Many Pro Indicator (MPI) - รายละเอียด💎Many Pro Indicator (MPI)
🔥เพียง 2490 บาท (ใช้ได้ตลอดชีพ)
🔥ใช้งานง่ายเข้าตามสัญญาณ Buy-Sell มาพร้อม Tp/Sl อัตโนมัติ และฟังก์ชันอื่นๆสำหรับช่วยในการเทรด
👨🏻💻มือใหม่หรือมือโปรก็ใช้งานได้
👉เป็นบัญชีธรรมดาสามารถใช้งานได้และใช้ฟังชันก์ได้ครบ
✅ติดตั้งและใช้งานผ่าน Tradingview เท่านั้น (Script-Invite) สามารถดูสัญญาณ buy-sell พร้อม Tp/Sl และอื่นๆ แล้วนำไปเทรดผ่าน Mt4 Mt5 Broker หรือ Platform ไหนก็ได้
❤️ดูตัวอย่างผลลัพธ์และตัวอย่างกราฟหน้าเพจได้เลย
📌หากสนใจคอมเม้น "ขอรายละเอียด" หรือ ติดต่อสั่งซื้อทางเพจได้ทันที พร้อมส่งรายละเอียดทั้งหมดให้พิจารณา
------------------------------------------
👉ฟังชันก์ทั้งหมดของอินดิเคเตอร์และคำอธิบาย :
🔗 www.facebook.com
------------------------------------------
⭐️เทรดได้ทั้งตามเทรนและสวนเทรน
🔥พร้อมบอกจุด TP/SL อัตโนมัติ
🔥จุดเข้าสวย-คมกริบ มีโอกาสกลับตัวเสมอ
✅มีการทดสอบมาแล้วแม่นยำสูงถึง 70-80%
------------------------------------------
⭐️ฟังชันก์เสริมที่มี
⚒คาดการณ์จุด Top-Bottom ของตลาดบ่งบอกการกลับตัว
⚒Market Structure (BOS/ChoCH)
⚒Supply-Demand Zone
⚒Order Block
⚒มีตัวบอก Trend ของตลาด
⚒กรอบราคา High/Low Channel สำหรับการเทรด Sideway
✅พร้อมระบบแจ้งเตือน Buy-Sell ไม่ต้องเฝ้ากราฟ
✅ปรับแต่งค่าต่างๆได้อย่างอิสระ เช่น TP/SL,สีของเส้นต่างๆ,เปิดปิดสัญญาณต่างๆอย่างอิสระ
------------------------------------------
✅สัญญาณไม่มี repaint ใช้ข้อมูลกราฟปัจจุบัน
✅สัญญาณไม่หาย ไม่มีสัญญาณเกิดย้อนหลัง ตามกราฟจริง 100%
👉เล่นได้ตลอดทั้งวัน ไม่จำเป็นต้องถือยาว Daytrade ได้
👉ใช้งานได้ทุกไทม์เฟรม ทุกตลาด ทุกคู่เหรียญ
👉มีแจ้งเตือนสัญญาณ Buy-Sell แบบ 2 In 1 ตั้งทีเดียวจบ
------------------------------------------
✅พร้อมคู่มือการใช้งานอินดิเคเตอร์อย่างละเอียด
✅ซื้อครั้งเดียวใช้งานตลอดชีพ ไม่ต่ออายุ
✅สามารถใช้ได้ทั้งคอมพิวเตอร์ มือถือ ผ่าน Tradingview
✅การติดตั้งผ่าน Script-Invited (กุญแจล็อก) > เพียงส่ง Username ของ Tradingview ให้เรา ทีมงานจะทำงานติดตั้งให้เรียบร้อยโดยที่ลูกค้าไม่ต้องทำการใดๆเลย อินดิเคเตอร์จะเข้าในบัญชีอัตโนมัติ รอเปิดใช้อินดิเคเตอร์อย่างเดียว
✅พร้อมมีการอัพเดท Indicator อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เข้ากับผู้ใช้งานมากขึ้น
------------------------------------------
💎ตัวอย่างกราฟ Many Pro Indicator (MPI)
✅สัญญาณไม่มี repaint ใช้ข้อมูลกราฟปัจจุบัน
✅สัญญาณไม่หาย ไม่มีสัญญาณเกิดย้อนหลัง ตามกราฟจริง 100%
👉ถ้าเป็น forex แนะนำที่ไทม์เฟรม 1/5/15 นาที
👉ถ้าเป็น crypto จะใช้ไทม์เฟรม 15/60 นาทีครับ
⭐️ความถี่ในการเกิดสัญญาณ
-ไทม์เฟรม 1 นาที 20-40 Signal/วัน (เทรดได้ทั้งวัน)
-ไทม์เฟรม 5 นาที 5-10 Signal/วัน
-ไทม์เฟรม 15 นาที 1-3 Signal/วัน
❗️สัญญาณแม่นที่สุดในไทม์เฟรม 15 นาที
------------------------------------------
⚒ตัวอย่างอินดิเคเตอร์ MPI เมื่อเปิดใช้ในไทม์เฟรมต่างๆ
TF : 1 นาที
🔗 www.facebook.com
TF : 5 นาที
🔗 www.facebook.com
TF : 15 นาที
🔗 www.facebook.com
TF : 30 นาที
🔗 www.facebook.com
TF : 60 นาที
🔗 www.facebook.com
👉ดูตัวอย่างเพิ่มเติมหน้าเพจได้เลยครับ
✅สรุปผลลัพธ์อินดิเคเตอร์ทุกวันหน้าเพจ
------------------------------------------
🖥ตัวอย่างผลลัพธ์อินดิเคเตอร์ MPI ในแต่ละวัน/การใช้งานจริง
👀ตัวอย่าง MPI Version ล่าสุด
🔗 www.facebook.com
🔗 www.facebook.com
🔗 www.facebook.com
🔗 www.facebook.com
📍ตัวอย่างเพิ่มเติม
🔗 www.facebook.com
------------------------------------------
⚡️เมื่อซื้ออินดิเคเตอร์ Many Pro Indicator (MPI)⚡️
❗️โปรลับสุดคุ้ม❗️
🔥ตอนนี้มีโปร 1990 บาท สำหรับ 1 User ใช้งานถาวรไม่ต้องต่ออายุ (จากปกติ 2490 บาท)
------------------------------------------
👋❗️โปรชวนเพื่อน❗️👋
❤️โปรแพ็คคู่สำหรับ 2 User ในราคา 2990 บาท (จากปกติ 3990 บาท) หารคนละ 1495 บาทเท่านั้น
✔️โปรแลกซื้อ 3 จ่าย 2 คนเพียง 3990 บาท (จากปกติ 5990 บาท) ได้สิทธิรับอินดิเคเตอร์ 3 User หารคนละ 1330 บาทเท่านั้น
📌หมายเหตุ : โปรโมชั่นนี้ไม่ใช้ร่วมกับโปรโมชั่นแถมหนังสือและส่วนลดอื่นๆ
🔗 www.facebook.com
------------------------------------------
📕หากอยากดูรายละเอียดของอินดิเคเตอร์ทั้งหมดอยู่ในคู่มือนี้ลองอ่านดูได้เลยครับ :
🔗 www.facebook.com
------------------------------------------
👉รีวิวจากลูกค้าที่ใช้ Indicator ของเรา
🔗 www.facebook.com
------------------------------------------
👉บัญชีธรรมดาก็ใช้ได้ตลอดชีพ
⚡️เพียง 2490 บาทจ่ายครั้งเดียวใช้งานตลอดชีพ
📌หากสนใจคอมเม้น "ขอรายละเอียด" หรือ ติดต่อสั่งซื้อทางเพจได้ทันที
พร้อมส่งรายละเอียดทั้งหมดให้พิจารณาครับ
รูปแบบชาร์ต
MTA : วิธีการใช้ Multiple Timeframe Analysis MTA: วิธีการใช้ Multiple Timeframe Analysis
👰กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับการเทรดวิเคราะห์กราฟและการแชร์เทคนิคคอลแจ่มๆที่ใช้ดีและบอกต่อ หลายคนอาจจะงง กับการเทรดหลายๆทามเฟรม และบางคนก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าการเทรดเพียงแค่ทามเฟรมเดียว หรือ เทรดหลายทามเฟรมมีดีอย่างไร มาครับวันนี้แอดพาไปทำความรู้จักการเทรดแบบ MTA กัน ตามมาอ่านกันได้เลย
การใช้ Multiple Timeframe Analysis (MTA) เป็นเทคนิคที่ช่วยให้เทรดเดอร์เห็นภาพรวมของตลาดได้ชัดเจนขึ้น โดยการวิเคราะห์กรอบเวลาใหญ่เพื่อหาแนวโน้มหลัก และกรอบเวลาเล็กเพื่อหาจุดเข้า-ออกที่แม่นยำ นี่คือขั้นตอนละเอียดในการใช้ MTA อย่างมีประสิทธิภาพ
1. เลือกกรอบเวลาที่เหมาะสม
การวิเคราะห์หลายกรอบเวลาควรใช้กรอบเวลาที่สัมพันธ์กัน เช่น:
กรอบเวลาใหญ่ (Higher Timeframe - HTF): ใช้เพื่อหาแนวโน้มหลัก เช่น Daily (D1), H4
กรอบเวลากลาง (Intermediate Timeframe): ใช้เพื่อยืนยันสัญญาณ เช่น H1
กรอบเวลาเล็ก (Lower Timeframe - LTF): ใช้เพื่อหาจุดเข้า-ออก เช่น M15, M5
2. วิเคราะห์กรอบเวลาใหญ่ (HTF) เพื่อหาแนวโน้มหลัก
ขั้นตอน:
เปิดกราฟกรอบเวลาใหญ่ (เช่น Daily)
ใช้เครื่องมือวิเคราะห์แนวโน้ม เช่น Moving Average (MA), Trendline, หรือ ADX
ระบุแนวโน้มหลัก:
ขาขึ้น (Uptrend): Higher Highs (HH) และ Higher Lows (HL)
ขาลง (Downtrend): Lower Highs (LH) และ Lower Lows (LL)
Sideway/Range: ราคาเคลื่อนที่ในกรอบแนวนอน
ระบุระดับ Support/Resistance ที่สำคัญ
ตัวอย่าง:
หากกราฟ Daily แสดงแนวโน้มขาขึ้น ให้มองหาโอกาสซื้อ (Buy) ในกรอบเวลาเล็ก
หากกราฟ Daily แสดงแนวโน้มขาลง ให้มองหาโอกาสขาย (Sell) ในกรอบเวลาเล็ก
3. วิเคราะห์กรอบเวลากลางเพื่อยืนยันสัญญาณ
ขั้นตอน:
เปิดกราฟกรอบเวลากลาง (เช่น H4)
ตรวจสอบว่าแนวโน้มในกรอบเวลากลางสอดคล้องกับกรอบเวลาใหญ่หรือไม่
ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพิ่มเติม เช่น Fibonacci Retracement, RSI, หรือ MACD เพื่อหาจุดกลับตัวหรือสัญญาณยืนยัน
ตัวอย่าง:
หากกราฟ Daily เป็นขาขึ้น และกราฟ H4 แสดง Pullback (การปรับตัวลงชั่วคราว) ให้มองหาโอกาสซื้อเมื่อราคากลับมาทะลุแนวต้านหรือยืนเหนือ MA
4. วิเคราะห์กรอบเวลาเล็ก (LTF) เพื่อหาจุดเข้า-ออก
ขั้นตอน:
เปิดกราฟกรอบเวลาเล็ก (เช่น M15)
หาจุดเข้าเทรดโดยใช้สัญญาณจาก Price Action หรือตัวบ่งชี้ เช่น:
Price Action: รูปแบบแท่งเทียน (Pin Bar, Engulfing, Inside Bar)
ตัวบ่งชี้: RSI, Stochastic Oscillator, หรือ MACD
ตั้ง Stop Loss และ Take Profit โดยอ้างอิงจากกรอบเวลาใหญ่และกลาง
ตัวอย่าง:
หากกราฟ Daily และ H4 แสดงแนวโน้มขาขึ้น และกราฟ M15 แสดงสัญญาณซื้อ (เช่น Bullish Engulfing) ให้เข้าซื้อและตั้ง Stop Loss ต่ำกว่า Support ล่าสุด
5. จัดการความเสี่ยงและวางแผนเทรด
Stop Loss: ตั้ง Stop Loss โดยอ้างอิงจากกรอบเวลาใหญ่หรือกลาง เพื่อให้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับการเคลื่อนไหวของราคา
Take Profit: ตั้ง Take Profit โดยอ้างอิงจากระดับ Resistance ในกรอบเวลาใหญ่หรือกลาง
Risk-Reward Ratio: ควรมีอัตราส่วน Risk-Reward อย่างน้อย 1:2 (เสี่ยง 1 เพื่อกำไร 2)
6. ตัวอย่างการใช้งานจริง
สมมติคุณวิเคราะห์กราฟ Daily และพบว่า EUR/USD อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
กรอบเวลาใหญ่ (Daily):
แนวโน้มขาขึ้น (Higher Highs และ Higher Lows)
Support หลักอยู่ที่ 1.1000
กรอบเวลากลาง (H4):
ราคากำลัง Pullback ลงมาใกล้ระดับ Support ที่ 1.1000
RSI ใกล้ Oversold (30)
กรอบเวลาเล็ก (M15):
ราคาเกิด Bullish Engulfing Pattern ใกล้ระดับ 1.1000
เข้าซื้อที่ 1.1005 และตั้ง Stop Loss ที่ 1.0980 (ต่ำกว่า Support)
ตั้ง Take Profit ที่ 1.1100 (ใกล้ระดับ Resistance ในกรอบ Daily)
7. ข้อควรระวัง
False Signal: สัญญาณในกรอบเวลาเล็กอาจไม่แม่นยำหากไม่สอดคล้องกับกรอบเวลาใหญ่
Overanalysis: อย่าวิเคราะห์กรอบเวลาเล็กมากเกินไปจนเสียโฟกัสจากแนวโน้มหลัก
ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับสไตล์การเทรด: หากเป็นเทรดเดอร์ระยะสั้น อาจใช้กรอบเวลาเล็กเป็นหลัก แต่ต้องยืนยันแนวโน้มจากกรอบเวลาใหญ่
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กลยุทธิ์การเทรดแบบ MTA เรียบง่ายแต่ทรงพลัง แถมทำกำไรได้เรื่อยๆอีกนะ มันทำให้เราไม่ต้องไปพะว้าพะวง หรือเครียดมากจนเกินไปด้วย ที่สำคัญต้องหมั่นฝึกฝนและทดสอบกลยุทธ์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดข้อผิดพลาดในการเทรดเสมอ แล้วเราจะเก่งและกำไรเรื่อยๆครับ
Day Trading Strategy กลยุทธ์การเทรดรายวันมีอะไรบ้างนะ?Day Trading Strategy
กลยุทธ์การเทรดรายวันมีอะไรบ้างนะ?
👽👽 กลับมาพบเจออกันอีกแล้ว กับเทคนิคการทำกำไร ทริคดีๆทริคเด็ดๆ ที่แอดเอามาฝากกันเช่นเคย บทความนี้เอาใจสายเทรดที่ชอบเก็บกำไรทุกวันครับ มาครับมา ใครชื่นชอบหรือเสพติดการเทรดแบบรายวันต้องอ่านแล้วน๊า
การเทรดรายวัน (Day Trading) คือการซื้อและขายสินค้าหรือสินทรัพย์ทางการเงินให้จบภายในวันเดียวกัน โดยมีจุดมุ่งหมายในการทำกำไรจากความผันผวนของราคาในตลาด โดยการเปิดและปิดจบในวันเดียว ไม่มีแช่ หรือข้ามวันนั่นเอง
กลยุทธ์ Day Trading มีอะไรบ้าง
1. การเทรดแบบ Scalping
กลยุทธ์นี้ใช้กรอบเวลาตั้งแต่ 1นาทีขึ้นไป จนถึง 30 นาที ทำกำไรได้น้อย แต่บ่อยครั้ง
2. กลยุทธ์ Range trading
กลยุทธ์นี้ส่วนใหญ่จะใช้ระดับแนวรับและแนวต้านเป็นหลัก เพื่อกำหนดจุดในการเข้า หรือเรียกว่า Swing Trading โดยจะเข้าทำกำไรและถือนานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน แต่ไม่ข้ามวัน
3. กลยุทธ์ News-based trading
กลยุทธ์นี้จะทำการซื้อขายจากความผันผวน เหตุการณ์ข่าวและพาดหัวข่าว เพราะกราฟค่อนข้างวิ่งเร็วและแรง ส่วนใหญ่นิยมเทรดหลังจากข่าวออกตั้งแต่วินาทีแรก จนถึง15 นาที แรก และ เทรดอีกครั้ง หลังข่าวออกไปแล้วอีก 15 นาที เรียกว่าเก็บรอบกำไรได้หลายทางแล้วแต่ความถนัดและความชำนาญ
4. กลยุทธ์ Reversal
กลยุทธ์นี้จะทำการซื้อขายจากการกลับตัวของเทรนในระยะสั้นและระยะยาวได้หมด ขึ้นอยู่กับแพทเทรินก่อนหน้าที่เป็นตัวบอกเทรนด์
เทคนิคการเทรดรายวัน
1. การวิเคราะห์เทคนิค (Technical Analysis) พวกกราฟแท่งเทียนเป็นต้น
2. การวิเคราะห์ข่าวสารและเหตุการณ์ (Fundamental Analysis) อ่านข่าวให้เยอะเข้าไว้
3. การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ (Indicators) สำคัญมากเลือกให้ตรงกับใจเราคือใช้แล้วชอบใช้แล้วดีนั่นเอง
4. การกำหนดเป้าหมายและวางแผนการเทรด เราจะได้เทรดตามแผนเป้าหมายได้ง่ายขึ้น
5. การควบคุมการเสี่ยง ตัวนี้สำคัญ รู้แพ้ รู้ชนะ ยังไงเราก็กำไรฮะ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ได้ทริคดีๆในการทำกำไรเพิ่มกันแล้วใช่มั้ยครับ อย่าลืมเอาไปลองใช้กันดูนะฮะ ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นเทคนิคการทำกำไรที่ดีของเราเลยก็ว่าได้ แอดหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เราอ่านกราฟได้ดี อ่านกราฟได้เก่งมากขึ้นนะครับ จำไว้เสมอว่ากราฟมีขึ้นแล้วก็มีลง ไม่ต้องไปเครียดกะมันหมั่น ฝึกฝนและเพิ่มเติมความรู้อย่างสม่ำเสมอ รับรอง เทรดยังไงก็รอดครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM กันด้วยนะครับ วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่งแน่นอนครับ แอดเอาใจช่วยสู้ๆ
อัตราความสำเร็จที่แท้จริงของ Ascending Wedge ในการซื้อขายอัตราความสำเร็จที่แท้จริงของ Ascending Wedge ในการซื้อขาย
การแนะนำ
