ฝึกวิเคราะห์เพื่อหาจุดเข้าซื้อให้แม่นยำยิ่งๆขึ้นไปเทรดหมดชนดะไม่สนข่าวกำหนดแผนรูปแบบตามเงื่อนไขข้อบังคับของตัวเองแล้วรอจนเข้าเงื่อนไขในการเข้าออเดอร์และ money management
เป็นการฝึกวิเคราะห์เท่านั้นห้ามเทรดตามควรศึกษาหาความรู้และหมั่นตั้งคำถามและต้องหาคำตอบให้ตนเองให้มากที่สุดเพื่อประโยชน์ต่อตนเอง
ห้ามเทรดตามมิฉะนั้นพอตคุณจะแตกแน่นอน100%ควรศึกษาหาความรู้ก่อนนะครับ
ไอเดียชุมชน
ฝึกวิเคราะห์เพื่อหาจุดเข้าซื้อให้แม่นยำยิ่งๆขึ้นไปสรุปจากภาพนี้คือ ไม่ว่าจะมุมมองไหนมันเทรดได้หมด
ชนะได้หมดขึ้นกับรูปแบบของเราเป็นตัวกำหนด
หากมีช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งที่เราแพ้แสดงว่าจะมีอีก
รูปแบบหนึ่งที่เขาชนะอยู่ แต่ทั้งหมดอยู่ในสายตาของ
ผู้ถือครองทุกช่วงราคาตลาด ที่เขาจะรอกวาดกินรวบ
ทุกหน้าอยู่ดี
ฉะนั้น รูปแบบการเก็บเข้าและออกต้องเป็นรูปแบบเดิมๆที่
เราทำได้เพราะ ช่วงที่เราจบเกมคือช่วงที่เราหนีออกจากตลาด
คือช่วงเวลาประจำที่ผู้ถือครองจะเริ่่ม Actionอะไรบางอย่า
แต่เราก็ได้ออกจากตลาดไปแล้วนั้นเอง
3 ประสาน MACD + Stochastic + ADX ♦️♦️♦️ 3 ประสาน MACD + Stochastic + ADX ♦️♦️♦️
วิธีนี้ให้ความสำคัญกับ MACD เป็นตัวหลัก แล้วจับคู่กับอีก 2 Indicator เพื่อดูโมเมนตัม (Momentum) + Volume เหมาะกับเทรดทอง ช่วงผันผวน หรือสายเทรดสั้นที่ต้องการความคมในการเข้า Order
♦️ MACD ♦️
ใช้เพื่อวิเคราะห์ทิศทางของแนวโน้ม (Trend) และโมเมนตัม (Momentum) ของราคา เพื่อหาจุดเข้าซื้อหรือขายที่เหมาะสม โดยหลักการพื้นฐานคือการเปรียบเทียบเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองเส้น (MACD Line และ Signal Line) เพื่อสร้างสัญญาณซื้อขาย
♦️ การใช้งาน MACD
💢 ระบุแนวโน้ม : เมื่อ MACD Line ตัดขึ้นเหนือ Zero Line แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้น ในขณะที่ตัดลงต่ำกว่า Zero Line แสดงถึงแนวโน้มขาลง
💢 วัดโมเมนตัม (Momentum) : ความชันของฮิสโตแกรม MACD บ่งบอกถึงแรงส่งของแนวโน้ม หากฮิสโตแกรมชันขึ้นแสดงว่าโมเมนตัมแข็งแกร่งขึ้น หากลดลงแสดงว่าโมเมนตัมอ่อนแอลง
♦️ หาจุดเข้าซื้อขาย:
💢 สัญญาณซื้อ: เมื่อ MACD Line ตัดขึ้นเหนือ Signal Line ถือเป็นสัญญาณซื้อ หรือเมื่อ MACD Line ตัดข้าม Zero Line ขึ้นไป
💢 สัญญาณขาย: เมื่อ MACD Line ตัดลงต่ำกว่า Signal Line ถือเป็นสัญญาณขาย หรือเมื่อตัดข้าม Zero Line ลงมา
💢 ใช้ร่วมกับ Divergence: เป็นสัญญาณที่แข็งแกร่ง โดยดูเมื่อราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Lows) แต่ MACD กลับทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (Higher Lows) ซึ่งอาจเป็นการส่งสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มขาลง
💢💢 สรุปง่ายๆ 💢💢
เส้น MACD ตัดเหนือ Signal → หาจังหวะ Buy
เส้น MACD ตัดลงใต้ Signal → หาจังหวะ Sell
Histogram เหนือเส้น 0 → MOMENTUM แข็งแรง
Histogram ใต้เส้น 0 → MOMENTUM อ่อนแรง
💢💢💢 สิ่งที่ควรทำความเข้าใจ 💢💢💢
สิ่งสำคัญ MACD ไม่ได้บอกสัญญาณล่วงหน้า แต่เป็นการบอกแนวโน้มของทิศทางที่กราฟจะไปต่อ
MACD สามารถให้สัญญาณหลอกได้ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวในกรอบแคบหรือ Sideways
♦️ Stochastic ♦️
ใช้เพื่อวัดโมเมนตัม (Momentum) และจับสัญญาณการกลับตัวของราคา โดยอาศัยการเปรียบเทียบราคาปิดล่าสุดกับช่วงราคาสูงสุด-ต่ำสุดในช่วงเวลาหนึ่งๆ Indicator นี้จะช่วยระบุภาวะที่ตลาดมีการซื้อมากเกินไป (Overbought) เมื่อค่าเกิน 80 หรือขายมากเกินไป (Oversold) เมื่อค่าต่ำกว่า 20 ซึ่งเป็นสัญญาณว่าราคาอาจมีการกลับตัวได้
♦️ การใช้งานหลักของ Stochastic
💢 ระบุภาวะซื้อ/ขายมากเกินไป:
Overbought (ซื้อมากเกินไป): เมื่อค่า Stochastic อยู่เหนือ 80 แสดงว่าราคาอาจปรับตัวสูงเกินไปและมีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวลดลง
Oversold (ขายมากเกินไป): เมื่อค่า Stochastic อยู่ต่ำกว่า 20 แสดงว่าราคาอาจปรับตัวต่ำเกินไปและมีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวสูงขึ้น
💢 จับสัญญาณจุดกลับตัว:
การตัดกันของเส้น: เมื่อเส้น %K (เส้น Stochastic) ตัดขึ้นผ่านเส้น %D (เส้นค่าเฉลี่ยของ %K) จากระดับต่ำกว่า 20 สามารถเป็นสัญญาณซื้อ และหากตัดลงจากระดับสูงกว่า 80 อาจเป็นสัญญาณขาย
💢 Divergence (ความขัดแย้ง): สัญญาณความขัดแย้งระหว่างราคาและค่า Indicator เช่น หากราคาทำจุดสูงสุดใหม่ แต่ Stochastic ทำจุดสูงสุดที่ต่ำลง (Bearish Divergence) อาจเป็นสัญญาณการกลับตัวเป็นขาลง หรือหากราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่ Stochastic ทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (Bullish Divergence) อาจเป็นสัญญาณการกลับตัวเป็นขาขึ้น
💢 วิเคราะห์แนวโน้มและโมเมนตัม:
วัดความแข็งแกร่งและความเร็วของการเคลื่อนไหวของราคาเพื่อทำนายทิศทางในอนาคต
💢💢 สรุปง่ายๆ 💢💢
ใช้เป็นตัวช่วย MACD หาจังหวะเข้า Order
Stoch < 20 แล้วตัดขึ้น → หาจังหวะ Buy
Stoch > 80 แล้วตัดลง → หาจังหวะ Sell
ใช้เพิ่มความแม่นยำในการเข้า Order
💢💢💢 สิ่งที่ควรทำความเข้าใจ 💢💢💢
ควรใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์ตัวอื่น ๆ เช่น RSI หรือ MACD เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ เนื่องจาก Stochastic เพียงอย่างเดียวอาจให้สัญญาณหลอกได้ โดยเฉพาะในตลาดที่ไม่มีแนวโน้มชัดเจน
เหมาะสำหรับใช้ในการเทรดระยะสั้น เช่น Day Trading, Scalping และ Swing Trading
