Momentum Indicators ตัวบ่งชี้โมเมนตัมคืออะไร และต่างกันอย่างไร?Momentum Indicators ตัวบ่งชี้โมเมนตัมคืออะไร มีอะไรบ้าง และต่างกันอย่างไร?
👹 กลับมากันอีกแลวกับบทความดีๆและเทคนิคการเทรดในหลายๆรูปแบบมาฝากกัน วันนี้แอดรื้อฟื้นกับความรู้เก่าๆเบสิคๆที่เราจำเป็นต้อง เผื่อใครบางคนยังหาทางออกให้กับกลยุทธ์การเทรดยังไม่เจอ มาครับ บทความนี้มีคำตอบ
👹ในโลกของการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ตัวบ่งชี้โมเมนตัม (Momentum Indicators) ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนและเทรดเดอร์สามารถวัดความแรงหรือความเร็วของแนวโน้มราคาได้ ซึ่งช่วยในการตัดสินใจในการเข้า-ออกออเดอร์ได้แม่นยำยิ่งขึ้น
โมเมนตัมคืออะไร?
โมเมนตัม หมายถึง “แรง” หรือ “ความเร็ว” ที่ราคาของสินทรัพย์เปลี่ยนแปลง ตัวบ่งชี้โมเมนตัมจึงทำหน้าที่แสดงให้เห็นว่าราคากำลังเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด และมีแรงส่งมากน้อยแค่ไหน
👉หากโมเมนตัมสูง แสดงว่าแนวโน้มมีความแข็งแรง
👉หากโมเมนตัมเริ่มลดลง แม้ราคายังวิ่งต่อ ก็อาจบ่งบอกแนวโน้มกำลังอ่อนแรงและอาจกลับตัว
ตัวอย่างตัวบ่งชี้โมเมนตัมที่นิยม
1. Relative Strength Index (RSI)
ดัชนีเปรียบเทียบความแข็งแกร่ง (RSI) เป็นเครื่องมือที่แสดงถึงความแรงของการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง (โดยปกติคือ 14 วัน) เราสามารถปรับแต่งค่าได้ ตามที่เราต้องการ
ช่วงค่า: 0 – 100
ระดับสำคัญ:
RSI > 70 = เข้าสู่เขตซื้อมากเกินไป (Overbought)
RSI < 30 = เข้าสู่เขตขายมากเกินไป (Oversold)
👉 จุดเด่น: เหมาะสำหรับดูจังหวะกลับตัวของราคา เทรดสวนทาง
2. Moving Average Convergence Divergence (MACD)
ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของราคาสองเส้น (EMA) มาคำนวณเพื่อหาทิศทางแนวโน้มและแรงโมเมนตัม โดยใช้เส้นค่าเฉลี่ยที่สามารถปรับแต่งได้ตามวันที่เราต้องการ
องค์ประกอบหลัก:
MACD Line = EMA(12) – EMA(26)
Signal Line = EMA ของ MACD Line
Histogram = แสดงความต่างของ MACD กับ Signal Line
การใช้งาน:
👉 MACD ตัดขึ้นเหนือ Signal Line = สัญญาณซื้อ BUY
👉 MACD ตัดลงใต้ Signal Line = สัญญาณขาย SELL
3. Stochastic Oscillator : SO
ใช้วัดระดับราคาปิดเมื่อเทียบกับช่วงราคาสูงสุด-ต่ำสุดในช่วงเวลาหนึ่ง
ช่วงค่า: 0 – 100
ระดับสำคัญ:
80 = Overbought
< 20 = Oversold
จุดเด่น: ให้สัญญาณการกลับตัวได้เร็ว เหมาะสำหรับตลาด Sideway
4. Rate of Change (ROC)
ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาตามสัดส่วนเมื่อเทียบกับช่วงเวลาก่อนหน้า
วิธีคิด: (ราคาปัจจุบัน – ราคาในอดีต) ÷ ราคาในอดีต × 100
การใช้งาน:
ROC > 0 = ราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
ROC < 0 = ราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง
สรุป
ตัวบ่งชี้โมเมนตัมเป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจแรงส่งของราคา ช่วยจับจังหวะซื้อ-ขายได้ดีขึ้น แต่ควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ และการวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน เพื่อประกอบการตัดสินใจอย่างรอบคอบ
👿👿👿 เป็นอย่างไรกันบ้างครับ พอจะได้แนวทางในการวางแผนการเทรดกันบ้างหรือยังครับ ถ้ายังก็ลงใช้ให้ครบก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าเรานิยมและชมชอบแบบไหนที่สุด ที่สำคัญต้องตรงกับเทคนิคที่เราจะเทรดด้วยนะครับ แล้วอย่าลืมหมั่นฝึกฝนและเรียนรู้การเทรดในหลายๆแบบให้เข้าใจมากขึ้นนะครับ เพราะการเรียนรู้ไม่มีคำว่าสิ้นสุด แอดเอาใจช่วย แอดเชื่อว่าทุกคนทำได้ แค่เริ่มลงมือทำ สู้ๆฮะ
X-indicator
"วิเคราะห์ Breakout ยังไงให้ได้เปรียบ?""วิเคราะห์ Breakout ยังไงให้ได้เปรียบ?"
ในโลกของการเทรด ความเข้าใจประเภทของ Breakout คือกุญแจสำคัญ! ไม่ว่าจะเป็น:
Lower Highs & Support: เตรียมรับมือกับขาลงที่แรงขึ้น
Range: อดทนรอโอกาสทะลุกรอบและเข้าตามเทรนด์
Higher Lows & Resistance: ใช้เป็นโอกาสเข้าซื้อในขาขึ้น
การเข้าใจโครงสร้างราคาและสัญญาณ Breakout ช่วยให้คุณเทรดด้วยความมั่นใจมากขึ้น พร้อมวางแผน Entry, Exit และ Stop-Loss อย่างมืออาชีพ!
Breakout Types (ประเภทของการ Breakout)
1. Lower Highs & Support
-ราคาอยู่ในขาลง โดยเกิดจุด Lower Highs และมาถึงแนว Support ก่อนทะลุลงไป
-บ่งชี้การต่อเนื่องของแนวโน้มขาลง (Bearish Continuation)
2.Range
-ราคาเคลื่อนตัวในกรอบแนวรับ-แนวต้าน (Sideways) จนทะลุออกจากกรอบ
-มักใช้ยืนยันแนวโน้มใหม่หลัง Breakout
3.Higher Lows & Resistance
-ราคาเกิดจุด Higher Lows ต่อเนื่อง และเคลื่อนตัวขึ้นไปจนทะลุแนวต้าน
-บ่งชี้แนวโน้มขาขึ้นต่อเนื่อง (Bullish Continuation)
วิธีรับมือเมื่อพลาดโอกาสในการเทรด หรือ ‘ตกรถ’หนึ่งในความรู้สึกที่นักเทรดแทบทุกคนต้องเคยเจอคือ "ความเสียดาย" เมื่อตลาดเคลื่อนไหวไปตามที่วิเคราะห์ไว้ แต่เราไม่ได้เข้าออเดอร์ หรือไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง — เราเรียกสถานการณ์นี้ว่า “ตกรถ” ซึ่งถ้าไม่จัดการอารมณ์ให้ดี ก็อาจนำไปสู่การเทรดแบบไร้แผน ขาดวินัย และท้ายที่สุดคือการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจ และเสนอวิธีรับมือกับความรู้สึกและพฤติกรรมที่มักเกิดขึ้นเมื่อตกรถ
1. ยอมรับว่า "พลาด" เป็นเรื่องปกติ
การพลาดโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของการเทรด ไม่มีใครสามารถจับจังหวะได้ทุกครั้ง แม้แต่มืออาชีพก็ยังพลาด เพราะตลาดเต็มไปด้วยปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ การยอมรับความจริงข้อนี้จะช่วยลดแรงกดดันและความรู้สึกเสียดายได้มาก
2. อย่าพยายาม “ไล่ราคา” (FOMO)
หลังจากตกรถ หลายคนมักกระโจนเข้าเทรดเพราะกลัวจะพลาดอีก (FOMO: Fear of Missing Out) แต่นั่นคือจุดเริ่มต้นของหายนะ การไล่ราคามักทำให้คุณซื้อที่จุดสูงสุด หรือขายที่จุดต่ำสุด โดยไม่มีแผนชัดเจน และมักจบลงด้วยการติดดอย
แนวทาง: ถ้าไม่มั่นใจในจุดเข้า ให้รอรอบใหม่ อย่าฝืนตลาด
3. วิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้น
พิจารณาว่าเพราะเหตุใดคุณถึงพลาดโอกาสนั้น เช่น
มองกราฟไม่ทัน
ไม่มีแผนชัดเจน
ขาดความมั่นใจ
ติดภารกิจอื่น
เมื่อรู้เหตุผล จะสามารถปรับกลยุทธ์ให้ดีขึ้นในอนาคต เช่น ตั้ง Alert ไว้ หรือวางแผนล่วงหน้าในกรณีที่กราฟถึงจุดที่น่าสนใจ
4. จดบันทึกการตกรถใน Trading Journal
หลายคนจดแค่การเข้าออกออเดอร์ แต่การ “ไม่เข้า” ก็มีคุณค่าในการเรียนรู้เช่นกัน ลองเขียนว่าเกิดอะไรขึ้น ความรู้สึกขณะนั้นคืออะไร และคุณจะรับมืออย่างไรครั้งหน้า การจดบันทึกจะช่วยให้คุณพัฒนาทั้งด้านจิตวิทยาและกลยุทธ์
5. โฟกัสที่ "โอกาสหน้า" ไม่ใช่ "โอกาสที่พลาด"
ตลาดไม่เคยหยุดเคลื่อนไหว โอกาสใหม่เกิดขึ้นเสมอ การจมอยู่กับอดีตไม่ช่วยอะไร สิ่งสำคัญคือการเตรียมตัวให้พร้อมเมื่อโอกาสใหม่มาถึง
6. ฝึกใจให้นิ่ง ผ่านการฝึกวินัย
การควบคุมอารมณ์เป็นหัวใจของการเทรด ฝึกให้ตัวเองตัดสินใจตามแผน ไม่ตามอารมณ์ เช่น กำหนดเงื่อนไขชัดเจนว่าจะเข้าออเดอร์เมื่อไหร่ เท่านั้น ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นนอกเหนือจากนั้นก็ "ปล่อยผ่าน"
สรุป
การตกรถอาจทำให้รู้สึกเสียดาย แต่ไม่ใช่จุดจบของเส้นทางเทรด การมีสติ วิเคราะห์เหตุผล และปรับกลยุทธ์จะทำให้คุณเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในฐานะเทรดเดอร์ จงจำไว้ว่าตลาดมีโอกาสใหม่เสมอ ขอเพียงคุณ "พร้อม" เมื่อโอกาสมาถึง