ลิ่มที่เพิ่มขึ้นหรือที่เรียกว่าลิ่มที่เพิ่มขึ้น เป็นรูปแบบกราฟที่มีอัตราความสำเร็จในการซื้อขายที่โดดเด่น การวิเคราะห์นี้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับประสิทธิภาพ ความน่าเชื่อถือ และตัวบ่งชี้เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน
อัตราความสำเร็จและประสิทธิภาพ
สถิติที่สำคัญ
อัตราความสำเร็จโดยรวม: 81% ในตลาดกระทิง
กำไรที่เป็นไปได้เฉลี่ย: 38% ในแนวโน้มขาขึ้นที่มีอยู่
- การจัดการฝ่าวงล้อม
หยาบคาย: 60% ของกรณี
รั้น: 40% ของกรณี
ความน่าเชื่อถือตามบริบท
ตลาดกระทิง: สำเร็จ 81% กำไรเฉลี่ย 38%
หลังแนวโน้มขาลง: สำเร็จ 51% ลดลงเฉลี่ย 9%
ข้อควรพิจารณาที่สำคัญ
โดยทั่วไปแล้วลิ่มที่เพิ่มขึ้นจะเป็นรูปแบบหมี ซึ่งบ่งชี้ถึงการกลับตัวที่อาจเกิดขึ้น
ความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาของการสร้างรูปแบบ
การยืนยันการทะลุผ่านโดยตัวชี้วัดอื่นๆ โดยเฉพาะปริมาณ เป็นสิ่งสำคัญ
ตัวชี้วัดเพิ่มเติม
-ปริมาณ
ลดลงทีละน้อยระหว่างการฝึก
เพิ่มขึ้นอย่างมากระหว่างการฝ่าวงล้อม
-ออสซิลเลเตอร์
RSI (Relative Strength Index): ระบุสภาวะการซื้อมากเกินไป/การขายมากเกินไป
Stochastic: ตรวจจับความแตกต่างของราคา/ตัวบ่งชี้
- ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
Crossovers: สัญญาณการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม
- แนวรับ/แนวต้านแบบไดนามิก: ยืนยันความถูกต้องของมุมเอียง
-ตัวชี้วัดโมเมนตัม
MACD: ระบุความแตกต่างของราคา/ตัวบ่งชี้
โมเมนตัม: ประเมินแนวโน้มที่กำลังจะหมดลง
-องค์ประกอบอื่นๆ
ระดับฟีโบนัชชี: ระบุแนวรับ/แนวต้านที่เป็นไปได้
การวิเคราะห์แท่งเทียนญี่ปุ่น: ให้ข้อบ่งชี้ในการกลับตัว
บทสรุป
ลิ่มจากน้อยไปหามากเป็นเครื่องมืออันทรงพลังสำหรับเทรดเดอร์ โดยเสนออัตราความสำเร็จสูงและศักยภาพในการทำกำไรที่สำคัญ การใช้ตัวบ่งชี้เสริมร่วมกันจะเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณและปรับปรุงความแม่นยำของการตัดสินใจซื้อขาย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแสวงหาการบรรจบกันของสัญญาณจากหลายแหล่งเพื่อลดสัญญาณเท็จและเพิ่มประสิทธิภาพการซื้อขาย
-
นี่เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อขายหลังจากลิ่มตัวขึ้นอย่างมืออาชีพ:
- ยืนยันการฝ่าวงล้อมแล้ว
รอให้เทียนปิดต่ำกว่าเส้นแนวรับลิ่ม
มองหาปริมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่จุดฝ่าวงล้อมเพื่อยืนยันความถูกต้อง
- การสอบซ้ำ
สังเกตการดึงกลับของแนวรับที่ขาดซึ่งกลายเป็นแนวต้าน
ป้อนเมื่อราคากระเด้งต่ำลงจากแนวต้านใหม่นี้ เพื่อยืนยันแนวโน้มขาลง
-การรวมตัวหลังการฝ่าวงล้อม
ระบุการก่อตัวของธงหรือชายธงหลังจากการฝ่าวงล้อมครั้งแรก
เข้าสู่ที่จุดทะลุของรูปแบบย่อยนี้ในทิศทางของแนวโน้มขาลงหลัก
- ยืนยันความคลาดเคลื่อน
มองหาความแตกต่างที่เป็นขาลงบนออสซิลเลเตอร์ เช่น RSI หรือ MACD
ป้อนเมื่อราคายืนยันความแตกต่างโดยทำลายแนวรับใกล้เคียง
-จับเวลาด้วยเทียนญี่ปุ่น
ระบุรูปแบบหมีๆ เช่น ดาวยามเย็น ฮารามิหมี หรือเมฆดำ
เข้าทันทีที่แท่งเทียนถัดไปยืนยันรูปแบบหมี
- ข้อควรพิจารณาที่สำคัญ
วางจุดหยุดขาดทุนเสมอเพื่อจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
อดทนและรอการยืนยันการตั้งค่าก่อนเข้าสู่การซื้อขาย
ตรวจสอบแนวโน้มในกรอบเวลาที่สูงขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าการซื้อขายมีความสม่ำเสมอ
ผสานรวมการวิเคราะห์ลิ่มจากน้อยไปมากกับตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อปรับปรุงคุณภาพการตัดสินใจ
โดยการปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ เทรดเดอร์สามารถเพิ่มประสิทธิภาพรายการของพวกเขาในเวดจ์จากน้อยไปมากในขณะเดียวกันก็ลดความเสี่ยงของสัญญาณที่ผิดพลาด
รูปแบบกราฟ Double Tops
Double Top : รูปแบบ Double Top เกิดจากราคาที่ขึ้นไปสูงถึงจุดหนึ่ง (ยอดแรก) แล้วลดลงมา จากนั้นพยายามขึ้นไปใหม่แต่ไม่สามารถทำยอดสูงสุดใหม่ได้ (ยอดที่สอง) เป็นสัญญาณว่าตลาดอาจกำลังกลับตัวจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง โดยจุดสูงสุดสองจุดนี้มักจะอยู่ในระดับราคาที่ใกล้เคียงกัน
Shooting Star Candle : ที่ยอดสูงสุดในครั้งที่สอง มีแท่งเทียนแบบ Shooting Star ปรากฏ ซึ่งเป็นแท่งเทียนที่มีเงายาวด้านบนและตัวเทียนเล็ก ๆ แสดงถึงแรงขายที่เริ่มเข้ามาในตลาด เป็นสัญญาณการกลับตัวที่มีนัยสำคัญ
Neckline : เส้นแนวนอนที่ลากผ่านจุดต่ำสุดระหว่างยอดทั้งสอง เป็นแนวรับที่สำคัญ ถ้าราคาทะลุลงต่ำกว่า Neckline นี้ จะยืนยันว่ารูปแบบ Double Top สมบูรณ์ และมีแนวโน้มที่ราคาจะลงต่อไป
Bear Signal : สัญญาณขาย (Bear Signal) ปรากฏเมื่อราคาลดลงต่ำกว่าเส้น Neckline แสดงถึงการยืนยันแนวโน้มขาลง
สิ่งที่ BTC เทรดเดอร์ต้องเจอในปี 2024 ก่อนจะพบกับความปิติวันนี้ ( 12/11/2024 ) เราเห็นคนอวดกำไร โพสราคา บ่นอะไรต่างๆ นาๆ เกี่ยวกับ BTC ที่เฉียด 100k กันอย่างสนุกสนาน
แต่ใครจะคิดว่า ก่อนหน้านี้ ตลอดหลายเดือน ที่ BTC ไปทำ ATH ที่ 74k แล้วก็ยึกยักไม่ไปไหนตลอด 7 เดือน คนที่อยู่ในตลาดกันมานานๆ ... แม่งโคตรๆ จะสิ้นหวัง โดยพอจะสรุปความสิ้นหวังได้ดังนี้
### 1. ระบบสับขาหลอกชิบหายวายป่วง
ตั้งแต่มันไปทำ ATH เมื่อ 14/3/2024 หลังจากนั้นกราฟ BTC ก็สับขาหลอกไปมาอยู่ตลอด 7 เดือน จนถึงมาขึ้นจริง เขียวจริง ก็วันที่ 15/10/2024 โดยถ้าไปไล่ดูก็จะพบว่า เราเจอ false sig กันไปทั้งหมดถึง 5 รอบ โดยแต่ระบบ ก็เท่าทุนบ้าง กำไรนิดหน่อยบ้าง หรือแม้แต่ขาดทุน
โดยใครที่ไม่ได้คุมความเสี่ยง หรือทำ position sizing ดีๆ เจอการสับขาหลอก 5 รอบ ผมบอกเลยว่า ขาดทุนหนัก แน่ๆ เพราะมีลูกเพจมาบ่นในเม้น 555 ส่วนผมที่วาง position size มาดี ก็ยังเจอการคืนกำไรหนัก โดยตอนเดือนมี.ค. กำไรสูงสุดอยู่ที่ +19.43% และพอถึงเดือน ตุลาคม ก่อนจะบิน เหลือกำไรแค่ 10.40% หรือพูดง่ายๆ คือ คืนกำไรไปตั้ง 50% นั่นเอง
หลายๆ คนเจอการสับขาหลอกแบบนี้บ่อยๆ ก็เริ่มรู้สึกว่า ระบบมันกาก มันใช้ไม่ได้ และก็เริ่มไปหา "ระบบเทพ" อื่นๆ ที่คนอวดกำไรกัน หรือเลือกที่จะไม่เชื่อระบบไปเลย และแทงสวนอีกด้วย... เพื่อที่จะพบว่า วันที่ย้ายระบบ/ไม่เชื่อระบบ ก็คือวันที่เสียโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ไปนั่นเอง