♦️ ADX (ADX and DI for V4) ♦️
ใช้เพื่อ ประเมินความแข็งแกร่งของแนวโน้ม (ADX) และ ระบุทิศทางของแนวโน้ม (DI) ในตลาด โดย ADX จะวัดว่าแนวโน้มนั้นแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ขณะที่ +DI (Positive Directional Index) และ -DI (Negative Directional Index) จะบ่งบอกว่ากำลังเป็นแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง
♦️ การใช้งาน ADX และ DI
ADX (Average Directional Index):
💢 วัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม: เมื่อค่า ADX อยู่สูงกว่า 25 ถือเป็นแนวโน้มที่แข็งแกร่ง (ขาขึ้นหรือขาลง) แต่หากค่าต่ำกว่า 20 ถือว่าตลาดอยู่ในช่วงไซด์เวย์หรือแนวโน้มอ่อนแอ
💢 ใช้เป็นตัวยืนยัน: ใช้เป็นเครื่องมือยืนยันแนวโน้มที่เกิดขึ้นจากการตัดกันของ DI+ และ DI-
DI+|และ DI- (Directional Movement Indicator):
💢 ระบุทิศทาง: DI+ ใช้ดูแรงซื้อ (แนวโน้มขาขึ้น) และ DI- ใช้ดูแรงขาย (แนวโน้มขาลง)
ใช้หาจุดเข้า-ออก:
สัญญาณซื้อ: เมื่อ DI+ตัดขึ้นเหนือ DI- และค่า ADX อยู่สูงกว่า 25 ถือเป็นสัญญาณซื้อที่น่าเชื่อถือ เนื่องจากเป็นแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง
สัญญาณขาย: เมื่อ DI- ตัดขึ้นเหนือ DI+ และค่า ADX อยู่สูงกว่า 25 ถือเป็นสัญญาณขายที่น่าเชื่อถือ เนื่องจากเป็นแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่ง
💢💢 สรุปง่ายๆ 💢💢
ระบุความแข็งแกร่งของแนวโน้ม:
ADX < 25 : แนวโน้มอ่อนแอ หรือตลาดอยู่ในช่วง Sideway (ไม่มีทิศทาง)
ADX > 25 : แนวโน้มแข็งแกร่ง
ใช้ร่วมกับ DI+และ DI- :
DI+ : วัดแรงซื้อ (ขาขึ้น)
DI- : วัดแรงขาย (ขาลง)
เมื่อ DI+ ตัดขึ้นเหนือ DI- และค่า ADX สูงกว่า 25 หาจังหวะ Buy
เมื่อ DI- ตัดขึ้นเหนือ DI+ และค่า ADX สูงกว่า 25 หาจังหวะ Sell
♦️♦️♦️ การประยุกต์ใช้ Indicator ♦️♦️♦️
MACD,Stochastic, ADX และ DI ร่วมกันสามารถทำได้โดย ใช้ MACD เพื่อดูแนวโน้มและโมเมนตัม, Stochastic เพื่อระบุจุดกลับตัวในภาวะซื้อมากเกินไป/ขายมากเกินไป (Overbought/Oversold), และ ADX+DI เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
♦️♦️ วิธีการประยุกต์ใช้ร่วมกัน
♦️ ระบุแนวโน้มและโมเมนตัมด้วย
💢 MACD:สัญญาณซื้อ (Bullish): เมื่อเส้น MACD ตัดขึ้นเหนือเส้น Signal Line บ่งชี้ถึงการกลับตัวเป็นขาขึ้น หรือโมเมนตัมขาขึ้นเริ่มแข็งแกร่งสัญญาณขาย (Bearish): เมื่อเส้น MACD ตัดลงต่ำกว่าเส้น Signal Line บ่งชี้ถึงการกลับตัวเป็นขาลง หรือโมเมนตัมขาลงเริ่มแข็งแกร่งยืนยันการกลับตัวด้วย
💢 Stochastic:สัญญาณซื้อ: เมื่อ Stochastic Oscillator อยู่ในโซนขายมากเกินไป (\(<20\)) และตัดขึ้นจากเส้น %D บ่งชี้ว่าราคาอาจถึงจุดต่ำสุดและกลับตัวขึ้นได้สัญญาณขาย: เมื่อ Stochastic อยู่ในโซนซื้อมากเกินไป (\(>80\)) และตัดลงจากเส้น %D บ่งชี้ว่าราคาอาจถึงจุดสูงสุดและกลับตัวลง
💢 ADX+DI:แนวโน้มแข็งแกร่ง: หากค่า ADX สูงกว่า 25 (บางตำราใช้ 20 หรือ 30) และ DI+ สูงกว่า DI- บ่งชี้ว่าแนวโน้มขาขึ้นแข็งแกร่ง เป็นโอกาสเข้าซื้อแนวโน้มขาลงแข็งแกร่ง: หากค่า ADX สูงกว่า 25 และ DI- สูงกว่า DI+ บ่งชี้ว่าแนวโน้มขาลงแข็งแกร่ง เป็นโอกาสเข้าขายแนวโน้มอ่อนแอ: หาก ADX ต่ำกว่า 25 และ/หรือเส้น DI+ และ DI- ไขว้กันไปมา แสดงว่าแนวโน้มไม่แข็งแกร่งหรืออยู่ในช่วงตลาด Sideway
♦️♦️♦️ ตัวอย่างกลยุทธ์การเทรด ♦️♦️♦️
♦️กลยุทธ์ซื้อ (Buy) ♦️
รอสัญญาณซื้อจาก MACD (เส้น MACD ตัดขึ้นเหนือ Signal Line)ยืนยัน: รอสัญญาณซื้อจาก Stochastic (ตัดขึ้นจากโซน Overbought)ยืนยันความแข็งแกร่ง: ดู ADX DI+ ว่ามีแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งหรือไม่ (DI+ สูงกว่า DI- และ ADX สูงกว่า 25)เข้าซื้อ: เมื่อทุกเงื่อนไขตรงกัน
♦️ กลยุทธ์ขาย (Sell) ♦️
รอสัญญาณขายจาก MACD (เส้น MACD ตัดลงต่ำกว่า Signal Line)ยืนยัน: รอสัญญาณขายจาก Stochastic (ตัดลงจากโซน Oversold)ยืนยันความแข็งแกร่ง: ดู ADX DI+ ว่ามีแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่งหรือไม่ (DI- สูงกว่า DI+ และ ADX สูงกว่า 25)เข้าขาย: เมื่อทุกเงื่อนไขตรงกัน
💢💢 สรุปง่ายๆ 💢💢
📍 สัญญาณเข้าซื้อ (Buy Setup)
✔ MACD ตัดขึ้นเหนือ Signal
✔ Stochastic ตัดขึ้นเหลือ 20
✔ ADX เหนือ 25 DI+ ตัดขึ้นเหนือ DI- (มีแรงซื้อจริง)
📍 สัญญาณขาย (Sell Setup)
✔ MACD ตัดลงใต้ Signal
✔ Stochastic ตัดลงใต้ 80
✔ ADX เหนือ 25 DI- ตัดขึ้นเหนือ DI+ (มีแรงขายจริง)
💢💢💢 ข้อควรระวัง 💢💢💢
ถ้า MACD บอกซื้อ แต่ ADX < 25 ให้ระวัง “สัญญาณหลอก”
#เป็นแนวความคิดเห็นส่วนตัว
#ไม่ได้เป็นการแนะนำการลงทุน
#การลงทุนมีความเสี่ยงควรระวัง
ฝึกวิเคราะห์เพื่อหาจุดเข้าซื้อให้แม่นยำยิ่งๆขึ้นไปเทรดหมดชนดะไม่สนข่าวกำหนดแผนรูปแบบตามเงื่อนไขข้อบังคับของตัวเองแล้วรอจนเข้าเงื่อนไขในการเข้าออเดอร์และ money management
เป็นการฝึกวิเคราะห์เท่านั้นห้ามเทรดตามควรศึกษาหาความรู้และหมั่นตั้งคำถามและต้องหาคำตอบให้ตนเองให้มากที่สุดเพื่อประโยชน์ต่อตนเอง
ห้ามเทรดตามมิฉะนั้นพอตคุณจะแตกแน่นอน100%ควรศึกษาหาความรู้ก่อนนะครับ
Bitcoin CME Gap คืออะไร? วิธีใช้ตัวชี้วัด BTC GapBitcoin CME Gap คืออะไร? วิธีใช้ตัวชี้วัด BTC Gap
‘Gap’ ในตลาดฟิวเจอร์ส CME (Chicago Mercantile Exchange) เป็นตัวชี้วัดที่ช่วยให้เห็นการเคลื่อนไหวของนักลงทุนสถาบัน และเป็นตัวชี้วัดที่นักเทรดมืออาชีพหลายคนติดตามอย่างใกล้ชิด
1️⃣ Bitcoin CME Gap คืออะไร?
