ฝึกวิเคราะห์กราฟเพื่อหาจุดเข้าซื้อให้ละเอียดแม่นยำยิ่งๆขึ้นไปแนวโน้มกราฟขาขึ้นแต่ก็ต้องเซลล์ก่อนงงเลยทำไมขึ้นแล้วบอกเซลล์ไม่ต้องงงครับเวลามันขึ้นมันก็ต้องย่อแล้วเวลาย่อมันจะให้ขึ้นก็ต้องรอสัญญาณบายก่อนตอนนี้มันให้เซลล์ก็เซลล์ก่อนสัญญาณเซลล์มีอยู่ในไส้ในไปดูข้างในกันลองสังเกตดูรูปแบบเดิมๆครับถ้าใครได้ดูของการวิเคราะห์ที่ฝึกดูอยู่ทุกวันนี้ก็เอารูปแบบนั้นแหละครับมาลองใช้ดูลองฝึกกันดูผมก็กำลังฝึกอยู่ครับขอบคุณครับ
การวิเคราะห์แนวโน้ม
Breakout ในการเทรด Forex: โอกาสหรือกับดัก?Breakout เป็นกลยุทธ์การเทรด Forex ยอดนิยมที่ใช้เพื่อคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของราคา โดยอาศัยการวิเคราะห์กราฟ
แนวคิดหลัก ของ Breakout
คือ การที่ราคาสินทรัพย์ทะลุผ่านแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางของราคา
ตัวอย่าง: สมมติว่าราคา EUR/USD อยู่ในกรอบแนวรับแนวต้านที่ 1.1000 – 1.1200 มานานหลายสัปดาห์
กรณี Breakout ขาขึ้น: หากราคาปิดเหนือ 1.1200 อย่างชัดเจน อาจเป็นสัญญาณว่าราคาจะเคลื่อนที่ต่อไปในทิศทางขาขึ้น
กรณี Breakout ขาลง: หากราคาปิดต่ำกว่า 1.1000 อย่างชัดเจน อาจเป็นสัญญาณว่าราคาจะเคลื่อนที่ต่อไปในทิศทางขาลง
อย่างไรก็ตาม Breakout ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดที่สมบูรณ์แบบเสมอไป:
Breakout หลอก: บางครั้งราคาอาจทะลุแนวรับหรือแนวต้าน แต่แล้วก็กลับมาในกรอบอีกครั้ง เรียกว่า “Breakout หลอก”
การตีความ: การตีความ Breakout ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค ข่าวสาร และสภาวะตลาดโดยรวม
กลยุทธ์ Breakout ทั่วไป:
การรอการยืนยัน: รอให้ราคาปิดเหนือหรือต่ำกว่าแนวรับแนวต้านอย่างชัดเจน 2-3 ครั้ง
การตั้งจุดตัดขาดทุน: กำหนดจุดตัดขาดทุนไว้ต่ำกว่าแนวรับ (สำหรับ Breakout ขาขึ้น) หรือสูงกว่าแนวต้าน (สำหรับ Breakout ขาลง)
การตั้งเป้าหมาย: กำหนดเป้าหมายการทำกำไรตามแนวต้านหรือแนวรับถัดไป
ข้อดีของ Breakout:
โอกาสในการทำกำไร: Breakout อาจนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็ว
การระบุจุดเข้า: Breakout ช่วยให้ระบุจุดเข้าซื้อหรือขายที่ชัดเจน
ข้อเสียของ Breakout:
ความเสี่ยง: Breakout อาจเป็น Breakout หลอก
การสูญเสีย: อาจสูญเสียเงินหากตั้งจุดตัดขาดทุนไม่เหมาะสม
สรุป:
Breakout เป็นกลยุทธ์การเทรด Forex ที่มีประสิทธิภาพ แต่ต้องใช้อย่างชาญฉลาด ควรศึกษา Breakout ควบคู่กับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ ฝึกฝนการเทรดบนบัญชีทดลอง และมีการจัดการความเสี่ยงที่ดี
เทคนิคการเทรด Forex แบบมือโปร: วิเคราะห์ Demand & Supply Zoneบทความนี้ จะพาทุกท่านไปรู้จักกับ "Demand & Supply Zone" เทคนิคการวิเคราะห์กราฟราคาที่ช่วยให้เข้าใจกลไกตลาด หาจุด "เข้าซื้อ-ขาย" ที่ดี และเพิ่มโอกาสในการ "ทำกำไร" ในตลาด Forex
Demand & Supply Zone (D&S Zone) หรือ โซนอุปสงค์อุปทาน เป็นเทคนิคการวิเคราะห์กราฟราคา Forex ที่ใช้หลักการง่ายๆ ของกลไกตลาด เมื่อราคาสินค้ามี “ผู้ซื้อ” มากกว่า “ผู้ขาย” ราคามีแนวโน้มที่จะ “ขึ้น”
ในทางกลับกัน เมื่อ “ผู้ขาย” มีมากกว่า “ผู้ซื้อ” ราคามีแนวโน้มที่จะ “ลง”
D&S Zone ใน Forex จึงหมายถึง ช่วงราคา ที่ในอดีตเคยเกิด “การซื้อขาย” อย่างหนาแน่น แสดงถึง “แรงซื้อ” หรือ “แรงขาย” ที่อาจส่งผลต่อทิศทางราคาในอนาคต
ประเภทของ D&S Zone
Demand Zone (โซนอุปสงค์): โซนที่ราคามีแนวโน้มที่จะ “ดีดตัวขึ้น” เมื่อราคาลงมาทดสอบ
Supply Zone (โซนอุปทาน): โซนที่ราคามีแนวโน้มที่จะ “ถูกกดลง” เมื่อราคาขึ้นไปทดสอบ
วิธีการหา D&S Zone
มีหลายวิธีในการหา D&S Zone แต่ที่นิยมใช้กันมาก ได้แก่
การวิเคราะห์จากปริมาณการซื้อขาย: ดูจากแท่งเทียนที่มีปริมาณการซื้อขายสูงๆ
การวิเคราะห์จากแนวรับแนวต้าน: แนวรับแนวต้านที่เกิดจากแรงซื้อแรงขายในอดีต
การวิเคราะห์จากรูปแบบกราฟ: รูปแบบกราฟที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนทิศทางของราคา เช่น หัวไหล่กลับ หัวไหล่คว่ำ
ตัวอย่างการใช้ D&S Zone ในการเทรด Forex
การเทรดแบบ Buy: เมื่อราคาลงมาทดสอบ Demand Zone รอให้เกิดสัญญาณการกลับตัว เช่น แท่งเทียนกลับตัว ซื้อเข้าเพื่อหวังว่าราคาจะ “ดีดตัวขึ้น”
การเทรดแบบ Sell: เมื่อราคาขึ้นไปทดสอบ Supply Zone รอให้เกิดสัญญาณการกลับตัว เช่น แท่งเทียนกลับตัว ขายออกเพื่อหวังว่าราคาจะ “ถูกกดลง”
ข้อดีของการใช้ D&S Zone
ช่วยให้เข้าใจ “กลไกตลาด”
หาจุด “เข้าซื้อ-ขาย” ที่ดี
เพิ่มโอกาสในการ “ทำกำไร”
ข้อเสียของการใช้ D&S Zone
“สัญญาณไม่ชัดเจน”: D&S Zone ไม่ได้บอกเราเสมอไปว่าราคาจะ “ดีดตัว” หรือ “ถูกกด”
“ตีกรอบผิด”: การตีกรอบ D&S Zone ผิด จะทำให้จุด “เข้าซื้อ-ขาย” ผิดพลาด
“ตลาดเปลี่ยนแปลง”: กลไกตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ D&S Zone ที่เคยใช้ได้ อาจจะใช้ไม่ได้ในอนาคต
EP34XAUUSD:Technical TREND LINE.only หารอบเทรดในแต่ละรอบตามแผนครับหารอบเทรดต้นรอบปลายรอบในแต่ละรอบเป็นรอบๆไป
เมื่อเรามีรอบหลักชัดเจนต่อไปหารอบรอง ส่วนรอบย่อย รอบอย่างย่อย รอบยิ๊บย่อย เราจะไปเทรดที่ไทม์เฟรมเล็กกว่าต่อไป
TF8H ที่ผมวาดและวิเคราะห์ไว้ตั้งแต่ Wed10Jun'24 04:00 ครับ
