X-indicator
SMC Trap ในตลาด Forex: กับดักที่ Smart Money วางไว้ให้คุณติด`📌 `SMC Trap คืออะไร?`
**SMC Trap** (Smart Money Concept Trap) คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อราคาทำ "เหมือนว่า" จะเบรกโซนสำคัญ เช่น **liquidity zone**, **order block**, หรือ **breaker structure** แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียง "กับดัก" เพื่อหลอกให้รายย่อยเข้าเทรดผิดทิศ แล้ว Smart Money จะกลับทิศสวนเพื่อกิน Stop Loss หรือเก็บ Liquidity
💡 `ทำไม SMC Trap ถึงเกิดขึ้นบ่อย?`
- **ตลาดส่วนใหญ่ถูกควบคุมโดยสถาบัน** ที่ต้องการ "สภาพคล่อง" (liquidity) เพื่อเข้าออเดอร์ใหญ่
- **เทรดเดอร์รายย่อย** มักเรียนรู้รูปแบบเหมือนกัน เช่น รอเบรก Order Block แล้วเข้าเทรด
- เมื่อมี Stop Loss จำนวนมากสะสมอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่ง — Smart Money จะเข้าโจมตีจุดนั้น!
📌 `ตัวอย่างรูปแบบของ SMC Trap`
1. **Fake Break of Structure (Fake BOS):**
- ราคาทะลุ High หรือ Low ก่อนหน้าแบบหลอก ๆ แล้วกลับตัวทันที
2. **Mitigation Trap:**
- ราคาแตะ Order Block เก่าแล้วดีดตัวเล็กน้อย → หลอกให้เข้า Buy/Sell → จากนั้นกลับทิศทันที
3. **Liquidity Sweep:**
- ราคาวิ่งเก็บ Stop Loss ของเทรดเดอร์ก่อนจะวิ่งกลับเข้าทิศทางเดิมที่ Smart Money ต้องการ
- มองหา “Equal High/Low” หรือบริเวณที่มี Stop Loss สะสม → หลบหลีกแทนที่จะเข้าเทรด
📌 `สรุป:`
**SMC Trap** เป็นเครื่องมือของ Smart Money ในการ “หลอก” เทรดเดอร์ที่ไม่เข้าใจโครงสร้างตลาดจริง ๆ การเรียนรู้เรื่องกับดักเหล่านี้จึงเป็นส่วนสำคัญของการอยู่รอดในระยะยาว หากคุณเข้าใจว่า "สิ่งที่ดูชัดเจนใกราฟ" อาจจะเป็น "กับดัก" — คุณก็จะไม่ตกเป็นเหยื่ออีกต่อไป
Risk-Based Entry: กลยุทธ์เทรดที่เริ่มจากการป้องกันความเสี่ยงRisk-Based Entry: กลยุทธ์เทรดที่เริ่มจากการป้องกันความเสี่ยง
👉👉เคยไหมที่ยิ่งป้องกันความเสี่ยง ยิ่งตั้ง SL เงินยิ่งหดหาย เอ๊ะทำไมเงินมันเสียมากกว่าได้นะ มาครับ มาลองอ่านบทความนี้กันแล้วเราจะเอ๊ะน้อยลง👈👈
📌 Risk-Based Entry คืออะไร?
Risk-Based Entry คือ กลยุทธ์การเข้าเทรดโดยพิจารณาความเสี่ยง (Risk) เป็นจุดเริ่มต้นของทุกการตัดสินใจ พูดง่ายๆก็คือ
"เทรดจากจุดที่ถ้าแพ้ เรารับไหว และถ้าชนะ มันคุ้มค่ากับที่เราเสี่ยง"
กลยุทธ์การเข้าเทรดรูปแบบนี้ ไม่ใช่แค่ดูสัญญาณเข้าที่แม่นยำอย่างเดียวแต่ให้ความสำคัญกับ
1. การวาง Stop Loss (SL) ที่เหมาะสม
2. การคำนวณขนาดล็อต (Position Size)
3. การประเมิน Risk/Reward Ratio
4. การเลือกจุดเข้าที่ “คุ้มค่า” ที่สุดสำหรับเงินทุน
🎯 ทำไม Risk-Based Entry ถึงสำคัญ?
✅ ควบคุมการขาดทุน ช่วยให้ขาดทุนอยู่ในกรอบที่ยอมรับได้
✅ มีวินัย ทำให้เทรดเดอร์ไม่ไล่ราคา
✅ ลดความเครียด เพราะรู้ล่วงหน้าว่าเสียได้เท่าไหร่
✅ ปรับจุดเข้าให้เหมาะกับทุน ไม่ Overtrade หรือ Undertrade
วิธีใช้ Risk-Based Entry แบบ Step-by-Step
✅ 1. ระบุ “Risk Amount” ต่อการเทรด
กำหนดความเสี่ยงเป็น % ของพอร์ต เช่น:
ทุน 10,000 บาท
เสี่ยงครั้งละ 1% = 100 บาท
✅ 2. หาจุดเข้า (Entry) และ Stop Loss (SL)
เช่นในคู่ EUR/USD:
จุดเข้า Buy ที่ 1.0800
SL ที่ 1.0780 (ห่าง 20 pips)
✅ 3. คำนวณ Position Size
ใช้สูตร:
Position Size = เงินที่เสี่ยง ÷ จำนวน pips × pip value
ตัวอย่าง:
เงินที่เสี่ยง: 100 บาท
SL = 20 pips
1 lot = 10 USD/pip → 0.01 lot = 0.1 USD/pip ≈ 3.5 บาท/pip
→ เปิดขนาด 0.14 lot (ประมาณ)
สามารถใช้เครื่องคำนวณ Lot เช่น:
myfxbook Position Size Calculator
หรือแอป MT4/MT5 + สูตรคำนวณเอง
✅ 4. ตั้ง TP ตาม Risk/Reward ที่ต้องการ
เช่น RR = 1:2
SL = 20 pips → TP = 40 pips
หากเข้า 1.0800 → TP = 1.0840
✅ 5. ประเมิน “คุณภาพของจุดเข้า”
มีแนวรับแนวต้านไหม?
มี OB หรือ FVG รองรับไหม
ตลาดมี Volume หรือข่าวใหญ่ไหม?
หากไม่มี → รอจังหวะที่ Risk คุ้มค่ากว่า
💡 เคล็ดลับการใช้ Risk-Based Entry ให้ได้ผล
1. ใช้ร่วมกับ SMC หรือโครงสร้างราคา จะช่วยเลือกจุดเข้าได้แม่นยำขึ้น
2. ฝึกวาง SL อย่างมีเหตุผล ไม่ตั้งมั่ว ไม่ใช้ SL แคบเกินไป
3.เทรดเฉพาะจุดที่ได้ RR > 1:2 เพื่อให้ชนะน้อยครั้งแต่ยังมีกำไรระยะยาว
4.จดบันทึกเทรด (Trading Journal) เพื่อวัดว่า Risk-Based Entry ของคุณใช้ได้จริงไหม
สรุปส่งท้าย
Risk-Based Entry ไม่ได้ช่วยแค่เรื่อง “ความแม่น” แต่คือการ สร้างรากฐานที่มั่นคงในการอยู่รอดในตลาด และเราเองก็อาจจะไม่ได้รวยเร็ว แต่เงินในพอร์ตของเรามันจะไม่หมดง่ายๆนั่นเองฮะ อยากเก่งและรวยแบบมั่นคงอย่าลืมเอาเทคนิคนี้ไปช่วยในการเทรดนะฮะ แดชื่อเลยว่า เราจะเทรดแบบ ทั้งแม่นและมั่นคง แน่นอน
วิธีเทรดด้วยเทคนิค AMD ในการเทรด Forexเข้าใจพฤติกรรมของราคา เพื่อเทรดอย่างมีประสิทธิภาพ
📌 เทคนิค AMD คืออะไร?
