รูปแบบชาร์ต
อัตราความสำเร็จที่แท้จริงของ Falling Wedge ในการซื้อขายอัตราความสำเร็จที่แท้จริงของ Falling Wedge ในการซื้อขาย
Falling Wedge เป็นรูปแบบกราฟที่ผู้ซื้อขายให้ค่าสูงเนื่องจากมีศักยภาพในการกลับตัวเป็นขาขึ้นหลังจากช่วงขาลงหรือช่วงการรวมตัว ประสิทธิภาพของรูปแบบนี้ได้รับการศึกษาและบันทึกไว้โดยนักวิเคราะห์ทางเทคนิคและนักเขียนชั้นนำมากมาย
สถิติสำคัญ
การออกจากตลาดขาขึ้น: ใน 82% ของกรณี การออกจาก Falling Wedge นั้นเป็นขาขึ้น ทำให้เป็นรูปแบบที่เชื่อถือได้มากที่สุดรูปแบบหนึ่งในการคาดการณ์การกลับตัวในเชิงบวก
ราคาที่บรรลุเป้าหมาย: เป้าหมายทางทฤษฎีของรูปแบบ (คำนวณโดยการวางความสูงของ Wedge ที่จุดทะลุ) สำเร็จในประมาณ 63% ถึง 88% ของกรณี ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา แสดงให้เห็นถึงอัตราความสำเร็จสูงในการทำกำไร
การกลับตัวของแนวโน้ม: ใน 55% ถึง 68% ของกรณี Falling Wedge ทำหน้าที่เป็นรูปแบบการกลับตัว โดยส่งสัญญาณถึงจุดสิ้นสุดของแนวโน้มขาลงและจุดเริ่มต้นของช่วงขาขึ้นใหม่
การถอยกลับ: หลังจากการทะลุแนวรับ การถอยกลับ (กลับไปที่เส้นแนวต้าน) จะเกิดขึ้นในประมาณ 53% ถึง 56% ของกรณี ซึ่งอาจเป็นโอกาสเข้าซื้อครั้งที่สอง แต่มีแนวโน้มที่จะลดประสิทธิภาพโดยรวมของรูปแบบ
การทะลุแนวรับเท็จ: การออกจากแนวรับเท็จนั้นเกิดขึ้นระหว่าง 10% ถึง 27% ของกรณี อย่างไรก็ตาม การทะลุแนวรับกระทิงปลอมนั้นส่งผลให้เกิดการทะลุแนวรับหมีจริงใน 3% ของกรณีเท่านั้น ทำให้สัญญาณขาขึ้นมีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ
ประสิทธิภาพและบริบท
ตลาดกระทิง: รูปแบบนี้มีประสิทธิภาพดีเป็นพิเศษเมื่อปรากฏขึ้นในช่วงการปรับฐานของแนวโน้มขาขึ้น โดยมีเป้าหมายกำไรใน 70% ของกรณีภายในสามเดือน
ศักยภาพในการทำกำไร: ศักยภาพในการทำกำไรสูงสุดสามารถไปถึง 32% ในครึ่งหนึ่งของกรณีระหว่างการทะลุแนวรับกระทิง ตามการศึกษาทางสถิติเกี่ยวกับตลาดหุ้น
เวลาก่อตัว: ยิ่งลิ่มกว้างขึ้นและเส้นแนวโน้มชันขึ้นเท่าไร การเคลื่อนไหวขึ้นหลังการทะลุแนวรับก็จะยิ่งเร็วและรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
สรุปอัตราความสำเร็จโดยเปรียบเทียบ:
เกณฑ์อัตรา/ความถี่ที่สังเกตได้
ขาขึ้นขาออก 82%
ราคาเป้าหมายที่ทำได้ 63% ถึง 88%
รูปแบบการกลับตัว 55% ถึง 68%
การถอยกลับหลังการทะลุแนวรับ 53% ถึง 56%
การทะลุแนวรับหลอก (การทะลุแนวรับหลอก) 10% ถึง 27%
การทะลุแนวรับหลอกที่เป็นขาขึ้นซึ่งนำไปสู่การลดลง 3%
จุดที่ต้องให้ความสนใจ
Falling Wedge เป็นรูปแบบที่หายากและยากต่อการระบุอย่างถูกต้อง ซึ่งต้องมีจุดสัมผัสอย่างน้อย 5 จุดจึงจะถูกต้อง
ประสิทธิภาพจะดีที่สุดเมื่อการทะลุแนวรับเกิดขึ้นที่ประมาณ 60% ของความยาวรูปแบบและเมื่อปริมาณเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาของการทะลุแนวรับ
การถอยกลับแม้จะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่ก็มีแนวโน้มที่จะทำให้โมเมนตัมขาขึ้นในช่วงแรกอ่อนตัวลง
ข้อสรุป
Falling Wedge มีอัตราความสำเร็จที่น่าทึ่ง โดยมีมากกว่า 8 ใน 10 กรณีที่ทำให้มีการทะลุแนวรับหลอกและราคาบรรลุเป้าหมายในกรณีส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความจำเป็นในการตรวจสอบรูปแบบด้วยสัญญาณทางเทคนิคอื่นๆ (ปริมาณ โมเมนตัม) และต้องเฝ้าระวังการทะลุราคาหลอก แม้ว่าอัตราจะค่อนข้างต่ำก็ตาม เมื่อเชี่ยวชาญแล้ว รูปแบบนี้จะพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นเครื่องมือที่มีค่าสำหรับเทรดเดอร์ที่กำลังมองหาจุดเข้าที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการกลับตัวเป็นขาขึ้น
"วิเคราะห์ Breakout ยังไงให้ได้เปรียบ?""วิเคราะห์ Breakout ยังไงให้ได้เปรียบ?"
ในโลกของการเทรด ความเข้าใจประเภทของ Breakout คือกุญแจสำคัญ! ไม่ว่าจะเป็น:
Lower Highs & Support: เตรียมรับมือกับขาลงที่แรงขึ้น
Range: อดทนรอโอกาสทะลุกรอบและเข้าตามเทรนด์
Higher Lows & Resistance: ใช้เป็นโอกาสเข้าซื้อในขาขึ้น
การเข้าใจโครงสร้างราคาและสัญญาณ Breakout ช่วยให้คุณเทรดด้วยความมั่นใจมากขึ้น พร้อมวางแผน Entry, Exit และ Stop-Loss อย่างมืออาชีพ!
