การวิเคราะห์แนวโน้ม
Pin Bar: ไม้ตายลับของเทรดเดอร์ในการอ่านแนวโน้มตลาดPin Bar เป็นหนึ่งในรูปแบบแท่งเทียนที่ทรงพลังและได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่เทรดเดอร์ เนื่องจากสามารถบ่งบอกแนวโน้มการกลับตัวของราคาหรือการยืนยันแนวโน้มได้อย่างมีนัยสำคัญ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถตัดสินใจในการเข้าหรือออกจากตลาดได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในสภาวะที่กราฟอยู่ใกล้แนวรับหรือแนวต้านสำคัญ
Pin Bar คืออะไร?
Pin Bar คือแท่งเทียนที่มีลักษณะเฉพาะ คือมีลำตัวเล็กและมีไส้ยาวมากกว่าลำตัว โดยไส้ของ Pin Bar เป็นการบ่งบอกถึงแรงซื้อหรือแรงขายที่แข็งแกร่งภายในช่วงเวลานั้น ๆ ซึ่งทำให้เกิดการกลับตัวของราคา ลักษณะสำคัญของ Pin Bar ที่ควรสังเกตคือ
ไส้ของ Pin Bar ต้องยาวกว่าลำตัวอย่างเห็นได้ชัด
ตำแหน่งของ Pin Bar ควรอยู่ในบริเวณแนวรับหรือแนวต้านที่ชัดเจน เพราะมักบ่งบอกถึงการกลับตัวหรือแนวโน้มที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง
Pin Bar สามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ Bullish Pin Bar (ขาขึ้น) และ Bearish Pin Bar (ขาลง) ซึ่งบ่งบอกถึงการกลับตัวของราคาตามแนวโน้มที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น
ประเภทของ Pin Bar
1.Bullish Pin Bar (ขาขึ้น)
Bullish Pin Bar คือแท่งเทียนที่มีลำตัวอยู่ด้านบนและไส้ยาวอยู่ด้านล่าง บ่งบอกว่าในช่วงเวลานั้นตลาดมีแรงขายอย่างหนัก แต่ในที่สุดแรงซื้อเข้ามาผลักดันราคาให้ขึ้นไปในระดับที่สูงกว่าเปิดตัว เหมาะกับการหาจังหวะซื้อหากเกิดในบริเวณแนวรับหรือบริเวณที่คาดว่าจะเกิดการกลับตัวขึ้น
2. Bearish Pin Bar (ขาลง)
Bearish Pin Bar คือแท่งเทียนที่มีลำตัวอยู่ด้านล่างและไส้ยาวอยู่ด้านบน บ่งบอกถึงแรงซื้อที่เข้ามาในช่วงแรก แต่กลับถูกแรงขายผลักดันราคาลงมา ทำให้ราคาปิดต่ำกว่าเปิด เหมาะกับการหาจังหวะขายหากเกิดในบริเวณแนวต้านหรือบริเวณที่คาดว่าจะเกิดการกลับตัวลง
การใช้ Pin Bar ในการเทรด
การนำ Pin Bar ไปใช้เทรดให้มีประสิทธิภาพนั้น เทรดเดอร์ควรพิจารณาร่วมกับการวิเคราะห์แนวรับแนวต้าน และใช้ร่วมกับเทคนิคการอ่านกราฟ Price Action อื่น ๆ เช่น การดูแนวโน้มของตลาด การวิเคราะห์ความแข็งแกร่งของแท่งเทียน และความถี่ของการเกิด Pin Bar บนกราฟ ตัวอย่างการใช้งานเช่น
การดู Pin Bar ในบริเวณแนวรับแนวต้าน
หากเกิด Bullish Pin Bar ในบริเวณแนวรับสำคัญ อาจหมายถึงการกลับตัวและเหมาะกับการเปิดคำสั่งซื้อ (Buy) ในขณะที่ Bearish Pin Bar ที่เกิดขึ้นในแนวต้านมักบ่งบอกถึงโอกาสในการขาย (Sell)
การใช้ Pin Bar ร่วมกับการดูแนวโน้มตลาด
การเทรดตามแนวโน้มเป็นอีกวิธีการที่ได้ผล การใช้ Pin Bar ที่เกิดขึ้นตามแนวโน้มตลาดหลัก จะมีความแม่นยำสูงกว่าการใช้ในการเทรดสวนทางกับแนวโน้มตลาด เช่น หากตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ควรมองหา Bullish Pin Bar ที่บ่งบอกถึงโอกาสการเข้าซื้อในราคาที่ต่ำ
ข้อดีของการใช้ Pin Bar ในการเทรด
ความง่ายในการวิเคราะห์
Pin Bar มีลักษณะที่ชัดเจนและง่ายต่อการมองเห็น โดยเฉพาะหากเกิดในบริเวณแนวรับหรือแนวต้านสำคัญ ซึ่งทำให้เทรดเดอร์สามารถวิเคราะห์และตัดสินใจได้รวดเร็ว
ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเทรด
เนื่องจาก Pin Bar บ่งบอกถึงแรงซื้อหรือแรงขายที่เข้มข้น การใช้ Pin Bar ร่วมกับการวิเคราะห์แนวรับแนวต้านช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าเทรดในจังหวะที่เหมาะสมและมีโอกาสสูงที่จะทำกำไร
