ช่วงนี้ควรเริ่มทยอยซื้อหุ้นที่ลงมาเยอะๆ เข้าพอร์ตแล้วหรือยัง? ช่วงนี้เลื่อน Facebook ผ่านเพจหุ้นต่างๆ ก็จะเริ่มมีโพสเชิงกึ่งคำถามว่า ตอนนี้ ตัวนี้น่าเริ่มซื้อหรือยัง? ตัวนั้นลงมาเยอะแล้วต้องซื้อแล้วถือยาวดีมั้ย?
ผมเอง ก็ไม่ใช่เซียนหุ้นอะไร เพราะส่วนตัวก็ยังเพิ่งมาดู price pattern ของหุ้นไทยได้ไม่นานเหมือนกัน .. แต่ด้วยความรู้ของการนั่ง Backtest ด้วยกลยุทธ ตระกูล Trend Following มาหลายสินค้า .. ก็พอสรุปรูปแบบของกราฟที่ดูแล้วน่าจะเป็น "ขาขึ้น" ได้ดังนี้
--------------------------------
1) กราฟขาขึ้น = indicator ชี้ขึ้น
--------------------------------
* ข้อนี้สำคัญมากที่สุด และโคตรง่ายที่สุด พิมพ์แล้วก็เหมือนกำปั้นทุบดิน แต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
* เอาง่ายๆ กราฟใดๆ มันจะขึ้นได้ สิ่งที่ผมสังเกตุเห็นได้ มันจะมีสิ่งคล้ายๆ กันดังนี้
* Exponential Moving Average ( 21 ) เคลื่อนที่ไปในทิศทางชี้ขึ้นและจะอยู่ใต้แท่งเทียน
* Action Zone เขียว ( หรือเส้น MACD ทั้งสองเส้น > 0 )
* ถ้าเอา CDC ATR มาใส่กราฟ ก็จะเป็นสีเขียว
* พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าอยากจะซื้อจริงๆ ก็นั่งรอให้เงื่อนไขข้างบนครบก่อนก็น่าจะดีกว่าครับ เพราะอย่างน้อย เราจะมีโอกาสที่เราจะได้กำไร สูงกว่าเสียตัง
--------------------------------
2) ถ้าตลาดมันยังเป็นขาลง มันก็จะลงไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะหยุดลง
--------------------------------
* ข้อนี้ก็เหมือนเป็นการตอบแบบกวนตีนๆ อีกเช่นกัน แต่ตลาดมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
* ถ้ามันจะหยุดลง ..กราฟมันก็จะค่อยๆ กลับตัว ขึ้นมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนสุดท้าย indicator ทั้งหลายที่ผมบอกในข้อแรก มันก็จะเขียว .. และนั่นคือจุดที่เราควรจะเสี่ยงเข้า และมีโอกาสชนะสูงขึ้น
* ต่างกับช่วงที่กราฟมันยังแดง ยังหัวปัก เหมือนหุ้นในตัวอย่างนี้ การที่เราเข้าไปเสี่ยงซื้อ ตอนที่กราฟยังเป็นขาลงอยู่ ก็เท่ากับการไปรับมีดที่กำลังหล่น..
* ถ้าโชคดี มีดมันเริ่มหมดแรงหล่นแล้วเราก็อาจจะไม่เจ็บหนัก และมีดก็จะพาเรารวยได้
* แต่ถ้าโชคร้าย มีดมันยังไม่หมดแรง แล้วมันหล่นต่อ มันก็จะทิ่มทะลุมือเรา ลงไปให้เราเอาตีนรับอีกรอบ ... ซึ่งถ้ายังโชคร้ายอยู่ มันก็จะทะลุตีนไปด้วย
* ทางที่ดี ผมว่า นั่งรอดูให้มีดมันหล่นลงพื้น แล้วหยุดสะบัดก่อน แล้วค่อยก้มลงเก็บมีด ... น่าจะปลอดภัยกว่า...
* คนส่วนใหญ่ กลัวจะไม่ได้ของ กลัวจะตกรถ แถมพวกสื่อต่างๆ ก็บิ้วให้เราซื้อซะเหลือเกิน เหมือนกับว่า ของแม่งลดราคาลงมาขนาดนี้แล้ว ไม่ซื้อก็โง่
* แต่ถ้าใครเคยผ่านช่วง ICO เน่า ของตลาดคริปโตมาก่อน คุณจะเข้าใจว่า ถ้าตลาดมันลง ไม่ว่าคุณจะถัวสวนเทรนแค่ไหน มันก็จะสามารถลงไปอีกได้เรื่อยๆ เรื่อยๆ จนกว่ามันจะหยุดลงจริงๆ โน่นแหละ 555
--------------------------------
3) ไม่มี Oversold ที่แท้ทรู และไม่มี Overbought ที่แท้ทรู เช่นกัน
--------------------------------
* มือใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาด ก็จะไปยึดติดกับหลักการ RSI Oversold ที่เขาสอนๆ กันว่า เฮ้ย มัน OS + Bullish divergence แล้ว เดี๋ยวมันต้องเด้งในเร็วๆ นี้แน่ๆ แล้วก็รีบไปซื้อสวนเทรนกัน
* ปัญหาของระบบสวนเทรนแบบนี้ มันก็คือว่า... มันสวนเทรนอ่ะ! .. มันอาศัยโชคล้วนๆ เลยครับ!
* ถูก ว่าบางครั้ง เราสวนแล้วมันจะขึ้นก็ได้ .. แต่ก็ต้องถามว่า แล้วโอกาสมันกี่% ล่ะ? แล้วมันคุ้มกับการสวนหรือไม่? เพราะผมเคยเห็นบางทีมัน OS แล้ว OS อีก มันก็ลงไปได้เรื่อยๆ แบบไม่มีที่สิ้นสุดนะครับ 55
* ดังนั้น ผมว่า รอชัวร์ๆ ก่อนดีกว่า
--------------------------------
4) ซื้อแล้วดอย ก็ไม่เป็นไรหรอก เราเป็น VI มองการลงทุนระยะยาว
--------------------------------
* ข้อนี้ มักเป็นคำแก้ตัวของคนติดหุ้น แล้วไม่ยอมเรียนรู้ว่าทำไมถึงติด แล้วจะแก้ไขได้อย่างไร
* เคส VI นี่ ถ้าเราไปดูกราฟของ KBANK ที่ทำ New Low 10 ปีก็พบว่า...
