ไอเดียชุมชน
ทริคการใช้งาน Pending Order ให้มีประสิทธิภาพการใช้ Pending Order ไม่ใช่แค่การตั้งราคาแล้วปล่อยทิ้งไว้ แต่มีเทคนิคและทริคสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไรและควบคุมความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น นี่คือทริคเด็ด ๆ ที่เทรดเดอร์มืออาชีพใช้กัน:
1. ใช้คู่กับ "กรอบเวลาที่ใหญ่ขึ้น" (Higher Timeframe) 🗺️
ทริค: วิเคราะห์แนวโน้มและระดับแนวรับ/แนวต้านสำคัญในกรอบเวลา H4 หรือ Daily แล้วจึงใช้ Pending Order ตั้งซื้อขายที่ระดับเหล่านี้
เหตุผล: ระดับราคาที่สำคัญใน Timeframe ใหญ่มีความน่าเชื่อถือสูงกว่า ทำให้ Pending Order มีโอกาสสำเร็จตามแผนมากขึ้น ลดสัญญาณหลอก (Fakeouts) ที่เกิดขึ้นใน Timeframe เล็ก
2. กำหนดระยะห่างที่เหมาะสม (Buffer Zone) 📏
ทริค: อย่าตั้ง Pending Order ตรงเป๊ะ ที่ระดับแนวรับหรือแนวต้าน แต่ให้เว้นระยะห่าง (Buffer) ไว้เล็กน้อย
Buy Limit/Sell Limit: ตั้งให้ห่างจากแนวรับ/แนวต้าน เล็กน้อย เพื่อป้องกันราคาแตะไม่ถึงแล้ววิ่งกลับ
Buy Stop/Sell Stop: ตั้งให้ห่างจากจุด Breakout เล็กน้อย เพื่อยืนยันว่าราคาได้ทะลุไปจริง ๆ ไม่ใช่แค่สัญญาณหลอก
ประโยชน์: ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกลากไปตัดขาดทุนจากการแกว่งตัวของราคาเพียงเล็กน้อย
3. ตรวจสอบ "วันและเวลา" ที่มีความเสี่ยง 🗓️
ทริค: หากตั้ง Pending Order ข้ามคืน หรือในช่วงที่มี Non-Farm Payroll (NFP), การประชุมธนาคารกลาง (FOMC) หรือช่วง ตลาดเปิด/ปิดวันจันทร์ ให้ตรวจสอบและพิจารณายกเลิก
เหตุผล: ช่วงเวลาเหล่านี้มีโอกาสเกิด Gap (ราคากระโดด) และ Slippage สูงมาก ซึ่งอาจทำให้คำสั่งถูกเปิดในราคาที่เสียเปรียบอย่างรุนแรง
4. ใช้ Pending Order เพื่อ "ยืนยันการกลับตัว" (Reversal Confirmation) 🔄
ทริค: เมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับ/แนวต้านสำคัญ อย่าเพิ่งรีบตั้ง Buy Limit/Sell Limit ให้รอสัญญาณแรกของการกลับตัวก่อน (เช่น แท่งเทียน Pin Bar, Engulfing) แล้วจึงตั้ง Pending Order ถัดจากสัญญาณนั้น
ตัวอย่าง: ถ้าราคาลงมาที่แนวรับและเกิดแท่งเทียนกลับตัว ให้ตั้ง Buy Stop สูงกว่ายอดแท่งเทียนนั้นเล็กน้อย เป็นการ "ยืนยัน" การกลับตัวก่อนเข้าเทรดจริง
5. ตั้ง "วันหมดอายุ" (Expiration Date) ⛔
ทริค: หาก Pending Order ของคุณไม่ได้ถูกดำเนินการภายใน 24-48 ชั่วโมง หรือไม่ได้ดำเนินการก่อนวันศุกร์ ให้ ยกเลิก คำสั่งนั้น
เหตุผล: หากคำสั่งรอดำเนินการนานเกินไป หมายความว่าสภาวะตลาดอาจไม่เป็นไปตามที่คุณคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรก การปล่อยคำสั่งไว้ต่อไปอาจมีความเสี่ยง หรือแผนการเทรดนั้นล้าสมัยไปแล้ว
ฝึกอ่านกราฟหาจุดเข้าให้คมที่สุดเตรียมแผนเทรดไม่สนข่าว
กำหนดแผนสร้างรูปแบบการเทรดของตัวเองแล้วเริ่มเดินตามแผนที่วางไว้
ไม่ได้พูดนานแล้ว การวิเคราะห์นี้คือบันทึกการฝึกหาจุดเข้าส่วนตัวไม่ใช่การส่งซิกแนลการเทรดใดๆทั้งสิ้นเป็บสมุดบันทึกการเทรดส่วนตัว
เพียงแต่นำมาเพื่อให้ผู้ที่ได้เห็นได้ไปฝึกใช้ให้เข้ากับแนวทางการเทรดของตนเองหรือผู้เรียนรู้ใหม่ได้รู้จักตั้งไข่แบบใดยืนให้ได้ด้วยตนเอง
ควรเริ่มเรียนรู้สิ่งใด ควรฝึกตั้งคำถามและหาคำตอบให้ตนเองเท่านั้น