CME เป็นหนึ่งในช่องทางหลักที่นักลงทุนสถาบันเข้าถึง Bitcoin
แต่ตลาดฟิวเจอร์ส CME จะปิดในช่วงสุดสัปดาห์ (ตั้งแต่บ่ายวันศุกร์ถึงบ่ายวันอาทิตย์ ตามเวลา Chicago, USA) นอกจากนี้ยังมีช่วงหยุดซื้อขาย 1 ชั่วโมงหลังปิดตลาดในวันธรรมดา
ในทางกลับกัน ตลาดสปอต เช่น Binance และ OKX เปิดทำการ 24 ชั่วโมงทุกวัน
ความแตกต่างนี้ทำให้เกิด 'Gap' โดยเฉพาะในช่วงสุดสัปดาห์ที่ระยะเวลาหยุดทำการนานขึ้น Gap มักจะมีขนาดใหญ่กว่า
Bearish Gap: เกิดขึ้นเมื่อราคาปิดตลาด CME น้อยกว่าราคาเปิดตลาดถัดไป ซึ่งหมายความว่าราคาของ Bitcoin ลดลงในตลาดสปอตในช่วงเวลาที่ CME ปิด
Bullish Gap: เกิดขึ้นเมื่อราคาปิดตลาด CME น้อยกว่าราคาเปิดตลาดถัดไป ซึ่งหมายความว่าราคาของ Bitcoin เพิ่มขึ้นอย่างมากในตลาดสปอตช่วงที่ CME ปิด
การเปลี่ยนแปลงทางจิตวิทยาอย่างฉับพลัน: หมายความว่าความรู้สึกของนักลงทุนเอียงไปทางใดทางหนึ่งมากในช่วงสุดสัปดาห์
Unfilled Order Blocks: พื้นที่ Gap ถูกตีความว่าเป็นบริเวณที่อาจมีคำสั่งซื้อ/ขายที่ยังไม่ได้ทำการจับคู่
Gap Fill Phenomenon: เทรดเดอร์หลายคนเชื่อว่า "gap จะถูกเติมเต็ม" และใช้เป็นกลยุทธ์การเทรด ซึ่งหมายถึงแนวโน้มของราคาที่จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงข้ามของ Gap และพยายามเติมเต็มพื้นที่ Gap ในที่สุด แต่ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เป็นข้อบังคับ Gap อาจถูกเติมทันทีหรือช้ากว่าต้องพิจารณาจากการวิเคราะห์หลายวิธี
2️⃣ ค้นหา CME Gap ได้อย่างง่ายดาย
ตัวชี้วัด
Bitcoin CME gaps multi-timeframe auto finder ทำให้การวิเคราะห์แท่งเทียน CME เป็นอัตโนมัติและแสดงผลบนกราฟอย่างชัดเจน
⚡คุณสมบัติและการใช้งานของตัวชี้วัด
การตรวจจับ Gap หลายกรอบเวลา: 5 นาที, 15 นาที, 30 นาที, 1 ชั่วโมง, 4 ชั่วโมง และ 1 วัน! ตรวจจับและแสดง Gap ของ CME ในหลายกรอบเวลาได้พร้อมกัน ไม่ว่าคุณจะเทรดระยะสั้นหรือระยะยาว สามารถเช็ค Gap ตามสไตล์การเทรดของคุณ
แสดงกรอบและป้ายอัตโนมัติ: พื้นที่ Gap ที่ตรวจพบจะแสดงเป็นกรอบสี่เหลี่ยมบนกราฟ Gap ขาขึ้น (Bullish) จะแสดงเป็นสีเขียว Gap ขาลง (Bearish) เป็นสีแดง ทำให้ง่ายต่อการระบุ ขนาด Gap (%) จะแสดงในป้ายด้านบนของกรอบ
ฟังก์ชันเน้น: Gap ขนาดใหญ่ที่เกินค่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ (เช่น 0.5%) จะแสดงด้วยสีเด่น Gap ขนาดใหญ่มีผลกระทบมากกว่า ควรสังเกต
ซิงโครไนซ์ราคากับกราฟ: ราคากราฟสปอตจากตลาดอื่นอาจต่างจากราคาฟิวเจอร์ส CME ตัวชี้วัดนี้ปรับราคา Gap ให้ตรงกับราคากราฟปัจจุบันผ่านโหมด "Chart_price" ทำให้เข้าใจระดับราคาของ Gap บนกราฟสปอตได้ชัดเจนและสามารถวางแผนเทรดตรงบนกราฟของตลาดอื่น
แจ้งเตือนแบบเรียลไทม์: สามารถรับแจ้งเตือนทันทีเมื่อพบ CME Gap ใหม่ ตั้งค่าแจ้งเตือนเฉพาะ Gap ของกรอบเวลาเฉพาะได้ ใช้งานสะดวกเมื่อไม่สามารถดูกราฟตลอดเวลาในช่วงสุดสัปดาห์หรือเวลาที่กำหนดในวันธรรมดา
3️⃣ กลยุทธ์การเทรด
💡กลยุทธ์เติมเต็ม Gap:
เมื่อเกิด Bullish Gap: หากราคาทะลุ Gap ขาขึ้นแล้วกลับลงมาเติม Gap อาจพิจารณาเปิด Long ใกล้ด้านล่างของ Gap หรือ Short หากราคาสะดุดไม่เด้งจากด้านบนของ Gap อีกทางเลือกคือพิจารณา Short ในโซนแนวต้านก่อน Gap ถูกเติม
เมื่อเกิด Bearish Gap: หากราคาทะลุ Gap ขาลงแล้วกลับขึ้นมาเติม Gap อาจพิจารณาเปิด Short ใกล้ด้านบนของ Gap หรือ Long หากราคาสะดุดไม่ตกจากด้านล่างของ Gap อีกทางเลือกคือพิจารณา Long ในโซนแนวรับต่ำก่อน Gap ถูกเติม
💡ใช้เป็นพื้นที่สนับสนุน/แนวต้าน:
พื้นที่ Gap เก่า CME สามารถทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านที่แข็งแกร่งเมื่อราคากลับมาทดสอบ
สังเกตว่าราคาพบแนวต้านแล้วลดลงเมื่อถึง Gap ขาลง หรือพบแนวรับแล้วเพิ่มขึ้นเมื่อถึง Gap ขาขึ้น Gap ที่ซ้อนกันหลายกรอบเวลาจะมีความสำคัญมากขึ้น
💡สัญญาณยืนยันแนวโน้มและกลับตัว:
เกิด Bearish Gap ขนาดใหญ่และยังไม่เติมเต็ม แต่ราคายังลดลงต่อ นี่อาจบ่งชี้จุดเริ่มต้นหรือการต่อเนื่องของแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่ง
เกิด Bullish Gap ขนาดใหญ่และยังไม่เติมเต็ม แต่ราคายังเพิ่มขึ้นต่อ นี่อาจบ่งชี้จุดเริ่มต้นหรือการต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง
สามารถใช้การเคลื่อนไหวของราคาหลัง Gap เพื่อประเมินโมเมนตัมตลาดและประยุกต์กลยุทธ์ติดตามแนวโน้มหรือกลับตัว
ตัวอย่าง: หากเกิด Bearish Gap แต่เติมเต็มภายในไม่กี่วันแล้วทะลุด้านบน Gap นี่อาจตีความเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มขาลงสิ้นสุดแล้ว
💡การวิเคราะห์หลายกรอบเวลา:
เมื่อค้นหาระดับแนวรับ/แนวต้านสำคัญ ตรวจสอบไม่เพียง Gap ของกรอบเวลาปัจจุบัน แต่ยังรวม Gap ของกรอบเวลาที่ใหญ่กว่า (เช่น Gap 4 ชั่วโมงหรือรายวันบนกราฟ 1 ชั่วโมง)
Gap จากกรอบเวลาที่ใหญ่กว่ามีความสนใจทางตลาดมากขึ้น เมื่อทำการตัดสินใจในกรอบเวลาที่เล็กลง ให้พิจารณาตำแหน่ง Gap สำคัญจากกรอบเวลาที่ใหญ่กว่าเพื่อการจัดการความเสี่ยงหรือกำหนดจุดเข้า/ออก
Gap ระยะสั้น (5m, 15m): ส่วนใหญ่ <1% ใช้สำหรับความผันผวนระยะสั้น, scalping ด้วยเลเวอเรจสูง หรือ day trading เหมาะสำหรับการเข้า/ออกอย่างรวดเร็ว มักถูกเติมก่อนปิดแท่งเทียน 4 ชั่วโมงหลังเปิดตลาด
Gap ระยะกลาง (1h, 4h): อ้างอิงสำหรับ swing trading หรือ position trading อาจกลายเป็นแนวรับ/แนวต้านสำคัญ ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวหลัง Gap
Gap ระยะยาว (1d): จุดเปลี่ยนแนวโน้มใหญ่หรือแนวรับ/แนวต้านสำคัญจากมุมมองระยะยาว หากเกิด 'Gap ใหญ่' ให้พิจารณาการเปลี่ยนแปลงทิศทางตลาดโดยรวม มักเกิดช่วงสุดสัปดาห์ บางครั้ง Gap >3%
Gap ระยะสั้นวันธรรมดา เติมเต็ม 4 ชั่วโมงก่อนหน้า
หลังจากเกิดแก๊ปขนาดใหญ่ 3.54% ในช่วงสุดสัปดาห์ แนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งยังคงดำเนินต่อไป
4️⃣ สรุป
ตัวชี้วัด 'Bitcoin CME Gap Multi-Timeframe Auto Detector' เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง ช่วยให้คุณไม่พลาดจุดสำคัญของความผันผวนราคาในตลาด
อย่างไรก็ตาม ไม่มีตัวชี้วัดใดควรเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตา Gap อาจไม่ถูกเติมเต็ม หรือราคาสามารถพุ่งสวนทิศทางหลังจากผ่าน Gap ดังนั้นการวิเคราะห์ร่วมกับตัวชี้วัดอื่น ๆ เพื่อเพิ่มอัตราการชนะเป็นสิ่งสำคัญ