* ไม่ว่าคุณจะทยอยซื้อหุ้น KBANK ที่ราคาเท่าไหร่ก็ได้ แล้วไม่ขาย ( DCA หุ้น ) ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา.. ณ ตอนนี้ คุณก็จะ "ดอย" อยู่ดี ครับ
* จะดอยมาก ดอยน้อย ก็ขึ้นอยู่กับว่า คุณไปดอยที่ราคาเท่าไหร่ .. แต่ถ้าจะให้เฉลี่ยๆ ก็น่าจะมี ระดับ -50% up
* กลายเป็นว่า.. VI เนี่ย จริงๆ แล้ว มันใช้กับตลาดหุ้นไทยเราได้หรือป่าว? หรือใช้ได้แค่ช่วงหลังวิกฤต sub prime ตอนปี 2008? หรือเป็นแค่คำหวานที่เหล่ากูรูหุ้นหลอกให้เราถือหุ้นไปเรื่อยๆ ไม่ยอมขาย?
* อย่าลืมนะครับ เรามาลงทุน ก็อยากให้เงินเรางอกเงย เมื่อเวลาผ่านไป .. ไม่ใช่ว่า ยิ่งถือ ก็ยิ่งขาดทุน
* เราทำธุรกิจ ปีสองปีแรก ขาดทุน เราอาจจะต้องมานั่งคิดทบทวนดูเลยครับว่า ควรจะทำต่อดีไหม หรือยอมเลิกกิจการแล้วไปทำอย่างอื่น
* นี่กลายเป็นว่า พอเราติดหุ้น เราก็ทนขาดทุนไปเรื่อยๆ และรออย่างมีความหวังว่า "สักวัน" ราคามันน่าจะขึ้นไปสิบเด้งร้อยเด้ง เหมือนที่มันเคยขึ้นไปในอดีต... แบบนี้มันไม่ใช่การลงทุนแล้วครับ มันคือการซื้อหวยดีๆ นี่เอง 555
--------------------------------
สรุปว่า... ควรซื้อหรือยัง
--------------------------------
อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะครับ ผมตอบเลยว่า "ยัง" ... เก็บเงินสดของท่านไว้ก่อนดีกว่า...
ไม่ต้องรีบช้อน กะจะได้จุดต่ำที่สุดหรอกครับ ตลาดมันก็อยู่ของมันตรงนี้ ไม่ไปไหน อีกกี่สิบกี่ร้อยปี มันก็ยังอยู่ เพราะว่า มันคือสิ่งที่เล่นกับความโลภของคนที่ไม่รู้ และคิดว่า ตลาดมันง่ายๆ นั่งกระดิกตีนริมชายหาดก็รวยได้ เหมือนดังภาพที่สื่อชอบเอามาหลอกพวกเรากัน..
ระหว่างรอ ก็นั่งศึกษาหาข้อมูลกันไปก่อน อย่างน้อย ก็ควรดูกราฟให้เป็น..
ยุคนี้ มีเว็บอย่าง tradingview ช่วยให้ท่านดูกราฟ + ใส่ indicator ได้อย่างง่ายๆ ไม่ยุ่งยากเหมือนสมัยก่อนแล้วครับ
พวก กลยุทธ ต่างๆ ผมก็ทำแจกเอาไว้เยอะแยะ ก็ไปเรียนรู้ หาวิธีใส่ แล้วก็ลองศึกษามันไปเรื่อยๆ ดูก่อน ยังไม่ต้องรีบกดซื้อด้วยเงินจริง ลองนั่ง backtest ไปเรื่อยๆ ก่อนว่า ท่าไหน ที่เราน่าจะเข้าซื้อ แล้วมีโอกาสชนะมากที่สุด
แล้วก็.. อย่าไปฟังพวกเพจเชียร์หุ้น กลุ่มหุ้น หรือบทวิเคราะห์อะไรมากนัก ถ้าอยากซื้อ ให้กลับมาเปิดกราฟดูก่อนว่า มันกลับตัวเป็นขาขึ้นหรือยัง.. ถ้ายัง ก็ยังไม่ต้องซื้อ แต่ใส่ watch list ไว้ก่อน
ก็ลองไปปรับใช้กันดูนะครับ อยากให้ทุกคนดูกราฟกันเองเป็น จะได้ไม่ไปติดดอยส่งเดช ครับ ช่วงนี้เงินยิ่งหายากอยู่ ...
อ้อ ส่วน ถ้าใคร เทรดหุ้นธรรมดา ยังไม่มีกำไรสม่ำเสมอตลอด 1-2 ปี... อย่าคิดแม้แต่จะไปลอง TFEX นะครับ ... หมดตัวแน่นอน 555
การวิเคราะห์แนวโน้ม
SET ขาขึ้น ใครๆ ก็ทำกำไรได้ จิ้มโง่ๆ มั่วๆ ยังไงก็ได้ตัง จากการที่ผมทำห้อง VIP และได้ใส่การวิเคราะห์ กราฟ SET และหุ้นรายตัวใน SET
โดยได้ทำวีดีโอ สรุปทุกวันธรรมดา + ทุกวันอาทิตย์ ( ดูกราฟรายวีค )
ทำให้ผมได้ศึกษาพฤติกรรมราคา ของหุ้นแต่ละตัวในตลาด และความสัมพันธ์ของแนวโน้มทิศทางของ SET และพอสรุปออกมาเป็นข้อๆ ได้ดังนี้
1) ช่วงขาขึ้น ใครๆ ก็ทำกำไรได้ง่ายๆ แม้แต่มือใหม่ที่หลับตาจิ้มตัวไหน ก็มักจะมีกำไร
------------------------
- ถามว่า แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าช่วงไหนขาขึ้น? ก็ใช้ระบบ Trend Following มาจับ สิครับ เช่น Action Zone ( MACD > 0 ) หรือพวก ATR Channel ก็ได้
- เอาง่ายๆ ก็คือไอ้ช่วงที่มันทุบลงไปจนถึง 1000 หลัง covid ในเดือนมีนาคม 2020 แล้วหลังจากนั้นก็เด้งตลอด และเด้งยาว ไปจนถึงเดือน มิ.ย. 2020 ที่ peak ที่ 1400