### 2. ดอลล่าห์อ่อนหนักมาก
ปีนี้นอกจากเราจะเจอการสับขาหลอกนรกแตกแล้ว เรายังเจอดอลอ่อนเป็นแบงค์กงเต็ก เทียบกับเงินบาทด้วย โดยช่วงต้นปี ดอลล่าห์เคยขึ้นไปสูงถึง 37 บาท ต่อดอลล่าห์ ก่อนที่จะอ่อนยวบลงมาจนเกือบหลุด 32 บาทต่อดอล หรือพูดง่ายๆ คือ ถ้าถือดอล เงินบาทเราจะหายไปถึง -13.5% นั่นเอง
ถามว่าดอลอ่อนแล้วเกี่ยวอะไร? ก็เกี่ยวสิ เพราะตอนที่เราโดน false sig เราเข้าตอนที่ดอลราคาสูง แต่พอต้องคัท นอกจากต้องคัทแบบขาดทุนดอลแล้ว ก็จะขาดทุนเงินบาทสมทบเข้าไปอีกดอก ก็เลยจุกสองเด้งนั่นเอง 555
### 3. BTC ไหลเขื่อนแตกจาก ATH 74k ไปเหลือแค่ 49k หรือลงไปถึง -33%
ช่วงกลางปี หลายๆ คนที่เทรด หรือ buy the dip BTC ก็น่าจะเจอช่วงที่ราคารูดเขื่อนแตกลงไปทำ All time low ของปีที่ 49k ทำให้หลายๆ คนที่ไปใช้ leverage หรือใช้ท่าช้อนซื้อไปเรื่อยๆ ก็น่าจะพอร์ตแตก กันไปเรียบ ยังไม่นับคนที่ไปกาวซื้อตอน ATH แล้วไปคัทที่ 49k ด้วยความกลัวอีกนะ ซึ่งผมว่าก็น่าจะมีไม่น้อยเลย
### 4. DCA ตลอดทั้งปี มีแต่ขาดทุน
ใครที่มาเริ่ม DCA BTC ตอนต้นปี หรือตอน ATH แล้วเจอช่วงซึมทรง กลางปีเข้าไป บอกเลยว่า น่าจะสิ้นหวังกันไปไม่มากก็น้อย ยิ่งถ้าคนที่ DCA แล้วกะจะรวยเลย ไม่ได้มองเกมยาวๆ เจอยิ่งซื้อยิ่งซึม ก็จะยิ่งท้อเข้าไปใหญ่ และส่วนใหญ่ พอซึมมากๆ ก็จะท้อแล้วเลิก DCA ไปก่อนนั่นเอง 555
### สรุป
การที่เราจะเทรด BTC แล้วมีกำไร ในปีนี้ มันไม่ง่ายเลยจริงๆ แต่การที่เราจะโพสบอกกำไรในเพจ เพื่อเรียก engagement มันโคตรง่าย 555
ที่ทำโพสนี้ขึ้นมาก็เพื่อที่จะให้กำลังใจหลายๆ คนที่อดทนเจออุปสรรคตลอดปีนี้กันมา และ ยินดีกับผลกำไรของความเหนื่อยยาก และการอดทน ทำตามระบบ อย่างมีวินัย และไม่ท้อไปเสียก่อนนะครับ
ส่วนใครที่โดน หรือตกรถกันมาในปีนี้ ก็ขอให้เก็บบทเรียนเหล่านี้ไว้ และนำไปปรับปรุงแผนการเทรดของท่านในอนาคต เพราะไม่มีใครสอนท่านได้ เท่าตัวท่านเองครับ
ส่วนคนที่ได้กำไรเยอะๆ เพราะไปซัดหนักๆ ตามน้ำ ก็ดีใจกับท่านด้วยนะ แต่ก็อยากจะบอกไว้ว่า ตอนตลาดขึ้นแบบนี้อ่ะ ลิงก็ทำกำไรได้ ไม่ใช่ความเก่งกาจอะไรของคุณหรอก สิ่งที่จะแยกเราออกจากลิง ก็คือ การรักษากำไรที่ได้มา ไม่ให้มันคืนตลาดไปหมด ในช่วงที่ตลาดเริ่มผันผวนต่างหาก 555
#staysafe #รอดให้ได้ก่อนเดี๋ยวกำไรมาเอง
Retest Trading แบบไหนให้ได้กำไรRetest Trading แบบไหนให้ได้กำไร
👽👽 เคยเป็นกันบ้างมั้ยกับการอ่านกราฟทางเทคนิคแล้วโดนกราฟหลอก ไปทางไหนก็ผิดทาง รีเทสแล้ว รีเทสอีก ก็ยังผิดทาง หรือเราจะอ่านกราฟผิดกันนะ มาครับ บทความนี้แอดมีคำตอบให้
กลไกของกลยุทธ์การ Retest
กลไกของกลยุทธ์ Retest มักมาควบคู่กันพร้อมกับ Breakout เสมอ หลักและใจความสำคัญ ที่จำเป็นในการเทรดก็คือการอ่านแนวรับแนวต้านให้ออก และจำเป็นต้องใช้เครื่องมือตัวบ่งชี้ทางเทคนิคช่วยด้วยอีกทางหนึ่ง
สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงก็คือ
1. เมื่อกราฟราคาพุ่งขึ้นสูงสุดหรือลงต่ำสุด และทะลุแนวรับหรือแนวต้าน โดยมีปริมาณ Volumn การซื้อขายที่สูงหรือต่ำตามมาติดๆ
- การ Breakout ในแนวรับหรือแนวต้าน จะเกิดขึ้นเป็นอันดับแรก
- อันดับต่อมาที่ต้องเฝ้าระวังคือ การย่อ..........หรือการเปลี่ยนทิศทางกระทันหันเพื่อหลอกล่อเม่าน้อยๆให้มาติดกับ
- ถัดจากการล่อเม่าเสร็จสิ้น ราคาจึงจะวิ่งกลับไป Retest ณ จุด จุด เดิมอีกครั้ง
- จุดนี้แหละ ที่เราต้องเฝ้าระวัง เพื่อหาจุดเข้าสวยๆเข้าฮะ
รูปแบบแท่งเทียนที่พบได้บ่อยที่สุดในกลยุทธ์ Break and Retest ได้แก่
1. Wedge Pattern แสดงถึงเส้นแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงภายในช่วงราคาที่แคบลงเรื่อยๆ
2. Consolidation Pattern บ่งบอกถึงช่วงราคาในแนวนอน หรือกราฟไซด์เวย์ สำหรับการเล่นสั้น ทั้งขาขึ้น และขาลง ซึ่งยังหาแนวโน้มที่ชัดเจนไม่ได้แต่คันมือ จัดเบาๆไปก่อน
3.Triangles Pattern รูปแบบสามเหลี่ยม คือการทะลุกรอบสามเหลี่ยมออกไป เป็นไปได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
4. The Channel Patterns แสดงถึงเส้นแนวโน้มเส้นขนาน ซึ่งเป็นไปได้ทั้งไซด์เวย์สลับฟันปลา และไซด์เวย์อัพ ไซด์เวย์ดาว์น โดยราคาจะวิ่งไต่กรอบเส้นเทรนไลน์ไปเรื่อยๆ เป็นเส้นคู่ขนาน
**** นอกจากรูปแบบแท่งเทียนแล้ว อินดิเคเตอร์ที่จัดว่าเด็ดและช่วยในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้แก่ MACD หรือ RSI เพื่อช่วยยืนยันทิศทางของแนวโน้มที่เราคาดการณ์ไว้
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ แอดหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เราอ่านกราฟได้ดี อ่านกราฟได้เก่งมากขึ้นนะครับ จำไว้เสมอว่ากราฟมีขึ้นแล้วก็มีลง ไม่ต้องไปเครียดกะมันหมั่นึกฝนและเพิ่มเติมความรู้อย่างสม่ำเสมอ รับรอง เทรดยังไงก็รอดครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM กันด้วยนะครับ วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่งแน่นอนครับ แอดเอาใจช่วยสู้ๆ
สามเหลี่ยมสมมาตร: อัตราความสำเร็จที่แท้จริง + การฝ่าวงล้อมสามเหลี่ยมสมมาตร: อัตราความสำเร็จที่แท้จริง + การฝ่าวงล้อม
สามเหลี่ยมสมมาตรเป็นรูปแบบกราฟที่สำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งสมควรได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากเทรดเดอร์มืออาชีพ
รูปแบบนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะด้วยการบรรจบกันของราคาระหว่างเส้นแนวโน้มสองเส้น เส้นหนึ่งเป็นขาลงและอีกเส้นหนึ่งเป็นขาขึ้น ทำให้เกิดโซนการรวมตัวที่ซึ่งความชัดเจนระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย
การวิเคราะห์ทางสถิติ
ข้อมูลเชิงประจักษ์เผยให้เห็นว่าอัตราความสำเร็จของสามเหลี่ยมสมมาตรสำหรับการต่อเนื่องของแนวโน้มคือประมาณ 54% เปอร์เซ็นต์นี้ แม้จะสูงกว่า 50% แต่ก็เน้นย้ำถึงความสำคัญของแนวทางที่ระมัดระวังและการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวดในการใช้ตัวเลขนี้
เบรกพอยต์
โดยทั่วไปการทะลุของสามเหลี่ยมสมมาตรเกิดขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนที่ไปประมาณ 75% ของระยะทางถึงจุดยอด จุดนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ เนื่องจากมักจะแสดงถึงช่วงเวลาที่ความผันผวนเพิ่มขึ้นและสามารถสร้างแนวโน้มใหม่ได้
ความเสี่ยงและการออกที่ผิดพลาด
สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่ารูปสามเหลี่ยมสมมาตรมีอัตราการออกที่ผิดพลาดค่อนข้างสูง สถิติระบุว่าประมาณ 13% ของกรณีในตลาดหมีอาจส่งผลให้เกิดการออกจากจุดต่ำสุดที่ผิดพลาด ปรากฏการณ์นี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการยืนยันเพิ่มเติมก่อนเข้าสู่ตำแหน่ง
