รูปแบบชาร์ต
GBPUSD Day เรียนรู้ แท่งเทียนตัวN netflixGBPUSD Day เรียนรู้ แท่งเทียนตัวN netflix
แท่งเทียน สไตล์น้า ใหญ่ยาว เล็กสั้น เล็กสั้น เล็กสั้น ต่อไปมักจะใหญ่ยาว
เพื่อนำไปเทรดในระบบsmc
ไม่ว่าตลาดจะเลือกทางไหน
ขอให้ทำตามแผนที่วางไว้ และมีวินัย สามารถได้กำไรทุกคนครับ.
ไม่ดื้อ ไม่โลภ ไม่กลัว
เสี่ยงเท่าที่คุณจะสูญเสียมันได้
นิ่งให้พอ รอให้เป็น เย็นให้ได้
เล็กน้อยxสม่ำเสมอ = มหาศาล
ท่านใดเห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ ฝากกดติดตาม และShare ให้ด้วยนะ
น้าอ่านทุกคอมเม้นท์และเปิดรับทุกความคิดเห็น
XAUUSD ทั้งสัปดาห์นี้ตามแผนทุกวันเลย ถ้าใครไม่หลงไปตามลูกศรที่ผมชี้ไว้ให้แล้วดูแค่หมุดที่ปักไว้ว่า BUY SEll โซนไหน ผมเชื่อว่าบวกกันเยอะแน่นอน วันนี้เอาโซนข้างบนมาให้ดูรอตลาดเปิด สังเกตุไหมว่าที่ผ่านมาในขาขึ้นรอบนี้โซน Supply ที่มองว่าเอาอยู่แน่ๆมักจะถูกทำลายเบรกขึ้นไปนิดหน่อยแล้วกลับตัว มันคือการที่เจ้าตลาดไม่อยากให้เราได้ออเดอร์นั้นแหละพยายามมองหาการหลอก Stop Hunting เมื่อเกิดการกวาดผู้เล่นแล้วเราค่อยเข้าเทรด ช่วงนี้กราฟวิ่ง 2000 จุด+ แปลว่าเราไม่จำเป็นต้องรีบเทรดเลย รอจุดสวยๆเข้าแผนไม้สองไม้ก็อิ่มทั้งอาทิตย์ อีกอย่างการเทรดที่ไม่อยู่ในโซนอันตรายมากนะครับช่วงนี้ ลากได้เป็น 1000 จุดเลยทีเดียว
การมองแผนที่ทำไว้ให้
บางทีผมก็แอบห่วงนะว่าพี่ๆจะเทรดตามลูกศรกันรึป่าว บอกไว้ตรงนี้เลยว่าลูกศรนั้นผมแค่ไกด์ให้ว่าวิ่งได้แบบไหนบ้าง
แต่ผม แนะนำให้กดออเดอร์ในกรอบ Demand,Supply ที่ปักหมุด Buy,Sell ไว้ให้นะครับ
แผนเป็น H1 รอนานหน่อยไม่ต้องรีบ สุดท้ายนี้เจตนาของผมจริงๆแค่อยากมาแบ่งปัน Zone ที่ผมมองเห็นว่าตรงไหนสำคัญบ้างแล้วให้พี่ๆไปใช้ระบบตัวเองทำกำไรกันนะครับ
การกำหนด CHoCH ใน LTF- กรณีที่ราคาปรับตัวขึ้นไปแตะ OB ใน HTF ได้ เราถึงจะปรับตำแหน่ง CHoCH ใหม่ เพื่อให้สามารถเข้าเทรดได้ไวขึ้น
- กรณีที่ราคาไม่ได้มีการแตะ OB ใน HTF แล้วปรับตัวลงเลย เราจะใช้สวิง Low ล่างสุดที่ส่งราคาขึ้นไปทำ HH ได้สำเร็จ ในการกำหนดเป็นตำแหน่ง CHoCH เพื่อลดการเกิด Noise ของราคา
หมายเหตุ : สำหรับการเปลี่ยนจาก Bearish ไปเป็น Bullish ก็แค่กลับด้านกัน
การหาจุด Entry Buyหลังจากราคาเข้า POI Zone การหาจุด entry โดยใช้ TF ที่เล็กลงมา
จุดที่ 1 ไม่ใช่จุด entry เพราะไม่มี LQ ( Liquidity )
จุดที่ 2 ไม่ใช่ เพราะ หลังจากเบรกทำ H แล้วลงมากิน LQ แต่ไม่เบรก H ขึ้นไป แต่เบรก Low ลงมาแทน
จุดที่ 3 ราคามีโอกาสขึ้นมากที่สุด เพราะ หลังจากเบรกทำ H แล้วลงมากิน LQ และเบรก H ขึ้นไป
BTC 1D 15/01/2023ทดสอบความเข้าใจ การใช้ SMC (กราฟ DAY วันที่ 15/1/2023 14.12 )
มองจากภาพใหญ่กราฟ Day จุดราคา 21,480 US มีโอกาสเป็น inducement
ดังนั้นราคาต้องไปเกิน 21,480 US ก่อนจึงจะลงมาโดยเป้าหมายจะอยู่ที่ LL เดิม
แต่ถ้าราคาสามารถขึ้นไปเหนือ 25,211 US หรือ HH เดิม จะถือเป็น CHoch เทรนเปลี่ยนเป็น UP trend
Case Study ; MPL & QM Pattern & FakeoutCase Study ; MPL & QM Pattern & Fakeout
📊 รูปแบบ Type : SELL SETUP