กำหนดแผนสร้างรูปแบบการเทรดของตัวเองแล้วเริ่มเดินตามแผนที่วางไว้
จะทำอะไรต้องมีรูปแบบตัวเองนะครับ อย่าเห็นแต่ภาพที่ตีไว้พอกราฟถึงแถบที่ตีปุ๊บกดปั๊บโดนลากปั๊บเลยนะจะบอกให้
ฉะนั้นแนวทางไม่ใช่จุดเข้าแนวทางใช้เพื่อเตรียมหาจุดเข้า
XAUUSD M15 ( อธิบายการเข้า ออเดอร์ ) เทคนิคการเทรดที่ผมใช้ : M15
1.trend : H4 + H1
2. Structure : ( จาก ทฤษฎี SMC นิดหน่อย )
3. wyckoff : นิดหน่อย ( ใช้หาการสะสมราคา , โซนเงินไหลเข้า/ออก , เทรด M15 )
4. liquidity + FVG : การสะสมราคา , โซนเงินไหลเข้า/ออก , ระยะ Tp ( จาก ทฤษฎี ICT )
5. session : การเทรด ช่วงเวลาตลาด London+Ny ( จาก ทฤษฎี ICC )
** ยิ่ง TF เล็กลง ** ยิ่งต้องใช้เทคนิคสูง แนะนำไม่ควรเทรดต่ำกว่า M5 ( WTF!! M1 พวกมโน )
⚙️ หลักสำคัญ (Key Principles)
• Structure Matters (โครงสร้างสำคัญ):
ราคามักไม่เบรกแนวรับ/แนวต้านเดิมสองครั้งติดกัน
→ ให้มองหาการเบรกครั้งเดียว แล้วรอการพักตัว
• Money Flow Zones (โซนเงินไหลเข้า/ออก):
กล่องสีเหลืองคือบริเวณที่มีเงินทุนจำนวนมากติดอยู่จากการเบรกครั้งแรก
→ บ่งบอกว่ามีแรงซื้อขายสำคัญตรงนั้น
• Patience (ความอดทน):
รอ “การเคลื่อนไหวรอบที่สอง” หลังจากการพักตัว
→ เพราะรอบที่สองมักแม่นยำกว่าและมีความเสี่ยงน้อยกว่า
ฝึกอ่านกราฟหาจุดเข้าให้คมที่สุดไม่ได้พูดนานแล้ว การวิเคราะห์นี้คือบันทึกการฝึกหาจุดเข้าส่วนตัวไม่ใช่การส่งซิกแนลการเทรดใดๆทั้งสิ้นเป็บสมุดบันทึกการเทรดส่วนตัว
เพียงแต่นำมาเพื่อให้ผู้ที่ได้เห็นได้ไปฝึกใช้ให้เข้ากับแนวทางการเทรดของตนเองหรือผู้เรียนรู้ใหม่ได้รู้จักตั้งไข่แบบใดยืนให้ได้ด้วยตนเอง
ควรเริ่มเรียนรู้สิ่งใด ควรฝึกตั้งคำถามและหาคำตอบให้ตนเองเท่านั้น
กำหนดแผนสร้างรูปแบบการเทรดของตัวเองแล้วเริ่มเดินตามแผนที่วางไว้
จะทำอะไรต้องมีรูปแบบตัวเองนะครับ อย่าเห็นแต่ภาพที่ตีไว้พอกราฟถึงแถบที่ตีปุ๊บกดปั๊บโดนลากปั๊บเลยนะจะบอกให้
ฉะนั้นแนวทางไม่ใช่จุดเข้าแนวทางใช้เพื่อเตรียมหาจุดเข้า
ช่วงที่ราคาค่อย ๆ ไต่ขึ้น แบบช้า ๆ มันกำลัง !!!บอกอะไรเรา!!!**ทำไม “แรงเท” ถึงสำคัญ**,
และ **ช่วงที่ราคาค่อย ๆ ไต่ขึ้นแบบช้า ๆ** มันกำลัง “บอกอะไร” เกี่ยวกับรายใหญ่ 👇
---
.
## 💧 1. “แรงเทลง” คืออะไรในมุมของรายใหญ่
“แรงเทลง” หรือ *Sharp Drop* ไม่ได้เกิดเพราะเทรดเดอร์ทั่วไปขายเยอะ
แต่มันคือ “การเทหลอก” จากรายใหญ่ (Smart Money) เพื่อ **สร้างสภาพคล่อง (Liquidity)**
ให้ตัวเองเข้า Position ได้ในราคาที่ดีที่สุด
### 🔍 ตัวอย่าง:
* ราคาไต่ขึ้นเรื่อย ๆ แบบช้า ๆ
* Retail trader (รายย่อย) เริ่ม “กล้า Buy”
* แต่ยัง **ไม่มีคนตั้ง Stop Loss เยอะพอ**
→ รายใหญ่ “ยังไม่สามารถเข้าไม้ใหญ่ได้”
→ จึงต้อง **เทแรงลง (Sweep)** เพื่อ “ลาก Stop Loss” ของฝั่ง Buy
→ หลังจากนั้น **ค่อย Buy กลับในจุดล่างสุด** (OB zone)
---
.
## 💡 2. ทำไม “การไต่ขึ้นช้า” = “ของรายใหญ่ยังอยู่ในมือ”
ช่วงที่ราคาค่อย ๆ ไต่ขึ้น:
* Volume ต่ำ
* Candle body เล็ก
* ไม่มี Break Structure ที่ชัด
* ไม่มี Volatility (แรงเหวี่ยง)
สิ่งนี้บอกว่า:
> “รายใหญ่ยังไม่ปล่อยของ”
> และ “ยังไม่มีฝั่งตรงข้ามพอจะกิน Stop Loss”
เพราะฉะนั้น…
รายใหญ่จะ **ไม่สร้าง Trend ใหม่** จนกว่าเขาจะ **สร้าง Liquidity พอให้เข้าไม้ใหญ่ได้ก่อน**
---
.