เงื่อนไขการอดทนง่ายมากเมื่อปรากฏรอบเทรดชัดเจนให้วาดรอบครอบแล้วทำการเทรดในรอบ เทรดสั้นในรอบ เทรดยาว buy on dip กล่าวคือ รอบหลัก รอบรอง รอบย่อย รอบอย่างย่อย รอบยิ๊บย่อย ของหน้าเทรดที่เราได้วางแผนไว้นั้นเองครับ
แค่นี้เราก็แบ่งรอบการเทรดได้อย่างชัดเจนครับ
ที่ผมแชร์เป็นไอเดียการวาดแผน หา รอบเทรดไม่ว่าจะเป็น ปลายรอบหรือต้นรอบ อย่างง่ายโดยใช้แค่เส้นเทรนมาวาดๆแล้วก็จะได้ต้นรอบเพื่อเข้าซื้อและปลายรอบไว้ทำกำไร
ในไทม์เฟร์ม5นาทีง่ายเลย สังเกตุกลางรอบครับเส้น LOC
***LOC ย่อมาจาก Line of Control คือ เส้นศูยน์กลางตามแนวของราคาที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุด***
ในวันที่ 12-13-14-15 ของไทม์เฟร์ม15นาที ราคาได้ลงมาที่จุด POC ลงทะลุแล้ว Jump Up ทันที
สรุปว่า : การวาดเทรนอย่างง่ายได้ผล 1000% 1000000% โดยเป็นพื้นฐานของการวิเคราะห์นั้นเอง
"รอบหลัก รอบรอง รอบย่อย รอบอย่างย่อย รอบยิ๊บย่อย" คิดคำใช้เรียกง่ายๆอย่างง้่ยให้ให้เข้าใจง่ายๆขึ้นมาเองไม่มีในตำราใหนนะเพื่อว่าเทรดไปอมยิ้มไป 55555
EP34XAUUSD:Technical TREND LINE.only หารอบเทรดในแต่ละรอบตามแผนครับหารอบเทรดต้นรอบปลายรอบในแต่ละรอบเป็นรอบๆไป
เมื่อเรามีรอบหลักชัดเจนต่อไปหารอบรอง ส่วนรอบย่อย รอบอย่างย่อย รอบยิ๊บย่อย เราจะไปเทรดที่ไทม์เฟรมเล็กกว่าต่อไป
TF8H ที่ผมวาดและวิเคราะห์ไว้ตั้งแต่ Wed10Jun'24 04:00 ครับ
เงื่อนไขการอดทนง่ายมากเมื่อปรากฏรอบเทรดชัดเจนให้วาดรอบครอบแล้วทำการเทรดในรอบ เทรดสั้นในรอบ เทรดยาว buy on dip กล่าวคือ รอบหลัก รอบรอง รอบย่อย รอบอย่างย่อย รอบยิ๊บย่อย ของหน้าเทรดที่เราได้วางแผนไว้นั้นเองครับ
แค่นี้เราก็แบ่งรอบการเทรดได้อย่างชัดเจนครับ
ที่ผมแชร์เป็นไอเดียการวาดแผน หา รอบเทรดไม่ว่าจะเป็น ปลายรอบหรือต้นรอบ อย่างง่ายโดยใช้แค่เส้นเทรนมาวาดๆแล้วก็จะได้ต้นรอบเพื่อเข้าซื้อและปลายรอบไว้ทำกำไร
ในไทม์เฟร์ม5นาทีง่ายเลย สังเกตุกลางรอบครับเส้น LOC
***LOC ย่อมาจาก Line of Control คือ เส้นศูยน์กลางตามแนวของราคาที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุด***
ในวันที่ 12-13-14-15 ของไทม์เฟร์ม15นาที ราคาได้ลงมาที่จุด POC ลงทะลุแล้ว Jump Up ทันที
สรุปว่า : การวาดเทรนอย่างง่ายได้ผล 1000% 1000000% โดยเป็นพื้นฐานของการวิเคราะห์นั้นเอง
"รอบหลัก รอบรอง รอบย่อย รอบอย่างย่อย รอบยิ๊บย่อย" คิดคำใช้เรียกง่ายๆอย่างง้่ยให้ให้เข้าใจง่ายๆขึ้นมาเองไม่มีในตำราใหนนะเพื่อว่าเทรดไปอมยิ้มไป 55555
Risk of Ruin หรือ ความเสี่ยงของการหมดตัวRisk of Ruin หรือ ความเสี่ยงของการหมดตัว เป็นแนวคิดทางคณิตศาสตร์ที่ใช้ประเมินโอกาสที่นักลงทุนหรือผู้เล่นพนันจะสูญเสียเงินทุนทั้งหมด แนวคิดนี้มีประโยชน์ในการวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุนและการพนัน ช่วยให้นักลงทุนและผู้เล่นพนันตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด
สูตรคำนวณ Risk of Ruin
สูตร Risk of Ruin ทั่วไปมีดังนี้:
R = (1 - f) ^ (b / (a - f))
โดยที่:
R คือ ความเสี่ยงของการหมดตัว
f คือ อัตราส่วนความสำเร็จ (โอกาสชนะ)
a คือ อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อการเดิมพันที่ชนะ
b คือ อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อการเดิมพันที่แพ้
จากสูตรนี้ เราสามารถเห็นได้ว่า:
ความเสี่ยงของการหมดตัวจะลดลงเมื่ออัตราส่วนความสำเร็จ (f) เพิ่มขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง โอกาสสูญเสียเงินทุนทั้งหมดจะลดลงเมื่อโอกาสชนะเดิมพันเพิ่มขึ้น
ความเสี่ยงของการหมดตัวจะลดลงเมื่ออัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อการเดิมพันที่ชนะ (a) เพิ่มขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง โอกาสสูญเสียเงินทุนทั้งหมดจะลดลงเมื่อผลตอบแทนจากการชนะเดิมพันเพิ่มขึ้น
ความเสี่ยงของการหมดตัวจะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อการเดิมพันที่แพ้ (b) เพิ่มขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง โอกาสสูญเสียเงินทุนทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นเมื่อผลตอบแทนจากการแพ้เดิมพันเพิ่มขึ้น
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้
นักลงทุนต้องการประเมินความเสี่ยงของการหมดตัวจากกลยุทธ์การลงทุนใหม่ กลยุทธ์นี้มีอัตราส่วนความสำเร็จ 55% (f = 0.55) อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อการลงทุนที่ชนะ 10% (a = 0.10) และอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อการลงทุนที่แพ้ -5% (b = -0.05)
โดยใช้สูตร Risk of Ruin:
R = (1 - 0.55) ^ (0.05 / (0.10 - 0.55)) ≈ 0.202
จากผลลัพธ์นี้ นักลงทุนมี ความเสี่ยงของการหมดตัว ประมาณ 20.2% หมายความว่า มีโอกาส 20.2% ที่นักลงทุนจะสูญเสียเงินทุนทั้งหมดจากกลยุทธ์นี้
สรุป
Risk of Ruin เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับนักลงทุนและผู้เล่นพนัน ช่วยให้นักลงทุนและผู้เล่นพนันประเมินความเสี่ยงของกลยุทธ์และตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด
ข้อควรระวัง