วางแผนก่อนเข้าออร์เดอร์ ดีอย่างไร?ในการเทรดไม่ว่าจะเป็นหุ้น ฟอเร็กซ์ คริปโต หรือสินทรัพย์ใด ๆ ก็ตาม การ "วางแผนก่อนเข้าออร์เดอร์" ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการวางแผนที่ดีช่วยให้คุณเทรดอย่างเป็นระบบ ลดอารมณ์ ลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในระยะยาว
1. ลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจด้วยอารมณ์
หากคุณเข้าออร์เดอร์โดยไม่มีแผน อาจเกิดจากความรู้สึกโลภ กลัว หรือความตื่นตระหนก ซึ่งอารมณ์เหล่านี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ขาดทุน การมีแผนช่วยให้คุณยึดตามกฎ ไม่หลุดจากวินัย
2. รู้จุดเข้า-จุดออกชัดเจน
แผนการเทรดที่ดีจะกำหนดจุดเข้า (Entry Point), จุดออกทำกำไร (Take Profit) และจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ไว้ล่วงหน้า ซึ่งช่วยให้คุณไม่ต้องตัดสินใจใหม่ขณะตลาดวิ่ง และลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนใจกลางทาง
3. จัดการทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
การวางแผนรวมถึงการจัดการเงินทุน เช่น จะใช้ความเสี่ยงต่อไม้เทรดกี่เปอร์เซ็นต์ จะเพิ่มหรือลดล็อตอย่างไร ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยป้องกันการล้างพอร์ต และสร้างความมั่นคงให้กับการเทรด
4. มีแนวทางในการประเมินผลและพัฒนา
เมื่อคุณมีแผนการเทรดที่ชัดเจน คุณสามารถบันทึกและวิเคราะห์ผลการเทรดแต่ละไม้ได้ง่ายขึ้น รู้ว่าอะไรได้ผล อะไรไม่ได้ผล เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์และพัฒนาให้ดีขึ้นในระยะยาว
5. สร้างความมั่นใจ
แผนที่ผ่านการคิดและทดสอบมาอย่างดีจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเข้าออร์เดอร์ ไม่ลังเล ไม่กลัว เพราะคุณรู้ว่าคุณกำลังทำตามระบบที่มีเหตุผลรองรับ
สรุป
การวางแผนก่อนเข้าออร์เดอร์ คือรากฐานของการเทรดอย่างมืออาชีพ ไม่ใช่แค่การคาดเดาหรือหวังโชคดี แต่มันคือการใช้ข้อมูล วิเคราะห์ และจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ ดังคำพูดที่ว่า
“Plan the trade, trade the plan”
วางแผนให้ชัด แล้วทำตามแผนให้มั่นคง เท่านี้โอกาสสำเร็จในตลาดก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
Scalping trading strategy เทรดสั้นยังไงให้ได้กำไรScalping trading strategy
เทรดสั้นยังไงให้ได้กำไร
👰 กลับมากันอีกแล้วกับบทความดีๆและเทคนิคการเทรดสั้นยังไงให้ได้กำไร เพราะการเทรดสั้นนั้นสามารถทำกำไรได้เร็วนั่นเอง มาครับ มาดูกันว่ารอบนี้เราจะใช้สูตรการเทรดสั้นแบบไหนกันบ้าง ตามมาอ่านกันได้เลย
👾 คนส่วนใหญ่มักนิยมการเทรดสั้นเพราะว่ามันเร็ว และใช้เวลาไม่นาน แต่ในความเร็วนั้นแฝงไปด้วยกำไรและขาดทุนแบบเต็มๆ แล้วต้องเทรดยังไงให้ได้กำไรมากกว่าขาดทุนหล่ะ บทความนี้มีคำตอบ
👴 สิ่งที่ต้องรู้ ก่อนเริ่ม Scalping trading strategy
👿 กลยุทธ์ Scalping เราจะใช้เทคนิคการเทรดในระยะสั้นมากๆ โดยที่ราคาไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เรียกสั้นๆว่า "เก็งกำไร"
👿 Scalping มักจะมุ่งเน้นไปที่ตลาดที่มีสภาพคล่องสูงและมีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะทำให้ การซื้อขาย เปิด ปิด ตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วในทันทีที่ตลาดเคลื่อนไหว
👿 เราจะได้กำไรเล็กน้อยจากการซื้อขายในแต่ละครั้ง โดยคาดหวังการเก็บเล็กผสมน้อยนั่นเอง การเทรดแบบนี้จะทำให้เราได้กำไรน้อย แต่มีโอกาสทำกำไรได้หลายครั้ง
👿 เมื่อกำไรน้อย ความเสี่ยงย่อมน้อยตาม กำไรเล็กน้อยทั้งหมดจะสะสมไว้ ในพอร์ตของเรา เพื่อเป็นทุนในการเทรดต่อไป
👿 การเทรดสั้น Scalping จำเป็นต้องมีวินัยอย่างเคร่งครัด
👿 สภาพแวดล้อมและจิตใจก็สำคัญมากอันดับหนึ่ง หากเราเลือกเส้นทางการเทรดนี้ เพราะราคาขยับเพียงเล็กน้อย ก็ได้กำไรหรือขาดทุนแล้ว ดังนั้นอารมณ์จึงสำคัญอย่างยิ่ง
กลยุทธ์การซื้อขายจะประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก
1. การวางแผน
2. การวางคำสั่งซื้อขาย
3.การดำเนินการซื้อขาย
กลยุทธ์การซื้อขายส่วนใหญ่จะอิงตามปัจจัยทางเทคนิคหรือปัจจัยพื้นฐาน โดยใช้ข้อมูลเชิงปริมาณที่สามารถทดสอบย้อนหลังเพื่อกำหนดความแม่นยำได้
💂ตัวอย่างอินดิเคเตอร์และเครื่องมือที่ใช้
1. เส้น EMA หรือ MA 5 , 20 , 100
2. RSI
3. Stohastic
4. MACD ฯลฯ
💂วิธีการหาจุดเข้าในการเทรด Scalping trading strategy
👿 หลักๆ ต้องเลือกแนวโน้มเทรนด์ใหญ่เป็นหลัก แล้วหาจุดเข้า ทั้งขาบายและขาเซลดังนี้
ขา BUY เข้าทำกำไรตามเทรนด์ใหญเป็นหลัก แต่เก็บกำไรสั้นๆ เข้าเร็วออกเร็ว
ขา SELL เน้นเข้าทำกำไรช่วงราคาย่อลง ตามคลื่นรอบเล็ก เก็บกำไรสั้นๆ เข้าเร็วออกเร็ว
👿👿👿 แม้ว่าระบบการเทรดจะง่ายขนาดไหน แต่หากเราไม่หมั่นฝึกฝนและพยายามหรือแม้แต่การลงมือปฏิบัติจริง ผลลัพธ์ย่อมไม่เกิดขึ้นนะครับ ที่สำคัญสภาพอารมณ์และจิตใจสำคัญมากๆในการเทรดสั้นแบบนี้ อย่าลืม เตรียมเงิน เตรียมใจ และเตรียมแผนการเทรดให้ดีครับ แอดเอาใจช่วย แอดเชื่อว่าทุกคนทำได้ แค่เริ่มลงมือทำ สู้ๆฮะ
Market Sentiment คืออะไร? สำคัญไหมMarket Sentiment คืออะไร?
Market Sentiment หรือ "ภาวะอารมณ์ของตลาด" คือการวัดความรู้สึกของนักลงทุนในตลาด ว่ากำลังมีมุมมองในเชิงบวก (Bullish) หรือเชิงลบ (Bearish) ต่อสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง ความรู้สึกนี้มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ-ขาย และสามารถขับเคลื่อนราคาได้ แม้ในบางครั้งจะสวนทางกับพื้นฐานของสินทรัพย์นั้นก็ตาม
ประเภทของ Market Sentiment
Bullish Sentiment (ตลาดกระทิง)
นักลงทุนมีความมั่นใจ คาดว่าราคาจะปรับขึ้น จึงเน้นการซื้อถือ (Buy & Hold)
Bearish Sentiment (ตลาดหมี)
นักลงทุนมีความวิตก คาดว่าราคาจะปรับลดลง จึงมักเทขายเพื่อลดความเสี่ยง
เครื่องมือวิเคราะห์ Market Sentiment
-Indicator แบบวัดอารมณ์ตลาด
-Fear & Greed Index (ใช้บ่อยในตลาดคริปโต)
-Put/Call Ratio (ใช้ในตลาดหุ้น)
-Commitment of Traders (COT) Report
-รายงานการถือสถานะของกลุ่มผู้เล่นรายใหญ่
Volume Analysis
ปริมาณการซื้อขายสูงพร้อมราคาเพิ่ม = มองว่าตลาดมีแรงซื้อหนุน
ข่าวสาร / สื่อโซเชียล
การวิเคราะห์กระแสข่าวใน Twitter, Reddit, หรือสื่อการเงิน
Price Action
พฤติกรรมของแท่งเทียน (Candlestick) เช่น Pin Bar, Engulfing อาจบอกอารมณ์นักลงทุนได้
SIDEWAY OR CONSOLIDATION PHASESSIDEWAY OR CONSOLIDATION PHASES
ตลาดไซด์เวย์หมายถึงโครงสร้างของตลาดที่ไม่สามารถทะลุทั้งจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด หรือเพียงแค่ไส้เทียนแตะจุดสูงสุด/ต่ำสุดเท่านั้น
ช่วงที่ราคาแกว่งอยู่ในกรอบ (Range/Consolidation) มีความสำคัญมาก
เพราะเป็นการตัดสินใจถึงทิศทางถัดไปของตลาด
ลองสังเกตว่า ก่อนที่ราคาจะเคลื่อนไหวใหญ่ มักจะมีช่วงไซด์เวย์ก่อนเสมอ
ตามด้วยการกวาดสภาพคล่อง (Liquidity Gap) และจากนั้นจึงเกิดการเคลื่อนที่จริง
การเทรดช่วงตลาดไซด์เวย์ในไทม์เฟรมเล็ก (LTF) มีความเสี่ยงสูง
อย่างไรก็ตาม หากตลาดไซด์เวย์เกิดขึ้นบนไทม์เฟรม 4 ชั่วโมง (4H) หรือ 1 วัน (D1)
อาจกลายเป็นแนวโน้มในไทม์เฟรม 15 นาที (15M) ซึ่งสามารถเทรดได้
Disclaimer คำเตือน
1.โพสต์นี้เป็นการแชร์มุมมองเพื่อการศึกษาและเรียนรู้พฤติกรรมการทำราคาของกราฟเทคนิคคอลเท่านั้น (For Educational purposes only) และ ผู้เขียนไม่ใช่ (Financial advisor nor a CPA)
2.ทางเพจไม่ได้มีเจตนาชี้แนะหรือชี้ชวนการลงทุนแต่อย่างใด (I am sharing my opinion with no guarantee of investment gains or losses.)