เครื่องมือที่ประยุกต์ได้กับหลายตลาด
ไม่ว่าจะเป็น Forex, หุ้น, Cryptocurrency หรือแม้แต่น้ำมัน การใช้ Pin Bar ก็สามารถช่วยให้เทรดเดอร์มองเห็นจังหวะการกลับตัวและทำกำไรได้เช่นกัน
สรุป
Pin Bar เป็นเครื่องมือสำคัญที่เทรดเดอร์ควรศึกษาและฝึกฝน เพราะช่วยให้เรามองเห็นสัญญาณการกลับตัวในตลาดได้อย่างแม่นยำและใช้งานง่าย หากฝึกฝนจนเข้าใจ สามารถช่วยเสริมสร้างกลยุทธ์เทรดให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
สามเหลี่ยมสมมาตร: อัตราความสำเร็จที่แท้จริง + การฝ่าวงล้อมสามเหลี่ยมสมมาตร: อัตราความสำเร็จที่แท้จริง + การฝ่าวงล้อม
สามเหลี่ยมสมมาตรเป็นรูปแบบกราฟที่สำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งสมควรได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากเทรดเดอร์มืออาชีพ
รูปแบบนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะด้วยการบรรจบกันของราคาระหว่างเส้นแนวโน้มสองเส้น เส้นหนึ่งเป็นขาลงและอีกเส้นหนึ่งเป็นขาขึ้น ทำให้เกิดโซนการรวมตัวที่ซึ่งความชัดเจนระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย
การวิเคราะห์ทางสถิติ
ข้อมูลเชิงประจักษ์เผยให้เห็นว่าอัตราความสำเร็จของสามเหลี่ยมสมมาตรสำหรับการต่อเนื่องของแนวโน้มคือประมาณ 54% เปอร์เซ็นต์นี้ แม้จะสูงกว่า 50% แต่ก็เน้นย้ำถึงความสำคัญของแนวทางที่ระมัดระวังและการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวดในการใช้ตัวเลขนี้
เบรกพอยต์
โดยทั่วไปการทะลุของสามเหลี่ยมสมมาตรเกิดขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนที่ไปประมาณ 75% ของระยะทางถึงจุดยอด จุดนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ เนื่องจากมักจะแสดงถึงช่วงเวลาที่ความผันผวนเพิ่มขึ้นและสามารถสร้างแนวโน้มใหม่ได้
ความเสี่ยงและการออกที่ผิดพลาด
สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่ารูปสามเหลี่ยมสมมาตรมีอัตราการออกที่ผิดพลาดค่อนข้างสูง สถิติระบุว่าประมาณ 13% ของกรณีในตลาดหมีอาจส่งผลให้เกิดการออกจากจุดต่ำสุดที่ผิดพลาด ปรากฏการณ์นี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการยืนยันเพิ่มเติมก่อนเข้าสู่ตำแหน่ง
กลยุทธ์การใช้งาน
เพื่อใช้ประโยชน์จากสามเหลี่ยมสมมาตรอย่างมีประสิทธิภาพ เทรดเดอร์มืออาชีพจะต้อง:
-ระบุรูปแบบได้อย่างแม่นยำ
-รอการทะลุบริเวณใกล้จุดบรรจบกันของเส้นแนวโน้ม
-ยืนยันการทะลุผ่านตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ หรือปริมาณที่เพิ่มขึ้น
- ใช้การจัดการความเสี่ยงที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการออกที่ผิดพลาด
โดยสรุป สามเหลี่ยมสมมาตรแม้จะเป็นเครื่องมืออันมีค่าในคลังแสงของเทรดเดอร์ แต่ก็ต้องอาศัยวิธีการที่เป็นระบบและความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงคุณลักษณะของมัน เพื่อนำไปใช้อย่างมีประสิทธิผลในกลยุทธ์การซื้อขาย
Volume Profile ใน TradingView: เครื่องมือวิเคราะห์ตลาดที่สำคัญVolume Profile เป็นหนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์เชิงเทคนิคที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการเทรด โดยเฉพาะในแพลตฟอร์ม TradingView ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์สามารถมองเห็นการกระจายของปริมาณการซื้อขาย (Volume) ในราคาต่าง ๆ และวิเคราะห์จุดแข็งหรือจุดอ่อนของตลาดได้อย่างชัดเจน
Volume Profile คืออะไร?