Breakout Types (ประเภทของการ Breakout)
1. Lower Highs & Support
-ราคาอยู่ในขาลง โดยเกิดจุด Lower Highs และมาถึงแนว Support ก่อนทะลุลงไป
-บ่งชี้การต่อเนื่องของแนวโน้มขาลง (Bearish Continuation)
2.Range
-ราคาเคลื่อนตัวในกรอบแนวรับ-แนวต้าน (Sideways) จนทะลุออกจากกรอบ
-มักใช้ยืนยันแนวโน้มใหม่หลัง Breakout
3.Higher Lows & Resistance
-ราคาเกิดจุด Higher Lows ต่อเนื่อง และเคลื่อนตัวขึ้นไปจนทะลุแนวต้าน
-บ่งชี้แนวโน้มขาขึ้นต่อเนื่อง (Bullish Continuation)
SIDEWAY OR CONSOLIDATION PHASESSIDEWAY OR CONSOLIDATION PHASES
ตลาดไซด์เวย์หมายถึงโครงสร้างของตลาดที่ไม่สามารถทะลุทั้งจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด หรือเพียงแค่ไส้เทียนแตะจุดสูงสุด/ต่ำสุดเท่านั้น
ช่วงที่ราคาแกว่งอยู่ในกรอบ (Range/Consolidation) มีความสำคัญมาก
เพราะเป็นการตัดสินใจถึงทิศทางถัดไปของตลาด
ลองสังเกตว่า ก่อนที่ราคาจะเคลื่อนไหวใหญ่ มักจะมีช่วงไซด์เวย์ก่อนเสมอ
ตามด้วยการกวาดสภาพคล่อง (Liquidity Gap) และจากนั้นจึงเกิดการเคลื่อนที่จริง
การเทรดช่วงตลาดไซด์เวย์ในไทม์เฟรมเล็ก (LTF) มีความเสี่ยงสูง
อย่างไรก็ตาม หากตลาดไซด์เวย์เกิดขึ้นบนไทม์เฟรม 4 ชั่วโมง (4H) หรือ 1 วัน (D1)
อาจกลายเป็นแนวโน้มในไทม์เฟรม 15 นาที (15M) ซึ่งสามารถเทรดได้
Disclaimer คำเตือน
1.โพสต์นี้เป็นการแชร์มุมมองเพื่อการศึกษาและเรียนรู้พฤติกรรมการทำราคาของกราฟเทคนิคคอลเท่านั้น (For Educational purposes only) และ ผู้เขียนไม่ใช่ (Financial advisor nor a CPA)
2.ทางเพจไม่ได้มีเจตนาชี้แนะหรือชี้ชวนการลงทุนแต่อย่างใด (I am sharing my opinion with no guarantee of investment gains or losses.)
3.ผู้ลงทุนควรศึกษาผลิตภัณฑ์การลงทุนก่อน และตัดสินใจการลงทุนเอง ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นผู้ลงทุนต้องยอมรับความเสี่ยงด้วยตนเอง (Investing of any kind involves risk. While it is possible to minimize risk, your investments are solely your responsibility. You must conduct your own research.)
Invert head and shoulder กับ cup with handleอย่างที่เคยตั้งข้อสังเกตว่า แม้ SET จะยังคงลงโดยไม่เห็นวี่แววจะหยุดลง แต่มีหุ้นมากมายที่สร้างฐานราคาด้านล่าง (bottom pattern) เสร็จเรียบร้อยแล้ว
หุ้นตัวนี้ ก็เป็นอีกเคสหนึ่งที่ทำตัวแบบนั้น
ทรงแบบนี้จะเรียกว่า Invert head and shoulder ถ้ามองภาพใหญ่ตั้งแต่เด้งจากขาลง
แต่ถ้ามองแค่ซีกเดียว(คือขวามือของกราฟ) มันก็คือ cup with handle นั่นเอง
แต่ก็นั่นแหละ เราไม่รู้อนาคต กราฟทำตัวน่าสนใจ แต่ถ้ามันไม่ไปก็เป็นเรื่องของมัน
เทรดอย่างที่มันเป็น และให้ความเสี่ยงมาก่อนเสมอ
Many Pro Indicator (MPI) - รายละเอียด💎Many Pro Indicator (MPI)
🔥เพียง 2490 บาท (ใช้ได้ตลอดชีพ)
🔥ใช้งานง่ายเข้าตามสัญญาณ Buy-Sell มาพร้อม Tp/Sl อัตโนมัติ และฟังก์ชันอื่นๆสำหรับช่วยในการเทรด
👨🏻💻มือใหม่หรือมือโปรก็ใช้งานได้
👉เป็นบัญชีธรรมดาสามารถใช้งานได้และใช้ฟังชันก์ได้ครบ
✅ติดตั้งและใช้งานผ่าน Tradingview เท่านั้น (Script-Invite) สามารถดูสัญญาณ buy-sell พร้อม Tp/Sl และอื่นๆ แล้วนำไปเทรดผ่าน Mt4 Mt5 Broker หรือ Platform ไหนก็ได้
❤️ดูตัวอย่างผลลัพธ์และตัวอย่างกราฟหน้าเพจได้เลย
📌หากสนใจคอมเม้น "ขอรายละเอียด" หรือ ติดต่อสั่งซื้อทางเพจได้ทันที พร้อมส่งรายละเอียดทั้งหมดให้พิจารณา
------------------------------------------
👉ฟังชันก์ทั้งหมดของอินดิเคเตอร์และคำอธิบาย :
🔗 www.facebook.com
------------------------------------------
⭐️เทรดได้ทั้งตามเทรนและสวนเทรน
🔥พร้อมบอกจุด TP/SL อัตโนมัติ
🔥จุดเข้าสวย-คมกริบ มีโอกาสกลับตัวเสมอ
✅มีการทดสอบมาแล้วแม่นยำสูงถึง 70-80%
------------------------------------------
⭐️ฟังชันก์เสริมที่มี
⚒คาดการณ์จุด Top-Bottom ของตลาดบ่งบอกการกลับตัว
⚒Market Structure (BOS/ChoCH)
⚒Supply-Demand Zone
⚒Order Block
⚒มีตัวบอก Trend ของตลาด
⚒กรอบราคา High/Low Channel สำหรับการเทรด Sideway
✅พร้อมระบบแจ้งเตือน Buy-Sell ไม่ต้องเฝ้ากราฟ
✅ปรับแต่งค่าต่างๆได้อย่างอิสระ เช่น TP/SL,สีของเส้นต่างๆ,เปิดปิดสัญญาณต่างๆอย่างอิสระ
------------------------------------------
✅สัญญาณไม่มี repaint ใช้ข้อมูลกราฟปัจจุบัน
✅สัญญาณไม่หาย ไม่มีสัญญาณเกิดย้อนหลัง ตามกราฟจริง 100%
👉เล่นได้ตลอดทั้งวัน ไม่จำเป็นต้องถือยาว Daytrade ได้
👉ใช้งานได้ทุกไทม์เฟรม ทุกตลาด ทุกคู่เหรียญ
👉มีแจ้งเตือนสัญญาณ Buy-Sell แบบ 2 In 1 ตั้งทีเดียวจบ
------------------------------------------
✅พร้อมคู่มือการใช้งานอินดิเคเตอร์อย่างละเอียด
✅ซื้อครั้งเดียวใช้งานตลอดชีพ ไม่ต่ออายุ
✅สามารถใช้ได้ทั้งคอมพิวเตอร์ มือถือ ผ่าน Tradingview
✅การติดตั้งผ่าน Script-Invited (กุญแจล็อก) > เพียงส่ง Username ของ Tradingview ให้เรา ทีมงานจะทำงานติดตั้งให้เรียบร้อยโดยที่ลูกค้าไม่ต้องทำการใดๆเลย อินดิเคเตอร์จะเข้าในบัญชีอัตโนมัติ รอเปิดใช้อินดิเคเตอร์อย่างเดียว
