Stocks!
SET INDEX บ้างมาลองนับกราฟ SET INDEX บ้าง
ในประเทศไทยส่วนใหญ่จะใช้ตำราของ Robert Prechter มากกว่าครับทำให้เกิดการถกเถียงกัน แต่โดยส่วนตัวผมว่าของ
Glen Neely ร่วมสมัยกว่าและใช้เทรดได้จริงมากกว่าตำรา Elliott Wave Principle เพราะทาง Glen Neely research
และวิจัยใหม่หมด ของ Elliott Wave Principle ซึ่งยึดหลัก Elliott Wave ดั่งเดิมซึ่งล้าหลังไปมากแล้วเพราะ Ralph Nelson Elliott
คิดค้นมาเมื่อต้นทศวรรษ 1930 ก็เกือบร้อยปีที่แล้ว ซึ่งตลาดสมัยนี้ก็ไม่เหมือนสมัยก่อนมีอนุพันธ์ ผลิตภัณฑ์การลงทุนมากมายมากมาย การมาปรับใช้ก็ยากมากครับ
ค่อนข้างคลุมเครือ จนนักลงทุนหลายคนค่อนขอดว่า อีเดียดเวฟบ้าง นับมั่วบ้างไม่จริงไม่แม่นบ้าง เพราะมันไม่ค่อยมีกฏตายตัวให้ศึกษาเท่าไร Mastering Elliott Wave
ของ Glen Neely จึงตอบโจทย์มากกว่าที่จะนำไปใช้เทรดได้จริง โดยไม่ต้องพึ่งอินดิเคเตอร์อะไรเลย ดูแต่แท่งเทียนเพียงอย่างเดียว!!!
โดยถ้านับตามตำราของค่าย Elliott Wave International ก็นับเป็นแบบเป็น Impulse ตอนนี้ก็เป็นคลื่นที่ 5 การปรับฐานก็จะจบที่ 1220 ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของคลื่นที่4
****************************************************************
แต่ตามตำราของที่ผมศึกษารูปแบบนี้มันเป็น Terminal Impulse.
รูปภาพในตำราประกอบ
www.facebook.com
โดยที่คลื่น 5 มีโอกาส False break ตามตำราบอกว่า Least likely occurrence
บอกว่ามีโอกาสเกิดขึ้นน้อยครับ แต่ก็เกิดขึ้นได้ต้องระวังเพราะคลื่น 5 สุดท้ายมีโอกาสจะเป็น Terminal Impulse.
นั้นหมายถึงเมื่อจบรูปแบบจะจบลงไปที่ wave-4 แต่ wave-4 มันนับกันคนละที่กัน เพราะที่ตำราของ Robert Prechter
มันจะจบที่คลื่น 4 ที่1220 แต่ตำราของ Glen Neely จะนับเป็นคลื่น 2 ย่อยของ Terminal Impulse แต่คลื่น 4 อยู่ที่ 380 จุดครับ
เพราะในตำราบอกว่าการจบ Terminal Impulse คือปรับฐานไปที่จุดเริ่มต้นของคลื่น 1 ของ Terminal Impulse
กฏของคลื่นแรงส่งครั้งสุดท้าย Terminal pattern เส้นเทรนไลน์ wave-2 กับ wave-4) มันจะโดนทำลายหลายครั้งก่อนที่รูปแบบจะจบ
the pattern terminates.
*****************************************************************
เป้าหมายในตำราก็บอกว่า Minimum retracement of Terminal 100% ระยะเวลาคือน้อยกว่า 50%ของการขึ้นทั้งหมด โดยทั่วไปใช้เวลาแค่ 25%
The market action after a Terminal Lmpulse must retrace the entire pattern in 50% or less
of the time consumed by the Terminal pattern. Usually all that is required is 25% of the
time give or take a few percentage points. A terminal pattern always completes a larger
formation and the high or low it creates should hold for approximately twice the time
period (or more) covered by the Terminal.If the Terminal is the 5th wave of an Impulse
pattern,usually the larger. Impulse pattern will also be completely retraced.