สูตร Risk of Ruin เป็นเพียงโมเดลทางคณิตศาสตร์ ไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อความเสี่ยงของการหมดตัว เช่น จิตวิทยาของนักลงทุนหรือผู้เล่นพนัน สภาพตลาด และเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
EP27bitcoin :Technical TREND LINE,Very easy Simple Analysis etc.จากเทคนิคอลที่ง่ายๆได้สร้างความฮือฮาให้ผมมาแล้วหลายต่อหลายรอบแล้วนั้น (ให้ผมนะ) โดยเทคนิคอลได้มีชื่อว่า
*** Technical TREND LINE,Very easy Simple Analysis etc. ***
โดยให้นิยามว่า
*** การวิเคราะห์อย่างง่ายแบบที่ง่ายให้ง่ายมากๆในรูปแบบเส้นแนวโน้ม ฯลฯ ***
(ผมตั้งชื่อเอง(ขำๆ) คิดเอง ใช้เอง นั้นเอง 555 ) โดยทดลองใน EP ก่อนๆมาแล้วมากมายทั้งทีตีแผ่ได้และไม่ได้ตีแผ่ เผยแพร่ในส่วนที่เผยแพร่ได้
Technical TREND LINE,Very easy Simple Analysis etc. : BTCUSDT.P
1.แนวโน้ม เทรนไลน์
2.แนวโน้ม ฟิโบไลน์
3.แนวโน้ม ไทม์มิ่งไลน์
แนวโน้ม เทรนไลน์ในไทม์เฟรม1ชั่วโมงเราจะเห็น
- main theme เป็นแนวโน้มขาลงชัดเจน
- current trends ไม่เป็นเทรนขึ้นๆลงๆออกข้าไปเรื่อยๆ
ส่วนการวิเคราะห์เทรดแบบเรียลไทม์เมื่อ main theme แนวโน้มขาลงแล้ว current trends เป็นการไซต์เวย์ จะส่งผลทำให้การ Action ในทางใดทางหนึ่งเป็นไปได้ยากมากเพราะไม่เป็นเทรน ดังนั้นเราจะใช้ กลยุทธ์ ซื้อขายใน current trends ไซต์เวย์นี้ได้ทันทีแบบมองลงไปจนกว่าราคาจะเปลี่ยน main theme นั้นเอง
แถมให้ : สังเกตุ หากแนวโน้มหลุด current trends แนวโน้มก็จะดำเนินการณ์ต่อตาม main theme แต่หากแนวโน้มเป็นไปตาม current trends ไปเรื่อยๆจนทะลุ main theme มีแนวโน้มเป็นไปได้ว่าจะเกิด main theme ใหม่ก็จะมีสูงเช่นเดียวกัน
แนวโน้ม ฟิโบไลน์ในไทม์เฟรม1ชั่วโมงเราจะเห็น
หาก main theme แข็งแรงมากเป็นไปได้ว่าแนวรับ จะอยู่ที่เป้าหมายด้านล่างตามลำดับ แต่ถ้าหาก current trends แข็งแรงแนวโน้มของการจะอยู่ในกรอบฟิโบไลน์ตาม current trends จนกว่าแนวโน้มจะเกิด main theme ใหม่ ต่อไป
S&R Flip Changed Roles S&R Flip Changed Roles
เมื่อแนวรับแนวต้านเปลี่ยนฐานใหม่
👏👏👏 เคยงงกันบ้างมั้ยครับ เกี่ยวกับแนวรับแนวต้าน จริงๆฟังดูแล้วก็เบสิคพื้นฐานนี่นา แต่ถ้าพูดใหม่ว่า แนวรับกลายเป็นแนวต้าน แนวต้านกลายเป็นแนวรับ อ้าวววว งงหนักกว่าเดิมสะอีก เพราะอะไร มันไปเปลี่ยนโซนกันตอนไหน มันบอกอะไรเราได้บ้าง บทความนี้มีคำตอบครับ
👏👏S&R (Support and Resistance ) คือแนวรับแนวต้าน จัดว่าเป็น Price Action ตัวนึงฮะ ซึ่งแม่นยำมาก ในเรื่องการเข้าออเดอร์
👏👏 S&R Flip หรือ Support and Resistance Flip คือการเปลี่ยนกลับด้าน จาก Support ไปเป็น Resistance หรือ เปลี่ยนจากเเนวต้าน Resistance ไปเป็นเเนวรับ Support ........ อย่าเพิ่งงงกันน๊า
แล้วทำไมเป็นงั้นหล่ะ???
👏แห่มก็กราฟมันมีทั้งขึ้นและก็ลง จะให้ขึ้นอย่างเดียวก็ใช่ที่ มันต้อง มีย่อ มีลงต่อ ขึ้นต่อ เรื่องปกติฮะ ลีลาจะตายไป
อะไรก็เกิดขึ้นได้ !......ด้วย S&R Flip
👏 เราจะเห็นแนวรับแนวต้าน เปลี่ยนด้าน เปลี่ยนหน้าที่กันได้ตลอดเวลาฮะ เพราะมันขึ้นอยู่กับ Demand & Supply (ดีมานด์และ ซัพพลาย์) ดีมานด์ซัพพลาย์ ก็คือจุดเทรดที่เจ้ามือรายใหญ่ๆมักจะเข้าเทรดกันนั่นแหละครับ
👏เราจะเห็นได้ชัดเจน จากวิวัฒนาการของแนวโน้มกราฟ ที่อยู่ในระดับที่สำคัญถูกทำลายลงในแต่ละราคา ไม่ว่าจะจากการทะลุขึ้น หรือ การเทลงของราคาที่เป็นแนวโน้มขาขึ้น และขาลง ในระยะยาว และยังที่มีการทะลุลงต่อยาวอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
เมื่อราคาทดสอบระดับแนวรับหรือแนวต้านที่จุดเบรคเอ๊าท์ และทะลุขึ้น หรือทะลุลงอย่างต่อเนื่องนั่นแหละครับ ฉีกทุกกฎ เบรคทุกต้าน เราก็เพียงทำได้แค่ นั่งทับมือ และรอ
วิธีการรับมือกับ S&R Flip
- หากราคาจะย่อกลับลงมาอีกครั้งเพื่อทดสอบ แนวรับเก่าที่เป็นโซนพักตัว ก่อนที่จะพยายามทำราคาเบรคเอ๊าท์ที่แนวรับเก่าขึ้นไปเรื่อยๆ ให้สังเกตุแท่งเทียน Price Action ประกอบ
- หากราคาจะยังคงลงต่อเนื่องโดยทำลายแนวรับใหม่ไปเรื่อยๆ ให้เทรดตามแนวโน้มใหญ่ต่อไป
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการอ่านกราฟออกคือ การบริหารเงินที่ดีครับ รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง ไม่มีจริง มันต้องมีแพ้บ้าง ชนะบ้าง แต่แพ้อย่างไรให้มีกำไรดีกว่า หมั่นฝึกฝนการเทรดให้ได้ทุกวัน รับรองว่ากำไรไม่ไกลเกินฝันแน่นอนฮะ แอดเอาใจช่วย
Forex Slippage: พลังแอบแฝงนี้ที่ทำให้ล้างพอร์ตในโลกของการเทรด forex กำไรและขาดทุน ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่กับ กลยุทธ์ การวิเคราะห์ และ โชค เท่านั้น แต่ยังมี ค่าธรรมเนียมแอบแฝง ที่อาจส่งผลต่อผลลัพธ์ของคุณ หนึ่งในค่าธรรมเนียม ที่สำคัญ คือ Forex Slippage หรือ ค่าธรรมเนียมสลิป
Forex slippage หรือ ค่าธรรมเนียมสลิป คือ ความแตกต่างระหว่างราคาที่คุณคาดหวังจะซื้อหรือขายสินทรัพย์ กับราคาที่คุณทำการซื้อขายจริงในตลาด
กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันคือ ค่าใช้จ่ายแอบแฝง ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเทรด forex ซึ่งอาจส่งผลต่อผลกำไรหรือขาดทุนของคุณ
สาเหตุของ slippage
มีหลายปัจจัยที่อาจทำให้เกิด slippage ได้แก่:
สภาพคล่องของตลาด: ตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำ หมายความว่ามีผู้ซื้อและผู้ขายน้อย ซึ่งอาจทำให้ราคาเสนอซื้อและเสนอขาย (bid-ask spread) กว้างขึ้น เพิ่มโอกาสของ slippage
ความผันผวนของตลาด: ตลาดที่มีความผันผวนสูง ราคาอาจเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทำให้ยากต่อการเติมเต็มคำสั่งซื้อขายของคุณในราคาที่ต้องการ
ความเร็วในการดำเนินการ: หากคุณใช้แพลตฟอร์มการเทรดที่ช้า หรือมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ไม่เสถียร คำสั่งซื้อขายของคุณอาจถูกเติมเต็มในราคาที่แตกต่างจากที่คุณคาดหวัง
ประเภทของ slippage
มีสองประเภทหลักของ slippage:
Positive slippage: เกิดขึ้นเมื่อคุณซื้อสินทรัพย์ในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่คุณร้องขอ หรือขายสินทรัพย์ในราคาที่สูงกว่าราคาที่คุณร้องขอ slippage ประเภทนี้เป็นประโยชน์ต่อเทรดเดอร์
Negative slippage: เกิดขึ้นเมื่อคุณซื้อสินทรัพย์ในราคาที่สูงกว่าราคาที่คุณร้องขอ หรือขายสินทรัพย์ในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่คุณร้องขอ slippage ประเภทนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อเทรดเดอร์
วิธีหลีกเลี่ยง slippage
มีหลายวิธีที่คุณสามารถหลีกเลี่ยงหรือลด slippage ได้:
เทรดในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง: ตลาดที่มีสภาพคล่องสูง มักจะมี bid-ask spread แคบลง และโอกาสของ slippage น้อยลง
ใช้คำสั่งซื้อขายแบบจำกัด: คำสั่งซื้อขายแบบจำกัด จะสั่งให้โบรกเกอร์ของคุณซื้อหรือขายสินทรัพย์เมื่อราคาถึงระดับที่ระบุไว้ ช่วยให้คุณควบคุมราคาที่คุณจะซื้อขายได้
ใช้บัญชี ECN: บัญชี ECN เสนอการเข้าถึงตลาด forex โดยตรง โดยไม่มีการแทรกแซงจากโบรกเกอร์ ซึ่งอาจช่วยลด slippage ได้
เลือกโบรกเกอร์ที่มีชื่อเสียง: โบรกเกอร์ที่มีชื่อเสียง มักจะมีระบบการเติมเต็มคำสั่งซื้อขายที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจช่วยลด slippage ได้
เราได้เรียนรู้อะไรจากกรณีหุ้น SET:EA รูด -85% จากยอด ATH?วันนี้เห็นเพจหุ้นลงข่าว EA ที่ไม่ใช่ Electronic Arts ค่ายเกมที่ชาวเกมเมอร์รู้จักกันดี แต่ดันเป็น Energy Absolute หุ้นไทยสายปั่นแทน
ชื่อนี้ผมเคยเห็นผ่านตามาแว่บๆ จากการตามเพจหุ้น แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก วันนี้นึกสงสัยก็เลยไปลองเปิดกราฟดูว่า มันเกิดไรขึ้นนะ ก็พบว่า
- หุ้นตัวนี้มีการลากขึ้นหลังตลาดถล่มช่วง covid ปี 2020 และลากไปพีคช่วงปลายปี 2021
- โดยลากขึ้นแบบโหดสัส คือ ขึ้นมาจากหลุมต่ำสุดราวๆ 280% หรือถ้าใครซื้อมาเฉลี่ยๆ ตอนตลาดตกหนัก ก็อาจจะมีกำไรราวๆ 2xx% up ตอนตลาด top
- แน่นอน การลากขึ้นตั้งเกือบ 300% ในระยะเวลาสั้นๆ ก็ทำให้หุ้นประเภทนี้กลายเป็น talk of the town of mang mao ไปไม่ต่างอะไรกับ DeFi, GameFi หรือ NFT ในช่วงปี 2021
- แต่ก็นั่นแหละ งานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกรา หลังจากพยายามจะทำ ATH อีกรอบในปี 2022 แต่ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายก็ร่วงลงมาใหม่ โดยเริ่มจากกราฟ day เสียทรง ตามมาด้วยกราฟ week และสุดท้ายระบบทุกอย่างก็แดงหมดแทบทุก timeframe
- หลังจากนั้นก็ตามที่เห็น ค่อยๆ ไหลลงมาเรื่อยๆ โดยวันที่เขียนบทความนี้ราคาก็ลงมาจาก ATH ถึง -85% ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับ shitcoins ทั้งหลายทั้งปวงที่พวกเราชาวคริปโตก็น่าจะคุ้นชินกันดี 555
--------------------
เรื่องนี้สอนให้เราเรียนรู้อะไร?
--------------------
- ตลาดเก็งกำไร ทุกอย่าง มันมีรอบของมันเสมอ รอบที่มันลากขึ้น ทุกคน happy มีกำไรกันเป็นกอบเป็นกำ คนแห่กันมาซื้อโดยไม่มองถึงความเสี่ยงที่มันอาจจะเกิดขึ้น
- ในรอบที่มันเริ่มออกข้าง ซึมๆ ไม่ไปไหน คนที่ติดดอยก็ยังทนถือด้วยความหวังว่า "เดี๋ยวมันก็คงจะไปต่อเหมือนทุกที ( buy & hope )" แต่ไม่เคยคิดว่า "แล้วถ้ามันไม่ไปต่อล่ะ เราจะทำยังไง"
- สุดท้าย พอมันจบรอบ ไปต่อไม่ได้ กราฟมันก็จะเริ่มเสียทรง เริ่มจาก daily มาเป็น weekly แต่คนที่ไม่มีแผนหนี เขาก็จะถือทนไปเรื่อยๆ และกลายเป็น VI จำเป็น
- และพอข่าวร้ายๆ ลงอย่างวันนี้ ... ราคาลงหนักๆ แบบนี้ ก็แน่นอน เขาเหล่านี้ก็จะขายออกมา และตลาดเริ่มวัฏจักรใหม่นั่นเอง 555
- ปล. แต่ผมก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นตัวนี้จะกลับขึ้นไปนะครับ ไม่มีใครรู้หรอก แต่ที่ผมรู้อย่างนึงคือ หุ้นอ่ะ ถ้ามันจะขึ้น มันไม่ได้กลับตัวพรวดเลย มันจะค่อยๆ ย่ำฐานแล้วค่อยๆ กลับขึ้นไปเป็นขาขึ้นใหม่ เราก็แค่ รอให้เป็นแค่นั้นเอง ช่วงเวลาแบบนี้อย่าไปรีบรับมีดดีที่สุดครับ กราฟหัวทิ่มขนาดนี้ นั่งดูเฉยๆ ดีกว่า ดูฟรีไม่เสียตัง ปล่อยให้เซียนเขาช้อนไม้ใหญ่ๆแล้วเอากำไรเบิ้มๆมาอวดกันไป ให้เราหมันไส้เล่น ดีกว่าครับ5555
Divergence: สัญญาณกลับตัวที่แม่นยำในมือคุณไดเวอร์เจนท์ (Divergence) เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่เปรียบเสมือนสัญญาณเตือนภัยก่อนการกลับตัวของราคา หลายคนอาจมองข้ามหรือใช้งานผิดพลาด ส่งผลต่อประสิทธิภาพการเทรด บทความนี้จะมาไขข้อสงสัยและบอกเทคนิคง่ายๆ ในการใช้ไดเวอร์เจนท์ให้แม่นยำยิ่งขึ้น
ไดเวอร์เจนท์คืออะไร?