เราหวังว่าคุณจะใช้ข้อมูลจากตัวชี้วัดนี้ร่วมกับวิธีวิเคราะห์ของคุณ (รูปแบบกราฟ, ตัวชี้วัดเสริม, การวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค ฯลฯ) เพื่อสร้างกลยุทธ์การเทรดที่ซับซ้อนมากขึ้น
📌หากเนื้อหานี้เป็นประโยชน์ โปรดสนับสนุนด้วยการ boost และคอมเมนต์ การสนับสนุนเล็ก ๆ ของคุณช่วยสร้างการวิเคราะห์และเนื้อหาที่ดีขึ้นได้ ติดตามเพื่อรับแจ้งเตือนเมื่อเรามีโพสต์ใหม่
รูปแบบของ H&S หรือรูปแบบ QM📉 รูปแบบ Head and Shoulders (H&S)
รูปแบบ Head and Shoulders เป็นสัญญาณการ กลับตัวจากแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) เป็นขาลง (Downtrend) (สำหรับ Inverse Head and Shoulders จะกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น)
องค์ประกอบ:
ไหล่ซ้าย (Left Shoulder): ราคาขึ้นไปทำจุดสูงสุดแรก แล้วย่อตัวลง
หัว (Head): ราคาขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ สูงกว่า ไหล่ซ้าย แล้วย่อตัวลงมา
ไหล่ขวา (Right Shoulder): ราคาขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ ต่ำกว่า หัว และ ใกล้เคียง กับไหล่ซ้าย แล้วย่อตัวลง
เส้นคอ (Neckline): เป็นเส้นที่ลากเชื่อมจุดต่ำสุด (Troughs) ระหว่างไหล่ซ้ายกับหัว และหัวกับไหล่ขวา
การใช้งาน:
ยืนยันการกลับตัวเมื่อราคา ทะลุเส้นคอลงมา (Breakout)
ตั้งเป้าหมายกำไร (Take Profit) โดยวัดระยะทางจากยอดหัวลงมาที่เส้นคอ แล้วนำระยะนั้นมาวางจากจุดที่ราคา Breakout เส้นคอ
รูปแบบ H&S มักให้สัญญาณการกลับตัวที่ชัดเจนและใช้ในการวางแผนเทรดระยะกลางถึงยาว
🔄 รูปแบบ Quasimodo (QM) หรือ Over and Under Pattern
รูปแบบ Quasimodo เป็นอีกหนึ่งรูปแบบการกลับตัวที่มักจะ บ่งบอกถึงการกลับตัวที่รุนแรงและเร็วกว่า H&S เล็กน้อย มักจะคล้ายกับ H&S ที่มีความ "บิดเบี้ยว" หรือไม่สมมาตร
องค์ประกอบหลัก (สำหรับ Bearish QM กลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง):
ราคาทำ Higher High (HH) และ Higher Low (HL) ตามแนวโน้มขาขึ้น
ราคาขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ (Head) ซึ่งเป็น HH ล่าสุด แล้วลงมาต่ำกว่า HL ก่อนหน้า (ทำ Lower Low - LL)
ราคาดีดกลับขึ้นไปที่ Quasimodo Level (QML) หรือระดับแนวต้านที่เกิดจาก ยอดของไหล่ซ้าย
การกลับตัวจะเกิดขึ้นเมื่อราคา ไม่สามารถทำ New High ได้ และถูกปฏิเสธที่ระดับ QML
ความแตกต่างสำคัญกับ H&S:
เส้นคอ (Neckline): ใน QM มักจะ มีความลาดชัน (Sloping) มากกว่า H&S เพราะโครงสร้างมีการทำ LL/HH ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนก่อนการกลับตัว (ในภาพตัวอย่างคือ ไหล่ซ้าย และ หัว ไม่ได้มีระดับต่ำสุดที่เชื่อมกันได้เป็นเส้นตรงเหมือน H&S)
โครงสร้าง: QM เน้นการ ทำลายโครงสร้างแนวโน้มเดิม (Break of Structure - BOS) โดยการทำ New Low ที่ต่ำกว่า Low ก่อนหน้า (หรือ New High ที่สูงกว่า High ก่อนหน้าใน Bullish QM) ก่อน ที่ราคาจะกลับไปทดสอบระดับไหล่ซ้าย (QML)
💡 สรุปความแตกต่างและภาพในกราฟ
ภาพที่คุณแนบมามีการระบุ ไหล่ซ้าย, หัว, และ ไหล่ขวา ซึ่งเป็นลักษณะของ Head and Shoulders (H&S) และมีการทำเครื่องหมาย SL (Stop Loss) ไว้ด้านล่างเส้นคอ แสดงว่ากำลังบ่งชี้ถึงสัญญาณกลับตัวเป็นขาลง (Bearish H&S) หรือเป็นรูปแบบ Quasimodo (QM) ขาลง (Bearish QM) ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเส้นคอ (แนวรับที่เชื่อมจุดต่ำสุด) มีความลาดชันหรือไม่
ถ้าเน้นที่ความสมมาตรและเส้นคอที่ชัดเจน: มันคือ H&S
ถ้าเน้นที่การทำลาย Low ก่อนหน้า (Low ที่ไหล่ซ้าย) ก่อนการดีดกลับไปที่ QML: มันคือ QM
ฝึกวิเคราะห์เพื่อหาจุดเข้าซื้อให้แม่นยำยิ่งๆขึ้นไปลองมาดูหุ้นกันหน่อยดีกว่าไม่ได้ดูนานแล้วแล้วก็เป็นการฝึกวิเคราะห์กราฟเท่านั้นไม่ได้ซื้อขายจริงเพราะไม่มีเงินซื้อขนาดนั้นแค่อยากจะรู้ว่าเขาจะกลับตัวไหมฝึกดูเท่านั้น
รายละเอียดของแต่ละหุ้นต้องไปศึกษาด้วยตัวเองมีปันผลหรือไม่งบการเงินเขาเป็นอย่างไรทรัพย์สินหนี้สินเขาเป็นอย่างไรเขามีทรัพย์สินจริงหรือไม่ต้องไปสืบเองหาเองมันมีหุ้นหลอกลวงที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์มีเยอะมากอาจจะไม่ได้หลอกก็ได้แต่มันก็เป็นความผิดพลาดในการทำธุรกิจของแต่ละบริษัทซึ่งเราก็ต้องพิจารณาเองซึ่งผมไม่สามารถที่จะลงในรายละเอียดอะไรได้ในวันนี้ที่เอามาก็เป็นการฝึกวิเคราะห์กราฟเท่านั้นเอามาให้ดูตามรูปแบบวิธีการที่ตัวเองทำเสมอไม่เคยนอกเหนือไปจากสิ่งที่มองไปจากนั้นเพื่อพิสูจน์บทสรุปของตัวเองว่ารูปแบบการเสพรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งสามารถเอาไปใช้ได้ทุกๆบริบททุกๆรูปแบบของการเทรดที่เป็นแท่งเทียนได้ทั้งหมดบนโลกใบนี้เท่านั้น
การวิเคราะห์ตลาดโดยใช้กราฟ Bitcoin Dominance & USDT DominanceTitle : การวิเคราะห์ตลาดโดยใช้กราฟ Bitcoin Dominance & USDT Dominance
เรามุ่งหวังที่จะทำการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวชี้วัดสำคัญสี่ตัวที่ใช้ในการตีความความซับซ้อนและความรู้สึกของนักลงทุนในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี — Bitcoin Dominance, USDT Dominance, TOTAL3 และ Coinbase Premium — พร้อมแบ่งปันแนวคิดเกี่ยวกับวิธีการใช้ตัวชี้วัดเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพในกลยุทธ์การซื้อขายจริง
โดยการวิเคราะห์ตัวชี้วัดทั้งสี่ร่วมกัน นักเทรดสามารถระบุแนวโน้มโดยรวมของตลาด ประเมินความมีชีวิตชีวาของตลาด Altcoin และประเมินการมีส่วนร่วมของสถาบัน ซึ่งช่วยสร้างพื้นฐานสำหรับการพัฒนากลยุทธ์การซื้อขายระยะกลางถึงยาว
ก่อนอื่น โปรดคลิก Boost (🚀) เพื่อให้ผู้คนเห็นโพสต์นี้มากขึ้น
💡การทำความเข้าใจตัวชี้วัดหลัก
Bitcoin Dominance: CRYPTOCAP:BTC.D
อัตราส่วนของมูลค่าตลาด Bitcoin ต่อมูลค่าตลาดคริปโตเคอร์เรนซีทั้งหมด
แสดงถึงความแข็งแกร่งของตลาด Bitcoin เทียบกับ Altcoins
USDT Dominance: CRYPTOCAP:USDT.D
อัตราส่วนของมูลค่าตลาด Tether (USDT) ต่อมูลค่าตลาดคริปโตเคอร์เรนซีทั้งหมด
ช่วยระบุความเสี่ยง/ความปลอดภัยของนักลงทุน และประเมินระดับสภาพคล่องของตลาด
TOTAL3: CRYPTOCAP:TOTAL3