3.ผู้ลงทุนควรศึกษาผลิตภัณฑ์การลงทุนก่อน และตัดสินใจการลงทุนเอง ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นผู้ลงทุนต้องยอมรับความเสี่ยงด้วยตนเอง (Investing of any kind involves risk. While it is possible to minimize risk, your investments are solely your responsibility. You must conduct your own research.)
ระบบเทรด EOD สำหรับคนชอบเทรดกราฟเดย์ TF DAYระบบเทรด EOD
สำหรับคนชอบเทรดกราฟเดย์ TF DAY
👰 กลับมากันอีกแล้วกับบทความดีๆและความรู้ใหม่ๆแน่นๆให้เหล่าชาวเทรดเดอร์ วันนี้แอดเาใจมือใหม่หัดเทรดกันครับด้วยระบบเทรดแบบง่ายๆและเบสิคสุดๆ อ่านจบเทรดเป็นได้เลย มาครับ มาตามอ่านกันดีกว่า
👾ระบบการเทรด EOD ย่อมาจาก End of Day เป็นการนำข้อมูลทางเทคนิคมาวิเคราะห์หลังตลาดปิดทำการหรือจบวัน จบแท่งเดย์นั่นเอง เพื่อวางแผนการเทรดในวันต่อไป
👾โดยทั่วไปแล้วระบบการเทรด EOD จะใช้กับไทม์เฟรม Daily อย่างเดียว เพราะว่าง่ายต่อการดูทิศทางของตลาด แต่เราสามารถใช้กับไทม์เฟรมอื่น ๆ ได้ เพื่อมาวิเคราะห์ ตลาดในแต่ละ Session ในการเข้าทำกำไร
👾 รูปแบบการเทรดนี้จะทำให้เราไม่ต้องสู้กับความผันผวนในตลาดที่น่าหวาดเสียว และไม่ต้องเฝ้าจอนานๆ ไม่เครียดด้วย เหมาะกับเพื่อนๆ ที่ไม่ชอบเทรดความเสี่ยงสูง
💂หลักการเทรดเบื้องต้นของระบบเทรด EOD
ใช้ลักษณะของแท่งเทียนและแนวโน้มของเทรนด์เป็นหลัก ผ่านอินดิเคเตอร์ตัวเบสิค และทำการเข้าเทรดเมื่อราคามาถึงจุดย่อของแท่งเทียนเดิม และมีการใช้เส้น ค่าเฉลี่ย ATR เป็นตัวช่วยในการปิดออเดอร์หรือเก็บกำไร และที่สำคัญมากๆ คือ เป็นระบบเทรดระยะกลางจนถึงการเทรดระยะยาว การทำกำไรจะได้ผลดีในการเทรดเพียงครั้งเดียวต่อรอบ และต้องใช้เงินทุนสูงนิดนึงนะฮะ
💂สิ่งที่จำเป็นต้องรู้ในการเทรดระบบ EOD
1. ลักษณะของแท่งเทียน candlesticks แบบเบสิคที่เราสามารถเห็นได้บ่อย
2. รูปแบบ Chart Pattern ใช้แบบทั่วไปได้เลยไม่เยอะ
3. ช่องว่างระหว่างราคา (Gap)ในบางครั้งอาจมีมาบ้าง
แท่งเทียนวันก่อนหน้าเป็นสิ่งสำคัญมากของระบบนี้ จดจำและดูทิศทางของแท่งเทียนวันก่อนหน้าก่อน ว่าเป็นแบบ Bullish หรือ Bearlish ก่อนที่จะเปิดออเดอร์ในการเทรด
💂การตั้งค่าอินดิเคเตอร์เครื่องมือที่ใช้
1. CCI และ Stochastic
CCI ใช้ค่า Length: 40 และ Source: HLC3 ตีเส้นแนวนอนที่ 0
Stochastic ใช้ค่า %K: 5 %D: 3 Slowing -2 Price Field: Low/High
💂วิธีการเทรดและการอ่านอินดิเคเตอร์
💂1. การอ่านค่า CCI
CCI อยู่เหนือเส้นกึ่งกลาง เป็นเทรนด์ขาขึ้น
CCI อยู่ใต้เส้นกึ่งกลาง เป็นเทรนด์ขาลง
💂 2. การอ่านค่า Stochastic
STO อยู่โซน Oversold ราคามีโอกาสกลับตัวขึ้น
STO อยู่โซน Overbought ราคามีโอกาสกลับตัวลง
ข้อดีและข้อเสียของการเทรดระบบ EOD
ข้อดี
1. เป็นระบบที่เข้าใจง่าย
2.เพราะเทรดไทม์เฟรมใหญ่ทำให้เจอสัญญาณหลอกน้อย
3. เป็นกลยุทธ์การเทรดตามเทรนด์ ได้กำไรสูง
4. เหมาะกับคนไม่มีเวลาเฝ้ากราฟ
ข้อเสีย
1. มักจะพลาดโอกาสในการทำกำไรในระหว่างวัน และอาจต้องรอนานหลายวัน กว่าจะถึงเป้าหมาย TP
2. หากราคาตลาดเป็นไซด์เวย์นกรอบรายวัน เราจะเสียเวลานานกว่าเดิมเป็นอาทิตย์ หรือเป็นเดือนได้เลย คนที่ชอบเราแล้วรอได้นานเท่านั้นถึงจะอบระบบนี้ฮะ
3. ไม่เหมาะกับคนใจร้อนที่ไม่สามารถถือออร์เดอร์ข้ามวันได้
4. จำนวนการเทรดน้อยจนถึงน้อยมาก
💂คำแนะนำเพิ่มเติม
1. สามารถปรับ Risk Reward ให้เหมาะสมกับการวิ่งของราคาได้
2..ให้ลองเทรดหลายๆคู่เงิน จะช่วยเพิ่มการทำกำไรได้ และการพลาดโอกาสการเทรดระหว่างวัน
3.อย่าลืม Back Test ก่อนใช้งานจริงฮะ
👿👿👿 แม้ว่าระบบการเทรดจะง่ายขนาดไหน แต่หากเราไม่หมั่นฝึกฝนและพยายามหรือแม้แต่การลงมือปฏิบัติจริง ผลลัพธ์ย่อมไม่เกิดขึ้นนะครับ แอดอยากให้เราชาวเทรดเดอร์มือใหม่ ได้ลองพยายามและหมั่นฝึกฝน ลงมือทำ เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ไม่มากก็น้อย สู้ๆนะครับ แอดเอาใจช่วย
Serotonin: ฮอร์โมนแห่งความสุขที่ส่งผลต่อการตัดสินใจในการเทรด
ในการเทรด ไม่ใช่แค่การวิเคราะห์กราฟหรือข่าวเท่านั้นที่มีผลต่อความสำเร็จของเทรดเดอร์ แต่ "สภาพจิตใจ" และ "เคมีในสมอง" เองก็มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้ง หนึ่งในสารเคมีสำคัญที่มีบทบาทคือ Serotonin (เซโรโทนิน) ซึ่งถูกเรียกขานว่า "ฮอร์โมนแห่งความสุข"
💡 Serotonin คืออะไร?
Serotonin เป็นสารสื่อประสาท (Neurotransmitter) ที่ทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์ ความสุข การนอนหลับ ความอยากอาหาร และการควบคุมแรงกระตุ้น การมีระดับเซโรโทนินที่สมดุลทำให้เรารู้สึกสงบ มั่นคง และมีสมาธิ
🧠 Serotonin ส่งผลต่อการเทรดอย่างไร?
ลดอารมณ์ฉุนเฉียวและความหุนหันพลันแล่น
เทรดเดอร์ที่มีระดับเซโรโทนินต่ำอาจเกิดอารมณ์แปรปรวนง่าย ทำให้รีบตัดสินใจโดยไม่วางแผน เช่น การปิดออเดอร์ก่อนเวลา หรือการโอเวอร์เทรด
-ช่วยเพิ่มความอดทนในการถือไม้
ระดับเซโรโทนินที่เหมาะสมทำให้เทรดเดอร์มีความอดทนในการรอจังหวะที่เหมาะสม ไม่ตื่นตระหนกง่ายเมื่อราคาวิ่งสวน
-เพิ่มความมั่นใจโดยไม่หลงตัวเอง
เทรดเดอร์บางคนเมื่อได้กำไรจะหลงตัวเองและกล้าทุ่มเกินแผน แต่หากสมองมีเซโรโทนินสมดุล จะทำให้มั่นใจในแผนโดยไม่หลุดกรอบ
-ช่วยควบคุมอารมณ์หลังขาดทุน
หลังจากขาดทุนหนัก เซโรโทนินช่วยให้เรากลับมาอยู่กับปัจจุบัน ไม่ติดกับดักของอารมณ์เสียหรือการเทรดเพื่อล้างแค้น
🎯 วิธีเพิ่มระดับ Serotonin อย่างธรรมชาติ
-นอนหลับให้เพียงพอ
-ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
-กินอาหารที่มี Tryptophan เช่น ปลา ไข่ กล้วย
-รับแสงแดดยามเช้า
-ฝึกสมาธิหรือหายใจลึก ๆ
-หลีกเลี่ยงความเครียดจากการจ้องกราฟตลอดเวลา
🧘♂️ สรุป
Serotonin คือกุญแจลับอีกดอกที่ช่วยให้เทรดเดอร์มี "จิตใจมั่นคง" และ "สติรอบคอบ" ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญไม่แพ้กลยุทธ์การเทรด อย่ามองข้ามการดูแลสมองของตัวเอง เพราะจิตใจที่นิ่ง มักสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้เสมอ
พอร์ต Alpha และ Beta ในการเทรด Forex: กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงในการลงทุนหรือเทรดในตลาด Forex นอกจากการวิเคราะห์กราฟ การจัดการความเสี่ยง และการบริหารเงินทุนแล้ว อีกหนึ่งแนวคิดที่น่าสนใจและสามารถช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้น คือการแบ่ง “พอร์ตการลงทุน” ออกเป็น พอร์ต Alpha และ Beta ซึ่งเป็นแนวคิดที่มีพื้นฐานมาจากการบริหารกองทุนในตลาดทุน แต่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการเทรด Forex ได้เช่นกัน
พอร์ต Alpha คืออะไร?
พอร์ต Alpha หมายถึงพอร์ตที่เน้นสร้างผลตอบแทนที่ "มากกว่าตลาด" หรือมากกว่าค่าเฉลี่ยของระบบทั่วไป โดยใช้กลยุทธ์ที่อิงกับการวิเคราะห์เชิงลึก เช่น
การเทรดด้วยข่าว (News Trading)
การวิเคราะห์ทางเทคนิคขั้นสูง
การจับจังหวะตลาด
กลยุทธ์ที่มี Risk/Reward Ratio สูง
จุดเด่นของพอร์ต Alpha คือสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงที่มากกว่า เนื่องจากต้องอาศัยความแม่นยำและวินัยอย่างสูงในการเข้าออกออเดอร์
ตัวอย่างกลยุทธ์ในพอร์ต Alpha
Scalping หรือ Day Trading
กลยุทธ์ Breakout / Reversal
การเทรดช่วงข่าวแรง เช่น Non-Farm Payroll
พอร์ต Beta คืออะไร?
