ฝึกอ่านกราฟหาจุดเข้าให้คมที่สุดไม่ได้พูดนานแล้ว การวิเคราะห์นี้คือบันทึกการฝึกหาจุดเข้าส่วนตัวไม่ใช่การส่งซิกแนลการเทรดใดๆทั้งสิ้นเป็บสมุดบันทึกการเทรดส่วนตัว
เพียงแต่นำมาเพื่อให้ผู้ที่ได้เห็นได้ไปฝึกใช้ให้เข้ากับแนวทางการเทรดของตนเองหรือผู้เรียนรู้ใหม่ได้รู้จักตั้งไข่แบบใดยืนให้ได้ด้วยตนเอง
ควรเริ่มเรียนรู้สิ่งใด ควรฝึกตั้งคำถามและหาคำตอบให้ตนเองเท่านั้น
กำหนดแผนสร้างรูปแบบการเทรดของตัวเองแล้วเริ่มเดินตามแผนที่วางไว้
จะทำอะไรต้องมีรูปแบบตัวเองนะครับ อย่าเห็นแต่ภาพที่ตีไว้พอกราฟถึงแถบที่ตีปุ๊บกดปั๊บโดนลากปั๊บเลยนะจะบอกให้
ฉะนั้นแนวทางไม่ใช่จุดเข้าแนวทางใช้เพื่อเตรียมหาจุดเข้า
พันธบัตรรัฐบาล
ฝึกอ่านกราฟหาจุดเข้าให้คมที่สุดไม่ได้พูดนานแล้ว การวิเคราะห์นี้คือบันทึกการฝึกหาจุดเข้าส่วนตัวไม่ใช่การส่งซิกแนลการเทรดใดๆทั้งสิ้นเป็บสมุดบันทึกการเทรดส่วนตัว
เพียงแต่นำมาเพื่อให้ผู้ที่ได้เห็นได้ไปฝึกใช้ให้เข้ากับแนวทางการเทรดของตนเองหรือผู้เรียนรู้ใหม่ได้รู้จักตั้งไข่แบบใดยืนให้ได้ด้วยตนเอง
ควรเริ่มเรียนรู้สิ่งใด ควรฝึกตั้งคำถามและหาคำตอบให้ตนเองเท่านั้น
กำหนดแผนสร้างรูปแบบการเทรดของตัวเองแล้วเริ่มเดินตามแผนที่วางไว้
จะทำอะไรต้องมีรูปแบบตัวเองนะครับ อย่าเห็นแต่ภาพที่ตีไว้พอกราฟถึงแถบที่ตีปุ๊บกดปั๊บโดนลากปั๊บเลยนะจะบอกให้
ฉะนั้นแนวทางไม่ใช่จุดเข้าแนวทางใช้เพื่อเตรียมหาจุดเข้า
Buy Side & Sell Side Liquidity เทรดแบบเจ้าในตลาด Buy Side & Sell Side Liquidityเทรดแบบเจ้าในตลาด
👉👉ใครอยากเป็นเศรษฐี ก็ฉันนะสิ ก็ฉันนะสิ คิดแบบเจ้าในตลาดและเทรดแบบเจ้าในตลาด ใครอยากรู้ทันเกมส์การเทรดของเจ้า ต้องไม่พลาดบทความนี้ 👈👈
💰 Buy Side Liquidity คืออะไร?
หมายถึง โซนบนกราฟของราคาที่มีคำสั่งซื้อ BUY จำนวนมากของนักเทรดรายย่อย ซึ่งมักถูกวาง ณ จุดที่คาดว่าราคาจะไม่ลงไปต่ำกว่านี้ เช่น Demand Zone , Support หรือระดับ Fibonacci ที่ใช้เป็นแนวรับ
🔼 คือคำสั่งซื้อที่อยู่ “ด้านบน” ราคาปัจจุบัน
มักพบในรูปแบบ:
SL ของคนที่ Sell ไว้ → ตั้งไว้เหนือ High ก่อนหน้า
Buy Stop ที่ตั้งไว้หลัง Breakout
Equal High ที่คนคาดว่าจะทะลุ
เปรียบเทียบง่ายๆ:
เจ้ามือจะลาก “ราคาขึ้นไปกิน” Stop Loss เหล่านี้ ก่อนกลับตัวเพื่อเปิด Sell ในราคาที่ดีกว่า
🔻 Sell Side Liquidity คืออะไร?