- ช่วงนั้น ถ้าจำกันได้ มีคนเปิดบัญชีหุ้น "เยอะมาก" เยอะจนสื่อหลายๆ สำนักต้องเอาไปลง
- ทำไมถึงเปิดกันเยอะ? ง่ายนิดเดียว เพราะตลาดมันง่ายไง! ตาสีตาสา เปิดบัญชีแล้วจิ้มหุ้นไปมั่วๆ ไรก็ได้ ยังไงก็มีกำไร เล่นเข้าๆ ออกๆ ทุกวันได้กำไรทุกวัน
- พอได้กำไรง่ายๆ ก็แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องอวดลงเฟส เพราะที่ผ่านมา บอกเลยว่า SET แม่ง "แทบทำกำไรไม่ได้เลย" มาตลอดเป็นปีๆ ..แล้วจะมัวเหนียมทำไม ก็ต้องเรียกแขกเข้าเพจกันหน่อย
- พออวดลงเฟส ก็จะมีคนที่เห็น ก็จะถามว่า ทำไง สอนหน่อยสิเพื่อน ... ทำไงครับแอดอยากได้บ้าง.. ก็เลยเฮโลกันไปเปิด บช. กันจนเยอะเป็นประวัติการณ์
- เปิดเสร็จ ก็ไปเทรดมั่วๆ เลือกหุ้นตามห้องแชท ตามโพย pantip จิ้มมั่วๆ ก็มีกำไร ..พอร์ตใครใหญ่ก็อวดกำไรได้วันละเป็นแสนเป็นล้าน เข้าๆ ออกๆ ได้ทุกวัน ทั้งวัน
- ซึ่ง.. นี่แหละคือจุดตายของมือใหม่ เพราะเทรดกันแบบมั่วๆ ไม่มีระบบ ใครบอกตัวไหนก็เฮโลกันไปเข้าซื้อ แล้วก็ไม่ยอมถือทน ไปเข้าๆ ออกๆ พอได้กำไรเยอะๆ ก็จัดหนักจัดเต็ม ที่ตรงยอด เพราะคิดว่า ตลาดมีแต่การขึ้นอย่างเดียว
- พอเข้าที่ยอด 1400 ปุ๊บ มันก็ทุบลงมาเลยจ้า ....ก็ทุบหลังจากวันที่ผมอวดกำไรลงเพจเหมือนกันแหละ 5555 สรุป ออกไม่ทัน เพราะ streaming ตั้ง SL break even ไม่ได้ และอยากออกตามระบบ ก็เลยต้องออกมาแบบขาดทุน 555
- เคสผม สุดท้ายผมก็ยอมคัทออกมา เพราะดูทรงแล้ว เสียทรงขาขึ้นไปทั้งหมด รวมถึง SET Action Zone แดงด้วย ก็เลยยอมตัดใจหนีมาถือเงินสดหมด เพื่อลดความเสี่ยง
- ส่วนเคสของมือใหม่ ที่เข้ามาตอนตลาดดีๆ ... ก็เข้า อีหรอบเดิมคือ... ไปต่อกันไม่เป็น!!! ส่วนใหญ่ ก็กลับไปตั้งคำถามในห้องแชท หรือ inbox ถามกูรูที่เคยแนะนำหุ้นกันว่า...
- "ตัวนี้จะลงไปอีกเยอะไหมครับ?" -- "ตัวนี้มันจะเด้งกลับเมื่อไหร่คะ?" -- "ทำไมหุ้นตัวนี้มันถึงลงแรงจังคับแล้วเราจะทำยังไงต่อดี คัทดีไหมครับ?" ฯลฯ
- ซึ่งคำถามพวกนี้ ถ้าให้ผมตอบ ก็คงตอบได้ตรงๆ ว่า "ถ้ากูรู้อนาคต กูก็คงรวยไปนานแล้วล่ะจ่ะ.. ใครจะไปตอบได้วะ ไอ้บ้า!"
- แต่ถ้าให้กูรูสาย Fan Service ก็คงจะนั่งดูกราฟ นับเวฟ ให้ความหวังและกำลังใจ เม่าที่ดอย กันต่อไปเรื่อยๆ ว่า... "ใกล้เด้งแล้วล่ะครับ ทนถือต่ออีกนิด ไม่ขายไม่ขาดทุน"
2) ช่วงขาลง หรือ sideway down ... ใครไปขยัน ยิ่งเจ๊ง
--------------------------
- ความนรกของช่วง sideway down ของ SET ที่ผมเจอมากะตัวก็คือว่า...
- หุ้นส่วนใหญ่ จะเป็นการเด้งขึ้นๆ ลงๆ ออกข้างไปเรื่อยๆ มั่วๆ ซั่วๆ ไม่มีหลัก
- และเม่าที่เทรดด้วยอารมณ์ ก็จะเจอภาวะ เข้าปุ๊บ ร่วงปั๊บ คัทปุ๊บ เด้งป๊าบ อยู่ร่ำไป
- จนสุดท้าย เจอบ่อยๆ ก็จะถอยไปใช้กลยุทธ "ไม่คัทแล้วโว้ย เดี๋ยวคัทแล้วเด้ง ไม่ขายไม่ขาดทุน"
- สุดท้าย คนที่ไปเข้าที่ยอดแถวๆ 1400 ตอนนี้ก็ยังไม่ยอมคัทกัน และถือรอกันอย่างมีความหวังว่า
.. "เดี๋ยวก็คงเด้งน่า" .. "ถือไปเรื่อยๆ กินปันผลน่า" .. "กูรูบอกว่า ตลาดถึงจุดต่ำสุดแล้ว เดี๋ยวก็เด้งน่า"... "กูรูบอกหุ้นไทยจะไป 1800 ถือต่อล่ะกัน เดี๋ยวตกรถ"...
- และสารพัดข้ออ้างที่จะเอามาทำให้เราติดกับดัก ความ bias ของการกลัวการขาดทุนนั่นเอง...
- ส่วนคนที่พยายามจะเล่น day trade ในวัน ก็อาจจะเจออารม์กราฟเด้งไปเด้งมา เดาทางยาก ไม่รู้มันจะเอาไงกันแน่ ถ้าไม่มีแผน เทรดมั่ว ก็เตรียมยับ
- และความอันตรายของมือใหม่ อีกอย่างคือ.. เสียแล้วไม่หยุด .. เสียแล้วจะต้องเทรดเอาคืนให้ได้.. และนี่แหละ คือจุดที่จะทำให้พอร์ตพังเกินเยียวยา..