กลยุทธ์การใช้งาน
เพื่อใช้ประโยชน์จากสามเหลี่ยมสมมาตรอย่างมีประสิทธิภาพ เทรดเดอร์มืออาชีพจะต้อง:
-ระบุรูปแบบได้อย่างแม่นยำ
-รอการทะลุบริเวณใกล้จุดบรรจบกันของเส้นแนวโน้ม
-ยืนยันการทะลุผ่านตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ หรือปริมาณที่เพิ่มขึ้น
- ใช้การจัดการความเสี่ยงที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการออกที่ผิดพลาด
โดยสรุป สามเหลี่ยมสมมาตรแม้จะเป็นเครื่องมืออันมีค่าในคลังแสงของเทรดเดอร์ แต่ก็ต้องอาศัยวิธีการที่เป็นระบบและความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงคุณลักษณะของมัน เพื่อนำไปใช้อย่างมีประสิทธิผลในกลยุทธ์การซื้อขาย
SMC + AOแนวทางการเทรด
เครื่องมือ
1. โครงสร้างราคา
2. AO
ขาขึ้น
1.จุดกลับตัว จาก ขาลงเป็น ขาขึ้น
1.1 AO อยู่โซนลบ
1.2 โครงสร้างราคาเกิดการทำลายโครงสร้าง
1.3 AO กลับตัวเป็น +
1.4 limit order ตรง Choch
1.5 RR 1:2
2. รันเทรน
2.1 AO +
2.2 รอ Bos
2.3 limit order ตรง Bos
2.4 RR 1:1
3.Scalping
3.1 AO +
3.2 รอ จบแท่ง HTF
3.3 ที่ LTF ใช้หลักการใน ข้อ 1,2 ในการเทรด ตามโครงสร้างที่ทำไว้ใน แท่ง HTF
3.4 RR 1:2
Fibonacci Extension ในการเทรด Forex และวิธีใช้งานในการเทรด Forex นักเทรดมักจะใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มของราคา หนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมมากคือ Fibonacci Extension ซึ่งช่วยในการคาดการณ์ระดับราคาที่เป็นไปได้ของแนวโน้ม โดยใช้ทฤษฎีเลข Fibonacci ที่มีความเกี่ยวข้องกับธรรมชาติและคณิตศาสตร์ การใช้งาน Fibonacci Extension ในการเทรด Forex สามารถช่วยให้นักเทรดคาดการณ์แนวต้านและแนวรับที่เป็นไปได้หลังจากที่ราคามีการเบรคจากแนวโน้มเดิม
Fibonacci Extension คืออะไร?
Fibonacci Extension คือเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้คาดการณ์ระดับราคาในอนาคต โดยอิงจากการเคลื่อนไหวของราคาก่อนหน้า และใช้ตัวเลขอัตราส่วน Fibonacci เช่น 127.2%, 161.8%, และ 261.8% ตัวเลขเหล่านี้ถูกใช้เพื่อคาดการณ์แนวรับและแนวต้านของการเคลื่อนไหวของราคา เมื่อราคามีการขยับไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
ตัวเลข Fibonacci เกิดจากลำดับ Fibonacci ซึ่งเป็นลำดับตัวเลขที่แต่ละตัวเลขจะเท่ากับผลบวกของสองตัวเลขก่อนหน้า (เช่น 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13 เป็นต้น) เมื่อเราหาอัตราส่วนระหว่างตัวเลขในลำดับ Fibonacci ก็จะได้ค่าเช่น 0.618, 1.618, และอื่น ๆ ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่มักใช้ในการคาดการณ์แนวโน้มของตลาด
วิธีใช้งาน Fibonacci Extension
ในการเทรด Forex
ในการใช้งาน Fibonacci Extension นักเทรดจะต้องทำตามขั้นตอนเหล่านี้:
เลือกแนวโน้มหลัก: เริ่มต้นด้วยการหาจุดที่เป็นแนวโน้มหลัก โดยมองหาการเคลื่อนไหวของราคาที่ชัดเจนว่ามีการปรับตัวขึ้นหรือลงจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่ราคามีการปรับตัวขึ้น ให้หา “Swing Low” (จุดต่ำสุด) และ “Swing High” (จุดสูงสุด) ของแนวโน้ม
วาด Fibonacci Extension: ใช้เครื่องมือ Fibonacci Extension จากแพลตฟอร์มการเทรด (เช่น MetaTrader หรือ TradingView) โดยลากจากจุด Swing Low ไปยังจุด Swing High หลังจากนั้น ให้ลากไปยังจุด Swing Low ที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ (จุดพักตัวของราคาหลังจากแนวโน้มเดิม)
สังเกตระดับ Fibonacci: ระบบจะคำนวณระดับ Fibonacci Extension เช่น 127.2%, 161.8%, และ 261.8% ซึ่งเป็นจุดที่ราคาอาจไปถึงเมื่อแนวโน้มมีการขยายตัวต่อไป ข้อมูลนี้สามารถใช้ในการคาดการณ์จุดออกหรือวางแผนกลยุทธ์การเทรด เช่น การตั้งจุด Take Profit
ตรวจสอบสัญญาณยืนยัน: แม้ว่า Fibonacci Extension จะช่วยในการคาดการณ์ระดับราคาในอนาคต แต่ก็ควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อยืนยัน เช่น Moving Average หรือ MACD เพื่อช่วยในการตัดสินใจอย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
การประยุกต์ใช้ในกลยุทธ์การเทรด
การตั้งเป้าหมายกำไร: Fibonacci Extension ใช้เพื่อคาดการณ์ระดับราคาที่ราคาอาจไปถึงในอนาคต ทำให้นักเทรดสามารถตั้งเป้าหมายกำไรได้จากระดับต่าง ๆ เช่น 127.2% หรือ 161.8%
การใช้ร่วมกับการ Breakout: เมื่อราคาทะลุแนวต้านหรือแนวรับสำคัญ Fibonacci Extension สามารถใช้เพื่อคาดการณ์แนวต้านถัดไปของราคา นักเทรดสามารถใช้ระดับต่าง ๆ ของ Fibonacci Extension เพื่อหาจุดที่เหมาะสมในการเปิดและปิดคำสั่งซื้อขาย
การยืนยันทิศทางตลาด: หากราคามีการปรับตัวถึงระดับ Fibonacci Extension ที่สำคัญ เช่น 161.8% และยังคงมีการเคลื่อนไหวต่อไป อาจเป็นสัญญาณว่าตลาดมีแนวโน้มที่แข็งแรง ซึ่งสามารถใช้เพื่อยืนยันการเข้าสู่ตลาดหรือการถือสถานะต่อไป
ข้อควรระวังในการใช้ Fibonacci Extension
ไม่ควรใช้เดี่ยวๆ: Fibonacci Extension ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่น ๆ เพื่อให้การคาดการณ์แม่นยำยิ่งขึ้น
การคาดการณ์ไม่แม่นยำเสมอไป: แม้ Fibonacci Extension จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวางแผนการเทรด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องเสมอไป ราคามักมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะในตลาด Forex
ควรทดลองในบัญชีจำลองก่อน: สำหรับนักเทรดมือใหม่ ควรลองใช้ Fibonacci Extension ในบัญชีจำลองเพื่อทำความเข้าใจและทดสอบก่อนนำไปใช้ในการเทรดจริง
สรุป
Fibonacci Extension เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการคาดการณ์ระดับราคาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตของตลาด Forex โดยอิงจากทฤษฎีของเลข Fibonacci การใช้เครื่องมือนี้อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้นักเทรดสามารถวางแผนการเทรดได้อย่างชาญฉลาดขึ้น แต่การใช้งานควรทำร่วมกับเครื่องมือทางเทคนิคอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์
วิเคราะห์โอกาสหมดตัว ด้วย money and Time FrameCredit :ส่วนนึงนำมาจากช่อง cwayinvestment ยูทูป
- IM ของ S50 futures คือ 6860 บาท ต่อ 1 สัญญา