หมายถึง โซนที่มีคำสั่งขาย SELL สะสมอยู่เป็นจำนวนมาก มักอยู่ในบริเวณ Supply Zone , Resistance หรือระดับ Fibonacci ที่เป็นแนวต้าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นจุดที่นักเทรดคาดว่าราคาจะไม่ขึ้นไปสูงกว่านี้อีกแล้ว
🔽 คือคำสั่งขายที่อยู่ “ด้านล่าง” ราคาปัจจุบัน
มักพบในรูปแบบ:
SL ของคนที่ Buy ไว้ → ตั้งไว้ใต้ Low ก่อนหน้า
Sell Stop ที่วางไว้ใต้โซนแนวรับ
Equal Low ที่หลายคนจับตามอง
พฤติกรรมทั่วไป:
เจ้าตลาดจะกด “ราคาลง” มากิน SL เหล่านั้นก่อนแล้วค่อย “ดันกลับ” เพื่อเปิด Buy
📌📌📌 ส่วนใหญ่การเทรดนี้มักตีคู่มาพร้อมกับ แนวคิด Smart Money Concept หรือ SMC ด้วยการใช้กลยุทธ์กวาดสภาพคล่อง (Liquidity Sweep) โดยการผลักดันราคาให้ไปถึงบริเวณที่มีออเดอร์หนาแน่น ไม่ว่าจะเป็นฝั่ง Buy Side หรือ Sell Side เพื่อหลอกล่อ Trigger ให้ออเดอร์เหล่านั้นทำงาน ก่อนจะดึงราคากลับไปในทิศทางตรงข้ามเพื่อทำกำไร ร้ายนะเออ!.
การแยกแยะ โซน Buy Side Liquidity หรือ Sell Side Liquidity จึงจัดว่าเราเทพมากๆที่แยกแยะได้เพื่อการคาดเดาทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต และวางแผนจุดเข้าออกออเดอร์ให้เหมาะสมที่สุด
📌 Liquidity คืออะไร?
Liquidity คือคำสั่งรอดำเนินการในตลาด จากจุด Stop Loss (SL) และ จุดรอเข้าออเดอร์ Buy/Sell Stop หรือ Buy/Sell Limit
เพราะในสายตา “เจ้าตลาด” Liquidity ไม่ใช่แค่คำสั่งธรรมดา แต่คือ “แหล่งพลังงาน” ที่พวกเขาจะใช้เพื่อเปิดออเดอร์ขนาดใหญ่
🎯 วิธีใช้ Buy/Sell Side Liquidity ในการเทรด
✅ 1. หาจุดที่คาดว่ามี SL ของฝั่งตรงข้าม
ถ้าเทรนด์ลง → หาจุดที่น่าจะมี Buy SL ด้านล่าง
ถ้าเทรนด์ขึ้น → หาจุดที่มี Sell SL ด้านบน
✅ 2. รอให้ราคา “ไปกิน” Liquidity ก่อน
ให้ราคาทะลุ High/Low เดิม (Equal High/Low)
✅ 3. มองหา Confirmation
Candlestick แบบ Rejection (เช่น Pin Bar, Engulfing)
เกิดใน OB หรือ FVG ยิ่งแม่น
✅ 4. เข้าเทรดตรง “ด้านกลับ” หลังจาก Sweep เสร็จ
Buy หลัง Sweep ด้านล่าง (Sell Side Liquidity)
Sell หลัง Sweep ด้านบน (Buy Side Liquidity)
📌 สรุป: ทำไมต้องเข้าใจ Buy/Sell Side Liquidity?