ง่ายๆ คือ การที่ราคาเคลื่อนที่ไปทิศทางหนึ่ง แต่ตัวชี้วัด (Indicator) เคลื่อนที่ไปอีกทิศทาง เปรียบเสมือนสัญญาณว่าแรงขับเคลื่อนของราคาเริ่มอ่อนแรง เทรนใหม่กำลังจะเกิดขึ้น
ประเภทของไดเวอร์เจนท์
ไดเวอร์เจนท์ขาขึ้น (Bullish Divergence): ราคาทำจุดต่ำใหม่ แต่ตัวชี้วัดทำจุดสูงใหม่ สัญญาณว่าแรงขายเริ่มอ่อน แนวโน้มอาจกลับเป็นขาขึ้น
ไดเวอร์เจนท์ขาลง (Bearish Divergence): ราคาทำจุดสูงใหม่ แต่ตัวชี้วัดทำจุดต่ำใหม่ สัญญาณว่าแรงซื้อเริ่มอ่อน แนวโน้มอาจกลับเป็นขาลง
เทคนิคการใช้ไดเวอร์เจนท์ให้แม่นยำ
เลือกตัวชี้วัดที่เหมาะสม: อินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator เช่น RSI, MACD, Stochastic เหมาะกับการหาไดเวอร์เจนท์
จุดที่ชัดเจน: ไดเวอร์เจนท์ที่แม่นยำ มักเกิดขึ้นบริเวณจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดที่ชัดเจนของราคา
รอการยืนยัน: ราคาควรยืนยันแนวโน้มใหม่ด้วยการ breakout แนวต้าน/แนวรับ
ใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น: ไดเวอร์เจนท์เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่ง ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ เพิ่มความมั่นใจ
5 สัญญาณไปเกินบริเวณ โซน Overbought กับ OverSold
จะเพิ่มนัยยะในการเข้าให้มีความแม่นยำขึ้น
ปล.ไดเวอร์เจนท์ไม่ใช่สัญญาณที่ตายตัว ควรวิเคราะห์ประกอบกับปัจจัยอื่นๆ และบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ และการตีความ ต้องมั่น ฝึกฝน
MARKET STRUCTURE + MULTIPLE TIMEFRAMEMARKET STRUCTURE + MULTIPLE TIMEFRAME
เมื่อเราเข้าใจหลักการการเชื่อม Timeframe แต่ละ Timeframe ว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร การเทรดของเราก็จะดีขึ้น
เข้าใจไว้เสมอว่า เมื่อเราหาจุดเข้าใน lower timeframe ให้เราเทรดตามเทรนด์หลัก อย่าคิดสวนเทรนด์ใหญ่ Primary trend (High timeframe)
การใช้งาน multiple timeframe, เข้าใจ higher timeframe, middle timeframe, small timeframe ต้องสอดคล้องซึ่งกันและกัน
การฟอร์มตัวของราคา การเสียหรือเบรกโครงสร้างของราคาใน lower timeframe จะส่งผลให้ Higher timeframe เกิด reaction ไปยังทิศทางเดียวกันเสมอ
Multiples timeframe กับ ความสัมพันธ์กันของ Market structure
1. ดู timeframe ใหญ่ให้ออกก่อนเสมอ เพื่อคลุมขอบเขตรอบการขึ้น-ลง
2. เช็ค sub-wave เพื่อหาจุดเชื่อมต่อของ HTF, MTF, STF
3. สรุป timeframe ที่ link ทำ sub-wave ซึ่งกันและกัน และทำการตั้งโจทย์เพื่อหารอบการเล่น
4. ย่อยไปใน timeframe ที่เล็กลงเพื่อหาจุดเข้า
Scalping in 1 min WIN 70% Scalping in 1 min WIN 70%
กลยุทธิ์การเทรดสั้น 1 นาที กำไร 70%
👌 หลายๆคนที่ชื่นชอบการเทรดสั้น อาจจะต้องตาลุกวาวเมื่อได้อ่านบทความนี้
หลายเทคนิคสำหรับการเทรดสั้นนั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 5 ถึง 15 นาที ขึ้นไป แต่บทความนี้ แอดจะมาแชร์วิธีการเทรดสั้นแบบชนิดที่เรียกว่า สั้นจริงๆ เพียงแค่ 1นาที เท่านั้น มีเทคนิคและทริคการเทรดแบบไหนกัน มาตามอ่านครับ
👊1. เตรียมคำนวน นับจุดให้เป็นก่อน ยกตัวอย่างง่ายๆเลย
EURUSD 0.98782 ราคา วิ่งขึ้นไป 0.98792 ( 98782- 98792 = 10 )
เท่ากับว่า ราคาต่างกัน 10 จุด ให้เรียกจุด เป็น PIP ครับ = 10 PIP ไม่งงนะ
👊2. กรอบการเทรด 1 นาที TF M1 แน่นอนเลยครับ จะเล่น 1 นาที ก็ต้องมาที่กรอบ 1 นาที แต่เราจะไปดูกรอบ 5 นาที ถึง 15 นาทีก่อนเพื่อสร้างกรอบเวลาในการเล่น และกำหนดกรอบการเล่น แต่เวลาเข้าออเดอร์ต้องไปกรอบ 1 นาทีเท่านั้น
👊3. เก็บกำไร 10-20 PIP แต่บางคนอาจเก็บ 20-50 ก็ได้แต่จะให้ดีไม่เก็บเกิน 50 PIP ครับ ส่วนตัวแอด เก็บที่ 10 PIP ครับ
👊4. เลือกเวลาในการเทรด ทริค อันนี้ แอดแนะนำให้เล่นช่วงไซด์เวย์ครับ
👊5. ตีเส้น แนวรับต้าน และกรอบไซด์เวย์ให้เรียบร้อย
👊6. อินดิเคเตอร์ที่เลือกใช้ Stochastic 5-3- 3 , EMA5 , EMA50, EMA100
👊 ให้ดูตามรูป แอดจะตีกรอบไซด์เวย์เอาไว้แล้ว และวัดระยะสวิงการวิ่งในกรอบไซด์เวย์อยู่ที่ 58 PIP เข้าสูตรเราเลย เก็บแค่ 10 PIP พอเลย
👊การออก LOTSIZE ลอทเก็บไม้ใหญ่นะครับเริ่มที่ 0.1 หรือ 1.0 ก็เอาที่ทุนเราไหวนะครับ ทุนต้อง100 เหรียญขึ้นไป คำนวนทุนกำไร เผื่อค่าความเสียหายที่ 7-10 PIP ต่อการเทรด 1 ครั้ง
วิธีการเทรด
1. ดูสัญญาณกลับตัวของเส้น STO ตัดขึ้นหรือตัดลง ที่ ตำแหน่ง 20 (รอตัดขึ้นเพื่อเข้าบาย )หรือ 80 (รอตัดลงเพื่อเข้าเซล) แต่ต้องอ้างอิงเส้น EMA ว่าเป็นเทรนขาขึ้น หรือ เทรนขาลง ด้วย
2. ดูเส้น EMA เป็นหลัก เมื่อเส้น EMA 50 ตัดลงผ่านเส้น EMA 100 ถือเป็นขาลง ถ้าอยู่เหนือเส้น ก็จัดว่าเป็นขาขึ้น (จากในรูปเป็นขาลงนะครับ)
3.เมื่อได้แนวทางการไปของราคาแล้วก็ให้ล๊อคออเดอร์ หรือ แพนดิ้งตามกรอบเส้นแนวรับแนวต้าน ภายในกรอบไซด์เวย์
4. เก็บกำไรโดยการตั้ง TP ที่ 10 PIP
👉👉👉ทริคนี้บอกเลย ไม่ง่ายและก็ไม่ยาก ต้องใช้ไหวพริบพอตัวอยู่ มือไวใจเร็วให้คล่องๆครับ และจะให้ดี ทดสอบที่พอร์ตเดโม่ก่อนนะ อย่าเผลอลองจริงหละ ถ้าดีก็รวยจริง แต่ถ้าไม่ทันก็จนเร็วนะครับ ค่อยเป็นค่อยไป ฝึกให้คล่องแล้วจะเก่งเอง
"สนับสนุนบทความนี้ด้วยการส่งเพชร 💎ส่งดาว🌟 และกดติดตาม ใน Blockdit ของเรา
Fibonacci fans : เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ทรงพลังบทความนี้จะพาทุกท่านไปรู้จักกับ "แฟนฟิโบนัชชี" เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ทรงพลัง พัฒนาจากลำดับฟิโบนัชชี เรียนรู้วิธีการตีเส้น วิเคราะห์ราคา และค้นพบแนวโน้มการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์
แฟนฟิโบนัชชี : Fibonacci fans
แฟนฟิโบนัชชี (Fibonacci fan) เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ใช้สัดส่วนฟิโบนัชชี (Fibonacci ratios) เพื่อระบุจุดกลับตัวที่อาจเกิดขึ้นของราคาสินทรัพย์ เช่น หุ้น ฟอเร็กซ์ หรือคริปโตเคอเรนซี่