หมายความว่า ถ้าวางเงิน 6860 บาท แล้วเรามองว่าน่า Short ถ้าตลาด ลงจริง เราก็ได้ pay off ต้องมากกว่า 1 จุดเพราะ ว่าหักค่า comm ถึงได้กำไรเช่น 920 ลงมา 919 ยังไม่ได้กำไร จะได้กำไรต่อเมื่อต่ำกว่า 919
- ถ้าตลาดไปผิดทางที่เราคาล่ะ ก็จะขาดทุน จนถึง MM ก็ต้องเอาเงินมาเติมให้ครบ IM เช่น MM อยู่ที่ 3440 แล้ว พอร์ทเราต่ำกว่า MM เราควรนำเงินมาเติมให้กลับไปที่ IM เพื่อความปลอดภัยไม่ถูกปิดสัญญา
- จากบทวามข้างต้น การวางเงิน ที่ IM ไม่ฉลาด เพราะ พอร์ตไม่มั่นคง ทำให่อารมณ์เราไม่มั่นคง อ่อนไหวง่ายเมื่อตลาดผิดทาง
- Professional เขาจะวางมากกว่า ปรมะณ 3 เท่าหรือต่ำกว่า เพื่อกันราคาสะบัด ลองคิดดูว่าวันนึงสะบัดไป 50 จุดแล้วเราผิดทางทั้ง 50 จุด หมายความว่า เราขาด 10,000 ต่อหนึ่งสัญญา
- มูลค่าของ Set50 นำตัวคูณ 200 มา คูณราคาปัจจุบัน สมมติว่า 900 จุด แสดงว่า Set50มีมูลค่า 180,000 บาท เราวางเิงน 180,000 บาทต่อ 1 สัญญา ความเสี่ยงในการโดนราคาสะบัดจะหายไปทันทีเพราะ ไม่มีทางสะบัดเหลือ 0
- Timeframe มาเกี่ยวอะไร เราให้ TF เพื่อดูการสะบัดของราคา ถ้าเราวางเงินเยอะ เราสามารถใช้ TF ใหญ่ได้ลดความผันผวนทางอารมณ์ สำหรับขา Long
- แต่ถ้าเราวางต่ำมาก ๆ แล้วเรายังไม่คุ้นกับนิสัย S50 แฟนของเรา ซึ่งอารมณ์ขึ้นๆลงๆ เราจะเสี่ยงมากในการ ปิดๆเปิดๆ สัญญา แล้วค่า comm ก็จะเสียไป สรุปเดือนนึง ค่า comm แพงกว่าขาดทุนจาก futures
รูปแบบกราฟปู Crab Pattern สายตั้ง SL ต้องดักยาวๆรูปแบบกราฟปู (Crab Pattern)
สายตั้ง SL ต้องดักยาวๆ
👽👽👽 กลับมากันอีกแล้วกับบทความดีๆ และเทคนิคการวิเคราะห์รูปแบบต่างๆในการเทรดจากบทความที่แล้วเราได้รู้จักกับรูปแบบกราฟ harmonic ประเภทต่างๆกันไปแล้ว แต่มันยังไม่หมดครับ มาต่อกันที่รูปแบบปู กันบ้างดีกว่า รูปแบบนี้ทำกำไรเด็ดไม่แพ้กราฟตัวอื่นๆกันเลยทีเดียวเชียว
รูปแบบกราฟปู (Crab Pattern)
Crab Pattern หรือรูปแบบปู เป็นหนึ่งในรูปแบบ Harmonic Pattern ที่พัฒนามาจากรูปแบบ Gartley ความพิเศษของมันคือความยาวในการสวิงตัวของ XA และ CD ซึ่งจุด D จะอยู่ไกลมาก และยาวมาก ทำให้ Crab มีความแตกต่างจากรูปแบบ Harmonic อื่นๆ
จุดเด่นของ Crab Pattern
เป็นรูปแบบที่มีสี่คลื่นและห้าจุด (XABCD) ที่ประกอบด้วยคลื่นซีดีแบบยาว ขาซีดีแบบยาวแสดงถึงการเคลื่อนไหวที่เฉียบคม ซึ่งมันจะคอยตามล่าจุด SL ของผู้ค้าปลีกแล้วย้อนกลับไปยังทิศทางหลักอีกครั้ง
Trade Setup ด้วย Crab Pattern
- จุด B อยู่ที่จุกพักตัวระดับ 38.2-61.8% ของ XA
- จุด C สามารถอยู่ที่จุดพักตัวระดับ 38.2% -88.6% ของ AB
- จุด D สามารถพบได้ที่ส่วนขยายของ AB ที่ระดับ 224% -316% หรือที่ส่วนขยายของ XA ที่ระดับ 161.8% ยิ่งจุด D เข้าใกล้ส่วนขยายของ X ที่ 161.8% มากเท่าไหร่ สัญญาณของรูปแบบนี้ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น
วิธีการเทรด
จุดเข้าอยู่ที่จุด D. ต้องรอให้ตลาดเกิดการกลับตัวจาก CD ก่อนเปิดออเดอร์เสมอ
Take Profit อาจอยู่ที่ระดับ 61.8% ของ CD (TP1) และ 127.2% ของ CD (TP2) ใส่ Stop Loss ให้สอดคล้องกับกฎการบริหารความเสี่ยงของคุณ
มาดูลักษณะของรูปแบบปูที่อยู่บนแผนภูมิ จุด B อยู่ที่จุดพักตัวระดับ 61.8% ของ XA ส่วนจุด D อยู่ใกล้กับส่วนขยายระดับ 161.8% ของ XA
ทริคและการเข้าเทรดแบบย่อๆ
1. แพทเทิร์นในรูปแบบนี้ การกลับตัวจะอยู่ลึกถึงระดับฟีโบนักชีที่ 88.6 เสมอ
2.แพทเทรินนี้ ไม่เหมาะสำหรับสายตั้ง SL สั้นๆ เพราะอาจโดนรวบกินหมดสะก่อน ก่อนที่จะกลับตัว
3. ใช้ควบคู่กับระบบหรือสัญญาณ แท่งเทียน ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มความแม่นยำให้กับระบบ
4. ใช้ Fibonacci ในการตรวจเช็คสัดส่วน ว่าเป็นไปตามทฤษฎีหรือไม่ ก่อนที่จะทำการวางแผนการเทรดจริง
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ได้ทริคการเทรดใหม่ๆกันไปแล้วก็อย่าลืมเอาไปลองใช้กันดูบ้างนะครับ รูปแบบปูนี้ไม่เหมาะกับเทรดเดอร์สาย SL สั้นๆนะฮะ ไม่งั้นหมดตัวแน่นอน หากใครชอบก็ลองเอาไปใช้เทรดกันดูฮะ เหมาะกับการเทรดทองมากๆ
และที่สำคัญอย่าลืม MM และสร้างแผนการเทรดที่ดีด้วยนะครับ จะช่วยทำให้เราแกร่งมากยิ่่งขึ้น และเจ็บน้อยลง แอดเอาใจช่วยนะครับ
“ไหล่-หัว-ไหล่”: อัตราความสำเร็จที่แท้จริง“ไหล่-หัว-ไหล่”: อัตราความสำเร็จที่แท้จริง
ไหล่ - หัว - ไหล่ถอยหลัง: ตรวจสอบปริมาตรที่จุดขาดเส้นขีด!!
นี่คือสิ่งที่เราสามารถพูดได้เกี่ยวกับอัตราความสำเร็จของรูปแบบไหล่-หัว-ไหล่แบบกลับหัวในการซื้อขาย:
-รูปแบบหัว-ไหล่แบบกลับหัวถือเป็นหนึ่งในรูปแบบกราฟที่น่าเชื่อถือที่สุดสำหรับการคาดการณ์การกลับตัวของตลาดกระทิง
-ตามแหล่งข้อมูลบางแห่ง อัตราความสำเร็จของรูปแบบนี้สูงมาก โดยประมาณ 98% ของกรณีส่งผลให้เกิดภาวะกระทิง
- แม่นยำยิ่งขึ้น ในกรณี 63% ราคาจะถึงเป้าหมายราคาที่คำนวณจากรูปแบบเมื่อคอหัก
-การดึงกลับ (กลับไปที่แนวคอหลังจากการฝ่าวงล้อม) จะเกิดขึ้นใน 45% ของกรณี
-อย่างไรก็ตาม ควรสังเกตว่าตัวเลขที่มองโลกในแง่ดีเหล่านี้ต้องมีคุณสมบัติ แหล่งข้อมูลอื่นๆ ระบุถึงอัตราความสำเร็จเล็กน้อย ประมาณ 60%
-ความน่าเชื่อถือของตัวเลขขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความเคารพต่อสัดส่วน การหักของคอเสื้อ ปริมาตร ฯลฯ จำเป็นต้องมีการวิเคราะห์อย่างเข้มงวด
- ขอแนะนำให้ใช้ตัวเลขนี้เพิ่มเติมจากตัวบ่งชี้และการวิเคราะห์อื่นๆ แทนที่จะพึ่งตัวเลขนั้นแบบสุ่มสี่สุ่มห้า
โดยสรุป แม้ว่าการกลับหัว-ไหล่จะถือเป็นตัวเลขที่น่าเชื่อถือมาก แต่อัตราความสำเร็จที่แท้จริงของมันน่าจะใกล้เคียงกับ 60-70% มากกว่าที่ 98% อ้างกันในบางครั้ง ยังคงเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังและนอกเหนือจากการวิเคราะห์อื่นๆ
-
ไหล่-หัว-ไหล่:
นี่คือสิ่งที่เราสามารถพูดได้เกี่ยวกับอัตราความสำเร็จของรูปแบบไหล่-หัว-ไหล่ในการซื้อขาย:
-รูปแบบ Head-and-Shoulder ถือเป็นรูปแบบกราฟที่น่าเชื่อถือที่สุดรูปแบบหนึ่ง แต่อัตราความสำเร็จที่แน่นอนของรูปแบบนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักวิเคราะห์ทางเทคนิค นี่คือสิ่งสำคัญที่ต้องจำ:
- แหล่งข้อมูลบางแห่งอ้างว่ามีอัตราความสำเร็จที่สูงมาก สูงถึง 93% หรือ 96% อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้อาจเกินจริงและไม่สะท้อนถึงความเป็นจริงของการซื้อขาย