- เพราะ ช่วง sideway down ผมบอกเลยว่า ยิ่งเล่น ยิ่งเจ๊ง เพราะหุ้นส่วนใหญ่ในตลาด มันก็เป็นขาลง ไม่ก็ออกข้าง ไปเรื่อยๆ
- ซึ่งหนทางเดียว ที่จะเอาตัวรอด และรักษากำไรที่ได้มาจากช่วงตลาดง่าย ในข้อข้างบน ก็คือ "การหยุดเทรด แล้วนั่งดูมันเฉยๆ" หรือ "ไปเทรดตลาดอื่น ที่เป็นทรงขาขึ้น"
- เพราะถ้ายังตะบี้ตะบันจะยื้อต่อ ระยะยาว ยังไงก็พัง เพราะตลาดอาจจะลงต่อไปอีกก็ได้ ไม่มีใครรู้..
ก็ฝากกันไว้นะครับ คงจบแค่นี้แหละ บ่นต่อไม่ค่อยถูกละ ง่วง 555
หวังว่าคงจะมีประโยชน์กันนะครับ
การนั่งเฉยๆ ทำตามระบบเนี่ย.. มันยากที่สุดแล้ว -- ลุงโฉลกสิ่งสำคัญที่สุดในการเทรด
ที่ผมได้เรียนรู้มาจากการลองผิดลองถูกอยู่ 3 ปี ก็คือ..
.. "การนั่งเฉยๆ เนี่ย มันโคตรๆๆๆ ยากที่สุดเลย"
ซึ่งคำพูดนี้ ถ้าใครตามลุงโฉลกมานาน แกจะชอบเน้นย้ำเสมอ
เมื่อก่อน ผมก็ไม่เข้าใจนะว่า ทำไมจะต้องนั่งเฉยๆ อ่ะ
ก็มาเทรดอ่ะ ก็ต้องเทรดทุกวัน ทำกำไรทุกวันดิ
กลายเป็นว่า พอพยายามจะเทรดทุกวัน
สิ่งที่มันตามมาด้วยคืออารมณ์ที่แกว่งทุกวันไปตามการขึ้นลงของราคา
..ราคาขึ้น = นักลงทุนเฮ ดีใจ ที่ราคาขึ้น แล้วก็รีบไปกดซื้อที่ยอด กลัวตกรถ
..ราคาลง = นักลงทุนผวา ราคาร่วงหนัก แล้วก็ไปรีบขายด้วยความ กลัวขาดทุนหนัก
พอเรามาลอง Backtest + ตามระบบจริงจัง พบว่า
เออ ถ้ามันเขียว แม่งก็นั่งเฉยๆ ไปนี่แหละ ไม่ต้องทำไร
ถ้าคันมือจริงๆ ให้แบ่งเงินสัก 10$ - 20$ ไปเล่นในพอร์ตเสี่ยง จะได้หายคันมือ
พอมันแดง ก็ออก แล้วก็นั่งเฉยๆ ไม่ต้องทำไร ราคาแกว่งไปมาก็อย่าไปสน
.. พอทำได้ กลายเป็นว่า.. เออ พอร์ตผม ก็ค่อยๆ โตขึ้นเรื่อยๆ แฮะ
มันไม่โตหวือหวา แต่ก็โต
แถม ไม่ต้องมานั่งจ้องกราฟทั้งวันด้วยว่า จะเข้าหรือจะออกดีนะ
เทรดสบายๆ ไม่เครียด มีเวลาไปพัฒนาตัวเองในด้านอื่น หรือทำอย่างอื่นที่อยากจะทำ
....
ใครรู้ตัวว่า ตอนนี้ กำลังโดนอารมณ์เล่นงาน เทรดมั่วซั่วโดยไม่มีแผน
ก็ลองแบ่งเงินมาส่วนนึง มาทำตามระบบอย่างเคร่งครัดดูนะครับ
แล้วก็ลองเปรียบเทียบกับพอร์ตเล่นมั่วๆ ตามอารมณ์ ตามห้องแชท ดู
แล้วก็ผ่านมา แต่ละ ควอเตอร์ ก็ค่อยมาวัดผล
บางที ท่านอาจจะแปลกใจว่า ..ไอ้ชิบหาย การทำตามระบบโง่ๆ นี่ มันได้กำไรสม่ำเสมอ ดีกว่าการจ้องจะไปเข้าๆ ออกๆ ทุกวันอีกนะเนี่ย!! 555
EURUSD และ Tesla สินทรัพย์ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในโลกEURUSD เป็นสัญลักษณ์ที่มีการค้นหามากที่สุดประจำเดือนกรกฎาคม ครองตำแหน่งสูงสุดใน 140 ประเทศทั่วโลก มากกว่าคู่แข่งที่ใกล้เคียงที่สุดอย่าง Tesla (17) ถึง 8 เท่า ตามมาด้วย GBPUSD (14) และ BTCUSD (13)
แน่นอนว่ามีความแตกต่างไปในบางประเทศ: เช่น สินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของรัสเซีย คือ Sberbank, บราซิล คือ ดัชนี Ibovespa และ ดัชนี Nifty 50 สำหรับอินเดีย
ตามที่เราได้เคยกล่าวไว้ในโพสต์ล่าสุด Tesla เป็นที่นิยมในอเมริกา (โดยมี Bitcoin ตามมาไม่ห่าง) แต่มันก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ายังได้รับความนิยมอย่างไม่น่าเชื่อในแคนาดา, นิวซีแลนด์,สแกนดิเนเวีย, ซาอุดีอาระเบีย และแม้กระทั่งกรีนแลนด์ ในขณะเดียวกัน Apple เป็นสัญลักษณ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในไต้หวันเท่านั้น
บางทีสิ่งที่น่าสนใจที่สุดก็คือ ข้อมูลของเรานั้นอาจชี้ชัดได้เพียงเล็กน้อย (อย่างที่คุณอาจจะจินตนาการได้ว่า ปริมาณการค้นหาอยู่ในระดับต่ำ) ตลาดที่เป็นที่นิยมและได้รับความสนใจมากที่สุด กับสถานที่นั้นมีความสัมพันธ์กับการเทรดเพียงเล็กน้อย ดังเช่น:
เกาหลีเหนือ: BTCUSD
นครวาติกัน: TRGP
ชาด: USDJPY
แอนตาร์กติกา: TSLA
และดังเช่นเคย ขอบคุณที่อ่านและเป็นส่วนหนึ่งของ TradingView ถ้าท่านมีคำถาม ข้อสงสัย โปรดฝากคอมเมนท์ไว้ด้านล่าง
