Retest Trading แบบไหนให้ได้กำไรRetest Trading แบบไหนให้ได้กำไร
👽👽 เคยเป็นกันบ้างมั้ยกับการอ่านกราฟทางเทคนิคแล้วโดนกราฟหลอก ไปทางไหนก็ผิดทาง รีเทสแล้ว รีเทสอีก ก็ยังผิดทาง หรือเราจะอ่านกราฟผิดกันนะ มาครับ บทความนี้แอดมีคำตอบให้
กลไกของกลยุทธ์การ Retest
กลไกของกลยุทธ์ Retest มักมาควบคู่กันพร้อมกับ Breakout เสมอ หลักและใจความสำคัญ ที่จำเป็นในการเทรดก็คือการอ่านแนวรับแนวต้านให้ออก และจำเป็นต้องใช้เครื่องมือตัวบ่งชี้ทางเทคนิคช่วยด้วยอีกทางหนึ่ง
สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงก็คือ
1. เมื่อกราฟราคาพุ่งขึ้นสูงสุดหรือลงต่ำสุด และทะลุแนวรับหรือแนวต้าน โดยมีปริมาณ Volumn การซื้อขายที่สูงหรือต่ำตามมาติดๆ
- การ Breakout ในแนวรับหรือแนวต้าน จะเกิดขึ้นเป็นอันดับแรก
- อันดับต่อมาที่ต้องเฝ้าระวังคือ การย่อ..........หรือการเปลี่ยนทิศทางกระทันหันเพื่อหลอกล่อเม่าน้อยๆให้มาติดกับ
- ถัดจากการล่อเม่าเสร็จสิ้น ราคาจึงจะวิ่งกลับไป Retest ณ จุด จุด เดิมอีกครั้ง
- จุดนี้แหละ ที่เราต้องเฝ้าระวัง เพื่อหาจุดเข้าสวยๆเข้าฮะ
รูปแบบแท่งเทียนที่พบได้บ่อยที่สุดในกลยุทธ์ Break and Retest ได้แก่
1. Wedge Pattern แสดงถึงเส้นแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงภายในช่วงราคาที่แคบลงเรื่อยๆ
2. Consolidation Pattern บ่งบอกถึงช่วงราคาในแนวนอน หรือกราฟไซด์เวย์ สำหรับการเล่นสั้น ทั้งขาขึ้น และขาลง ซึ่งยังหาแนวโน้มที่ชัดเจนไม่ได้แต่คันมือ จัดเบาๆไปก่อน
3.Triangles Pattern รูปแบบสามเหลี่ยม คือการทะลุกรอบสามเหลี่ยมออกไป เป็นไปได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
4. The Channel Patterns แสดงถึงเส้นแนวโน้มเส้นขนาน ซึ่งเป็นไปได้ทั้งไซด์เวย์สลับฟันปลา และไซด์เวย์อัพ ไซด์เวย์ดาว์น โดยราคาจะวิ่งไต่กรอบเส้นเทรนไลน์ไปเรื่อยๆ เป็นเส้นคู่ขนาน
**** นอกจากรูปแบบแท่งเทียนแล้ว อินดิเคเตอร์ที่จัดว่าเด็ดและช่วยในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้แก่ MACD หรือ RSI เพื่อช่วยยืนยันทิศทางของแนวโน้มที่เราคาดการณ์ไว้
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ แอดหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เราอ่านกราฟได้ดี อ่านกราฟได้เก่งมากขึ้นนะครับ จำไว้เสมอว่ากราฟมีขึ้นแล้วก็มีลง ไม่ต้องไปเครียดกะมันหมั่นึกฝนและเพิ่มเติมความรู้อย่างสม่ำเสมอ รับรอง เทรดยังไงก็รอดครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM กันด้วยนะครับ วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่งแน่นอนครับ แอดเอาใจช่วยสู้ๆ
ไอเดียชุมชน