✅พร้อมมีการอัพเดท Indicator อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เข้ากับผู้ใช้งานมากขึ้น
------------------------------------------
💎ตัวอย่างกราฟ Many Pro Indicator (MPI)
✅สัญญาณไม่มี repaint ใช้ข้อมูลกราฟปัจจุบัน
✅สัญญาณไม่หาย ไม่มีสัญญาณเกิดย้อนหลัง ตามกราฟจริง 100%
👉ถ้าเป็น forex แนะนำที่ไทม์เฟรม 1/5/15 นาที
👉ถ้าเป็น crypto จะใช้ไทม์เฟรม 15/60 นาทีครับ
⭐️ความถี่ในการเกิดสัญญาณ
-ไทม์เฟรม 1 นาที 20-40 Signal/วัน (เทรดได้ทั้งวัน)
-ไทม์เฟรม 5 นาที 5-10 Signal/วัน
-ไทม์เฟรม 15 นาที 1-3 Signal/วัน
❗️สัญญาณแม่นที่สุดในไทม์เฟรม 15 นาที
------------------------------------------
⚒ตัวอย่างอินดิเคเตอร์ MPI เมื่อเปิดใช้ในไทม์เฟรมต่างๆ
TF : 1 นาที
🔗 www.facebook.com
TF : 5 นาที
🔗 www.facebook.com
TF : 15 นาที
🔗 www.facebook.com
TF : 30 นาที
🔗 www.facebook.com
TF : 60 นาที
🔗 www.facebook.com
👉ดูตัวอย่างเพิ่มเติมหน้าเพจได้เลยครับ
✅สรุปผลลัพธ์อินดิเคเตอร์ทุกวันหน้าเพจ
------------------------------------------
🖥ตัวอย่างผลลัพธ์อินดิเคเตอร์ MPI ในแต่ละวัน/การใช้งานจริง
👀ตัวอย่าง MPI Version ล่าสุด
🔗 www.facebook.com
🔗 www.facebook.com
🔗 www.facebook.com
🔗 www.facebook.com
📍ตัวอย่างเพิ่มเติม
🔗 www.facebook.com
------------------------------------------
⚡️เมื่อซื้ออินดิเคเตอร์ Many Pro Indicator (MPI)⚡️
❗️โปรลับสุดคุ้ม❗️
🔥ตอนนี้มีโปร 1990 บาท สำหรับ 1 User ใช้งานถาวรไม่ต้องต่ออายุ (จากปกติ 2490 บาท)
------------------------------------------
👋❗️โปรชวนเพื่อน❗️👋
❤️โปรแพ็คคู่สำหรับ 2 User ในราคา 2990 บาท (จากปกติ 3990 บาท) หารคนละ 1495 บาทเท่านั้น
✔️โปรแลกซื้อ 3 จ่าย 2 คนเพียง 3990 บาท (จากปกติ 5990 บาท) ได้สิทธิรับอินดิเคเตอร์ 3 User หารคนละ 1330 บาทเท่านั้น
📌หมายเหตุ : โปรโมชั่นนี้ไม่ใช้ร่วมกับโปรโมชั่นแถมหนังสือและส่วนลดอื่นๆ
🔗 www.facebook.com
------------------------------------------
📕หากอยากดูรายละเอียดของอินดิเคเตอร์ทั้งหมดอยู่ในคู่มือนี้ลองอ่านดูได้เลยครับ :
🔗 www.facebook.com
------------------------------------------
👉รีวิวจากลูกค้าที่ใช้ Indicator ของเรา
🔗 www.facebook.com
------------------------------------------
👉บัญชีธรรมดาก็ใช้ได้ตลอดชีพ
⚡️เพียง 2490 บาทจ่ายครั้งเดียวใช้งานตลอดชีพ
📌หากสนใจคอมเม้น "ขอรายละเอียด" หรือ ติดต่อสั่งซื้อทางเพจได้ทันที
พร้อมส่งรายละเอียดทั้งหมดให้พิจารณาครับ
MTA : วิธีการใช้ Multiple Timeframe Analysis MTA: วิธีการใช้ Multiple Timeframe Analysis
👰กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับการเทรดวิเคราะห์กราฟและการแชร์เทคนิคคอลแจ่มๆที่ใช้ดีและบอกต่อ หลายคนอาจจะงง กับการเทรดหลายๆทามเฟรม และบางคนก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าการเทรดเพียงแค่ทามเฟรมเดียว หรือ เทรดหลายทามเฟรมมีดีอย่างไร มาครับวันนี้แอดพาไปทำความรู้จักการเทรดแบบ MTA กัน ตามมาอ่านกันได้เลย
การใช้ Multiple Timeframe Analysis (MTA) เป็นเทคนิคที่ช่วยให้เทรดเดอร์เห็นภาพรวมของตลาดได้ชัดเจนขึ้น โดยการวิเคราะห์กรอบเวลาใหญ่เพื่อหาแนวโน้มหลัก และกรอบเวลาเล็กเพื่อหาจุดเข้า-ออกที่แม่นยำ นี่คือขั้นตอนละเอียดในการใช้ MTA อย่างมีประสิทธิภาพ
1. เลือกกรอบเวลาที่เหมาะสม
การวิเคราะห์หลายกรอบเวลาควรใช้กรอบเวลาที่สัมพันธ์กัน เช่น:
กรอบเวลาใหญ่ (Higher Timeframe - HTF): ใช้เพื่อหาแนวโน้มหลัก เช่น Daily (D1), H4
กรอบเวลากลาง (Intermediate Timeframe): ใช้เพื่อยืนยันสัญญาณ เช่น H1
กรอบเวลาเล็ก (Lower Timeframe - LTF): ใช้เพื่อหาจุดเข้า-ออก เช่น M15, M5
2. วิเคราะห์กรอบเวลาใหญ่ (HTF) เพื่อหาแนวโน้มหลัก
ขั้นตอน:
เปิดกราฟกรอบเวลาใหญ่ (เช่น Daily)
ใช้เครื่องมือวิเคราะห์แนวโน้ม เช่น Moving Average (MA), Trendline, หรือ ADX
ระบุแนวโน้มหลัก:
ขาขึ้น (Uptrend): Higher Highs (HH) และ Higher Lows (HL)
ขาลง (Downtrend): Lower Highs (LH) และ Lower Lows (LL)
Sideway/Range: ราคาเคลื่อนที่ในกรอบแนวนอน
ระบุระดับ Support/Resistance ที่สำคัญ
ตัวอย่าง:
หากกราฟ Daily แสดงแนวโน้มขาขึ้น ให้มองหาโอกาสซื้อ (Buy) ในกรอบเวลาเล็ก
หากกราฟ Daily แสดงแนวโน้มขาลง ให้มองหาโอกาสขาย (Sell) ในกรอบเวลาเล็ก
3. วิเคราะห์กรอบเวลากลางเพื่อยืนยันสัญญาณ
ขั้นตอน:
เปิดกราฟกรอบเวลากลาง (เช่น H4)
ตรวจสอบว่าแนวโน้มในกรอบเวลากลางสอดคล้องกับกรอบเวลาใหญ่หรือไม่
ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพิ่มเติม เช่น Fibonacci Retracement, RSI, หรือ MACD เพื่อหาจุดกลับตัวหรือสัญญาณยืนยัน
ตัวอย่าง:
หากกราฟ Daily เป็นขาขึ้น และกราฟ H4 แสดง Pullback (การปรับตัวลงชั่วคราว) ให้มองหาโอกาสซื้อเมื่อราคากลับมาทะลุแนวต้านหรือยืนเหนือ MA
4. วิเคราะห์กรอบเวลาเล็ก (LTF) เพื่อหาจุดเข้า-ออก