มูลค่าตลาดรวมของ Altcoin ทั้งหมด ยกเว้น Bitcoin (BTC) และ Ethereum (ETH)
สะท้อนแรงขับเคลื่อนโดยรวมของตลาด Altcoin
Coinbase Premium Index: ตัวชี้วัด TradingView
ตัวชี้วัดที่แสดงความต่างราคาของ BTC ระหว่าง Coinbase กับตลาดแลกเปลี่ยนหลักอื่น ๆ (เช่น Binance)
ใช้เพื่อประเมินแรงซื้อของสถาบัน (Premium เป็นบวก) หรือแรงขายของสถาบัน (Premium เป็นลบ) ในตลาดสหรัฐอเมริกาโดยอ้อม
⚙️ความสัมพันธ์ของตัวชี้วัดและกลยุทธ์การซื้อขาย
ตัวชี้วัดทั้งสี่นี้แสดงรูปแบบเฉพาะภายใต้สภาวะตลาดที่แตกต่างกัน
โดยการวิเคราะห์อย่างครอบคลุม นักเทรดสามารถระบุโอกาสการซื้อขายระยะกลางและยาวได้
ความสัมพันธ์ระหว่างราคาของ BTC กับตัวชี้วัด:
ราคา BTC vs BTC.D: ความสัมพันธ์ซับซ้อน
ราคา BTC vs USDT.D: ส่วนใหญ่เป็นความสัมพันธ์เชิงลบ (USDT.D เพิ่ม = ตลาดไม่แน่นอนและ BTC ลดลง)
ราคา BTC vs TOTAL3: ส่วนใหญ่เป็นความสัมพันธ์เชิงบวก (BTC ขึ้น = TOTAL3 ขึ้น)
ราคา BTC vs Coinbase Premium: ส่วนใหญ่เป็นความสัมพันธ์เชิงบวก (Premium เป็นบวกต่อเนื่อง = แนวโน้ม BTC ขาขึ้นต่อเนื่อง)
✔️Scenario 1: ช่วงตลาดขาขึ้น📈 (Bitcoin นำตลาด)
BTC.D เพิ่ม: เงินทุนไหลเข้าสู่ Bitcoin
USDT.D ลด: ความเสี่ยงสูงขึ้น, การไหลเข้าของเงินสดเพิ่ม
TOTAL3 เคลื่อนไหวด้านข้างหรือขึ้นเล็กน้อย: Altcoin ยังอ่อนแอหรือไม่ตอบสนอง
Coinbase Premium เพิ่มและคงเป็นบวก: การไหลเข้าของสถาบัน
การตีความ:
การซื้อ Bitcoin ของสถาบันอย่างแข็งแกร่งขับเคลื่อนตลาด โดยเงินทุนไหลจาก Stablecoin ไปยัง BTC
Altcoin อาจตามหลังการเคลื่อนไหวนี้ในระยะแรก
กลยุทธ์:
หาก Coinbase Premium คงเป็นบวกแม้ในช่วงที่ BTC มีการแก้ไขเล็กน้อย การสร้างตำแหน่ง Long BTC จะเป็นประโยชน์
เมื่อ Premium เป็นบวกต่อเนื่องและ BTC ทะลุแนวต้านสำคัญ สามารถตีความเป็นสัญญาณซื้อที่แข็งแกร่ง
ในช่วงแรก ให้เน้นที่ Bitcoin เป็นหลักมากกว่า Altcoin
✔️Scenario 2: ตลาดขาขึ้นแรง📈 (Altcoin เข้าร่วมรอบขึ้น)
BTC.D ลด: เงินทุนหมุนจาก Bitcoin ไปยัง Altcoin
USDT.D ลด: ความเสี่ยงสูงต่อเนื่อง, การไหลเข้าต่อเนื่อง
TOTAL3 เพิ่ม: แรงขับเคลื่อนสูงสุดในตลาด Altcoin
Coinbase Premium คงเป็นบวก: การไหลเข้าของสภาพคล่องต่อเนื่อง
การตีความ:
เมื่อ Bitcoin มีเสถียรภาพหรือขึ้นเทรนด์ เงินทุนเริ่มไหลเข้าสู่ Altcoin อย่างรวดเร็ว
การเพิ่มขึ้นของ TOTAL3 สะท้อนความแข็งแกร่งในวงกว้างของตลาด Altcoin
กลยุทธ์:
เลือก Altcoin ที่มีพื้นฐานแข็งแรงและสร้างตำแหน่งอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ในช่วงนี้ กลุ่มธีมขนาดใหญ่และเล็กอาจเกิดการปั๊มหมุนเวียน — การติดตามข่าวสารที่เกี่ยวข้องเป็นสิ่งสำคัญ
✔️Scenario 3: ตลาดขาลง📉
BTC.D เพิ่ม: Altcoin ลดลงแรงกว่าเมื่อ BTC ลด
USDT.D เพิ่ม: ความรอบคอบด้านความเสี่ยงสูงขึ้น, เงินสดเพิ่ม
TOTAL3 ลด: ความอ่อนแอในตลาด Altcoin ลึกขึ้น
Coinbase Premium ลดและคงเป็นลบ: การขายของสถาบันหรือหยุดซื้อ
การตีความ:
ความวิตกกังวลในตลาดสูงขึ้นทำให้นักลงทุนขายสินทรัพย์เสี่ยงและย้ายไปยัง Stablecoin เช่น USDT
แรงกดดันจากการขายของสถาบันทำให้ Coinbase Premium เป็นลบหรือคงแนวโน้มลง
Altcoin น่าจะสูญเสียมากที่สุดในช่วงนี้
กลยุทธ์:
ลดการถือครองคริปโตหรือเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (USDT) เพื่อบริหารความเสี่ยง
ในช่วงรีบาวด์ทางเทคนิค พิจารณาปรับลดตำแหน่งหรือเข้าตำแหน่ง Short อย่างระมัดระวัง (ความเสี่ยงสูง)
✔️Scenario 4: ช่วง Sideways หรือ Correction
BTC.D เคลื่อนไหวด้านข้าง: การรวมตัวในช่วงกรอบ
USDT.D เคลื่อนไหวด้านข้าง: ความระมัดระวังยังคงอยู่, ปริมาณตลาดต่ำ
TOTAL3 เคลื่อนไหวด้านข้าง: ตลาด Altcoin แบนหรืออ่อนเล็กน้อย
Coinbase Premium เสถียร: สลับไปมาระหว่างบวกและลบ
การตีความ:
ตลาดเข้าสู่ช่วงรอดูผล, sideway หรือการแก้ไขเล็กน้อย
ความเป็นกลางของ Coinbase Premium สะท้อนความไม่แน่นอนในการไหลของเงินทุนสถาบัน
กลยุทธ์:
ติดตามการตอบสนองของ BTC และ TOTAL3 ที่ระดับแนวรับสำคัญก่อนเข้าตำแหน่งใหม่
อาจรอจนกว่ามีการสะสมโดยสถาบันชัดเจนหรือปัจจัยบวกเพื่อฟื้นความเชื่อมั่น
🎯การตั้งค่าและการใช้งานกราฟ TradingView
Multi-Chart Layout: ใช้ฟีเจอร์ multi-chart ของ TradingView แสดง BTCUSDT, BTC.D, USDT.D และ TOTAL3 พร้อมกันเพื่อการวิเคราะห์เปรียบเทียบ (เพิ่ม Coinbase Premium เป็นตัวชี้วัดเสริม)
Timeframes: สำหรับการวิเคราะห์ระยะสั้น ใช้ 1H, 4H, หรือ 1D; สำหรับระยะกลางถึงยาว ใช้ 1W หรือ 1M การมั่นใจสูงขึ้นเมื่อหลายตัวชี้วัดสอดคล้องกันใน timeframe เดียวกัน
Trendlines และ Support/Resistance: วาด trendline, support และ resistance บนกราฟแต่ละตัวชี้วัดเพื่อระบุจุดกลับตัวสำคัญ การเบรกของ USDT.D หรือ BTC.D มักเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงตลาดใหญ่
ตัวชี้วัดเสริม: รวม RSI, MACD หรือ technical indicators อื่น ๆ เพื่อตรวจจับ divergence หรือโซน overbought/oversold เพื่อความแม่นยำเพิ่มเติม
⚡คุณค่าเชิงวิเคราะห์และข้อควรพิจารณา
มุมมองตลาดครอบคลุม: การวิเคราะห์ตัวชี้วัดทั้งสี่ร่วมกันช่วยเพิ่มความเข้าใจตลาดโดยรวม
Leading vs Lagging Indicators: Coinbase Premium สามารถเป็นสัญญาณนำ ขณะที่ dominance และ market cap เป็นตัวชี้วัดสอดคล้องกับสภาพตลาดปัจจุบัน
ลักษณะเชิงความน่าจะเป็น: ตัวชี้วัดเหล่านี้ไม่ใช่เครื่องมือทำนาย แต่ควรตีความร่วมกับปัจจัยตลาดอื่น ๆ
การบริหารความเสี่ยง: ใช้มาตรการ stop-loss และบริหารความเสี่ยงอย่างระมัดระวัง เตรียมพร้อมสำหรับความเบี่ยงเบนจากพฤติกรรมตลาดที่คาดการณ์ไว้
🌍สรุป
Bitcoin Dominance, USDT Dominance, TOTAL3 และ Coinbase Premium Index เป็นองค์ประกอบสำคัญในการถอดรหัสโครงสร้างซับซ้อนของตลาดคริปโต
การวิเคราะห์ร่วมกันช่วยให้เข้าใจความรู้สึกตลาดลึกขึ้น, คาดการณ์โอกาสและความเสี่ยงที่กำลังจะเกิด, และพัฒนากลยุทธ์การซื้อขายที่ชาญฉลาดและมั่นคงยิ่งขึ้น
💬 หากคุณคิดว่าการวิเคราะห์นี้มีประโยชน์ แสดงความคิดเห็นด้านล่าง!
🚀 อย่าลืมคลิก Boost เพื่อสนับสนุนโพสต์!
🔔 กดติดตามเพื่อไม่พลาดข้อมูลวิเคราะห์ตลาดครั้งถัดไป!
วิธีใช้ดัชนี Coinbase Premium ของ BTC บน TradingView1. ดัชนี Coinbase Premium คืออะไร?