เทคนิค AMD ย่อมาจาก 3 ขั้นตอนหลักของพฤติกรรมราคาที่นักเทรดสายโครงสร้างหรือ Smart Money นิยมใช้ คือ:
A – Accumulation (สะสม)
M – Manipulation (หลอกลวง/ดึงราคา)
D – Distribution (กระจาย/แจกจ่าย)
แนวคิดของ AMD ช่วยให้เราเข้าใจว่า ตลาดไม่ได้เคลื่อนไหวแบบสุ่ม แต่มี "เจตนา" ของผู้เล่นรายใหญ่ (Big Player) อยู่เบื้องหลัง
🔄 รายละเอียดแต่ละขั้นตอน
1️⃣ A - Accumulation (การสะสม)
ช่วงนี้คือช่วงที่ Smart Money หรือรายใหญ่กำลังซื้อ/ขายเงียบ ๆ ก่อนราคาจะเคลื่อนตัวแรง
ลักษณะเด่น:
ราคาเคลื่อนในกรอบแคบ ๆ (sideway)
ปริมาณการเทรดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แบบไม่เด่นชัด
ไม่มีทิศทางชัดเจน
กลยุทธ์:
ไม่ควรเข้าเทรดทันที รอให้ราคามีสัญญาณ Breakout
2️⃣ M - Manipulation (การหลอกลวง/ลากราคา)
เป็นช่วงที่ รายใหญ่สร้างความสับสน ด้วยการ "หลอก" เทรดเดอร์ให้คิดผิด
ตัวอย่างเช่น:
เบรกเทรนด์ไลน์/แนวต้านปลอม (Fake Breakout)
ดึงราคาขึ้นไปชน SL ของคนขาย ก่อนเทกลับลง
กลยุทธ์:
อย่าหลงกับสัญญาณแรก ดูว่ามี “การกลับตัวหลังเบรก” หรือไม่
มองหาจุดเข้าออเดอร์บริเวณ Liquidity Zone หรือ Stop Hunt
3️⃣ D - Distribution (การกระจาย/แจกจ่าย)
หลังจากหลอกสำเร็จ รายใหญ่จะเริ่มปล่อยของ (Take Profit)
ราคาเริ่มวิ่งตามทิศทางจริงอย่างรวดเร็ว
มักเกิดแท่งใหญ่ ๆ มี Volume หนาแน่น
โอกาสในการเทรดมาถึง
กลยุทธ์:
เข้าเทรดตามเทรนด์ที่เกิดหลัง Manipulation
ตั้งเป้า Take Profit ตามแนวรับ-แนวต้านสำคัญ หรือใช้ Risk:Reward
🧠 วิธีวิเคราะห์และนำไปใช้จริง
ดูโครงสร้างราคา (Market Structure) ว่าอยู่ในช่วงใดของ AMD
ใช้ Timeframe ใหญ่ (เช่น H1, H4, D1) เพื่อดูพฤติกรรมรวม
หาโซนสะสม (Accumulation Zone) แล้วตีกรอบ
รอดูการ Break และ Manipulate พร้อมรอให้ราคายืนยัน
เข้าเทรดเมื่อมี Confirmation เช่น Break Structure หรือ Engulfing
ตั้ง SL และ TP ให้เหมาะสมเสมอ
🎯 ข้อดีของเทคนิค AMD
✅ ช่วยให้เข้าใจเจตนาของตลาด
✅ ไม่หลงกล Fake Signal ง่าย ๆ
✅ ปรับใช้ได้กับทุก Timeframe และคู่เงิน
⚠️ ข้อควรระวัง
อย่าคิดว่าทุกกราฟจะมี AMD ชัดเจน
ต้องฝึกการอ่านโครงสร้างราคาอย่างต่อเนื่อง
เทคนิคนี้ต้องอาศัย ความอดทน และ วินัยสูง
📚 สรุป
เทคนิค AMD คือแนวคิดที่ช่วยให้เราเทรด Forex อย่างมีเหตุผลและเข้าใจตลาดลึกขึ้น โดยพิจารณาจากพฤติกรรมของผู้เล่นรายใหญ่ ไม่ใช่แค่ตาม Indicator อย่างเดียว
SMC / Smart Money Concept คืออะไร ใช้อย่างไร เทรดดีแค่ไหน? SMC / Smart Money Concept คืออะไร ใช้อย่างไร เทรดดีแค่ไหน?
👹 หากใครที่เป็นคนชอบเฝ้ากราฟหรือเสพติดการเฝ้าจอกราฟ แอดว่า เราจำเป็นต้องอ่านบทความนี้แล้วหล่ะ เพราะมันเอาไปต่อยอดการเทรดได้ นั่นเองมาครับมาติดตามอ่านกันดูดีกว่าว่ามันใช้อะไรยังไงบ้าง
Smart Money Concept (SMC) คือแนวคิดการวิเคราะห์ตลาดที่เน้นการติดตามพฤติกรรมของ “เงินทุนรายใหญ่” หรือ “สถาบัน” เช่น ธนาคารกลาง, Hedge Fund, หรือ Prop Firm ซึ่งมักเป็นผู้ขับเคลื่อนราคาหลักในตลาด Forex
💗 เทคนิคการใช้ SMC แบบ Step-by-Step
✅ ขั้นที่ 1: ระบุ Market Structure
ดูว่าตลาดกำลังเป็นเทรนด์ขาขึ้น, ขาลง หรือ Sideway โดยวิเคราะห์จาก เพื่อให้รู้ทิศทางเทรนด์จริง
HH = Higher High
HL = Higher Low
BOS = Break of Structure
หากราคาเกิด BOS จากแนวโน้มเดิม ให้เตรียมหาจุดกลับตัว (Reversal)
✅ ขั้นที่ 2: มองหา Order Block (OB)
เมื่อเกิด BOS ให้ย้อนกลับไปดู “แท่งเทียนสุดท้าย” ที่ดันราคาทะลุโครงสร้าง เราจะได้จุดเข้าออเดอร์ที่แม่นยำ
ประเภทของ OB:
Bullish OB = แท่งเทียนแดงก่อนราคาพุ่งขึ้น
Bearish OB = แท่งเขียวก่อนราคาร่วงลง
✅ OB ที่ดีควรมี Volume มาก และอยู่ใกล้จุด BOS
✅ ขั้นที่ 3: รอราคาย่อตัวกลับเข้ามาใน OB
ใช้แนวรับแนวต้านหรือ FVG เป็นตัวช่วยกรอง “จุดเข้า” ที่แม่นยำ อันนี้สำคัญ เพื่อมองหาพื้นที่ที่มี SL หรือ Pending Order จุดที่ราคาชอบลากไปกิน SL