ขั้นตอน:
เปิดกราฟกรอบเวลาเล็ก (เช่น M15)
หาจุดเข้าเทรดโดยใช้สัญญาณจาก Price Action หรือตัวบ่งชี้ เช่น:
Price Action: รูปแบบแท่งเทียน (Pin Bar, Engulfing, Inside Bar)
ตัวบ่งชี้: RSI, Stochastic Oscillator, หรือ MACD
ตั้ง Stop Loss และ Take Profit โดยอ้างอิงจากกรอบเวลาใหญ่และกลาง
ตัวอย่าง:
หากกราฟ Daily และ H4 แสดงแนวโน้มขาขึ้น และกราฟ M15 แสดงสัญญาณซื้อ (เช่น Bullish Engulfing) ให้เข้าซื้อและตั้ง Stop Loss ต่ำกว่า Support ล่าสุด
5. จัดการความเสี่ยงและวางแผนเทรด
Stop Loss: ตั้ง Stop Loss โดยอ้างอิงจากกรอบเวลาใหญ่หรือกลาง เพื่อให้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับการเคลื่อนไหวของราคา
Take Profit: ตั้ง Take Profit โดยอ้างอิงจากระดับ Resistance ในกรอบเวลาใหญ่หรือกลาง
Risk-Reward Ratio: ควรมีอัตราส่วน Risk-Reward อย่างน้อย 1:2 (เสี่ยง 1 เพื่อกำไร 2)
6. ตัวอย่างการใช้งานจริง
สมมติคุณวิเคราะห์กราฟ Daily และพบว่า EUR/USD อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
กรอบเวลาใหญ่ (Daily):
แนวโน้มขาขึ้น (Higher Highs และ Higher Lows)
Support หลักอยู่ที่ 1.1000
กรอบเวลากลาง (H4):
ราคากำลัง Pullback ลงมาใกล้ระดับ Support ที่ 1.1000
RSI ใกล้ Oversold (30)
กรอบเวลาเล็ก (M15):
ราคาเกิด Bullish Engulfing Pattern ใกล้ระดับ 1.1000
เข้าซื้อที่ 1.1005 และตั้ง Stop Loss ที่ 1.0980 (ต่ำกว่า Support)
ตั้ง Take Profit ที่ 1.1100 (ใกล้ระดับ Resistance ในกรอบ Daily)
7. ข้อควรระวัง
False Signal: สัญญาณในกรอบเวลาเล็กอาจไม่แม่นยำหากไม่สอดคล้องกับกรอบเวลาใหญ่
Overanalysis: อย่าวิเคราะห์กรอบเวลาเล็กมากเกินไปจนเสียโฟกัสจากแนวโน้มหลัก
ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับสไตล์การเทรด: หากเป็นเทรดเดอร์ระยะสั้น อาจใช้กรอบเวลาเล็กเป็นหลัก แต่ต้องยืนยันแนวโน้มจากกรอบเวลาใหญ่
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กลยุทธิ์การเทรดแบบ MTA เรียบง่ายแต่ทรงพลัง แถมทำกำไรได้เรื่อยๆอีกนะ มันทำให้เราไม่ต้องไปพะว้าพะวง หรือเครียดมากจนเกินไปด้วย ที่สำคัญต้องหมั่นฝึกฝนและทดสอบกลยุทธ์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดข้อผิดพลาดในการเทรดเสมอ แล้วเราจะเก่งและกำไรเรื่อยๆครับ
Day Trading Strategy กลยุทธ์การเทรดรายวันมีอะไรบ้างนะ?Day Trading Strategy
กลยุทธ์การเทรดรายวันมีอะไรบ้างนะ?
👽👽 กลับมาพบเจออกันอีกแล้ว กับเทคนิคการทำกำไร ทริคดีๆทริคเด็ดๆ ที่แอดเอามาฝากกันเช่นเคย บทความนี้เอาใจสายเทรดที่ชอบเก็บกำไรทุกวันครับ มาครับมา ใครชื่นชอบหรือเสพติดการเทรดแบบรายวันต้องอ่านแล้วน๊า
การเทรดรายวัน (Day Trading) คือการซื้อและขายสินค้าหรือสินทรัพย์ทางการเงินให้จบภายในวันเดียวกัน โดยมีจุดมุ่งหมายในการทำกำไรจากความผันผวนของราคาในตลาด โดยการเปิดและปิดจบในวันเดียว ไม่มีแช่ หรือข้ามวันนั่นเอง
กลยุทธ์ Day Trading มีอะไรบ้าง
1. การเทรดแบบ Scalping
กลยุทธ์นี้ใช้กรอบเวลาตั้งแต่ 1นาทีขึ้นไป จนถึง 30 นาที ทำกำไรได้น้อย แต่บ่อยครั้ง
2. กลยุทธ์ Range trading
กลยุทธ์นี้ส่วนใหญ่จะใช้ระดับแนวรับและแนวต้านเป็นหลัก เพื่อกำหนดจุดในการเข้า หรือเรียกว่า Swing Trading โดยจะเข้าทำกำไรและถือนานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน แต่ไม่ข้ามวัน
3. กลยุทธ์ News-based trading
กลยุทธ์นี้จะทำการซื้อขายจากความผันผวน เหตุการณ์ข่าวและพาดหัวข่าว เพราะกราฟค่อนข้างวิ่งเร็วและแรง ส่วนใหญ่นิยมเทรดหลังจากข่าวออกตั้งแต่วินาทีแรก จนถึง15 นาที แรก และ เทรดอีกครั้ง หลังข่าวออกไปแล้วอีก 15 นาที เรียกว่าเก็บรอบกำไรได้หลายทางแล้วแต่ความถนัดและความชำนาญ
4. กลยุทธ์ Reversal
กลยุทธ์นี้จะทำการซื้อขายจากการกลับตัวของเทรนในระยะสั้นและระยะยาวได้หมด ขึ้นอยู่กับแพทเทรินก่อนหน้าที่เป็นตัวบอกเทรนด์
เทคนิคการเทรดรายวัน
1. การวิเคราะห์เทคนิค (Technical Analysis) พวกกราฟแท่งเทียนเป็นต้น
2. การวิเคราะห์ข่าวสารและเหตุการณ์ (Fundamental Analysis) อ่านข่าวให้เยอะเข้าไว้
3. การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ (Indicators) สำคัญมากเลือกให้ตรงกับใจเราคือใช้แล้วชอบใช้แล้วดีนั่นเอง
4. การกำหนดเป้าหมายและวางแผนการเทรด เราจะได้เทรดตามแผนเป้าหมายได้ง่ายขึ้น
5. การควบคุมการเสี่ยง ตัวนี้สำคัญ รู้แพ้ รู้ชนะ ยังไงเราก็กำไรฮะ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ได้ทริคดีๆในการทำกำไรเพิ่มกันแล้วใช่มั้ยครับ อย่าลืมเอาไปลองใช้กันดูนะฮะ ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นเทคนิคการทำกำไรที่ดีของเราเลยก็ว่าได้ แอดหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เราอ่านกราฟได้ดี อ่านกราฟได้เก่งมากขึ้นนะครับ จำไว้เสมอว่ากราฟมีขึ้นแล้วก็มีลง ไม่ต้องไปเครียดกะมันหมั่น ฝึกฝนและเพิ่มเติมความรู้อย่างสม่ำเสมอ รับรอง เทรดยังไงก็รอดครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM กันด้วยนะครับ วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่งแน่นอนครับ แอดเอาใจช่วยสู้ๆ
