How To Setting EA วิธีติดตั้ง EA Robot Forex บน MT4, MT5How To Setting EA
วิธีติดตั้ง EA Robot Forex บน MT4, MT5
👰 กลับจากบทความที่แล้ว แอดพาทุกคนไปรู้จัก กับ EA robot กันแล้ว มารอบนี้เราไปดูกันต่อฮะกับวิธีการติดตั้ง EA robot แบบง่ายๆที่ไม่ยุ่งยาก มาครับ ตามไปอ่านพร้อมๆกันเลยกับบทความนี้มีคำตอบ
วิธีติดตั้ง EA Robot Forex บน MT4
ขั้นตอนที่ 1 ดาวน์โหลดไฟล์ EA ที่ต้องการจะติดตั้ง หาโหลดฟรีได้ทั่วไปเลยครับ
ขั้นตอนที่ 2 Extract ไฟล์ EA และ Copy ข้อมูล
👉คลิกขวาที่ไฟล์ EA
👉เลือก Extract to
👉คลิกขวาที่ไฟล์ (.ex4 หรือ .mq4) เพื่อ Copy
ขั้นตอนที่ 3 เปิดโปรแกรม MT4 และเริ่มติดตั้ง
👉ไปที่ File
👉เลือก Open Data Folder
👉กดเข้าไปที่ โฟลเดอร์ MQL4
👉คลิกเข้าไปที่ Experts
👉นำ EA ที่เรา Copy ในขั้นตอนที่ 2 มาวางในโฟลเดอร์ Expert
ขั้นตอนที่ 4 รีเฟรชโปรแกรม MT4 อีกครั้ง
👉คลิกขวาที่ Expert Advisors บนแถบด้านซ้ายหน้า MT4
👉เลือก Refresh
วิธีติดตั้ง EA Forex บน MT5 มีขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ดาวน์โหลดไฟล์ EA ที่ต้องการ โดยอยู่ในรูปแบบ EX5 หรือ MQ5
ขั้นตอนที่ 2 เปิดโปรแกรม MT5 และติดตั้ง
👉ไปที่ File บนแถบเมนูด้านบน
👉คลิกที่ Open Data Folder
👉คลิกที่ MQL5 จากนั้นคลิกที่ Experts
👉คัดลอกและวางไฟล์ EA ลงในโฟลเดอร์
ขั้นตอนที่ 3 กลับไปที่แพลตฟอร์ม MT5
ขั้นตอนที่ 4 รีเฟรชโปรแกรม MT5 อีกครั้ง
👉คลิกขวาที่ Expert Advisors บนแถบด้านซ้ายหน้า MT5
👉เลือก Refresh จากนั้น EA ที่ติดตั้งจะปรากฏขึ้นในรายการ
👉👉👉 เป็นอย่างไรกันบ้างฮะ ง่ายใช่มั้ยหล่ะ แต่สิ่งสำคัญที่เราควรต้องคำนึงเป็นอันดับแรกๆก็คือการเลือก EA ที่ดีสักตัว เพราะมันจะช่วยเพิ่มโอกาสการทำกำไรและลดความเสี่ยงได้อีกนะดับ แอดแถมให้อีกนิดนะฮะ
1. เลือก EA ที่มีการแสดง Back Test ให้เราติดตาม และควรเลือกระยะเวลาย้อนหลังอย่างน้อย 1 ปี เพื่อให้เห็นโอกาสการทำกำไรของการใช้ EA ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
2. ทดสอบ A/B Test เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพก่อน เพื่อเป็นการเปรียบเทียบว่า EA ตัวไหนสามารถทำกำไรได้จริง และดีกว่ากัน
3. อ่านรีวิว EA Forex จากผู้ใช้งานจริง จะทำให้เราตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น และบางทีอาจจะถูกกับจริตของเราด้วย
4. ทดสอบ EA Forex ในตลาดจริงก่อนเริ่มใช้งาน ด้วยการลองใช้ในบัญชี Demo เพื่อความสมจริงฮะ แม้จะไม่เหมือนพอร์ตจริงแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ไม่หนีกันมากนัก
5. เลือกโบรกเกอร์ที่มีใบอนุญาตและมีความน่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันความเสี่ยง
👉👉👉แม้ว่า EA Robot จะเป็นที่นิยม เพื่อใช้ในการเทรดที่ต้องการลดการทำงานของมนุษย์ หรือเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดในตลาดที่มีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากการตั้งค่าหรือกลยุทธ์ที่ไม่เหมาะสมด้วยเช่นกัน อย่าลืมเผื่อใจและใช้เวลาในการเลือกสักหน่อยนะครับ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ EA Robot สมัยนี้มันต้องเพิ่งเทคโนโลยีด้วยกันแล้วจริงๆนะ แต่ทั้งนี้ทั้นนั้น EA Robot ก็มีทั้งด้านดี และด้านเสีย เราจะเอาใจไปลงที่ EA robot แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้นะครับ มันเสี่ยงเกินไป และที่สำคัญ เมื่อได้มันมาแล้ว แอดแนะนำให้ลอง back test ย้อนดูไปนานๆก่อนฮะ และทดลองใช้กับพอร์ตเดโม่3-6 เดือนด้วยยิ่งดี เราจะได้ไม่ขาดทุนครับ
X-indicator
การเทรด Forex ด้วยกลยุทธ์ Volatility Tradingความหมายของ Volatility
Volatility หรือ "ความผันผวน" คือระดับความแปรปรวนของราคาสินทรัพย์ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยในตลาด Forex นั้น ความผันผวนหมายถึงการที่ราคาคู่เงินมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงในอัตราที่รวดเร็วและรุนแรง ซึ่งถือเป็นดาบสองคม เพราะแม้จะเปิดโอกาสในการทำกำไรมหาศาล แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนได้เช่นกัน
ทำไม Volatility ถึงสำคัญในการเทรด?
โอกาสในการทำกำไรเพิ่มขึ้น – เมื่อตลาดมีความผันผวนสูง เทรดเดอร์สามารถเข้าออกออเดอร์ได้ในช่วงราคาที่กว้างขึ้น สร้างกำไรได้มากขึ้นในเวลาอันสั้น
กลยุทธ์การเทรดบางประเภทต้องการ Volatility – เช่น Breakout Strategy หรือ News Trading ที่ต้องอาศัยการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็ว
ช่วยบ่งชี้แนวโน้มของตลาด – ความผันผวนที่เพิ่มขึ้นอาจบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มในตลาด
วิธีการเทรดด้วย Volatility
1. Breakout Trading
กลยุทธ์นี้เน้นการเข้าออเดอร์เมื่อราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ พร้อมกับปริมาณความผันผวนที่สูง เพื่อหวังให้ราคาวิ่งต่อไปอย่างรุนแรง
2. Range Trading (เมื่อ Volatility ต่ำ)
เมื่อราคาวิ่งอยู่ในกรอบแคบ ๆ หรือ Sideway การใช้กลยุทธ์ Range Trading เช่น ซื้อบริเวณแนวรับ และขายบริเวณแนวต้าน เป็นวิธีที่เหมาะสม
3. News Trading
ข่าวเศรษฐกิจใหญ่ เช่น Non-Farm Payroll, การประกาศอัตราดอกเบี้ย ฯลฯ มักสร้างความผันผวนมหาศาล หากวางแผนล่วงหน้าได้ดี อาจสร้างผลกำไรได้มากจากการเคลื่อนไหวเหล่านี้
ตัวชี้วัดความผันผวนที่ควรรู้
ATR (Average True Range): ใช้วัดระดับความผันผวนในกรอบเวลาเฉพาะ เช่น ATR สูง = ตลาดผันผวน
Bollinger Bands: แสดงช่วงการเคลื่อนไหวของราคา ยิ่งแคบแปลว่าผันผวนต่ำ ยิ่งกว้างแปลว่าผันผวนสูง
Volatility Index (VIX): ใช้ในตลาดทุน (หุ้น/ดัชนี) แต่สามารถดูแนวโน้มของความกลัวในตลาดรวมได้
ข้อควรระวังในการเทรดตามความผันผวน
อย่าใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินใจ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดเหวี่ยง
วาง Stop Loss และ Risk Management อย่างรัดกุมเสมอ
หลีกเลี่ยง Overtrade เมื่อเห็นกราฟเคลื่อนไหวแรงเกินไป
ศึกษาพฤติกรรมของตลาดในช่วงเวลาแต่ละวัน เช่น ตลาดยุโรป/อเมริกามักผันผวนกว่าตลาดเอเชีย
สรุป
การเทรดด้วยกลยุทธ์ Volatility Trading เป็นวิธีที่สามารถสร้างกำไรได้อย่างรวดเร็วในตลาด Forex แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงด้วยความเสี่ยงสูง ผู้ที่สนใจจึงควรศึกษาพฤติกรรมของตลาด เข้าใจเครื่องมือวัดความผันผวน และบริหารจัดการความเสี่ยงให้ดี เพื่อเปลี่ยน "ความผันผวน" ให้กลายเป็น "โอกาส" อย่างแท้จริง
Pyramiding ในการเทรด Forex: กลยุทธ์เพิ่มกำไรแบบเป็นระบบPyramiding คืออะไร?