****************************
⛔️ คำเตือน : เป็นเพียงเนื้อหาสำหรับกรณีศึกษาเท่านั้น ทั้งหมดล้วนต้องใช้เวลาและประสบการณ์จริงของแต่ละท่านเพื่อนำไปใช้ประโยชน์อย่าสูงสุด โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล
****************************
● MPL หรือชื่อเต็ม Maximum Pain Level
● MPL ตามตัวอย่างหรือโครงสร้างในภาพนั้น จริงๆ แล้วก็เป็นหนึ่งในรูปแบบของ Supply and Demand Zone ( SND ) ซึ่งรูปแบบของ MPL ในภาพนั้น ก็เป็นรูปแบบที่ก่อเกิดขึ้นในโครงสร้างของ QM Pattern(QML) ด้วยเช่นกัน จึงทำให้น่าสนใจ
● ทั้ง QML และ MPL ก็นับว่า เป็นรูปแบบหนึ่งของ SND เช่นกัน และมักจะมีรูปแบบเส้น SNR (QML) หรือ SND ZONE ที่เกิดการทับซ้อนกันอยู่ จึงมีนัยะและความน่าสนใจที่มากขึ้น
● MPL ที่ผมมองว่าเป็น RBD ตามในภาพ เนื่องจากว่า การเคลื่อนที่ของกลุ่ม Base Balance Zone หรือ Sideway เล็กๆ นั้น อาจจะก่อเกิดแนวต้านเล็กๆ หรือ Resistance Fakeout หรือเกิดเป็น Mini QM เล็กๆ ก่อนก็เป็นได้ และหลังจากนั้นราคาอาจจะตีทะลุกรอบขึ้นไป เหนือระดับ QML ซึ่งช่วงนี้จะเกิดการพุ่งของ IMB ขึ้นไปเล็กน้อยคือ Rally(R) และพักฐาน Base(B) และจากนั้นเกิดแรงขาย Drop(D) ลงมา ซึ่งหลังจากการ Drop ลงมานี้ จะเกิดแท่งเทียนกลืนกิน Bearish Engulfing ก็เป็นได้
● ณ โซน MPL ( RBD ) ในโซนนี้นั่นเองที่จิตวิทยานักเทรดส่วนใหญ่จะเห็นพ้องต้องกันว่ามีโอกาสเข้า Sell ได้ จึงนับเป็นโซนที่ใช้ตัดสินใจเข้าที่ MPL & QML (Decision Point = DP)
***************************
✅ วิธีการเข้าออเดอร์
● เมื่อตลาดเกิดโครงสร้าง QM Pattern แสดงถึงการอ่อนกำลังขาขึ้น Loss Momentum Up กำลังส่งจะเริ่มลดลง และมีโอกาสเกิด Momentum กลับทิศลง ดังนั้นเมื่อเจอโครงสร้างนี้ ให้สังเกตุหาเส้น SNR Key Level ก็คือ QML (Left Shoulder)
● ตีกรอบครอบโซนของ QML ด้วยก็ได้/หรือจะละไว้ในฐานที่เข้าใจก็ได้ เพราะเรามอง QML เป็นเส้นหลักแล้ว และจากนั้นจะต้องมองหา Base ที่เกิดตรงข้ามกับ QML ZONE นั่นก็คือ MPL เนื่องจากตรงนี้ หากว่าตลาดเกิดแรง Drop ลงมาจริงๆ ตามภาพตัวอย่าง จะเป็น MPL Supply Zone ที่น่าสนใจมาก เนื่องจากกลืนกินแรงซื้อ Clean up Significant Demand ได้และหากราคาทำ Lower Low ด้วยการทำลายโครงสร้าง BMS (Break Market Structure) ได้อีก จะยิ่งมีนัยะและบ่งบอกถึง Momentum Down ที่แข็งแกร่ง ในด้านกลับทิศลง ก็ให้ตีกรอบครอบ SND ZONE ของ MPL ได้เลย
● ตั้งออเดอร์ Sell Limit (Pending Order) ที่ระดับ MPL Supply Zone
● SL ตั้งเหนือ Swing Higher High(HH)
● TP แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ TP1 ตั้งที่ระดับ Swing Low ของไหล่ซ้าย หรือแนวรับไหล่ซ้ายของ QML และ TP2 ตั้งที่ระดับ Swing Lower Low ของโครงสร้างหลัก QM Pattern ซึ่งเป็นขา Swing Under (HL -> LL) ของรูปแบบ QM
*******************************
⚠️ MM บริหารเงินทุนต่อแผนยอมแพ้ไม่เกิน DD 2-5% และทุกแผนต้องทำ Position Sizing เสมอ
THE MARKET STRUCTURETHE MARKET STRUCTURE (ขั้นพื้นฐาน เบื้องต้น) 📊 Sell Setup 📊 เป็นกรณีศึกษา Case Study Only
● ที่ต้องบอกว่าเบื้องต้น ก็เพราะว่าโครงสร้างตลาดนี้เป็นไปในแบบฉบับที่ผมปรับจูนนิดหน่อย อาจจะไม่เปะ ไม่ได้สมบูรณ์แบบ 100%
.