อัตราความสำเร็จที่แท้จริงของ Ascending Wedge ในการซื้อขายอัตราความสำเร็จที่แท้จริงของ Ascending Wedge ในการซื้อขาย
การแนะนำ
ลิ่มที่เพิ่มขึ้นหรือที่เรียกว่าลิ่มที่เพิ่มขึ้น เป็นรูปแบบกราฟที่มีอัตราความสำเร็จในการซื้อขายที่โดดเด่น การวิเคราะห์นี้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับประสิทธิภาพ ความน่าเชื่อถือ และตัวบ่งชี้เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน
อัตราความสำเร็จและประสิทธิภาพ
สถิติที่สำคัญ
อัตราความสำเร็จโดยรวม: 81% ในตลาดกระทิง
กำไรที่เป็นไปได้เฉลี่ย: 38% ในแนวโน้มขาขึ้นที่มีอยู่
- การจัดการฝ่าวงล้อม
หยาบคาย: 60% ของกรณี
รั้น: 40% ของกรณี
ความน่าเชื่อถือตามบริบท
ตลาดกระทิง: สำเร็จ 81% กำไรเฉลี่ย 38%
หลังแนวโน้มขาลง: สำเร็จ 51% ลดลงเฉลี่ย 9%
ข้อควรพิจารณาที่สำคัญ
โดยทั่วไปแล้วลิ่มที่เพิ่มขึ้นจะเป็นรูปแบบหมี ซึ่งบ่งชี้ถึงการกลับตัวที่อาจเกิดขึ้น
ความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาของการสร้างรูปแบบ
การยืนยันการทะลุผ่านโดยตัวชี้วัดอื่นๆ โดยเฉพาะปริมาณ เป็นสิ่งสำคัญ
ตัวชี้วัดเพิ่มเติม
-ปริมาณ
ลดลงทีละน้อยระหว่างการฝึก
เพิ่มขึ้นอย่างมากระหว่างการฝ่าวงล้อม
-ออสซิลเลเตอร์
RSI (Relative Strength Index): ระบุสภาวะการซื้อมากเกินไป/การขายมากเกินไป
Stochastic: ตรวจจับความแตกต่างของราคา/ตัวบ่งชี้
- ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
Crossovers: สัญญาณการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม
- แนวรับ/แนวต้านแบบไดนามิก: ยืนยันความถูกต้องของมุมเอียง
-ตัวชี้วัดโมเมนตัม
MACD: ระบุความแตกต่างของราคา/ตัวบ่งชี้
โมเมนตัม: ประเมินแนวโน้มที่กำลังจะหมดลง
-องค์ประกอบอื่นๆ
ระดับฟีโบนัชชี: ระบุแนวรับ/แนวต้านที่เป็นไปได้
การวิเคราะห์แท่งเทียนญี่ปุ่น: ให้ข้อบ่งชี้ในการกลับตัว
บทสรุป
ลิ่มจากน้อยไปหามากเป็นเครื่องมืออันทรงพลังสำหรับเทรดเดอร์ โดยเสนออัตราความสำเร็จสูงและศักยภาพในการทำกำไรที่สำคัญ การใช้ตัวบ่งชี้เสริมร่วมกันจะเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณและปรับปรุงความแม่นยำของการตัดสินใจซื้อขาย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแสวงหาการบรรจบกันของสัญญาณจากหลายแหล่งเพื่อลดสัญญาณเท็จและเพิ่มประสิทธิภาพการซื้อขาย
-
นี่เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อขายหลังจากลิ่มตัวขึ้นอย่างมืออาชีพ:
- ยืนยันการฝ่าวงล้อมแล้ว
รอให้เทียนปิดต่ำกว่าเส้นแนวรับลิ่ม
มองหาปริมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่จุดฝ่าวงล้อมเพื่อยืนยันความถูกต้อง
- การสอบซ้ำ
สังเกตการดึงกลับของแนวรับที่ขาดซึ่งกลายเป็นแนวต้าน
ป้อนเมื่อราคากระเด้งต่ำลงจากแนวต้านใหม่นี้ เพื่อยืนยันแนวโน้มขาลง
-การรวมตัวหลังการฝ่าวงล้อม
ระบุการก่อตัวของธงหรือชายธงหลังจากการฝ่าวงล้อมครั้งแรก
เข้าสู่ที่จุดทะลุของรูปแบบย่อยนี้ในทิศทางของแนวโน้มขาลงหลัก
- ยืนยันความคลาดเคลื่อน
มองหาความแตกต่างที่เป็นขาลงบนออสซิลเลเตอร์ เช่น RSI หรือ MACD
ป้อนเมื่อราคายืนยันความแตกต่างโดยทำลายแนวรับใกล้เคียง
-จับเวลาด้วยเทียนญี่ปุ่น
ระบุรูปแบบหมีๆ เช่น ดาวยามเย็น ฮารามิหมี หรือเมฆดำ
เข้าทันทีที่แท่งเทียนถัดไปยืนยันรูปแบบหมี
- ข้อควรพิจารณาที่สำคัญ
วางจุดหยุดขาดทุนเสมอเพื่อจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
อดทนและรอการยืนยันการตั้งค่าก่อนเข้าสู่การซื้อขาย
ตรวจสอบแนวโน้มในกรอบเวลาที่สูงขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าการซื้อขายมีความสม่ำเสมอ
ผสานรวมการวิเคราะห์ลิ่มจากน้อยไปมากกับตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อปรับปรุงคุณภาพการตัดสินใจ
โดยการปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ เทรดเดอร์สามารถเพิ่มประสิทธิภาพรายการของพวกเขาในเวดจ์จากน้อยไปมากในขณะเดียวกันก็ลดความเสี่ยงของสัญญาณที่ผิดพลาด
รูปแบบกราฟ Double Tops
Double Top : รูปแบบ Double Top เกิดจากราคาที่ขึ้นไปสูงถึงจุดหนึ่ง (ยอดแรก) แล้วลดลงมา จากนั้นพยายามขึ้นไปใหม่แต่ไม่สามารถทำยอดสูงสุดใหม่ได้ (ยอดที่สอง) เป็นสัญญาณว่าตลาดอาจกำลังกลับตัวจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง โดยจุดสูงสุดสองจุดนี้มักจะอยู่ในระดับราคาที่ใกล้เคียงกัน
Shooting Star Candle : ที่ยอดสูงสุดในครั้งที่สอง มีแท่งเทียนแบบ Shooting Star ปรากฏ ซึ่งเป็นแท่งเทียนที่มีเงายาวด้านบนและตัวเทียนเล็ก ๆ แสดงถึงแรงขายที่เริ่มเข้ามาในตลาด เป็นสัญญาณการกลับตัวที่มีนัยสำคัญ
Neckline : เส้นแนวนอนที่ลากผ่านจุดต่ำสุดระหว่างยอดทั้งสอง เป็นแนวรับที่สำคัญ ถ้าราคาทะลุลงต่ำกว่า Neckline นี้ จะยืนยันว่ารูปแบบ Double Top สมบูรณ์ และมีแนวโน้มที่ราคาจะลงต่อไป
Bear Signal : สัญญาณขาย (Bear Signal) ปรากฏเมื่อราคาลดลงต่ำกว่าเส้น Neckline แสดงถึงการยืนยันแนวโน้มขาลง