1. ช่วยให้คุณ เข้าใจพฤติกรรมเจ้าตลาด
2. รู้ว่าราคา “อาจไปที่ไหนก่อน”
3. เพิ่มความแม่นในการเข้าเทรด
4. ลดโอกาสโดนลาก SL ก่อนราคากลับทิศ
✨ “อย่าเป็นคนที่โดนลาก จงเป็นคนที่รู้ว่า ‘เขาจะลากใคร’ แล้วรอเข้าเทรดหลังจากนั้นดีกว่า” ✨
🎓สรุปส่งท้าย
การฝึกฝนและทำความเข้าใจตลาดอาจไม่เพียงพอ เรายังต้องเข้าใจนิสัยของตลาดและนิสัยของเจ้าตลาดด้วยนะ จึงจะครอบคลุม ที่สำคัญอย่าลืมฝึกการจดบัทึกด้วยจะทำให้เราเห็นจุดแข็งจุดอ่อนของเราได้มากขึ้นนะฮะ แอดอยู่เป็นกำลังใจให้เสมอ
ฝึกอ่านกราฟสังเกตภาพไหมครับไม่ว่าจะกราฟแบบไหนๆก็ตามมันก็จะเป็นอย่างนี้หมดแหละทรงเดิมๆรูปเดิมๆวิเคราะห์แบบเดิมๆเราก็ต้องจำรูปแบบที่เราถนัดในการวิเคราะห์ซื้อขายเสมอ
ประโยชน์ของพันธบัตรรัฐบาลผมไม่แน่ใจนะครับไม่มั่นใจเท่าไหร่แต่เท่าที่เคยได้ยินมาดีกว่าก็คือมันสามารถเอาไปทำหลักทรัพย์ค้ำประกันได้ธนาคารเขารับด้วยนะครับมันก็มีมูลค่าคล้ายๆเงินสดคล้ายๆหลักทรัพย์ที่ดินอะไรต่างๆเราสามารถเอาไปทำวงเงินหนังสือทำได้อย่างเช่นถ้าทำงานราชการหนังสือค้ำประกันค้ำซองคำสัญญาค้ำประกันผลงานทำเบิกล่วงหน้าทำตั๋วอาวัลอะไรต่างๆพวกนี้ผมคิดว่าน่าจะทำได้นะผมไม่มั่นใจเท่าไหร่ครับถ้าพูดถึงมันเหมาะกับการลงทุนแบบไหนก็คือนักธุรกิจที่มีเงินต้องมาลงทุนแล้วก็เอาไปทำวงเงินหนังสือค้ำนั่นแหละครับ
ประมูลงาน 1,000 ล้านใช้หนังสือค้ำ 5%หนังสือค้ำที่ต้องออกก็คือ 20 ล้านแต่ธนาคารรับหลักทรัพย์เพื่อออกหนังสือค้ำจากพันธบัตรรัฐบาลขึ้นอยู่กับเงื่อนไขข้อตกลงระหว่างลูกค้ากับธนาคารแต่ละคนจะมีการฝากไม่เหมือนกันอัตราเฉลี่ยอยู่ประมาณ 25% 30% ดีหน่อยก็ 15% ตีสัก 30% แล้วกันครับสมมุติว่าจะออกหนังสือค้ำ 20 ล้านก็วางหนังสือพันธบัตรรัฐบาลตัวนี้ไปเพียงแค่ 30% เองนั่นก็คือ 6 ล้านบาทก็ได้หนังสือครับ 20 ล้านแล้วเงื่อนไขค่าธรรมเนียมก็ต้องขึ้นอยู่กับลูกค้าคุยกับธนาคารเอาแค่นั้นเองมันแปลงสินทรัพย์เป็นทุนได้ผมว่ามันเป็นประโยชน์แหละลองพิจารณาดูครับ
ฝึกอ่านกราฟช่วงนี้เห็นพูดถึงพันธบัตรรัฐบาลไทยกันเห็นว่ามีเสถียรภาพสูงมากก็เลยมาลองดูหน่อยนึงตัวนี้อายุสัญญา 10 ปีจากที่เห็นในรูปนี้ก็ไม่เห็นว่ามันจะดีนะครับมันยังลงอยู่เลยผมว่ารอให้มันทำให้ท่านอะไรบางอย่างก่อนดีกว่าส่วนตัวคิดว่าจะซื้อก็ต้องรอรูปแบบของเราก่อนแล้วกันถ้าแบบนี้มันก็ยังลงต่อแหละลงถึงไหนก็ไปถึงเลข 0 นั่นแหละครับถามว่ามันดีไหมก็มีเงินเย็นก็ซื้อถึงทิ้งไว้ 10 ปีครับค่อยมาว่ากันกำไรนู้นครับได้ถึง 1.6 18 นั่นแหละยาวๆไปนู่นได้เลย 2.618 ก็ได้ถือไปเลยครับ 10 ปี