แต่คิดว่า สำหรับคนที่ต้องการศึกษาไว้ น่าจะเป็นไกด์นำทิศทาง ในการมองภาพรวมของตลาดได้
.
และทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับการศึกษาพฤติกรรมพื้นฐาน ทั้งคลื่นและโครงสร้าง ให้แตกฉาน จนเกิดเป็น ปสก. และทักษะส่วนตัว ถึงขั้นชำนาญ แตกฉานแล้วเท่านั้น ถึงจะเข้าใจว่า โครงสร้างทั้งหมด ก็เป็นเพียงไกด์นำทางเท่านั้น เมื่อถึงจุดนั้นแล้ว นักเทรดจะเริ่มปรับประยุกต์ใช้ และยืดหยุ่นเทคนิค เป็นการปรับมุมมองตามอารมณ์ของตลาดในช่วงเวลานั้นๆ
.
เพื่อให้รู้จังหวะในช่วงเวลานั้นๆ ว่าจะหลีกเลี่ยง จะฟอลโล่ตาม หรือเข้าปะทะร่างกาย
.
จากแผนภาพ เป็นการวางแผน 2 ชั้น ในระดับ Supply Zone ทั้ง 2 โซนนะครับ การเทรดควรวางแผนมากกว่า 1 แผนเสมอและควรทำ Position Sizing คำนวณล็อตและ MM ทุกๆ แผนนะครับ
#อย่าได้จดจำหรือยึดติดกับคำย่อมากมายนัก
#เน้นศึกษาและนำส่วนจำเป็นมาใช้ก็พอ
#เป็นเพียงตัวอย่างแนวทางกรณีศึกษาเท่านั้น
[แกะหุ้นเด้ง pt.1] หาจุดซื้อรันเทรน กับ Rightmove หุ้น 10 เด้ง
- วีดีโอนี้พูดถึง Technical จุดซื้อ/ขาย 75% และพูดเกริ่นถึงบริษัท 25%
- บริษัทนี้คือบริษัทแข็งแกร่ง Market Share สูง 80% อัตราการทำกำไรมากกว่า 30%
- แม้บริษัทจะดูตันๆ ในเรื่องของความสำเร็จ จากประสิทธิภาพแต่ก็เป็นหุ้นหลายเด้งได้ จากสภาพแวดล้อมที่เติบโตได้จนเป็นหุ้น 10 เด้ง
- กำไรที่ได้แต่ละรอบสั้นนั้นได้ราว 1x% และจะนิ่งๆ และก็จะขึ้นใหม่เป็นขั้นบรรได แต่หากถือยาวจะได้กำไรเป็นเด้งได้ไม่ยาก (แต่ก็ขึ้นกับบริบทเวลาด้วย)
- Breakout รับมือได้ดีที่สุดกับบริษัทจำพวกที่กำไรโตตลอดเวลา
-------------------------------
สำหรับเนื้อหาจะมี 2พาร์ทด้วยกัน โดยพาร์ทนี้จะเน้นในเรื่อง Technical อย่างเดียวนะครับ จากนั้นอีกพาร์ทจะเป็นเรื่องของการเงินและธุรกิจล้วนๆ
และโพสนี้ผมแบ่งเป็น 3 ส่วน คือหลักการเลือกหุ้นลงทุน ตามมาด้วยจุดซื้อที่ได้ และสิ่งที่ได้เรียนรู้จากหุ้นนี้/บริษัทนี้
Rightmove เป็นบริษัทที่ทำหน้าที่เป็นนายหน้าซื้อขายบ้าน และมีเว็ปไซต์โปรโมทบ้านเหล่านั้นอยู่ โดยครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 80% ตามมาด้วยอัตราการทำกำไรที่น่าประทับใจอยู่ระดับมากกว่า 30%
นอกจากนี้แล้วบริษัทยังมีการเติบโตต่อรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยสูงกว่าอัตราการเติบโตของประเทศอย่างอังกฤษกว่าที่ 2.xx% กว่ามาก
ต่อมาคือเรื่องของอัตราการทำกำไรต่อส่วนของเจ้าของ(ROE) ที่ทำได้อยู่ในระดับที่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องบอกว่าประทับใจ
ปัจจัยทั้งหลายนี้ ชี้ให้เห็นว่าไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนสายไหนก็ย่อมอยากได้บริษัทนี้เป็นเจ้าของแน่นอนครับ ดังนั้นหากบริษัทไม่มีพื้นฐานเปลี่ยนไปมากนัก อย่างไรก็ต้องมีคนซื้อกลับมาไม่ทางมดก็ทางหนึ่งครับ