สร้างชาร์ตหุ้นรายตัวจากข้อมูลพื้นฐานคุณสามารถสร้างชาร์ตด้วยข้อมูลพื้นฐานและวิเคราะห์ได้ในระดับเดียวกับกับชาร์ตอื่นๆ ซึ่งรวมถึงการเพิ่มเส้นแนวโน้ม, เรนจ์, ลูกศร และข้อความต่างๆ สำหรับนักลงทุนระยะยาวหรือท่านที่ต้องการลงลึกลงไปในข้อมูลของแต่ละบริษัท นี่อาจเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สามารถเพิ่มเข้าไปในกระบวนการของคุณได้
เริ่มต้นได้ง่ายๆ สิ่งแรกที่คุณควรทำคือเปิดชาร์ตของบริษัทที่ท่านสนใจศึกษาข้อมูล พิมพ์ชื่อหรือสัญลักษณ์ตัวย่อของบริษัทในช่องค้นหา จากนั้น คลิกที่ปุ่ม "การเงิน" หรือไอคอนที่ดูคล้ายรูปกราฟแท่ง 📊 ที่อยู่บริเวณด้านบนของชาร์ต จากนั้นเลือกข้อมูล/มุมมองทางด้านการเงินที่คุณต้องการศึกษา
ตอนนี้คุณมีข้อมูล/มุมมองทางด้านการเงินของบริษัทที่คุณสนใจแล้ว คุณสามารถเริ่มวาดภาพทางเทคนิคอลด้วยเครื่องมือวาดภาพและทำการวิเคราะห์สถานะทางการเงินของบริษัทได้ในแบบเดียวกันกับชาร์ตแบบปกติ ในตัวอย่างนี้ เราแสดงชาร์ตอัตราส่วน Price-to-Sales ของบริษัท Microsoft อัตราส่วนนี้แสดงและบ่งบอกว่า นักลงทุนต้องจ่ายเงินจำนวนเท่าไรสำหรับรายได้ 1$ ของบริษัท Microsoft ดังนั้นถ้าอัตราส่วน PS คือ 30 นั่นหมายถึงว่านักลงทุนต้องจ่ายเงิน $30 สำหรับรายได้ทุกๆ 1$ ของไมโครซอฟท์ ในชาร์ตนี้ เราทำการเพิ่มข้อความและไฮไลท์ช่วงเวลาที่น่าสนใจในประวัติศาสตร์ในด้านมูลค่าของบริษัท Microsoft แล้วท่านเห็นอะไรบ้าง?
เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะมีความสุขกับโพสต์นี้ และมั่นใจว่ามันจะช่วยท่านในการใช้งานการวิเคราะห์ในด้านข้อมูลพื้นฐานได้ นอกจากนี้ สำหรับท่านที่ต้องการใช้งานในระดับสูง คุณสามารถใช้ข้อมูลพื้นฐานได้ในไพน์สคริปต์เช่นเดียวกัน
ขอบคุณที่เป็นส่วนหนึ่งของ TradingView และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะสนุกสนานไปกับฟังก์ชันการวิเคราะห์ในเชิงพื้นฐานของเรา
จะกลับด้านชาร์ตของคุณได้อย่างไรกดปุ่ม ALT + I เพื่อกลับด้านชาร์ตของคุณ และถ้าคุณใช้เครื่อง Mac กดปุ่ม option ⌥ + I คีย์ลัดจะกลับด้านชาร์ตที่คุณกำลังดูอยู่จากบนลงล่างโดยทันที การกลับด้านชาร์ตจะทำให้คุณได้เห็นมุมมองที่แตกต่าง และไม่เหมือนใครในด้านราคาและแนวโน้ม
ในไอเดียนี้ เราแสดงชาร์ตรายวันของ Amazon เทียบกัน ชาร์ตทางซ้ายเป็นชาร์ตแบบกลับด้านในขณะที่ชาร์ตด้านขวาเป็นชาร์ตปกติของ Amazon โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขใดๆ การเปรียบเทียบชาร์ตทั้งสองนี้ระหว่าง ชาร์ตกลับด้านและชาร์ตปกติ เป็นแบบฝึกด้านมุมมองต่อชาร์ตของคุณ ลองถามตัวท่านเองว่า ท่านยังคงเห็นแนวโน้มที่ยังคงเดิมอยู่หรือไม่? หรือว่ามุมมองต่อชาร์ตของคุณนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะว่าคุณได้เห็นมุมมองที่ตรงข้ามกับสิ่งที่คุณได้เห็นมาก่อนหน้านี้หรือไม่?
นี่เป็นอีกตัวอย่างในการใช้แนวคิดนี้: ถ้าคุณ "ซื้อ" ชาร์ตกลับด้าน ไปทางด้านซ้าย เพราะดูเหมือนว่าจะเกิดการทำราคาหรือเป็นการราคาตกของหุ้นที่น่าสนใจ ดังนั้น มันควรจะเป็นโอกาสแห่งการ ขาย ในชาร์ตแบบปกติของ Amazon ไปทางด้านขวา ด้วยการกลับด้านชาร์ต คุณสามารถทดสอบตัวคุณเองในด้านการอ่านแนวโน้มและอ่านพฤติกรรมของแท่งเทียน ที่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งถ้าคุณเกิดความไม่แน่ใจขึ้นมา กลับด้านชาร์ตไปในทิศทางตรงกันข้าม และถามคำถามกับตัวท่านเองว่า สิ่งที่ท่านเห็นนั้นเป็นการคอนเฟิร์มในแนวทางเดียวกันหรือไม่
เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะสนุกสนานไปกับทิปในการใช้งานนี้ และเรายังคงรอคอยฟีดแบค ความคิดและความเห็นของท่านอยู่เสมอ ขอบคุณสำหรับท่านสมาชิก TradingView!