Pending Order (Limit Order) ใน OB และตั้ง SL ใต้ OB เล็กน้อย
✅ ขั้นที่ 4: วางเป้า Take Profit ที่ “Liquidity Zone”
TP1: ก่อนถึง High หรือ Low เดิม
TP2: ที่แนว SL ของคนอื่น (Equal High / Low)
เทรดแบบนี้ได้ RR (Risk : Reward) สูง เช่น 1:3 หรือมากกว่า
📈 ตัวอย่างการเทรดด้วย SMC (คู่เงิน EUR/USD)
🎯 สถานการณ์:
ราคาอยู่ในขาลงและเกิด BOS ขาขึ้น
ย้อนกลับไปดูแท่งแดงก่อน BOS เป็น Bullish OB
วาง Buy Limit ที่ OB + SL ใต้ OB
TP ที่ High เดิมก่อนหน้า (มีแนวโน้มเป็นจุด SL ของคนอื่น)
ผลลัพธ์: RR ได้ประมาณ 1:4 (เสี่ยง 10 pips ทำกำไร 40 pips)
😊📈สรุปสั้นๆง่ายๆแบบใช้จริง
SMC เป็นเพียง มุมมองใหม่ ที่ช่วยให้เราเข้าใจตลาดในแบบเดียวกับที่ผู้เล่นรายใหญ่ใช้ มันเปลี่ยนจากการเทรดแบบเสี่ยงโชค มาเป็นการเข้าใจกลไกเบื้องหลังราคาจริงๆ โดยเฉพาะสำหรับคนที่ชอบเทรดสั้นๆรายวัน Timeframe 1H, 15M, 5M แอดเปิดมาขนาดนี้แล้ว ใครรักใครอบก็เอาไปลองใช้กันดูนะครับ ของเค้าดีจริงน๊าา และที่สำคัญอย่าลืมวางแผนการลงทุนให้รอบคอบเทรดด้วยพลังงานดีเข้าไว้ มีชัยไปกว่าครึ่งครับ
จิตวิทยาการเทรด: การพัฒนาความอดทนและวินัยในการเทรด“การเทรดไม่ใช่แค่การเอาชนะตลาด แต่คือการเอาชนะตัวเอง” 🥇
ในการเทรด สิ่งที่เทรดเดอร์หลายคนมองข้ามไม่ใช่เพียงกลยุทธ์หรือการวิเคราะห์กราฟ 📊 แต่คือ “จิตวิทยา” โดยเฉพาะ ความอดทน (Patience) และ วินัย (Discipline) ซึ่งเป็นหัวใจหลักของความสำเร็จในระยะยาว 💪
⏳ 1. ความอดทน: รอให้โอกาสมา ไม่ใช่ล่าให้ทันตลาด 🐢
การเทรดที่ดีไม่ใช่การเทรดบ่อย 🚫 แต่คือการเทรดเมื่อโอกาส “ใช่” ✅
เทรดเดอร์หลายคนตกหลุม FOMO (Fear of Missing Out) 😨 หรือเบื่อการรอจนหลุดจังหวะ
ความอดทนคือการรอให้ “เซ็ตอัพ” มาครบก่อนค่อยลั่นคำสั่ง 🛑
🛠 วิธีฝึกความอดทน:
📋 เขียนเช็คลิสต์ก่อนเข้าออเดอร์ เช่น “ตรงตาม 3 ข้อนี้ = เข้า”
🧾 บันทึกการเทรดย้อนหลังเพื่อเรียนรู้จากอดีต
📴 ปิดกราฟเมื่อยังไม่เข้าเงื่อนไข อย่าให้ตลาดควบคุมอารมณ์คุณ
🎯 2. วินัย: ทำตามแผน ไม่ตามอารมณ์ 💥
“รู้” ว่าควรทำอะไร กับ “ทำ” จริงๆ คือคนละเรื่อง 😅
อารมณ์จะหลอกล่อให้คุณเบี่ยงเบนจากแผน:
❌ แพ้แล้วแก้มือ → Overtrade
⚡ กลัวพลาด → ปิดกำไรเร็วเกิน
🩹 เสียดาย → ไม่ยอม Cut Loss
วินัยคือการบังคับตัวเองให้ “ทำตามระบบ” ไม่ว่าอารมณ์จะเป็นยังไงก็ตาม 📈
🛠 วิธีพัฒนาวินัย:
🧭 เขียนแผนเทรดล่วงหน้า (Plan the trade)
🔍 ทบทวนหลังเทรดทุกไม้ ว่าทำตามแผนหรือหลุดอารมณ์
⚙️ ใช้คำสั่ง Stop Loss และ Take Profit แบบมีระบบ
🔗 3. ความอดทน + วินัย = ความได้เปรียบที่แท้จริง 🏆
ความอดทน = รอโอกาสดีที่สุด
วินัย = ลงมือเฉพาะเมื่อครบเงื่อนไข
สองสิ่งนี้คือ “Edge” ที่แท้จริงเหนือคนส่วนใหญ่ในตลาด 🧊
ยิ่งตลาดผันผวน ยิ่งต้องนิ่งให้เป็น 😌
🧾 4. บทสรุป
🧘♂️ เทรดเดอร์ที่สำเร็จไม่ใช่คนที่แม่นที่สุด
แต่คือคนที่ “ควบคุมตัวเองได้ดีที่สุด” ในระหว่างที่ตลาดแปรปรวน
🎯 ฝึกจิตให้แข็งแรง
🎯 ยึดแผนให้แน่น
🎯 ปล่อยผลลัพธ์ให้เป็นไปตามระบบ
“ตลาดไม่เคยเปลี่ยนเรา – มีแต่เราที่ต้องเปลี่ยนตนเองให้เหมาะกับตลาด” 🔄
เทคนิควิธีอ่าน Divergence จาก Momentum Indicatorเทคนิควิธีอ่าน Divergence จาก Momentum Indicator: จับสัญญาณกลับตัวก่อนใคร
👹 กลับมากันอีกแลวกับบทความดีๆและเทคนิคต่างๆในการเทรด วันนี้แอดหยิบยกเทคนิคการอ่านไดเวอเจ้นท์มาฝากกัน มาครับตามมาดูกันดีกว่าว่ามันดีอย่างไรแล้วใช้ยังไงบ้าง
👹ในโลกของการเทรดและการวิเคราะห์ทางเทคนิค แน่นอนว่ามีทั้งกราฟขึ้น กราฟลง และกราฟหลอก!!!!! หลอกให้เราตายใจจนผิดทาง
👹 ไอ่เจ้า "Divergence" หรือ "ภาวะผิดทิศ" นี่แหละ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถส่งสัญญาณล่วงหน้าว่าราคาอาจจะกำลังจะเปลี่ยนทิศทาง "สัญญาณกลับตัว" โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับ Momentum Indicator ต่างๆ เช่น RSI, MACD หรือ Stochastic Oscillator จะช่วยให้เห็นภาพของราคาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
Divergence คืออะไร?