Volume Profile เป็นเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์ตลาดผ่านการแสดงผลปริมาณการซื้อขาย (Volume) ที่เกิดขึ้นในแต่ละระดับราคา แทนที่จะเป็นการแสดง Volume ในแนวเวลาแบบกราฟทั่วไป มันแสดงในแนวระดับ (ตามแนวแกนราคา) ช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจว่าราคาที่เทรดอยู่ในช่วงไหนมีการซื้อขายมากหรือน้อย ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากในการหาจุดกลับตัว จุดแนวรับ-แนวต้าน และบ่งชี้ระดับที่ตลาดให้ความสนใจ
ประโยชน์ของ Volume Profile
ค้นหาจุดที่มีการซื้อขายสูงสุด (Point of Control – POC): จุด POC เป็นระดับราคาที่มีการซื้อขายมากที่สุดในช่วงเวลาที่กำหนด ช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจว่าราคานั้นมีความสำคัญต่อผู้เข้าร่วมตลาดเป็นพิเศษ การเทรดในระดับใกล้เคียงกับ POC อาจมีความเสี่ยงต่ำลง เนื่องจากตลาดมีความสมดุล
ระบุบริเวณที่มี Volume หนาแน่น (High Volume Nodes – HVN): พื้นที่ HVN คือบริเวณที่มีปริมาณการซื้อขายสูงมาก โดยมักจะบ่งชี้ว่าราคานั้นมีความสนใจจากทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ทำให้พื้นที่นี้มีโอกาสเป็นแนวรับ-แนวต้านที่แข็งแรง
ระบุบริเวณที่มี Volume น้อย (Low Volume Nodes – LVN): พื้นที่ LVN เป็นบริเวณที่มีปริมาณการซื้อขายน้อยกว่า มักบ่งบอกถึงจุดที่ตลาดไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก หรือมีการเทรดที่แคบลง การที่ราคาผ่านบริเวณนี้สามารถเกิดการวิ่งไปในทิศทางที่รวดเร็ว เนื่องจากไม่มีแรงซื้อมากดดัน
ช่วยในการวางแผนการเทรด: Volume Profile ช่วยให้เทรดเดอร์ระบุจุดเข้าและออกที่ดีขึ้น โดยอาศัยข้อมูลจากแนวรับและแนวต้านในช่วงเวลาที่กำหนด การใช้ Volume Profile ยังสามารถช่วยให้เทรดเดอร์ติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดและวางแผนสำหรับการเทรดแบบระยะสั้นหรือระยะยาวได้ดีขึ้น
วิธีการใช้งาน Volume Profile บน TradingView
เปิดกราฟ: เริ่มต้นด้วยการเปิดกราฟสินทรัพย์ที่ต้องการวิเคราะห์ใน TradingView
เพิ่ม Volume Profile: ไปที่เมนู “Indicators” หรือ “เครื่องมือชี้วัด” แล้วพิมพ์ “Volume Profile” จากนั้นเลือกประเภท Volume Profile ที่คุณต้องการ เช่น Visible Range ซึ่งจะวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายในกราฟที่คุณมองเห็นอยู่ หรือ Session Volume ที่แสดงการกระจายของ Volume ตามเซสชันเวลา
ตั้งค่า Volume Profile: คุณสามารถปรับแต่งการแสดงผลได้ตามต้องการ เช่น จำนวนบาร์ ความกว้างของโปรไฟล์ หรือสีของกราฟ เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์การเทรดของคุณ
ข้อสรุป
Volume Profile เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการทำความเข้าใจพฤติกรรมตลาดโดยใช้ปริมาณการซื้อขายเป็นตัวบ่งชี้ การใช้ Volume Profile ช่วยให้เทรดเดอร์ระบุจุดสำคัญในการตัดสินใจเข้าและออกจากตลาดได้แม่นยำยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยในการหาความสมดุลของตลาดและวางแผนการเทรดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
บนแพลตฟอร์ม TradingView Volume Profile เป็นเครื่องมือที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายและปรับแต่งได้ตามความต้องการ ทำให้เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่เทรดเดอร์ทุกคนควรพิจารณาใช้ในกลยุทธ์การเทรดของตนเอง
SMC + AOแนวทางการเทรด
เครื่องมือ
1. โครงสร้างราคา
2. AO
ขาขึ้น
1.จุดกลับตัว จาก ขาลงเป็น ขาขึ้น
1.1 AO อยู่โซนลบ
1.2 โครงสร้างราคาเกิดการทำลายโครงสร้าง
1.3 AO กลับตัวเป็น +
1.4 limit order ตรง Choch
1.5 RR 1:2
2. รันเทรน
2.1 AO +
2.2 รอ Bos
2.3 limit order ตรง Bos
2.4 RR 1:1
3.Scalping
3.1 AO +
3.2 รอ จบแท่ง HTF
3.3 ที่ LTF ใช้หลักการใน ข้อ 1,2 ในการเทรด ตามโครงสร้างที่ทำไว้ใน แท่ง HTF
3.4 RR 1:2
Fibonacci Extension ในการเทรด Forex และวิธีใช้งานในการเทรด Forex นักเทรดมักจะใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มของราคา หนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมมากคือ Fibonacci Extension ซึ่งช่วยในการคาดการณ์ระดับราคาที่เป็นไปได้ของแนวโน้ม โดยใช้ทฤษฎีเลข Fibonacci ที่มีความเกี่ยวข้องกับธรรมชาติและคณิตศาสตร์ การใช้งาน Fibonacci Extension ในการเทรด Forex สามารถช่วยให้นักเทรดคาดการณ์แนวต้านและแนวรับที่เป็นไปได้หลังจากที่ราคามีการเบรคจากแนวโน้มเดิม
Fibonacci Extension คืออะไร?