ในวีดีโอนี้หลักๆ แล้วหลักกรซื้อที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด คือการ "Breakout" ครับ คือราคาเบรคขึ้นไปเมื่อไรหลายครั้งราคาจะไม่ค่อยกลับมาที่เดิมนัก
และการซื้อตอนย่อราคามาที่เส้นค่าเฉลี่ย 20 สัปดาห์ก็สามารถทำได้ และคุณก็สามารถใช้ประกอบกับ Relative Strength ได้เช่นกัน หากบริษัทแข็งกว่าตลาดจุดนั้นก็อาจเป็นจุกซื้อได้ตลอดได้
นอกจากเรื่องของ Breakout แล้ว เราสามารถมาผสานการใช้กับทรง VCP หรือ Cup with Handle ได้เช่นกันครับ โดยช่วงที่เขาจะ Break High ตรงจุดนี้นับเป็นจุกซื้อที่ทำให้เรารู้นิสัยครับว่าได้ผล
แต่สิ่งที่ต้องกังวลคือบางช่วงมีการพักตัวที่อาจนานเกินไปซึ่งหากท่านไม่ใช่นักลงทุนที่รอรวยนานได้ ตรงนี้อาจทำให้ทุนพี่ๆ เพื่อนๆ จมลงได้ครับ
แต่ก็สามารถแก้ทางได้โดยหาเครื่องไม้เครื่องมืออย่าง Option มาหากระแสเงินสดจากบริษัทนี้ได้เช่นกัน
บริษัทนี้จากที่ผมได้กล่าวแล้วคงไม่พ้นเรื่องหุ้น "แข็งแกร่ง" ตามตำราของคุณปีเตอร์ ลินซ์เลยครับ นั่นคือเป็นหุ้นที่มี Market Share แข็งแกร่ง(เช่นเคสนี้มากกว่า 80%) กอปรด้วยตัวเลขการเงินที่อัศจรรย์ ไม่ว่าใครในตลาดต่างก็อยากเป็นเจ้าของ
ดังนั้นแล้วพอหุ้นขึ้นไป หุ้นมักไปได้ไม่มากครับ นั่นคือขึ้นไปสักราว 1x% แต่แม้จะขึ้นระดับนี้แล้วการจะย่อลงไปจุดต่ำเดิมนั้นไม่ค่อยมีมาก จากการที่กำไรบริษัทแข็งแกร่งไม่มีทีท่าลงมาต่ำกว่าเดิมเลย
แม้ราคาจะเพิ่มขึ้นสั้นๆ แต่หากเราถือนานมากยิ่งขึ้นให้บริษัทได้เฉิดฉายแล้วกำไรที่คุณจะได้ก็สามารถไปได้มากกว่าเด้งได้ไม่ยากเลยครับ
และหากคุณมองว่ากำไรได้น้อยและมีบางช่วงออกข้างนาน การใช้ประโยชน์จาก Option ในการหากระแสเงินสดหรือหาโอกาสจากหุ้นนี้ก็ทำได้เช่นกัน
เนื่องจากบริษัทนี้เป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่เพียงพอจะมีเครื่องมือทางการเงินหลากหลาย
[แกะหุ้นเด้ง]ดู COSTCO หุ้น 100 เด้ง ผ่าน CANSLIM และ VCP pt.1แก่นแท้จากหุ้นเด้งตัวนี้
-การย่อระดับ 1x% เป็นเรื่องที่ธรรมชาติมากๆ นับเป็นเรื่องที่ปกติ
การย่อลงมาแบบหลักๆ อยู่ที่ราว 3x%
-จุดซื้อที่ทรงประสิทธิภาพจะมาจากจุดที่แข็งกว่าตลาด
หรือ Relative Strength มากกว่า 0
-การย่อลงต่อละครั้งหากไม่หลุดราคาเฉลี่ยนับว่าสามารถรันเทรนด์ต่อได้
-การที่ราคาหุ้นตกหนักๆ โดยหลัก มี 3 ปัจจัย (ซึ่งการตกนี้ไม่ต่ำกว่า 50%)
1. การลงจากเศรษฐกิจเอง เช่น COVID-19 , Subprime
2. การลงจากอุตสาหกรรม เช่น รอบสินค้าโภคภัณฑ์ , การออกกฎบัตรบางอย่างจากภาครัฐที่ทำให้ราคาไม่ไปไหน
3. การลงจากตัวบริษัทเอง เช่น ความสามารถในการแข่งขัน ปราการและคูคลองเริ่มเสื่อมสลาย (แบบนี้อันตรายที่สุด)
.