## ⚙️ 3. สัญญาณว่า “แรงเท” ใกล้จะมาแล้ว
อย่าลืมสังเกต 4 อย่างนี้ก่อนเกิด Liquidity Grab ใหญ่ ๆ:
1. ราคาไต่ขึ้นเรื่อย ๆ → แต่อยู่ในกรอบ Supply เดิม
2. Volume ลดลงเรื่อย ๆ
3. มี Fair Value Gap (FVG) ค้างไว้ด้านล่าง
4. Timeframe ใหญ่ (H1–H4) เริ่ม Divergence
👉 เมื่อครบ 4 เงื่อนไขนี้ — มักจะตามด้วย **แรงเทแรง ๆ (Stop Hunt)**
และ **กลายเป็นจุดกลับตัว (Reversal OB)** ในเวลาต่อมา
---
.
.
## 🧠 Mindset ระหว่างรอ “แรงเท”
> "อย่ารีบเข้าตลาดตอนที่มันนิ่ง"
> “ของจริงจะมาเมื่อเจ็บก่อนรวย”
รอให้ตลาด “ทุบแรงก่อน” แล้วค่อยเข้าเล่น “จุดเก็บของ” หลังจากการเท
นั่นคือจุดที่ “รายใหญ่เพิ่งเข้ามา” — และคือจุดที่ “เราควรตาม”
ฝึกอ่านกราฟหาจุดเข้าให้คมที่สุด***ว่าด้วยการสังเกตุหาจุดกลับตัว***
กราฟอ่อนกำลังเมื่อแนวโน้มหลักของราคาเริ่มมีกำลังซื้อหรือกำลังขายลดลง โดยสังเกตได้จากรูปแบบราคา เช่น ขาขึ้นอ่อนกำลังเมื่อราคาทำจุดสูงสุดที่ต่ำกว่าเดิม (Lower High) หรือ ขาลงอ่อนกำลังเมื่อราคาทำจุดต่ำสุดที่สูงกว่าเดิม (Higher Low) นอกจากนี้ ยังสามารถดูจาก Indicators เช่น MACD ที่วิ่งเข้าหา Center Line หรือ RSI ที่ลดลงในขาขึ้นหรือเพิ่มขึ้นในขาลง.
วิธีการสังเกตสัญญาณการอ่อนกำลังของกราฟ
ดูพฤติกรรมราคา (Price Action)
ขาขึ้นอ่อนกำลัง: ราคาเริ่มทำจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำกว่าจุดสูงสุดเดิม (Lower High) และจุดต่ำสุดก็มีแนวโน้มยกระดับขึ้นช้าลง.
ขาลงอ่อนกำลัง: ราคาเริ่มทำจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงกว่าจุดต่ำสุดเดิม (Higher Low) และจุดสูงสุดก็มีแนวโน้มลดลงช้าลง.
พิจารณา Indicators (เครื่องมือทางเทคนิค)
MACD (Moving Average Convergence Divergence): สังเกตเส้น MACD ที่วิ่งเข้าหาเส้น Center Line หรือเส้นแนวนอน หมายถึง แรงซื้อหรือแรงขายกำลังหมดลง.
RSI (Relative Strength Index): หาก RSI อยู่ในระดับต่ำกว่า 30 และเริ่มเคลื่อนที่กลับขึ้นมาในแนวโน้มขาขึ้น หรือ RSI อยู่ในระดับสูงกว่า 70 และเริ่มเคลื่อนที่กลับลงมาในแนวโน้มขาลง อาจเป็นสัญญาณการอ่อนกำลัง.
วิเคราะห์ Trend Line (เส้นแนวโน้ม): หากเส้นแนวโน้มที่เคยกดดันราคาเริ่มที่จะหักหัวลง หรืออ้าปากขึ้น อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าแนวโน้มเริ่มอ่อนแรง.
ข้อควรจำ
การใช้ Indicator เป็นเพียงเครื่องมือประกอบการตัดสินใจ ไม่ได้รับประกันความแม่นยำ 100%.
ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น ปริมาณการซื้อขาย (Volume) และแนวรับแนวต้าน (Support & Resistance) ควบคู่ไปด้วย.
แบบทดสอบ: คุณจะทำยังไงเมื่อเจอ “กับดักตลาด”แบบทดสอบ “Mindset ของเทรดเดอร์ต่อกับดักตลาด”**
ออกแบบมาเพื่อให้คุณได้ “วัดตัวเอง” ว่าตอนนี้อยู่ในจุดไหนของวงจรเทรด
ใช้ฝึกจิตและพัฒนาแนวคิดให้คมขึ้น
เหมาะมากสำหรับเทรดเดอร์ที่เข้าใจเรื่อง *สภาพคล่อง*
แล้วอยากต่อยอดจิตวิทยาเทรด
.
---
.
# 🧭 แบบทดสอบ: คุณจะทำยังไงเมื่อเจอ “กับดักตลาด”
.
> เลือกคำตอบที่ “ตรงกับสิ่งที่คุณมักทำจริง ๆ” มากที่สุด
> ไม่มีถูกผิด — แต่แต่ละข้อจะบอก “Mindset” ที่อยู่เบื้องหลัง
---
## 🔹 ข้อ 1: ราคาพุ่งทะลุแนวต้านอย่างแรง พร้อมแท่งเทียนเขียวใหญ่ (Breakout)
คุณจะทำยังไง?