*****************************************************************
Market Focus:GPSCMarket Focus:GPSC
บล.ส่วนใหญ่แนะซื้อ เพราะ สำหรับธุรกิจที่คาดว่าจะเป็น S-curve ให้กับ GPSC ได้แก่ ธุรกิจแบตเตอรี่ การกักเก็บพลังงาน (ESS) และบริหารจัดการพลังงาน
(Energy Solution Provider) พร้อมคาดผลประกอบการบราๆ แต่คู่แข่งที่น่ากลัวคือจีน เพราะรัฐบาลจีนประกาศความสำเร็จของโครงการวิจัยกระบวน
การผลิตลิเธียมแบบต้นทุนต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ คาดเป็นจุดเปลี่ยนในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลกเพราะเทคนิกการผลิตนี้จะถูกส่งไปใช้จริงในหลายโรงงาน
สำนักข่าวเซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ของจีน รายงานว่าโครงการวิจัยของรัฐบาลแดนมังกรสามารถพัฒนาเทคนิคการขุดและการสกัดลิเทียมแบบใหม่ ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยในการขุด
และการผลิตลิเธียมสำหรับใช้ในแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าลดลงเหลือ 15,000 หยวนต่อตัน หรือประมาณ 2,180 เหรียญสหรัฐเท่านั้น (ราว 68,900 บาท) ถือเป็นระดับต่ำสุดเป็น
ประวัติการณ์ เมื่อเทียบกับราคาลิเธียมในภาคการส่งออกที่มีต้นทุนระหว่าง 13,000 ถึง 22,000 เหรียญสหรัฐต่อตัน
ในทางเทคนิค
วิเคราะห์แบบเต็ม
www. facebook .com/Elliott-wave-thailand-107128407358732
อัพเดต DJI Index ปรับฐานเท่าไร ? ที่ดูไว้เมื่อวันที่ 6 สิงหาคมอัพเดต DJI Index ปรับฐานเท่าไร ? ที่ดูไว้เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม
Terminal Impulsion (3-3-3-3-3) This is the crisis.The greatest crisis in the history of mankind.
ถ้าตำราของ Robert Prechter ก็จะเรียกว่า Ending Diagonal แต่ก็ไม่ได้อธิบายรายละเอียดเท่าไร ถ้าของอีกค่ายจะอธิบายค่อยข้างละเอียดว่ามากกกกกกก
วิเคราะห์แบบเต็ม
www.facebook.com
STARK (TH0914)ชาร์ตนี้ ไม่แนะนำเทรด
แต่ตัวนี้ผมเทรดเหตุเพราะ ทรงคล้ายหุ้นปั่นหลายรอบเจ้ามือมีของ
ทรงกราฟอยู่ในกรอบ ลงมาในแนวรับที่สวย พร้อมจะขึ้นได้เมื่อเก็บของครบ
เป้าตามชาร์ต
ตัวนี้ตอนนี้อันตรายโดนแขวน T1
แต่หากดูจากสื่อที่เพิ่งสาธยายประวัติ กรรมการก็น่าสนใจ
ดูวิสัยทัศน์การทำธุรกิจก็มีแนวโน้มสดใส
( links )
แต่งบยังขาดทุนอยู่
ดีอย่างคือราคาถูกอยู่
หากจะ Bet ก็ต้องคุม sl หากต่ำกว่า 1.7 ลงมาหลุดแนวก็ต้องกระโดดหนีออก
AEONTS ชาร์ตทรงน่าศึกษา (TH0910)ตอนนี้กำลังย่อตัว ก่อนอีกสักระยะ น่าจะลงมาฟอร์มระดับ 191 ขั้นต่ำ
หากหลุด channel แบบเลวร้ายสุด ก็ 141
ตัวนี้หากจบการย่อตัว น่าจะดีดไปได้ถึง 300+
ตั้งค่าเตือนช่วง 145 หากมาแตะก็เตรียมตัว
หรือหากจบการย่อตัวเร็วกว่าคาดก็ตั้งค่าหากเกิน ยอดเดิม ( 238 ) ก็เตรียม buy on dip ต่อ