Divergence คือภาวะที่ "ราคากับอินดิเคเตอร์เคลื่อนไหวไปคนละทิศคนละทางกัน" ซึ่งมักบ่งชี้ว่าราคาอาจกำลังอ่อนแรง และมีแนวโน้มจะกลับตัวในไม่ช้า
ประเภทของ Divergence
1. Regular Divergence (Divergence ปกติ) เป็นสัญญาณของ การกลับตัวของแนวโน้ม
Bullish Divergence (สัญญาณกลับตัวขึ้น)
👉 ราคา: ทำ "Low ใหม่" ต่ำกว่าเดิม
👉 Indicator: ทำ "Low ใหม่" สูงกว่าเดิม
👉 หมายความว่าแรงขายเริ่มอ่อน แม้ราคาทำ Low ใหม่ได้
Bearish Divergence (สัญญาณกลับตัวลง)
👉ราคา: ทำ "High ใหม่" สูงกว่าเดิม
👉Indicator: ทำ "High ใหม่" ต่ำกว่าเดิม
👉แสดงว่าแรงซื้ออ่อนลง มีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวลง
2. Hidden Divergence (Divergence ซ่อนเร้น) เป็นสัญญาณของ การต่อเนื่องของแนวโน้มเดิม
Hidden Bullish Divergence (แนวโน้มขาขึ้นต่อ)
👉ราคา: ทำ "Higher Low"
👉Indicator: ทำ "Lower Low"
👉บ่งชี้ว่ามีแรงซื้อซ่อนอยู่ พร้อมดันราคาต่อ
Hidden Bearish Divergence (แนวโน้มขาลงต่อ)
👉ราคา: ทำ "Lower High"
👉Indicator: ทำ "Higher High"
👉สะท้อนว่าแรงขายยังมีอยู่ แม้ Indicator จะดูเหมือนฟื้น
📈 อินดิเคเตอร์ที่ใช้ดู Divergence ได้ดี
RSI (Relative Strength Index) – ใช้บ่อยที่สุด
MACD – เห็น Divergence ชัดโดยดู MACD Line กับราคา
Stochastic Oscillator – ให้สัญญาณเร็ว เหมาะกับตลาดไซด์เวย์
Awesome Oscillator / CCI / ROC – ใช้ร่วมได้ตามสไตล์เทรด
📈 วิธีอ่าน Divergence อย่างแม่นยำ
เลือกอินดิเคเตอร์ที่ใช้ถนัด เช่น RSI
ดูรูปแบบราคาบนกราฟ ว่ามี High หรือ Low ใหม่หรือไม่
เปรียบเทียบกับอินดิเคเตอร์ ว่าทำ High/Low ตรงข้ามกันหรือเปล่า
ยืนยันด้วยสัญญาณอื่น เช่น แท่งเทียนกลับตัว, เส้นแนวรับ-แนวต้าน แท่งเทียนกลับตัว (Reversal
Candle), ปริมาณการซื้อขาย (Volume) เป็นต้น
ห้ามเข้าทันที! ควรรอสัญญาณยืนยัน เช่น เบรกแนวต้าน/เส้นเทรนด์
👌 ตัวอย่าง Bullish Divergence (จาก RSI)
ราคา: ทำ Low ที่ 1000 → ทำ Low ใหม่ที่ 950
RSI: ทำ Low ที่ 30 กลับทำจุดต่ำใหม่ที่สูงขึ้น (เช่นจาก 30 → 35)
ความหมาย: แรงขายเริ่มหมด แปลว่ากำลังเกิด Bullish Divergence ราคามีโอกาสกลับตัวขึ้น
ข้อควรระวัง
Divergence เป็นเพียงสัญญาณล่วงหน้า แต่ไม่ได้บอกว่า “จะกลับทันที” ไม่ใช่การยืนยัน 100%
ควรรอ "Confirmation" เช่นการเบรกแนวต้าน หรือสัญญาณจากแท่งเทียนก่อนเข้าซื้อ
หลีกเลี่ยงการใช้ Divergence เพียงลำพัง โดยเฉพาะในตลาด Sideway ที่มีสัญญาณหลอกเยอะ
สรุป
การอ่าน Divergence จาก Momentum Indicator เป็นเทคนิคที่สามารถช่วยให้นักเทรด “จับจังหวะการกลับตัว” ของราคาได้อย่างแม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์และเครื่องมืออื่นๆ อย่างเหมาะสม ช่วยให้คุณเห็นภาพ "แรงในตลาด" ก่อนที่ราคาจะสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน
👿👿👿 เป็นอย่างไรกันบ้างครับ พอจะได้แนวทางในการวางแผนการเทรดกันบ้างหรือยังครับ ถ้ายังก็ลองเอาเทคนิคนี้ไปใช้กันดูนะครับ ชอบไม่ชอบค่อยว่ากันอีกที ที่สำคัญต้องตรงกับเทคนิคที่เราจะเทรดด้วยนะครับ แล้วอย่าลืมหมั่นฝึกฝนและเรียนรู้การเทรดในหลายๆแบบให้เข้าใจมากขึ้นนะครับ เพราะการเรียนรู้ไม่มีคำว่าสิ้นสุด แอดเอาใจช่วย แอดเชื่อว่าทุกคนทำได้ แค่เริ่มลงมือทำ สู้ๆฮะ
QuantDataManager: เครื่องมือจัดการข้อมูลราคาเพื่อการเทรดอัตโนมัต📌 QuantDataManager คืออะไร?
QuantDataManager (QDM) เป็นซอฟต์แวร์ที่พัฒนาโดยทีมงานของ StrategyQuant ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยนักเทรดและนักพัฒนาอัลกอริทึมในการ ดาวน์โหลด, แปลง, วิเคราะห์ และ ส่งออกข้อมูลราคาในอดีต ที่มีคุณภาพสูง สำหรับใช้งานกับแพลตฟอร์มการเทรดยอดนิยม เช่น MetaTrader 4 (MT4), MetaTrader 5 (MT5) และ StrategyQuant X เอง
เครื่องมือนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการความแม่นยำในการทดสอบกลยุทธ์ (Backtesting) และการวิเคราะห์ข้อมูลราคาเพื่อการสร้างระบบเทรดอัตโนมัติ (Algorithmic Trading)
🔍 คุณสมบัติเด่นของ QuantDataManager
✅ 1. ดาวน์โหลดข้อมูลคุณภาพสูงจากหลายแหล่ง
QuantDataManager สามารถเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการข้อมูลราคาชั้นนำ เช่น:
Dukascopy – ข้อมูล Tick และ Minute ที่แม่นยำและย้อนหลังได้ยาวนาน
Yahoo Finance
Binance / Coinbase – สำหรับข้อมูลคริปโต
Darwinex / Bitfinex / Poloniex และอื่น ๆ
✅ 2. วิเคราะห์คุณภาพของข้อมูล
QDM มีระบบ Data Quality Checker ที่ช่วยให้ผู้ใช้ตรวจสอบ:
ช่องว่างของข้อมูล (Missing Bars)
การซ้ำซ้อนของข้อมูล
ความสมบูรณ์ของ Timeframe
✅ 3. แปลงข้อมูลได้หลาย Timeframe
ผู้ใช้สามารถแปลงข้อมูล Tick เป็น Timeframe ที่ต้องการ เช่น:
M1, M5, M15, H1, D1
Custom Timeframe (เช่น M3, M10, H6)
รวมถึงการแปลงแบบ Aggregated หรือ Renko/Range Bar (ผ่าน StrategyQuant)
✅ 4. ส่งออกได้หลายรูปแบบ
QDM รองรับการส่งออกข้อมูลในรูปแบบที่เหมาะสมกับแพลตฟอร์มปลายทาง เช่น:
MetaTrader 4 (.FXT, .HST)
MetaTrader 5
CSV, JSON, SQX สำหรับ StrategyQuant
ใช้ร่วมกับ Tick Data Suite หรือ Tickstory ได้
💡 เหมาะกับใคร?