Fibonacci Extension คือเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้คาดการณ์ระดับราคาในอนาคต โดยอิงจากการเคลื่อนไหวของราคาก่อนหน้า และใช้ตัวเลขอัตราส่วน Fibonacci เช่น 127.2%, 161.8%, และ 261.8% ตัวเลขเหล่านี้ถูกใช้เพื่อคาดการณ์แนวรับและแนวต้านของการเคลื่อนไหวของราคา เมื่อราคามีการขยับไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
ตัวเลข Fibonacci เกิดจากลำดับ Fibonacci ซึ่งเป็นลำดับตัวเลขที่แต่ละตัวเลขจะเท่ากับผลบวกของสองตัวเลขก่อนหน้า (เช่น 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13 เป็นต้น) เมื่อเราหาอัตราส่วนระหว่างตัวเลขในลำดับ Fibonacci ก็จะได้ค่าเช่น 0.618, 1.618, และอื่น ๆ ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่มักใช้ในการคาดการณ์แนวโน้มของตลาด
วิธีใช้งาน Fibonacci Extension
ในการเทรด Forex
ในการใช้งาน Fibonacci Extension นักเทรดจะต้องทำตามขั้นตอนเหล่านี้:
เลือกแนวโน้มหลัก: เริ่มต้นด้วยการหาจุดที่เป็นแนวโน้มหลัก โดยมองหาการเคลื่อนไหวของราคาที่ชัดเจนว่ามีการปรับตัวขึ้นหรือลงจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่ราคามีการปรับตัวขึ้น ให้หา “Swing Low” (จุดต่ำสุด) และ “Swing High” (จุดสูงสุด) ของแนวโน้ม
วาด Fibonacci Extension: ใช้เครื่องมือ Fibonacci Extension จากแพลตฟอร์มการเทรด (เช่น MetaTrader หรือ TradingView) โดยลากจากจุด Swing Low ไปยังจุด Swing High หลังจากนั้น ให้ลากไปยังจุด Swing Low ที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ (จุดพักตัวของราคาหลังจากแนวโน้มเดิม)
สังเกตระดับ Fibonacci: ระบบจะคำนวณระดับ Fibonacci Extension เช่น 127.2%, 161.8%, และ 261.8% ซึ่งเป็นจุดที่ราคาอาจไปถึงเมื่อแนวโน้มมีการขยายตัวต่อไป ข้อมูลนี้สามารถใช้ในการคาดการณ์จุดออกหรือวางแผนกลยุทธ์การเทรด เช่น การตั้งจุด Take Profit
ตรวจสอบสัญญาณยืนยัน: แม้ว่า Fibonacci Extension จะช่วยในการคาดการณ์ระดับราคาในอนาคต แต่ก็ควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อยืนยัน เช่น Moving Average หรือ MACD เพื่อช่วยในการตัดสินใจอย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
การประยุกต์ใช้ในกลยุทธ์การเทรด
การตั้งเป้าหมายกำไร: Fibonacci Extension ใช้เพื่อคาดการณ์ระดับราคาที่ราคาอาจไปถึงในอนาคต ทำให้นักเทรดสามารถตั้งเป้าหมายกำไรได้จากระดับต่าง ๆ เช่น 127.2% หรือ 161.8%
การใช้ร่วมกับการ Breakout: เมื่อราคาทะลุแนวต้านหรือแนวรับสำคัญ Fibonacci Extension สามารถใช้เพื่อคาดการณ์แนวต้านถัดไปของราคา นักเทรดสามารถใช้ระดับต่าง ๆ ของ Fibonacci Extension เพื่อหาจุดที่เหมาะสมในการเปิดและปิดคำสั่งซื้อขาย
การยืนยันทิศทางตลาด: หากราคามีการปรับตัวถึงระดับ Fibonacci Extension ที่สำคัญ เช่น 161.8% และยังคงมีการเคลื่อนไหวต่อไป อาจเป็นสัญญาณว่าตลาดมีแนวโน้มที่แข็งแรง ซึ่งสามารถใช้เพื่อยืนยันการเข้าสู่ตลาดหรือการถือสถานะต่อไป
ข้อควรระวังในการใช้ Fibonacci Extension
ไม่ควรใช้เดี่ยวๆ: Fibonacci Extension ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่น ๆ เพื่อให้การคาดการณ์แม่นยำยิ่งขึ้น
การคาดการณ์ไม่แม่นยำเสมอไป: แม้ Fibonacci Extension จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวางแผนการเทรด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องเสมอไป ราคามักมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะในตลาด Forex
ควรทดลองในบัญชีจำลองก่อน: สำหรับนักเทรดมือใหม่ ควรลองใช้ Fibonacci Extension ในบัญชีจำลองเพื่อทำความเข้าใจและทดสอบก่อนนำไปใช้ในการเทรดจริง
สรุป