STEC ทยอยเข้าซื้อตอนย่อตัว ( TH0908 )ระดับสัปดาห์ ฟอร์ม Bullsih pennant
จุดตัดขาดทุน 17.9
หากฟอร์มสำเร็จราคากระโดดไปได้ มากกว่า 50 %
ตามชาร์ต
อัพเดต NASDAQ ที่เคยดูไว้เมื่อ 28 กันยายน 2018อัพเดต NASDAQ ที่เคยดูไว้เมื่อ 28 กันยายน 2018
จอร์จ ดับเบิลยู บุช สร้างหนี้ไป 10 ล้านทริลเลียน โอบามา มาจาก 10 ไปเป็น 20
ตอนนี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวเลขหนี้อยู่ที่ 22 ล้านล้านดอลลาร์
แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตเร็วกว่าที่เคยเป็น แต่ตัวเลขโตจากการสร้างหนี้
เฟดต้องสร้างหนี้3 ดอลลาร์เพื่อจะให้เศรษฐกิจ โต 1 ดอลลาร์ การขาดดุลงบประมาณก็เพิ่มขึ้นอีก 17%
เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี 2012 สุดท้ายธนาคารกลางสหรัฐ ก็ต้องลดดอกเบี้ยให้เหลือ 0 และทำ QE
เพื่อที่จะใช้ดอกเบี้ยจากหนี้ 22 ล้านทริลเลียน
การที่เฟดจากสร้างหนี้ได้ต้องมีฐานภาษีจากคนอเมริกามาหนุนหลังซึ่งตอนนี้ก็เต็มซิลลิงหมดแล้ว
ซึ่งถ้าก่อหนี้เพิ่มอเมริกาจะไม่มีภาษีพอจะมาจ่ายดอกเบี้ยหนี้ที่ก่อก้อนใหม่
และการสร้างเดฟ คอมเพล็กซ์จากบริษัทในตลาดหุ้น ที่ได้เงินดอลลาร์ง่ายๆจากเฟดไปขอกู้มาลงทุนในต่างประเทศทั่วโลก
ไปสร้างบริษัทลูกในประเทศนั้นๆและก็ขอกู้ในประเทศที่ตัวเองไปลงทุนอีก กระแสเงินสดในบริษํทก็เกิดจากการขอกู้แล้วใส่เข้าเป็นไปทุน
แล้วก็เอาหุ้นนั้นแหละเข้าไปเป็นหลักประกันการขอกู้ ยิ่งหุ้นขึ้นหลักประกันก็เพิ่มมากขึ้นก็กู้ได้มากขึ้น ถ้าเกิดตลาดเกิดการปรับตัวลงมาต่ำกว่าหลักประกัน
จะเกิดการเรียกเงินสดเข้ามาเติม ในอัตรามหาศาล และธนาคารจะเกิดหนี้ที่เรียกเก็บไม่ได้ จะเกิดผลกระทบสถาบันการเงินทั่วโลก
กระทบตลาดตราสารหนี้ ตลาดหุ้นจึงเกิดการประคองไม่ให้ลง ทำอย่างไรไม่ให้ลงก็ต้องลดดอกเบี้ยให้เหลือ 0 หรือ ติดลบ และ พิมพ์เงินมาเติม
แต่เงินก็จะล้นและเสื่อมค่าเพราะมันเยอะเกินไป
อัพเดต set index ที่เคยดูไว้เมื่อ 16 ธันวาคม 2018 อัพเดต SET:SET ที่เคยดูไว้เมื่อ 16 ธันวาคม 2018
ยังงงๆว่าจะ label เป็น 1st Extension หรือจะ Label เป็น
ABCDE ในแบบ triangle pattern ดี เพราะจะเป็น1st Extension
Subdivided ต้อง complex ที่สุดเมื่อเทียบในสาม Segments
หนังสือใช้คำว่า wave-1 will be the Subdivided wave the most
complex of the three thrust sements
ในความเห็นค่อนมาทาง 1st Extension มากกว่าเพราะจะได้ไม่งง
แต่ก็ไม่ใช่ประเด็น เพราะรูปแบบสำคัญคือ Terminal Impulse
การที่จะเป็น Terminal Impulse ก็คือ Overlap Rule ซึ่งจะเป็นตัวแยกแยะรูปแบบ
ของ Impulsion ด้วยรูปแบบ Terminal Impulse ซึ่งผลค่อนข้างรุนแรงเพราะเมื่อจบ
รูปแบบแล้วราคาจะ Completely Retraced ของ segment ที่ขึ้นมาทั้งหมด
ภายในเวลาน้อยกว่า 50% ที่ใช้ในการเกิด Terminal Impulse นั้นๆ