A. กด Buy ทันที เพราะคิดว่าตลาดจะไปต่อ
B. รอดูแท่งถัดไปว่าปิดเหนือแนวต้านไหม
C. รอให้ราคาย่อกลับมาทดสอบแนวที่เบรก (Retest) ก่อนค่อยเข้า
D. ขายสวน เพราะคิดว่าเจ้า “หลอกเบรก”
> 💡 เฉลยเชิง Mindset:
>
> * A = **FOMO bias** (กลัวตกรถ, รายย่อย 90%)
> * B = เริ่มใช้ “การยืนยัน” แบบเทคนิคแต่ยังเสี่ยงโดนหลอก
> * C = **Professional mindset** (รอ liquidity confirm)
> * D = Over-confidence trader (อาจโดนลากก่อนลง)
---
## 🔹 ข้อ 2: ราคาลงมาแรง แล้วเกิดแท่งไส้ยาว (Rejection wick) บนโซน Demand
คุณจะทำยังไง?
A. เข้า Buy ทันทีเพราะเห็นแท่งกลับตัว
B. รอดู 1-2 แท่งต่อไปว่ามีแรง follow หรือไม่
C. ใช้เครื่องมืออื่นยืนยัน (เช่น Volume, BOS, CHOCH)
D. ปิดจอหนี เพราะกลัวลงต่อ
> 💡 เฉลยเชิง Mindset:
>
> * A = **Impulsive entry** (ไวไป, ขาดการยืนยัน)
> * B = มีวินัย เริ่มเข้าใจพฤติกรรมราคา
> * C = **Smart trader** (เทรดจากข้อมูล ไม่ใช่อารมณ์)
> * D = Fear-based trader (มักเสียโอกาสเพราะกลัว)
---
## 🔹 ข้อ 3: หลังจากโดน Stop Loss สองไม้ติด คุณจะ...
A. เพิ่ม lot เพื่อ “เอาคืน” (Revenge Trade)
B. ลดขนาด lot แล้วเทรดต่อทันที
C. หยุดเทรดชั่วคราว เพื่อทบทวน setup
D. ปิดกราฟ แล้วเปิดดู YouTube หรือ scroll มือถือ
> 💡 เฉลยเชิง Mindset:
>
> * A = **อันตรายสุด!** อารมณ์นำ → เสี่ยงล้างพอร์ต
> * B = ดีขึ้น แต่ยังติด mindset “ต้องชนะตอนนี้”
> * C = **Master mindset** (โฟกัสระยะยาว ไม่ใช่ไม้เดียว)
> * D = Escapism (หนีปัญหา ไม่เรียนรู้จากมัน)
---
## 🔹 ข้อ 4: คุณเห็นราคาทำ New High ต่อเนื่องแบบไม่มีจุดย่อ (ATH Phase)
คุณจะ...
A. ไล่ตามเพราะกลัวตกรถ
B. รอจังหวะพักฐาน (consolidation)
C. มองหาสัญญาณ “เจ้าเริ่มปล่อยของ” (Volume divergence / sweep)
D. Sell เลย เพราะคิดว่า “มันต้องลงแล้ว”
> 💡 เฉลยเชิง Mindset:
>
> * A = FOMO Trader (หลงกระแส)
> * B = Balanced Trader (มีวินัย รอความชัด)
> * C = **Liquidity Hunter Mindset** (อ่านเจ้าออก, เข้าใกล้ระดับโปร)
> * D = Contrarian without confirmation (กล้าแต่ไม่มีเหตุผล)
---
## 🔹 ข้อ 5: หลังเข้าไม้ Buy แล้ว ราคาไม่ไปไหน ซึม ๆ อยู่หลายชั่วโมง
คุณจะ...
A. ปิดทิ้ง เพราะเบื่อ
B. ขยับ SL ให้แคบลง “กันเสียเยอะ”
C. ปล่อยไว้ตามแผน เพราะยังไม่หลุดโครงสร้าง
D. เปิด position เพิ่มเพราะอยากเร่งกำไร
> 💡 เฉลยเชิง Mindset:
>
> * A = ขาดความอดทน (impatient mindset)
> * B = Fear-based control (แผนไม่ชัด)
> * C = **Trader มีระบบ** (วินัยเหนืออารมณ์)
> * D = Greedy behavior (โลภ, เพิ่ม risk โดยไม่มีเหตุผล)
---
## 🔹 ข้อ 6: เจอกราฟแกว่งเร็ว ผันผวนสูง (Volatility Spike)
คุณจะ...
A. เข้าเทรดเลย เพราะ “น่าจะวิ่งแรง”
B. ลด lot size ลงครึ่งหนึ่ง
C. หยุดรอดูให้ตลาดนิ่งก่อน
D. ใช้โซนใหญ่ (H1/H4) เป็นหลักแทน M1-M5
> 💡 เฉลยเชิง Mindset:
>
> * A = Over-trading (เสพ adrenaline)
> * B = Risk control mindset
> * C = High emotional discipline
> * D = **Pro-level adjustment** (เข้าใจสภาพตลาดเปลี่ยน ต้องขยายมุมมอง)
---
## 🔹 ข้อ 7: หลังจากได้กำไรติดกันหลายวัน
คุณจะ...