พอร์ต Beta เป็นพอร์ตที่มุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับ “ค่าเฉลี่ยของตลาด” หรือระบบที่มีความเสถียรสูง โดยมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่า Alpha เน้นความมั่นคงและระยะยาว เช่น
*ระบบเทรดอัตโนมัติ (EA)
*กลยุทธ์ที่ใช้ Moving Average
*กลยุทธ์เทรนด์ฟอลโลว์ (Trend Following)
Beta ไม่ได้พยายาม "ชนะตลาด" แต่พยายาม "เติบโตไปพร้อมกับตลาด" อย่างต่อเนื่อง เป็นพอร์ตที่เหมาะกับการลงทุนในระยะยาว และมักจะมีการจัดการความเสี่ยงที่ดี
ตัวอย่างกลยุทธ์ในพอร์ต Beta
*กลยุทธ์ EMA Crossover
*กลยุทธ์ตามเทรนด์ระยะกลาง
*ระบบ DCA (Dollar Cost Averaging) ที่ประยุกต์ใช้กับ Forex
ทำไมต้องแยกพอร์ต Alpha และ Beta?
การแยกพอร์ตออกเป็น Alpha และ Beta ช่วยให้คุณสามารถจัดการความเสี่ยงได้ดีขึ้น โดย:
พอร์ต Beta เป็นฐานหลักที่คอยรักษาเสถียรภาพของบัญชี ช่วยลดความผันผวน
พอร์ต Alpha เป็นพอร์ตที่ใช้โอกาสสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติม หากมีกำไรดี ก็จะเร่งให้พอร์ตโตเร็วขึ้น
การแยกพอร์ตช่วยให้คุณวัดผลของกลยุทธ์แต่ละประเภทได้ชัดเจน และสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างมีหลักการ
การจัดสัดส่วนพอร์ต
ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของแต่ละคน เช่น
นักลงทุนสายอนุรักษ์นิยม: 80% Beta / 20% Alpha
นักลงทุนสายสมดุล: 60% Beta / 40% Alpha
นักลงทุนสายบุก: 40% Beta / 60% Alpha หรือมากกว่านั้น
สรุป
การจัดพอร์ต Alpha และ Beta เป็นแนวทางที่ช่วยให้การเทรด Forex มีระบบระเบียบมากขึ้น ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพากลยุทธ์เดียว และช่วยให้คุณสามารถประเมินผลการเทรดได้อย่างชัดเจน หากนำแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้กับการบริหารบัญชีเทรด จะช่วยเพิ่มโอกาสให้การเทรดของคุณ “อยู่รอดและเติบโต” ได้ในระยะยาว
How To Setting EA วิธีติดตั้ง EA Robot Forex บน MT4, MT5How To Setting EA
วิธีติดตั้ง EA Robot Forex บน MT4, MT5
👰 กลับจากบทความที่แล้ว แอดพาทุกคนไปรู้จัก กับ EA robot กันแล้ว มารอบนี้เราไปดูกันต่อฮะกับวิธีการติดตั้ง EA robot แบบง่ายๆที่ไม่ยุ่งยาก มาครับ ตามไปอ่านพร้อมๆกันเลยกับบทความนี้มีคำตอบ
วิธีติดตั้ง EA Robot Forex บน MT4
ขั้นตอนที่ 1 ดาวน์โหลดไฟล์ EA ที่ต้องการจะติดตั้ง หาโหลดฟรีได้ทั่วไปเลยครับ
ขั้นตอนที่ 2 Extract ไฟล์ EA และ Copy ข้อมูล
👉คลิกขวาที่ไฟล์ EA
👉เลือก Extract to
👉คลิกขวาที่ไฟล์ (.ex4 หรือ .mq4) เพื่อ Copy
ขั้นตอนที่ 3 เปิดโปรแกรม MT4 และเริ่มติดตั้ง
👉ไปที่ File
👉เลือก Open Data Folder
👉กดเข้าไปที่ โฟลเดอร์ MQL4
👉คลิกเข้าไปที่ Experts
👉นำ EA ที่เรา Copy ในขั้นตอนที่ 2 มาวางในโฟลเดอร์ Expert
ขั้นตอนที่ 4 รีเฟรชโปรแกรม MT4 อีกครั้ง
👉คลิกขวาที่ Expert Advisors บนแถบด้านซ้ายหน้า MT4
👉เลือก Refresh
วิธีติดตั้ง EA Forex บน MT5 มีขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ดาวน์โหลดไฟล์ EA ที่ต้องการ โดยอยู่ในรูปแบบ EX5 หรือ MQ5
ขั้นตอนที่ 2 เปิดโปรแกรม MT5 และติดตั้ง
👉ไปที่ File บนแถบเมนูด้านบน
👉คลิกที่ Open Data Folder
👉คลิกที่ MQL5 จากนั้นคลิกที่ Experts
👉คัดลอกและวางไฟล์ EA ลงในโฟลเดอร์
ขั้นตอนที่ 3 กลับไปที่แพลตฟอร์ม MT5
ขั้นตอนที่ 4 รีเฟรชโปรแกรม MT5 อีกครั้ง
👉คลิกขวาที่ Expert Advisors บนแถบด้านซ้ายหน้า MT5
👉เลือก Refresh จากนั้น EA ที่ติดตั้งจะปรากฏขึ้นในรายการ
👉👉👉 เป็นอย่างไรกันบ้างฮะ ง่ายใช่มั้ยหล่ะ แต่สิ่งสำคัญที่เราควรต้องคำนึงเป็นอันดับแรกๆก็คือการเลือก EA ที่ดีสักตัว เพราะมันจะช่วยเพิ่มโอกาสการทำกำไรและลดความเสี่ยงได้อีกนะดับ แอดแถมให้อีกนิดนะฮะ
1. เลือก EA ที่มีการแสดง Back Test ให้เราติดตาม และควรเลือกระยะเวลาย้อนหลังอย่างน้อย 1 ปี เพื่อให้เห็นโอกาสการทำกำไรของการใช้ EA ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
2. ทดสอบ A/B Test เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพก่อน เพื่อเป็นการเปรียบเทียบว่า EA ตัวไหนสามารถทำกำไรได้จริง และดีกว่ากัน
3. อ่านรีวิว EA Forex จากผู้ใช้งานจริง จะทำให้เราตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น และบางทีอาจจะถูกกับจริตของเราด้วย
4. ทดสอบ EA Forex ในตลาดจริงก่อนเริ่มใช้งาน ด้วยการลองใช้ในบัญชี Demo เพื่อความสมจริงฮะ แม้จะไม่เหมือนพอร์ตจริงแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ไม่หนีกันมากนัก
5. เลือกโบรกเกอร์ที่มีใบอนุญาตและมีความน่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันความเสี่ยง
👉👉👉แม้ว่า EA Robot จะเป็นที่นิยม เพื่อใช้ในการเทรดที่ต้องการลดการทำงานของมนุษย์ หรือเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดในตลาดที่มีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากการตั้งค่าหรือกลยุทธ์ที่ไม่เหมาะสมด้วยเช่นกัน อย่าลืมเผื่อใจและใช้เวลาในการเลือกสักหน่อยนะครับ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ EA Robot สมัยนี้มันต้องเพิ่งเทคโนโลยีด้วยกันแล้วจริงๆนะ แต่ทั้งนี้ทั้นนั้น EA Robot ก็มีทั้งด้านดี และด้านเสีย เราจะเอาใจไปลงที่ EA robot แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้นะครับ มันเสี่ยงเกินไป และที่สำคัญ เมื่อได้มันมาแล้ว แอดแนะนำให้ลอง back test ย้อนดูไปนานๆก่อนฮะ และทดลองใช้กับพอร์ตเดโม่3-6 เดือนด้วยยิ่งดี เราจะได้ไม่ขาดทุนครับ
การเทรด Forex ด้วยกลยุทธ์ Volatility Tradingความหมายของ Volatility
Volatility หรือ "ความผันผวน" คือระดับความแปรปรวนของราคาสินทรัพย์ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยในตลาด Forex นั้น ความผันผวนหมายถึงการที่ราคาคู่เงินมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงในอัตราที่รวดเร็วและรุนแรง ซึ่งถือเป็นดาบสองคม เพราะแม้จะเปิดโอกาสในการทำกำไรมหาศาล แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนได้เช่นกัน
ทำไม Volatility ถึงสำคัญในการเทรด?
โอกาสในการทำกำไรเพิ่มขึ้น – เมื่อตลาดมีความผันผวนสูง เทรดเดอร์สามารถเข้าออกออเดอร์ได้ในช่วงราคาที่กว้างขึ้น สร้างกำไรได้มากขึ้นในเวลาอันสั้น
กลยุทธ์การเทรดบางประเภทต้องการ Volatility – เช่น Breakout Strategy หรือ News Trading ที่ต้องอาศัยการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็ว
ช่วยบ่งชี้แนวโน้มของตลาด – ความผันผวนที่เพิ่มขึ้นอาจบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มในตลาด
วิธีการเทรดด้วย Volatility
1. Breakout Trading
กลยุทธ์นี้เน้นการเข้าออเดอร์เมื่อราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ พร้อมกับปริมาณความผันผวนที่สูง เพื่อหวังให้ราคาวิ่งต่อไปอย่างรุนแรง
2. Range Trading (เมื่อ Volatility ต่ำ)
เมื่อราคาวิ่งอยู่ในกรอบแคบ ๆ หรือ Sideway การใช้กลยุทธ์ Range Trading เช่น ซื้อบริเวณแนวรับ และขายบริเวณแนวต้าน เป็นวิธีที่เหมาะสม
3. News Trading
ข่าวเศรษฐกิจใหญ่ เช่น Non-Farm Payroll, การประกาศอัตราดอกเบี้ย ฯลฯ มักสร้างความผันผวนมหาศาล หากวางแผนล่วงหน้าได้ดี อาจสร้างผลกำไรได้มากจากการเคลื่อนไหวเหล่านี้
ตัวชี้วัดความผันผวนที่ควรรู้
ATR (Average True Range): ใช้วัดระดับความผันผวนในกรอบเวลาเฉพาะ เช่น ATR สูง = ตลาดผันผวน
Bollinger Bands: แสดงช่วงการเคลื่อนไหวของราคา ยิ่งแคบแปลว่าผันผวนต่ำ ยิ่งกว้างแปลว่าผันผวนสูง
Volatility Index (VIX): ใช้ในตลาดทุน (หุ้น/ดัชนี) แต่สามารถดูแนวโน้มของความกลัวในตลาดรวมได้
ข้อควรระวังในการเทรดตามความผันผวน
อย่าใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินใจ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดเหวี่ยง
วาง Stop Loss และ Risk Management อย่างรัดกุมเสมอ
หลีกเลี่ยง Overtrade เมื่อเห็นกราฟเคลื่อนไหวแรงเกินไป
ศึกษาพฤติกรรมของตลาดในช่วงเวลาแต่ละวัน เช่น ตลาดยุโรป/อเมริกามักผันผวนกว่าตลาดเอเชีย
สรุป
การเทรดด้วยกลยุทธ์ Volatility Trading เป็นวิธีที่สามารถสร้างกำไรได้อย่างรวดเร็วในตลาด Forex แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงด้วยความเสี่ยงสูง ผู้ที่สนใจจึงควรศึกษาพฤติกรรมของตลาด เข้าใจเครื่องมือวัดความผันผวน และบริหารจัดการความเสี่ยงให้ดี เพื่อเปลี่ยน "ความผันผวน" ให้กลายเป็น "โอกาส" อย่างแท้จริง
Pyramiding ในการเทรด Forex: กลยุทธ์เพิ่มกำไรแบบเป็นระบบPyramiding คืออะไร?