-ในความเป็นจริง อัตราความสำเร็จน่าจะน้อยกว่านี้ การศึกษาที่อ้างถึงระบุว่าราคาบรรลุเป้าหมายประมาณ 60% สำหรับเคสแบบสวมหัวและไหล่แบบคลาสสิก
-สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่า ไหล่-หัว-ไหล่ไม่ใช่รูปร่างที่เข้าใจผิดได้ การมีอยู่ของมันเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะรับประกันการพลิกกลับของแนวโน้ม
-ความน่าเชื่อถือของตัวเลขขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ความเคารพต่อสัดส่วน การหักของคอเสื้อ ปริมาตร ฯลฯ จำเป็นต้องมีการวิเคราะห์อย่างเข้มงวด
-เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์หลายคนแนะนำให้ใช้ตัวเลขนี้นอกเหนือจากตัวบ่งชี้และการวิเคราะห์อื่นๆ แทนที่จะพึ่งพาตัวเลขนี้แบบสุ่มสี่สุ่มห้า
โดยสรุป แม้ว่ารูปแบบแบบไหล่-หัว-ไหล่ถือเป็นรูปแบบที่เชื่อถือได้ แต่อัตราความสำเร็จที่แท้จริงของรูปแบบนี้น่าจะใกล้เคียงกับ 60% มากกว่าแบบ 90%+ ที่บางครั้งอ้างไว้ ยังคงเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังและนอกเหนือจากการวิเคราะห์อื่นๆ
-
หมายเหตุ: เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว รูปแบบ head-and-shoulder แบบคลาสสิก (ตลาดหมี) จะมีอัตราความสำเร็จที่ต่ำกว่าเล็กน้อย โดยประมาณ 60% ของกรณีที่บรรลุวัตถุประสงค์ด้านราคา
“Fan Principle” เป็นเทคนิคที่ทรงพลังในการซื้อขาย โดยใช้เส้นแนวโน“Fan Principle” เป็นเทคนิคที่ทรงพลังในการซื้อขาย โดยใช้เส้นแนวโน้มเพื่อทำนายการเคลื่อนไหวของราคา
ไฮไลท์
📈 เทคนิคอันทรงพลัง: หลักการของพัดลมนั้นน่าเกรงขามในการวิเคราะห์ทางเทคนิค
📉 การระบุจุด: การวาดเส้นแนวโน้มจากจุดสำคัญสามจุด
🔴 สัญญาณการซื้อขาย: สามารถระบุสัญญาณซื้อหรือขายได้ขึ้นอยู่กับการกำหนดค่า
📊 ตัวอย่างเชิงปฏิบัติ: การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาบนกราฟเพื่อแสดงเทคนิค
💰 โอกาสในการสร้างรายได้: กลยุทธ์สามารถส่งผลให้ได้รับผลกำไรอย่างมาก มากถึง 22%
🛑 การจัดการความเสี่ยง: ความสำคัญของการวางจุดหยุดขาดทุนเพื่อปกป้องการลงทุน
🔍 แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม: ข้อมูลโดยละเอียดและกราฟิกจะถูกแชร์เพื่อทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญ
📈 ประสิทธิผลของเทคนิค: Fan Principle ช่วยระบุแนวโน้มที่ชัดเจนโดยใช้จุดอ้างอิง ทำให้กลยุทธ์ทั้งง่ายและมีประสิทธิภาพ
📉 ความสำคัญของการยืนยัน: การตรวจสอบเส้นแนวโน้มด้วยจุดที่สามจะสร้างความมั่นใจในสัญญาณการซื้อขาย เพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ
🔴 สัญญาณเตือน: สัญญาณการขายหรือซื้อดังที่แสดงในวิดีโอสามารถนำไปสู่การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ตามการวิเคราะห์ในอดีต
📊 การวิเคราะห์ด้วยภาพ: การแสดงข้อมูลบนกราฟช่วยในการทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวของตลาด ซึ่งจำเป็นสำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิค
💰 ศักยภาพในการสร้างรายได้: การซื้อขายตามหลักการของ Fan สามารถให้โอกาสในการได้รับผลกำไรที่สำคัญ โดยเน้นย้ำถึงประสิทธิภาพของมัน
🛑 กลยุทธ์การป้องกัน: การวางจุดหยุดการขาดทุนเหนือจุดแนวต้านเป็นสิ่งสำคัญในการจำกัดการขาดทุนในกรณีที่มีการเคลื่อนไหวของตลาดในเชิงลบ
🔍 การเข้าถึงแหล่งข้อมูล: ข้อมูลที่แชร์ในคำอธิบายและบนแพลตฟอร์มอื่น ๆ เป็นวิธีในการทำความเข้าใจทางเทคนิคให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นและพัฒนาทักษะการซื้อขาย
-
หลักการทั่วไปในการซื้อขายคือกลยุทธ์ซึ่งประกอบด้วยการเปิดหลายตำแหน่งในสินทรัพย์เดียวกันในระดับราคาที่แตกต่างกัน ประเด็นหลักของแนวทางนี้มีดังนี้:
การทำงาน
แนวคิดคือการเปิดหลายตำแหน่ง (หรือ "ล็อต") ในสินทรัพย์ทางการเงินเดียวกันในระดับราคาที่แตกต่างกัน ซึ่งทำให้เกิด "ช่วง" ของตำแหน่ง
ตำแหน่งเหล่านี้เปิดในจุดที่พิจารณาถึงการกลับตัวของตลาดที่อาจเกิดขึ้น
วัตถุประสงค์คือเพื่อให้ตำแหน่งเหล่านี้เปิดเผยเหมือนอย่างพัดหรือค่อยๆ ปิดขึ้นอยู่กับการพัฒนาของตลาด
ประโยชน์
การกระจายความเสี่ยง: ด้วยการเข้าสู่ตลาดในระดับที่แตกต่างกัน เทรดเดอร์จะลดผลกระทบของการเข้าที่ไม่ดีเพียงครั้งเดียว
การจับความเคลื่อนไหว: วิธีการนี้ช่วยให้คุณใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะต่างๆ
ความยืดหยุ่น: เทรดเดอร์สามารถปรับกลยุทธ์ของเขาได้โดยการปิดบางสถานะในขณะที่ยังคงเปิดสถานะอื่นไว้
เครื่องมือเพิ่มเติม
หลักการพัดสามารถใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพได้:
Fibonacci Fan: เครื่องมือนี้จะวาดเส้นแนวโน้มที่ระดับสำคัญโดยอัตโนมัติ (38.2%, 50%, 61.8%) ซึ่งสามารถใช้เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับตำแหน่งแฟน ๆ
Gann Angles: เส้นเหล่านี้วาดในมุมที่แตกต่างกัน (82.5°, 75°, 71.25° ฯลฯ) ยังสามารถช่วยระบุระดับที่เป็นไปได้ในการเปิดตำแหน่ง
RSI (Relative Strength Index): เทรดเดอร์บางรายรวมหลักการพัดเข้ากับ RSI เพื่อยืนยันจุดเริ่มต้น
ข้อควรพิจารณาที่สำคัญ
กลยุทธ์นี้จำเป็นต้องมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการเปิดหลายตำแหน่ง
สิ่งสำคัญคือต้องตั้งค่าระดับ Stop-Loss และ Take-Profit สำหรับแต่ละตำแหน่งในช่วง
การใช้แนวทางนี้จำเป็นต้องมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับตลาดและประสบการณ์การซื้อขายที่สำคัญ
การ Breakout และ Retest: คู่มือสำหรับนักลงทุนเชื่อได้ว่าหลายคนที่เทรด ไม่ว่าจะตลาดใหนก็น่ารู้จักรูปแบบการเทรด Breakout หรือการเทรดเมื่อราคาทะลุกรอบราคา แต่มีหลายครั้ง ที่เกิดการเบรคหลอก หรือ False Breakout และทำให้เราติดดอย วันนี้เราเลยแนะนำ สิ่งที่เพิ่มนัยยะการเบรคให้แม่นสูงขึ้น นั้นคือ Retest
เชื่อได้ว่าหลายคนที่เทรด ไม่ว่าจะตลาดใหนก็น่ารู้จักรูปแบบการเทรด Breakout หรือการเทรดเมื่อราคาทะลุกรอบราคา แต่มีหลายครั้ง ที่เกิดการเบรคหลอก หรือ False Breakout และทำให้เราติดดอย วันนี้เราเลยแนะนำ สิ่งที่เพิ่มนัยยะการเบรคให้แม่นสูงขึ้น นั้นคือ Retest
รูปแบบราคาที่เกิดหลังจากที่มีการ Breakout ราคาได้กลับขึ้นมาทดสอบแนวเดิมที่เบรค และไม่สามารถที่กลับทะลุแนวที่ Breakout หรือทดสอบไม่ผ่าน เป็นการบอกว่า แรงซื้อขายที่สวนขึ้นมาน้อยกว่า แรงส่งราคา Breakout เป็นนัยยะที่คัญที่ Breakout จะไปต่อ
เหตุใดการ Breakout และ Retest จึงสำคัญ?