MARKET STRUCTURE เทรดเดอร์ต้องรู้ก่อนเทรดจริงMARKET STRUCTURE
เทรดเดอร์ต้องรู้ก่อนเทรดจริง
👯👯👯กลับมาพบเจอกันอีกเช่นเคยกับบทความที่เกี่ยวข้องกับเทคนิคการเทรดโดยตรงเลยฮะ ยิ่งโดยเฉพาะสำหรับมือใหม่หัดเทรดนี่ จัดว่าสำคัญมากๆเลย เพราะมันคือสิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้ และทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ มาครับ มาทำความรู้จักกับ MARKET STRUCTURE กันดีกว่า ว่ามันสำคัญอย่างไร
Market Structure โครงสร้างตลาด
โครงสร้างตลาดในการเทรด คือการทำความเข้าใจในเรื่อง หลักการการเชื่อมโยงกราฟใน Timeframe แต่ละ Timeframe ว่ามีความสัมพันธ์ุกันอย่างไร ไอ่เจ้าตัวนี้แหละที่ทำให้เราสามารถอ่านกราฟออก และทำให้การเทรดนั้นดูง่ายขึ้นเยอะเเลย
อันดับแรกต้องเข้าใจก่อนว่า กราฟแท่งเทียนนั้นมีคลื่นเวฟ และมีเทรนด์ในตัวของมันเอง อ้างอิงตามทฤษฎีดาว ( Dow Theory ) ซึ่งเป็นทฤษฎีอมตะ ทฤษฎีต้นแบบในการอ่านคลื่นกราฟ โดยสามารถจำแนกแบ่ง เทรนด์ในการเทรดคร่าวๆดังนี้
1. Primary Trend คือแนวโน้มเทรนด์หลัก เทรนด์ใหญ่ ซึ่งทำให้เราแยกกราฟออกได้ว่าเป็นแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง
2. Secondary Trend แนวโน้มรอง ส่วนใหญ่เทรนด์แนวโน้มรองมักจะเป็นเทรนด์ในกรอบระยะสั้น รวมไปถึงการพักตัวหรือสวิงเทรนด์ไซด์เวย์ และมีโอกาสที่ราคาจะไปต่อหรือกลับตัวได้เช่นกัน
3. Minor Trend แนวโน้มย่อย ส่วนใหญ่กรอบเทรนด์แนวโน้มย่อยมักจะอยู่ในกรอบ TF เล็กๆ วิ่งในระยะสั้นๆ และเป็นการย่อลงเพื่อไปต่อตามเทรนด์ในแนวโน้มใหญ่
แท่งเทียนของราคา ใน TF ต่างๆจึงมีความสัมพันธ์กันกับ Market structure
เปรียบเทียบการแบ่งแยก Timeframe เล็ก และใหญ่ ในกราฟคู่เงินเดียวกัน
การอ่านเทรนด์ออกจาก Timeframe (TF) หลายTimeframe จากใหญ่ ไป เล็ก จะทำให้เราอ่านกราฟออกและแบ่งแยกการเทรดได้ ว่าจะ Buy หรือ Sell และทำให้เราเห็นจุด โลว์ และ จุด ไฮ ( HH , HL, LL ) ที่ใกล้ที่สุด และโอกาสในการชนะก็ค่อนข้างได้เปรียบมากขึ้นอีกด้วย
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ง่ายๆเบสิค และทำให้หลายๆคนมองเห็นจุดเข้าที่ได้เปรียบได้มากขึ้น จากสัญญาณที่แตกต่างกันในหลาย TF แบบนี้เราก็จะเทรดได้ง่ายแถมกำไรดีขึ้นด้วยนี่สิ ว่าแล้วก็อย่าลืมเอาคู่การเทรดและ การอ่านสัญญาณจากแท่งเทียนมาฝึกกันดูนะครับ แอดบอกเลยว่า กำไรเพิ่มขึ้นแน่นอน แล้วอย่าลืม หมั่นฝึกฝนการเทรดให้ได้ทุกวัน ยิ่งเราเทรดบ่อยๆเราจะเก่งขึ้นเองครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM และสร้างแผนการเทรดที่ดีด้วยนะครับ จะช่วยทำให้เราแกร่งมากยิ่่งขึ้น และเจ็บน้อยลง แอดเอาใจช่วยนะครับ