Pyramiding เป็นกลยุทธ์การเพิ่มขนาดของตำแหน่ง (Position) ในขณะที่ตลาดเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่เป็นกำไร โดยไม่เพิ่มความเสี่ยงมากเกินไป หลักการของ Pyramiding คือการใช้กำไรที่ได้รับจากออเดอร์เดิมมาสร้างออเดอร์ใหม่ ทำให้สามารถขยายขนาดของการเทรดได้โดยไม่ต้องเพิ่มความเสี่ยงของบัญชีมากนัก
หลักการของ Pyramiding
1.เริ่มต้นด้วยขนาดที่เหมาะสม: เทรดเดอร์จะเปิดออเดอร์แรกด้วยขนาดที่คำนวณจากการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
2.เพิ่มออเดอร์เมื่อราคาเคลื่อนที่ไปในทางที่ถูกต้อง: เมื่อราคาวิ่งไปในทิศทางที่ทำให้เกิดกำไร จะมีการเปิดออเดอร์ใหม่ที่ระดับราคาที่สูงขึ้น (ในเทรดขาขึ้น) หรือระดับราคาที่ต่ำลง (ในเทรดขาลง)
3.ใช้กำไรเพื่อเพิ่มขนาดการเทรด: กำไรที่เกิดขึ้นจากออเดอร์แรกสามารถนำมาใช้เป็นหลักประกันสำหรับออเดอร์ใหม่ได้
4.กำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) อย่างรัดกุม: ควรตั้ง Stop Loss ของทุกออเดอร์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยง หากราคาย้อนกลับไปผิดทางจะเสียเพียงส่วนหนึ่งของกำไร ไม่ใช่ขาดทุนทั้งบัญชี
ตัวอย่างการใช้ Pyramiding
สมมติว่าเทรดเดอร์กำลังเทรดคู่เงิน XAUUSD (ทองคำ) ในขาขึ้น และใช้ Pyramiding:
เปิดออเดอร์แรกที่ราคา 2,000 USD/oz ด้วยขนาด 1 ล็อต
เมื่อราคาขยับขึ้นไปที่ 2,020 USD/oz และมีการยืนยันแนวโน้ม เทรดเดอร์เปิดออเดอร์ที่สอง 0.5 ล็อต
ถ้าราคาขึ้นไปที่ 2,040 USD/oz เทรดเดอร์เปิดออเดอร์ที่สาม 0.25 ล็อต
Stop Loss ของออเดอร์แรกถูกเลื่อนขึ้นมาตามแนวรับใหม่ เพื่อล็อกกำไร
ข้อดีของ Pyramiding
✅ เพิ่มกำไรแบบทบต้น: สามารถใช้ประโยชน์จากแนวโน้มที่แข็งแกร่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ลดความเสี่ยงเมื่อเทียบกับการเพิ่มล็อตทีเดียว: การแบ่งไม้เข้าเพิ่มช่วยให้สามารถจัดการความเสี่ยงได้ดีขึ้น ✅ เหมาะกับแนวโน้มที่แข็งแกร่ง: ใช้ได้ดีเมื่อมีเทรนด์ชัดเจน เช่น ในข่าวใหญ่หรือช่วงตลาดมีโมเมนตัมสูง
ข้อควรระวัง
⚠️ ต้องตั้ง Stop Loss อย่างเหมาะสม: หลีกเลี่ยงการเพิ่มออเดอร์โดยไม่วางแผนการออกจากตลาด ⚠️ ไม่ควรใช้ในตลาดไซด์เวย์: Pyramiding เหมาะกับตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน ถ้าใช้ในตลาดไซด์เวย์อาจทำให้ติดดอยหรือติดดอยหนัก ⚠️ ควรใช้การบริหารความเสี่ยงเสมอ: อย่าพยายามใช้ Pyramiding กับ Leverage สูงเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดความเสี่ยงสูง
สรุป
Pyramiding เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มกำไรจากการเทรด Forex โดยอาศัยแนวโน้มที่แข็งแกร่งของตลาด อย่างไรก็ตาม ควรใช้ร่วมกับการบริหารความเสี่ยงที่ดี ตั้ง Stop Loss อย่างเหมาะสม และเลือกใช้ในสภาวะตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
Divergence ดาบสองคม ที่มือใหม่ต้องระวังDivergence ดาบ 2 คม ที่มือใหม่ต้องระวัง
👰 กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับบทความๆดีๆที่มีให้อ่านกันไม่รู้จักเบื่อ มาครับวันนี้แอดพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ Divergence ที่ใครๆก็บกว่าดีนักดีหนา กำไรอย่างเยอะ แล้วทำไมมันกลายเป็นดาบสองคมได้หล่ะ มาครับบทความนี้มีคำตอบครับ
👰 Divergence เป็นหนึ่งในแนวคิดที่สำคัญในเทคนิคการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) โดยเฉพาะในการเทรดฟอเร็กซ์ มันเกิดขึ้นเมื่อการเคลื่อนไหวของราคาของสินทรัพย์ ขัดแย้งกับการเคลื่อนไหวของตัวชี้วัดทางเทคนิค (Indicators) เช่น RSI (Relative Strength Index) หรือ MACD (Moving Average Convergence Divergence)
ประเภทของ Divergence
1. Regular Divergence:
- การเกิดขึ้นเมื่อราคามีแนวโน้มลดลง แต่ตัวชี้วัดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สัญญาณนี้อาจบ่งบอกถึงการกลับตัวขึ้น (Bullish Reversal)
- การเกิดขึ้นเมื่อราคามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ตัวชี้วัดมีแนวโน้มลดลง สัญญาณนี้อาจบ่งบอกถึงการกลับตัวลง (Bearish Reversal)
2. Hidden Divergence:
- Bullish : เกิดขึ้นเมื่อราคาสร้างจุดต่ำใหม่ แต่ตัวชี้วัดสร้างจุดต่ำที่สูงกว่า ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการดำเนินการในแนวโน้มขึ้น
- Bearish : เกิดขึ้นเมื่อราคาสร้างจุดสูงใหม่ แต่ตัวชี้วัดสร้างจุดสูงที่ต่ำกว่า ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการดำเนินการในแนวโน้มลง
👰 สัญญาณ Divergence เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากในการวิเคราะห์ทางเทคนิค
👰 แต่.......ก็มีความเสี่ยงหากเราแยกแยะความแตกต่างระหว่างสัญญาณที่ดีและสัญญาณที่หลอกไม่ได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ความสำเร็จหรือความล้มเหลวได้เช่นกันจุดสังเกตุและวิธีแก้คือ
1.สัญญาณหลอก (False Signal)
Divergence สามารถให้สัญญาณจริงและสัญาณหลอกได้ ซึ่งหมายความว่าอินดิเคเตอร์อาจจะบ่งบอกถึงการกลับตัว แต่ราคาจริงอาจจะยังคงวิ่งไปในทิศทางเดิม ไม่ควรเชื่อร้อยเปอร์ซ็นต์ ให้แบ่งไม้หรือซอยไม้ในการทำกำไรหรือเข้าออเดอร์
2. ควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ
Divergence เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ การใช้อินดิเคเตอร์อื่นๆ มาร่วมด้วยจะทำให้เราตัดสินใจได้แม่นยำกว่า เช่น แนวรับแนวต้าน (Support and Resistance) หรือปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis) EMA, MACD, RSI, STO, BB, CCI ,ETC เราสามารถนำมาใช้ได้หมดแล้วแต่จะเลือก
3. หมั่นตรวจสอบสัญญาณจาก Timeframe ที่เหมาะสม
Timeframe ที่ใหญ่ขึ้นมักจะให้สัญญาณที่แม่นยำมากกว่า Timeframe เล็กๆ เช่น H4 , Day หรือ weekly
สรุป Divergence เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากในการคาดการณ์การกลับตัวของราคา แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นดาบสองคมที่เทรดเดอร์มือใหม่ต้องระวัง การเรียนรู้และเข้าใจวิธีการใช้งานอย่างถูกต้อง พร้อมกับการทดสอบและฝึกฝนจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงจากการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ Divergence ไม่ได้มีดีแค่ด้านเดียวนะ แต่ยังมีด้านไม่ดีซ่อนอยู่ด้วย แถมเวลาเราโดนสัญญาณหลอกเราก็มักจะไม่รู้ตัวกันอีก ต้องหมั่นทบททวนราคาและเช็คสัญญาณในแต่ละ Timeframe ให้ดีๆนะครับ แล้วเราจะชนะอย่างไม่ต้องสงสัย ลองเอาไปปรับใช้กันดูนะฮะ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ฝึกการเทรดไว้เยอะๆแล้วเราจะเก่งเอง แอดเอาใจช่วยทุกท่านให้เทรดได้กำไรกันเยอะๆครับ
อ่านกราฟไม่เก่งก็กำไร ด้วยสูตร Money Management อ่านกราฟไม่เก่งก็กำไร ด้วยสูตร
Money Management
👰 กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับบทความๆดีๆที่มีให้อ่านกันไม่รู้จักเบื่อ มาครับวันนี้แอดพาทุกท่านไปคำนวนตัวเลขเพื่อใช้ในการเทรดกันฮะ ไม่สับสนวุ่นวาย ไม่ยากเกินไปแน่นอน รับรองได้ มาครับตามมาดูมาอ่านกันดีกว่า ว่ามันใช้ยังไง และดีอย่างไร บทความนี้มีคำตอบครับ
👯💆 ส่วนใหญ่แล้ว เทรดเดอร์หน้าใหม่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับ การวางแผนคำนวนทุนกำไรเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเทรดแค่ได้กำไรก็จบ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันยากมาก เพราะการเทรดมีทั้งได้กำไรและขาดทุน การคำนวน MM (Money Management) จึงจัดว่าสำคัญ
👯💆เพราะเราไม่สามารถ เทรดแล้วทำกำไรได้ทุกครั้ง เราจะต้องมองการเทรดให้เป็นเกมในระยะยาว การรักษาเงินทุนของเราจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เราต้องเลือกเข้าเทรดในจุดที่ใช่และมีการบริหารความเสี่ยงที่ถูกต้อง และสิ่งที่ต้องรู้ในการบริหารความเสี่ยงในการลงทุน มีดังนี้
ขั้นตอนในการทำ Money Management
1. การอ่านและวิเคราะห์กราฟจากเครื่องมืออินดิเคเตอร์ เพื่อดูทิศทางในการเข้าออเดอร์ เช่น ดู EMA ,BB FIBO, CHANNEL เป็นต้น
2. คำนวนน R:R (Reward to Risk Ratio) คือความคุ้มค่าในการลงทุนแต่ละครั้ง เป็นการคำนวณเปรียบเทียบระหว่างกำไรที่เราจะได้รับมา หารกับผลขาดทุนที่จะสามารถเกิดขึ้นได้ถ้าไม้นั้นออกมาแพ้ การคำนวณค่า R:R คือเอาระยะกำไรหรือ TP มาหารด้วยระยะขาดทุนหรือระยะ SL
โดยทั่วไป R:R ควรจะต้องมากกว่า 2 ขึ้นไปถึงจะถือว่าคุ้มค่า แต่ว่าค่านี้ก็ไม่ใช่สูตรสำเร็จ เพราะถ้าหากเราที่ใช้กลยุทธ์ที่มี %Win Ratio สูง ๆ ค่า R:R ของเราก็อาจจะปรับลดลงได้
3. Win Rate เปอร์เซ็นโอกาสในการชนะของแผนการลงทุน ค่า Win rate จะได้มาจากการเก็บสถิติของคุณด้วยเทคนิคใดเทคนิคหนึ่งที่คุณใช้อยู่ ซึ่งคำนวณจากจำนวนครั้งที่คุณชนะหารด้วยจำนวนการเทรดทุกไม้ของคุณ
- เพราะโดยทั่วไป % Win Rate ของคนที่ใช้กลยุทธ์เทรดตามแนวโน้ม (Trend Following) จะอยู่ประมาณ 40% +/- เท่านั้น (เทรด 10 ครั้ง = ชนะ 4 ครั้ง / แพ้ 6 ครั้ง)
4. Correlation การกระจายความเสี่ยง เราจะไม่เทรดในคู่เงินที่มีแนวโน้มหรือทิศทางไปในทางเดียวกันหลายๆคู่ ยกตัวอย่างการเทรด คู่ EUR และ GBP ซึ่ง 2 สกุลเงินนี้อยู่ในตลาดยุโรปทั้งคู่ ถ้าเราเทรดชนะเราก็จะได้กำไร 2 เท่า แต่ถ้าเราเทรดแพ้เราก็จะขาดทุนเป็น 2 เท่าเช่นเดียวกัน
5. Position sizing การออก lot ให้เหมาะสมกับเงินทุน การคำนวณ Position sizing นี้มีอยู่หลากหลายวิธีด้วยกัน
- fixed fractional หรือว่าการออกไม้ด้วยเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงที่เท่ากันทุกไม้ ข้อดีก็คือถ้าเกิดเราแพ้ติดต่อกันหลายๆไม้ จำนวนเงินที่เราจะออกไม้จะค่อยๆน้อยลงแต่ในขณะเดียวกันถ้าเผื่อเราชนะติดต่อกันหลายๆไม้ เราจะสามารถออก lot ด้วยขนาดใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆทำให้เราได้กำไรทบต้นขึ้นไปอีก
- Fixed sizing คือการออก lot โดยการใช้จำนวนเงินหรือว่าระยะ TP SL เท่ากันทุกไม้ไม่ว่าพอร์ตเราจะโตขึ้นหรือว่าเล็กลง ข้อดีของการใช้วิธีนี้คืออัตราการเติบโตของพอร์ตเราจะมีแรงเหวี่ยงที่น้อยกว่า แต่ข้อเสียของวิธีนี้ก็คือว่าเราจะมี draw down ที่สูงกว่าถ้าเผื่อเรา SL ติดกันหลายๆไม้