Fibonacci Extension เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการคาดการณ์ระดับราคาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตของตลาด Forex โดยอิงจากทฤษฎีของเลข Fibonacci การใช้เครื่องมือนี้อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้นักเทรดสามารถวางแผนการเทรดได้อย่างชาญฉลาดขึ้น แต่การใช้งานควรทำร่วมกับเครื่องมือทางเทคนิคอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์
ค่า Swap ในการเทรด Forex คืออะไร? และวิธีคำนวณค่า Swap ในการเทรด Forex: คืออะไรและทำงานอย่างไร
ในโลกของการเทรด Forex มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการเทรดของนักลงทุน หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่นักเทรดควรรู้คือ ค่า Swap ซึ่งอาจส่งผลต่อกำไรหรือขาดทุนของการเทรดได้อย่างมีนัยสำคัญ
ค่า Swap คืออะไร?
ค่า Swap (หรือบางครั้งเรียกว่า ค่า Roll-over) เป็นค่าธรรมเนียมที่คิดเมื่อผู้เทรดยังคงเปิดออเดอร์ข้ามคืน (overnight) โดย Swap จะเกิดขึ้นจากความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงินในคู่เงินที่เราเทรด เช่น หากคุณเทรดคู่เงิน EUR/USD และอัตราดอกเบี้ยของ EUR ต่างจาก USD ความแตกต่างนี้จะส่งผลให้เกิดการจ่ายหรือได้รับค่า Swap ตามเงื่อนไขของตลาดและโบรกเกอร์
ทำไมจึงเกิดค่า Swap?
ในแต่ละสกุลเงิน จะมีอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดโดยธนาคารกลางของประเทศนั้น ๆ เมื่อเราทำการซื้อขายคู่เงิน (Currency Pair) หมายความว่าเรากำลังยืมเงินสกุลหนึ่งเพื่อแลกเปลี่ยนกับอีกสกุลเงินหนึ่ง อัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ยืมและที่ถือครองจึงมีผลในการคำนวณค่า Swap
ตัวอย่างเช่น:
หากคุณซื้อคู่เงิน EUR/USD หมายความว่าคุณซื้อ EUR และขาย USD
หากอัตราดอกเบี้ยของ EUR สูงกว่า USD คุณอาจได้รับค่า Swap เมื่อถือออเดอร์ข้ามคืน
แต่หากอัตราดอกเบี้ยของ EUR ต่ำกว่า USD คุณจะต้องจ่ายค่า Swap
ประเภทของค่า Swap
ค่า Swap มีสองประเภทหลัก:
1.Positive Swap (ค่า Swap บวก) – เป็นการได้รับค่า Swap เมื่ออัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ซื้อสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ขาย
2.Negative Swap (ค่า Swap ลบ) – เป็นการจ่ายค่า Swap เมื่ออัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ขายสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ซื้อ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่า Swap
อัตราดอกเบี้ย – อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางของแต่ละประเทศเป็นตัวกำหนดหลัก
สถานการณ์ตลาด – บางครั้งความผันผวนของตลาดอาจส่งผลต่อค่า Swap
ประเภทบัญชีเทรด – โบรกเกอร์แต่ละแห่งอาจมีนโยบายค่า Swap ที่แตกต่างกัน
ปริมาณการเทรด – ปริมาณที่คุณเปิดออเดอร์อยู่จะมีผลต่อค่า Swap ที่ต้องจ่ายหรือได้รับ
วันที่ Roll-over – บางช่วงเวลา เช่น การปิดตลาดวันหยุด ค่า Swap อาจถูกคำนวณเป็นหลายเท่าของวันปกติ
การคำนวณค่า Swap
การคำนวณค่า Swap ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์ที่คุณใช้งาน โดยทั่วไป โบรกเกอร์จะคำนวณ Swap เป็นจุด (pip) หรือเป็นเปอร์เซ็นต์จากขนาดออเดอร์ที่เปิด โดยสามารถตรวจสอบรายละเอียดจากแพลตฟอร์มการเทรดที่ใช้งานได้
ค่า Swap ในการเทรด Forex: คืออะไรและทำงานอย่างไร
ในโลกของการเทรด Forex มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการเทรดของนักลงทุน หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่นักเทรดควรรู้คือ ค่า Swap ซึ่งอาจส่งผลต่อกำไรหรือขาดทุนของการเทรดได้อย่างมีนัยสำคัญ
ค่า Swap คืออะไร?