-การลงจากตัวเศรษฐกิจ หากบริษัทแข็งแกร่งจากการมีปราการและคูคลองแข็งแกร่ง ตลาดย่อมรับรู้ อย่างน้อยก็จากผลประกอบการที่หากไม่ลดลง และรายงานจากฝ่ายบริหารแจ้งออกมาไม่มีรอยฟกช้ำจากเศรษฐกิจ นายตลาดก็ตอบรับอย่างสดใส
-การลงจากอุตสาหกรรม ราคาหุ้นอาจจะไม่ขึ้นมาในทันที อาจต้องให้เวลากับเขา ในการปรับทัพรวมพลสู้ศึก ในเชิงรูปธรรม อาจขยายตลาดไปที่อื่น, คุยกับ Supplier เพื่อปรับราคาให้มี Margin ที่ดีขึ้น และคงคุณภาพสินค้า
หรือในกรณีที่สดใสที่สุด คือรอเมฆหมอกแห่งความโชคร้ายให้ผ่านไปเลย
-การลงจากตัวบริษัทเอง ยากที่สุดในการพิจารณา ต้องติดตามกระบวนการบริหารบริษัทอย่างใกล้ชิด รวมถึงดูคุณภาพในสินค้าและบริการ
แก่นแท้คือดูว่า Core Value ที่เขมอบให้แก่ลูกค้าและสังคม
กับการทำกำไร ยังพอไปทางเดียวกันได้ไหม
-สิ่งที่ต้องการสื่อคือหุ้นหลายเด้งมักมีการลงแรงๆ เสมอ ไม่ว่าจากตัวเขาเอง ตัวอุตสาหกรรม หรือจากเศรษฐกิจ แก่นแท้คือการถือให้ยาวและมองให้ขาดว่าบริษัทจะผ่านไปได้ไหม เป็นสำคัญ
-การฟอร์มตัวแบบ Cup with Handle จากที่ดูมักใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 30 bars week หรือราว 200 วัน ก่อนพุ่งขึ้นไป
การรันเทรนด์เพื่อให้ได้กำไรเด้ง อาจต้องอาศัยเวลา
เราควรมีหลังบ้านที่แข็งแกร่ง มีรายได้หลายทางเพียงพอที่จะคลายกังวลกับการลงทุนในบริษัทนี้ได้
เราอาจใช้อรรถประโยชน์จาก Stock Option ช่วยได้ หากหุ้นนั้นมีบริการ Short Call หรือ Short Put เพื่อหากระแสเงินสดจากช่วง Sideway หากินกับ Volatile
(อาจจะซับซ้อน แต่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกได้นะครับ)
-จุดกลับตัวของกราฟ บางทีอาจใช้รูปแบบแท่งเทียนพิจารณาได้
เช่นรูปแบบ Hammer ที่ทำหางยาวมาก เสมือนการปฏิเสธการลงของราคา
-จุดกลับตัวอาจใช้ Relative Strength ช่วยได้
หากราคาหุ้นแข็งกว่าตลาด เราอาจเริ่มกลับมามองหุ้นนี้ได้ครับ
[Hybrid Study:John Neff] แก่นการลงทุนหุ้นวงจร เพือถือรันหลายเด้งสวัสดีครับพี่ๆ เพื่อนๆ ทุกท่าน วันนี้ผมจะมาขอ Tribute หลักการลงทุนของคุณ John Neff ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนในสายผสมนี้กันนะครับ
และเนื่องในโอกาสที่วันที่ 19 กันยานี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของคุณ John Neff และคุณ John Neff เองก็เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง นับว่า 1 ในตำนานแห่งโลกการลงทุนของเราได้จากเราแล้วอีกหนึ่งราย แต่ว่าหลักการของคุณ John Neff จะยังคงอยู่ในจิตใจของนักลงทุนสาย Value ทุกท่าน
สำหรับผมแล้ว การระลึกถึงและ"ให้เกียรติ" หลักการของใครก็ตาม คือการใช้หลักการนั้นเป็นพื้นฐานอ้างอิงเพื่อให้หลักการนั้นเป็นที่พูดถึง และขัดเกลาให้ทันต่อโลกมากขึ้น ผมชอบหลักการของคุณ John Neff มาก จึงเป็นเหตุให้เขียนอินดิเคเตอร์ DDM ขึ้นมาด้วย
และสิ่งที่ผมได้ทำในวันนี้ก็คือการทำให้หลักการของคุณ John Neff ยังคงมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยก็ปรับประยุกต์ใช้ในรูปแบบกราฟผ่าน Trading View ซึ่งโค้ดอินดิเคเตอร์นี้ผมได้รับแรงบันดาลใจมาจากคุณ John Neff อย่างแท้จริง