- Fixed fractional sizing โดยวิธีนี้จะทำการออก lot ในจำนวนไม้เท่าๆกัน มีการปรับเปลี่ยนการออกไม้ของเราเมื่อพอร์ตเราโตขึ้นหรือว่าเล็กลงถึงค่าที่เรากำหนดไว้เป็นขั้นบันได
6. Expectancy คือค่ากำไรที่เราคาดหวังจากระบบเทรด ซึ่งค่านี้จะบ่งบอกว่าระบบเทรดของคุณที่ใช้อยู่ปัจจุบันมีโอกาสได้กำไรหรือขาดทุนมากกว่ากัน โดยเราจะต้องเก็บข้อมูลจากสถิติที่เราเทรดจริงหรือว่าจากที่เรา Back Test ก็ได้ในจำนวนที่มากพอเพื่อมาคำนวณหาค่าค่านี้
7. Recovery Rate คือโอกาสที่จะกู้พอร์ตให้กลับมาเท่าทุน ซึ่งถ้าเกิดว่าเราเทรดแพ้หลายๆไม้ติดต่อกัน โอกาสที่เราจะสามารถนำเงินกลับมาเท่าทุน จะเริ่มยากขึ้นไปเรื่อยๆ
8. Capital Management คือการจัดสรรเงินทุนให้เหมาะสมและถูกต้อง ข้อนี้สำคัญมากเพราะถ้าเราไม่รู้หรือคำนวณไม่เป็น สุดท้ายเมื่อเรามีเงินทุนไม่พอเราก็จะมีโอกาสที่จะล้างพอร์ตได้ในระยะยา การคำนวณคือ เราจะต้องเอา minimum ในการออกไม้ อยู่ที่ 0.01 เอาค่านี้มาคูณกับระยะ SL ที่เราจะเข้า
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับ Money Management แม้ว่าจะต้องเสียเวลานิดๆหน่อยๆในการคำนวน แต่เชื่อเถอะครับ มันดีจริงๆ แถมมันยังช่วยให้เราตัดสินใจในการเทรดได้มากขึ้นอีกด้วย เทรดครั้งนึงคุ้มไม่คุ้มอยู่ตรงนี้แหละ ใครบ้างจะอยากขาดทุน แต่ถ้าขาดทุนแล้วต้องกู้กำไรกลับคืนมา นี่ต่างหากที่สำคัญสุดๆ ลองเอาไปปรับใช้กันดูนะฮะ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ฝึกการเทรดไว้เยอะๆแล้วเราจะเก่งเอง แอดเอาใจช่วยทุกท่านให้เทรดได้เงินสะสมเยอะๆครับ
การตั้ง Take Profit อย่างแม่นยำในการเทรด Forexในการเทรด Forex หนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดที่นักเทรดต้องให้ความสำคัญคือการตั้ง Take Profit (TP) หรือจุดทำกำไรที่เหมาะสม เพราะการตั้ง TP อย่างแม่นยำสามารถช่วยให้คุณล็อกกำไร ลดความเสี่ยง และทำให้แผนการเทรดของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักแนวทางการตั้ง TP ที่เหมาะสมและแม่นยำเพื่อให้สามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง
1. ทำความเข้าใจแนวคิดของ Take Profit
TP คือระดับราคาที่นักเทรดตั้งไว้เพื่อปิดออเดอร์โดยอัตโนมัติเมื่อราคาถึงจุดที่กำหนด ซึ่งช่วยให้สามารถรักษากำไรได้โดยไม่ต้องเฝ้ากราฟตลอดเวลา หากตั้ง TP ไว้ใกล้เกินไป อาจทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไรสูงสุด แต่หากตั้งไกลเกินไป ราคาก็อาจไม่ถึง TP และเกิดการกลับตัวก่อน
2. วิธีการตั้ง Take Profit อย่างแม่นยำ
2.1 ใช้แนวรับและแนวต้าน (Support & Resistance)
แนวรับและแนวต้านเป็นจุดที่ราคามักจะมีการกลับตัวหรือติดแนวนี้ การตั้ง TP ใกล้บริเวณแนวต้าน (ในกรณี Buy) หรือใกล้แนวรับ (ในกรณี Sell) จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ราคาถึงเป้าหมายก่อนที่จะเกิดการกลับตัว
2.2 ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average – MA)
MA เป็นอินดิเคเตอร์ที่ช่วยระบุแนวโน้มและแนวรับแนวต้านที่เคลื่อนที่ หากราคามีแนวโน้มเป็นขาขึ้น การตั้ง TP ใกล้เส้น MA ที่สำคัญ เช่น EMA 50, EMA 100 หรือ EMA 200 อาจช่วยเพิ่มความแม่นยำ
2.3 ใช้ Fibonacci Retracement และ Extension
Fibonacci เป็นเครื่องมือที่ช่วยคาดการณ์แนวโน้มราคาและจุดกลับตัว โดยสามารถใช้ Fibonacci Extension เพื่อกำหนด TP ในจุดที่มีโอกาสเกิดการกลับตัว เช่น ระดับ 1.618 หรือ 2.618
2.4 ใช้ Risk-Reward Ratio (RRR)
การตั้ง TP ควรสัมพันธ์กับ Stop Loss (SL) เช่น หากคุณตั้ง SL ไว้ 50 pips ควรตั้ง TP อย่างน้อย 100 pips เพื่อให้ได้ RRR 1:2 หรือมากกว่า ซึ่งช่วยให้แม้ชนะการเทรดเพียงครึ่งหนึ่งก็ยังมีกำไร
2.5 ใช้ Price Action และแท่งเทียนกลับตัว
การสังเกตรูปแบบแท่งเทียน เช่น Pin Bar, Engulfing, Doji บริเวณแนวรับแนวต้าน สามารถช่วยบอกจุดที่ราคามีโอกาสกลับตัว ทำให้สามารถตั้ง TP ได้อย่างแม่นยำ
3. ตัวอย่างการตั้ง Take Profit ในสถานการณ์จริง
ตัวอย่างที่ 1: การใช้แนวต้านเป็น TP
คู่เงิน: EUR/USD
จุดเข้า: 1.1000 (Buy)
แนวต้านสำคัญ: 1.1050
TP ที่เหมาะสม: 1.1045 (ตั้งก่อนแนวต้านเล็กน้อยเพื่อเพิ่มโอกาสปิดกำไร)
ตัวอย่างที่ 2: การใช้ Fibonacci Extension
คู่เงิน: GBP/USD
จุดเข้า: 1.2500 (Buy)
Fibonacci Extension 1.618 ที่ระดับ: 1.2650
TP ที่เหมาะสม: 1.2645 (ตั้งก่อนถึงจุด Fibonacci เพื่อเพิ่มโอกาสปิดกำไร)
4. ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยงในการตั้ง TP
ตั้ง TP ไกลเกินไปจนราคามีโอกาสกลับตัวก่อน
ไม่วิเคราะห์แนวรับแนวต้านก่อนตั้ง TP
ตั้ง TP เท่ากับ SL (RRR 1:1) ซึ่งทำให้โอกาสขาดทุนและกำไรเท่ากัน ไม่เกิดความได้เปรียบ
เปลี่ยน TP กลางทางโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน
5. สรุปแนวทางการตั้ง TP อย่างแม่นยำ
✅ ใช้แนวรับแนวต้านเป็นแนวทางกำหนด TP ✅ ใช้เครื่องมืออย่าง MA, Fibonacci, และ Price Action เพื่อเพิ่มความแม่นยำ ✅ ตั้ง TP ให้สัมพันธ์กับ SL ด้วย RRR ที่เหมาะสม ✅ หลีกเลี่ยงการตั้ง TP ไกลหรือใกล้เกินไปโดยไม่มีเหตุผล ✅ ใช้การทดสอบย้อนหลัง (Backtest) และติดตามผลการตั้ง TP เพื่อนำมาปรับปรุง
การตั้ง Take Profit อย่างแม่นยำจะช่วยให้คุณสามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอและลดโอกาสสูญเสียจากการเทรด Forex การฝึกฝนและการวิเคราะห์อย่างต่อเนื่องจะทำให้คุณพัฒนากลยุทธ์ TP ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เน้น Winrate ไม่เน้น Risk-Reward Ratio: ข้อดีและข้อเสียในโลกของการเทรด หนึ่งในประเด็นที่นักเทรดมักจะถกเถียงกันคือ การเลือกเน้น Winrate (อัตราการชนะ) หรือ Risk-Reward Ratio (RR: อัตราส่วนกำไรต่อความเสี่ยง) อะไรสำคัญกว่ากัน? บทความนี้จะอธิบายข้อดีและข้อเสียของการเน้น Winrate มากกว่า RR เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าแบบไหนเหมาะกับสไตล์การเทรดของคุณ
✅ ข้อดีของการเน้น Winrate มากกว่า RR
-กำไรสม่ำเสมอ (Consistent Profits)
การชนะบ่อยช่วยให้พอร์ตโตขึ้นเรื่อย ๆ และช่วยเสริมความมั่นใจในการเทรด
-ลด Drawdown (Less Drawdown)
เนื่องจากมีเปอร์เซ็นต์ชนะสูง โอกาสขาดทุนต่อเนื่อง (Losing Streak) จะน้อยกว่าระบบที่มี RR สูงแต่ Winrate ต่ำ
-ลดความเครียดในการเทรด (Less Psychological Pressure)
เมื่อออเดอร์ส่วนใหญ่เป็นกำไร ทำให้จิตใจไม่ต้องเผชิญกับการขาดทุนบ่อยครั้ง
-เหมาะกับตลาดที่มีความผันผวนต่ำ
ในตลาดที่เคลื่อนที่ไม่มาก หรือช่วงไซด์เวย์ การใช้กลยุทธ์ที่ Winrate สูงมักจะทำงานได้ดีกว่า
❌ ข้อเสียของการเน้น Winrate มากกว่า RR
-กำไรต่อออเดอร์ต่ำ (Low Reward per Trade)
ระบบมักใช้ RR ต่ำ เช่น 1:0.5 หรือ 1:1 ทำให้ต้องชนะบ่อย ๆ เพื่อรักษากำไรสุทธิ
-อ่อนไหวต่อ Spread และ Commission
เนื่องจากกำไรต่อออเดอร์ไม่มาก ค่าธรรมเนียมการเทรดอาจมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ
-Losing Streak อาจทำให้คืนกำไรเร็ว
แม้จะมี Winrate สูง แต่หากแพ้ติดกันไม่กี่ครั้ง อาจทำให้กำไรที่สะสมมาสูญเสียไปเร็ว
-อาจต้องเข้าออกบ่อยขึ้น (More Trades Needed)
จำเป็นต้องเทรดหลายครั้งเพื่อให้มีกำไรตามเป้า ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสของ Overtrading
🎯 สรุป
✅ เหมาะกับ:
คนที่ต้องการความสม่ำเสมอและลดความเครียดในการเทรด
ระบบที่เล่นสั้น เช่น Scalping หรือ Grid Trading
ตลาดที่ไม่มีแนวโน้มชัดเจน (Sideway)
❌ ไม่เหมาะกับ:
เทรดเดอร์ที่ต้องการกำไรต่อออเดอร์สูง ๆ
ระบบที่ต้องทนรับการขาดทุนหลายครั้งก่อนชนะครั้งใหญ่ เช่น Trend Following
หากจะใช้กลยุทธ์ที่เน้น Winrate ควรคำนึงถึง ต้นทุนการเทรด (Spread & Commission) และมี การควบคุมความเสี่ยง เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
KZM ระบบเทรด killer zone ใช้ยังไงทำไมกำไรบวกเกิน 80%KZM ระบบเทรด killer zone
ใช้ยังไงทำไมกำไรบวกเกิน 80%
👰 กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับบทความๆดีๆที่มีให้อ่านกันไม่รู้จักเบื่อ หากใครกำลังมองหาระบบเทรดดีๆสักตัว มาครับแอดช่วยได้ ระบบเทรดที่สามารถทำกำไรได้80% ขึ้นไปจนถึงหลัก ร้อยและหลักพัน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ มาครับตามมาดูมาอ่านกันดีกว่าว่ามันใช้ยังไง บทความนี้มีคำตอบครับ
Killer Zone Model หรือ ชื่อย่อก็คือ KZM
KZM เป็นแนวคิดในการครอบครองพื้นที่ (โซน) ในการเทรดหรือการวางกรอบการเทรดนั่นแหละ ซึ่งสามารถสร้างกำไรจากการเทรดได้อย่างสม่ำเสมอ โดย KZM เชื่อว่าราคาในการสวิงในตลาดไม่มีทางสูงหรือต่ำตลอดไปและราคาไม่มีทางเป็น 0
ระบบการเทรดนี้มีลักษณะเหมือนและคล้ายระบบปิด (Close system) โดยจะไม่มีการเติมเงินเข้าไปในระบบอีกเลย ย้ำนะฮะ เราเป็นสายแช่ สายรอฮะ ไม่เน้นเติม
โดยการนำกำไรหรือ Cash Flow ที่ได้จากการเทรด มาปรับเพิ่มออเดอร์ เพื่อสร้างกำไรเพิ่มเติมภายในพอร์ต ซึ่งหมายความว่าก่อนจะทำการเทรด เราต้องสร้างแผนการเทรดแล้วเทรดตามระบบ
ต้องมีการคำนวนไว้เรียบร้อยแล้ว ว่าระบบที่เราจะใช้เทรดนั้นต้องใช้เงินประมาณเท่าไหร่ กำไรเท่าไหร่ ใช้เวลายาวนานประมาเท่าใด ระบบนี้เน้นเรื่องการอยู่รอดในตลาดได้นานๆ ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ เก็บสะสม Cash Flow (CF) นะครับไม่เน้นฝาก และไม่เน้นถอนด้วย เน้นสร้างกำไรแบบเติบโตจริงๆ
หลักการทำงานของ KZM
1. กำหนดโซนในการเข้าเทรด และแบ่งเงินออกเป็นกองๆ สำหรับซื้อขายในโซนนั้นๆ เช่น โซนราคา $10 - $30
2. ต้องมีการคำนวนราคาและลอทที่ออกในทุกๆ ออเดอร์ที่ซื้อขาย โดยคำนวณทุนที่ใช้ในแต่ละ Position
3. ระบบนี้ไม่มีการตั้ง Stop Loss ไม่ว่ากราฟจะลงหรือขึ้น และไม่ว่าจะติดลบแค่ไหน ก็จะเปิดออเดอร์ Buy ไปเรื่อยๆ และไม่ Take Profit จนกว่าจะถึงจุดที่พอใจ ระบบนี้จึงใช้ทุนหนาพอสมควรนะฮะ
KZM ทำกำไรอย่างไร ?