ประโยชน์ของพันธบัตรรัฐบาลผมไม่แน่ใจนะครับไม่มั่นใจเท่าไหร่แต่เท่าที่เคยได้ยินมาดีกว่าก็คือมันสามารถเอาไปทำหลักทรัพย์ค้ำประกันได้ธนาคารเขารับด้วยนะครับมันก็มีมูลค่าคล้ายๆเงินสดคล้ายๆหลักทรัพย์ที่ดินอะไรต่างๆเราสามารถเอาไปทำวงเงินหนังสือทำได้อย่างเช่นถ้าทำงานราชการหนังสือค้ำประกันค้ำซองคำสัญญาค้ำประกันผลงานทำเบิกล่วงหน้าทำตั๋วอาวัลอะไรต่างๆพวกนี้ผมคิดว่าน่าจะทำได้นะผมไม่มั่นใจเท่าไหร่ครับถ้าพูดถึงมันเหมาะกับการลงทุนแบบไหนก็คือนักธุรกิจที่มีเงินต้องมาลงทุนแล้วก็เอาไปทำวงเงินหนังสือค้ำนั่นแหละครับ
ประมูลงาน 1,000 ล้านใช้หนังสือค้ำ 5%หนังสือค้ำที่ต้องออกก็คือ 20 ล้านแต่ธนาคารรับหลักทรัพย์เพื่อออกหนังสือค้ำจากพันธบัตรรัฐบาลขึ้นอยู่กับเงื่อนไขข้อตกลงระหว่างลูกค้ากับธนาคารแต่ละคนจะมีการฝากไม่เหมือนกันอัตราเฉลี่ยอยู่ประมาณ 25% 30% ดีหน่อยก็ 15% ตีสัก 30% แล้วกันครับสมมุติว่าจะออกหนังสือค้ำ 20 ล้านก็วางหนังสือพันธบัตรรัฐบาลตัวนี้ไปเพียงแค่ 30% เองนั่นก็คือ 6 ล้านบาทก็ได้หนังสือครับ 20 ล้านแล้วเงื่อนไขค่าธรรมเนียมก็ต้องขึ้นอยู่กับลูกค้าคุยกับธนาคารเอาแค่นั้นเองมันแปลงสินทรัพย์เป็นทุนได้ผมว่ามันเป็นประโยชน์แหละลองพิจารณาดูครับ
วิเคราะห์แนวโน้มของ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ผ่านความสัมพันธ์ “Inverse จากภาพกราฟ US10Y (ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี) วันที่ 15 เม.ย. 2025
เราสามารถวิเคราะห์แนวโน้มของ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ผ่านความสัมพันธ์ “Inverse Correlation”
(คือ Bond Yield ขึ้น → หุ้นลง, และในทางกลับกัน)
________________________________________
🔍 วิเคราะห์ภาพรวมของ US10Y
✅ โครงสร้างเทคนิคอล (อิงจากภาพ):
• กรอบ Fibonacci Retracement วัดจากยอดลงมา (ขาขึ้นล่าสุด)
• ขึ้นมาทดสอบระดับ 61.8% (4.44%) แล้วเริ่มอ่อนตัว = บ่งชี้แรงขาย
• ปัจจุบันราคาอยู่แถว 4.35% ใกล้ 50% Fibo (4.33%)
• มีแท่งแดงติดต่อกันหลายวัน = Momentum เริ่มเปลี่ยนเป็นอ่อนแรง
• มี TD Sequential ก่อตัวถึง 7/9 = อาจเริ่มเข้าสู่ภาวะ Exhaustion
________________________________________
📉 แนวโน้มผลต่อ "ตลาดหุ้นสหรัฐฯ"
🟢 ระยะสั้น (1-2 สัปดาห์)
• Yield มีโอกาส “พักตัว” ลงมาทดสอบโซน 4.22% - 4.08%
• หากลงต่อเนื่องไปถึง 4.00% หรือต่ำกว่า → ตลาดหุ้นจะได้แรงหนุน (หุ้นดีด)