หลักการลงทุนนี้ผมใช้กับการอาศัยซื้อหุ้น(โดยเฉพาะหมวดวงจร : Commodities) ในจุดที่ PE ต่ำอย่างสวนตลาด แต่หลักการที่เราจะได้มาที่ PE ต่ำนั้น ย่อมเกิดจากการปรับ ตัว E หรือ EPS จากสมมการ PE = Price / EPS , โดยผมจะ Predict ค่า EPS ผ่านตัวรายได้ในแบบที่ควรจะเป็น
และนำรายได้นั้นมาจับคุณด้วยอัตราส่วน Net Margin ในระดับ Base Case-Best Case ซึ่งค่าตัวเลขของ Net Margin นี้เราจะได้มาจากการทำ Research หุ้นในหมวด Commodities ย้อนหลังนะครับ
และจะตั้งตัวเลขพวกนี้เสมือนเป็นตุ๊กตาเฉยๆ เพื่อให้เราหาค่า EPS ให้ได้
ในการตั้งค่า Net Margin นี้ ผมจะมีการตั้งเป็นหลายค่ามากๆ และค่าที่ต่ำที่สุดก็คือ 1% มาจากสมมติฐานที่ว่าปกติหุ้น Commodities ตอนจะจบรอบราคาเขาจะลงมาแรงมากๆ จากราคาสินค้าอ้างอิงตกต่ำไม่ว่าจะเหล็ก น้ำมัน เคมี แร่ธาตุต่างๆ
เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้แล้วส่วนมากบริษัทจะมีผลขาดทุนจากสต็อกสินค้าก็ดี หรือจากรายได้จากการขายสินค้าลดลง จนแบกรับต้นทุนคงที่ไม่ได้ ทั้งหลายนี้เองจึงทำให้ตัว PE ของบริษัท “ติดลบ” หรือก็คือคำนวณไม่ได้ หรือแม้แต่ PE พุ่งสูงขึ้นเป็นหลัก “ร้อยเท่า” จากการที่ EPS นั้นแกร่งนั่นเอง
การที่ผมตั้ง Net Margin ที่ 1% นี้ก็เพื่อเป็น “บาร์อย่างต่ำๆ” ที่บริษัทสมควรทำได้ เมื่อเราได้ NPM ที่ 1% มาได้แล้ว เราก็จับ 1% มาคูณกับตัวเลขรายได้ครับ(ตรงส่วนนี้บางคนอาจใช้รายได้เมื่อปีที่แล้ว หรือว่ารายได้เฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง แล้วแต่สไตล์แต่ละคนเลยครับ)
เมื่อนำ Revenue * NPM แล้วเราก็จะได้ “กำไรสุทธิ” จากนั้นก็นำมาหารด้วยจำนวนหุ้น ทีนี้เราก็ได้ EPS อันเป็นพระเอกของเราแล้ว
จากนั้นเราก็นำ EPS มาเพื่อที่จับคูณด้วย PE อย่างที่ควรจะเป็น โดยเคสนี้ผมจะให้ที่ PE = 6-8 ตรงส่วนนี้หากใคร Conservative มากๆ อาจใช้ที่ PE 5 ไปเลยก็ได้ โดยมีการตั้งสมมติฐานว่า “ใครกันล่ะ จะไม่อยากได้หุ้น PE 5 เท่า หรือหุ้นที่จ่ายเงินปันผลหลัก 10% ต่อปี ณ ระดับราคาฐานต่ำนี้”
ในตอนนี้เราก็ได้ราคาหุ้นแล้ว ผมก็ให้แสดงค่าเป็นเหมือนเส้นแนวรับแนวต้านที่จะอัพเดตทุกๆ ปีนะครับ จากการที่ข้อมูลการเงินจะมีอัพเดตใหม่ทุกปี ตรงเส้นแนวรับ/แนวต้าน พวกนี้เสมือนกับเป็น “แนวรับเชิงพื้นฐาน” นั่นเองครับ
หุ้นใดก็ตามที่ลงมาเทสที่เส้นนี้ และมีการทำแท่งเทียนกลับตัว หรือมีการพักตัวตรงนี้เราอาจพิจารณาเอาเขามาใส่ลิสเพื่อรอวันให้เกิด Catalyst ให้ราคาขึ้นไปกันนะครับ จากนั้นก็รับเทรนไปเรื่อยๆ
หรือหากท่านใดเป็นสายHardcore อาจนำหุ้นนั้นไปวางหลักทรัพย์ค้ำประดันในการขอบัญชี Margin มาต่อเงินอีกรอบก็แล้วแต่สไตล์ท่านเลยครับ
หวังว่าแนวทางนี้จะมีประโยชน์กับท่านผู้อ่านผู้ฟังทุกคนนะครับ โชคดี รักษาสุขภาพ Stay Healthy Stay Wealthy นะครับผม
[Case Study] วิเคราะห์หุ้นทุกมิติ และสอนใช้ Relative Strength สำหรับวีดีโอนี้ผมจะมานำเสนอการใช้ Relative Strength ประยุกต์กับทรงกราฟ รวมถึงการดูปัจจัยผลักดันบริษัท รวมถึงการหาเหลี่ยมเพื่อการลงทุนนะครับ
โดยเนื้อหาในครั้งนี้ทุกท่านหากได้อ่านคำประกอบนี้ก็เพียงพอได้รับสารที่ผมต้องการสื่อในวีดีโอนี้แล้วครับผม
แต่ก่อนอื่นเรามาคุยภาษาเดียวกันก่อนนะครับ
- บริษัทที่นำเสนอนี้เป็นเพียง 1 ใน Case Study ที่น่าสนใจ