เป็นระบบที่เชื่อว่าราคาจะไม่มีวันเป็น 0 โดยเราจะทำการเปิดออดอร์ Buy ไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าตลาดจะเป็นช่วงขาลง เราก็ยังทยอยเข้าซื้อไปเรื่อยๆ เช่นซื้อทอง ที่ราคา 2900 และราคาดิ่งลงฮวบๆแต่เราก็ยังทยอยซื้อเพิ่มอยู่ดี เมื่อเทรนด์ในตลาดเป็นเทรนด์ขาขึ้นกลับมา และถึงจุดที่เราพึ่งพอใจ จึงค่อย Take profit
ความเสี่ยงที่นักเทรดต้องแบกรับให้ได้เมื่อใช้ KZM คือ
การที่เราจะต้องทนติดลบในปริมาณมากๆ เมื่อตลาดกลายเป็นเทรนด์ขาลง การเทรดส่วนใหญ่จึงมักลงทุนใน Position ที่น้อยๆเป็นหลัก แต่ทุนหนามาก
ข้อดี KZM
1. ไม่ต้องเติมเงินบ่อย สามารถทำกำไรได้ในระยะยาว
2. ทำกำไรได้ในระยะยาว จากการ Take profit เมื่อถึงจุดที่เราพอใจ ก็นำเงินไปขยายในทรัพย์สินอื่นๆได้อีกต่อ
3.ระบบ KZM ช่วยให้เราได้ฝึกคำนวณทุนที่ใช้ต่อ 1 Position อีกทั้งยังได้ฝึกบริหารจัดการเงินในการลงทุน (Money Management) อีกด้วย
ข้อเสีย KZM
1.ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทำกำไรในระยะสั้นๆ
2.ไม่เหมาะสำหรับคนที่รีบใช้เงิน เพราะเงินร้อน ใจร้อน ย่อมทำให้ขาดทุนได้ง่าย
3. ออเดอร์อาจจะเยอะ จนตาลาย ลายตาไปหมดฮะ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับระบบเทรด KZM แม้ว่าระบบการเทรดนี้จะเน้นการเทรดในระยะยาว แต่เราไม่จำเป็นต้องเทรดกันเป็นปีๆก็ได้ครับ สามารถเอามาปรับใช้ให้สั้นลงได้เช่นกันเช่น 2-3 เดือนก็ว่ากันไปแล้วแต่ความชอบส่วนตัว
ที่สำคัญคือบริหารเงินในหน้าตักเราให้เป็นและรัดกุมมากที่สุดครับคือสิ่งสำคัญ ฝึกไว้เยอะๆแล้วเราจะเก่งเอง แอดเอาใจช่วยทุกท่านให้เทรดได้เงินสะสมเยอะๆครับ
Bias ในการเทรด Forex: อคติที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ1. Bias คืออะไร?
Bias หรือ "อคติ" ในการเทรด Forex หมายถึง การรับรู้หรือแนวคิดที่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจของเทรดเดอร์โดยที่อาจไม่เป็นไปตามหลักการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง Bias มักเกิดขึ้นจากอารมณ์ ประสบการณ์ หรือความเชื่อส่วนตัวของเทรดเดอร์เอง ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดและการสูญเสียทางการเงิน
2. ประเภทของ Bias ที่พบบ่อยในการเทรด Forex
2.1 Confirmation Bias (อคติยืนยันความเชื่อเดิม)
เทรดเดอร์มักเลือกหาข้อมูลที่สนับสนุนมุมมองของตนเอง และมองข้ามข้อมูลที่ขัดแย้งกับความเชื่อนั้น เช่น หากเชื่อว่า EUR/USD จะขึ้น เทรดเดอร์อาจมองหาข่าวที่สนับสนุนแนวโน้มขาขึ้นและเมินเฉยต่อปัจจัยที่อาจทำให้ราคาลดลง
2.2 Overconfidence Bias (อคติจากความมั่นใจเกินไป)
เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จจากการเทรดไม่กี่ครั้งแรกอาจเกิดความมั่นใจมากเกินไปและคิดว่าตนเองสามารถทำนายตลาดได้อย่างแม่นยำ ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มขนาดล็อตเกินกว่าที่ควร หรือไม่ตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss)
2.3 Anchoring Bias (อคติจากการยึดติดกับข้อมูลแรกพบ)
เทรดเดอร์มักยึดติดกับราคาหรือข้อมูลแรกที่ได้รับมา เช่น หากเห็นราคาของคู่เงินหนึ่งเคยอยู่ที่ 1.2000 และปัจจุบันอยู่ที่ 1.1500 อาจเชื่อว่าราคาจะต้องกลับไปที่ 1.2000 โดยไม่ได้พิจารณาปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ
2.4 Loss Aversion Bias (อคติจากการกลัวการขาดทุน)
เทรดเดอร์มักกลัวการขาดทุนมากกว่าความต้องการทำกำไร ทำให้ปิดออเดอร์ที่มีกำไรเร็วเกินไป แต่ปล่อยให้การขาดทุนลากยาวเพราะไม่อยากยอมรับว่าตัดสินใจผิดพลาด
2.5 Recency Bias (อคติจากข้อมูลล่าสุด)
การให้ความสำคัญกับข้อมูลหรือแนวโน้มล่าสุดมากเกินไป เช่น หากราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง 5 วัน เทรดเดอร์อาจคิดว่าราคาจะต้องขึ้นต่อไปโดยไม่คำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลให้เกิดการกลับตัว
3. วิธีลด Bias ในการเทรด
ใช้ข้อมูลที่เป็นกลาง: ศึกษาข้อมูลจากหลายแหล่งและวิเคราะห์ด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์
วางแผนการเทรดล่วงหน้า: กำหนดจุดเข้า-ออกที่ชัดเจน และปฏิบัติตามแผน
ใช้ Risk Management: กำหนด Stop Loss และ Take Profit อย่างมีวินัย
จดบันทึกการเทรด: บันทึกการตัดสินใจเทรดเพื่อทบทวนข้อผิดพลาดและเรียนรู้จากมัน
ฝึกควบคุมอารมณ์: ฝึกการมีวินัยและไม่ให้อารมณ์ครอบงำการตัดสินใจ
สรุป
Bias เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของเทรดเดอร์ในตลาด Forex อย่างมาก หากไม่ตระหนักและควบคุมให้ดี อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดและการสูญเสียที่ไม่จำเป็น ดังนั้น การฝึกให้มีวินัยและใช้ข้อมูลที่เป็นกลางจะช่วยลดอคติและเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการเทรด
Many Pro Indicator (MPI) - รายละเอียด💎Many Pro Indicator (MPI)
🔥เพียง 2490 บาท (ใช้ได้ตลอดชีพ)
🔥ใช้งานง่ายเข้าตามสัญญาณ Buy-Sell มาพร้อม Tp/Sl อัตโนมัติ และฟังก์ชันอื่นๆสำหรับช่วยในการเทรด
👨🏻💻มือใหม่หรือมือโปรก็ใช้งานได้
👉เป็นบัญชีธรรมดาสามารถใช้งานได้และใช้ฟังชันก์ได้ครบ
✅ติดตั้งและใช้งานผ่าน Tradingview เท่านั้น (Script-Invite) สามารถดูสัญญาณ buy-sell พร้อม Tp/Sl และอื่นๆ แล้วนำไปเทรดผ่าน Mt4 Mt5 Broker หรือ Platform ไหนก็ได้
❤️ดูตัวอย่างผลลัพธ์และตัวอย่างกราฟหน้าเพจได้เลย
📌หากสนใจคอมเม้น "ขอรายละเอียด" หรือ ติดต่อสั่งซื้อทางเพจได้ทันที พร้อมส่งรายละเอียดทั้งหมดให้พิจารณา
------------------------------------------
👉ฟังชันก์ทั้งหมดของอินดิเคเตอร์และคำอธิบาย :
🔗 www.facebook.com
------------------------------------------
⭐️เทรดได้ทั้งตามเทรนและสวนเทรน
🔥พร้อมบอกจุด TP/SL อัตโนมัติ
🔥จุดเข้าสวย-คมกริบ มีโอกาสกลับตัวเสมอ
✅มีการทดสอบมาแล้วแม่นยำสูงถึง 70-80%
------------------------------------------
⭐️ฟังชันก์เสริมที่มี
⚒คาดการณ์จุด Top-Bottom ของตลาดบ่งบอกการกลับตัว
⚒Market Structure (BOS/ChoCH)
⚒Supply-Demand Zone
⚒Order Block
⚒มีตัวบอก Trend ของตลาด
⚒กรอบราคา High/Low Channel สำหรับการเทรด Sideway
✅พร้อมระบบแจ้งเตือน Buy-Sell ไม่ต้องเฝ้ากราฟ
✅ปรับแต่งค่าต่างๆได้อย่างอิสระ เช่น TP/SL,สีของเส้นต่างๆ,เปิดปิดสัญญาณต่างๆอย่างอิสระ
------------------------------------------
✅สัญญาณไม่มี repaint ใช้ข้อมูลกราฟปัจจุบัน
✅สัญญาณไม่หาย ไม่มีสัญญาณเกิดย้อนหลัง ตามกราฟจริง 100%
👉เล่นได้ตลอดทั้งวัน ไม่จำเป็นต้องถือยาว Daytrade ได้
👉ใช้งานได้ทุกไทม์เฟรม ทุกตลาด ทุกคู่เหรียญ
👉มีแจ้งเตือนสัญญาณ Buy-Sell แบบ 2 In 1 ตั้งทีเดียวจบ
------------------------------------------
✅พร้อมคู่มือการใช้งานอินดิเคเตอร์อย่างละเอียด
✅ซื้อครั้งเดียวใช้งานตลอดชีพ ไม่ต่ออายุ
✅สามารถใช้ได้ทั้งคอมพิวเตอร์ มือถือ ผ่าน Tradingview
✅การติดตั้งผ่าน Script-Invited (กุญแจล็อก) > เพียงส่ง Username ของ Tradingview ให้เรา ทีมงานจะทำงานติดตั้งให้เรียบร้อยโดยที่ลูกค้าไม่ต้องทำการใดๆเลย อินดิเคเตอร์จะเข้าในบัญชีอัตโนมัติ รอเปิดใช้อินดิเคเตอร์อย่างเดียว
✅พร้อมมีการอัพเดท Indicator อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เข้ากับผู้ใช้งานมากขึ้น
------------------------------------------
💎ตัวอย่างกราฟ Many Pro Indicator (MPI)
✅สัญญาณไม่มี repaint ใช้ข้อมูลกราฟปัจจุบัน
✅สัญญาณไม่หาย ไม่มีสัญญาณเกิดย้อนหลัง ตามกราฟจริง 100%
👉ถ้าเป็น forex แนะนำที่ไทม์เฟรม 1/5/15 นาที
👉ถ้าเป็น crypto จะใช้ไทม์เฟรม 15/60 นาทีครับ
⭐️ความถี่ในการเกิดสัญญาณ
-ไทม์เฟรม 1 นาที 20-40 Signal/วัน (เทรดได้ทั้งวัน)
-ไทม์เฟรม 5 นาที 5-10 Signal/วัน
-ไทม์เฟรม 15 นาที 1-3 Signal/วัน
❗️สัญญาณแม่นที่สุดในไทม์เฟรม 15 นาที
------------------------------------------
⚒ตัวอย่างอินดิเคเตอร์ MPI เมื่อเปิดใช้ในไทม์เฟรมต่างๆ
TF : 1 นาที
🔗 www.facebook.com
TF : 5 นาที
🔗 www.facebook.com
TF : 15 นาที
🔗 www.facebook.com
TF : 30 นาที
🔗 www.facebook.com
TF : 60 นาที
🔗 www.facebook.com
👉ดูตัวอย่างเพิ่มเติมหน้าเพจได้เลยครับ
✅สรุปผลลัพธ์อินดิเคเตอร์ทุกวันหน้าเพจ
------------------------------------------
🖥ตัวอย่างผลลัพธ์อินดิเคเตอร์ MPI ในแต่ละวัน/การใช้งานจริง
👀ตัวอย่าง MPI Version ล่าสุด
🔗 www.facebook.com
🔗 www.facebook.com
🔗 www.facebook.com
🔗 www.facebook.com
📍ตัวอย่างเพิ่มเติม
🔗 www.facebook.com
------------------------------------------
⚡️เมื่อซื้ออินดิเคเตอร์ Many Pro Indicator (MPI)⚡️
❗️โปรลับสุดคุ้ม❗️
🔥ตอนนี้มีโปร 1990 บาท สำหรับ 1 User ใช้งานถาวรไม่ต้องต่ออายุ (จากปกติ 2490 บาท)
------------------------------------------
👋❗️โปรชวนเพื่อน❗️👋
❤️โปรแพ็คคู่สำหรับ 2 User ในราคา 2990 บาท (จากปกติ 3990 บาท) หารคนละ 1495 บาทเท่านั้น
✔️โปรแลกซื้อ 3 จ่าย 2 คนเพียง 3990 บาท (จากปกติ 5990 บาท) ได้สิทธิรับอินดิเคเตอร์ 3 User หารคนละ 1330 บาทเท่านั้น
📌หมายเหตุ : โปรโมชั่นนี้ไม่ใช้ร่วมกับโปรโมชั่นแถมหนังสือและส่วนลดอื่นๆ
🔗 www.facebook.com
------------------------------------------
📕หากอยากดูรายละเอียดของอินดิเคเตอร์ทั้งหมดอยู่ในคู่มือนี้ลองอ่านดูได้เลยครับ :
🔗 www.facebook.com
------------------------------------------
👉รีวิวจากลูกค้าที่ใช้ Indicator ของเรา
🔗 www.facebook.com
------------------------------------------
👉บัญชีธรรมดาก็ใช้ได้ตลอดชีพ
⚡️เพียง 2490 บาทจ่ายครั้งเดียวใช้งานตลอดชีพ
📌หากสนใจคอมเม้น "ขอรายละเอียด" หรือ ติดต่อสั่งซื้อทางเพจได้ทันที
พร้อมส่งรายละเอียดทั้งหมดให้พิจารณาครับ
วิธีใช้ Sentiment Indicator อารมณ์ในตลาด วิธีใช้ Sentiment Indicator อารมณ์ในตลาด
👰กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับการเทรดวิเคราะห์กราฟและการแชร์เทคนิคคอลแจ่มๆที่ใช้ดีและบอกต่อ วันนี้แอดมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับอารมณ์การเทรดในตลาด อารมณ์ที่เป็นอารมณ์ร่วมจริงๆนะ เอ๊ะแล้วมันดียังไง มันเริ่มจากตรงไหน มาครับ บทความนี้มีคำตอบ
หลังจากที่เราๆเทรดเดอร์มือใหม่ทั้งหลายเริ่มเข้าสู่วงการเทรดแบบเต็มตัวแล้ว หลายๆคนน่าจะเริ่มรู้จัก รูปแบบในการวิเคราะห์ข้อมูลของตลาดมาบ้าง ไม่มากก็น้อย แต่ที่งงๆเยอะหน่อย น่าจะเป็นอารมณ์ในตลาด Sentimental Analysis หรือความอ่อนไหวของตลาดว่ามันคืออะไร ทำไมขึ้นๆลงๆ เดาทางไม่ถูกเลย
Market Sentiment คืออะไร
Sentiment หมายถึงแนวทางความคิด และความรู้สึกของนักลงทุนในตลาด ซึ่งมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อหรือขายสินทรัพย์ทางการเงิน โดยใช้ความรู้สึกหรืออารมณ์โดยรวมที่นักลงทุนและเทรดเดอร์มีต่อตลาดนั้น ๆ ซึ่งในแต่ละตลาดการลงทุนก็จะมีมุมมองที่แตกต่างออกไป
Market Sentiment แบ่งมุมมองของตลาดออกเป็น 3 เทรนด์
1. ตลาดอยู่ในสภาวะขาขึ้น (Uptrend)
2. ตลาดอยู่ในสภาวะขาลง (Downtrend)
3. ตลาดยังหาทิศทางไม่ได้ (Sideway)
การวิเคราะห์อารมณ์ของตลาด (Sentiment Analysis) คืออะไร?