ผู้ที่ต้องการ Backtest อย่างแม่นยำใน MT4/MT5
นักพัฒนา EA และ AlgoTrader ที่ต้องการข้อมูลคุณภาพสูง
ผู้ใช้ StrategyQuant ที่ต้องการข้อมูลพร้อมใช้ในการสร้างกลยุทธ์
นักวิเคราะห์ที่ต้องการข้อมูลราคาย้อนหลังแบบ Tick หรือ Minute
📝 สรุป
QuantDataManager คือเครื่องมือที่นักพัฒนาและนักเทรดควรมีไว้ใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณให้ความสำคัญกับ คุณภาพของข้อมูลราคา, ความแม่นยำในการ Backtest, และ การจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือเทรดเดอร์ขั้นสูง QDM จะช่วยยกระดับการวิเคราะห์และพัฒนาอัลกอริทึมของคุณได้อย่างแน่นอน
Momentum Indicators ตัวบ่งชี้โมเมนตัมคืออะไร และต่างกันอย่างไร?Momentum Indicators ตัวบ่งชี้โมเมนตัมคืออะไร มีอะไรบ้าง และต่างกันอย่างไร?
👹 กลับมากันอีกแลวกับบทความดีๆและเทคนิคการเทรดในหลายๆรูปแบบมาฝากกัน วันนี้แอดรื้อฟื้นกับความรู้เก่าๆเบสิคๆที่เราจำเป็นต้อง เผื่อใครบางคนยังหาทางออกให้กับกลยุทธ์การเทรดยังไม่เจอ มาครับ บทความนี้มีคำตอบ
👹ในโลกของการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ตัวบ่งชี้โมเมนตัม (Momentum Indicators) ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนและเทรดเดอร์สามารถวัดความแรงหรือความเร็วของแนวโน้มราคาได้ ซึ่งช่วยในการตัดสินใจในการเข้า-ออกออเดอร์ได้แม่นยำยิ่งขึ้น
โมเมนตัมคืออะไร?
โมเมนตัม หมายถึง “แรง” หรือ “ความเร็ว” ที่ราคาของสินทรัพย์เปลี่ยนแปลง ตัวบ่งชี้โมเมนตัมจึงทำหน้าที่แสดงให้เห็นว่าราคากำลังเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด และมีแรงส่งมากน้อยแค่ไหน
👉หากโมเมนตัมสูง แสดงว่าแนวโน้มมีความแข็งแรง
👉หากโมเมนตัมเริ่มลดลง แม้ราคายังวิ่งต่อ ก็อาจบ่งบอกแนวโน้มกำลังอ่อนแรงและอาจกลับตัว
ตัวอย่างตัวบ่งชี้โมเมนตัมที่นิยม
1. Relative Strength Index (RSI)
ดัชนีเปรียบเทียบความแข็งแกร่ง (RSI) เป็นเครื่องมือที่แสดงถึงความแรงของการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง (โดยปกติคือ 14 วัน) เราสามารถปรับแต่งค่าได้ ตามที่เราต้องการ
ช่วงค่า: 0 – 100
ระดับสำคัญ:
RSI > 70 = เข้าสู่เขตซื้อมากเกินไป (Overbought)
RSI < 30 = เข้าสู่เขตขายมากเกินไป (Oversold)
👉 จุดเด่น: เหมาะสำหรับดูจังหวะกลับตัวของราคา เทรดสวนทาง
2. Moving Average Convergence Divergence (MACD)
ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของราคาสองเส้น (EMA) มาคำนวณเพื่อหาทิศทางแนวโน้มและแรงโมเมนตัม โดยใช้เส้นค่าเฉลี่ยที่สามารถปรับแต่งได้ตามวันที่เราต้องการ
องค์ประกอบหลัก:
MACD Line = EMA(12) – EMA(26)
Signal Line = EMA ของ MACD Line
Histogram = แสดงความต่างของ MACD กับ Signal Line
การใช้งาน:
👉 MACD ตัดขึ้นเหนือ Signal Line = สัญญาณซื้อ BUY
👉 MACD ตัดลงใต้ Signal Line = สัญญาณขาย SELL
3. Stochastic Oscillator : SO
ใช้วัดระดับราคาปิดเมื่อเทียบกับช่วงราคาสูงสุด-ต่ำสุดในช่วงเวลาหนึ่ง
ช่วงค่า: 0 – 100
ระดับสำคัญ:
80 = Overbought
< 20 = Oversold
จุดเด่น: ให้สัญญาณการกลับตัวได้เร็ว เหมาะสำหรับตลาด Sideway
4. Rate of Change (ROC)
ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาตามสัดส่วนเมื่อเทียบกับช่วงเวลาก่อนหน้า
วิธีคิด: (ราคาปัจจุบัน – ราคาในอดีต) ÷ ราคาในอดีต × 100
การใช้งาน:
ROC > 0 = ราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
ROC < 0 = ราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง
สรุป
ตัวบ่งชี้โมเมนตัมเป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจแรงส่งของราคา ช่วยจับจังหวะซื้อ-ขายได้ดีขึ้น แต่ควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ และการวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน เพื่อประกอบการตัดสินใจอย่างรอบคอบ
👿👿👿 เป็นอย่างไรกันบ้างครับ พอจะได้แนวทางในการวางแผนการเทรดกันบ้างหรือยังครับ ถ้ายังก็ลงใช้ให้ครบก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าเรานิยมและชมชอบแบบไหนที่สุด ที่สำคัญต้องตรงกับเทคนิคที่เราจะเทรดด้วยนะครับ แล้วอย่าลืมหมั่นฝึกฝนและเรียนรู้การเทรดในหลายๆแบบให้เข้าใจมากขึ้นนะครับ เพราะการเรียนรู้ไม่มีคำว่าสิ้นสุด แอดเอาใจช่วย แอดเชื่อว่าทุกคนทำได้ แค่เริ่มลงมือทำ สู้ๆฮะ
"วิเคราะห์ Breakout ยังไงให้ได้เปรียบ?""วิเคราะห์ Breakout ยังไงให้ได้เปรียบ?"
ในโลกของการเทรด ความเข้าใจประเภทของ Breakout คือกุญแจสำคัญ! ไม่ว่าจะเป็น:
Lower Highs & Support: เตรียมรับมือกับขาลงที่แรงขึ้น
Range: อดทนรอโอกาสทะลุกรอบและเข้าตามเทรนด์
Higher Lows & Resistance: ใช้เป็นโอกาสเข้าซื้อในขาขึ้น
การเข้าใจโครงสร้างราคาและสัญญาณ Breakout ช่วยให้คุณเทรดด้วยความมั่นใจมากขึ้น พร้อมวางแผน Entry, Exit และ Stop-Loss อย่างมืออาชีพ!