- ผมปรับราคาบริษัทเป็นหน่วย CHF เพื่อป้องกันการชี้นำราคาหุ้น
- วีดีโอนี้มี Ref ที่สำคัญราวๆ 3 แหล่งนะครับ และทาง Trading View ไม่ให้เราโพสลิงค์ไปด้านนอก ขอให้ทุกท่านโปรดวางใจ ว่าทุกอย่างที่ผมได้นำเสนอไปนี้มีเอกสารตัวเลขอ้างอิงครับ
====================================================
จากกราฟนะครับ เราจะเห็นว่าตัว Relative Strength นี้มีการหดตัวเข้าสู่ 0 อย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือเมื่อเทียบหุ้นตัวนี้กับตลาดแล้ว หุ้นตัวนี้มีความแข็งแกร่งกว่าตลาดอย่างเห็นได้ชัดเจนครับ และหากมองให้ไกลกว่านั้น เราอาจตั้งคำถามได้ว่า "เป็นไปได้ไหม ที่หุ้นตัวนี้จะเป็นหุ้นที่แข็งกว่าตลาดสัดวันหนึ่ง" ซึ่งหุ้นที่แข็งกว่าตลาดนั้นก็คือหุ้นที่มีค่า RS > 1 นั่นเองครับ
จากปัจจัยจากกราฟที่แสดงให้เห็นว่าเขาทำ Sideway มาเนิ่นนาน และเริ่มมีการเปลี่ยนไป เรามาดูกันที่ปัจจัยขับเคลื่อนภายในบริษัทอันเป็นต้นสายธารของหุ้นตัวนี้กันครับ
สำหรับบริษัทที่เราพูดถึงนี้ก็คือ BAFS บริษัทผู้จำหน่ายเชื้อเพลิงให้แก่เครื่องบินนั่นเอง (และขอชี้แจงเพิ่มเติมจาก Oppday บริษัทนี้เปรียบเสมือนกับ "เด็กปั๊ม" นะครับ เขามีหน้าที่บริการบรรจุเชื้อเพลิง ดังนั้นแล้วราคาน้ำมันไม่มีผลจ่อบริษัทเลยครับ)
สิ่งที่ผมได้นำเสนอนี้มีปัจจัยผลักดันคือจำนวนผู้โดยสารและเที่ยวบินที่เริ่มบินสะพัดมากยิ่งขึ้น โดยหากเราได้ดูงบกำไรขาดทุนสุทธิแล้ว เราจะพบว่าตัวเลขในส่วนของ EBITDA กับค่าเสื่อมเริ่มมีการหักล้าง และเริ่มเท่าทุนแล้ว
และจากการที่ผมได้ไปฟัง Oppday ย้อนหลังก็ได้ทราบว่าปริมาณนักท่องเที่ยวตอนนี้เองก็ Breakeven ต่อการทำกำไรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งหลายทั้งมวลนี้ นำมาสู่ทรงกราฟครับที่จากแต่ดั้งเดิมบริษัทได้มีการทำ Sideway มากว่า 2 ขวบปี อาจมีแนวโน้มที่บริษัทจะเปลี่ยนแนวโน้มไปก็ได้ ไม่ขึ้นก็ลง
โดยจุดตัดของเทรนนี้จะอยู่ที่ราวๆ เดือนมกราคา จากการตีเส้นเทรนด์ไลน์ขากด และเทรนด์ไลด์ขาขึ้น หลังจากที่พูดถึงเรื่องปัจจัยด้านเวลาที่อัดตัวพร้อมผลักดันหุ้นแล้ว เรามาดูในมิติของมูลค่ากันบ้างดีกว่าครับ
จากเครื่องมือ 2 ตัวนั่นคือ DDM และ Double Dividend Discount Model ได้แสดงให้เราเห็นว่า แต่ก่อนเดิม "ตลาด" เคยให้มูลค่าบริษัทนี้ "มากกว่ามูลค่าสินทรัพย์ของบริษัท" ต่อเนื่องหลายปี
และในปัจจุบัน บริษัทเองกลับมีการเทรดในระดับที่ต่ำกว่าเส้นแนวต้านที่แสดงนี้เสียอีก ดังนั้นหากเราตั้งสมมติฐานว่าราคาหุ้นจะ Mean Reversion ก็เป็นไปได้
ทั้งนี้แล้วจากข้อมูลที่เรามี อาจช่วยให้พี่ๆ เพื่อนๆ ใช้ในการวางแผนการเทรดได้นะครับ ผมว่าการที่เราวิเคราะห์ได้หลากหลายมิตินี้จะช่วยให้เราลงทุนได้อย่างมั่นใจได้มากขึ้น แต่ก็มีข้อเสียที่ต้องแลกเข้ามาที่สาหัสเช่นกัน นั่นคือ "เราไม่อาจรู้เลย ว่าเรื่องอะไรที่เรารู้นั้นเป็น NOISE" หรือ "สิ่งก่อกวนในการลงทุน" ได้ กล่าวคือหากเรารู้สิ่งใดมากแล้ว สิ่งนั้นอาจบดบังทรรศนวิสัยในระยะยาวของเราก็เป็นได้
แต่กระนั้นแล้ว เราทุกคนในหมวดของเทรดเดอร์ก็ยังโชคดีครับที่เรายังสามารถยอมแพ้ได้ หากแผนที่เราวางไว้ไม่เป็นไปตามที่วาง ผ่านการยอมรับตัวเองและ Cutloss ทิ้งไป
ทั้งหลายนี้ผมวาดหวังว่าจะเป็นทางเลือกการลงทุนแก้ทุกท่านได้ไม่มากก็น้อยนะครับ