ระบบเทรด Sentiment Analysis (การวิเคราะห์ความรู้สึก) เป็นระบบที่อาศัยการประเมินความรู้สึกหรืออารมณ์ของตลาดจากแหล่งข้อมูลต่างๆ
เช่น ข่าวสาร, โซเชียลมีเดีย, ฟอรัม, หรือความคิดเห็นของผู้คน เพื่อทำนายทิศทางราคาของสินทรัพย์ (เช่น หุ้น, สกุลเงิน, หรือคริปโตเคอร์เรนซี)
โดยหากข้อมูลข่าวสารในตลาดส่อแววเป็นปัจจัยบวก (Positive Sentiment)
ก็ถือเป็นสัญญาณขาขึ้น ให้ BUY
ในขณะเดียวกัน หากมีข่าวสารที่เป็นปัจจัยลบ (Negative Sentiment)
ก็จะถือเป็นสัญญาณขาลงนั่นเอง ให้ SELL
อย่างไรก็ตาม บางครั้งข้อมูลที่ถูกรวบรวมมาก็อาจไม่ได้บอกสัญญาณเทรดที่ถูกต้องเสมอไป เทรดเดอร์ก็ควรพิจารณาข้อมูลข่าวสารทางการเงินทั้งที่เป็นปัจจัยบวกและลบร่วมด้วยในระหว่างการเทรด ซึ่งมีโอกาสสูงที่ข้อมูลเหล่านั้นจะส่งผลต่อราคาสินทรัพย์ที่เรากำลังเทรดอยู่ แต่หากรารู้จักใช้ sentiment indicator ให้เป็นประโยชน์ ก็หมดห่วงได้เลย! มันจะช่วยให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
อินดิเคเตอร์ Sentiment กำลังบอกอะไร?
การตีความหมายของ sentiment indicator !
1. การอ่านตัวชี้วัดตามตัวเลขจริง (เหมาะสำหรับเทรดระยะยาว)
- หากตัวเลขอยู่ในระดับสูงๆ หมายความว่าผู้บริโภคกำลังมองตลาดอยู่ในเกณฑ์บวก และเราก็เดิมพันในทิศทางตลาดตามความเป็นจริง โดยมองฝั่ง BUY และคิดว่าราคาจะขึ้นไปอีกเรื่อยๆ
- หากตัวเลขดังกล่าวอยู่ในระดับต่ำๆ หมายความว่าผู้บริโภคกำลังได้รับแรงกดดันจากสภาวะเชิงลบของตลาด ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดมีการปรับตัวลงไปอีก โดยมองฝั่ง SELL
2. การอ่านตัวชี้วัดแล้วมองในทิศทางตรงกันข้าม(เหมาะสำหรับเทรดระยะสั้น)
- หากตัวเลขอยู่ในระดับต่ำๆ หมายความว่าผู้บริโภคกำลังได้รับแรงกดดันจากสภาวะเชิงลบของตลาด ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดมีการปรับตัวบวก และราคาก็อาจกลับตัวขึ้นหลังจากนั้น
- ในขณะเดียวกัน หากอินดิเคเตอร์ดังกล่าวอยู่ในระดับสูงๆ ก็หมายความว่าผู้บริโภคกำลังมองตลาดอยู่ในเกณฑ์บวก ซึ่งเทรดเดอร์มืออาชีพโดยส่วนใหญ่จะมองว่า indicator นั้นอาจปรับตัวลงพร้อมๆ กับตลาดในไม่ช้า
อินดิเคเตอร์ Sentiment ของตลาด vs. อินดิเคเตอร์เชิงเทคนิค
Indicator บางตัวอาจใช้วิเคราะห์ได้ทั้งในเชิงเทคนิคและสภาวะอารมณ์ของตลาด อย่างไรก็ตาม อินดิเคเตอร์ทั้ง 2 ประเภทก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ดังนี้:
1. อินดิเคเตอร์ Sentiment ใช้บอกพฤติกรรมของทั้งผู้บริโภคและนักลงทุน รวมถึงอารมณ์ความรู้สึกของบุคคลที่เกี่ยวข้องในตลาดดังกล่าว
2.อินดิเคเตอร์เชิงเทคนิค บ่งบอกภาพรวมของตลาด ไม่ว่าจะเป็นราคา (Price), ปริมาณการซื้อขาย (Volume), และข้อมูลอื่นๆ ในเชิงเทคนิคที่ปรากฎใน กราฟเทรด
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรขนาดนั้น ถ้าเราอ่านแบบง่ายๆเข้าใจง่ายๆ ทุกอย่างจะดูง่ายเอง แค่อย่าไปคิดเยอะครับ ไม่ต้องไปคิดแทนเขา เราคิดแค่ว่ามันบอกขึ้นลง แค่นั้นก็พอ เห็นมั้ยครับ ง่ายนิดเดียว และที่สำคัญต้องหมั่นฝึกฝนและทดสอบระบบเทรดและกลยุทธ์อย่างสม่ำเสมอนะ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดข้อผิดพลาดในการเทรดเสมอ แล้วเราจะเก่งและกำไรเรื่อยๆครับ
What is a trading system? ระบบเทรคืออะไร?
What is a trading system?ระบบเทรด คืออะไร?
👰กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับการเทรดวิเคราะห์กราฟและการแชร์เทคนิคคอลแจ่มๆที่ใช้ดีและบอกต่อ วันนี้แอดมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับระบบเทรด เพราะหลาคนยังไม่รู้ว่าระบบเทรดคือะไร แล้วมันเริ่มยังไง มาครับ บทความนี้มีคำตอบ
ระบบเทรด ช่วยให้การเทรดเพื่อทำกำไรนั้นมีประสิทธิภาพสูง และมักจะประกอบด้วยหลายปัจจัยที่ทำให้มันโดดเด่นและน่าเชื่อถือ ขึ้นอยู่กับประเภทของการเทรดและขึ้นอยู่กับตัวบุคคลของคนนั้นด้วย ว่าชอบแนวไหน (เช่น หุ้น, Forex, Cryptocurrency) เพราะสไตล์การเทรดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน (เช่น Scalping, Day Trading, Swing Trading)
ระบบเทรดที่ดีมักจะมีลักษณะดังนี้
1. ระบบเทรดอัตโนมัติ (Algorithmic Trading)
👀 Bot Trading: ใช้โปรแกรมหรือบอทเพื่อเทรดอัตโนมัติตามเงื่อนไขที่กำหนด เช่น RSI, MACD, Moving Average
👀 High-Frequency Trading (HFT): เทรดด้วยความเร็วสูง ใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบทางเวลาและข้อมูล
2. ระบบเทรดแบบ Manual (มือถือ)
👀 Price Action: วิเคราะห์กราฟแท่งเทียนหรือรูปแบบราคาโดยไม่ใช้ Indicator
👀 Indicators-Based: ใช้ Indicator ต่างๆ เช่น Moving Average, Bollinger Bands, Fibonacci Retracement
3. ระบบเทรดที่ใช้ Machine Learning/AI
👀 ใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลและทำนายแนวโน้มราคา
👀 ปรับตัวได้ตามสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง
4. ระบบเทรดที่ใช้ Risk Management ที่ดี
👀 Stop Loss/Take Profit: กำหนดจุดตัดขาดทุนและกำไรล่วงหน้า
👀 Position Sizing: จัดการขนาดการเทรดให้เหมาะสมกับพอร์ต
5. ระบบเทรดที่ใช้ Backtesting
👀 ทดสอบระบบกับข้อมูลในอดีตเพื่อประเมินประสิทธิภาพ
👀 ช่วยให้มั่นใจว่าระบบทำงานได้ดีในสภาวะตลาดต่างๆ
6. ระบบเทรดที่ใช้ Sentiment Analysis
👀 วิเคราะห์ความรู้สึกของตลาดจากข่าวสารหรือโซเชียลมีเดีย
👀 ช่วยทำนายทิศทางราคาจากปัจจัยทางจิตวิทยา
ตัวอย่างระบบเทรดยอดนิยม:
👉Moving Average Crossover: ใช้เส้น Moving Average สองเส้นตัดกันเพื่อหาจุดเข้า-ออก
👉 Breakout Trading: เทรดเมื่อราคา breakout จากระดับสำคัญ
👉Trend Following: เทรดตามแนวโน้มหลักของตลาด
เครื่องมือที่นิยมใช้:
👉 MetaTrader 4/5 (MT4/MT5): แพลตฟอร์มเทรด Forex และ CFD
👉TradingView: สำหรับวิเคราะห์กราฟและสร้างระบบเทรด
👉Python/R: สำหรับเขียน Algorithmic Trading
ข้อควรระวัง:
👋ไม่มีระบบเทรดใดที่ทำกำไรได้ 100% เสมอไป
👋 การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
👋 ควรทดสอบระบบกับบัญชีทดลองก่อนใช้จริง
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ถึงบางอ้อกันหรือยังฮะ จริงๆแล้วมันก็คือกลุทธิ์การเทรดนั่นแหละ แต่จัดวาและทำให้เป็นแบบแผน แล้วเราจะเทรดได้อย่างราบรื่น และกำไรมั่นคงฮะ และที่สำคัญต้องหมั่นฝึกฝนและทดสอบระบบเทรดและกลยุทธ์อย่างสม่ำเสมอนะ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดข้อผิดพลาดในการเทรดเสมอ แล้วเราจะเก่งและกำไรเรื่อยๆครับ
Risk per Trade ในการเทรด Forex: การบริหารความเสี่ยงเพื่อความอยูในการเทรด Forex หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่นักเทรดควรให้ความสนใจคือ การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) โดยเฉพาะ Risk per Trade หรือความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้ง ซึ่งเป็นแนวคิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้พอร์ตการลงทุนของเราหมดตัวจากการขาดทุนในระยะสั้น
Risk per Trade คืออะไร?
Risk per Trade หมายถึง เปอร์เซ็นต์ของเงินทุนที่เรายอมเสี่ยงต่อการเทรดหนึ่งครั้ง โดยทั่วไปแล้ว นักเทรดมืออาชีพแนะนำให้ใช้ 1-2% ของเงินทุนทั้งหมด ต่อการเทรดหนึ่งครั้ง เช่น หากมีทุน $10,000 และใช้ Risk per Trade ที่ 1% หมายความว่าการเทรดแต่ละครั้งเราจะเสี่ยงขาดทุนสูงสุดที่ $100 เท่านั้น
ทำไมต้องกำหนด Risk per Trade?