Breakout Types (ประเภทของการ Breakout)
1. Lower Highs & Support
-ราคาอยู่ในขาลง โดยเกิดจุด Lower Highs และมาถึงแนว Support ก่อนทะลุลงไป
-บ่งชี้การต่อเนื่องของแนวโน้มขาลง (Bearish Continuation)
2.Range
-ราคาเคลื่อนตัวในกรอบแนวรับ-แนวต้าน (Sideways) จนทะลุออกจากกรอบ
-มักใช้ยืนยันแนวโน้มใหม่หลัง Breakout
3.Higher Lows & Resistance
-ราคาเกิดจุด Higher Lows ต่อเนื่อง และเคลื่อนตัวขึ้นไปจนทะลุแนวต้าน
-บ่งชี้แนวโน้มขาขึ้นต่อเนื่อง (Bullish Continuation)
วิธีรับมือเมื่อพลาดโอกาสในการเทรด หรือ ‘ตกรถ’หนึ่งในความรู้สึกที่นักเทรดแทบทุกคนต้องเคยเจอคือ "ความเสียดาย" เมื่อตลาดเคลื่อนไหวไปตามที่วิเคราะห์ไว้ แต่เราไม่ได้เข้าออเดอร์ หรือไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง — เราเรียกสถานการณ์นี้ว่า “ตกรถ” ซึ่งถ้าไม่จัดการอารมณ์ให้ดี ก็อาจนำไปสู่การเทรดแบบไร้แผน ขาดวินัย และท้ายที่สุดคือการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจ และเสนอวิธีรับมือกับความรู้สึกและพฤติกรรมที่มักเกิดขึ้นเมื่อตกรถ
1. ยอมรับว่า "พลาด" เป็นเรื่องปกติ
การพลาดโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของการเทรด ไม่มีใครสามารถจับจังหวะได้ทุกครั้ง แม้แต่มืออาชีพก็ยังพลาด เพราะตลาดเต็มไปด้วยปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ การยอมรับความจริงข้อนี้จะช่วยลดแรงกดดันและความรู้สึกเสียดายได้มาก
2. อย่าพยายาม “ไล่ราคา” (FOMO)
หลังจากตกรถ หลายคนมักกระโจนเข้าเทรดเพราะกลัวจะพลาดอีก (FOMO: Fear of Missing Out) แต่นั่นคือจุดเริ่มต้นของหายนะ การไล่ราคามักทำให้คุณซื้อที่จุดสูงสุด หรือขายที่จุดต่ำสุด โดยไม่มีแผนชัดเจน และมักจบลงด้วยการติดดอย
แนวทาง: ถ้าไม่มั่นใจในจุดเข้า ให้รอรอบใหม่ อย่าฝืนตลาด
3. วิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้น
พิจารณาว่าเพราะเหตุใดคุณถึงพลาดโอกาสนั้น เช่น
มองกราฟไม่ทัน
ไม่มีแผนชัดเจน
ขาดความมั่นใจ
ติดภารกิจอื่น
เมื่อรู้เหตุผล จะสามารถปรับกลยุทธ์ให้ดีขึ้นในอนาคต เช่น ตั้ง Alert ไว้ หรือวางแผนล่วงหน้าในกรณีที่กราฟถึงจุดที่น่าสนใจ
4. จดบันทึกการตกรถใน Trading Journal
หลายคนจดแค่การเข้าออกออเดอร์ แต่การ “ไม่เข้า” ก็มีคุณค่าในการเรียนรู้เช่นกัน ลองเขียนว่าเกิดอะไรขึ้น ความรู้สึกขณะนั้นคืออะไร และคุณจะรับมืออย่างไรครั้งหน้า การจดบันทึกจะช่วยให้คุณพัฒนาทั้งด้านจิตวิทยาและกลยุทธ์
5. โฟกัสที่ "โอกาสหน้า" ไม่ใช่ "โอกาสที่พลาด"
ตลาดไม่เคยหยุดเคลื่อนไหว โอกาสใหม่เกิดขึ้นเสมอ การจมอยู่กับอดีตไม่ช่วยอะไร สิ่งสำคัญคือการเตรียมตัวให้พร้อมเมื่อโอกาสใหม่มาถึง
6. ฝึกใจให้นิ่ง ผ่านการฝึกวินัย
การควบคุมอารมณ์เป็นหัวใจของการเทรด ฝึกให้ตัวเองตัดสินใจตามแผน ไม่ตามอารมณ์ เช่น กำหนดเงื่อนไขชัดเจนว่าจะเข้าออเดอร์เมื่อไหร่ เท่านั้น ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นนอกเหนือจากนั้นก็ "ปล่อยผ่าน"
สรุป
การตกรถอาจทำให้รู้สึกเสียดาย แต่ไม่ใช่จุดจบของเส้นทางเทรด การมีสติ วิเคราะห์เหตุผล และปรับกลยุทธ์จะทำให้คุณเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในฐานะเทรดเดอร์ จงจำไว้ว่าตลาดมีโอกาสใหม่เสมอ ขอเพียงคุณ "พร้อม" เมื่อโอกาสมาถึง
วางแผนก่อนเข้าออร์เดอร์ ดีอย่างไร?ในการเทรดไม่ว่าจะเป็นหุ้น ฟอเร็กซ์ คริปโต หรือสินทรัพย์ใด ๆ ก็ตาม การ "วางแผนก่อนเข้าออร์เดอร์" ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการวางแผนที่ดีช่วยให้คุณเทรดอย่างเป็นระบบ ลดอารมณ์ ลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในระยะยาว
1. ลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจด้วยอารมณ์
หากคุณเข้าออร์เดอร์โดยไม่มีแผน อาจเกิดจากความรู้สึกโลภ กลัว หรือความตื่นตระหนก ซึ่งอารมณ์เหล่านี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ขาดทุน การมีแผนช่วยให้คุณยึดตามกฎ ไม่หลุดจากวินัย
2. รู้จุดเข้า-จุดออกชัดเจน
แผนการเทรดที่ดีจะกำหนดจุดเข้า (Entry Point), จุดออกทำกำไร (Take Profit) และจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ไว้ล่วงหน้า ซึ่งช่วยให้คุณไม่ต้องตัดสินใจใหม่ขณะตลาดวิ่ง และลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนใจกลางทาง
3. จัดการทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
การวางแผนรวมถึงการจัดการเงินทุน เช่น จะใช้ความเสี่ยงต่อไม้เทรดกี่เปอร์เซ็นต์ จะเพิ่มหรือลดล็อตอย่างไร ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยป้องกันการล้างพอร์ต และสร้างความมั่นคงให้กับการเทรด
4. มีแนวทางในการประเมินผลและพัฒนา
เมื่อคุณมีแผนการเทรดที่ชัดเจน คุณสามารถบันทึกและวิเคราะห์ผลการเทรดแต่ละไม้ได้ง่ายขึ้น รู้ว่าอะไรได้ผล อะไรไม่ได้ผล เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์และพัฒนาให้ดีขึ้นในระยะยาว
5. สร้างความมั่นใจ
แผนที่ผ่านการคิดและทดสอบมาอย่างดีจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเข้าออร์เดอร์ ไม่ลังเล ไม่กลัว เพราะคุณรู้ว่าคุณกำลังทำตามระบบที่มีเหตุผลรองรับ
สรุป
การวางแผนก่อนเข้าออร์เดอร์ คือรากฐานของการเทรดอย่างมืออาชีพ ไม่ใช่แค่การคาดเดาหรือหวังโชคดี แต่มันคือการใช้ข้อมูล วิเคราะห์ และจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ ดังคำพูดที่ว่า
“Plan the trade, trade the plan”