สิ่งที่ BTC เทรดเดอร์ต้องเจอในปี 2024 ก่อนจะพบกับความปิติวันนี้ ( 12/11/2024 ) เราเห็นคนอวดกำไร โพสราคา บ่นอะไรต่างๆ นาๆ เกี่ยวกับ BTC ที่เฉียด 100k กันอย่างสนุกสนาน
แต่ใครจะคิดว่า ก่อนหน้านี้ ตลอดหลายเดือน ที่ BTC ไปทำ ATH ที่ 74k แล้วก็ยึกยักไม่ไปไหนตลอด 7 เดือน คนที่อยู่ในตลาดกันมานานๆ ... แม่งโคตรๆ จะสิ้นหวัง โดยพอจะสรุปความสิ้นหวังได้ดังนี้
### 1. ระบบสับขาหลอกชิบหายวายป่วง
ตั้งแต่มันไปทำ ATH เมื่อ 14/3/2024 หลังจากนั้นกราฟ BTC ก็สับขาหลอกไปมาอยู่ตลอด 7 เดือน จนถึงมาขึ้นจริง เขียวจริง ก็วันที่ 15/10/2024 โดยถ้าไปไล่ดูก็จะพบว่า เราเจอ false sig กันไปทั้งหมดถึง 5 รอบ โดยแต่ระบบ ก็เท่าทุนบ้าง กำไรนิดหน่อยบ้าง หรือแม้แต่ขาดทุน
โดยใครที่ไม่ได้คุมความเสี่ยง หรือทำ position sizing ดีๆ เจอการสับขาหลอก 5 รอบ ผมบอกเลยว่า ขาดทุนหนัก แน่ๆ เพราะมีลูกเพจมาบ่นในเม้น 555 ส่วนผมที่วาง position size มาดี ก็ยังเจอการคืนกำไรหนัก โดยตอนเดือนมี.ค. กำไรสูงสุดอยู่ที่ +19.43% และพอถึงเดือน ตุลาคม ก่อนจะบิน เหลือกำไรแค่ 10.40% หรือพูดง่ายๆ คือ คืนกำไรไปตั้ง 50% นั่นเอง
หลายๆ คนเจอการสับขาหลอกแบบนี้บ่อยๆ ก็เริ่มรู้สึกว่า ระบบมันกาก มันใช้ไม่ได้ และก็เริ่มไปหา "ระบบเทพ" อื่นๆ ที่คนอวดกำไรกัน หรือเลือกที่จะไม่เชื่อระบบไปเลย และแทงสวนอีกด้วย... เพื่อที่จะพบว่า วันที่ย้ายระบบ/ไม่เชื่อระบบ ก็คือวันที่เสียโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ไปนั่นเอง
### 2. ดอลล่าห์อ่อนหนักมาก
ปีนี้นอกจากเราจะเจอการสับขาหลอกนรกแตกแล้ว เรายังเจอดอลอ่อนเป็นแบงค์กงเต็ก เทียบกับเงินบาทด้วย โดยช่วงต้นปี ดอลล่าห์เคยขึ้นไปสูงถึง 37 บาท ต่อดอลล่าห์ ก่อนที่จะอ่อนยวบลงมาจนเกือบหลุด 32 บาทต่อดอล หรือพูดง่ายๆ คือ ถ้าถือดอล เงินบาทเราจะหายไปถึง -13.5% นั่นเอง
ถามว่าดอลอ่อนแล้วเกี่ยวอะไร? ก็เกี่ยวสิ เพราะตอนที่เราโดน false sig เราเข้าตอนที่ดอลราคาสูง แต่พอต้องคัท นอกจากต้องคัทแบบขาดทุนดอลแล้ว ก็จะขาดทุนเงินบาทสมทบเข้าไปอีกดอก ก็เลยจุกสองเด้งนั่นเอง 555
### 3. BTC ไหลเขื่อนแตกจาก ATH 74k ไปเหลือแค่ 49k หรือลงไปถึง -33%
ช่วงกลางปี หลายๆ คนที่เทรด หรือ buy the dip BTC ก็น่าจะเจอช่วงที่ราคารูดเขื่อนแตกลงไปทำ All time low ของปีที่ 49k ทำให้หลายๆ คนที่ไปใช้ leverage หรือใช้ท่าช้อนซื้อไปเรื่อยๆ ก็น่าจะพอร์ตแตก กันไปเรียบ ยังไม่นับคนที่ไปกาวซื้อตอน ATH แล้วไปคัทที่ 49k ด้วยความกลัวอีกนะ ซึ่งผมว่าก็น่าจะมีไม่น้อยเลย
### 4. DCA ตลอดทั้งปี มีแต่ขาดทุน
ใครที่มาเริ่ม DCA BTC ตอนต้นปี หรือตอน ATH แล้วเจอช่วงซึมทรง กลางปีเข้าไป บอกเลยว่า น่าจะสิ้นหวังกันไปไม่มากก็น้อย ยิ่งถ้าคนที่ DCA แล้วกะจะรวยเลย ไม่ได้มองเกมยาวๆ เจอยิ่งซื้อยิ่งซึม ก็จะยิ่งท้อเข้าไปใหญ่ และส่วนใหญ่ พอซึมมากๆ ก็จะท้อแล้วเลิก DCA ไปก่อนนั่นเอง 555
### สรุป
การที่เราจะเทรด BTC แล้วมีกำไร ในปีนี้ มันไม่ง่ายเลยจริงๆ แต่การที่เราจะโพสบอกกำไรในเพจ เพื่อเรียก engagement มันโคตรง่าย 555
ที่ทำโพสนี้ขึ้นมาก็เพื่อที่จะให้กำลังใจหลายๆ คนที่อดทนเจออุปสรรคตลอดปีนี้กันมา และ ยินดีกับผลกำไรของความเหนื่อยยาก และการอดทน ทำตามระบบ อย่างมีวินัย และไม่ท้อไปเสียก่อนนะครับ
ส่วนใครที่โดน หรือตกรถกันมาในปีนี้ ก็ขอให้เก็บบทเรียนเหล่านี้ไว้ และนำไปปรับปรุงแผนการเทรดของท่านในอนาคต เพราะไม่มีใครสอนท่านได้ เท่าตัวท่านเองครับ
ส่วนคนที่ได้กำไรเยอะๆ เพราะไปซัดหนักๆ ตามน้ำ ก็ดีใจกับท่านด้วยนะ แต่ก็อยากจะบอกไว้ว่า ตอนตลาดขึ้นแบบนี้อ่ะ ลิงก็ทำกำไรได้ ไม่ใช่ความเก่งกาจอะไรของคุณหรอก สิ่งที่จะแยกเราออกจากลิง ก็คือ การรักษากำไรที่ได้มา ไม่ให้มันคืนตลาดไปหมด ในช่วงที่ตลาดเริ่มผันผวนต่างหาก 555
#staysafe #รอดให้ได้ก่อนเดี๋ยวกำไรมาเอง
Retest Trading แบบไหนให้ได้กำไรRetest Trading แบบไหนให้ได้กำไร
👽👽 เคยเป็นกันบ้างมั้ยกับการอ่านกราฟทางเทคนิคแล้วโดนกราฟหลอก ไปทางไหนก็ผิดทาง รีเทสแล้ว รีเทสอีก ก็ยังผิดทาง หรือเราจะอ่านกราฟผิดกันนะ มาครับ บทความนี้แอดมีคำตอบให้
กลไกของกลยุทธ์การ Retest
กลไกของกลยุทธ์ Retest มักมาควบคู่กันพร้อมกับ Breakout เสมอ หลักและใจความสำคัญ ที่จำเป็นในการเทรดก็คือการอ่านแนวรับแนวต้านให้ออก และจำเป็นต้องใช้เครื่องมือตัวบ่งชี้ทางเทคนิคช่วยด้วยอีกทางหนึ่ง
สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงก็คือ
1. เมื่อกราฟราคาพุ่งขึ้นสูงสุดหรือลงต่ำสุด และทะลุแนวรับหรือแนวต้าน โดยมีปริมาณ Volumn การซื้อขายที่สูงหรือต่ำตามมาติดๆ
- การ Breakout ในแนวรับหรือแนวต้าน จะเกิดขึ้นเป็นอันดับแรก
- อันดับต่อมาที่ต้องเฝ้าระวังคือ การย่อ..........หรือการเปลี่ยนทิศทางกระทันหันเพื่อหลอกล่อเม่าน้อยๆให้มาติดกับ
- ถัดจากการล่อเม่าเสร็จสิ้น ราคาจึงจะวิ่งกลับไป Retest ณ จุด จุด เดิมอีกครั้ง
- จุดนี้แหละ ที่เราต้องเฝ้าระวัง เพื่อหาจุดเข้าสวยๆเข้าฮะ