ค่า Swap (หรือบางครั้งเรียกว่า ค่า Roll-over) เป็นค่าธรรมเนียมที่คิดเมื่อผู้เทรดยังคงเปิดออเดอร์ข้ามคืน (overnight) โดย Swap จะเกิดขึ้นจากความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงินในคู่เงินที่เราเทรด เช่น หากคุณเทรดคู่เงิน EUR/USD และอัตราดอกเบี้ยของ EUR ต่างจาก USD ความแตกต่างนี้จะส่งผลให้เกิดการจ่ายหรือได้รับค่า Swap ตามเงื่อนไขของตลาดและโบรกเกอร์
ทำไมจึงเกิดค่า Swap?
ในแต่ละสกุลเงิน จะมีอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดโดยธนาคารกลางของประเทศนั้น ๆ เมื่อเราทำการซื้อขายคู่เงิน (Currency Pair) หมายความว่าเรากำลังยืมเงินสกุลหนึ่งเพื่อแลกเปลี่ยนกับอีกสกุลเงินหนึ่ง อัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ยืมและที่ถือครองจึงมีผลในการคำนวณค่า Swap
ตัวอย่างเช่น:
หากคุณซื้อคู่เงิน EUR/USD หมายความว่าคุณซื้อ EUR และขาย USD
หากอัตราดอกเบี้ยของ EUR สูงกว่า USD คุณอาจได้รับค่า Swap เมื่อถือออเดอร์ข้ามคืน
แต่หากอัตราดอกเบี้ยของ EUR ต่ำกว่า USD คุณจะต้องจ่ายค่า Swap
ประเภทของค่า Swap
ค่า Swap มีสองประเภทหลัก:
Positive Swap (ค่า Swap บวก) – เป็นการได้รับค่า Swap เมื่ออัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ซื้อสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ขาย
Negative Swap (ค่า Swap ลบ) – เป็นการจ่ายค่า Swap เมื่ออัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ขายสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ซื้อ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่า Swap
อัตราดอกเบี้ย – อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางของแต่ละประเทศเป็นตัวกำหนดหลัก
สถานการณ์ตลาด – บางครั้งความผันผวนของตลาดอาจส่งผลต่อค่า Swap
ประเภทบัญชีเทรด – โบรกเกอร์แต่ละแห่งอาจมีนโยบายค่า Swap ที่แตกต่างกัน
ปริมาณการเทรด – ปริมาณที่คุณเปิดออเดอร์อยู่จะมีผลต่อค่า Swap ที่ต้องจ่ายหรือได้รับ
วันที่ Roll-over – บางช่วงเวลา เช่น การปิดตลาดวันหยุด ค่า Swap อาจถูกคำนวณเป็นหลายเท่าของวันปกติ
การคำนวณค่า Swap
การคำนวณค่า Swap ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์ที่คุณใช้งาน โดยทั่วไป โบรกเกอร์จะคำนวณ Swap เป็นจุด (pip) หรือเป็นเปอร์เซ็นต์จากขนาดออเดอร์ที่เปิด โดยสามารถตรวจสอบรายละเอียดจากแพลตฟอร์มการเทรดที่ใช้งานได้
ตัวอย่างการคำนวณค่า Swap:
หากคุณเทรดคู่เงิน EUR/USD ขนาด 1 ล็อต (100,000 หน่วย)
อัตราดอกเบี้ย EUR คือ 0.5% และ USD คือ 2.5%
ค่า Swap จะถูกคำนวณจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยคูณกับขนาดออเดอร์ที่ถือครอง