• Sentiment เชิงบวกจะกลับมา โดยเฉพาะในกลุ่ม Tech และ Growth Stocks ที่แพ้ดอกเบี้ยสูง
🟡 ระยะกลาง (1-2 เดือน)
• หาก US10Y พักแล้วกลับขึ้นทะลุ 4.44% - 4.60%
o ตลาดหุ้นจะกลับเข้าสู่ความกังวล → Nasdaq, S&P500 อาจเผชิญแรงขายรอบใหม่
o โดยเฉพาะถ้า FED ยังส่งสัญญาณ "Higher for Longer"
• แต่ถ้า US10Y ย่อลงสู่ 3.90%-4.00% ตามโซน Fibonacci ด้านล่าง
o ตลาดหุ้นจะมีโอกาสเป็นขาขึ้นรอบใหม่
________________________________________
🔧 แนวรับ-แนวต้าน Yield สำคัญ (จากกราฟ):
ระดับ ความหมาย
4.44% แนวต้าน Fibo 61.8% / จุดกลับตัวล่าสุด
4.33% แนวรับ/ต้านระยะสั้น 50% Fibo
4.22% แนวรับถัดไป 38.2%
4.08% แนวรับหลัก / Low สำคัญก่อนหน้า
4.00% แนวจิตวิทยา / หากหลุด = ตลาดหุ้นวิ่งแรง
________________________________________
🔮 สรุปแนวโน้มหุ้นสหรัฐฯ จาก US10Y (15 เม.ย. 2025)
ช่วงเวลา แนวโน้มหุ้นสหรัฐฯ ปัจจัยจาก US10Y
สั้น (1-2 วีค) 🟢 ฟื้นตัวได้ Yield เริ่มพักตัวจากจุดสูงสุด
กลาง (1-2 เดือน) ⚠️ ผันผวนสูง ต้องจับตาว่า Yield จะทะลุ 4.44% หรือย่อลึกกลับใต้ 4.00%
________________________________________
Bond Shock คืออะไร?ขอเล่าเรื่อง "Bond Shock" ให้เข้าใจง่าย และเชื่อมโยงกับ สงครามการค้า (Trade War) ในตอนนี้นะครับ
________________________________________
📉 Bond Shock คืออะไร?
"Bond Shock" เปรียบเหมือน “แผ่นดินไหวในตลาดพันธบัตร”
จู่ๆ อัตราผลตอบแทน (Yield) ของพันธบัตรรัฐบาลก็พุ่งขึ้นแรงราวกับ “ภูเขาไฟระเบิด”
โดยในภาพที่แนบมา — เราเห็นว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี ขยับจากแถว 4.00% → ทะลุ 4.38% ในเวลาไม่นาน
นั่นคือ “แรงขายพันธบัตรอย่างหนัก” → ราคาพันธบัตรร่วง → Yield พุ่ง = Bond Shock
________________________________________
🧠 ทำไมถึง "ช็อก"?
1. ราคาพันธบัตรลง = คนไม่อยากถือหนี้รัฐบาล
→ สะท้อนความกังวลว่า "เงินเฟ้อ" อาจจะยังไม่หยุด
→ หรือกลัวว่ารัฐจะกู้เงินมากขึ้น จนหนี้ล้น (Fiscal Risk)
2. ต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทและประชาชนพุ่ง
→ คนซื้อบ้าน ผ่อนรถ ลงทุนธุรกิจ เจออัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
→ “ช็อกซ้ำ” ไปที่เศรษฐกิจ
3. หุ้นก็ตกตาม
→ ดอกเบี้ยสูงคือพิษร้ายของตลาดหุ้น (ดิสเคานต์แวลูสูงขึ้น กำไรดูไม่คุ้มความเสี่ยง)
________________________________________
⚔️ แล้วเทรดวอร์ (Trade War) มีผลยังไง?