Pyramiding เป็นกลยุทธ์การเพิ่มขนาดของตำแหน่ง (Position) ในขณะที่ตลาดเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่เป็นกำไร โดยไม่เพิ่มความเสี่ยงมากเกินไป หลักการของ Pyramiding คือการใช้กำไรที่ได้รับจากออเดอร์เดิมมาสร้างออเดอร์ใหม่ ทำให้สามารถขยายขนาดของการเทรดได้โดยไม่ต้องเพิ่มความเสี่ยงของบัญชีมากนัก
หลักการของ Pyramiding
1.เริ่มต้นด้วยขนาดที่เหมาะสม: เทรดเดอร์จะเปิดออเดอร์แรกด้วยขนาดที่คำนวณจากการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
2.เพิ่มออเดอร์เมื่อราคาเคลื่อนที่ไปในทางที่ถูกต้อง: เมื่อราคาวิ่งไปในทิศทางที่ทำให้เกิดกำไร จะมีการเปิดออเดอร์ใหม่ที่ระดับราคาที่สูงขึ้น (ในเทรดขาขึ้น) หรือระดับราคาที่ต่ำลง (ในเทรดขาลง)
3.ใช้กำไรเพื่อเพิ่มขนาดการเทรด: กำไรที่เกิดขึ้นจากออเดอร์แรกสามารถนำมาใช้เป็นหลักประกันสำหรับออเดอร์ใหม่ได้
4.กำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) อย่างรัดกุม: ควรตั้ง Stop Loss ของทุกออเดอร์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยง หากราคาย้อนกลับไปผิดทางจะเสียเพียงส่วนหนึ่งของกำไร ไม่ใช่ขาดทุนทั้งบัญชี
ตัวอย่างการใช้ Pyramiding
สมมติว่าเทรดเดอร์กำลังเทรดคู่เงิน XAUUSD (ทองคำ) ในขาขึ้น และใช้ Pyramiding:
เปิดออเดอร์แรกที่ราคา 2,000 USD/oz ด้วยขนาด 1 ล็อต
เมื่อราคาขยับขึ้นไปที่ 2,020 USD/oz และมีการยืนยันแนวโน้ม เทรดเดอร์เปิดออเดอร์ที่สอง 0.5 ล็อต
ถ้าราคาขึ้นไปที่ 2,040 USD/oz เทรดเดอร์เปิดออเดอร์ที่สาม 0.25 ล็อต
Stop Loss ของออเดอร์แรกถูกเลื่อนขึ้นมาตามแนวรับใหม่ เพื่อล็อกกำไร
ข้อดีของ Pyramiding
✅ เพิ่มกำไรแบบทบต้น: สามารถใช้ประโยชน์จากแนวโน้มที่แข็งแกร่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ลดความเสี่ยงเมื่อเทียบกับการเพิ่มล็อตทีเดียว: การแบ่งไม้เข้าเพิ่มช่วยให้สามารถจัดการความเสี่ยงได้ดีขึ้น ✅ เหมาะกับแนวโน้มที่แข็งแกร่ง: ใช้ได้ดีเมื่อมีเทรนด์ชัดเจน เช่น ในข่าวใหญ่หรือช่วงตลาดมีโมเมนตัมสูง
ข้อควรระวัง
⚠️ ต้องตั้ง Stop Loss อย่างเหมาะสม: หลีกเลี่ยงการเพิ่มออเดอร์โดยไม่วางแผนการออกจากตลาด ⚠️ ไม่ควรใช้ในตลาดไซด์เวย์: Pyramiding เหมาะกับตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน ถ้าใช้ในตลาดไซด์เวย์อาจทำให้ติดดอยหรือติดดอยหนัก ⚠️ ควรใช้การบริหารความเสี่ยงเสมอ: อย่าพยายามใช้ Pyramiding กับ Leverage สูงเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดความเสี่ยงสูง
สรุป
Pyramiding เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มกำไรจากการเทรด Forex โดยอาศัยแนวโน้มที่แข็งแกร่งของตลาด อย่างไรก็ตาม ควรใช้ร่วมกับการบริหารความเสี่ยงที่ดี ตั้ง Stop Loss อย่างเหมาะสม และเลือกใช้ในสภาวะตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
Divergence ดาบสองคม ที่มือใหม่ต้องระวังDivergence ดาบ 2 คม ที่มือใหม่ต้องระวัง
👰 กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับบทความๆดีๆที่มีให้อ่านกันไม่รู้จักเบื่อ มาครับวันนี้แอดพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ Divergence ที่ใครๆก็บกว่าดีนักดีหนา กำไรอย่างเยอะ แล้วทำไมมันกลายเป็นดาบสองคมได้หล่ะ มาครับบทความนี้มีคำตอบครับ
👰 Divergence เป็นหนึ่งในแนวคิดที่สำคัญในเทคนิคการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) โดยเฉพาะในการเทรดฟอเร็กซ์ มันเกิดขึ้นเมื่อการเคลื่อนไหวของราคาของสินทรัพย์ ขัดแย้งกับการเคลื่อนไหวของตัวชี้วัดทางเทคนิค (Indicators) เช่น RSI (Relative Strength Index) หรือ MACD (Moving Average Convergence Divergence)
ประเภทของ Divergence
1. Regular Divergence:
- การเกิดขึ้นเมื่อราคามีแนวโน้มลดลง แต่ตัวชี้วัดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สัญญาณนี้อาจบ่งบอกถึงการกลับตัวขึ้น (Bullish Reversal)
- การเกิดขึ้นเมื่อราคามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ตัวชี้วัดมีแนวโน้มลดลง สัญญาณนี้อาจบ่งบอกถึงการกลับตัวลง (Bearish Reversal)
2. Hidden Divergence:
- Bullish : เกิดขึ้นเมื่อราคาสร้างจุดต่ำใหม่ แต่ตัวชี้วัดสร้างจุดต่ำที่สูงกว่า ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการดำเนินการในแนวโน้มขึ้น
- Bearish : เกิดขึ้นเมื่อราคาสร้างจุดสูงใหม่ แต่ตัวชี้วัดสร้างจุดสูงที่ต่ำกว่า ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการดำเนินการในแนวโน้มลง
👰 สัญญาณ Divergence เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากในการวิเคราะห์ทางเทคนิค
👰 แต่.......ก็มีความเสี่ยงหากเราแยกแยะความแตกต่างระหว่างสัญญาณที่ดีและสัญญาณที่หลอกไม่ได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ความสำเร็จหรือความล้มเหลวได้เช่นกันจุดสังเกตุและวิธีแก้คือ
1.สัญญาณหลอก (False Signal)
Divergence สามารถให้สัญญาณจริงและสัญาณหลอกได้ ซึ่งหมายความว่าอินดิเคเตอร์อาจจะบ่งบอกถึงการกลับตัว แต่ราคาจริงอาจจะยังคงวิ่งไปในทิศทางเดิม ไม่ควรเชื่อร้อยเปอร์ซ็นต์ ให้แบ่งไม้หรือซอยไม้ในการทำกำไรหรือเข้าออเดอร์
2. ควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ
Divergence เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ การใช้อินดิเคเตอร์อื่นๆ มาร่วมด้วยจะทำให้เราตัดสินใจได้แม่นยำกว่า เช่น แนวรับแนวต้าน (Support and Resistance) หรือปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis) EMA, MACD, RSI, STO, BB, CCI ,ETC เราสามารถนำมาใช้ได้หมดแล้วแต่จะเลือก
3. หมั่นตรวจสอบสัญญาณจาก Timeframe ที่เหมาะสม
Timeframe ที่ใหญ่ขึ้นมักจะให้สัญญาณที่แม่นยำมากกว่า Timeframe เล็กๆ เช่น H4 , Day หรือ weekly
สรุป Divergence เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากในการคาดการณ์การกลับตัวของราคา แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นดาบสองคมที่เทรดเดอร์มือใหม่ต้องระวัง การเรียนรู้และเข้าใจวิธีการใช้งานอย่างถูกต้อง พร้อมกับการทดสอบและฝึกฝนจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงจากการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ Divergence ไม่ได้มีดีแค่ด้านเดียวนะ แต่ยังมีด้านไม่ดีซ่อนอยู่ด้วย แถมเวลาเราโดนสัญญาณหลอกเราก็มักจะไม่รู้ตัวกันอีก ต้องหมั่นทบททวนราคาและเช็คสัญญาณในแต่ละ Timeframe ให้ดีๆนะครับ แล้วเราจะชนะอย่างไม่ต้องสงสัย ลองเอาไปปรับใช้กันดูนะฮะ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ฝึกการเทรดไว้เยอะๆแล้วเราจะเก่งเอง แอดเอาใจช่วยทุกท่านให้เทรดได้กำไรกันเยอะๆครับ
อ่านกราฟไม่เก่งก็กำไร ด้วยสูตร Money Management อ่านกราฟไม่เก่งก็กำไร ด้วยสูตร
Money Management
👰 กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับบทความๆดีๆที่มีให้อ่านกันไม่รู้จักเบื่อ มาครับวันนี้แอดพาทุกท่านไปคำนวนตัวเลขเพื่อใช้ในการเทรดกันฮะ ไม่สับสนวุ่นวาย ไม่ยากเกินไปแน่นอน รับรองได้ มาครับตามมาดูมาอ่านกันดีกว่า ว่ามันใช้ยังไง และดีอย่างไร บทความนี้มีคำตอบครับ