รูปแบบแท่งเทียนที่พบได้บ่อยที่สุดในกลยุทธ์ Break and Retest ได้แก่
1. Wedge Pattern แสดงถึงเส้นแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงภายในช่วงราคาที่แคบลงเรื่อยๆ
2. Consolidation Pattern บ่งบอกถึงช่วงราคาในแนวนอน หรือกราฟไซด์เวย์ สำหรับการเล่นสั้น ทั้งขาขึ้น และขาลง ซึ่งยังหาแนวโน้มที่ชัดเจนไม่ได้แต่คันมือ จัดเบาๆไปก่อน
3.Triangles Pattern รูปแบบสามเหลี่ยม คือการทะลุกรอบสามเหลี่ยมออกไป เป็นไปได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
4. The Channel Patterns แสดงถึงเส้นแนวโน้มเส้นขนาน ซึ่งเป็นไปได้ทั้งไซด์เวย์สลับฟันปลา และไซด์เวย์อัพ ไซด์เวย์ดาว์น โดยราคาจะวิ่งไต่กรอบเส้นเทรนไลน์ไปเรื่อยๆ เป็นเส้นคู่ขนาน
**** นอกจากรูปแบบแท่งเทียนแล้ว อินดิเคเตอร์ที่จัดว่าเด็ดและช่วยในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้แก่ MACD หรือ RSI เพื่อช่วยยืนยันทิศทางของแนวโน้มที่เราคาดการณ์ไว้
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ แอดหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เราอ่านกราฟได้ดี อ่านกราฟได้เก่งมากขึ้นนะครับ จำไว้เสมอว่ากราฟมีขึ้นแล้วก็มีลง ไม่ต้องไปเครียดกะมันหมั่นึกฝนและเพิ่มเติมความรู้อย่างสม่ำเสมอ รับรอง เทรดยังไงก็รอดครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM กันด้วยนะครับ วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่งแน่นอนครับ แอดเอาใจช่วยสู้ๆ
สามเหลี่ยมสมมาตร: อัตราความสำเร็จที่แท้จริง + การฝ่าวงล้อมสามเหลี่ยมสมมาตร: อัตราความสำเร็จที่แท้จริง + การฝ่าวงล้อม
สามเหลี่ยมสมมาตรเป็นรูปแบบกราฟที่สำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งสมควรได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากเทรดเดอร์มืออาชีพ
รูปแบบนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะด้วยการบรรจบกันของราคาระหว่างเส้นแนวโน้มสองเส้น เส้นหนึ่งเป็นขาลงและอีกเส้นหนึ่งเป็นขาขึ้น ทำให้เกิดโซนการรวมตัวที่ซึ่งความชัดเจนระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย
การวิเคราะห์ทางสถิติ
ข้อมูลเชิงประจักษ์เผยให้เห็นว่าอัตราความสำเร็จของสามเหลี่ยมสมมาตรสำหรับการต่อเนื่องของแนวโน้มคือประมาณ 54% เปอร์เซ็นต์นี้ แม้จะสูงกว่า 50% แต่ก็เน้นย้ำถึงความสำคัญของแนวทางที่ระมัดระวังและการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวดในการใช้ตัวเลขนี้
เบรกพอยต์
โดยทั่วไปการทะลุของสามเหลี่ยมสมมาตรเกิดขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนที่ไปประมาณ 75% ของระยะทางถึงจุดยอด จุดนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ เนื่องจากมักจะแสดงถึงช่วงเวลาที่ความผันผวนเพิ่มขึ้นและสามารถสร้างแนวโน้มใหม่ได้
ความเสี่ยงและการออกที่ผิดพลาด
สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่ารูปสามเหลี่ยมสมมาตรมีอัตราการออกที่ผิดพลาดค่อนข้างสูง สถิติระบุว่าประมาณ 13% ของกรณีในตลาดหมีอาจส่งผลให้เกิดการออกจากจุดต่ำสุดที่ผิดพลาด ปรากฏการณ์นี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการยืนยันเพิ่มเติมก่อนเข้าสู่ตำแหน่ง
กลยุทธ์การใช้งาน
เพื่อใช้ประโยชน์จากสามเหลี่ยมสมมาตรอย่างมีประสิทธิภาพ เทรดเดอร์มืออาชีพจะต้อง:
-ระบุรูปแบบได้อย่างแม่นยำ
-รอการทะลุบริเวณใกล้จุดบรรจบกันของเส้นแนวโน้ม
-ยืนยันการทะลุผ่านตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ หรือปริมาณที่เพิ่มขึ้น
- ใช้การจัดการความเสี่ยงที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการออกที่ผิดพลาด
โดยสรุป สามเหลี่ยมสมมาตรแม้จะเป็นเครื่องมืออันมีค่าในคลังแสงของเทรดเดอร์ แต่ก็ต้องอาศัยวิธีการที่เป็นระบบและความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงคุณลักษณะของมัน เพื่อนำไปใช้อย่างมีประสิทธิผลในกลยุทธ์การซื้อขาย
SMC + AOแนวทางการเทรด
เครื่องมือ
1. โครงสร้างราคา
2. AO
ขาขึ้น
1.จุดกลับตัว จาก ขาลงเป็น ขาขึ้น
1.1 AO อยู่โซนลบ
1.2 โครงสร้างราคาเกิดการทำลายโครงสร้าง
1.3 AO กลับตัวเป็น +
1.4 limit order ตรง Choch
1.5 RR 1:2
2. รันเทรน
2.1 AO +
2.2 รอ Bos
2.3 limit order ตรง Bos
2.4 RR 1:1
3.Scalping
3.1 AO +
3.2 รอ จบแท่ง HTF
3.3 ที่ LTF ใช้หลักการใน ข้อ 1,2 ในการเทรด ตามโครงสร้างที่ทำไว้ใน แท่ง HTF
3.4 RR 1:2
Fibonacci Extension ในการเทรด Forex และวิธีใช้งานในการเทรด Forex นักเทรดมักจะใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มของราคา หนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมมากคือ Fibonacci Extension ซึ่งช่วยในการคาดการณ์ระดับราคาที่เป็นไปได้ของแนวโน้ม โดยใช้ทฤษฎีเลข Fibonacci ที่มีความเกี่ยวข้องกับธรรมชาติและคณิตศาสตร์ การใช้งาน Fibonacci Extension ในการเทรด Forex สามารถช่วยให้นักเทรดคาดการณ์แนวต้านและแนวรับที่เป็นไปได้หลังจากที่ราคามีการเบรคจากแนวโน้มเดิม
Fibonacci Extension คืออะไร?