A. เพิ่มขนาด lot เพื่อ “เร่งพอร์ต”
B. เทรดเท่าเดิม เพราะอยากรักษาความสม่ำเสมอ
C. หยุด 1 วัน เพื่อ reset อารมณ์
D. ขยายแผนเทรด — เพิ่ม TF หรือคู่เงิน
> 💡 เฉลยเชิง Mindset:
>
> * A = Ego trap (มั่นใจเกินไป → เสี่ยง crash)
> * B = Balanced mindset
> * C = **High-performance mindset** (เข้าใจจังหวะพักของสมอง)
> * D = Creative expansion (ดี แต่ควรคุม risk)
---
# 🔍 สรุปผล (นับคะแนน Mindset)
* ถ้า Kio ตอบ **ส่วนใหญ่เป็น C หรือ D** → Mindset แบบ “Smart Money / Professional”
* ถ้าส่วนใหญ่เป็น **B** → อยู่ในช่วง “Transition” (เริ่มคิดแบบระบบ)
* ถ้าส่วนใหญ่เป็น **A** → อยู่ใน “Emotional Trader Zone” (ยังเทรดจากความรู้สึกมากกว่าข้อมูล)
---
## 🧘♀️ คำแนะนำสั้น ๆ ต่อ Mindset แต่ละระดับ
🧘♀️ ระดับ | Emotional Trader
ลักษณะ - เทรดจากอารมณ์ / เร่งรีบ
ควรพัฒนาเรื่อง - ฝึกหยุดก่อนเข้า, จดบันทึกเหตุผลก่อนกด
.
🧘♀️ระดับ| Transition Trader
ลักษณะ - มีระบบแต่ยังลังเล
ควรพัฒนาเรื่อง - ฝึกเชื่อมั่นใน process, ไม่แก้ระบบบ่อย
.
.
🧘♀️ระดับ|Smart Trader
ลักษณะ - เทรดตามโครงสร้าง / รอจังหวะ
ควรพัฒนาเรื่อง - รักษาวินัยต่อเนื่อง, จัดการจิตใจวัน drawdown
.
🧘♀️ระดับ| Professional
ลักษณะ - อ่านเจ้าออก, รอ confirm
ควรพัฒนาเรื่อง - สอนคนอื่นได้, ใช้จิตสงบและวินัยเหนือเงิน
สิ่งที่เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ ทำในวันเสาร์–อาทิตย์สิ่งที่เทรดเดอร์มืออาชีพทำในวันที่ตลาดปิด”
มักเป็น **สิ่งที่ทำให้เขานำหน้าคนอื่น** ในสัปดาห์ต่อไป 💪
.
---
.
# 💼 สิ่งที่เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จทำในวันเสาร์–อาทิตย์
.
## 🧭 1. ทบทวนสัปดาห์ที่ผ่านมา (Review Week)
เทรดเดอร์ระดับโปรไม่ปล่อยให้ “กำไรหรือขาดทุน” ผ่านไปเฉย ๆ
แต่เขาจะกลับไปดูว่า...
.
* จุดเข้าทุกจุด → เข้าเพราะ *ตามแผน* หรือ *ตามอารมณ์* ❓
* จุดออก → ออกตามเงื่อนไข หรือกลัวเกินไป ❓
* Market Structure → ยังสอดคล้องกับมุมมองใหญ่มั้ย ❓
* Emotion ตอนเทรด → มีจุดไหนที่ “เราถูกเจ้าหลอกด้วยอารมณ์” หรือเปล่า
.
📒 บางคนจะเขียน “Trading Journal” หรือ “สรุปภาพตลาดรายสัปดาห์” เก็บไว้เลย
---
.
## 🧠 2. ฝึก Mindset & Psychology
.
เทรดเดอร์ที่เก่งจะรู้ว่า “ตลาดคือเกมจิตวิทยา”
วันหยุดคือเวลาที่เขา:
.
* อ่านหนังสือจิตวิทยาเทรด เช่น *Trading in the Zone*, *The Disciplined Trader*
* ฝึกสมาธิ / เดินจงกรม / วิ่ง / ฟังเพลง เพื่อรักษาโฟกัส
* เขียน Affirmation สั้น ๆ เช่น
.
> “ฉันไม่ต้องเทรดทุกวันเพื่อรวย ฉันต้องรอวันของฉันเท่านั้น”
.
-.--
## 📊 3. เตรียมโซนสำคัญ (Top-Down Analysis)
.
ก่อนตลาดเปิด เขาจะ:
.
* ไล่ดูกราฟตั้งแต่ **Monthly → Weekly → Daily → H4 → H1**
* มาร์กแนว **Liquidity Zone / OB / EQH / EQL / Imbalance**
* ทำ “Scenario Plan” ว่า
.
* ถ้าราคามาทาง A → ฉันจะทำอะไร
* ถ้าราคาทะลุไปทาง B → ฉันจะไม่ทำอะไร
.
🎯 เป้าคือ “วันจันทร์ไม่ต้องคิดมาก” เพราะทุกอย่างวางไว้หมดแล้ว
.
---
.
## ⚙️ 4. ปรับปรุงระบบเทรด (System Optimization)
.
* ดูผล Backtest → ว่าระบบยังคงเสถียรหรือไม่
* ปรับ SL, RR หรือ Timeframe ให้เหมาะกับสภาวะ Volatility ล่าสุด
* ทดสอบกลยุทธ์ใหม่ใน TradingView / FTMO demo
---
## 🧩 5. พักผ่อนจริง ๆ (Recovery)
.
เทรดเดอร์ระดับสูงรู้ว่า “สมองและจิตใจคือเครื่องมือทำเงิน”
วันหยุดเขาจะ:
.
* เดินเล่น, พบเพื่อน, เล่นเกม, ไปคาเฟ่ ☕
* ทำสิ่งที่เติมพลัง เช่น วางแผนเป้าหมายชีวิต, ทำ vision board
* ปิดจอมือถือ ไม่ดูกราฟสักวัน เพื่อให้สมอง Reset
.
---
.
## 💡 สรุปสั้น ๆ (Takeaway)
.