การหลีกเลี่ยงค่า Swap
สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการจ่ายค่า Swap บางโบรกเกอร์มีบัญชีแบบ Swap-free หรือบัญชีที่ไม่มีการคิดค่า Swap ซึ่งบัญชีเหล่านี้มักถูกออกแบบสำหรับนักลงทุนที่มีความเชื่อทางศาสนา (เช่น ชาวมุสลิม) หรือผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงค่า Swap จากการถือออเดอร์ข้ามคืน
ข้อดีและข้อเสียของค่า Swap
ข้อดี:
หากคุณถือออเดอร์ข้ามคืนในสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า คุณอาจได้รับผลประโยชน์จากค่า Swap บวก
ข้อเสีย:
ค่า Swap ลบอาจทำให้คุณเสียเงินเพิ่มเติมหากคุณถือออเดอร์ข้ามคืนในคู่เงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า
สรุป
ค่า Swap เป็นองค์ประกอบสำคัญที่นักเทรดควรคำนึงถึงในการเปิดสถานะข้ามคืน การรู้จักและเข้าใจการคำนวณค่า Swap จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการเทรดและจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ฝึกวิเคราะห์กราฟเพื่อหาจุดเข้าซื้อให้ละเอียดแม่นยำยิ่งๆขึ้นไปแนวโน้มกรอบเล็กมองSIDEWAYเวลาเทรดต้องฝืนถึงแม้สัญญาณบอกให้BUYอย่าBUYเพราะถ้าเข้าแล้วโดนลากไปSELLทางที่ดีมองหาPA SELL TF เล็กๆดีกว่า แต่อย่าลืมหน้าBUYแข็งแรงกว่าเสมอการลงก็ไม่ใช่ว่าจะกลับไปหาจุดรับเดิมได้เขาอาจไปได้100-200จุดแล้วก็ไปตามพี่ใหญ่ฉะนั้นแผนการเทรเแต่ล่ะวันอย่าไปหวังว่าจะไปได้ไกล
ฝึกวิเคราะห์กราฟเพื่อหาจุดเข้าซื้อให้ละเอียดแม่นยำยิ่งๆขึ้นไปใช้ชุดวิเคราะห์Wแล้วย่อD1มองแนวโน้มของD1แล้วบบีบกรอบสนามรบให้แคบลงให้ศ้ตรูวิ่งเข้ามาในแผนเราแล้วรอคอยใดยเตรียมหัวหมู่ทะลวงฟันเตรียมเข้าไปกำจัดศัตรูด้วยอาวุธหนักเก็บศัตรูให้ได้มากสุดแล้วรีบออกจากสนามรบทันทีโดยย่อหาจุดเข้าทำลายด้วยกรอบสนามที่แคบลงเพื่อให้กำหนดความศูนย์เสียที่น้อยลงโดยกำหนดความศูนย์เสียกำลังพลครั้งนี้ไว้ที่1:1เป็นอย่างน้อย
วิเคราะห์โอกาสหมดตัว ด้วย money and Time FrameCredit :ส่วนนึงนำมาจากช่อง cwayinvestment ยูทูป
- IM ของ S50 futures คือ 6860 บาท ต่อ 1 สัญญา
หมายความว่า ถ้าวางเงิน 6860 บาท แล้วเรามองว่าน่า Short ถ้าตลาด ลงจริง เราก็ได้ pay off ต้องมากกว่า 1 จุดเพราะ ว่าหักค่า comm ถึงได้กำไรเช่น 920 ลงมา 919 ยังไม่ได้กำไร จะได้กำไรต่อเมื่อต่ำกว่า 919
- ถ้าตลาดไปผิดทางที่เราคาล่ะ ก็จะขาดทุน จนถึง MM ก็ต้องเอาเงินมาเติมให้ครบ IM เช่น MM อยู่ที่ 3440 แล้ว พอร์ทเราต่ำกว่า MM เราควรนำเงินมาเติมให้กลับไปที่ IM เพื่อความปลอดภัยไม่ถูกปิดสัญญา
- จากบทวามข้างต้น การวางเงิน ที่ IM ไม่ฉลาด เพราะ พอร์ตไม่มั่นคง ทำให่อารมณ์เราไม่มั่นคง อ่อนไหวง่ายเมื่อตลาดผิดทาง