ป้องกันการล้างพอร์ต – หากเราไม่จำกัดความเสี่ยง อาจทำให้พอร์ตสูญเสียเงินทุนอย่างรวดเร็วจากการขาดทุนติดต่อกัน
สร้างความสม่ำเสมอในการเทรด – การกำหนดความเสี่ยงที่แน่นอนช่วยให้นักเทรดมีวินัยและสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น
เอาชนะความผันผวนของตลาด – ตลาด Forex มีความผันผวนสูง การจำกัดความเสี่ยงทำให้เราสามารถอยู่รอดในระยะยาว
วิธีคำนวณ Risk per Trade
กำหนดเปอร์เซ็นต์ที่ต้องการเสี่ยง
เช่น กำหนดที่ 1% ของเงินทุนทั้งหมด
คำนวณจำนวนเงินที่เสี่ยงได้
ถ้าทุน $10,000 และเสี่ยง 1% จะได้ $100
กำหนดระยะห่างของ Stop Loss
เช่น หากวาง Stop Loss ไว้ 50 pips
คำนวณ Lot Size ที่เหมาะสม
Lot Size = (Risk per Trade) / (Stop Loss * Value per Pip)
ถ้าค่าเฉลี่ยของ 1 pip = $10 และ Stop Loss = 50 pips
Lot Size = $100 / (50 * $10) = 0.2 lot
ตัวอย่างการใช้งานจริง
สมมติว่าเรามีเงินทุน $5,000 และต้องการเสี่ยง 2% ต่อการเทรด
Risk per Trade = 2% ของ $5,000 = $100
Stop Loss = 25 pips
ถ้าค่าเฉลี่ยของ 1 pip = $10 (สำหรับ 1 lot)
Lot Size = $100 / (25 * $10) = 0.4 lot
ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยงในการกำหนด Risk per Trade
เสี่ยงมากเกินไป – การใช้ความเสี่ยงเกิน 5% ต่อเทรด อาจทำให้ขาดทุนหนักเมื่อเจอการขาดทุนติดต่อกัน
เปลี่ยนเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงบ่อยเกินไป – การไม่มีแผนที่แน่นอนอาจทำให้เกิดการตัดสินใจที่ขาดความรอบคอบ
ไม่ใช้ Stop Loss – การไม่กำหนด Stop Loss อาจทำให้การขาดทุนบานปลายเกินกว่าที่จะควบคุมได้
สรุป
Risk per Trade เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญสำหรับการเทรด Forex อย่างยั่งยืน หากเราบริหารความเสี่ยงได้ดี โอกาสที่จะอยู่รอดในตลาดและสร้างผลกำไรในระยะยาวจะเพิ่มขึ้น การยึดหลัก 1-2% ของเงินทุนทั้งหมดในการเทรดแต่ละครั้งจะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด และทำให้เราสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จในการเทรด Forex
MTA : วิธีการใช้ Multiple Timeframe Analysis MTA: วิธีการใช้ Multiple Timeframe Analysis
👰กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับการเทรดวิเคราะห์กราฟและการแชร์เทคนิคคอลแจ่มๆที่ใช้ดีและบอกต่อ หลายคนอาจจะงง กับการเทรดหลายๆทามเฟรม และบางคนก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าการเทรดเพียงแค่ทามเฟรมเดียว หรือ เทรดหลายทามเฟรมมีดีอย่างไร มาครับวันนี้แอดพาไปทำความรู้จักการเทรดแบบ MTA กัน ตามมาอ่านกันได้เลย
การใช้ Multiple Timeframe Analysis (MTA) เป็นเทคนิคที่ช่วยให้เทรดเดอร์เห็นภาพรวมของตลาดได้ชัดเจนขึ้น โดยการวิเคราะห์กรอบเวลาใหญ่เพื่อหาแนวโน้มหลัก และกรอบเวลาเล็กเพื่อหาจุดเข้า-ออกที่แม่นยำ นี่คือขั้นตอนละเอียดในการใช้ MTA อย่างมีประสิทธิภาพ
1. เลือกกรอบเวลาที่เหมาะสม
การวิเคราะห์หลายกรอบเวลาควรใช้กรอบเวลาที่สัมพันธ์กัน เช่น:
กรอบเวลาใหญ่ (Higher Timeframe - HTF): ใช้เพื่อหาแนวโน้มหลัก เช่น Daily (D1), H4
กรอบเวลากลาง (Intermediate Timeframe): ใช้เพื่อยืนยันสัญญาณ เช่น H1
กรอบเวลาเล็ก (Lower Timeframe - LTF): ใช้เพื่อหาจุดเข้า-ออก เช่น M15, M5
2. วิเคราะห์กรอบเวลาใหญ่ (HTF) เพื่อหาแนวโน้มหลัก
ขั้นตอน:
เปิดกราฟกรอบเวลาใหญ่ (เช่น Daily)
ใช้เครื่องมือวิเคราะห์แนวโน้ม เช่น Moving Average (MA), Trendline, หรือ ADX
ระบุแนวโน้มหลัก:
ขาขึ้น (Uptrend): Higher Highs (HH) และ Higher Lows (HL)
ขาลง (Downtrend): Lower Highs (LH) และ Lower Lows (LL)
Sideway/Range: ราคาเคลื่อนที่ในกรอบแนวนอน
ระบุระดับ Support/Resistance ที่สำคัญ
ตัวอย่าง:
หากกราฟ Daily แสดงแนวโน้มขาขึ้น ให้มองหาโอกาสซื้อ (Buy) ในกรอบเวลาเล็ก
หากกราฟ Daily แสดงแนวโน้มขาลง ให้มองหาโอกาสขาย (Sell) ในกรอบเวลาเล็ก
3. วิเคราะห์กรอบเวลากลางเพื่อยืนยันสัญญาณ
ขั้นตอน:
เปิดกราฟกรอบเวลากลาง (เช่น H4)
ตรวจสอบว่าแนวโน้มในกรอบเวลากลางสอดคล้องกับกรอบเวลาใหญ่หรือไม่
ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพิ่มเติม เช่น Fibonacci Retracement, RSI, หรือ MACD เพื่อหาจุดกลับตัวหรือสัญญาณยืนยัน
ตัวอย่าง:
หากกราฟ Daily เป็นขาขึ้น และกราฟ H4 แสดง Pullback (การปรับตัวลงชั่วคราว) ให้มองหาโอกาสซื้อเมื่อราคากลับมาทะลุแนวต้านหรือยืนเหนือ MA
4. วิเคราะห์กรอบเวลาเล็ก (LTF) เพื่อหาจุดเข้า-ออก
ขั้นตอน:
เปิดกราฟกรอบเวลาเล็ก (เช่น M15)
หาจุดเข้าเทรดโดยใช้สัญญาณจาก Price Action หรือตัวบ่งชี้ เช่น:
Price Action: รูปแบบแท่งเทียน (Pin Bar, Engulfing, Inside Bar)
ตัวบ่งชี้: RSI, Stochastic Oscillator, หรือ MACD
ตั้ง Stop Loss และ Take Profit โดยอ้างอิงจากกรอบเวลาใหญ่และกลาง
ตัวอย่าง:
หากกราฟ Daily และ H4 แสดงแนวโน้มขาขึ้น และกราฟ M15 แสดงสัญญาณซื้อ (เช่น Bullish Engulfing) ให้เข้าซื้อและตั้ง Stop Loss ต่ำกว่า Support ล่าสุด
5. จัดการความเสี่ยงและวางแผนเทรด
Stop Loss: ตั้ง Stop Loss โดยอ้างอิงจากกรอบเวลาใหญ่หรือกลาง เพื่อให้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับการเคลื่อนไหวของราคา
Take Profit: ตั้ง Take Profit โดยอ้างอิงจากระดับ Resistance ในกรอบเวลาใหญ่หรือกลาง
Risk-Reward Ratio: ควรมีอัตราส่วน Risk-Reward อย่างน้อย 1:2 (เสี่ยง 1 เพื่อกำไร 2)
6. ตัวอย่างการใช้งานจริง
สมมติคุณวิเคราะห์กราฟ Daily และพบว่า EUR/USD อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
กรอบเวลาใหญ่ (Daily):
แนวโน้มขาขึ้น (Higher Highs และ Higher Lows)
Support หลักอยู่ที่ 1.1000
กรอบเวลากลาง (H4):
ราคากำลัง Pullback ลงมาใกล้ระดับ Support ที่ 1.1000
RSI ใกล้ Oversold (30)
กรอบเวลาเล็ก (M15):
ราคาเกิด Bullish Engulfing Pattern ใกล้ระดับ 1.1000
เข้าซื้อที่ 1.1005 และตั้ง Stop Loss ที่ 1.0980 (ต่ำกว่า Support)
ตั้ง Take Profit ที่ 1.1100 (ใกล้ระดับ Resistance ในกรอบ Daily)
7. ข้อควรระวัง
False Signal: สัญญาณในกรอบเวลาเล็กอาจไม่แม่นยำหากไม่สอดคล้องกับกรอบเวลาใหญ่
Overanalysis: อย่าวิเคราะห์กรอบเวลาเล็กมากเกินไปจนเสียโฟกัสจากแนวโน้มหลัก
ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับสไตล์การเทรด: หากเป็นเทรดเดอร์ระยะสั้น อาจใช้กรอบเวลาเล็กเป็นหลัก แต่ต้องยืนยันแนวโน้มจากกรอบเวลาใหญ่
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กลยุทธิ์การเทรดแบบ MTA เรียบง่ายแต่ทรงพลัง แถมทำกำไรได้เรื่อยๆอีกนะ มันทำให้เราไม่ต้องไปพะว้าพะวง หรือเครียดมากจนเกินไปด้วย ที่สำคัญต้องหมั่นฝึกฝนและทดสอบกลยุทธ์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดข้อผิดพลาดในการเทรดเสมอ แล้วเราจะเก่งและกำไรเรื่อยๆครับ
การแบ่งปิดกำไร (Partial Profit): ข้อดีและข้อเสียการแบ่งปิดกำไร หรือที่เรียกกันว่า Partial Profit เป็นกลยุทธ์การเทรดที่นักเทรดปิดบางส่วนของออเดอร์เพื่อรับกำไร ณ จุดที่กำหนดไว้ล่วงหน้า และปล่อยส่วนที่เหลือให้ทำงานต่อไปจนถึงเป้าหมายที่ใหญ่กว่า วิธีนี้เป็นที่นิยมในหมู่นักเทรดที่ต้องการลดความเสี่ยงและจัดการอารมณ์ในตลาดที่มีความผันผวนสูง แต่เช่นเดียวกับทุกกลยุทธ์ การแบ่งปิดกำไรก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ
ข้อดีของการแบ่งปิดกำไร
1.ลดความเสี่ยงและล็อกกำไรบางส่วน
การแบ่งปิดกำไรช่วยให้นักเทรดสามารถรับผลกำไรบางส่วนได้เมื่อราคามาถึงจุดที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งช่วยลดความกังวลหากราคาย้อนกลับ