เอาไงดีกับหุ้นขนาดกลาง อาทิ JMT Jmart CBG เมื่อดัชนี 1350 จุด กลยุทธ์การลงทุนเมื่อดัชนีขยับจาก 1330 ไป 1350 จุด แล้วสัปดาห์จะเป็นอย่างไร
สัปดาห์นี้ 10 - 14 สค 63 รายใหญ่ (กองทุน) มีการ "โยกย้ายเงิน" จากกลุ่มหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กไปยัง "หุ้นขนาดใหญ่
ทำให้หุ้นขนาดกลางและเล็กหลายตัว "ราคาซึม" ลงเช่น JMT Jmart Dohome CBG Tipco TASCO และอื่น
ซึ่งผมมองเป็น 2 เคสคือ
1. หาดัชนีขึ้นจาก 1350 ไป 1360-1380 จุด: หุ้นขนาดใหญ่ทุกตัวจะ "ราคาเพิ่มขึ้น" เพราะเป็นกลุ่มนำตลาด
หากมองเช่นนี้ และจะเข้าลงทุนในกลุ่ม AOT ท่องเที่ยวและโรงแรม MINT ERW CENTEL ธนาคาร BBL Kbank SCG และอื่นๆ
กลยุทธ์ "ซื้อเมื่อย่อ" เท่านั้น ห้าม "ไล่ราคา" เพราะมีโอกาส "ติดดอย" สูง
2. หากดัชนี้ "ลดลง" จาก 1350 ไป 1320-1340 จุด: หุ้นขนาดกลางและเล็กจะ "ปรับตัวเพิ่มขึ้น" มีการโยกเงินจากหุ้นกลุ่มขนาดใหญ่เข้ามา
กลยุทธ์คือ "ซื้อเมื่อย่อ" ซึ่งในเวลานี้ 13 สค 63 หุ้นหลายตัวก็ "ย่อตัว" มาให้นักลงทุนได้เก็บแล้ว จากนั้นรอเวลาที่ตลาดเฉลยว่า ดัชนีจะไปในทิศทางใด
หมายเหตุ: เป็นแนวคิดส่วนตัว ไม่ได้ชี้นำให้ซื้อหรือขายหุ้นแต่อย่างใดครับ
ไอเดียการลงทุนหุ้นกลุ่ม PTT (สวิงเทรด) For Beginnersไอเดียการลงทุนหุ้นกลุ่ม PTT (สวิงเทรด)
ตลาดหุ้นมีความผันผวนค่อนข้างสูง มีการลากดัชนีจาก 1320 ไป 1350 - 1390 แล้วก็ทุบลงมา เหลือ 1300-1340 จุด
ดังนั้น ใครที่ยังไม่มีหุ้นกลุ่ม PTT อยู่ในมือมาก่อนหน้านี้ หากต้องการลงทุนควรลงทุนในรูปแบบของการ Swing Trade
ตามกรอบราคา แนวรับ-แนวต้าน โดยที่
Buy ที่แนวรับ
Sell ที่แนวต้าน
ไม่เน้นถือยาวเพื่อกินปันผล
หมายเหตุ: เป็นแนวคิดส่วนตัว ไม่ได้ชี้นำในการลงทุนแต่อย่างใด (กำไรขาดทุน เป็นผลการตัดสินใจของแต่ละคนเอง)
ข้อผิดพลาดของมือใหม่.. "ก็ว่าจะซื้อแล้วกะถือไปยาวๆ"ข้อผิดพลาดของมือใหม่.. "ก็ว่าจะซื้อแล้วกะถือไปยาวๆ"
===================
* วันนี้ได้คุยกับสหายคริปโต ที่คุยกันมานาน ( การมีคนคุยเรื่องเดียวกัน เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ไว้ ก็เป็นสิ่งที่ดีครับ ) โดยเขาเล่าว่า ช่วงนี้ เริ่มมีมือใหม่ เข้ามาซื้อ Bitcoin กันบ้างแล้ว โดยเขามาปรึกษาว่า .. ถ้าซื้อ Bitcoin เสร็จแล้ว จะเก็บยังไง เพราะ "กะถือไปยาวๆ"
* ส่วนตัวผมเอง ผมก็ได้สัมผัสมือใหม่ มาก็หลายคน ซึ่งส่วนใหญ่ มือใหม่ ที่เข้ามาซื้อหลังตลาดพุ่งไปแล้ว มักจะมาแนวนี้เสมอคือ "ก็ซื้อแล้วถือไปยาวๆ เพราะเขาบอกว่าเดี๋ยวมันจะไปเท่านั้นเท่านี้" ..
* แต่ปัญหาของมือใหม่ แทบจะร้อยทั้งร้อย ก็คือ "มองแต่กำไร" และไม่เคยมองว่า "แล้วถ้ามันไม่ไปอย่างที่เราคิดล่ะ? เราจะทำอย่างไร?"
* มือใหม่ ร้อยทั้งร้อย อีกน่ะแหละ ก็จะตอบว่า "ก็ถือไปเรื่อยๆ สิ ไม่ขาย ไม่ขาดทุน ไม่เห็นเป็นไรเลย"
* อ่ะ แล้วพอถามอีกคำถามนึงว่า "แล้วถ้าถือไปเรื่อยๆ แล้วเมื่อไหร่จะขายเพื่อรับรู้กำไรล่ะ? เพราะถ้าเราไม่ขาย กำไรที่เป็น unrealized profit มันก็ยังไม่ใช่กำไรของเราอยู่ดีนะ?" ... ส่วนใหญ่ ก็จะตอบกันไม่ได้ ก็ได้แต่บอกว่า "ก็ไม่รู้อ่ะ ถือๆ ไปก่อน ถือไปเรื่อยๆ ขึ้นก็ไม่ขาย"
* เอ้า! อีนี่!! ขึ้นก็ไม่ขาย ลงก็ไม่ขาย แล้วจะมาซื้อทำแป๊ะอะไรฟระ? ... "ไม่รู้สิ เขาบอกว่ามันดี ก็เลยมาซื้อๆ ไว้ก่อน"
===================
* Mindset นี้ เป็น mindset ที่ประหลาดมากๆ ที่ถ้าไปถามมือใหม่ ก็จะเจอคำตอบแบบนี้เสมอ
* นั่นก็คือ ซื้อตามคนบอก โดยที่ตัวเองก็ไม่ได้มีแผนในการทำกำไร หรือตัดขาดทุนอยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อย ..
* แล้วสุดท้าย ... คนเหล่านี้ ก็จะเป็นเหมือนชาวดอยทอง ที่ดอยไปเกือบ 9 ปี .. เงินหายไปกว่า -40% ..เสียโอกาสไปตั้งไม่รู้เท่าไหร่
* สุดท้าย พอราคาเด้งกลับมาเท่าที่จุดที่เคยซื้อ เมื่อเก้าปีก่อน ก็รีบแห่กันไปขาย ทนขาดทุน แต่ไม่ยอมทนรวย..