> เทรดเดอร์ธรรมดา ใช้วันหยุดพักจากกราฟ
> เทรดเดอร์ระดับโปร ใช้วันหยุด “เข้าใจกว่ากราฟ”
.
ล้มแล้วลุก: 4 ขั้นตอนฟื้นตัวจากพอร์ต Forex ล้างหลังจากเผชิญกับการล้างพอร์ตในตลาด Forex หลายคนอาจจะรู้สึกแย่ 😭 แต่ไม่ต้องห่วง! การกลับมาเริ่มต้นใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก แค่ต้องมีสติและทำตามขั้นตอนเหล่านี้
1. ยอมรับและเรียนรู้ 🧠
ให้มองว่าการล้างพอร์ตเป็นบทเรียนราคาแพง วิเคราะห์ว่าอะไรคือสาเหตุที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการเทรดเยอะเกินไป หรือใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ
2. หยุดพักให้ใจนิ่ง 🧘
อย่าเพิ่งรีบกลับไปเทรดทันที พักสมองให้ปลอดโปร่งสักพัก แล้วค่อยทบทวนแผนการเทรดใหม่
3. เริ่มต้นใหม่ด้วยทุนน้อยๆ 💰
เมื่อพร้อม ให้กลับมาด้วยเงินจำนวนน้อยๆ ที่ไม่ทำให้เราเดือดร้อนหากต้องขาดทุนอีก วางแผนให้รัดกุมและยึดมั่นในแผนนั้น
4. ฝึกฝนและมีวินัย 💪
ใช้บัญชีทดลอง (Demo) ให้เป็นประโยชน์ ฝึกจนกว่าจะมั่นใจและมีวินัยมากพอ เพราะการเทรดที่ประสบความสำเร็จมาจากวินัยและการบริหารความเสี่ยงที่ดี
การเทรดอย่าง มั่นคง และ ปลอดภัย คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในระยะยาว ✅
กับดักรายย่อยที่รายใหญ่สร้างขึ้น บทความแนวจิตวิทยาการเทรด เกี่ยวกับ กับดักที่รายใหญ่ทำไว้ให้รายย่อยติด
เพื่อให้เห็นชัดว่าตลาดไม่ได้วิ่งแบบสุ่ม แต่มี “เจตนา” ที่จะหลอกให้รายย่อยติดดอย/ติดดินอยู่เสมอ
---
.
# 🧠 จิตวิทยาตลาด: กับดักรายย่อยที่รายใหญ่สร้าง
.
ในโลกการเทรด **ราคามักไม่ใช่สิ่งที่เห็นตรงหน้า**
สิ่งที่ขยับราคาแท้จริงคือ **สภาพคล่อง (Liquidity)**
และผู้ที่ครอบครองพลังดันราคามากที่สุดคือ **รายใหญ่ (Smart Money, สถาบัน, เจ้ามือ)**
รายย่อย (Retail) จึงตกอยู่ใน “เกมจิตวิทยา” ตลอดเวลา
.
---
.
## 🎭 กับดักที่รายใหญ่ใช้บ่อย
.
### 1. **Breakout Trap (กับดักทะลุแนวรับ/แนวต้าน)**
.
* ราคาทะลุแนวต้านแรง → รายย่อยรีบไล่ซื้อ (FOMO)
* แต่จริงๆ รายใหญ่เพิ่ง “ปล่อยของ” ขายใส่ → ราคาเทกลับ
📌 ผลลัพธ์: รายย่อยติดดอย
.
---
.
### 2. **Stop Hunt (ล่ากิน Stop Loss)**
* รายย่อยชอบตั้ง SL ใต้ Low / เหนือ High ที่ชัดเจน
* รายใหญ่กดราคาไปกิน SL → เก็บของราคาถูก / ปล่อยของแพง
📌 ผลลัพธ์: รายย่อยโดนตบออกก่อนที่ราคาจะไปในทิศทางเดิม
.
---
.
### 3. **False Reversal (หลอกกลับตัว)**
.
* ราคาทำแท่งเทียนกลับตัวสวยๆ → รายย่อยรีบเข้า Buy/Sell
* แต่รายใหญ่แค่ “สร้างภาพ” เพื่อให้คนเข้า Order
* พอมีสภาพคล่องพอ → ราคาไปอีกทางทันที
📌 ผลลัพธ์: รายย่อยติดกับ Emotional Candle
.
---
.
### 4. **Liquidity Grab (เก็บสภาพคล่องก่อนเทรนด์จริง)**
.
* ก่อนเทรนด์ใหญ่เริ่ม รายใหญ่มักจะ “วิ่งไปกิน SL ทั้งสองฝั่ง”
* เพื่อเก็บของให้เต็ม → แล้วค่อยดันไปทิศเดียวแรงๆ
📌 ผลลัพธ์: รายย่อยโดนกวาดออกหมด → ไม่ได้อยู่บนขบวน
.
---
.
### 5. **ข่าวและอารมณ์ (News Trap)**
* ข่าวแรงๆ ออกมา → รายย่อยรีบเทรดตามอารมณ์ (FOMO / Panic)
* แต่รายใหญ่เตรียม “ตำแหน่งตรงข้าม” ไว้อยู่แล้ว
📌 ผลลัพธ์: รายย่อยซื้อแพงขายถูก
.
---
.
## 🔑 จิตวิทยาที่รายใหญ่ใช้
.
* ใช้ **ความกลัว (Fear)** → กดให้หลุด SL
* ใช้ **ความโลภ (Greed)** → หลอกให้ไล่ราคา
* ใช้ **ความไม่แน่ใจ (Uncertainty)** → แกว่งไปมาจนรายย่อยถอดใจ
-.--
.