ตัวอย่าง Terminal Impulse ที่ไม่ได้มี effect อย่างที่ทฤษฎีว่าไว้ในกราฟนี้เป็น Terminal Impulse แน่นอน ดูจากการ Overlap ของ 2-4 ก็เห็นชัดเจน แต่ก็ไม่ได้มี effect ที่ว่าจะลงไปจุดเริ่มต้นของมันเลย แถมขึ้นเกินไปอีก ดังนั้นก็ จะใช้อะไร เรียนอะไรมา เอามาแบ๊กเทสก่อนนะจ๊ะ อิอิ ตัวอย่างนี้ไม่ได้เป็นแค่ตัวอย่างเดียว ในกราฟอื่นๆก็มีให้เห็นบ่อยครับ ลองดูได้ รึบางที อาจจะเพราะเอามาใช้กับแท่งเทียน เลยเจอความ Sadly Disappointed เพราะไม่ใช่ Wave Chart กันนะ 🙃
วิธีใช้ ATR ในการเทรด Forexวิธีใช้ ATR ในการเทรด Forex:
การกำหนดระดับ Stop-Loss: เทรดเดอร์สามารถใช้ ATR ร่วมกับระดับแนวรับแนวต้านเพื่อกำหนดระดับ Stop-Loss โดยทั่วไปแล้ว Stop-Loss จะถูกวางไว้เหนือแนวต้านสำหรับการเทรด Long และต่ำกว่าแนวรับสำหรับการเทรด Short ATR ช่วยให้
เทรดเดอร์สามารถปรับระยะ Stop-Loss ให้เหมาะสมกับความผันผวนของตลาดได้
การระบุโอกาสในการ Breakout: ATR สามารถช่วยระบุโอกาสในการ Breakout ของราคา โดยทั่วไปแล้ว Breakout จะเกิดขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนไหวเกินกว่า ATR สองเท่า เทรดเดอร์สามารถใช้ Breakout เพื่อเข้าหรือออกจากการเทรด
การวัดความเสี่ยง: ATR เป็นเครื่องมือวัดความเสี่ยง เทรดเดอร์สามารถใช้ ATR เพื่อเปรียบเทียบความเสี่ยงของคู่สกุลเงินต่างๆ คู่สกุลเงินที่มีค่า ATR สูง มีความเสี่ยงสูงกว่าคู่สกุลเงินที่มีค่า ATR ต่ำ
การกรองสัญญาณ: ATR สามารถใช้เป็นเครื่องมือกรองสัญญาณจากตัวบ่งชี้ทางเทคนิคอื่นๆ ตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์อาจรอให้ ATR ลดลงก่อนที่จะเข้าซื้อหรือขายตามสัญญาณจาก RSI
ข้อจำกัดของ ATR:
ATR เป็นตัวบ่งชี้ที่ล้าหลัง: ATR คำนวณจากข้อมูลราคาในอดีต ดังนั้น ATR จึงไม่สามารถบอกอนาคตได้ เทรดเดอร์ควรใช้ ATR ควบคู่กับตัวบ่งชี้ทางเทคนิคอื่นๆ
ATR ไม่สามารถบ่งบอกทิศทางของราคา: ATR สามารถบอกเทรดเดอร์ได้ว่าราคาเคลื่อนไหวมากแค่ไหน แต่ ATR ไม่สามารถบอกเทรดเดอร์ได้ว่าราคาจะเคลื่อนไหวไปทางใด
ค่า ATR สามารถเปลี่ยนแปลงได้: ค่า ATR สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามเวลา เทรดเดอร์ควรติดตามค่า ATR อย่างใกล้ชิด
โดยสรุป:
ATR เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับเทรดเดอร์ Forex เทรดเดอร์สามารถใช้ ATR เพื่อกำหนดระดับ Stop-Loss ระบุโอกาสในการ Breakout วัดความเสี่ยง และกรองสัญญาณ อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์ควรตระหนักถึงข้อจำกัดของ ATR และใช้ ATR ควบคู่กับตัวบ่งชี้ทางเทคนิคอื่นๆ