===================
* จริงๆ แล้ว คำถามที่มือใหม่ จะต้องตอบให้ได้ ก่อนลงทุนอะไรก็ตามแต่ ไม่ว่าจะเป็น ทอง หุ้น หรือ Bitcoin ก็เถอะ เอาง่ายๆ ก็มีแค่ไม่กี่ข้อเองครับ ดังนี้
1) เงินที่เอามาลงทุนนี่ เป็นส่วนไหนของเงินสดที่เรามี และเราจำเป็นต้องใช้มันในเร็วๆ นี้หรือป่าว? และถ้ามันหายไปหมด เราจะเดือดร้อนหรือไม่? ( Money Management )
2) ถ้าซื้อแล้ว ไปผิดทาง เราจะยอมเสียตังเท่าไหร่? และยอมแพ้ที่ราคาไหน? ( Stop Loss )
3) ถ้าซื้อแล้ว ไปถูกทาง เราจะขายเพื่อรับรู้กำไรตรงจุดไหนบ้าง? จุดละกี่% ของที่ซื้อไว้? หรือจะขายออกถ้าต้องการใช้เงิน? ( Take Profit / Cash out )
4) กลยุทธการซื้อ เราจะซื้อแบบไหน? ซื้อสะสมทีละนิด? หรือซื้อไปเลยก้อนเดียวจบ? ( Buy Strategy )
5) ถ้าซื้อแล้ว ราคาไม่ไปไหน เราจะทยอยขายออกเพื่อลดความเสี่ยงหรือไม่? และจะขายออกหลังจากราคานิ่งไปกี่เดือน? ( Time Stop )
6) เรามีเป้าการลงทุนในสินทรัพย์นี้ กี่ปี? ( Time Horizon )
ซึ่งทั้งหมด ก็จะเรียกว่า "แผนการลงทุน" นั่นเอง
====================
* การลงทุน ที่ไม่มีแผน ก็ไม่ต่างอะไรกับการหอบเงินเดินเข้าคาสิโน แล้วฝันว่าจะได้เงินก้อนโตกลับออกมา .. คิดง่ายๆ ตอนทำธุรกิจ ตัวนึง คุณยังต้องวางแผนโน่นนี่นั่นแทบตาย กว่าจะรันธุรกิจได้ มีไรให้ต้องคิดเยอะมาก
* แล้วทำไม พอคุณจะลงทุนในหุ้น ทอง หรือ Bitcoin คุณดันกลับมักง่ายขึ้นมา?
* ผมเชื่อว่า คนที่ ทำงาน จนมีตังได้ ก็ย่อมที่จะต้องผ่านการวางแผนอะไรมาเยอะ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การวางแผนครอบครัว การวางแผนการใช้ชีวิต การวางแผนการศึกษาของลูกๆ ฯลฯ
* ก็อย่าให้ การลงทุน เป็นเรื่องมักง่าย คิดแค่ว่า "ก็ซื้อๆ แล้วก็ถือๆ ไว้ เพราะคนนั้นเขาบอกมา" เลยครับ... ไปนั่งคิดเพิ่มอีกนิด สัก 1 วัน การลงทุนของท่าน ก็จะไม่ใช่การหอบเงินมาเข้าคาสิโน.. อีกต่อไปครับ
บันทึกราคาทองคำ และสิ่งที่ได้เรียนรู้ จากการเฝ้าดูกราฟมาตลอดปีวันนี้ทองวิ่งควายกระจาย และใกล้จะเข้าไปทดสอบ High เดิม 9 ปีที่แล้ว ( high ปี 2011 ) ที่ราคาแถวๆ 1923
ก็เลยคิดว่า ต้องบันทึกสิ่งที่ได้เรียนรู้ จากการนั่งดูกราฟ มาตลอดปีกว่ามาหน่อย
ว่า ที่ผ่านมา การตกรถของเรา มันได้สอนให้เรารู้อะไรบ้าง
จะได้เก็บไว้ให้ตัวเองและคนอื่นอ่านได้ครับ
==============
The trend is your friend! อย่า สวน เทรน
==============
สัญญาณเทคนิค
==============
* ทอง ทำทรงขาขึ้น โดยมีสัญญาณ "ซื้อ" ระดับกราฟ สัปดาห์ แรงๆ สองช่วงด้วยกัน นั่นก็คือ
1) สัญญาณ Action Zone Weekly ( MACD > 0 ) = Buy ช่วง Jan 2019
2) สัญญาณ Break out แนวต้าน 6 ปี = Buy ช่วง June 2019
และหลังจากนั้น มันก็ไม่ลงอีกเลย นอกจากช่วง covid ที่มีการย่อแรงตามทุกๆ ตลาด แต่หลังจากนั้นก็กลับขึ้นไปต่อ
==============
สิ่งที่เห็นในตลาด
==============
1) พวก เล่นสั้น ขยันซอย บาดเจ็บหนัก จากการ short สวนเทรนใหญ่ แล้วไม่ยอมแพ้
--------------------
* ข้อนี้ ต้องยกขึ้นมาเอาไว้ให้เป็นข้อแรกเลย เพราะ น่าจะเป็นบทเรียนให้กับสายเล่นสั้นกันหลายๆ คน
* เพราะปกติ ท่ามาตรฐานของสายเล่นสั้น ก็คือว่า นั่งจ้อง TF เล็ก หาแนวรับแนวต้านให้เจอ แล้วก็ Long แนวรับ Short แนวต้าน เพื่อจะกินกำไรคำเล็กๆ ถี่ๆ ไปเรื่อยๆ โดยใช้ indicator มาประกอบ อะไรก็ตามแต่สูตรของแต่ละคน
* แต่วิธีนี้ มันจะมีข้อเสียตรงการ "Short แนวต้าน" นี่แหละ เพราะว่า... ถ้าเทรนใหญ่ มันยังเป็น "ขาขึ้น" การไปเปิดหน้า short ก็เท่ากับการ "เทรดสวนเทรนใหญ่"
* แล้วดูยังไงว่าเทรนใหญ่เป็นขาขึ้น? ก็มีวิธีดูเยอะแยะ เช่น ใช้ MACD > 0 ระดับ Daily หรือ Weekly
* หรือจะดูพวก EMA 18 หรือ EMA 100 ก็ได้ ถ้าราคายังวิ่งอยู่เหนือ 2 EMA นี้ มันก็ยังคงเป็นขาขึ้นอยู่ดี
* กลับมาเรื่องสาย short แนวต้าน -- ท่านี้ มันจะทำกำไรให้กับสายเล่นสั้นได้ในช่วงระยะเวลานึง โดยเฉพาะช่วงที่กราฟ sideway ในกรอบ