เทรดวอร์ = ระเบิดเวลาของ Bond Shock
1. สงครามภาษี → ต้นทุนสินค้าสูงขึ้น → เงินเฟ้อเพิ่ม
→ นักลงทุนเริ่มคาดว่า Fed ต้องขึ้นดอกเบี้ยสูงและนาน
→ พันธบัตรจึงถูกเทขาย → Yield พุ่ง
2. จีนคือผู้ถือครองพันธบัตรสหรัฐรายใหญ่
ถ้าเทรดวอร์รุนแรง → จีนลดการซื้อพันธบัตรหรือขายทิ้ง
= อุปสงค์ลด ราคาตก Yield พุ่ง
3. ดอลล่าร์แข็ง → ทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่
= ตลาดทุนทั่วโลกปั่นป่วน → นักลงทุน Panic ขายตราสารหนี้
________________________________________
🔥 ตัวอย่าง Bond Shock ที่เคยเกิดขึ้น
• ปี 1994: Fed ขึ้นดอกเบี้ยแบบเซอร์ไพรส์ → Bond Yield พุ่งเร็ว → ตลาดหุ้นตกแรง
• ปี 2022: เงินเฟ้อสหรัฐสูงสุดในรอบ 40 ปี → Fed ขึ้นดอกเบี้ยดุ → Bond Shock ทำ Nasdaq ดิ่ง
________________________________________
🪙 สรุปแบบสำนวน "ลุงบัฟเฟตต์"
“เวลาอัตราดอกเบี้ยขึ้น มันเหมือนน้ำทะเลลดลง… คุณจะเห็นว่าใครบ้างที่ไม่ใส่กางเกงว่ายน้ำ”
และ Bond Shock ก็คือ “น้ำลดฉับพลัน” ที่ทำให้ตลาดทั้งโลกสะดุ้ง
อย่าประมาทสงครามการค้า เพราะมันเหมือน ไฟใต้ดิน ที่พร้อมจุด
𝐃𝐚𝐢𝐥𝐲 𝐀𝐧𝐚𝐥𝐲𝐬𝐢𝐬 【18/01/24】 𝐃𝐚𝐢𝐥𝐲 𝐀𝐧𝐚𝐥𝐲𝐬𝐢𝐬 【18/01/24】
ทองคำเสี่ยงหลุด 2000$ หลัง Bond Yield พุ่ง,ยอดค้าปลีกฟื้นตัว ! 🚨
⭐️ ราคาทองคำร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 เดือน นื่องจากข้อมูลทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งทำให้ค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนของกระทรวงการคลังแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 4.129% และลดการคาดการณ์ของตลาดเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ
.
⭐️ นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ผู้ว่าการเฟดเมื่อวันอังคารกล่าวว่าธนาคารกลางไม่ควรเร่งรีบในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจนกว่าอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงจะสามารถรักษาไว้ได้โดยปัจจุบัน มีโอกาสประมาณ 57% ที่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมีนาคม ตามเครื่องมือ CME FEDwatch tool
.
⭐️ ด้านโฟกัสสำคัญวันนี้อยู่ที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานและตัวเลขภาคการผลิต Philly Fed Manufacturing Index สหรัฐช่วง 20:30 น ส่วนในช่วงเช้านี้ตัวเลข Employment Change ของออสเตรเลียออกมาติดลบหนักถึง -65.1K ส่งผลให้ AUDUSD เกิดการย่อตัวลงไปก่อนหน้านี้
.
⭐️ ในส่วนของภาพทางเทคนิคราคาทองคำวันนี้กลายเป็นสถานะขาลงอย่างเต็มตัวเมื่อราคาหลุด Neckline Support บริเวณ 2014+- ลงมาได้สำเร็จโดยช่วงต้นตลาดราคาเกิดแรงซื้อกลับขึ้นมาก่อนตามพฤิตกรรมทางเทคนิคและหากไม่สามารถกลับขึ้นไปยืนเหนือ 2014 ได้เสียทีราคามีโอกาสย่อตัวกลับลงมาอีกครั้งโดยมองเป้าแนวรับเดิมบริเวณ 2004 เอาไว้ก่อนอย่าเพิ่งมองถึง New low #โชคดีมีกำไรทุกท่านครับ
.