MARKET STRUCTURE + MULTIPLE TIMEFRAMEMARKET STRUCTURE + MULTIPLE TIMEFRAME
เมื่อเราเข้าใจหลักการการเชื่อม Timeframe แต่ละ Timeframe ว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร การเทรดของเราก็จะดีขึ้น
เข้าใจไว้เสมอว่า เมื่อเราหาจุดเข้าใน lower timeframe ให้เราเทรดตามเทรนด์หลัก อย่าคิดสวนเทรนด์ใหญ่ Primary trend (High timeframe)
การใช้งาน multiple timeframe, เข้าใจ higher timeframe, middle timeframe, small timeframe ต้องสอดคล้องซึ่งกันและกัน
การฟอร์มตัวของราคา การเสียหรือเบรกโครงสร้างของราคาใน lower timeframe จะส่งผลให้ Higher timeframe เกิด reaction ไปยังทิศทางเดียวกันเสมอ
Multiples timeframe กับ ความสัมพันธ์กันของ Market structure
1. ดู timeframe ใหญ่ให้ออกก่อนเสมอ เพื่อคลุมขอบเขตรอบการขึ้น-ลง
2. เช็ค sub-wave เพื่อหาจุดเชื่อมต่อของ HTF, MTF, STF
3. สรุป timeframe ที่ link ทำ sub-wave ซึ่งกันและกัน และทำการตั้งโจทย์เพื่อหารอบการเล่น
4. ย่อยไปใน timeframe ที่เล็กลงเพื่อหาจุดเข้า
เราได้เรียนรู้อะไรจากกรณีหุ้น SET:EA รูด -85% จากยอด ATH?วันนี้เห็นเพจหุ้นลงข่าว EA ที่ไม่ใช่ Electronic Arts ค่ายเกมที่ชาวเกมเมอร์รู้จักกันดี แต่ดันเป็น Energy Absolute หุ้นไทยสายปั่นแทน
ชื่อนี้ผมเคยเห็นผ่านตามาแว่บๆ จากการตามเพจหุ้น แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก วันนี้นึกสงสัยก็เลยไปลองเปิดกราฟดูว่า มันเกิดไรขึ้นนะ ก็พบว่า
- หุ้นตัวนี้มีการลากขึ้นหลังตลาดถล่มช่วง covid ปี 2020 และลากไปพีคช่วงปลายปี 2021
- โดยลากขึ้นแบบโหดสัส คือ ขึ้นมาจากหลุมต่ำสุดราวๆ 280% หรือถ้าใครซื้อมาเฉลี่ยๆ ตอนตลาดตกหนัก ก็อาจจะมีกำไรราวๆ 2xx% up ตอนตลาด top
- แน่นอน การลากขึ้นตั้งเกือบ 300% ในระยะเวลาสั้นๆ ก็ทำให้หุ้นประเภทนี้กลายเป็น talk of the town of mang mao ไปไม่ต่างอะไรกับ DeFi, GameFi หรือ NFT ในช่วงปี 2021
- แต่ก็นั่นแหละ งานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกรา หลังจากพยายามจะทำ ATH อีกรอบในปี 2022 แต่ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายก็ร่วงลงมาใหม่ โดยเริ่มจากกราฟ day เสียทรง ตามมาด้วยกราฟ week และสุดท้ายระบบทุกอย่างก็แดงหมดแทบทุก timeframe
- หลังจากนั้นก็ตามที่เห็น ค่อยๆ ไหลลงมาเรื่อยๆ โดยวันที่เขียนบทความนี้ราคาก็ลงมาจาก ATH ถึง -85% ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับ shitcoins ทั้งหลายทั้งปวงที่พวกเราชาวคริปโตก็น่าจะคุ้นชินกันดี 555
--------------------
เรื่องนี้สอนให้เราเรียนรู้อะไร?