ดัชนี Coinbase Premium เป็นตัวชี้วัดที่วัดความต่างของราคาระหว่างสกุลเงินดิจิทัลที่ระบุบน Coinbase กับราคาของ Bitcoin บนแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนหลักอื่น ๆ (โดยเฉพาะ Binance)
⌨︎ วิธีคำนวณ:
(Coinbase BTC price - Other exchange BTC price) / Other exchange BTC price * 100
Premium บวก: เกิดขึ้นเมื่อราคาบน Coinbase สูงกว่าบนแพลตฟอร์มอื่น ๆ
Premium ลบ: เกิดขึ้นเมื่อราคาบน Coinbase ต่ำกว่าบนแพลตฟอร์มอื่น ๆ
📌 หากเนื้อหานี้เป็นประโยชน์ โปรดสนับสนุนด้วยการบูสต์และคอมเมนต์ การสนับสนุนของคุณคือแรงจูงใจสำคัญในการสร้างวิเคราะห์และเนื้อหาที่ดียิ่งขึ้น
เราจะอัปโหลดเนื้อหาหลากหลาย เช่น การวิเคราะห์กราฟ กลยุทธ์การเทรด และสัญญาณ Bitcoin ระยะสั้น กรุณาติดตามเรา
2. สาเหตุของ Coinbase Premium
✔️ สาเหตุหลักของ Coinbase Premium ได้แก่:
ความต้องการจากนักลงทุนสถาบัน: Coinbase เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตที่มีการกำกับดูแลใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ และนักลงทุนสถาบันหลายราย (เช่น กองทุนเฮดจ์ฟันด์ บริษัทจัดการสินทรัพย์) มักซื้อคริปโตผ่าน Coinbase
คำสั่งซื้อขนาดใหญ่จากนักลงทุนสถาบันสามารถดันราคาบน Coinbase ให้สูงขึ้นชั่วคราว สร้าง premium
การไหลเข้าของสกุลเงิน fiat: Coinbase ส่วนใหญ่รองรับธุรกรรมที่เป็น USD และเป็นแพลตฟอร์มที่เข้าถึงง่ายที่สุดสำหรับนักลงทุนสหรัฐฯ
เมื่อมีเงิน fiat ใหม่ไหลเข้าสู่ตลาดคริปโต การไหลเข้าที่เข้มข้นผ่าน Coinbase สามารถสร้าง premium
ความเชื่อมั่นและสภาพคล่องของตลาด: หากความเชื่อมั่นของนักลงทุนสหรัฐฯ แข็งแกร่งกว่าภูมิภาคอื่น หรือหากสภาพคล่องบน Coinbase ต่ำชั่วคราว ความต่างของราคาสามารถเกิดขึ้นได้
ข้อจำกัดในการย้ายเงิน: เนื่องจากข้อกำหนดการต่อต้านการฟอกเงิน (AML) อาจมีข้อจำกัดด้านเวลาและค่าใช้จ่ายในการโอนเงินระหว่างแพลตฟอร์ม
ซึ่งจำกัดโอกาสการทำ arbitrage และช่วยรักษา premium
ความหนาแน่นของเครือข่ายและค่าธรรมเนียม: ในช่วงที่เครือข่ายคริปโตหนาแน่น ความเร็วในการทำธุรกรรมอาจช้าลงหรือค่าธรรมเนียมสูงขึ้น ทำให้การทำ arbitrage อย่างรวดเร็วระหว่างแพลตฟอร์มทำได้ยาก
3. วิธีใช้ดัชนี Coinbase Premium ในการเทรด
ดัชนี Coinbase Premium สามารถใช้เป็นเครื่องมือหลักในการทำนายแนวโน้มตลาดของคริปโตหลัก ๆ เช่น Bitcoin (BTC)
📈 สัญญาณตลาดกระทิง (premium บวก):
การไหลเข้าของการซื้อจากสถาบัน: Premium บวกที่สูงต่อเนื่องอาจบ่งชี้ถึงแรงซื้อที่ต่อเนื่องจากนักลงทุนสถาบัน
สามารถตีความได้ว่าเป็นสัญญาณของแนวโน้มตลาดขาขึ้นโดยรวม
สัญญาณกลับตัวของแนวโน้ม: หาก premium ลบคงอยู่ในตลาดหมีแล้วเปลี่ยนเป็นบวกทันทีหรือมีขนาดเพิ่มขึ้น อาจถือเป็นสัญญาณว่าการกลับตัวของแนวโน้มกำลังใกล้เข้ามา พร้อมกับการไหลเข้าของนักลงทุนสถาบันและความเชื่อมั่นของตลาดที่ดีขึ้น
โอกาสซื้อช่วงก้นตลาด: หากราคาของ Bitcoin กำลังลดลงและ premium ของ Coinbase เริ่มสูงกว่า 0% พร้อมกับการไหลเข้าของ ETF รายวัน เช่น BlackRock iShares Bitcoin Trust (IBIT) หรือ Fidelity Wise Origin Bitcoin Trust (FBTC) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อาจถือเป็นสัญญาณโอกาสซื้อที่ก้นตลาด
📉 สัญญาณตลาดหมี (premium ลบ):
แรงขายจากสถาบันหรือลดความสนใจ: Premium ลบที่ต่ำต่อเนื่องอาจบ่งชี้ถึงแรงขายสูงจากนักลงทุนสถาบัน หรือความสนใจใน Bitcoin ลดลง
สามารถตีความได้ว่าเป็นสัญญาณของแนวโน้มตลาดขาลง
สัญญาณกลับตัวตลาดหมี: หาก premium บวกคงอยู่ในตลาดกระทิงแล้วเปลี่ยนเป็นลบหรือขนาดเพิ่มขึ้นอย่างมาก อาจเป็นสัญญาณยอดสูงสุด แสดงว่านักลงทุนสถาบันกำลังทำกำไรหรือลดการไหลเข้าของเงินทุนใหม่
สัญญาณซื้อมากเกิน/ปรับฐาน: เช่น หากราคาของ Bitcoin พุ่งสูงและ premium ของ Coinbase กลายเป็นลบ พร้อมกับการไหลออกสุทธิขนาดใหญ่จาก ETF เช่น BlackRock IBIT หรือ Fidelity FBTC สามารถตีความว่าตลาดซื้อมากเกินไปหรือมีโอกาสปรับฐาน และอาจพิจารณาตำแหน่งขาย
4. ข้อควรระวัง
🚨 เมื่อใช้ดัชนี Coinbase Premium ควรใส่ใจสิ่งต่อไปนี้:
การรวมกับตัวชี้วัดอื่น: ดัชนี Coinbase Premium เป็นเพียงตัวชี้วัดเสริม
ควรตัดสินใจโดยวิเคราะห์ตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่น ๆ เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ RSI MACD ปริมาณการเทรด รวมถึงข้อมูล on-chain และตัวชี้วัดเศรษฐกิจมหภาค
ความสำคัญของข้อมูลการไหลเข้า/ออก ETF: Bitcoin spot ETF จากผู้จัดการสินทรัพย์หลัก เช่น BlackRock และ Fidelity เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดตรงที่สุดของกระแสเงินทุนจากนักลงทุนสถาบัน
การวิเคราะห์ข้อมูลการไหลเข้า/ออก ETF รายวันร่วมกับ premium ของ Coinbase จะช่วยให้เข้าใจแรงซื้อ/ขายของนักลงทุนสถาบันในตลาดได้แม่นยำขึ้น
ความผันผวนระยะสั้น: Premium อาจแกว่งตัวเร็วเนื่องจากความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของตลาดในระยะสั้น
ควรสังเกตแนวโน้มระยะยาว แทนที่จะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงชั่วคราว
การเปลี่ยนแปลงของสภาพตลาด: ตลาดคริปโตเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
ไม่มีการรับประกันว่าสถานการณ์ในอดีตจะยังคงใช้ได้ในอนาคต ปัจจัยต่าง ๆ เช่น กฎระเบียบ การเปลี่ยนนโยบายของแพลตฟอร์มหลัก และผู้เข้าร่วมตลาดใหม่สามารถส่งผลต่อ premium
ขอบเขตการใช้งานจำกัด: ดัชนี Coinbase Premium มักสะท้อนความต้องการของนักลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะ Bitcoin อิทธิพลอาจจำกัดสำหรับ altcoin
5. การใช้ดัชนี Coinbase Premium บน TradingView
TradingView เป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมที่มีตัวชี้วัดทางเทคนิคและเครื่องมือวิเคราะห์กราฟมากมาย บน TradingView มีหลายตัวชี้วัดที่สามารถติดตามดัชนี Coinbase Premium แบบเรียลไทม์