วางแผนให้ชัด แล้วทำตามแผนให้มั่นคง เท่านี้โอกาสสำเร็จในตลาดก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
Scalping trading strategy เทรดสั้นยังไงให้ได้กำไรScalping trading strategy
เทรดสั้นยังไงให้ได้กำไร
👰 กลับมากันอีกแล้วกับบทความดีๆและเทคนิคการเทรดสั้นยังไงให้ได้กำไร เพราะการเทรดสั้นนั้นสามารถทำกำไรได้เร็วนั่นเอง มาครับ มาดูกันว่ารอบนี้เราจะใช้สูตรการเทรดสั้นแบบไหนกันบ้าง ตามมาอ่านกันได้เลย
👾 คนส่วนใหญ่มักนิยมการเทรดสั้นเพราะว่ามันเร็ว และใช้เวลาไม่นาน แต่ในความเร็วนั้นแฝงไปด้วยกำไรและขาดทุนแบบเต็มๆ แล้วต้องเทรดยังไงให้ได้กำไรมากกว่าขาดทุนหล่ะ บทความนี้มีคำตอบ
👴 สิ่งที่ต้องรู้ ก่อนเริ่ม Scalping trading strategy
👿 กลยุทธ์ Scalping เราจะใช้เทคนิคการเทรดในระยะสั้นมากๆ โดยที่ราคาไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เรียกสั้นๆว่า "เก็งกำไร"
👿 Scalping มักจะมุ่งเน้นไปที่ตลาดที่มีสภาพคล่องสูงและมีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะทำให้ การซื้อขาย เปิด ปิด ตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วในทันทีที่ตลาดเคลื่อนไหว
👿 เราจะได้กำไรเล็กน้อยจากการซื้อขายในแต่ละครั้ง โดยคาดหวังการเก็บเล็กผสมน้อยนั่นเอง การเทรดแบบนี้จะทำให้เราได้กำไรน้อย แต่มีโอกาสทำกำไรได้หลายครั้ง
👿 เมื่อกำไรน้อย ความเสี่ยงย่อมน้อยตาม กำไรเล็กน้อยทั้งหมดจะสะสมไว้ ในพอร์ตของเรา เพื่อเป็นทุนในการเทรดต่อไป
👿 การเทรดสั้น Scalping จำเป็นต้องมีวินัยอย่างเคร่งครัด
👿 สภาพแวดล้อมและจิตใจก็สำคัญมากอันดับหนึ่ง หากเราเลือกเส้นทางการเทรดนี้ เพราะราคาขยับเพียงเล็กน้อย ก็ได้กำไรหรือขาดทุนแล้ว ดังนั้นอารมณ์จึงสำคัญอย่างยิ่ง
กลยุทธ์การซื้อขายจะประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก
1. การวางแผน
2. การวางคำสั่งซื้อขาย
3.การดำเนินการซื้อขาย
กลยุทธ์การซื้อขายส่วนใหญ่จะอิงตามปัจจัยทางเทคนิคหรือปัจจัยพื้นฐาน โดยใช้ข้อมูลเชิงปริมาณที่สามารถทดสอบย้อนหลังเพื่อกำหนดความแม่นยำได้
💂ตัวอย่างอินดิเคเตอร์และเครื่องมือที่ใช้
1. เส้น EMA หรือ MA 5 , 20 , 100
2. RSI
3. Stohastic
4. MACD ฯลฯ
💂วิธีการหาจุดเข้าในการเทรด Scalping trading strategy
👿 หลักๆ ต้องเลือกแนวโน้มเทรนด์ใหญ่เป็นหลัก แล้วหาจุดเข้า ทั้งขาบายและขาเซลดังนี้
ขา BUY เข้าทำกำไรตามเทรนด์ใหญเป็นหลัก แต่เก็บกำไรสั้นๆ เข้าเร็วออกเร็ว
ขา SELL เน้นเข้าทำกำไรช่วงราคาย่อลง ตามคลื่นรอบเล็ก เก็บกำไรสั้นๆ เข้าเร็วออกเร็ว
👿👿👿 แม้ว่าระบบการเทรดจะง่ายขนาดไหน แต่หากเราไม่หมั่นฝึกฝนและพยายามหรือแม้แต่การลงมือปฏิบัติจริง ผลลัพธ์ย่อมไม่เกิดขึ้นนะครับ ที่สำคัญสภาพอารมณ์และจิตใจสำคัญมากๆในการเทรดสั้นแบบนี้ อย่าลืม เตรียมเงิน เตรียมใจ และเตรียมแผนการเทรดให้ดีครับ แอดเอาใจช่วย แอดเชื่อว่าทุกคนทำได้ แค่เริ่มลงมือทำ สู้ๆฮะ
Market Sentiment คืออะไร? สำคัญไหมMarket Sentiment คืออะไร?
Market Sentiment หรือ "ภาวะอารมณ์ของตลาด" คือการวัดความรู้สึกของนักลงทุนในตลาด ว่ากำลังมีมุมมองในเชิงบวก (Bullish) หรือเชิงลบ (Bearish) ต่อสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง ความรู้สึกนี้มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ-ขาย และสามารถขับเคลื่อนราคาได้ แม้ในบางครั้งจะสวนทางกับพื้นฐานของสินทรัพย์นั้นก็ตาม
ประเภทของ Market Sentiment
Bullish Sentiment (ตลาดกระทิง)
นักลงทุนมีความมั่นใจ คาดว่าราคาจะปรับขึ้น จึงเน้นการซื้อถือ (Buy & Hold)
Bearish Sentiment (ตลาดหมี)
นักลงทุนมีความวิตก คาดว่าราคาจะปรับลดลง จึงมักเทขายเพื่อลดความเสี่ยง
เครื่องมือวิเคราะห์ Market Sentiment
-Indicator แบบวัดอารมณ์ตลาด
-Fear & Greed Index (ใช้บ่อยในตลาดคริปโต)
-Put/Call Ratio (ใช้ในตลาดหุ้น)
-Commitment of Traders (COT) Report
-รายงานการถือสถานะของกลุ่มผู้เล่นรายใหญ่
Volume Analysis
ปริมาณการซื้อขายสูงพร้อมราคาเพิ่ม = มองว่าตลาดมีแรงซื้อหนุน
ข่าวสาร / สื่อโซเชียล
การวิเคราะห์กระแสข่าวใน Twitter, Reddit, หรือสื่อการเงิน
Price Action
พฤติกรรมของแท่งเทียน (Candlestick) เช่น Pin Bar, Engulfing อาจบอกอารมณ์นักลงทุนได้
SIDEWAY OR CONSOLIDATION PHASESSIDEWAY OR CONSOLIDATION PHASES
ตลาดไซด์เวย์หมายถึงโครงสร้างของตลาดที่ไม่สามารถทะลุทั้งจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด หรือเพียงแค่ไส้เทียนแตะจุดสูงสุด/ต่ำสุดเท่านั้น
ช่วงที่ราคาแกว่งอยู่ในกรอบ (Range/Consolidation) มีความสำคัญมาก
เพราะเป็นการตัดสินใจถึงทิศทางถัดไปของตลาด
ลองสังเกตว่า ก่อนที่ราคาจะเคลื่อนไหวใหญ่ มักจะมีช่วงไซด์เวย์ก่อนเสมอ
ตามด้วยการกวาดสภาพคล่อง (Liquidity Gap) และจากนั้นจึงเกิดการเคลื่อนที่จริง
การเทรดช่วงตลาดไซด์เวย์ในไทม์เฟรมเล็ก (LTF) มีความเสี่ยงสูง
อย่างไรก็ตาม หากตลาดไซด์เวย์เกิดขึ้นบนไทม์เฟรม 4 ชั่วโมง (4H) หรือ 1 วัน (D1)
อาจกลายเป็นแนวโน้มในไทม์เฟรม 15 นาที (15M) ซึ่งสามารถเทรดได้
Disclaimer คำเตือน
1.โพสต์นี้เป็นการแชร์มุมมองเพื่อการศึกษาและเรียนรู้พฤติกรรมการทำราคาของกราฟเทคนิคคอลเท่านั้น (For Educational purposes only) และ ผู้เขียนไม่ใช่ (Financial advisor nor a CPA)
2.ทางเพจไม่ได้มีเจตนาชี้แนะหรือชี้ชวนการลงทุนแต่อย่างใด (I am sharing my opinion with no guarantee of investment gains or losses.)