สัดส่วนฟิโบนัชชี คือ ลำดับตัวเลขที่แต่ละตัวเลขเป็นผลรวมของสองตัวเลขก่อนหน้า เริ่มต้นด้วย 0 และ 1 ลำดับนี้มีชื่อเสียงโด่งดังจากการปรากฏตัวในธรรมชาติ เช่น กลีบดอกไม้ กิ่งก้านของต้นไม้ และเปลือกหอย
วิธีการตีเส้นแฟนฟิโบนัชชี
ระบุจุดสูงสุด (swing high) และจุดต่ำสุด (swing low) ล่าสุดสองจุดบนกราฟราคา: จุดเหล่านี้จะเป็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของเส้นแฟนฟิโบนัชชี
วาดเส้นแนวตั้งจากจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด: เส้นเหล่านี้จะแบ่งกราฟออกเป็นสัดส่วนตามอัตราส่วนฟิโบนัชชีที่สำคัญ
วาดเส้นแนวนอนผ่านกราฟที่ระดับอัตราส่วนฟิโบนัชชีที่สำคัญ: อัตราส่วนฟิโบนัชชีที่ใช้ทั่วไป ได้แก่ 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8% และ 78.6%
การตีความแฟนฟิโบนัชชี
จุดกลับตัว: ราคาอาจมีแนวโน้มที่จะกลับตัวในบริเวณของเส้นแฟนฟิโบนัชชี โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณเส้น 38.2%, 50% และ 61.8%
แนวรับและแนวต้าน: เส้นแฟนฟิโบนัชชีสามารถทำหน้าที่เป็นแนวรับและแนวต้าน โดยราคาอาจมีแนวโน้มที่จะเด้งกลับจากเส้นเหล่านี้
การขยายแนวโน้ม: เส้นแฟนฟิโบนัชชีสามารถใช้เพื่อขยายแนวโน้มของราคา โดยคาดการณ์ว่าราคาจะไปต่อในทิศทางเดิมจนถึงระดับอัตราส่วนฟิโบนัชชีที่สำคัญ
ตัวอย่างการใช้งานแฟนฟิโบนัชชี
หาจุดเข้าซื้อ/ขาย: นักลงทุนอาจใช้แฟนฟิโบนัชชีเพื่อหาจุดเข้าซื้อเมื่อราคาเด้งกลับจากแนวรับ หรือหาจุดเข้าขายเมื่อราคาทะลุแนวต้าน
ตั้งจุด Stop-loss และ Take-profit: นักลงทุนอาจใช้แฟนฟิโบนัชชีเพื่อตั้งจุด Stop-loss เหนือแนวรับ หรือใต้แนวต้าน และตั้งจุด Take-profit ที่ระดับอัตราส่วนฟิโบนัชชีที่สำคัญ
Adam And Eve Pattern แพทเทริน อดัม & อีวาAdam And Eve Pattern
Adam And Eve Pattern เป็นรูปแบบที่เห็นได้บ่อยๆ แถมทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ ไม่ว่าจะสายเทรดสั้น เทรดยาว Scalping Sniper Follow trend เราสามารถเทรดได้หมดเลย
ลักษณะแพทเทรินที่เห็นกันตลอดและเห็นบ่อยมากๆ และมักเรียกติดปากว่า กราฟรูปตัววี V
รูปแบบแพทเทริน Adam And Eve จะมีพฤติกรรมการวิ่งที่สังเกตุได้ง่ายคือ กราฟดิ่งลงอย่างแรง แล้วกลับตัวขึ้นไปหาจุดไฮเก่าที่จากมา เกิดเป็นก้นแหลมรูปตัววี V คือ Adam แล้วกลับตัวลงมาทดสอบแนวรับเดิมอีกครั้งเป็น double bottom แต่รอบนี้ค่อยๆทำแพทเทรินขึ้นช้าๆเป็นรูปตัว U คือ Eve เพื่อเป็นการส่งสัญญาณของเทรนด์ใหม่ ส่วนในขาลงก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกันในทิศทางตรงกันข้าม
Adam And Eve โดยทั่วไปแล้วจะทำแพทเทรินคล้าย double bottom แต่ไม่เหมือนกันนะฮะ อย่าจำสับสนเชียว
วิธีการเข้าเทรด
1. หากเราเจอแพทเทรินรูปวี V ให้สังเกตุและรอกราฟอาจเกิดรูปตัวยู U โดยดักรอที่ราคาโลว์เดิม หรือ ไฮเดิม
2. เมื่อแพทเทรินครบองค์ประกอบทั้ง V + U แล้วให้มองหาราคาไฮเดิม หรือ โลว์เดิมจากกรอบราคานี้ แล้วรอการเบรคเอ๊าท์ Breakout
3.เข้าเทรดทำกำไรได้ตามความพอใจ หรือ สามารถใช้เทรนด์ก่อนหน้าแพทเทริน Adam & Eve เป็นตัวกำหนดเป้าหมายกำไรในอนาคตได้
4. สามารถเทรดได้ทุกทามเฟรม แต่จะให้ดี ทามเฟรม H1 ขึ้นไปจะให้ผลกำไรที่มากขึ้นและเยอะกว่า เพราะส่วนใหญ่ การเบรคเอ๊าท์ราคามักเป็นเทรนด์ใหม่ที่วิ่งในระยะยาว
Overfitting ภัยเงียบของเทรดเดอร์จากบทความที่แล้ว : โอเวอร์ฟิตติ่ง ในการเทรด หมายถึง การเพิ่มตัวแปรหรือกลยุทธ์การเทรดมากเกินไปลงในระบบ เพื่อหวังผลให้ประสิทธิภาพการเทรดสูงสุด หรือใกล้เคียง 100% เปอร์เซ็นต์ เปรียบเสมือนการพยายามจดจำข้อสอบทุกคำตอบจนแม่นยำ แต่กลับไม่สามารถนำความรู้ไปใช้จริงได้
สมมติว่าเราเริ่มเทรดในตลาดใหม่ ตอนแรกเรารู้จักเครื่องมือเทรดเพียงแค่ EMA ใช้กลยุทธ์ง่ายๆ ซื้อเมื่อ EMA เส้นสั้นตัดขึ้น EMA เส้นยาว บ้างก็กำไร บ้างก็ขาดทุน
เมื่อเรียนรู้เพิ่มเติม เราก็เริ่มรู้จักเครื่องมือและกลยุทธ์ใหม่ๆ จึงนำมาปรับใช้เพิ่ม หวังจะเพิ่ม Winrate
แม้การลด Noise ในตลาดด้วยเงื่อนไขมากขึ้นจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็แลกมาด้วยความยุ่งยากในการเทรด อาจทำให้เราเทรดตามระบบได้ยากขึ้น หรือรอนานจนอดใจรอไม่ไหว ผลลัพธ์คือ ระบบที่ Backtest ได้ Winrate สูง แต่พอเทรดจริงกลับทำตามระบบไม่ได้
แนวทางแก้ไข Overfitting ในการเทรด
เข้าใจเครื่องมือ: ศึกษาการทำงานของเครื่องมือที่เราใช้อย่างถ่องแท้ เข้าใจจุดประสงค์ ข้อจำกัด และผลลัพธ์ที่คาดหวัง
เรียบง่าย: เน้นระบบที่เข้าใจง่าย เทรดสะดวก มีความสุขกับการเทรด
ยอมรับความสูญเสีย: ไม่มีระบบเทรดที่ชนะ 100% มืออาชีพเองก็มีแพ้บ้าง สิ่งสำคัญคือ ผลลัพธ์โดยรวมต้องเป็นกำไร
เน้น RR (Risk Reward Ratio): เทรดเดอร์มืออาชีพอาจมี Winrate เพียง 20-40% แต่พวกเขาอยู่รอดในตลาดและทำกำไรได้ด้วยการใช้ Risk Reward Ratio ที่ดี
ข้อคิดวันนี้1.เมื่อได้หน้าเทรดที่เหมาะสมแล้ว จงหาข้อโต้แย้ง และข้อสังเกตุก่อนจะตัดสินใจกระทำการใดๆ ให้บันทึกมันว่าถ้าทำตามหรือไท่ทำตามหน้าเทรดแล้วเกิดสิ่งใดขึ้น และจะปรับจูนอย่างไรในอนาคต
2.การเทรดด้วยความสบายใจเป็นเรื่องที่ต้องตระหนักมากที่สุด สำหรับผมเปรียบเสมือนมาตรฐานจริยธรรมของวิชาชีพเลยที่เดียว เราต้องหลีกเลี่ยงการบีบคั้นตัวเองจนเลยขอบเขตของมาตรฐานความสบายใจของเรา ผมถือว่าผู้ที่เทรดด้วยความสบายใจและรู้ขอบเขตเป็นผู้ที่มีอิสระภาพในการเทรดในระดับสูง
3.การไม่ขาดทุนหรือกินทุนคือความรับผิดชอบขั้นสูงสุดของนักเทรด จงจำไว้วันหน้าฟ้าใหม่ถ้ามีทุนหน้าตักอยู่ ก็ยังมีโอกาสเข้าเทรดได้อีกเมื่อเข้าหน้าเทรด