.
.
แนวรับ - แนวต้าน (09:20
XAUUSD
สถานะ : Slightly Bearish
R3 2023
R2 2019
R1 2014
———————————————
S1 2004
S2 2000
S3 1995
- Beam -
INVERTED YIELD CURVE ภาวะถดถอย! ในพันธบัตรสหรัฐอเมริกาสัญญาณเตือนภาวะเศรษฐกิจถดถอย!
Inverted Yield Curve คือ “ภาวะผิดปกติ” เกิดขึ้นเมื่ออัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้นสูงกว่าผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุยาว
Chart ในอดีตได้เกิด Inverted Yield Curve มาแล้วหลายครั้ง จากหลากหลายสาเหตุ แต่แทบทุกครั้งในอดีตหลังเกิด Inverted Yield Curve จะตามมาด้วยภาวะเศรษฐกิจถดถอย สะท้อนให้เห็นได้ด้วยการถดถอยของอัตราผลตอบแทนตามภาพ
แต่ Inverted Yield Curve ในปี 2022-2023 ครั้งนี้ อาจไม่เหมือนกับครั้งที่ผ่านๆ มา เพราะเศรษฐกิจโลกได้ถดถอยงรุนแรงไปแล้วในเหตุการณ์ COVID-19 ทำให้ลงไปสร้างจุดต่ำสุดเกือบถึง 0% และหลังจากนั้น FEDใส่คันเร่งปรับดอกเบี้ย ทำให้อัตราผลตอบแทนปรับขึ้นรวดเร็วและรุนแรง ระดับที่ทำให้ Chart แสดงการจบแนวโน้มของขาลง และได้ผ่านการทำจุดต่ำสุดของอัตราผลตอบแทนไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ภาวะผิดปกติของ Invertd Yield Curve ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเกิดการถดถอย แต่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหลังจากนี้ อาจไม่รุนแรงถึงระดับการเกิดจุดต่ำสุดใหม่ได้(New Low) และอาจจะเป็นเพียงแค่การพักเพิ่มสร้างแนวโน้มใหม่ในอนาคตแทน
**ยกเว้นเกิดปัจจัยลบใหม่ที่ใหญ่และรุนแรงกับเศรฐกิจโลกขึ้นอีกครั้ง
มนุษย์กราฟ | Humangraphy
เเนวโน้ม US 10 Y วันที่ 16 มิถุนายน 2565 *********************
เนื้อหาข้างบน
***ไม่ได้มีเจตนาให้ซื้อขายตาม ****
เป็นแต่เพียงการให้ความรู้ และ แชร์มุมมองส่วนตัว ที่มีต่อโครงสร้างราคาทองคำ gold sport ในวันนี้
เเละ* ไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายหรือผลกำไรที่ได้จากการดูมุมมองของผม
เพราะฉะนั้นโปรดใช้วิจารณญาณในการดูด้วยนะครับ☺️
มุมมอง US10Y วันที่ 08 มิถุนายน 2565
มุมมอง US10Y วันที่ 08 มิถุนายน 2565
ติดตามเเนวโน้มเทรดทองเเละน้ำมันได้ที่กลุ่มไลน์เเละกลุ่มเทเรเเกรมด้านล่าง ฟรี ฯ
*********************
เนื้อหาข้างบน
***ไม่ได้มีเจตนาให้ซื้อขายตาม ****
เป็นแต่เพียงการให้ความรู้ และ แชร์มุมมองส่วนตัว ที่มีต่อโครงสร้างราคาทองคำ gold sport ในวันนี้
เเละ* ไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายหรือผลกำไรที่ได้จากการดูมุมมองของผม
เพราะฉะนั้นโปรดใช้วิจารณญาณในการดูด้วยนะครับ☺️






