2.สร้างความมั่นคงทางจิตวิทยา
การได้รับกำไรบางส่วนช่วยเสริมความมั่นใจและลดความเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดผันผวน
3.เหมาะสำหรับตลาดที่ไม่แน่นอน
ในสถานการณ์ที่ราคามีโอกาสกลับตัว การแบ่งปิดกำไรช่วยให้นักเทรดสามารถทำกำไรได้แม้ในสภาพตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย
4.เพิ่มความยืดหยุ่นในการเทรด
นักเทรดสามารถเลื่อน Stop Loss ไปยังจุดคุ้มทุน (Breakeven) หลังการแบ่งปิดกำไร ทำให้ความเสี่ยงลดลงเหลือศูนย์สำหรับออเดอร์ที่เหลือ
ข้อเสียของการแบ่งปิดกำไร
1.ลดอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (RR)
การแบ่งปิดกำไรทำให้กำไรโดยรวมลดลงเมื่อเทียบกับการถือออเดอร์เต็มจำนวนจนถึงเป้าหมายใหญ่ เช่น RR อาจลดจาก 3.0 เหลือ 1.8 หรือ 2.0 ขึ้นอยู่กับจุดแบ่งปิด
2.พลาดโอกาสทำกำไรสูงสุด
หากตลาดวิ่งต่อในทิศทางที่คาดไว้ การแบ่งปิดกำไรอาจทำให้นักเทรดพลาดโอกาสทำกำไรสูงสุดจากการถือออเดอร์เต็มจำนวน
3.ซับซ้อนและต้องวางแผนมากขึ้น
การแบ่งปิดกำไรต้องการการวางแผนที่ดี รวมถึงการตั้งค่าระดับราคาหรือเป้าหมายสำหรับการแบ่งปิด ซึ่งอาจทำให้ยุ่งยากสำหรับนักเทรดมือใหม่
4.อาจสร้างนิสัยการปิดกำไรก่อนเวลา
หากนักเทรดแบ่งปิดกำไรบ่อยเกินไป อาจเกิดนิสัยในการปิดออเดอร์ก่อนเวลา ทำให้ไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ควรจะเป็น
การใช้งานการแบ่งปิดกำไรในสถานการณ์ต่างๆ
ตลาดผันผวนสูง
1.ในตลาดที่ราคามักวิ่งขึ้น-ลง การแบ่งปิดกำไรที่ระดับ Fibonacci เช่น 1.272 หรือ 1.618 ช่วยให้นักเทรดรับกำไรบางส่วนก่อนที่ราคาจะย้อนกลับ
2.เทรนด์ใหญ่
เมื่อตลาดอยู่ในเทรนด์ที่ชัดเจน การแบ่งปิดกำไรบางส่วนที่ระดับแนวต้านหรือแนวรับสำคัญ และปล่อยส่วนที่เหลือให้วิ่งตามเทรนด์อาจเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ
3.การเทรดตามข่าว
ในกรณีที่มีการประกาศข่าวสำคัญและตลาดเคลื่อนไหวเร็ว การแบ่งปิดกำไรช่วยให้นักเทรดลดความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดอาจเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน
ตัวอย่างการแบ่งปิดกำไร
สมมติฐาน:
ออเดอร์: Buy XAUUSD
ขนาดล็อต: 0.10 lot
Stop Loss: 1,000 จุด (10 USD)
เป้าหมายกำไรที่ 1: ระดับ 1.272 (RR = 1.5)
เป้าหมายกำไรที่ 2: ระดับ 1.618 (RR = 2.5)
กลยุทธ์การแบ่งปิด:
เมื่อราคามาถึงระดับ 1.272:
ปิดออเดอร์ 50% (0.05 lot)
กำไรจากส่วนนี้ = 7.5 USD
เลื่อน Stop Loss ของออเดอร์ที่เหลือ (0.05 lot) ไปที่จุดคุ้มทุน
เมื่อราคามาถึงระดับ 1.618:
ปิดออเดอร์ที่เหลือ (0.05 lot)
กำไรจากส่วนนี้ = 12.5 USD
เปรียบเทียบกำไร:
หากไม่แบ่งปิดกำไรและถือจนถึงระดับ 1.618:
กำไรรวม = 25 USD
หากแบ่งปิดกำไร:
กำไรรวม = 7.5 + 12.5 = 20 USD
ข้อสรุป:
การแบ่งปิดกำไรทำให้กำไรลดลง 20% แต่ช่วยลดความเสี่ยงและล็อกกำไรบางส่วนในตลาดที่อาจย้อนกลับ
Moon Phases Strategy กลยุทธิ์การเทรดทองคำด้วยพระจันทร์ Moon Phases Strategy
กลยุทธิ์การเทรดทองคำด้วยพระจันทร์
👾 กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับการเทรดวิเคราะห์กราฟและการแชร์เทคนิคคอลแจ่มๆที่ใช้ดีและบอกต่อ วันนี้แอดไปเจอของแปลกเอามาเล่าสู่กันฟัง แถมใช้ได้จริงๆนะ คนต้นคิดและนำมาใช้กันก็เป็นพวกฝรั่งสะด้วยนี่สิ อู้วหูว พลาดบทความนี้ไม่ได้เชียวนะ เดี๋ยวจะหาว่าตกเทรนด์ ไหนมันเป็นยังไง มาครับตามมาอ่านกันได้เล๊ย
Moon Phases Strategy กลยุทธิ์การใช้ดวงจันทร์ในการซื้อขาย
เจ้าเซื่อในพระจันทร์บ่อ ???? ครับ แอดพูดไม่ผิด พระจันทร์ฮะ ฝรั่งใช้พระจันทร์ หรือดวงจันทร์นี่แหละ เป็นอินดิเคเตอร์ในการซื้อขายเพื่อทำกำไร
Moon Phases Trading Strategy คือกลยุทธ์ที่ใช้การเปลี่ยนแปลงวัฏจักรของดวงจันทร์มาใช้ในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของตลาด โดยเชื่อว่าผลกระทบทางจิตวิทยาที่เกิดจากดวงจันทร์สามารถส่งผลต่อพฤติกรรมการลงทุน โดยเฉพาะในสินทรัพย์ที่มีความผันผวน เช่น ทองคำ
วิธีการ ก็คือ การนับวันข้างขึ้น- ข้างแรม นั่นเอง ด้วยการกำหนดระยะเวลาการเทรด ใน 14 -16วัน ตามหลักการน้ำขึ้น - น้ำลงของพระจันทร์นั่นเอง
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แต่มันเป็นแนวทางใหม่ในการซื้อขายที่ประสบความสำเร็จโดยใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคและโหราศาสตร์การเงิน โดย Robert Lee, Peter Tryde ด้วยการเทรดแบบสวิงเทรน ฮันแน่ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ครับ
Moon Phases
หลักการและวิธีการในการเทรดด้วยพระจันทร์ ก็คือ การนับวันข้างขึ้น- ข้างแรม นั่นเอง ด้วยการกำหนดระยะเวลาการเทรดภายใน 14 -16วัน ตามหลักการน้ำขึ้น - น้ำลงของพระจันทร์
โดยจะเข้าซื้อ ในวันพระจันทร์ดับ
และขายในวันพระจันทร์เต็มดวงถัดไป
ที่น่าสังเกตก็คือกลยุทธ์นี้สามารถสร้างผลกำไรได้ดีกับ DAX และ HSI และ GOLD ทองก็จัดว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ซึ่งทำกำไรได้มากกว่าเดิมด้วยซ้ำ แถมกลยุทธ์การเทรดด้วยพระจันทร์นี้ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ปี 1928 แล้วนะ ไม่ธรรมดาจริมๆ
How to Trading หลักการใช้งาน
หากเรามองทางด้านจิตวิทยา นักลงทุนส่วนใหญ่ก็ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน แล้วมันดันสัมพันธ์กันกับพฤติกรรมของนักลงทุนด้วยนี่สิ
โดยปกติแล้ว จันทร์ดับ จะสื่อถึงพลังงานต่ำหรือการสะสมพลังงาน ในขณะที่เวลาของ จันทร์เต็มดวง จะเป็นช่วงที่มีผลผลิต พลังงานสูง และการใช้จ่าย
หลักการใช้งานมีดังนี้
1. ข้างขึ้น (Waxing Moon):
มักสัมพันธ์กับบรรยากาศการลงทุนที่เป็นบวก ราคาสินทรัพย์อาจปรับตัวขึ้น
กลยุทธ์ที่แนะนำ: เปิดสถานะซื้อ (long position)
2. เต็มดวง (Full Moon):
ช่วงที่ตลาดอาจมีการปรับตัวครั้งใหญ่
กลยุทธ์ที่แนะนำ: ปิดสถานะที่มีกำไร หรือเปิดสถานะใหม่ตามทิศทางตลาด
3. ข้างแรม (Waning Moon):
ช่วงของความผันผวน ราคาสินทรัพย์อาจลดลง
กลยุทธ์ที่แนะนำ: เปิดสถานะขาย (short position)
4. ดวงจันทร์ดับ (New Moon):
ตลาดมีความไม่แน่นอน นักลงทุนอาจระมัดระวังมากขึ้น
กลยุทธ์ที่แนะนำ: หลีกเลี่ยงการซื้อขายครั้งใหญ่
อินดิเคเตอร์ที่ควรใช้คู่กับ Moon Phases
การตีเส้นเทรนไลน์เพื่อหาแนวโน้มในระยะยาวตั้งแต่รายวันขึ้นไปจนถึงรายวีคและรายเดือน หรืออินดิเคเตอร์ตัวอื่นตามที่เราถนัด
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กลยุทธิ์การเทรดแบบแปลกๆแต่สามารถทำกำไรได้จริง แถมยังได้รับความนิยมด้วยนะดทางก็ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ฮะ ลองเอาไปใช้กันดูฮะ ไม่แน่เราอาจจะชอบก็ได้ เทรดได้เทรดดี ต้องไม่ลืมทำตามแผนการเทรดด้วยนะครับ วันพระไม่ได้มีหนเดียว จังหวะเทรดของดวงจันทร์ก็ไม่ได้มีแค่รอบเดียว และกราฟก็ไม่ได้มีแค่รอบเดียวเช่นกัน
และที่สำคัญ ฝึกฝนการเทรดให้ได้ทุกวัน รับรองว่ากำไรไม่ไกลเกินฝันแน่นอนฮะ แอดเอาใจช่วย แล้วอย่าลืม MM กันด้วยนะ ชีวิตการเทรดของเราจะยืนยาวและมั่นคง แอดฟันธงให้เลย
How to Find the Entry Points for Beginner วิธีหาจุดเข้าของเทรดเด
How to Find the Entry Points for Beginner
วิธีหาจุดเข้าของเทรดเดอร์มือใหม่
👾 กลับมากันอีกเช่นเคยกับการเทรดวิเคราะห์กราฟและการแชร์เทคนิคคอลแจ่มๆที่ใช้ดีและบอกต่อ วันนี้แอดเอาใจคนชอบ Sell กับรูปแบบการเทรดสวนเทรนด์และการซอยไม้สั้นๆมาฝากฮะ มาครับตามมาอ่านกันได้เลย
หาจุดเข้าเทรดใครว่าง่าย?