- Professional เขาจะวางมากกว่า ปรมะณ 3 เท่าหรือต่ำกว่า เพื่อกันราคาสะบัด ลองคิดดูว่าวันนึงสะบัดไป 50 จุดแล้วเราผิดทางทั้ง 50 จุด หมายความว่า เราขาด 10,000 ต่อหนึ่งสัญญา
- มูลค่าของ Set50 นำตัวคูณ 200 มา คูณราคาปัจจุบัน สมมติว่า 900 จุด แสดงว่า Set50มีมูลค่า 180,000 บาท เราวางเิงน 180,000 บาทต่อ 1 สัญญา ความเสี่ยงในการโดนราคาสะบัดจะหายไปทันทีเพราะ ไม่มีทางสะบัดเหลือ 0
- Timeframe มาเกี่ยวอะไร เราให้ TF เพื่อดูการสะบัดของราคา ถ้าเราวางเงินเยอะ เราสามารถใช้ TF ใหญ่ได้ลดความผันผวนทางอารมณ์ สำหรับขา Long
- แต่ถ้าเราวางต่ำมาก ๆ แล้วเรายังไม่คุ้นกับนิสัย S50 แฟนของเรา ซึ่งอารมณ์ขึ้นๆลงๆ เราจะเสี่ยงมากในการ ปิดๆเปิดๆ สัญญา แล้วค่า comm ก็จะเสียไป สรุปเดือนนึง ค่า comm แพงกว่าขาดทุนจาก futures
ฝึกวิเคราะห์กราฟเพื่อหาจุดเข้าซื้อให้ละเอียดแม่นยำยิ่งๆขึ้นไปเทรดรายวันบีบกรอบให้แคบทำแบบเดิมย่อทำเฟรมเล็กอยากเก็บไว้ก็ยิ่งย่อเล็กลงได้ถึง m5 แต่ก็อย่างว่า m5 ก็ 150 จุดก็หรูแล้วอย่าไปเก็บมากกว่านั้นอยากจะเก็บขึ้นมาเยอะหน่อยก็เอ็ม 15 แต่ทั้งหมดนี้ก็ใช้เวลาจบไม่เกิน 20 นาทีถึง 2 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้นแต่ก็ไม่เกิน 1 วันแต่ทุกอย่างต้องทดสอบระบบทำซ้ำๆทำแบบเดิมแล้วมันใช่ถึงค่อยมั่นใจทำแล้วไม่ใช่ชนเส้นที่ตีแนวรับต้านเอาไว้แล้วมันยังทะลุอยู่ก็คือไม่ใช่ก็ต้องตีใหม่หาจุดเข้าใหม่หาจุดแนวรับแนวต้านใหม่หาสัญญาณกันแสดงตัวของกราฟใหม่จนกว่าจะใช่แล้วใช้วิธีเดิมมาพัฒนาปรับปรุง
ฝึกวิเคราะห์กราฟเพื่อหาจุดเข้าซื้อให้ละเอียดแม่นยำยิ่งๆขึ้นไปใครจะได้เห็นกราฟที่ไล่ทำให้แบบนี้ไปก็โชคดีนะครับมือใหม่นี้โคตรโชคดีเลยเพราะว่าสิ่งที่ทำนี่มันคือการฝึกมาตลอดเป็นเวลานานมากทำซ้ำๆทำบ่อยๆเฝ้ากราฟไปเลย
อย่าบอกว่าไม่ต้องเฝ้ามือใหม่ต้องเฝ้ามือเก่าแล้วไม่ต้องเฝ้า
มือใหม่ไม่ชำนาญพฤติกรรมกราฟแต่ละตัวมันไม่เหมือนกันการวิ่งมันไม่เหมือนกันเลย
อาจจะมีความใกล้เคียงใช่แต่ข้างในมันไม่ใช่ไม่ใช่เลย
เพราะฉะนั้นเทรดคู่ไหนเอาคู่นั้น เอาให้เทรดแล้วได้ตังค์ก็พอไม่ต้องไปคิดว่าจังหวะไม่มาไปหาคู่ใหม่
ไม่ต้องไปคิดเอาคู่เดียวนี่แหละ ส่วนคู่อื่นถ้าอยากจะเอาให้ได้ก็ต้องไปฝึก demo ลดไซส์น้อยๆแล้วก็เข้าเทรดในหน้าทำเฟรมที่ใหญ่หน่อย จะได้ไม่ต้องเข้ามาดูบ่อยๆแล้วก็ดูว่ามันเข้าแผนไหม ถ้าใช่มันก็จบแค่นั้นแหละ
ฝึกบ่อยๆซ้ำๆภาพที่เห็นอยู่ในจอนี้ถ้าได้เห็นไปก็โชคดีเอาไปทำได้ทุกคู่ทุกหุ้นทุกตลาดในโลกที่สำคัญต้องฝึกบ่อยๆซ้ำๆ
ฝึกแล้วก็อย่าเอาไปเป็นไลค์โค้ชสอนเก็บตังค์คนอื่นเขาด้วยนะครับ
มันไม่มีจรรยาบรรณคุณได้ของฟรีคุณก็ต้องช่วยเหลือคนอื่นฟรีด้วย
คิดให้ดีอย่าคิดชั่วฉลาดแกมโกง