## ✅ วิธีเอาตัวรอดจากกับดัก
.
1. อย่าตั้ง SL ตื้นเกินไปตรงจุดที่ใครๆ ก็มองออก
2. รอ “Confirm” เสมอ อย่าตามแท่งเขียว/แดงแรงๆ ทันที
3. เข้าใจว่า Breakout = จุดที่รายใหญ่เอาไว้ “ปล่อยของ”
4. มองหาพฤติกรรมราคาใกล้ **Liquidity Zone** มากกว่าดูเพียงแนวรับ/แนวต้าน
5. ใช้จิตวิทยากลับด้าน → ถ้ารู้สึกอยากเข้าแรงๆ แปลว่าอาจโดนหลอก
.
---
.
✨ **สรุป:**
ตลาดไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนชนะ แต่สร้างขึ้นมาเพื่อ “เอาเงินจากคนส่วนมาก”
รายใหญ่ใช้ **กับดักทางจิตวิทยา** สร้างสภาพคล่องจากความกลัวและความโลภของรายย่อย
ถ้าเราอ่านเกมออก เราจะหยุดเป็นเหยื่อ และเริ่มเป็นนักล่าแทน
.
---
ทำไมการจัดการ Position สำคัญกว่าการพยายามจับจุดเล็ก ๆเวลาตลาด ผันผวนมากขึ้น (Volatility สูง)
การจัดการ Position สำคัญกว่าการพยายามจับจุดเล็ก ๆ
.
🎯 หลักคิด
.
Volatility สูง = แท่งแกว่งแรงขึ้น
→ SL ที่ปกติใช้ 5–10 เหรียญ อาจไม่พอ ต้องขยาย SL ให้กว้างขึ้น
ถ้าคุณ ไม่ลด Lot แต่ SL กว้างขึ้น → ความเสี่ยงต่อไม้จะโตเกินไป (Risk เกินแผน)
.
ดังนั้นสิ่งที่ควรทำคือ
👉 ลด Lot แต่ ขยาย SL เพื่อให้ “ความเสี่ยงเป็น % เท่าเดิม”
แล้วปล่อยให้กราฟวิ่งตามรอบใหญ่ (ถือเอาระยะทาง)
.
📌 ตัวอย่างง่าย ๆ
สมมติพอร์ต = 10,000 USD
คุณยอมเสี่ยง = 1% = 100 USD
.
ปกติ SL 10 เหรียญ
→ Lot size = 100 ÷ 10 = 10 หน่วย
.
ตลาดผันผวน SL ต้องขยายเป็น 25 เหรียญ
→ Lot size = 100 ÷ 25 = 4 หน่วย
.
👉 ความเสี่ยงยังคง 100 USD เท่าเดิม แต่คุณมี “พื้นที่หายใจ” ให้กราฟแกว่งก่อนจะไปทางที่ต้องการ
✅ ข้อดีของการ “ลด Lot – ถือระยะทาง”
ไม่โดน SL ง่าย ๆ เพราะแกว่งแรง
RR (Risk:Reward) มักดีกว่า เพราะได้กินรอบใหญ่ ไม่ใช่แค่เก็บเศษ
ลดความเครียด เพราะไม่ต้องเฝ้าทุกแท่งเล็ก ๆ
.
⚠️ สิ่งที่ต้องระวัง
ต้องมั่นใจว่า “TF ใหญ่ยังเป็นทิศเดียวกับเรา” (เช่น H1–H4 ยังเป็นขาขึ้น ถ้าจะ Buy)
อย่าลด Lot จนเล็กเกินไปจนไม่คุ้มค่าเวลา (หาจุด Balance ของตัวเอง)
อย่าเผลอถือสวนเทรนด์ใหญ่ เพราะการถือระยะยาวสวนเจ้า = โดนกินแน่นอน
.
📌 สรุป
ตลาดผันผวนแรงขึ้น → ใช้กลยุทธ์ ลด Lot, ขยาย SL, ถือกินรอบใหญ่ จะปลอดภัยกว่า และเป็นสไตล์ “เล่นไปกับเจ้า” เพราะเจ้าเองก็ชอบสะสมพลังแล้วปล่อยรอบใหญ่ ไม่ใช่แค่แกว่งเล็ก ๆ
ทำไมเทรดเดอร์ต้องรอให้กราฟเข้ากับ Setup ของตัวเอง1. **ตลาดมีโอกาสทุกวัน แต่ทุนเราไม่ได้มีไม่จำกัด**
.
* ถ้าเข้าแบบสุ่ม ๆ เราจะเสี่ยงใช้เงินเกินความจำเป็น
* การรอให้ตรง Setup = เลือก “ช็อตที่มีความน่าจะเป็นสูงที่สุด”
.
2. **Setup = กรอบกติกาส่วนตัว**
.
* คือกติกาที่เรารู้ว่า เมื่อครบเงื่อนไข → มีโอกาสชนะมากกว่าแพ้
* ถ้าเทรดนอก Setup = เล่นพนัน ไม่ใช่เทรด
.
3. **รอ = ป้องกันอารมณ์ครอบงำ**
.
* ตลาดชอบหลอกให้รีบเข้า → ถ้าไม่มีกติกา เราจะโดนลากง่าย
* การรอ Setup เหมือน “วางกรอบกันตัวเองไม่ให้ Overtrade”
4. **บางวันไม่มีสัญญาณ = คือการเซฟเงินทุน**
.
* ไม่มี Setup = ไม่เสียเงิน
* เทรดเดอร์เก่งจะคิดว่า “ไม่เสีย = กำไร” เพราะเก็บทุนไว้รอโอกาสดีกว่า
.