--------------------
- ตลาดเก็งกำไร ทุกอย่าง มันมีรอบของมันเสมอ รอบที่มันลากขึ้น ทุกคน happy มีกำไรกันเป็นกอบเป็นกำ คนแห่กันมาซื้อโดยไม่มองถึงความเสี่ยงที่มันอาจจะเกิดขึ้น
- ในรอบที่มันเริ่มออกข้าง ซึมๆ ไม่ไปไหน คนที่ติดดอยก็ยังทนถือด้วยความหวังว่า "เดี๋ยวมันก็คงจะไปต่อเหมือนทุกที ( buy & hope )" แต่ไม่เคยคิดว่า "แล้วถ้ามันไม่ไปต่อล่ะ เราจะทำยังไง"
- สุดท้าย พอมันจบรอบ ไปต่อไม่ได้ กราฟมันก็จะเริ่มเสียทรง เริ่มจาก daily มาเป็น weekly แต่คนที่ไม่มีแผนหนี เขาก็จะถือทนไปเรื่อยๆ และกลายเป็น VI จำเป็น
- และพอข่าวร้ายๆ ลงอย่างวันนี้ ... ราคาลงหนักๆ แบบนี้ ก็แน่นอน เขาเหล่านี้ก็จะขายออกมา และตลาดเริ่มวัฏจักรใหม่นั่นเอง 555
- ปล. แต่ผมก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นตัวนี้จะกลับขึ้นไปนะครับ ไม่มีใครรู้หรอก แต่ที่ผมรู้อย่างนึงคือ หุ้นอ่ะ ถ้ามันจะขึ้น มันไม่ได้กลับตัวพรวดเลย มันจะค่อยๆ ย่ำฐานแล้วค่อยๆ กลับขึ้นไปเป็นขาขึ้นใหม่ เราก็แค่ รอให้เป็นแค่นั้นเอง ช่วงเวลาแบบนี้อย่าไปรีบรับมีดดีที่สุดครับ กราฟหัวทิ่มขนาดนี้ นั่งดูเฉยๆ ดีกว่า ดูฟรีไม่เสียตัง ปล่อยให้เซียนเขาช้อนไม้ใหญ่ๆแล้วเอากำไรเบิ้มๆมาอวดกันไป ให้เราหมันไส้เล่น ดีกว่าครับ5555
การเทรดที่ดี ต้องมีกลยุทธ์ การจะเป็น Trader ที่ประสบความสำเร็จได้ จำเป็นจะต้องมีกลยุทธ์การเทรด จัดการซื้อขายให้เป็นระบบ เพื่อการทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ สิ่งที่เราต้องชัดเจนคือ กลยุทธ์ของเราคืออะไร สินทรัพย์ที่ต้องการเทรด กรอบระยะเวลา และระดับความเสี่ยงที่ตัวเองสามารถยอมรับได้ สิ่งที่นักลงทุนควรมี ได้แก่
1 ความสม่ำเสมอ: การมี Action Plan ของตัวเอง ที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการรักษากลยุทธ์เทรด ในขณะเดียวกัน ก็ลดอารมณ์ในการตัดสินใจของคุณให้เหลือน้อยที่สุด ความสม่ำเสมอ ดังกล่าวมักจะให้ผลลัพธ์ที่คาดการณ์ได้มากกว่าและเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมเมื่อเวลาผ่านไป
2 ความมั่นใจ: เมื่อตัวเองมี Playbook แล้ว คุณสามารถซื้อขายด้วยความมั่นใจในตนเองที่เพิ่มขึ้น โดยรู้ว่า คุณกำลังทำการกลยุทธ์ ที่ผ่านการทดสอบมาแล้ว ความมั่นใจนี้ จะช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล ช่วยให้คุณมีสมาธิและตัดสินใจได้ดี
3 ความสามารถในการปรับตัว: เมื่อเผชิญกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป การมี Playbook ไว้ใช้งานจะช่วยให้คุณสามารถปรับเปลี่ยน และปรับกลยุทธ์ได้ตามต้องการ ความสามารถในการปรับตัวนี้ เป็นปัจจัยสำคัญในการไปสู่ความสำเร็จได้
องค์ประกอบ 3 ประการของกลยุทธ์การเทรด
1. Pattern หรือ รูปแบบ : Pattern ของกราฟจะเป็นตัวกำหนดว่า จุดไหนเป็นจุดเข้าซื้อ จุดไหนเป็นจุดขาย โดยอาศัยการวิเคราะห์จากบริบท และรูปแบบกราฟ นำไปสู่การวิเคราะห์เชิงลึก
2. บริบท : ต้องทำเข้าใจบริบท สภาพแวดล้อมและสถานการณ์ที่อย่างถ่องแท้ เนื่องจากมีความสำคัญในการเพิ่มศักยภาพของกลยุทธ์การเทรดของคุณ เทรดเดอร์หลายคนเชื่อผิดว่า กลยุทธ์การซื้อขาย เป็นเพียงการระบุ
3. รูปแบบ หรือสิ่งกระตุ้นควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงขั้นพื้นฐาน
การบริหารความเสี่ยง: การจัดการความเสี่ยงที่ไม่ดี เป็นสาเหตุสำคัญของความล้มเหลวของเทรดเดอร์ มักเป็นผลมาจากการการขาดความเข้าใจ โดยแผนการจัดการความเสี่ยงของคุณไม่จำเป็นต้องซับซ้อนเกินไป แต่ต้องมีความชัดเจนและปฏิบัติตามอย่างขยันขันแข็ง ด้วยการปฏิบัติตามกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่แข็งแกร่ง คุณสามารถหลีกเลี่ยงหลุมพรางได้