4. ได้กำไรแล้วต้องทะยอยขาย คือความรับผิดชอบต่อครอบครัว หลีกเลี่ยงการสร้างอัตตาความดูเก่งแบบมายาที่จะขายที่สูงสุด จำไว้เงินในกราฟมันมีค่าแค่ทางจิตใจในวินาทีที่เราถือว่าตัวเราเก่ง แค่วินาทีที่เรามองไปแค่นั้นหลังจากนั้นก็เป็นอดีต เงินกำไรที่กลับมาอยู่ในPort ต่างหากที่มีค่าสำหรับต่อยอดการเทรดครั้งถัดไป จงเตรียมเงินสำหรับเทรดในครั้งถัดไปดีกว่า เพราะเทรดไม่มีวันจบสิ้น ตราบใดที่ตลาดยังเปิดอยู่
model learning XAUPlan setup model
Major trend uptrend TF4H Main 15Min entry
เนื่องจากราคาเป็นเทรนหลักขาขึ้นได้มีการ Choch โครงสร้างย่อยเกิดการเสียทรงเป็นอาการพักตัวในรูป เเบบ correction เลยต้องมองภาพ sell เป็นหลัก
เเต่ในภาพนี้ราคามี orderblock ของ 4H ราคาเลยมีโอกาศกลับขึ้นไปทดสอบจุดที่หลุดลงมาที่ราคาได้ทำ DBD ของภาพ 4H
เเต่เนื่องจากราคา ณ จุดนี้ราคาฝั่ง supply ได้เข้ามาคุมเเล้วทำให้ราคาเเอบหลุดลงไปเเล้วดึงกลับเข้าโซน ณ ตอนนั้นผมก็ได้ L ไว้เเถวๆ 2157 SL 2148 ซึ่งกว้างมาก
เเล้วซักพักราคาก็ได้ทำเพิทเทิลกลับตัว qml ทำให้ได้ไม้ 2156 มาอีกไม้ จากนั้นราคาได้ไปทดสอบ เเถว 2179 ทำให้ setup นี้ได้ไป 1:2 RR เลยที่เดียว
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หลังจากนั้นราคาได้มาทดสอบ 2179 ที่ได้วางแผนไว้เนื่องจากโครงสร้างได้เกิดการพักตัว เลยเล่นเเผน Sell ราคาได้ขึ้นไปทดสอบพร้อมกับมี bear div เเล้วมีเกิดการ rejection อย่างชัดเจนเเล้วราคาได้มีเเท่งเทียนBearish Engulfing เเล้วกลับขึ้นไปทดสอบอีกรอบจากนั้นราคาเกิดการทุบลงอย่างรุนเเรงมาเเนวรับเดิมอีกครั้ง
Fibonacci Extension vs. Fibonacci RetracementFibonacci Extension vs. Fibonacci Retracement
By PapaFinanceTalk
March 10, 2024
______________________________
Fibonacci Extension and Fibonacci Retracement are two essential tools employed by traders to forecast price movements. While both utilize Fibonacci ratios, they serve distinct purposes and are applied differently. This article provides a comprehensive analysis of their key differences and practical applications.
______________________________
1. Fibonacci Extension
Fibonacci Extension projects potential price targets beyond the end of a price trend. It utilizes the length of the initial price swing or trend to estimate subsequent price extensions after a retracement or pullback. Commonly used Fibonacci Extension levels include 127.2%, 161.8%, 200%, 261.8%, and 423.6%.
Key Features :
- Predicting Continuation Price Targets: Fibonacci Extension leverages the initial price swing's length to approximate subsequent price targets.
- Trend Analysis: It is utilized in trending markets to anticipate where a trend may extend after a retracement or consolidation phase.
- Identifying Profit-Taking Points: Fibonacci Extension levels can serve as potential profit-taking or exit points for existing trades.
______________________________
2. Fibonacci Retracement:
Unlike Fibonacci Extension, Fibonacci Retracement focuses on identifying potential reversal or retracement points within a price trend. It utilizes the length of previous price swings to estimate areas where the current trend may pause or reverse. Commonly used Fibonacci Retracement levels include 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8%, and 78.6%.
Key Features:
- Identifying Reversal or Retracement Points: Fibonacci Retracement helps traders pinpoint areas where a price trend may reverse or retrace based on the length of previous price swings.
- Corrective Phase Analysis: It is commonly used during corrective phases within a price trend to anticipate potential reversal levels.
- Trade Signal Confirmation: Fibonacci Retracement levels can serve as confirmation points for trade signals generated by other technical indicators or price action analysis.
______________________________
Key Differences:
- Purpose: Fibonacci Extension aims to project price targets beyond the end of a trend, while Fibonacci Retracement focuses on identifying potential reversal or retracement points within a trend.
- Application: Fibonacci Extension is used in trending markets to identify potential profit-taking points, whereas Fibonacci Retracement is utilized during corrective phases to anticipate trend reversals or continuations.
- Fibonacci Ratios: Fibonacci Extension commonly uses higher ratios (e.g., 127.2%, 161.8%, 261.8%), while Fibonacci Retracement typically employs lower ratios (e.g., 23.6%, 38.2%, 61.8%).
______________________________
Conclusion:
Both Fibonacci Extension and Fibonacci Retracement are valuable tools for traders, offering complementary insights into price movements. By understanding their distinct purposes and applications, traders can effectively incorporate them into their trading strategies to make informed decisions and maximize their potential for success.
______________________________
Disclaimer: This analysis is for informational purposes only and should not be considered as investment advice. Always conduct your own research and consult with a financial professional before making any investment decisions.