5. **กราฟไม่มาตามโซน → คือธรรมชาติของตลาด**
.
* ตลาดไม่จำเป็นต้องวิ่งตามที่เราคิด
* หน้าที่เราคือ *“รอจังหวะที่เจ้ามือเผยไพ่”* ไม่ใช่บังคับตลาด
.
---
.
## 🎯 สรุป
.
* **การรอ Setup = เลือกศึกที่เรามีโอกาสชนะมากที่สุด**
* **วันที่ไม่มีจังหวะ ไม่ใช่วันเสียเวลา แต่คือวันเซฟทุน**
* เทรดเดอร์ที่รอเป็น → อยู่รอด
* เทรดเดอร์ที่รีบเข้า → มักหมดพอร์ต
จะปิดการซื้อขายที่ขาดทุนได้อย่างไร?การตัด亏损เป็นศิลปะ และเทรดเดอร์ที่ขาดทุนคือศิลปิน
การปิดสถานะที่ขาดทุนเป็นทักษะสำคัญในการบริหารความเสี่ยง เมื่อคุณอยู่ในสถานะเทรดที่ขาดทุน คุณจำเป็นต้องรู้จักจังหวะที่จะออกจากตลาดและยอมรับความสูญเสีย ตามทฤษฎีแล้ว การตัด虧損และการรักษาเงินทุนให้น้อยที่สุดเป็นแนวคิดที่ง่าย แต่ในการปฏิบัติจริง มันเป็นศิลปะ
ต่อไปนี้เป็น 10 สิ่งที่คุณควรพิจารณาเมื่อปิดสถานะที่ขาดทุน
อย่าเทรดโดยไม่มีกลยุทธ์การตัด亏损 คุณต้องรู้จุดที่จะออกจากตลาดก่อนที่จะวางคำสั่ง
ควรวางจุดตัด亏损นอกเหนือช่วงราคาปกติ ในระดับที่อาจเป็นสัญญาณว่ามุมมองการเทรดของคุณผิดพลาด
เทรดเดอร์บางคนตั้งจุดตัด亏损เป็นเปอร์เซ็นต์ เช่น หากพวกเขาต้องการทำกำไร + 12% จากการเทรดหุ้น พวกเขาจะตั้งจุดตัด亏损ไว้ที่ -4% เพื่อสร้างอัตราส่วน กำไร/ตัด亏损 (TP/SL) ที่ 3: 1
เทรดเดอร์บางคนใช้จุดตัด虧損แบบกำหนดเวลา หากราคาทรุดลงแต่ไม่เคยแตะจุดตัด虧损หรือยังไม่ถึงเป้าหมายกำไรภายในกรอบเวลาที่กำหนด พวกเขาจะออกจากตลาดเท่านั้นเนื่องจากไม่มีแนวโน้มและไปหาโอกาสที่ดีกว่า
เทรดเดอร์หลายคนจะออกจากตลาดเมื่อเห็นราคาตลาดพุ่งสูง แม้ว่าราคาจะยังไม่ถึงจุดตัด亏损ก็ตาม
ในการเทรดตามแนวโน้มระยะยาว จุดตัด亏损จะต้องกว้างพอที่จะรองรับแนวโน้มระยะยาวที่แท้จริง โดยไม่ถูกตัดออกจากตลาดก่อนเวลาอันควรจากสัญญาณรบกวน จุดนี้เองที่ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน และสัญญาณการตัดกันของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เพื่อให้มีจุดตัด虧損ที่กว้างขึ้น สิ่งสำคัญคือการมีขนาดสถานะที่เล็กกว่าสำหรับการเทรดที่มีความผันผวนมากขึ้นและราคาที่มีความเสี่ยงสูง
คุณเทรดเพื่อทำกำไร ไม่ใช่ขาดทุน การถือครองสถานะที่ขาดทุนไว้เฉยๆ ด้วยความหวังว่ามันจะกลับมาเท่าทุนเพื่อที่คุณจะสามารถออกจากตลาดได้ที่จุดเท่าทุนนั้นเป็นแผนที่เลวร้ายที่สุดแผนหนึ่ง
เหตุผลที่เลวร้ายที่สุดในการขายสถานะที่ขาดทุนคือ อารมณ์หรือความเครียด เทรดเดอร์ควรมีเหตุผลเชิงเหตุผลและปริมาณที่ชัดเจนในการออกจากสถานะที่ขาดทุนเสมอ หากจุดตัด亏损แคบเกินไป คุณอาจถูกตัดออกจากตลาดก่อนเวลาอันควรและทุกการเทรดจะกลายเป็นการขาดทุนเล็กน้อยได้อย่างง่ายดาย คุณต้องเผื่อพื้นที่ให้กับการเทรดมากพอที่จะพัฒนา
ควรออกจากสถานะเสมอเมื่อสูญเสียทุนทรัพย์การเทรดสูงสุดตามที่กำหนดไว้ การตั้งเปอร์เซ็นต์การขาดทุนสูงสุดที่ 1% ถึง 2% ของเงินทุนการเทรดทั้งหมดของคุณตามจุดตัด亏损และขนาดสถานะของคุณจะช่วยลดความเสี่ยงในการหมดบัญชีและรักษาการขาดทุนของคุณให้น้อย
ศิลปะพื้นฐานของการขายสถานะที่ขาดทุนคือ การรู้จักความแตกต่างระหว่างความผันผวนตามปกติกับการเปลี่ยนแปลงราคาที่ส่งผลต่อแนวโน้ม