👯💆 ส่วนใหญ่แล้ว เทรดเดอร์หน้าใหม่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับ การวางแผนคำนวนทุนกำไรเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเทรดแค่ได้กำไรก็จบ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันยากมาก เพราะการเทรดมีทั้งได้กำไรและขาดทุน การคำนวน MM (Money Management) จึงจัดว่าสำคัญ
👯💆เพราะเราไม่สามารถ เทรดแล้วทำกำไรได้ทุกครั้ง เราจะต้องมองการเทรดให้เป็นเกมในระยะยาว การรักษาเงินทุนของเราจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เราต้องเลือกเข้าเทรดในจุดที่ใช่และมีการบริหารความเสี่ยงที่ถูกต้อง และสิ่งที่ต้องรู้ในการบริหารความเสี่ยงในการลงทุน มีดังนี้
ขั้นตอนในการทำ Money Management
1. การอ่านและวิเคราะห์กราฟจากเครื่องมืออินดิเคเตอร์ เพื่อดูทิศทางในการเข้าออเดอร์ เช่น ดู EMA ,BB FIBO, CHANNEL เป็นต้น
2. คำนวนน R:R (Reward to Risk Ratio) คือความคุ้มค่าในการลงทุนแต่ละครั้ง เป็นการคำนวณเปรียบเทียบระหว่างกำไรที่เราจะได้รับมา หารกับผลขาดทุนที่จะสามารถเกิดขึ้นได้ถ้าไม้นั้นออกมาแพ้ การคำนวณค่า R:R คือเอาระยะกำไรหรือ TP มาหารด้วยระยะขาดทุนหรือระยะ SL
โดยทั่วไป R:R ควรจะต้องมากกว่า 2 ขึ้นไปถึงจะถือว่าคุ้มค่า แต่ว่าค่านี้ก็ไม่ใช่สูตรสำเร็จ เพราะถ้าหากเราที่ใช้กลยุทธ์ที่มี %Win Ratio สูง ๆ ค่า R:R ของเราก็อาจจะปรับลดลงได้
3. Win Rate เปอร์เซ็นโอกาสในการชนะของแผนการลงทุน ค่า Win rate จะได้มาจากการเก็บสถิติของคุณด้วยเทคนิคใดเทคนิคหนึ่งที่คุณใช้อยู่ ซึ่งคำนวณจากจำนวนครั้งที่คุณชนะหารด้วยจำนวนการเทรดทุกไม้ของคุณ
- เพราะโดยทั่วไป % Win Rate ของคนที่ใช้กลยุทธ์เทรดตามแนวโน้ม (Trend Following) จะอยู่ประมาณ 40% +/- เท่านั้น (เทรด 10 ครั้ง = ชนะ 4 ครั้ง / แพ้ 6 ครั้ง)
4. Correlation การกระจายความเสี่ยง เราจะไม่เทรดในคู่เงินที่มีแนวโน้มหรือทิศทางไปในทางเดียวกันหลายๆคู่ ยกตัวอย่างการเทรด คู่ EUR และ GBP ซึ่ง 2 สกุลเงินนี้อยู่ในตลาดยุโรปทั้งคู่ ถ้าเราเทรดชนะเราก็จะได้กำไร 2 เท่า แต่ถ้าเราเทรดแพ้เราก็จะขาดทุนเป็น 2 เท่าเช่นเดียวกัน
5. Position sizing การออก lot ให้เหมาะสมกับเงินทุน การคำนวณ Position sizing นี้มีอยู่หลากหลายวิธีด้วยกัน
- fixed fractional หรือว่าการออกไม้ด้วยเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงที่เท่ากันทุกไม้ ข้อดีก็คือถ้าเกิดเราแพ้ติดต่อกันหลายๆไม้ จำนวนเงินที่เราจะออกไม้จะค่อยๆน้อยลงแต่ในขณะเดียวกันถ้าเผื่อเราชนะติดต่อกันหลายๆไม้ เราจะสามารถออก lot ด้วยขนาดใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆทำให้เราได้กำไรทบต้นขึ้นไปอีก
- Fixed sizing คือการออก lot โดยการใช้จำนวนเงินหรือว่าระยะ TP SL เท่ากันทุกไม้ไม่ว่าพอร์ตเราจะโตขึ้นหรือว่าเล็กลง ข้อดีของการใช้วิธีนี้คืออัตราการเติบโตของพอร์ตเราจะมีแรงเหวี่ยงที่น้อยกว่า แต่ข้อเสียของวิธีนี้ก็คือว่าเราจะมี draw down ที่สูงกว่าถ้าเผื่อเรา SL ติดกันหลายๆไม้
- Fixed fractional sizing โดยวิธีนี้จะทำการออก lot ในจำนวนไม้เท่าๆกัน มีการปรับเปลี่ยนการออกไม้ของเราเมื่อพอร์ตเราโตขึ้นหรือว่าเล็กลงถึงค่าที่เรากำหนดไว้เป็นขั้นบันได
6. Expectancy คือค่ากำไรที่เราคาดหวังจากระบบเทรด ซึ่งค่านี้จะบ่งบอกว่าระบบเทรดของคุณที่ใช้อยู่ปัจจุบันมีโอกาสได้กำไรหรือขาดทุนมากกว่ากัน โดยเราจะต้องเก็บข้อมูลจากสถิติที่เราเทรดจริงหรือว่าจากที่เรา Back Test ก็ได้ในจำนวนที่มากพอเพื่อมาคำนวณหาค่าค่านี้
7. Recovery Rate คือโอกาสที่จะกู้พอร์ตให้กลับมาเท่าทุน ซึ่งถ้าเกิดว่าเราเทรดแพ้หลายๆไม้ติดต่อกัน โอกาสที่เราจะสามารถนำเงินกลับมาเท่าทุน จะเริ่มยากขึ้นไปเรื่อยๆ
8. Capital Management คือการจัดสรรเงินทุนให้เหมาะสมและถูกต้อง ข้อนี้สำคัญมากเพราะถ้าเราไม่รู้หรือคำนวณไม่เป็น สุดท้ายเมื่อเรามีเงินทุนไม่พอเราก็จะมีโอกาสที่จะล้างพอร์ตได้ในระยะยา การคำนวณคือ เราจะต้องเอา minimum ในการออกไม้ อยู่ที่ 0.01 เอาค่านี้มาคูณกับระยะ SL ที่เราจะเข้า
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับ Money Management แม้ว่าจะต้องเสียเวลานิดๆหน่อยๆในการคำนวน แต่เชื่อเถอะครับ มันดีจริงๆ แถมมันยังช่วยให้เราตัดสินใจในการเทรดได้มากขึ้นอีกด้วย เทรดครั้งนึงคุ้มไม่คุ้มอยู่ตรงนี้แหละ ใครบ้างจะอยากขาดทุน แต่ถ้าขาดทุนแล้วต้องกู้กำไรกลับคืนมา นี่ต่างหากที่สำคัญสุดๆ ลองเอาไปปรับใช้กันดูนะฮะ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ฝึกการเทรดไว้เยอะๆแล้วเราจะเก่งเอง แอดเอาใจช่วยทุกท่านให้เทรดได้เงินสะสมเยอะๆครับ
การตั้ง Take Profit อย่างแม่นยำในการเทรด Forexในการเทรด Forex หนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดที่นักเทรดต้องให้ความสำคัญคือการตั้ง Take Profit (TP) หรือจุดทำกำไรที่เหมาะสม เพราะการตั้ง TP อย่างแม่นยำสามารถช่วยให้คุณล็อกกำไร ลดความเสี่ยง และทำให้แผนการเทรดของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักแนวทางการตั้ง TP ที่เหมาะสมและแม่นยำเพื่อให้สามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง
1. ทำความเข้าใจแนวคิดของ Take Profit
TP คือระดับราคาที่นักเทรดตั้งไว้เพื่อปิดออเดอร์โดยอัตโนมัติเมื่อราคาถึงจุดที่กำหนด ซึ่งช่วยให้สามารถรักษากำไรได้โดยไม่ต้องเฝ้ากราฟตลอดเวลา หากตั้ง TP ไว้ใกล้เกินไป อาจทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไรสูงสุด แต่หากตั้งไกลเกินไป ราคาก็อาจไม่ถึง TP และเกิดการกลับตัวก่อน
2. วิธีการตั้ง Take Profit อย่างแม่นยำ
2.1 ใช้แนวรับและแนวต้าน (Support & Resistance)
แนวรับและแนวต้านเป็นจุดที่ราคามักจะมีการกลับตัวหรือติดแนวนี้ การตั้ง TP ใกล้บริเวณแนวต้าน (ในกรณี Buy) หรือใกล้แนวรับ (ในกรณี Sell) จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ราคาถึงเป้าหมายก่อนที่จะเกิดการกลับตัว
2.2 ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average – MA)
MA เป็นอินดิเคเตอร์ที่ช่วยระบุแนวโน้มและแนวรับแนวต้านที่เคลื่อนที่ หากราคามีแนวโน้มเป็นขาขึ้น การตั้ง TP ใกล้เส้น MA ที่สำคัญ เช่น EMA 50, EMA 100 หรือ EMA 200 อาจช่วยเพิ่มความแม่นยำ
2.3 ใช้ Fibonacci Retracement และ Extension
Fibonacci เป็นเครื่องมือที่ช่วยคาดการณ์แนวโน้มราคาและจุดกลับตัว โดยสามารถใช้ Fibonacci Extension เพื่อกำหนด TP ในจุดที่มีโอกาสเกิดการกลับตัว เช่น ระดับ 1.618 หรือ 2.618
2.4 ใช้ Risk-Reward Ratio (RRR)
การตั้ง TP ควรสัมพันธ์กับ Stop Loss (SL) เช่น หากคุณตั้ง SL ไว้ 50 pips ควรตั้ง TP อย่างน้อย 100 pips เพื่อให้ได้ RRR 1:2 หรือมากกว่า ซึ่งช่วยให้แม้ชนะการเทรดเพียงครึ่งหนึ่งก็ยังมีกำไร
2.5 ใช้ Price Action และแท่งเทียนกลับตัว
การสังเกตรูปแบบแท่งเทียน เช่น Pin Bar, Engulfing, Doji บริเวณแนวรับแนวต้าน สามารถช่วยบอกจุดที่ราคามีโอกาสกลับตัว ทำให้สามารถตั้ง TP ได้อย่างแม่นยำ
3. ตัวอย่างการตั้ง Take Profit ในสถานการณ์จริง
ตัวอย่างที่ 1: การใช้แนวต้านเป็น TP
คู่เงิน: EUR/USD
จุดเข้า: 1.1000 (Buy)
แนวต้านสำคัญ: 1.1050
TP ที่เหมาะสม: 1.1045 (ตั้งก่อนแนวต้านเล็กน้อยเพื่อเพิ่มโอกาสปิดกำไร)
ตัวอย่างที่ 2: การใช้ Fibonacci Extension
คู่เงิน: GBP/USD
จุดเข้า: 1.2500 (Buy)
Fibonacci Extension 1.618 ที่ระดับ: 1.2650