BTCUSD : New ATH crash ฝั่ง Long โดนล้างมากสุดในรอบปี 5/3/2024แวะมาบันทึกเก็บไว้หน่อยนึง เพราะน่าจะถือว่าเป็น point of event ที่สำคัญ เผื่อจะได้เก็บไว้อ้างอิงได้ในอนาคตครับ
---------------------
เหตุการณ์
---------------------
- ในวันที่ 5/3/2024 BTC ทำ New ATH ใหม่ได้ ที่ 69,350 USD แต่ก็อยู่ตรงนั้นได้ไม่นาน เพราะราคาถล่มลงมาทันที และลงไปต่ำสุดถึง 59,000 USD หรือลงไปราวๆ -15% ครับ
- โดยการถล่มครั้งนี้ ทำให้ฝั่ง Long โดนล้างพอร์ต ( Liquidated ) ไปสูงสุดถึง 892M USD หรือคิดเป็นเงินไทยก็ราวๆ สามหมื่นกว่าล้านบาท
- ถ้ารวมกับฝั่ง Short ที่ก็โดนหางเลขไปด้วยอีก 291M USD ก็จะทำให้ ยอดรวมคนโดนล้างในรอบนี้ สูงถึง 1,183M USD หรือคิดเป็นเงินไทย ราวๆ สี่หมื่นสองพันล้านบาท นั่นเอง
- และ ทำให้การล้าง ( liquidation ) วันนี้ เป็นการล้างในวันเดียว ที่สูงที่สุด ตั้งแต่ผมเริ่มจดบันทึกมาด้วยครับ ( ผมเริ่มจดบันทึกยอดโดนล้างเมื่อเดือน 3/2023 ก็ครบหนึ่งปีพอดี )
---------------------
บันทึก Sentiment + Price Movement
---------------------
- รอบนี้ BTC เริ่มลากแบบไม่พัก มาตั้งแต่ตอนที่ย่อแรง แล้วกลับขึ้นมาใหม่ได้ ในช่วงต้นเดือน ก.พ. 2024 แล้วหลังจากนั้นก็ลากกันมาตลอด 1 เดือน
- โดยช่วงที่ลากโหดที่สุด ก็คือ ช่วงวันที่ 26/2 - 5/3 โดยลากขึ้นมาจาก 50k ขึ้นไป New ATH 69k (+36%) ในเวลาเพียงแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้น
- ในช่วงสัปดาห์ที่ลากขึ้น ฝั่ง short เองก็โดนล้างกันไปยับๆ ทุกวัน ถ้าดูแต่ละวันเหมือนจะไม่ค่อยเยอะ แต่พอรวมกัน 7 วันแล้วก็ไม่ใช่น้อยเลยครับ
- และช่วงนี้ ถ้าไถเฟสบุ๊ค เราก็จะเห็นเพจการลงทุน หรือเพจอื่นๆ ที่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการลงทุนเท่าไหร่ พูดถึงราคา Bitcoin กันทู้กวัน พูดง่ายๆ ก็คือ sentiment กาวจัดๆ นั่นเอง
- ยังไม่นับพวก Funding Rate / Lending Rate ที่พุ่งขึ้นไปสูงมากๆ ในหลายๆ exchange ครับ
- อ้อ fear & greed index ก็พุ่งไปสูงสุดถึง 98% เลยด้วยนะ
---------------------
Crash Analysis
---------------------
- การถล่มของราคาครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย เพราะผมเองก็เขียนบทความลงเพจ เตือนลูกเพจว่า ให้ระวังการ crash ให้ดี เพราะตั้งแต่เราขึ้นมาตลอดหลายเดือน รอบนี้เรายังไม่เจอ crash โหดๆ เลย ซึ่ง ผิดวิสัยของ Bitcoin มากๆ
- เพราะปกติ ในการขึ้นทุกครั้ง BTC จะมีการ crash อย่างรุนแรง "เสมอ" โดยความรุนแรง ให้ดูจากยอดคนที่โดนล้าง ไม่ใช่ % การลงของราคา นะครับ เนื่องจาก ในทุกวันนี้ Bitcoin มันแพร่หลายมากขึ้น คนรู้จักมากขึ้น จะมาบอกว่า การลงแรงๆ คือลงวันเดียว -30% -50% เหมือนเมื่อก่อน มันเป็นไปได้ยากมากๆ ครับ ( แต่ก็ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้นะ 555 )
- การ crash รอบนี้ จากที่ได้คุยกันมากับสหายคริปโตหลายๆ คน ก็พบว่า...
* บางคนวาง Trigger Stop เอาไว้ แต่ราคายังไม่ถึงจุด Trigger แต่ exchange ก็รวนจนกลายเป็น Trigger Sell ไปเฉยเลย
* บางคนกด market sell ปิด position แต่ราคากลับไป match ในจุดที่ต่ำกว่าราคาปัจจุบันมากๆ ทำให้เงินหายไปเยอะ
* บางคนเปิด cross mode ไว้ ทำให้ทุกเหรียญที่ซิ่งไว้ โดนล้างหมดพอร์ตฟิวเจอร์
* บางคนก็ตั้ง stop ไว้แบบลึกๆ มากๆ แต่การรูดเมื่อวานมันก็ลงมาเกี่ยว stop ไปจนหมด
ฯลฯ
- แต่สุดท้าย หลังจากมันลงไปกวาดทุกคนให้โดนล้าง มันก็เด้งกลับขึ้นมาปิดแท่ง daily ที่เหนือ ATR แถวๆ 63k ได้อีก
---------------------
Key Takeaway
---------------------
- การดู Sentiment ของตลาดผ่านสื่อต่างๆ ไว้บ้าง ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำ เพราะมันเหมือนเป็นสัญญาณเตือนให้เรายับยั้งชั่งใจ ก่อนจะไป FOMO กดซื้อไปแบบไม่มีแผน รวมถึงอาจจะช่วยให้เราตัดสินใจ take profit บางส่วน เพื่อ lock กำไร position ที่เราถือกันมาไว้บ้าง เพื่อรักษาสภาพจิตใจไม่ให้ห่อเหี่ยว เวลาราคามันทุบหนักครับ
- การใช้ leverage ช่วยในการเทรด มันอาจจะทำให้เราดูเหมือนรวยเร็ว ก็จริง แต่ในเหตุการณ์แบบเมื่อวานนี้ ก็อาจจะทำให้กำไร+ทุนที่เราหามาได้ตลอดหลายวัน หรือหลายสัปดาห์ หายวับไปในเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็ได้ครับ
- ถ้า lock กำไรออกมาแล้ว ก็ไม่ควรเอากำไรตรงนี้ไปซิ่งต่อยอด ควรเอาไปหยอดในกลยุทธอื่นๆ ที่มีความเสี่ยงต่ำมากกว่า เช่น เอาไปหยอดไว้ใน Earn ปล่อยกู้กินดอกเบี้ยแทน หรือ cash out ไปซื้อสินทรัพย์อื่นๆ ที่มี upside potential สูงครับ
---------------------
ทิ้งท้าย
---------------------
- สุดท้ายแล้ว จากที่ดูพฤติกรรมราคาของ Bitcoin และตลาดคริปโตโดยรวม มาตลอด 7 ปี.. มันก็ทำเหมือนเดิมทุกครั้งน่ะแหละ คือ มันจะลากขึ้นมาด้วยข่าวใดๆ ก่อน จนถึงจุดๆ นึงที่คนเริ่มมั่นใจว่า เดี๋ยวมันไปต่ออีกแน่ๆ เสร็จแล้ว มันก็จะไปต่อไม่ไหว แล้วก็ออกข้างกันไปเรื่อยๆ 55
- รอบนี้ ก็ไม่มีใครรู้อนาคต ว่า การล้างยับรอบนี้ คือจุดเริ่มต้นของการพักตัวยาวๆ ไปตลอดทั้งปี 2024 อีกหรือไม่ หรือจะไปต่อถึง 100k หรือแม้แต่ 1M เหมือนที่กูรูต่างๆ ได้ทำนายกันไว้
- แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่คุณควรจะเรียนรู้มาจากคนที่ดอยในปี 2021 ก็คือ.... เป็น 2 ปีกว่าที่สูญเปล่า เพราะสุดท้าย เงินที่คุณไปดอย มันก็กลับมีอยู่เท่าเดิม ( ยังไม่นับคนที่ไปตัดใจคัทลอสขายที่ก้นอีกนะ 555 )
- ดังนั้น รอบนี้ ใครที่จั่วดอยไปแล้ว รวมถึงคนที่ดอยมาจากปี 2021 ก็ขอให้วางแผนรับมือกันดีๆ นะครับ อย่าไปกาวอะไรกับข่าวมาก โดยเฉพาะไอ้ข่าวที่ชอบบอกว่า ปีนี้จะไม่เหมือนก่อน เพราะสถาบันเข้ามาแล้วผ่าน ETF ....เพราะสมัยปี 2021 เพื่อนผมมันก็เถียงกับผม และไม่ฟังผม ที่เตือนมัน เพราะมันไปเชื่อแนวคิดนี้น่ะแหละ 555