ตัวชี้วัดเหล่านี้มักคำนวณความต่างราคาระหว่าง Coinbase และ Binance spot asset (เช่น BTCUSD/BTCUSDT) และแสดงในแผงแยกที่ด้านล่างของกราฟ
📊 เคล็ดลับการใช้ตัวชี้วัดบน TradingView:
ค้นหาตัวชี้วัด: คลิกปุ่ม 'Indicators' บนกราฟ TradingView และพิมพ์คำสำคัญ เช่น 'Coinbase premium' หรือ 'Coinbase vs Binance' ในช่องค้นหาเพื่อตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้อง
การติดตามแบบเรียลไทม์: ตัวชี้วัดเหล่านี้ดึงข้อมูลราคาสปอต Bitcoin แบบเรียลไทม์จาก Coinbase และ Binance คำนวณ premium และแสดงผลบนกราฟ ทำให้นักลงทุนสามารถยืนยันความต่างราคาตลาดทันทีและนำไปใช้ในกลยุทธ์การเทรด
การรวมกับตัวชี้วัดอื่น: ข้อได้เปรียบสำคัญของ TradingView คือสามารถซ้อนตัวชี้วัดหลายตัวบนกราฟเดียวได้
คุณสามารถเพิ่มตัวชี้วัด Coinbase Premium พร้อมกราฟราคาของ Bitcoin และถ้าจำเป็น อ้างอิงข้อมูลการไหลเข้า/ออก ETF ของ BlackRock และ Fidelity แยกต่างหากเพื่อวิเคราะห์หลายมิติ
การตั้งค่าแจ้งเตือน: ใช้ฟังก์ชัน alert ของ TradingView เพื่อตั้งค่าแจ้งเตือนเมื่อ premium ของ Coinbase เกินระดับที่กำหนดหรือเข้า/ออกช่วงที่กำหนด
ช่วยให้รับรู้การเปลี่ยนแปลงตลาดแบบเรียลไทม์และตอบสนองตามสถานการณ์
โดยสรุป ดัชนี Coinbase Premium เป็นตัวชี้วัดที่สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของนักลงทุนสถาบันในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้เล่นหลักในตลาดคริปโต
เมื่อรวมกับข้อมูลการไหลเข้า/ออกของ Bitcoin spot ETF จากผู้จัดการสินทรัพย์หลัก เช่น BlackRock และ Fidelity จะช่วยให้เข้าใจกระแสเงินทุนสถาบันได้ชัดเจนขึ้นและประเมินความแข็งแกร่งของตลาดและความเป็นไปได้ของการกลับตัวของแนวโน้ม
อย่างไรก็ตาม แทนที่จะเชื่อโดยตรง ควรใช้เป็นเครื่องมือเสริมเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจตลาดโดยรวมร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น ๆ
Recap มายด์เซ็ทการเทรด🧠 5 มายด์เซ็ทการเทรดแบบยั่งยืน
หลายคนมุ่งหาแต่ "ระบบเทรด" (Strategy) ที่ดีที่สุด แต่ลืมไปว่าต่อให้ระบบดีแค่ไหน ถ้า "คน" ที่อยู่หลังจอจิตใจไม่นิ่งพอ ก็ไม่สามารถทำกำไรอย่างยั่งยืนได้
การเทรดด้วย Supply & Demand คือการ "อ่านเกมของรายใหญ่" (Smart Money) แต่ถ้าจิตใจเราเต็มไปด้วยความกลัว ความโลภ หรือความไม่อดทน เราก็จะอ่านเกมผิด หรือที่แย่กว่านั้นคือ... อ่านเกมถูก แต่ไม่กล้าเล่นตามเกมที่อ่าน
นี่คือ 5 มายด์เซ็ทสำคัญที่เทรดเดอร์สาย S/D ต้องมี เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนครับ:
1. 🎯 เราคือ "นักแม่นปืน" ไม่ใช่ "คนยิงกราด" (The Sniper, Not The Machine Gunner)
* มายด์เซ็ท: เกมของเราคือการ "รอ" (Patience)
* การปฏิบัติ: เราไม่ไล่ตามราคาที่วิ่งไปแล้ว เราวิเคราะห์โซน Supply/Demand ที่ "คม" ที่สุด และ "รอ" ให้ราคา "วิ่งเข้ามาหา" กับดักที่เราวางไว้ เทรดเดอร์ที่ยั่งยืนรู้ว่า "การไม่เทรด" (นั่งทับมือ) คือส่วนหนึ่งของการเทรด
* คีย์เวิร์ด: เทรดน้อยลง แต่คุณภาพสูงขึ้น (Less is More)
2. 🛡️ โซนที่พัง คือ "ข้อมูล" ไม่ใช่ "ความล้มเหลว" (A Broken Zone is Data, Not Failure)
* มายด์เซ็ท: เราเป็นกลางต่อผลลัพธ์
* การปฏิบัติ: ไม่มีโซนไหนในโลกที่ชนะ 100% เมื่อโซนถูกทะลุ Smart Money แค่กำลังส่ง "ข้อมูล" ใหม่มาให้เราว่าเทรนด์แข็งแกร่ง หรือพวกเขาต้องการกวาดสภาพคล่อง (Liquidity Sweep)
* คีย์เวิร์ด: ยอมรับการขาดทุนที่คำนวณไว้ (Cut Loss) และไปรอ "อ่านเกม" ที่โซนถัดไป ห้ามแก้แค้นตลาด (Revenge Trade) เด็ดขาด!
3. ⚖️ โฟกัสที่ "กระบวนการ" ไม่ใช่ "กำไรรายวัน" (Process Over Outcome)
* มายด์เซ็ท: เทรดที่ "ดี" ไม่ได้แปลว่า "ชนะ" เสมอไป
* การปฏิบัติ: เทรดที่ "ดี" คือเทรดที่ทำตามแผน 100%:
* หาโซน S/D คุณภาพ
* รอราคาเข้าโซน
* ตั้ง SL/TP ชัดเจนตามแผน
* ปล่อยให้ตลาดทำงาน
* คีย์เวิร์ด: ถ้าทำตามนี้ครบ ต่อให้โดน SL ก็คือ "เทรดที่ดี" ความยั่งยืนเกิดจากการ "ทำซ้ำ" ในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่การฟลุ๊คชนะ
4. 🚫 "FOMO" คือศัตรูตัวฉกาจของนักเทรด S/D (Fear Of Missing Out is the Enemy)
* มายด์เซ็ท: ตลาดมีโอกาสให้เสมอ
* การปฏิบัติ: ศัตรูที่ร้ายที่สุดคือการ "กลัวตกรถ" เห็นราคาพุ่งออกจากโซน Demand ไปไกลแล้วรีบกระโดดตาม นี่คือการ "ไล่ราคา" ซึ่งเป็นจุดที่รายย่อยติดดอยเสมอ
* คีย์เวิร์ด: ถ้าคุณพลาดรถบัสคันนี้ ให้ไปรอที่ "ป้ายถัดไป" (โซนถัดไป) อย่างใจเย็น ไม่ใช่การวิ่งไล่ตามรถบัส
5. 💡 เราเทรด "สิ่งที่เห็น" ไม่ใช่ "สิ่งที่คิด" (Trade What You See, Not What You Think)
* มายด์เซ็ท: เราเป็นผู้ "ตอบสนอง" ต่อตลาด ไม่ใช่ผู้ "คาดเดา"
* การปฏิบัติ:
* "ผมคิดว่ามันน่าจะลงต่อ" (นี่คือการพนัน)
* "ราคาเข้าสู่โซน Supply ที่แข็งแกร่ง และเริ่มสร้างแท่งเทียนกลับตัว" (นี่คือการเทรดตามหลักฐาน S/D)
* คีย์เวิร์ด: หน้าที่เราคือ "อ่านเกม" ตามที่ Smart Money ทิ้งร่องรอยไว้บนกราฟ ไม่ใช่การมโนหรือใช้อคติส่วนตัว
การเทรด S/D ที่ยั่งยืน คือการเปลี่ยนตัวเองจาก "นักพนันที่รีบร้อน" ให้เป็น "ผู้บริหารความเสี่ยงที่อดทน" ที่อ่านเกมของรายใหญ่เป็นครับ
มายด์เซ็ทข้อไหนที่คุณคิดว่าสำคัญที่สุด หรือข้อไหนที่คุณกำลังพยายามพัฒนาอยู่? พิมพ์แชร์กันได้เลยครับ 👇