TP ที่เหมาะสม: 1.2645 (ตั้งก่อนถึงจุด Fibonacci เพื่อเพิ่มโอกาสปิดกำไร)
4. ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยงในการตั้ง TP
ตั้ง TP ไกลเกินไปจนราคามีโอกาสกลับตัวก่อน
ไม่วิเคราะห์แนวรับแนวต้านก่อนตั้ง TP
ตั้ง TP เท่ากับ SL (RRR 1:1) ซึ่งทำให้โอกาสขาดทุนและกำไรเท่ากัน ไม่เกิดความได้เปรียบ
เปลี่ยน TP กลางทางโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน
5. สรุปแนวทางการตั้ง TP อย่างแม่นยำ
✅ ใช้แนวรับแนวต้านเป็นแนวทางกำหนด TP ✅ ใช้เครื่องมืออย่าง MA, Fibonacci, และ Price Action เพื่อเพิ่มความแม่นยำ ✅ ตั้ง TP ให้สัมพันธ์กับ SL ด้วย RRR ที่เหมาะสม ✅ หลีกเลี่ยงการตั้ง TP ไกลหรือใกล้เกินไปโดยไม่มีเหตุผล ✅ ใช้การทดสอบย้อนหลัง (Backtest) และติดตามผลการตั้ง TP เพื่อนำมาปรับปรุง
การตั้ง Take Profit อย่างแม่นยำจะช่วยให้คุณสามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอและลดโอกาสสูญเสียจากการเทรด Forex การฝึกฝนและการวิเคราะห์อย่างต่อเนื่องจะทำให้คุณพัฒนากลยุทธ์ TP ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เน้น Winrate ไม่เน้น Risk-Reward Ratio: ข้อดีและข้อเสียในโลกของการเทรด หนึ่งในประเด็นที่นักเทรดมักจะถกเถียงกันคือ การเลือกเน้น Winrate (อัตราการชนะ) หรือ Risk-Reward Ratio (RR: อัตราส่วนกำไรต่อความเสี่ยง) อะไรสำคัญกว่ากัน? บทความนี้จะอธิบายข้อดีและข้อเสียของการเน้น Winrate มากกว่า RR เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าแบบไหนเหมาะกับสไตล์การเทรดของคุณ
✅ ข้อดีของการเน้น Winrate มากกว่า RR
-กำไรสม่ำเสมอ (Consistent Profits)
การชนะบ่อยช่วยให้พอร์ตโตขึ้นเรื่อย ๆ และช่วยเสริมความมั่นใจในการเทรด
-ลด Drawdown (Less Drawdown)
เนื่องจากมีเปอร์เซ็นต์ชนะสูง โอกาสขาดทุนต่อเนื่อง (Losing Streak) จะน้อยกว่าระบบที่มี RR สูงแต่ Winrate ต่ำ
-ลดความเครียดในการเทรด (Less Psychological Pressure)
เมื่อออเดอร์ส่วนใหญ่เป็นกำไร ทำให้จิตใจไม่ต้องเผชิญกับการขาดทุนบ่อยครั้ง
-เหมาะกับตลาดที่มีความผันผวนต่ำ
ในตลาดที่เคลื่อนที่ไม่มาก หรือช่วงไซด์เวย์ การใช้กลยุทธ์ที่ Winrate สูงมักจะทำงานได้ดีกว่า
❌ ข้อเสียของการเน้น Winrate มากกว่า RR
-กำไรต่อออเดอร์ต่ำ (Low Reward per Trade)
ระบบมักใช้ RR ต่ำ เช่น 1:0.5 หรือ 1:1 ทำให้ต้องชนะบ่อย ๆ เพื่อรักษากำไรสุทธิ
-อ่อนไหวต่อ Spread และ Commission
เนื่องจากกำไรต่อออเดอร์ไม่มาก ค่าธรรมเนียมการเทรดอาจมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ
-Losing Streak อาจทำให้คืนกำไรเร็ว
แม้จะมี Winrate สูง แต่หากแพ้ติดกันไม่กี่ครั้ง อาจทำให้กำไรที่สะสมมาสูญเสียไปเร็ว
-อาจต้องเข้าออกบ่อยขึ้น (More Trades Needed)
จำเป็นต้องเทรดหลายครั้งเพื่อให้มีกำไรตามเป้า ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสของ Overtrading
🎯 สรุป
✅ เหมาะกับ:
คนที่ต้องการความสม่ำเสมอและลดความเครียดในการเทรด
ระบบที่เล่นสั้น เช่น Scalping หรือ Grid Trading
ตลาดที่ไม่มีแนวโน้มชัดเจน (Sideway)
❌ ไม่เหมาะกับ:
เทรดเดอร์ที่ต้องการกำไรต่อออเดอร์สูง ๆ
ระบบที่ต้องทนรับการขาดทุนหลายครั้งก่อนชนะครั้งใหญ่ เช่น Trend Following
หากจะใช้กลยุทธ์ที่เน้น Winrate ควรคำนึงถึง ต้นทุนการเทรด (Spread & Commission) และมี การควบคุมความเสี่ยง เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
KZM ระบบเทรด killer zone ใช้ยังไงทำไมกำไรบวกเกิน 80%KZM ระบบเทรด killer zone
ใช้ยังไงทำไมกำไรบวกเกิน 80%
👰 กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับบทความๆดีๆที่มีให้อ่านกันไม่รู้จักเบื่อ หากใครกำลังมองหาระบบเทรดดีๆสักตัว มาครับแอดช่วยได้ ระบบเทรดที่สามารถทำกำไรได้80% ขึ้นไปจนถึงหลัก ร้อยและหลักพัน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ มาครับตามมาดูมาอ่านกันดีกว่าว่ามันใช้ยังไง บทความนี้มีคำตอบครับ
Killer Zone Model หรือ ชื่อย่อก็คือ KZM
KZM เป็นแนวคิดในการครอบครองพื้นที่ (โซน) ในการเทรดหรือการวางกรอบการเทรดนั่นแหละ ซึ่งสามารถสร้างกำไรจากการเทรดได้อย่างสม่ำเสมอ โดย KZM เชื่อว่าราคาในการสวิงในตลาดไม่มีทางสูงหรือต่ำตลอดไปและราคาไม่มีทางเป็น 0
ระบบการเทรดนี้มีลักษณะเหมือนและคล้ายระบบปิด (Close system) โดยจะไม่มีการเติมเงินเข้าไปในระบบอีกเลย ย้ำนะฮะ เราเป็นสายแช่ สายรอฮะ ไม่เน้นเติม
โดยการนำกำไรหรือ Cash Flow ที่ได้จากการเทรด มาปรับเพิ่มออเดอร์ เพื่อสร้างกำไรเพิ่มเติมภายในพอร์ต ซึ่งหมายความว่าก่อนจะทำการเทรด เราต้องสร้างแผนการเทรดแล้วเทรดตามระบบ
ต้องมีการคำนวนไว้เรียบร้อยแล้ว ว่าระบบที่เราจะใช้เทรดนั้นต้องใช้เงินประมาณเท่าไหร่ กำไรเท่าไหร่ ใช้เวลายาวนานประมาเท่าใด ระบบนี้เน้นเรื่องการอยู่รอดในตลาดได้นานๆ ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ เก็บสะสม Cash Flow (CF) นะครับไม่เน้นฝาก และไม่เน้นถอนด้วย เน้นสร้างกำไรแบบเติบโตจริงๆ
หลักการทำงานของ KZM
1. กำหนดโซนในการเข้าเทรด และแบ่งเงินออกเป็นกองๆ สำหรับซื้อขายในโซนนั้นๆ เช่น โซนราคา $10 - $30
2. ต้องมีการคำนวนราคาและลอทที่ออกในทุกๆ ออเดอร์ที่ซื้อขาย โดยคำนวณทุนที่ใช้ในแต่ละ Position
3. ระบบนี้ไม่มีการตั้ง Stop Loss ไม่ว่ากราฟจะลงหรือขึ้น และไม่ว่าจะติดลบแค่ไหน ก็จะเปิดออเดอร์ Buy ไปเรื่อยๆ และไม่ Take Profit จนกว่าจะถึงจุดที่พอใจ ระบบนี้จึงใช้ทุนหนาพอสมควรนะฮะ
KZM ทำกำไรอย่างไร ?
เป็นระบบที่เชื่อว่าราคาจะไม่มีวันเป็น 0 โดยเราจะทำการเปิดออดอร์ Buy ไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าตลาดจะเป็นช่วงขาลง เราก็ยังทยอยเข้าซื้อไปเรื่อยๆ เช่นซื้อทอง ที่ราคา 2900 และราคาดิ่งลงฮวบๆแต่เราก็ยังทยอยซื้อเพิ่มอยู่ดี เมื่อเทรนด์ในตลาดเป็นเทรนด์ขาขึ้นกลับมา และถึงจุดที่เราพึ่งพอใจ จึงค่อย Take profit
ความเสี่ยงที่นักเทรดต้องแบกรับให้ได้เมื่อใช้ KZM คือ
การที่เราจะต้องทนติดลบในปริมาณมากๆ เมื่อตลาดกลายเป็นเทรนด์ขาลง การเทรดส่วนใหญ่จึงมักลงทุนใน Position ที่น้อยๆเป็นหลัก แต่ทุนหนามาก
ข้อดี KZM
1. ไม่ต้องเติมเงินบ่อย สามารถทำกำไรได้ในระยะยาว
2. ทำกำไรได้ในระยะยาว จากการ Take profit เมื่อถึงจุดที่เราพอใจ ก็นำเงินไปขยายในทรัพย์สินอื่นๆได้อีกต่อ
3.ระบบ KZM ช่วยให้เราได้ฝึกคำนวณทุนที่ใช้ต่อ 1 Position อีกทั้งยังได้ฝึกบริหารจัดการเงินในการลงทุน (Money Management) อีกด้วย
ข้อเสีย KZM
1.ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทำกำไรในระยะสั้นๆ
2.ไม่เหมาะสำหรับคนที่รีบใช้เงิน เพราะเงินร้อน ใจร้อน ย่อมทำให้ขาดทุนได้ง่าย
3. ออเดอร์อาจจะเยอะ จนตาลาย ลายตาไปหมดฮะ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับระบบเทรด KZM แม้ว่าระบบการเทรดนี้จะเน้นการเทรดในระยะยาว แต่เราไม่จำเป็นต้องเทรดกันเป็นปีๆก็ได้ครับ สามารถเอามาปรับใช้ให้สั้นลงได้เช่นกันเช่น 2-3 เดือนก็ว่ากันไปแล้วแต่ความชอบส่วนตัว
ที่สำคัญคือบริหารเงินในหน้าตักเราให้เป็นและรัดกุมมากที่สุดครับคือสิ่งสำคัญ ฝึกไว้เยอะๆแล้วเราจะเก่งเอง แอดเอาใจช่วยทุกท่านให้เทรดได้เงินสะสมเยอะๆครับ
Bias ในการเทรด Forex: อคติที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ1. Bias คืออะไร?