ไม่ง่าย และก็ไม่ยากครับ ถ้าเราเริ่มสังเกตุและจดจำแพทเทรินง่ายๆสัก 2-3 ตัว มาครับมีแบบไหนบ้างมาดูกัน
1. ตีเทรนไลน์ก่อน
เทรนไลน์นั้นสำคัญจริงๆนะ เพราะมันช่วยให้เราอ่านเทรนด์ออกครับ ง่ายๆเลยแค่หาจุด ไฮ- โลว์ (High - Low) ให้เจอ ก็พอแล้ว เน้นเก็บสั้นScalping ในรอบสวิงเทรน เทรดได้ใน TF 1H ขึ้นไป
2. เข็มปลายไส้
หากลองสังเกตดีๆ เราจะเริ่มเข้าใจว่าสัญญาณหมี bear ที่เจ้ามือชอบตบลงนั้น คือการทำเข็มยาวๆหรือไส้แท่งเทียนยาวๆ ไว้ทำกำไรในการเทรด เทรดได้ใน เน้นเล่นสั้นฮะ หรือเน้นจบรายวัน
TF M5 , M15 ขึ้นไป
3. หลุดกรอบเส้นเทรนไลน์
เมื่อราคาอยู่ในกรอบเส้นเทรนไลน์ แล้วเกิดการกลับตัว จากการชนเส้นแนวต้านที่ High สูงสุดนั่นแหละฮะ สังเกตุกรอบเส้นเทรนไลน์เราให้ดี ถ้าหลุดลง โอกาสลงย่อมมีสูงครับ เทรดได้ใน TF 1H 4H ขึ้นไป
4. price pattern คือไวที่สุด
แน่นอนว่าแท่งเทียนเป็นสัญญาณการเทรดที่เร็วที่สุดครับ เครื่องมืออินดิเคเตอร์ ส่วนใหญ่ ไม่ไวเท่าแท่งเทียน ทำให้เราเข้าออเดอร์ได้ไวกว่า กำไรก่อนแน่นอน เทรดได้ใน TF M5 , M15 ขึ้นไป
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ทริคง่ายๆในการหาจุดเข้าเทรด ที่ดี๊ดี เทรดแล้วได้กำไรแน่นอน แต่หากผิดทางก็อย่าลืมที่จะตัดใจปิดออเดอร์นะครับ วันพระไม่ได้มีหนเดียว จังหวะกราฟก็ไม่ได้มีแค่รอบเดียวเช่นกัน
จริงๆยังมีทริคอีกเยอะเลยนะฮะ แต่นี่เป็นรูปแบบที่คนส่วนใหญ่ใช้เทรดกัน ลองเอาไปปรับใช้ให้เหมาะกับเราได้นะฮะ ไม่แน่ว่าการถือออเดอร์แป๊บเดียว หรือจบในวัน อาจทำให้เรามีความสุขมากกว่าการถือออเดอร์นานๆหลายวันก็เป็นได้และที่สำคัญ ฝึกฝนการเทรดให้ได้ทุกวัน รับรองว่ากำไรไม่ไกลเกินฝันแน่นอนฮะ แอดเอาใจช่วย แล้วอย่าลืม MM กันด้วยนะ ชีวิตการเทรดของเราจะยืนยาวและมั่นคง แอดฟันธงให้เลย
วิธีจัดการความรู้สึกหลังจาก ขาดทุนหนัก ในการเทรด Forexการเทรด Forex เป็นกิจกรรมที่ท้าทายและต้องอาศัยทั้งความรู้ ความสามารถ และความมีวินัย แต่บางครั้งแม้จะเตรียมตัวมาดีแค่ไหนก็ยังมีโอกาสที่จะเกิดการขาดทุนหนัก ซึ่งเป็นเรื่องปกติในโลกของการลงทุน สิ่งสำคัญคือการจัดการกับความรู้สึกหลังจากขาดทุนอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในอนาคต
1. ยอมรับความจริงและเรียนรู้จากมัน
ความรู้สึกเสียใจหรือผิดหวังหลังจากขาดทุนเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งแรกที่ควรทำคือยอมรับความจริง อย่าปฏิเสธหรือโทษสถานการณ์ สิ่งสำคัญคือการมองย้อนกลับไปวิเคราะห์สิ่งที่ผิดพลาด เช่น การตั้งค่า Stop Loss ไม่เหมาะสม การเสี่ยงเกินกว่าที่ควร หรือการเข้าเทรดโดยไม่มีแผนที่ชัดเจน ใช้โอกาสนี้เรียนรู้และปรับปรุงแผนการเทรดของคุณ
2. หยุดพักและผ่อนคลาย
หลังจากขาดทุนหนัก การเทรดต่อทันทีอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดเนื่องจากอารมณ์เป็นตัวนำ การหยุดพักสักระยะจะช่วยให้คุณมีเวลาเรียกสติกับตัวเอง กลับมาสงบและพร้อมที่จะคิดวิเคราะห์อย่างรอบคอบอีกครั้ง อาจใช้เวลานี้ไปกับกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียด เช่น การออกกำลังกาย การทำสมาธิ หรือใช้เวลาอยู่กับครอบครัว
3. ประเมินสถานการณ์ทางการเงิน
ตรวจสอบสถานะบัญชีเทรดและการเงินโดยรวมของคุณ หากพบว่าการขาดทุนทำให้ทุนลดลงอย่างมาก คุณอาจต้องลดขนาดการเทรดลง หรือปรับกลยุทธ์เพื่อลดความเสี่ยง การเทรดอย่างมีวินัยและการจัดการเงินที่ดีเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณกลับมามีความมั่นคงทางการเงินได้อีกครั้ง
4. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือเพื่อนร่วมวงการ
การพูดคุยกับคนที่มีประสบการณ์หรืออยู่ในวงการเดียวกันสามารถช่วยให้คุณมองเห็นมุมมองใหม่ และได้รับคำแนะนำที่มีประโยชน์ บางครั้งการได้ยินประสบการณ์ของผู้อื่นที่เคยเผชิญสถานการณ์เดียวกันและผ่านพ้นมาได้อาจเป็นแรงบันดาลใจที่ดี
5. วางแผนและตั้งเป้าหมายใหม่
หลังจากที่คุณรู้สึกพร้อมแล้ว ให้เริ่มวางแผนใหม่ เป้าหมายไม่จำเป็นต้องเป็นการทำกำไรทันที แต่ควรเป็นการปรับปรุงตัวเองและการเทรดให้ดีขึ้น เช่น การศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์ใหม่ ๆ การฝึกเทรดในบัญชีเดโม่ หรือการสร้างวินัยในการเทรดมากขึ้น
6. เตือนตัวเองว่าการขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของการเทรด
ไม่มีนักเทรดคนใดที่ไม่เคยขาดทุน การขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้และพัฒนา การมองการขาดทุนเป็นค่าใช้จ่ายในการเรียนรู้จะช่วยให้คุณสามารถก้าวข้ามความรู้สึกด้านลบและมุ่งไปที่การพัฒนาตัวเองต่อไป
สรุป
การจัดการความรู้สึกหลังจากขาดทุนหนักในการเทรด Forex เป็นทักษะที่สำคัญไม่แพ้การวิเคราะห์ตลาดหรือการวางกลยุทธ์ การยอมรับความจริง เรียนรู้จากข้อผิดพลาด และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเอง จะช่วยให้คุณสามารถกลับมาเทรดได้อย่างมั่นคงและประสบความสำเร็จในระยะยาว
ขาขึ้นหรือขาลง ?ในหลาย ๆ ครั้งที่กราฟราคากำลังฟอร์มตัวเป็นขาขึ้น
เราจึงหาจังหวะ Buy
ไม่ว่าจะ Buy ด้วย Breakout หรือการย่อ Buy
รอ Buy ที่ Demand, Order Block, QM, FVG, Imbalance
แต่ก็อาจจะมีบางจังหวะที่ราคาสามารถทะลุลงได้ทุกแนวรับ?
ทำให้มุมมองว่า กราฟจะขึ้นหรือลงแต่ละคน จึงต่างกัน
สุดท้าย ก็มาวัดกันที่ผลลัพธ์
ตั้งเป้าหมายปีใหม่ในการเทรด (New Year Trading Goals)ปีใหม่มักเป็นช่วงเวลาที่หลายคนใช้เพื่อเริ่มต้นใหม่และตั้งเป้าหมายใหม่ในชีวิต รวมถึงในโลกของการเทรดด้วย การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและเหมาะสมสำหรับปีใหม่สามารถช่วยให้คุณพัฒนาทักษะการเทรดและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จได้ นี่คือคำแนะนำสำหรับการตั้งเป้าหมายปีใหม่ในการเทรด:
1. ทบทวนผลงานการเทรดในปีที่ผ่านมา
ก่อนจะตั้งเป้าหมายใหม่ คุณควรเริ่มต้นด้วยการประเมินผลการเทรดในปีที่ผ่านมา วิเคราะห์ว่าคุณทำอะไรได้ดีและควรปรับปรุงในส่วนใดบ้าง เช่น การจัดการความเสี่ยง ความสามารถในการปฏิบัติตามแผน หรือการวิเคราะห์ตลาด
2. กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้
เป้าหมายที่ดีควรมีความชัดเจนและสามารถวัดผลได้ เช่น "เพิ่มกำไรสุทธิ 10% จากปีที่แล้ว" หรือ "ลดการขาดทุนสูงสุดต่อครั้งไม่เกิน 2% ของทุน" การตั้งเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมจะช่วยให้คุณมีทิศทางที่ชัดเจนและสามารถติดตามความก้าวหน้าได้
3. ปรับปรุงแผนการเทรด (Trading Plan)
หากคุณยังไม่มีแผนการเทรดที่ชัดเจน ปีใหม่นี้คือเวลาที่ดีที่จะเริ่มสร้างขึ้นมา หรือหากมีแล้ว คุณอาจต้องปรับปรุงให้เหมาะสมกับเป้าหมายใหม่ เพิ่มกฎเกี่ยวกับการเข้าและออกจากตลาด การจัดการความเสี่ยง และการวางกลยุทธ์
4. ศึกษาและพัฒนาทักษะการเทรด
การลงทุนในการพัฒนาทักษะของตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญ คุณอาจตั้งเป้าหมายที่จะเรียนรู้กลยุทธ์ใหม่ ๆ หรือศึกษาการวิเคราะห์ตลาดในเชิงลึกมากขึ้น เช่น การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค หรือการติดตามข่าวเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อตลาด
5. บริหารจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
การเทรดไม่ควรกลายเป็นภาระที่กินเวลาชีวิตส่วนตัว ตั้งเป้าหมายในการบริหารเวลาให้เหมาะสม เช่น การกำหนดชั่วโมงการเทรด หรือการจัดเวลาให้กับการพักผ่อนและกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อรักษาสมดุลชีวิต
6. สร้างระบบตรวจสอบและปรับปรุงตัวเอง
ตั้งเป้าหมายในการบันทึกการเทรดและวิเคราะห์ผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอ เช่น การบันทึกเหตุผลในการเข้าและออกจากตลาด หรือผลกำไร/ขาดทุนในแต่ละการเทรด ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมและสามารถปรับปรุงได้อย่างต่อเนื่อง
7. ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตและกาย
สุขภาพที่ดีช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพในการตัดสินใจ ตั้งเป้าหมายในการดูแลสุขภาพ เช่น การออกกำลังกายเป็นประจำ การนอนหลับให้เพียงพอ และการทำสมาธิเพื่อลดความเครียดที่อาจเกิดจากการเทรด
8. เตรียมรับมือกับความเสี่ยงและความผิดพลาด
ตั้งเป้าหมายที่จะมีแผนรับมือกับความเสี่ยง เช่น การใช้ Stop Loss การกระจายความเสี่ยง หรือการจำกัดการเทรดในวันที่ตลาดไม่แน่นอน และอย่าลืมเรียนรู้จากความผิดพลาดเพื่อพัฒนาตัวเองในระยะยาว
9. สร้างเครือข่ายกับนักเทรดคนอื่น
การพูดคุยหรือแลกเปลี่ยนความรู้กับนักเทรดคนอื่น ๆ สามารถช่วยเสริมสร้างมุมมองใหม่ ๆ และสร้างแรงบันดาลใจ ลองเข้าร่วมกลุ่มหรือฟอรัมที่เกี่ยวกับการเทรดเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์
Day Trading Strategy กลยุทธ์การเทรดรายวันมีอะไรบ้างนะ?Day Trading Strategy
กลยุทธ์การเทรดรายวันมีอะไรบ้างนะ?
👽👽 กลับมาพบเจออกันอีกแล้ว กับเทคนิคการทำกำไร ทริคดีๆทริคเด็ดๆ ที่แอดเอามาฝากกันเช่นเคย บทความนี้เอาใจสายเทรดที่ชอบเก็บกำไรทุกวันครับ มาครับมา ใครชื่นชอบหรือเสพติดการเทรดแบบรายวันต้องอ่านแล้วน๊า
การเทรดรายวัน (Day Trading) คือการซื้อและขายสินค้าหรือสินทรัพย์ทางการเงินให้จบภายในวันเดียวกัน โดยมีจุดมุ่งหมายในการทำกำไรจากความผันผวนของราคาในตลาด โดยการเปิดและปิดจบในวันเดียว ไม่มีแช่ หรือข้ามวันนั่นเอง
กลยุทธ์ Day Trading มีอะไรบ้าง
1. การเทรดแบบ Scalping
กลยุทธ์นี้ใช้กรอบเวลาตั้งแต่ 1นาทีขึ้นไป จนถึง 30 นาที ทำกำไรได้น้อย แต่บ่อยครั้ง
2. กลยุทธ์ Range trading
กลยุทธ์นี้ส่วนใหญ่จะใช้ระดับแนวรับและแนวต้านเป็นหลัก เพื่อกำหนดจุดในการเข้า หรือเรียกว่า Swing Trading โดยจะเข้าทำกำไรและถือนานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน แต่ไม่ข้ามวัน
3. กลยุทธ์ News-based trading
กลยุทธ์นี้จะทำการซื้อขายจากความผันผวน เหตุการณ์ข่าวและพาดหัวข่าว เพราะกราฟค่อนข้างวิ่งเร็วและแรง ส่วนใหญ่นิยมเทรดหลังจากข่าวออกตั้งแต่วินาทีแรก จนถึง15 นาที แรก และ เทรดอีกครั้ง หลังข่าวออกไปแล้วอีก 15 นาที เรียกว่าเก็บรอบกำไรได้หลายทางแล้วแต่ความถนัดและความชำนาญ
4. กลยุทธ์ Reversal
กลยุทธ์นี้จะทำการซื้อขายจากการกลับตัวของเทรนในระยะสั้นและระยะยาวได้หมด ขึ้นอยู่กับแพทเทรินก่อนหน้าที่เป็นตัวบอกเทรนด์
เทคนิคการเทรดรายวัน
1. การวิเคราะห์เทคนิค (Technical Analysis) พวกกราฟแท่งเทียนเป็นต้น
2. การวิเคราะห์ข่าวสารและเหตุการณ์ (Fundamental Analysis) อ่านข่าวให้เยอะเข้าไว้
3. การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ (Indicators) สำคัญมากเลือกให้ตรงกับใจเราคือใช้แล้วชอบใช้แล้วดีนั่นเอง
4. การกำหนดเป้าหมายและวางแผนการเทรด เราจะได้เทรดตามแผนเป้าหมายได้ง่ายขึ้น
5. การควบคุมการเสี่ยง ตัวนี้สำคัญ รู้แพ้ รู้ชนะ ยังไงเราก็กำไรฮะ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ได้ทริคดีๆในการทำกำไรเพิ่มกันแล้วใช่มั้ยครับ อย่าลืมเอาไปลองใช้กันดูนะฮะ ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นเทคนิคการทำกำไรที่ดีของเราเลยก็ว่าได้ แอดหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เราอ่านกราฟได้ดี อ่านกราฟได้เก่งมากขึ้นนะครับ จำไว้เสมอว่ากราฟมีขึ้นแล้วก็มีลง ไม่ต้องไปเครียดกะมันหมั่น ฝึกฝนและเพิ่มเติมความรู้อย่างสม่ำเสมอ รับรอง เทรดยังไงก็รอดครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM กันด้วยนะครับ วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่งแน่นอนครับ แอดเอาใจช่วยสู้ๆ






