3.ผู้ลงทุนควรศึกษาผลิตภัณฑ์การลงทุนก่อน และตัดสินใจการลงทุนเอง ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นผู้ลงทุนต้องยอมรับความเสี่ยงด้วยตนเอง (Investing of any kind involves risk. While it is possible to minimize risk, your investments are solely your responsibility. You must conduct your own research.)
ระบบเทรด EOD สำหรับคนชอบเทรดกราฟเดย์ TF DAYระบบเทรด EOD
สำหรับคนชอบเทรดกราฟเดย์ TF DAY
👰 กลับมากันอีกแล้วกับบทความดีๆและความรู้ใหม่ๆแน่นๆให้เหล่าชาวเทรดเดอร์ วันนี้แอดเาใจมือใหม่หัดเทรดกันครับด้วยระบบเทรดแบบง่ายๆและเบสิคสุดๆ อ่านจบเทรดเป็นได้เลย มาครับ มาตามอ่านกันดีกว่า
👾ระบบการเทรด EOD ย่อมาจาก End of Day เป็นการนำข้อมูลทางเทคนิคมาวิเคราะห์หลังตลาดปิดทำการหรือจบวัน จบแท่งเดย์นั่นเอง เพื่อวางแผนการเทรดในวันต่อไป
👾โดยทั่วไปแล้วระบบการเทรด EOD จะใช้กับไทม์เฟรม Daily อย่างเดียว เพราะว่าง่ายต่อการดูทิศทางของตลาด แต่เราสามารถใช้กับไทม์เฟรมอื่น ๆ ได้ เพื่อมาวิเคราะห์ ตลาดในแต่ละ Session ในการเข้าทำกำไร
👾 รูปแบบการเทรดนี้จะทำให้เราไม่ต้องสู้กับความผันผวนในตลาดที่น่าหวาดเสียว และไม่ต้องเฝ้าจอนานๆ ไม่เครียดด้วย เหมาะกับเพื่อนๆ ที่ไม่ชอบเทรดความเสี่ยงสูง
💂หลักการเทรดเบื้องต้นของระบบเทรด EOD
ใช้ลักษณะของแท่งเทียนและแนวโน้มของเทรนด์เป็นหลัก ผ่านอินดิเคเตอร์ตัวเบสิค และทำการเข้าเทรดเมื่อราคามาถึงจุดย่อของแท่งเทียนเดิม และมีการใช้เส้น ค่าเฉลี่ย ATR เป็นตัวช่วยในการปิดออเดอร์หรือเก็บกำไร และที่สำคัญมากๆ คือ เป็นระบบเทรดระยะกลางจนถึงการเทรดระยะยาว การทำกำไรจะได้ผลดีในการเทรดเพียงครั้งเดียวต่อรอบ และต้องใช้เงินทุนสูงนิดนึงนะฮะ
💂สิ่งที่จำเป็นต้องรู้ในการเทรดระบบ EOD
1. ลักษณะของแท่งเทียน candlesticks แบบเบสิคที่เราสามารถเห็นได้บ่อย
2. รูปแบบ Chart Pattern ใช้แบบทั่วไปได้เลยไม่เยอะ
3. ช่องว่างระหว่างราคา (Gap)ในบางครั้งอาจมีมาบ้าง
แท่งเทียนวันก่อนหน้าเป็นสิ่งสำคัญมากของระบบนี้ จดจำและดูทิศทางของแท่งเทียนวันก่อนหน้าก่อน ว่าเป็นแบบ Bullish หรือ Bearlish ก่อนที่จะเปิดออเดอร์ในการเทรด
💂การตั้งค่าอินดิเคเตอร์เครื่องมือที่ใช้
1. CCI และ Stochastic
CCI ใช้ค่า Length: 40 และ Source: HLC3 ตีเส้นแนวนอนที่ 0
Stochastic ใช้ค่า %K: 5 %D: 3 Slowing -2 Price Field: Low/High
💂วิธีการเทรดและการอ่านอินดิเคเตอร์
💂1. การอ่านค่า CCI
CCI อยู่เหนือเส้นกึ่งกลาง เป็นเทรนด์ขาขึ้น
CCI อยู่ใต้เส้นกึ่งกลาง เป็นเทรนด์ขาลง
💂 2. การอ่านค่า Stochastic
STO อยู่โซน Oversold ราคามีโอกาสกลับตัวขึ้น
STO อยู่โซน Overbought ราคามีโอกาสกลับตัวลง
ข้อดีและข้อเสียของการเทรดระบบ EOD
ข้อดี
1. เป็นระบบที่เข้าใจง่าย
2.เพราะเทรดไทม์เฟรมใหญ่ทำให้เจอสัญญาณหลอกน้อย
3. เป็นกลยุทธ์การเทรดตามเทรนด์ ได้กำไรสูง
4. เหมาะกับคนไม่มีเวลาเฝ้ากราฟ
ข้อเสีย
1. มักจะพลาดโอกาสในการทำกำไรในระหว่างวัน และอาจต้องรอนานหลายวัน กว่าจะถึงเป้าหมาย TP
2. หากราคาตลาดเป็นไซด์เวย์นกรอบรายวัน เราจะเสียเวลานานกว่าเดิมเป็นอาทิตย์ หรือเป็นเดือนได้เลย คนที่ชอบเราแล้วรอได้นานเท่านั้นถึงจะอบระบบนี้ฮะ
3. ไม่เหมาะกับคนใจร้อนที่ไม่สามารถถือออร์เดอร์ข้ามวันได้
4. จำนวนการเทรดน้อยจนถึงน้อยมาก
💂คำแนะนำเพิ่มเติม
1. สามารถปรับ Risk Reward ให้เหมาะสมกับการวิ่งของราคาได้
2..ให้ลองเทรดหลายๆคู่เงิน จะช่วยเพิ่มการทำกำไรได้ และการพลาดโอกาสการเทรดระหว่างวัน
3.อย่าลืม Back Test ก่อนใช้งานจริงฮะ
👿👿👿 แม้ว่าระบบการเทรดจะง่ายขนาดไหน แต่หากเราไม่หมั่นฝึกฝนและพยายามหรือแม้แต่การลงมือปฏิบัติจริง ผลลัพธ์ย่อมไม่เกิดขึ้นนะครับ แอดอยากให้เราชาวเทรดเดอร์มือใหม่ ได้ลองพยายามและหมั่นฝึกฝน ลงมือทำ เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ไม่มากก็น้อย สู้ๆนะครับ แอดเอาใจช่วย






