ฝึกวิเคราะห์เพื่อหาจุดเข้าซื้อให้แม่นยำยิ่งๆขึ้นไปวันนี้ได้นั่งดูแอปนึงเขาเป็น live สดก็เลยนั่งดูเล่นๆดูไปดูมาโอ้โหคนนี้ไม่ธรรมดาเลยส่งซิกแนลจุดเข้าที่เขาบอกไม่น้อยกว่า 1,000 จุดทุกครั้งเลยแล้วสังเกตมาในระยะหนึ่งแล้วเขาทำได้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 5-60,000 จุดต่อวันไม่รู้ว่าเขาใช้รูปแบบอะไรทั้งที่กราฟวิ่งเล็กน้อยเท่านั้นเขายังทำได้สุดยอดจังหวะแก้ไม้ต่างๆเขาบอกให้เข้าต้องเข้าไม่เข้าซวยเขาบอกให้MMเอาไว้บางคนไม่ได้ทำตามที่พูดออกไม้ให้เต็มที่ over trade เต็มที่สุดท้ายก็ล้างพอร์ตบางคนเข้าแล้วติดดอยลงมาเขาให้แก้ก็ไม่แก้ก็ถือคาไว้อยู่อย่างนั้นสุดท้ายก็มาด่าเขาผมก็เลยมีความรู้สึกอยากจะมาเล่าว่า signal เขาดีแต่สิ่งที่ดีกว่านั้นคือตัวเราต้องดีด้วยเราต้องรู้ด้วยต้องเข้าใจไม่ใช่เห็นอยากได้เงินเห็นคนอื่นรวยแล้วอยากจะทำได้คนที่เขาจะรวยเขาจะทำได้เขาจะเทรดได้เขาไม่ได้มาเดี๋ยวนั้นทันทีเขาเรียนรู้ฝึกอะไรกันมามากมายแค่ไหนกว่าเขาจะได้มีแต่ละวิชาแต่ละความรู้แต่ละวิธีหลบหลีกสับขาหลอกหลีกเลี่ยงป้องกันไม่ให้ตัวเองต้องล้างพอร์ตเขาต้องทำไม่รู้กี่รอบล้างพอร์ตไม่รู้กี่รอบฝึก demo ไม่รู้อีกเท่าไหร่เพราะฉะนั้นคนที่จะเข้ามาฟังเขาเทรดถ้าไม่ยอมทำตามที่เขาพูดmmยังไม่เป็นควรต้องไปศึกษาเรียนรู้ก่อนplatform สอนมีมากมายให้เลือกมันขึ้นอยู่กับตัวเราเลือกให้ถูกจริตกับเราเอามาทดลองใช้ฝึก demo บ่อยๆจะเข้าคอร์สเรียนอะไรก็ได้แล้วแต่ทำไปเลยตามสะดวกแต่สุดท้ายมันต้องกลับมาเป็นรูปแบบของเราแล้วเราต้องเข้าใจเรื่องวิธีการ money management ด้วยเพราะว่ากราฟไม่มีจังหวะไหนหรอกที่เข้าแล้วจะไม่ขาดทุนส่วนใหญ่เข้าแล้วก็ต้องโดนลากก่อนแต่บางคนเข้าแล้วไม่โดนลากอาจจะโดนลากนิดเดียวแล้วขึ้นเป็นกำไรเลยเพราะจุดเข้าของเขาแม่นยำมากอย่างคนที่ยกตัวอย่างข้างต้นเขาเข้าออเดอร์ยังไงก็มีกำไรลองสังเกตแล้วค่าเฉลี่ย 5-60,000 จุดนี่ต่อวันมีเห็นๆบางคนออกรับใช้ 0.05 กำไรไปแล้ว60,000 จุด3,000 เหรียญเขาพูดทุกครั้งเลยว่าเทรดกับเขารอบเดียวก็ซื้อรถได้แล้วโอ้โหมันจริงนะผมเห็นแล้วแต่ก็ไม่บอกนะว่า app ไหนอะไรยังไงไปหาเอาเองแล้วกันไม่ได้มาโปรโมทโฆษณาให้ใครนะครับ
ฝึกวิเคราะห์เพื่อหาจุดเข้าซื้อให้แม่นยำยิ่งๆขึ้นไปตัวนี้ธุรกิจสินเขื่อ ออกค้ำประกันโครงการ
ราชการรายละเอียดไม่อธิบายนะครับไปหาข้อมูลเองเขาเอาเงินมาให้ผู้รับเหมาค้ำประกันอย่างไรไส้ในหาข้อมูลเอาเองนะครับ
บริษัทนี้คิดง่ายๆถ้าเขาได้สัญญาจาก
ผู้รับเหมาสัก 1% ของงบประจำปี2569
(ข้อมูลจาก Google)คือ3,780,600,000,000x1%
=37,806,000,000 ล้านแล้ว คิดค่าธรรมเนียมค่าดำเนินการ
ประมาณ10%=3,780,600,000ล้านบาทเลยนะครับ
เป็นราคารวมยังไม่สุทธิยังไม่หักค่าใช้จ่ายและภาษีเงินได้
มองดูแล้วบริษัทแบบนี้แหละที่เป็นเสือซุ่ม เสือนอนกินเลย ถ้าเขามีปันผลก้น่าซื้อเก็บสะสมไปเรื่อยๆถือไว้ยาวย๊าววววววยันลูกยันหลานไปเลยครับ
มีลูกให้ลูกได้ดีอนาคตร่ำรวยให้ศึกษาระบบการเงินจากบริษัทนี้นะครับ
Eaw_Neowave คงเคยได้ยินเรื่อง zigzag มันคือ 5-3-5 มันใช่เหรอ?ใครที่ศึกษาอีเลียตเวฟคงเคยได้ยินเรื่อง zigzag มันคือ 5-3-5 ใช่ไหมคลื่นเอจะมีคลื่นห้าคลื่น คลื่นบีมีสามคลื่น และคลื่นซีจะมีห้าคลื่นซึ่งเป็นเบสิกที่จำๆกันมาแต่พอเจอสถานการณ์จริงมันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะได้ความรู้แบบนี้มันแค่ครึ่งๆกลางๆ
ในหนังสือ Mastering elliott wave ในบทที่ 5 ระบุเรื่องกฏของซิกแซกไว้ว่า ถ้าเป็นซิกแซกคลื่นเอไม่ควรย้อนกลับมากกว่า 61.8% ของชุดอิมพาวก่อนหน้า ในหนึ่งระดับที่ดีกรีสูงกว่ามัน (ถ้ามี) คลื่นบีควรเด้งขึ้นไปอย่างน้อย 1% ของคลื่นเอ ห้ามมีส่วนใดเด้งเกิน 61.8% ของคลื่นเอ หากมีส่วนใดของคลื่นบี เด้งมากกว่า 61.8% ส่วนนั้นจะไม่ถือเป็นจุดสิ้นสุดของคลื่นบี (หากเป็น zz คลื่นบียังถือว่าไม่จบ) มันจะถูกนับให้เป็นเพียงส่วนแรกของการพักตัวที่ซับซ้อนมากขึ้น หากเป็นคลื่นบีที่แท้จริงจะต้องสุดสิ้นและจบที่ไม่เกิน 61.8% ของคลื่นเอหรือน้อยกว่าเท่านั้น และ คลื่นซีจะต้องลงมาต่ำกว่าคลื่นเอ เป็นอันจบกฏของ Zigzagตามแบบนีโอเวฟ
พอมาเจอสถานการณ์จริงคลื่นย่อยของคลื่นเอลงมาห้าคลื่น 1 2 3 4 5 อ้าวเสร็จเราแล้วต้องเป็น Zigzag แน่เลย ยังไงคลื่นบีก็เด้งได้ไม่เกิน 61.8% of wave-a ยังไงก็เด้งไม่เกิน 51200 เราไปดักเซลแถวนั้น ถ้ามันลงคลื่นซี คลื่นซีมันต้องลงต่ำกว่าคลื่นเอยังไงก็กำไร ยิ่งถ้าเป็นอีลองเกต ซิกแซกมันจะลงไปมากกว่า 161.8% ของคลื่นเออีกด้วยความโลภในหัวพร้อมกระป๋องกาวในมือจึงกดเซลไปที่ 61.8% ตามหนังสือปรากฏว่าคลื่นบีพุงทะยายขึ้นไปจนทำ higher high ไปหกหมื่นเก้าสูงกว่ายอดเดิมที่หกหมื่นสี่เสียอีกชิบแล้ว สิ่งที่ทุกคนควรจะรู้ก็คือ คลื่นย่อยไม่ได้บอกอะไรกับคุณว่ามันจะเป็นรูปแบบอะไรมันเป็นแค่ความน่าจะเป็นไม่ใช่กฏเรื่องรหัสคลื่น 5-3-5 มันคือการบ่งบอกลักษณะคลื่นโดยการ การกำหนดโมโนเวฟ และ Position Structure Label ตามกฏให้โมโนเวฟทุกอัน และ ตัดความเป็นไปได้ของ Position Structure Label ที่เป็นไปได้ต่ำออกไป เอาแต่ละ Position Structure มาเรียงต่อกันโดยใช้ Sequence Sign ว่าอยู่ใน Sequence เดียวกันหรือไม่ Sequence ที่เรียงต่อกันได้ มาเทียบกับตารางในบทที่ 4 เพื่อดูว่า มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดรูปแบบไหนบ้าง แล้ว Compact หรือรวบรัดทำให้มันเหลือเพียงแค่ Base Structure มันไม่ใช่การมองแค่คลื่นย่อยของเอมันมีห้าคลื่นแล้วจะไปเหมาเอาว่ามันจะเป็น Zigzag
ถ้าเป็นกฏหนังสือเขาจะบอกลักษณะชัดเจนเช่น คลื่นเอไม่ควรย้อนกลับมากกว่า 61.8% ของชุดอิมพาวก่อนหน้า ในหนึ่งระดับที่ดีกรีสูงกว่ามัน (ถ้ามี) คลื่นบีควรเด้งขึ้นไปอย่างน้อย 1% ของคลื่นเอ ห้ามมีส่วนใดเด้งเกิน 61.8% ของคลื่นเอ หากมีส่วนใดของคลื่นบี เด้งมากกว่า 61.8% ส่วนนั้นจะไม่ถือเป็นจุดสิ้นสุดของคลื่นบี (หากเป็น zz คลื่นบียังถือว่าไม่จบ) มันจะถูกนับให้เป็นเพียงส่วนแรกของการพักตัวที่ซับซ้อนมากขึ้น หากเป็นคลื่นบีที่แท้จริงจะต้องสุดสิ้นและจบที่ไม่เกิน 61.8% การที่มีความรู้ครึ่งๆกลางๆอาจจะทำให้เสียเงินในตลาดโดยใช่เหตุ ถึงแม้เราจะเก่งทฤษฎีหมดแล้วแต่การออกออเดอร์ทุกครั้งความจำกัดความเสี่ยงด้วยการตั้ง SL เสียเงินร้อยสองร้อยเหรียญมันตามคืนง่าย หากเสียเป็นเป็นพันหรือหมื่นเหรียญมันจะเอาคืนยาก
ฝึกวิเคราะห์กราฟเพื่อหาจุดเข้าซื้อให้ละเอียดแม่นยำยิ่งๆขึ้นไปดูSET50ซะหน่อย ตัวอย่างรูปแบบเดิมๆที่เห็นประจำเห็นอะไรไหมครับกราฟไหนในโลกมันก็แบบเดิมๆทั้งนั้นแหละลองหาไล่อ่านเอานะครับ
กำหนดแผนการเทรด ภาพรวมใหญ่ของทุกต้นเดือนดูภาพใหญ่ก่อนค่อยสร้างคว่ามน่าจะเป็น ครอบสมมุติฐานการเดินทางของแท่งเทียน MM และ หาจุดTP ด้วยเงื่อนไขใดบ้าง






