Bias หรือ "อคติ" ในการเทรด Forex หมายถึง การรับรู้หรือแนวคิดที่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจของเทรดเดอร์โดยที่อาจไม่เป็นไปตามหลักการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง Bias มักเกิดขึ้นจากอารมณ์ ประสบการณ์ หรือความเชื่อส่วนตัวของเทรดเดอร์เอง ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดและการสูญเสียทางการเงิน
2. ประเภทของ Bias ที่พบบ่อยในการเทรด Forex
2.1 Confirmation Bias (อคติยืนยันความเชื่อเดิม)
เทรดเดอร์มักเลือกหาข้อมูลที่สนับสนุนมุมมองของตนเอง และมองข้ามข้อมูลที่ขัดแย้งกับความเชื่อนั้น เช่น หากเชื่อว่า EUR/USD จะขึ้น เทรดเดอร์อาจมองหาข่าวที่สนับสนุนแนวโน้มขาขึ้นและเมินเฉยต่อปัจจัยที่อาจทำให้ราคาลดลง
2.2 Overconfidence Bias (อคติจากความมั่นใจเกินไป)
เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จจากการเทรดไม่กี่ครั้งแรกอาจเกิดความมั่นใจมากเกินไปและคิดว่าตนเองสามารถทำนายตลาดได้อย่างแม่นยำ ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มขนาดล็อตเกินกว่าที่ควร หรือไม่ตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss)
2.3 Anchoring Bias (อคติจากการยึดติดกับข้อมูลแรกพบ)
เทรดเดอร์มักยึดติดกับราคาหรือข้อมูลแรกที่ได้รับมา เช่น หากเห็นราคาของคู่เงินหนึ่งเคยอยู่ที่ 1.2000 และปัจจุบันอยู่ที่ 1.1500 อาจเชื่อว่าราคาจะต้องกลับไปที่ 1.2000 โดยไม่ได้พิจารณาปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ
2.4 Loss Aversion Bias (อคติจากการกลัวการขาดทุน)
เทรดเดอร์มักกลัวการขาดทุนมากกว่าความต้องการทำกำไร ทำให้ปิดออเดอร์ที่มีกำไรเร็วเกินไป แต่ปล่อยให้การขาดทุนลากยาวเพราะไม่อยากยอมรับว่าตัดสินใจผิดพลาด
2.5 Recency Bias (อคติจากข้อมูลล่าสุด)
การให้ความสำคัญกับข้อมูลหรือแนวโน้มล่าสุดมากเกินไป เช่น หากราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง 5 วัน เทรดเดอร์อาจคิดว่าราคาจะต้องขึ้นต่อไปโดยไม่คำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลให้เกิดการกลับตัว
3. วิธีลด Bias ในการเทรด
ใช้ข้อมูลที่เป็นกลาง: ศึกษาข้อมูลจากหลายแหล่งและวิเคราะห์ด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์
วางแผนการเทรดล่วงหน้า: กำหนดจุดเข้า-ออกที่ชัดเจน และปฏิบัติตามแผน
ใช้ Risk Management: กำหนด Stop Loss และ Take Profit อย่างมีวินัย
จดบันทึกการเทรด: บันทึกการตัดสินใจเทรดเพื่อทบทวนข้อผิดพลาดและเรียนรู้จากมัน
ฝึกควบคุมอารมณ์: ฝึกการมีวินัยและไม่ให้อารมณ์ครอบงำการตัดสินใจ
สรุป
Bias เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของเทรดเดอร์ในตลาด Forex อย่างมาก หากไม่ตระหนักและควบคุมให้ดี อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดและการสูญเสียที่ไม่จำเป็น ดังนั้น การฝึกให้มีวินัยและใช้ข้อมูลที่เป็นกลางจะช่วยลดอคติและเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการเทรด
Many Pro Indicator (MPI) - รายละเอียด💎Many Pro Indicator (MPI)
🔥เพียง 2490 บาท (ใช้ได้ตลอดชีพ)
🔥ใช้งานง่ายเข้าตามสัญญาณ Buy-Sell มาพร้อม Tp/Sl อัตโนมัติ และฟังก์ชันอื่นๆสำหรับช่วยในการเทรด
👨🏻💻มือใหม่หรือมือโปรก็ใช้งานได้
👉เป็นบัญชีธรรมดาสามารถใช้งานได้และใช้ฟังชันก์ได้ครบ
✅ติดตั้งและใช้งานผ่าน Tradingview เท่านั้น (Script-Invite) สามารถดูสัญญาณ buy-sell พร้อม Tp/Sl และอื่นๆ แล้วนำไปเทรดผ่าน Mt4 Mt5 Broker หรือ Platform ไหนก็ได้
❤️ดูตัวอย่างผลลัพธ์และตัวอย่างกราฟหน้าเพจได้เลย
📌หากสนใจคอมเม้น "ขอรายละเอียด" หรือ ติดต่อสั่งซื้อทางเพจได้ทันที พร้อมส่งรายละเอียดทั้งหมดให้พิจารณา
------------------------------------------
👉ฟังชันก์ทั้งหมดของอินดิเคเตอร์และคำอธิบาย :
🔗 www.facebook.com
------------------------------------------
⭐️เทรดได้ทั้งตามเทรนและสวนเทรน
🔥พร้อมบอกจุด TP/SL อัตโนมัติ
🔥จุดเข้าสวย-คมกริบ มีโอกาสกลับตัวเสมอ
✅มีการทดสอบมาแล้วแม่นยำสูงถึง 70-80%
------------------------------------------
⭐️ฟังชันก์เสริมที่มี
⚒คาดการณ์จุด Top-Bottom ของตลาดบ่งบอกการกลับตัว
⚒Market Structure (BOS/ChoCH)
⚒Supply-Demand Zone
⚒Order Block
⚒มีตัวบอก Trend ของตลาด
⚒กรอบราคา High/Low Channel สำหรับการเทรด Sideway
✅พร้อมระบบแจ้งเตือน Buy-Sell ไม่ต้องเฝ้ากราฟ
✅ปรับแต่งค่าต่างๆได้อย่างอิสระ เช่น TP/SL,สีของเส้นต่างๆ,เปิดปิดสัญญาณต่างๆอย่างอิสระ
------------------------------------------
✅สัญญาณไม่มี repaint ใช้ข้อมูลกราฟปัจจุบัน
✅สัญญาณไม่หาย ไม่มีสัญญาณเกิดย้อนหลัง ตามกราฟจริง 100%
👉เล่นได้ตลอดทั้งวัน ไม่จำเป็นต้องถือยาว Daytrade ได้
👉ใช้งานได้ทุกไทม์เฟรม ทุกตลาด ทุกคู่เหรียญ
👉มีแจ้งเตือนสัญญาณ Buy-Sell แบบ 2 In 1 ตั้งทีเดียวจบ
------------------------------------------
✅พร้อมคู่มือการใช้งานอินดิเคเตอร์อย่างละเอียด
✅ซื้อครั้งเดียวใช้งานตลอดชีพ ไม่ต่ออายุ
✅สามารถใช้ได้ทั้งคอมพิวเตอร์ มือถือ ผ่าน Tradingview
✅การติดตั้งผ่าน Script-Invited (กุญแจล็อก) > เพียงส่ง Username ของ Tradingview ให้เรา ทีมงานจะทำงานติดตั้งให้เรียบร้อยโดยที่ลูกค้าไม่ต้องทำการใดๆเลย อินดิเคเตอร์จะเข้าในบัญชีอัตโนมัติ รอเปิดใช้อินดิเคเตอร์อย่างเดียว
✅พร้อมมีการอัพเดท Indicator อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เข้ากับผู้ใช้งานมากขึ้น
------------------------------------------
💎ตัวอย่างกราฟ Many Pro Indicator (MPI)
✅สัญญาณไม่มี repaint ใช้ข้อมูลกราฟปัจจุบัน
✅สัญญาณไม่หาย ไม่มีสัญญาณเกิดย้อนหลัง ตามกราฟจริง 100%
👉ถ้าเป็น forex แนะนำที่ไทม์เฟรม 1/5/15 นาที
👉ถ้าเป็น crypto จะใช้ไทม์เฟรม 15/60 นาทีครับ
⭐️ความถี่ในการเกิดสัญญาณ
-ไทม์เฟรม 1 นาที 20-40 Signal/วัน (เทรดได้ทั้งวัน)
-ไทม์เฟรม 5 นาที 5-10 Signal/วัน
-ไทม์เฟรม 15 นาที 1-3 Signal/วัน
❗️สัญญาณแม่นที่สุดในไทม์เฟรม 15 นาที
------------------------------------------
⚒ตัวอย่างอินดิเคเตอร์ MPI เมื่อเปิดใช้ในไทม์เฟรมต่างๆ
TF : 1 นาที
🔗 www.facebook.com
TF : 5 นาที
🔗 www.facebook.com
TF : 15 นาที
🔗 www.facebook.com
TF : 30 นาที
🔗 www.facebook.com
TF : 60 นาที
🔗 www.facebook.com
👉ดูตัวอย่างเพิ่มเติมหน้าเพจได้เลยครับ
✅สรุปผลลัพธ์อินดิเคเตอร์ทุกวันหน้าเพจ
------------------------------------------
🖥ตัวอย่างผลลัพธ์อินดิเคเตอร์ MPI ในแต่ละวัน/การใช้งานจริง
👀ตัวอย่าง MPI Version ล่าสุด
🔗 www.facebook.com
🔗 www.facebook.com
🔗 www.facebook.com
🔗 www.facebook.com
📍ตัวอย่างเพิ่มเติม
🔗 www.facebook.com
------------------------------------------
⚡️เมื่อซื้ออินดิเคเตอร์ Many Pro Indicator (MPI)⚡️
❗️โปรลับสุดคุ้ม❗️
🔥ตอนนี้มีโปร 1990 บาท สำหรับ 1 User ใช้งานถาวรไม่ต้องต่ออายุ (จากปกติ 2490 บาท)
------------------------------------------
👋❗️โปรชวนเพื่อน❗️👋
❤️โปรแพ็คคู่สำหรับ 2 User ในราคา 2990 บาท (จากปกติ 3990 บาท) หารคนละ 1495 บาทเท่านั้น
✔️โปรแลกซื้อ 3 จ่าย 2 คนเพียง 3990 บาท (จากปกติ 5990 บาท) ได้สิทธิรับอินดิเคเตอร์ 3 User หารคนละ 1330 บาทเท่านั้น
📌หมายเหตุ : โปรโมชั่นนี้ไม่ใช้ร่วมกับโปรโมชั่นแถมหนังสือและส่วนลดอื่นๆ
🔗 www.facebook.com
------------------------------------------
📕หากอยากดูรายละเอียดของอินดิเคเตอร์ทั้งหมดอยู่ในคู่มือนี้ลองอ่านดูได้เลยครับ :
🔗 www.facebook.com
------------------------------------------
👉รีวิวจากลูกค้าที่ใช้ Indicator ของเรา
🔗 www.facebook.com
------------------------------------------
👉บัญชีธรรมดาก็ใช้ได้ตลอดชีพ
⚡️เพียง 2490 บาทจ่ายครั้งเดียวใช้งานตลอดชีพ
📌หากสนใจคอมเม้น "ขอรายละเอียด" หรือ ติดต่อสั่งซื้อทางเพจได้ทันที
พร้อมส่งรายละเอียดทั้งหมดให้พิจารณาครับ