Fibonacci Extension คือเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้คาดการณ์ระดับราคาในอนาคต โดยอิงจากการเคลื่อนไหวของราคาก่อนหน้า และใช้ตัวเลขอัตราส่วน Fibonacci เช่น 127.2%, 161.8%, และ 261.8% ตัวเลขเหล่านี้ถูกใช้เพื่อคาดการณ์แนวรับและแนวต้านของการเคลื่อนไหวของราคา เมื่อราคามีการขยับไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
ตัวเลข Fibonacci เกิดจากลำดับ Fibonacci ซึ่งเป็นลำดับตัวเลขที่แต่ละตัวเลขจะเท่ากับผลบวกของสองตัวเลขก่อนหน้า (เช่น 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13 เป็นต้น) เมื่อเราหาอัตราส่วนระหว่างตัวเลขในลำดับ Fibonacci ก็จะได้ค่าเช่น 0.618, 1.618, และอื่น ๆ ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่มักใช้ในการคาดการณ์แนวโน้มของตลาด
วิธีใช้งาน Fibonacci Extension
ในการเทรด Forex
ในการใช้งาน Fibonacci Extension นักเทรดจะต้องทำตามขั้นตอนเหล่านี้:
เลือกแนวโน้มหลัก: เริ่มต้นด้วยการหาจุดที่เป็นแนวโน้มหลัก โดยมองหาการเคลื่อนไหวของราคาที่ชัดเจนว่ามีการปรับตัวขึ้นหรือลงจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่ราคามีการปรับตัวขึ้น ให้หา “Swing Low” (จุดต่ำสุด) และ “Swing High” (จุดสูงสุด) ของแนวโน้ม
วาด Fibonacci Extension: ใช้เครื่องมือ Fibonacci Extension จากแพลตฟอร์มการเทรด (เช่น MetaTrader หรือ TradingView) โดยลากจากจุด Swing Low ไปยังจุด Swing High หลังจากนั้น ให้ลากไปยังจุด Swing Low ที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ (จุดพักตัวของราคาหลังจากแนวโน้มเดิม)
สังเกตระดับ Fibonacci: ระบบจะคำนวณระดับ Fibonacci Extension เช่น 127.2%, 161.8%, และ 261.8% ซึ่งเป็นจุดที่ราคาอาจไปถึงเมื่อแนวโน้มมีการขยายตัวต่อไป ข้อมูลนี้สามารถใช้ในการคาดการณ์จุดออกหรือวางแผนกลยุทธ์การเทรด เช่น การตั้งจุด Take Profit
ตรวจสอบสัญญาณยืนยัน: แม้ว่า Fibonacci Extension จะช่วยในการคาดการณ์ระดับราคาในอนาคต แต่ก็ควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อยืนยัน เช่น Moving Average หรือ MACD เพื่อช่วยในการตัดสินใจอย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
การประยุกต์ใช้ในกลยุทธ์การเทรด
การตั้งเป้าหมายกำไร: Fibonacci Extension ใช้เพื่อคาดการณ์ระดับราคาที่ราคาอาจไปถึงในอนาคต ทำให้นักเทรดสามารถตั้งเป้าหมายกำไรได้จากระดับต่าง ๆ เช่น 127.2% หรือ 161.8%
การใช้ร่วมกับการ Breakout: เมื่อราคาทะลุแนวต้านหรือแนวรับสำคัญ Fibonacci Extension สามารถใช้เพื่อคาดการณ์แนวต้านถัดไปของราคา นักเทรดสามารถใช้ระดับต่าง ๆ ของ Fibonacci Extension เพื่อหาจุดที่เหมาะสมในการเปิดและปิดคำสั่งซื้อขาย
การยืนยันทิศทางตลาด: หากราคามีการปรับตัวถึงระดับ Fibonacci Extension ที่สำคัญ เช่น 161.8% และยังคงมีการเคลื่อนไหวต่อไป อาจเป็นสัญญาณว่าตลาดมีแนวโน้มที่แข็งแรง ซึ่งสามารถใช้เพื่อยืนยันการเข้าสู่ตลาดหรือการถือสถานะต่อไป
ข้อควรระวังในการใช้ Fibonacci Extension
ไม่ควรใช้เดี่ยวๆ: Fibonacci Extension ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่น ๆ เพื่อให้การคาดการณ์แม่นยำยิ่งขึ้น
การคาดการณ์ไม่แม่นยำเสมอไป: แม้ Fibonacci Extension จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวางแผนการเทรด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องเสมอไป ราคามักมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะในตลาด Forex
ควรทดลองในบัญชีจำลองก่อน: สำหรับนักเทรดมือใหม่ ควรลองใช้ Fibonacci Extension ในบัญชีจำลองเพื่อทำความเข้าใจและทดสอบก่อนนำไปใช้ในการเทรดจริง
สรุป
Fibonacci Extension เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการคาดการณ์ระดับราคาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตของตลาด Forex โดยอิงจากทฤษฎีของเลข Fibonacci การใช้เครื่องมือนี้อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้นักเทรดสามารถวางแผนการเทรดได้อย่างชาญฉลาดขึ้น แต่การใช้งานควรทำร่วมกับเครื่องมือทางเทคนิคอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์
วิเคราะห์โอกาสหมดตัว ด้วย money and Time FrameCredit :ส่วนนึงนำมาจากช่อง cwayinvestment ยูทูป
- IM ของ S50 futures คือ 6860 บาท ต่อ 1 สัญญา
หมายความว่า ถ้าวางเงิน 6860 บาท แล้วเรามองว่าน่า Short ถ้าตลาด ลงจริง เราก็ได้ pay off ต้องมากกว่า 1 จุดเพราะ ว่าหักค่า comm ถึงได้กำไรเช่น 920 ลงมา 919 ยังไม่ได้กำไร จะได้กำไรต่อเมื่อต่ำกว่า 919
- ถ้าตลาดไปผิดทางที่เราคาล่ะ ก็จะขาดทุน จนถึง MM ก็ต้องเอาเงินมาเติมให้ครบ IM เช่น MM อยู่ที่ 3440 แล้ว พอร์ทเราต่ำกว่า MM เราควรนำเงินมาเติมให้กลับไปที่ IM เพื่อความปลอดภัยไม่ถูกปิดสัญญา
- จากบทวามข้างต้น การวางเงิน ที่ IM ไม่ฉลาด เพราะ พอร์ตไม่มั่นคง ทำให่อารมณ์เราไม่มั่นคง อ่อนไหวง่ายเมื่อตลาดผิดทาง
- Professional เขาจะวางมากกว่า ปรมะณ 3 เท่าหรือต่ำกว่า เพื่อกันราคาสะบัด ลองคิดดูว่าวันนึงสะบัดไป 50 จุดแล้วเราผิดทางทั้ง 50 จุด หมายความว่า เราขาด 10,000 ต่อหนึ่งสัญญา
- มูลค่าของ Set50 นำตัวคูณ 200 มา คูณราคาปัจจุบัน สมมติว่า 900 จุด แสดงว่า Set50มีมูลค่า 180,000 บาท เราวางเิงน 180,000 บาทต่อ 1 สัญญา ความเสี่ยงในการโดนราคาสะบัดจะหายไปทันทีเพราะ ไม่มีทางสะบัดเหลือ 0
- Timeframe มาเกี่ยวอะไร เราให้ TF เพื่อดูการสะบัดของราคา ถ้าเราวางเงินเยอะ เราสามารถใช้ TF ใหญ่ได้ลดความผันผวนทางอารมณ์ สำหรับขา Long
- แต่ถ้าเราวางต่ำมาก ๆ แล้วเรายังไม่คุ้นกับนิสัย S50 แฟนของเรา ซึ่งอารมณ์ขึ้นๆลงๆ เราจะเสี่ยงมากในการ ปิดๆเปิดๆ สัญญา แล้วค่า comm ก็จะเสียไป สรุปเดือนนึง ค่า comm แพงกว่าขาดทุนจาก futures