้ตัวเองเจริญเติบโตด้วยอาชีพเทรดเดอร์ได้รวดเร็วก่อนที่จะหมดอายุขัยนี้
ฝึกอ่านกราฟผมใช้ชุดวิเคราะห์เดิมจากทำเฟรม week ไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไรเลยอยากให้ลองดูภาพอย่าไปดูแท่งเทียนมันเล็กๆอย่าไปสนใจอยากให้มองดูสิ่งที่ผมทำตรงนี้จากมุมมองที่ผมเห็นตามภาพนี้เลย
คำว่าออเดอร์ปลายไส้มันก็ดูเท่ดีแหละแต่อย่างว่าแหละว่าถ้ามันไม่เป็นตามแผนล่ะถ้าเราไปเข้าตรงนั้นแล้วมันจะเป็นยังไงมันจะทะลุไหมนั่นก็คือไม่มีอะไรตอบได้เลยฉะนั้นถึงแม้ว่าเราจะใส่ indicator หรือรูปแบบของแท่งเทียนอะไรก็ตามที่เราร่ำเรียนมาหรือเราทำความเข้าใจด้วยตัวเองแล้วว่ารูปแบบไหนที่มันใช่ให้ยึดรูปแบบนั้นแหละเป็นรูปแบบของเราในการเข้าออเดอร์เพราะว่าทุกๆสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมามันเป็นสิ่งที่เขาหลอกให้เราเข้าอยู่แล้วแต่เพียงแค่ว่าเราจะเอาวิธีที่เขาหลอกมาใช้งานอย่างไรแค่นั้นเอง
ผมได้ลองทดลองตีfiboขึ้นมา 2 ทางมันก็เป็นรูปแบบให้เราสามารถเทรดได้ทั้ง 2 ทางนั่นแหละครับทั้งขาขึ้นและขาลงนั่นแหละมันจึงเป็นเหตุที่บอกว่ามันไม่มีอะไรที่ตายตัวเลยทำไมสังเกตไหมว่าผมถึงสร้างรูปแบบทั้งขาขึ้นและขาลงทั้งเซลล์ทั้งบายมันก็เพราะเหตุนี้แหละตามภาพนี้เลยเพราะฉะนั้นทุกอย่างขึ้นอยู่กับรูปภาพที่พวกคุณจำนั่นแหละครับว่าคุณจำแบบไหนได้แบบไหนได้เงินแบบไหนแค่นั้นแหละ






