ฝากหนังสือและ investing-in-th ไว้ด้วยนะครับผม เราจะรวบรวมหนังสือที่อยู่ในจักรวาลการลงทุนไว้ให้ทุกท่านในที่เดียวเป็นร้านหนังสือเพื่อการลงทุน เพื่อการ Empowerment สังคมการลงทุนอย่างแท้จริง
ขอให้ทุกท่านโชคดี สุขภาพแข็งแรงปลอดภัยครับผม
เทคนิคเทรดการทองคำให้แม่นยำถึง 95% EP2เทคนิคเทรดการทองคำให้แม่นยำถึง 95% นั้นเริ่มต้นจากการใช้รูปแบบ QM ทั่วไปโดยที่ผมจะเพิ่มจุดเข้าที่ได้เปรียบยิ่งขึ้นเพื่อให้เกิดความแม่นยำในการเทรดและได้ราคาที่ดีที่สุดจากการใช้ FIBO ระดับ 78.6 ถึง 88.6 เข้ามาช่วยในการหาจุดเข้านั่นเอง จากตัวอย่างข้างต้นจะเป็นการพูดถึงการใช้รูปแบบ QM BUY + FIBO 78.6-88.6 ใน TF 15 นาที ซึ่งจะเห็นว่าที่จุดเข้า BUY นั้นราคาได้มีการชนแล้วค่อยๆกลับตัวขึ้นไป เนื่องจากเทรด set up นี้เป็นการเทรดแบบสวนเทรนจึงทำให้ราคาไปถึงเพียงแค่ TP1 เท่านั้น
การใช้เทคนิคนี้มีเงื่อนไขที่ต้องระวังอยู่ 2 ข้อด้วยกัน คือ
1. ต้องตั้งจุด SL เหนือหัวของ QM ประมาณ 100-200 เสมอ
2. ให้ใช้รูปแบบ QM + FIBO 78.6 - 88.6 ใน TF 15 นาที ขึ้นไปจะมีความแม่นยำสูงขึ้น
เพียงเท่านี้เราก็สามารถเทรดทองคำได้อย่างแม่นยำสูงถึง 95% แล้วครับ
+++ หากใครที่สนใจที่จะเข้ากลุ่มเรียนรู้การใช้เทคนิคเทรดทองคำด้วย QM และรับซิกทองคำด้วยรูปแบบ QM สามารถส่งข้อความมาสอบถามได้นะครับ +++
เทคนิคเทรดการทองคำให้แม่นยำถึง 95% EP1เทคนิคเทรดการทองคำให้แม่นยำถึง 95% นั้นเริ่มต้นจากการใช้รูปแบบ QM ทั่วไปโดยที่ผมจะเพิ่มจุดเข้าที่ได้เปรียบยิ่งขึ้นเพื่อให้เกิดความแม่นยำในการเทรดและได้ราคาที่ดีที่สุดจากการใช้ FIBO ระดับ 78.6 ถึง 88.6 เข้ามาช่วยในการหาจุดเข้านั่นเอง จากตัวอย่างข้างต้นจะเป็นการพูดถึงการใช้รูปแบบ QM SELL + FIBO 78.6-88.6 ใน TF 15 นาที ซึ่งจะเห็นว่าที่จุดเข้า SELL นั้นราคาได้มีการชนแล้วกลับตัวลงไปอย่างรุนแรง
การใช้เทคนิคนี้มีเงื่อนไขที่ต้องระวังอยู่ 2 ข้อด้วยกัน คือ
1. ต้องตั้งจุด SL เหนือหัวของ QM ประมาณ 100-200 เสมอ
2. ให้ใช้รูปแบบ QM + FIBO 78.6 - 88.6 ใน TF 15 นาที ขึ้นไปจะมีความแม่นยำสูงขึ้น
เพียงเท่านี้เราก็สามารถเทรดทองคำได้อย่างแม่นยำสูงถึง 95% แล้วครับ
อินดิเคเตอร์2ตัว สร้างกำไร120เท่า winrate67% ระยะเวลา 4เดือน วันนี้น้ามาแนะนำระบบ เทรดที่มีผลลัพธ์ 120RR ภายในระยะเวลา 4เดือน
winrate 67% ใครยังไม่มีระบบ ที่ถูกใจมารองดุชุดเทรดนี้กันเลย
คู่เทรดที่ใช้ทดสอบ BTCUSDT timeframe H1
อินดิเคเตอร์ที่ใช้
อินดิเคเตอร์ตัวแรก trendline with Breaks (lux)
อินดิเคเตอร์ตัสอง TRAMA
วิธีการใช้งาน รอจังหวะ สัญญา singal B เขียว เหนือเส้นม่วง
รอจังหวะ สัญญา singal B แดง ใต้เส้นม่วง
วางSL ไว้ที่ปลายแท่งเทียนก่อนหน้า
RR ขั้นต่ำ1.5 เท่า
เงื่อนไขการเทรด 1 รอสัญญา break signal
2 ดูว่าอยู่เหนือเส้นม่วง buy/long
ใต้ม่วง sell/short
3 วางstoploss ไว้ที่ปลายแท่งก่อนหน้า
4. วางTP ขั้นต่ำ1.5เท่า
คำเตือน ไม่เทรด ขัดแย้งกับหน้าเทรด
แท่งเทียนถัดไป ไม่ควรกลับมาเข้ากลับที่Break ไปแล้ว ควรปิดแท่งเป็นสีตามหน้าเทรด
สรุปผลbacktest เทรด43ไม้
win 29 ไม้ winrate 64%
loss 14ไม้
RR 120 เท่า
ระยะเวลาในการbacktest 4เดือน 1มค -30เมษา