* แต่เมื่อไหร่ที่กราฟมีการ ทะลุกรอบ โดยเฉพาะการ "ทะลุขึ้น ตามเทรนใหญ่ของมัน" ท่ามาตรฐานของสาย short ที่คนเขาสอนๆ กันก็คือ "ถัวไม้ เบิ้ล lot ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็ (คง) หลุด"
* ซึ่งเท่าที่เห็น ส่วนใหญ่ก็ไม่หลุดนะ แถมโดนลากต่อกันยับด้วย 555
แนวทางแก้ไข
* อย่าไป short สวนเทรน ให้ดูเทรนใหญ่เป็นหลัก ถ้าเป็นขาขึ้น ก็ให้เล่นแต่ฝั่ง long only อย่าไป short
* เลิกเล่นสั้น แล้วไปถือ spot ยาวๆ แทน
2) เคส ตกรถ แล้วไม่กล้าเข้า
------------------
* เคสนี้เกิดขึ้นกับตัวผมเอง จริงๆ ผมเคยวิเคราะห์ราคาทองเอาไว้นานแล้ว หลักๆ ก็ช่วงที่มัน Break out แนวต้าน 6 ปีขึ้นมาตอนปี 2019 น่ะแหละ ว่า มันมีแนวโน้มไปต่อสูง น่าสนใจ
* แต่เพราะคิดว่า การซื้อทอง มันต้องใช้เงินเยอะ แถมกำไรก็ดูแล้วไม่มากเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับ Bitcoin ก็เลยไม่ได้แบ่งเงินไปซื้อทองไว้บ้างเลย ตรงนี้ ก็เป็นข้อผิดพลาดระดับ Mindset
* ส่วนพอจะเข้ากลางทาง ก็ไม่กล้าเข้าอีก เพราะว่า เห็นกราฟมันเกิด bearish divergence ในระดับภาพใหญ่ มันก็ควรที่จะต้องระวังจริงๆ น่ะแหละ
* สุดท้าย ก็เลยพบกันครึ่งทาง โดยการโอนเงินเล็กๆ ไปเปิดพอร์ต cent ของโบรคฟอเร็ก แล้วก็ซื้อด้วยไม้เล็กๆ แล้วก็ทิ้งกันไว้ยาวๆ สิ้นเรื่อง 5555
* พอเรามีไม้แบบนี้ เราก็สบายใจ ไม่รู้สึกตกรถเท่าไหร่ ถึงแม้ว่า มันจะไม่ได้กำไรเยอะอะไร แต่ก็ถือว่า ให้ตัวเองได้เรียนรู้ และอยู่กับตลาดครับ
แนวทางแก้ไข
* รอบหน้า ถ้าเห็นทรงสินทรัพย์ใดๆ ที่มีการ Break out แนวต้านใหญ่ หรือสัญญาณ buy ระดับ Weekly ก็อย่าพลาดเหมือนทองอีกก็แล้วกัน
* ตอนนี้ ที่เห็นก็มี BTC ที่ยังต้องรอการ Break out กรอบใหญ่ ตรงราคา 10500 ขึ้นไปให้ได้ ไม่งั้น ก็ไม่ไปไหน
* หรือจะใช้วิธีทยอยซื้อเก็บทุกเดือน ไปก็ได้
3 ) หลายๆ คนพยายามเดา ว่า ราคาจะไปถึงไหน หรือ มันจะลงแล้ว เพราะเหตุผลหนึ่งสองสาม
--------------------
* เคสนี้น่าจะเป็นท่ามาตรฐานของกูรูหลายๆ คน เพราะการเดาไปเรื่อย เวลาถูก ก็สามารถเก็บมาโม้หาประโยชน์ในเรื่องอื่นๆ ได้ 555
* เคสเดาจะเกิดกับสายนับเวฟแล้วมา bet -- ซึ่งจริงๆ แล้ว ที่ผมเข้าใจ การนับเวฟ เราควรเอามาใช้ประเมิน "ความน่าจะเป็น" เพื่อวางแผนรับมือกับการเคลื่อนที่ของราคาในหลายๆ scenario -- ไม่ใช่ว่า นับแล้วบอกว่ามันต้องลง แล้วก็ไปจัดหนักจัดเต็ม
* แต่มันจะเป็นปัญหาก็คือว่า พอเราเดาไปแล้ว เราก็จะติด Bias จากการเดา/ทำนาย ราคาของเรา จนบางที ทำให้เรารีบร้อน take action ไปหน่อย
* เช่น เราเดาว่า มันน่าจะลงแล้ว แล้วเราก็ไปเปิด short สวนเทรน พอมันไม่ลงจริง เราก็ขี้แตก
* หรือบอกว่า มันน่าจะไปถึงแค่ตรงนี้ แล้วน่าจะจบรอบ ทำให้เราไปปิด position ที่เปิดมานานทิ้งหมด พอมันไปต่อ ก็เสียดายอีก
แนวทางแก้ไข
* อย่าไปเดา รันเทรนไปเรื่อยๆ จนกว่ากราฟจะเสียทรง แล้วค่อยว่ากันจะดีที่สุด
* นับเวฟได้ แต่อย่าเอามา bet หรือ bet ได้แต่ต้องมี SL ที่ชัดเจน เช่น break high ก็ต้องหนี อย่าดื้อ อย่าถัว
สรุปวิธีเล่นทอง ง่ายๆ
-----------------------
1) ดูเทรนใหญ่ให้ออก ว่าเป็นขาขึ้น หรือขาลง ( Weekly จะดีที่สุด )
2) ซื้อแล้วก็ถือยาว หรือจะ DCA ทุกเดือนไปเรื่อยๆ ก็ได้ จนกว่า Weekly จะเสียทรงขาขึ้น
3) ทนรวยนั่งทับมือให้ได้ อย่ารีบไปตกใจขาย ตามข่าว หรือกูรูคนอื่นบอก หรือคิดไปเอง จากการดูกราฟ ( เช่น bearish divergence มาแล้ว ขายดีกว่า )
4) อย่าไปพยายามเล่นสั้น เพราะต้องอัด leverage .. เวลาเสียทีมันไม่คุ้มกับที่ได้ ( นอกจากคุณจะเทพจัด )
แถมท้าย : เวลาวิเคราะห์จากกราฟที่มันเกิดขึ้นไปแล้ว มันก็ง่ายแบบนี้แหละ 55 แต่ว่า ก็ควรทำนะครับ เพราะเวลาที่เราเห็น pattern คล้ายๆ ทอง กับสินทรัพย์อื่นๆ เราจะได้ไม่ตกรถ หรือขายหมูกัน เหมือนกับที่เราเคยเจอกับทอง
live and learn ครับ