ระบุจุดเข้าซื้อและขาย: การ Breakout และ Retest ช่วยให้นักลงทุนระบุจุดเข้าซื้อและขายที่เป็นไปได้
ยืนยันแนวโน้ม: การ Retest ที่สำเร็จ (ราคาไม่สามารถทะลุผ่านแนวต้านหรือแนวรับเดิมอีก) สามารถยืนยันแนวโน้มใหม่ได้
ลดความเสี่ยง: การเข้าซื้อหลังจากการ Retest สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเข้าซื้อที่จุดสูงสุดของการเคลื่อนไหวของราคา
วิธีการใช้การ Breakout และ Retest ในการลงทุน
ระบุแนวต้านและแนวรับ: ใช้เครื่องมือทางเทคนิค เช่น เส้นแนวโน้ม หรือตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อระบุแนวต้านและแนวรับที่สำคัญ
สังเกตการ Breakout: เมื่อราคา Breakout ผ่านแนวต้านหรือแนวรับ ให้เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของราคาอย่างใกล้ชิด
รอการ Retest: รอให้ราคา Retest กลับมาที่ระดับแนวต้านหรือแนวรับเดิม
ตัดสินใจเข้าซื้อหรือขาย: หากราคาไม่สามารถทะลุผ่านแนวต้านหรือแนวรับเดิมอีกครั้ง ให้พิจารณาเข้าซื้อหรือขายตามแนวโน้มใหม่
สิ่งที่ควรระวัง
สัญญาณปลอม: ไม่ใช่ทุกการ Breakout จะนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาในระยะยาวเสมอไป
การวิเคราะห์เพิ่มเติม: ควรใช้เครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ
การบริหารความเสี่ยง: กำหนดจุด Stop-loss เพื่อจำกัดความเสียหายหากการคาดการณ์ผิดพลาด
Breakout ในการเทรด Forex: โอกาสหรือกับดัก?Breakout เป็นกลยุทธ์การเทรด Forex ยอดนิยมที่ใช้เพื่อคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของราคา โดยอาศัยการวิเคราะห์กราฟ
แนวคิดหลัก ของ Breakout
คือ การที่ราคาสินทรัพย์ทะลุผ่านแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางของราคา
ตัวอย่าง: สมมติว่าราคา EUR/USD อยู่ในกรอบแนวรับแนวต้านที่ 1.1000 – 1.1200 มานานหลายสัปดาห์
กรณี Breakout ขาขึ้น: หากราคาปิดเหนือ 1.1200 อย่างชัดเจน อาจเป็นสัญญาณว่าราคาจะเคลื่อนที่ต่อไปในทิศทางขาขึ้น
กรณี Breakout ขาลง: หากราคาปิดต่ำกว่า 1.1000 อย่างชัดเจน อาจเป็นสัญญาณว่าราคาจะเคลื่อนที่ต่อไปในทิศทางขาลง
อย่างไรก็ตาม Breakout ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดที่สมบูรณ์แบบเสมอไป:
Breakout หลอก: บางครั้งราคาอาจทะลุแนวรับหรือแนวต้าน แต่แล้วก็กลับมาในกรอบอีกครั้ง เรียกว่า “Breakout หลอก”
การตีความ: การตีความ Breakout ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค ข่าวสาร และสภาวะตลาดโดยรวม
กลยุทธ์ Breakout ทั่วไป:
การรอการยืนยัน: รอให้ราคาปิดเหนือหรือต่ำกว่าแนวรับแนวต้านอย่างชัดเจน 2-3 ครั้ง
การตั้งจุดตัดขาดทุน: กำหนดจุดตัดขาดทุนไว้ต่ำกว่าแนวรับ (สำหรับ Breakout ขาขึ้น) หรือสูงกว่าแนวต้าน (สำหรับ Breakout ขาลง)
การตั้งเป้าหมาย: กำหนดเป้าหมายการทำกำไรตามแนวต้านหรือแนวรับถัดไป
ข้อดีของ Breakout:
โอกาสในการทำกำไร: Breakout อาจนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็ว
การระบุจุดเข้า: Breakout ช่วยให้ระบุจุดเข้าซื้อหรือขายที่ชัดเจน
ข้อเสียของ Breakout:
ความเสี่ยง: Breakout อาจเป็น Breakout หลอก
การสูญเสีย: อาจสูญเสียเงินหากตั้งจุดตัดขาดทุนไม่เหมาะสม
สรุป:
Breakout เป็นกลยุทธ์การเทรด Forex ที่มีประสิทธิภาพ แต่ต้องใช้อย่างชาญฉลาด ควรศึกษา Breakout ควบคู่กับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ ฝึกฝนการเทรดบนบัญชีทดลอง และมีการจัดการความเสี่ยงที่ดี
How to mark POIการเรียงลำดับความสำคัญโซนจะเรียงตามนี้
1. order flow
2. imbalance
3. order block
Note
- ให้ความสำคัญที่ order flow ก่อน แต่กรณีไม่มี unmitigated order flow เลยถึงจะใช้ order block สำหรับ entry
- ถ้าไม่มีข้อ 1-3 เลย รอเกิด BOS swing low หรือ swing High ก่อนค่อยหาจุด entry
- กรณีจาก Low ถึง High มี order flow มากกว่า 2 จุด
ถ้า Buy เริ่มจาก High ให้ความสำคัญกับโซนแรกสุดใต้ IDM และ โซนสุดท้ายด้านล่างสุด
ถ้า sell เรื่มจาก Low ให้ความสำคัญโซนแรกสุดเหนือ IDM และ โซนสุดท้ายด้านบนสุด
MARKET STRUCTURE + MULTIPLE TIMEFRAMEMARKET STRUCTURE + MULTIPLE TIMEFRAME
เมื่อเราเข้าใจหลักการการเชื่อม Timeframe แต่ละ Timeframe ว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร การเทรดของเราก็จะดีขึ้น
เข้าใจไว้เสมอว่า เมื่อเราหาจุดเข้าใน lower timeframe ให้เราเทรดตามเทรนด์หลัก อย่าคิดสวนเทรนด์ใหญ่ Primary trend (High timeframe)
การใช้งาน multiple timeframe, เข้าใจ higher timeframe, middle timeframe, small timeframe ต้องสอดคล้องซึ่งกันและกัน
การฟอร์มตัวของราคา การเสียหรือเบรกโครงสร้างของราคาใน lower timeframe จะส่งผลให้ Higher timeframe เกิด reaction ไปยังทิศทางเดียวกันเสมอ
Multiples timeframe กับ ความสัมพันธ์กันของ Market structure
1. ดู timeframe ใหญ่ให้ออกก่อนเสมอ เพื่อคลุมขอบเขตรอบการขึ้น-ลง
2. เช็ค sub-wave เพื่อหาจุดเชื่อมต่อของ HTF, MTF, STF
3. สรุป timeframe ที่ link ทำ sub-wave ซึ่งกันและกัน และทำการตั้งโจทย์เพื่อหารอบการเล่น
4. ย่อยไปใน timeframe ที่เล็กลงเพื่อหาจุดเข้า
Fair Value Gap (FVG): ช่องว่างราคาที่ดึงดูดเม็ดเงินในตลาดFair Value Gap (FVG) หรือ ช่องว่างราคาที่สมเหตุสมผล เป็นเทคนิคการวิเคราะห์กราฟราคาแบบ Price Action ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่เทรดเดอร์ forex และตลาดอื่นๆ โดยใช้หลักการที่ว่า ราคา มักจะ “ดึงดูดตัวเองกลับไปยังพื้นที่ที่มีราคาสมเหตุสมผล” ซึ่งช่องว่างราคาที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงที่มีการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็ว มักถูกมองว่าเป็นพื้นที่ที่ราคา “ไม่สมดุล” และมีโอกาสสูงที่ราคาจะ “กลับมาทดสอบ” หรือ “เติมเต็ม” ช่องว่างราคานั้นในภายหลัง
ลักษณะของ Fair Value Gap
เกิดจาก “การเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรง” ท่ีทิ้งช่องว่างราคาไว้
มักเกิดขึ้นในช่วง “ตลาดปิด” เช่น ช่วงสุดสัปดาห์ หรือช่วงกราฟก่อนหน้า
แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ
Overvalued FVG: ช่องว่างราคาท่ีเกิดขึ้น “เหนือ” ราคาปัจจุบัน
Undervalued FVG: ช่องว่างราคาท่ีเกิดขึ้น “ต่ำกว่า” ราคาปัจจุบัน
การนำ Fair Value Gap ไปใช้งาน
ระบุ Fair Value Gap: หาจุดท่ีราคาเกิดช่องว่างขึ้นบนกราฟ
วิเคราะห์รูปแบบราคา: ดูว่าราคาเคยมี “ปฏิกิริยา” กับช่องว่างราคานั้นอย่างไรในอดีต
กำหนดจุดเข้า: รอจังหวะท่ีราคา “กลับมาทดสอบ” หรือ “เติมเต็ม” ช่องว่างราคา
วางแผนการเทรด: กำหนดจุดตัดขาดกำไร (Stop Loss) และจุดทำกำไร (Take Profit)
ข้อควรระวัง
FVG ไม่ใช่สัญญาณท่ีสมบูรณ์แบบ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ท่ีต้องพิจารณาประกอบการตัดสินใจ
ควรใช้ FVG ควบคู่กับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ
การเทรดโดยใช้ FVG มีความเสี่ยง ควรศึกษาและฝึกฝนก่อนใช้งานจริง
indicator สำหรับคนที่ไม่อยากตีกรอบเอง
ในยุคปัจจุบันก็มี indicator FVG เยอะมาก ที่จะมาช่วยในการเทรด หรือมองกรอบ ช่วยลดเวลา และ เพิ่มความถูกต้องการเทรดได้ มีทั้ง ฟรี และเสียเงิน