โดยทั่วไปพบว่าเวลาที่จำเป็นต้องใช้คือไม่น้อยกว่า 25% เท่านั้น ในกราฟ set จะ Completely
Retraced ก็ประมาณปลายๆปี 2023 จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้
DJI Mid-termดาวโจนส์ปรับตัวอยู่ในกรอบ 26696 - 25222 จุด โดยการปรับตัวลงมาราคายังอยู่ที่บริเวณแนวรับของกรอบ Sideway ล่าสุดก่อนปิดสัปดาห์มีการปรับตัวขึ้นมาเล็กน้อยจะการปรับตัวลงของ Dollar index
นอกจากนี้การปรับตัวลงมา ยังทำให้เกิด Hidden Bullish Divergecne ซึ่งบ่งบอกถึงความอ่อนแรงของการปรับตัวลง ซึ่งบ่งบอกว่าในสัปดาห์หน้า ราคาอาจจะมีการปรับขึ้นไปทดสอบแนวต้านของกรอบ Sideway ได้อีกครั้ง
GOLD และ Intermarket analysis เมษายน 2019ใกล้จะสิ้นเดือนเมษายนแล้ว ผมอยากจะวิเคราะห์ภาพรวมของทองและตลาด asset classes ทั้ง 4 นะครับ
จากกราฟจะเห็นได้ว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่น่าจับตามองมากๆ
เมื่อดัชนีดอลลาร์สหรัฐ TVC:DXY ได้เข้าใกล้แนวต้านสำคัญหลังจากมีการ rally เมื่อสัปดาห์ก่อน
สำหรับดัชนี S&P500 AMEX:SPY ที่มีการ rebound ที่ดีมากๆตั้งแต่ต้นปีจนถึงตอนนี้ และตอนนี้ก็กำลังเข้าใกล้แนวต้านสำคัญที่ 3000 ครับ
สำหรับ commodity และพันธบัตร
จะเห็นได้ว่า commodity ได้มีการหลุดจากแนวต้านที่ดำเนินมาอย่างยาวนานหลายปีได้แล้ว รวมถึงพันธบัตรด้วย
ทีนี้มาลองดูดัชนี S&P500 AMEX:SPY
จากภาพ ตอนนี้เรากำลังจะเห็น all time high ของ S&P500 ที่กำลังเข้าใกล้แนวต้านจากอดีต ที่สอดคล้องกับแนว fibonacci level 2.618 จากตลาด bear market ช่วงปี 2009 ที่ 3000 จุด
ตอนนี้ยังคงบอกไม่ได้ว่าเราจะทะลุแนวต้านไปหรือไม่
สิ่งที่น่าสนใจคือลองย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนกันในอดีคช่วงปี 2000 ที่ในสถานการณ์ที่เกือบเหมือนกันนะครับ
ตอนปี 2000 ดัชนีก็ได้เข้าไปทำ all time high เช่นเดียวกัน โดยจุด all time high นี้สัมพันธ์กับแนวต้าน และแนว fibonacci 2.618 เช่นกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนั้นคือดัชนี S&P500 เกิดการกลับตัวรุนแรง เข้าสู่ bear market 3 ปี
ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่ คงต้องตามดูกันต่อไปครับ
ในขณะที่ดัชนีเข้าใกล้แนวต้านสำคัญ นักลงทุนเริ่มทยอยหมุนเม็ดเงินไปที่พันธบัตรและ commodity เนื่องจากกลัวว่าดัชนีจะกลับตัวและเศรษฐกิจจะชะลอตัว ดังเห็นได้จากกราฟ commodity TVC:TRJEFFCRB และ CBOE:TNX ที่หลุดแนวต้านหลายปีออกมาแล้ว และกำลังจะไปทดสอบแนวรับ
เมื่อตลาดหุ้นทำท่าจะกลับตัว แน่นอนว่านักลงทุนย่อมหันไปมองทองคำ ที่ underperform มายาวนานหลังจากตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นมา 10 ปี
Relative performance of Gold and S&P500
มีสิ่งที่น่าจับตาครับ!
นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ bear market ของราคาทองคำตั้งแต่ปี 2012 ที่ underperform เมื่อเทียบกับดัชนี S&P500 ที่เราเห็นราคาทองคำกลับมา outperform ตลาดหุ้น ถ้าหากเรายืนเหนือเส้นนี้ได้ เราจะเห็นราคาทองคำกลับพุ่งสูงขึ้นไปหรือไม่?
ย้อนกลับไปดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2007
จะเห็นได้ว่ามีความคล้ายคลึงกันมาก
เมื่อราคาทองคำกลับมา outperform ตลาดหุ้น ก่อนที่จะไปทำ all time high ในประวัติศาสตร์
เมื่อตลาดหุ้นและดอลลาร์กำลังเข้าใกล้แนวต้านสำคัญแบบนี้ ต้องคอยจับตามองตลาดทองนะครับ
ในด้าน absolute performance ของราคาทอง
หลังจากที่เราหลุดแนวรับ 1290 ลงมา หลายสถาบันมองว่ากราฟเป็นลักษณะ head and shoulder ที่หลุด neck line 1290 ลงมา ทำให้นักลงทุนเตรียมรอขายที่ราคา 1290 เมื่อราคากลับมาทดสอบแนวต้าน และไปรอซื้อที่ราคา 1230 ที่เป็นเป้าหมายของ head and shoulder ตามทฤษฎี (ดูจาก volume profile ทางขวามือ)
ข้อควรพิจารณาตรงนี้นะครับ ลักษณะ head and shoulder ที่เห็นนี้มีลักษณะไม่ค่อยตรงไปตรงมานัก และอีกอย่างก็คือด้านจิตวิทยาของคนในตลาด
เมื่อทุกคนมองตรงกันว่าเป็น head and shoulder pattern ทุกคนก็จะรอขายที่ 1290 และรอซื้อเพิ่มที่ 1230
แต่สิ่งที่มักเกิดขึ้นคือ อะไรก็ตามที่มองดูง่ายและชัดเจน มันมักจะ Fail! ต้องคอยระวังครับ
ทีนี้ อยากให้ลองมองความเป็นไปได้อื่นๆไว้บ้าง เช่นสถานการณ์ข้างล่าง
จากภาพ หากนี่ไม่ใช่ head and shoulder แต่เป็น falling wedge ซึ่งหากใช้วิธีนับ elliot wave จะนับได้ว่าเป็นเวฟที่ 4 ที่มีการ correction เป็นรูปแบบ 3 เหลี่ยม
เมื่อสังเกตจากราคา จะเห็นได้ว่ามีรูปแบบที่มีความเป็นได้ว่าจะเป็น a-b-c-d-e ที่มีโครงสร้างแบบ 3-3-3-3-3 โดยตอนนี้กำลังจะไปทำเวฟ d
ผมเชื่อว่าการลงทุนที่ดี ควรจะคิดแผน a b และ c ไว้เสมอ และควรจะมีความยืดหยุ่นในการวิเคราะห์นะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ทอง outperform ดัชนี S&P500 แบบนี้ มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว
สำหรับสถานการณ์อันใกล้นี้ คงต้องรอให้ Federal reserve ของอเมริกา ประชุมปรับแผนดอกเบี้ยกันอีกทีซึ่งจะส่งผลต่อดัชนีดอลลาร์สหรัฐ และส่งผลต่อตลาดทั้ง 4 asset class โดยรวมนะครับ
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง จะมาอัพเดทอีกครั้งครับ