สำหรับการซื้อขายรายวัน เราขอแนะนำดังต่อไปนี้
* ความเสี่ยงสูงสุด 1% ต่อการซื้อขาย
* ความเสี่ยงสูงสุด 2% ต่อวัน
* ความเสี่ยงสูงสุด 6% ต่อสัปดาห์
* ความเสี่ยงสูงสุด 10% ต่อเดือน
6 ขั้นตอนสำคัญในการสร้างและปรับแต่งกลยุทธ์การซื้อขายของคุณ:
1. กำหนด Trading Style : ไม่ว่าคุณจะเป็น Day Trade , Swing Trade หรือนักลงทุนระยะยาว ต้องเลือกกลยุทธ์ กรอบเวลา และเทคนิคการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น ระบุอัตราการชนะที่คุณต้องการ (เช่น 50%+) อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (เช่น 2R ขั้นต่ำ) และ Trading Style เช่น การเทรดแบบ Scalping การซื้อขายตามตำแหน่ง หรือ Swing Trade
2. หาข้อมูลวิจัย และเลือก Strategy: ศึกษากลยุทธ์การเทรดที่หลากหลาย และเลือกกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับ Trading Style ของเรา การยอมรับความเสี่ยง และเป้าหมายทางการเงิน
3. กำหนดเกณฑ์การเข้าและออก: สำหรับแต่ละกลยุทธ์ที่เลือก ให้กำหนดการเข้าและออกที่ชัดเจน กำหนดเป้าหมาย การหยุดการขาดทุนและกำไรของคุณเพื่อให้แน่ใจว่า คุณดำเนินการซื้อขายได้อย่างถูกต้อง และจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น สิ่งสำคัญ คือ ต้องจัดทำแผนการเทรดที่กำหนดไว้อย่างดี ตัวอย่างเช่น ตัดสินใจจุดคุ้มทุน เมื่อถึงอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน 1:1 เปิดการซื้อขาย โดยเฉพาะด้วยอัตราส่วน 1:2 หรือปิด 50% ของตำแหน่งของคุณที่ 1:1 และส่วนที่เหลือ 50% ที่ 1:3
4. สร้างกฎการบริหารความเสี่ยง: ใช้กฎการบริหารความเสี่ยงที่แข็งแกร่งเพื่อปกป้องเงินทุนของคุณ รวมถึงการตั้งค่าเปอร์เซ็นต์สูงสุดของยอดคงเหลือในบัญชีของคุณต่อความเสี่ยงต่อการเทรด หรือใช้ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อกำหนดขนาดตำแหน่งเพื่อควบคุมความเสี่ยงโดยอัตโนมัติ
5. ทดสอบ Strategy : ก่อนที่จะลงทุนจริง ให้ทดสอบ Strategy ของคุณ โดยใช้ข้อมูลตลาดในอดีต หรือบัญชีทดลอง ขั้นตอนการทดสอบนี้ ช่วยให้คุณปรับ Strategy และสร้างความมั่นใจในแนวทางของคุณได้ หากคุณไม่ได้ผลลัพธ์ดีเท่าที่ควร ในบัญชีทดลอง ขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเสี่ยงด้วยเงินจริง จนกว่าคุณทักษะของคุณจะเก่งขึ้น
6. วิเคราะห์การซื้อขาย : จัดทำบันทึกเทรด ทั้งกลยุทธ์ที่ใช้ จุดเข้าและออก และสภาวะตลาด ในแต่ละครั้ง ตรวจสอบผลการซื้อขายของคุณเป็นประจำ เพื่อระบุจุดที่ต้องปรับปรุง และปรับแผนการเทรดคุณให้เหมาะสม
คำเตือน : ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
Fibonacci Extension vs. Fibonacci RetracementFibonacci Extension vs. Fibonacci Retracement
By PapaFinanceTalk
March 10, 2024
______________________________
Fibonacci Extension and Fibonacci Retracement are two essential tools employed by traders to forecast price movements. While both utilize Fibonacci ratios, they serve distinct purposes and are applied differently. This article provides a comprehensive analysis of their key differences and practical applications.
______________________________
1. Fibonacci Extension
Fibonacci Extension projects potential price targets beyond the end of a price trend. It utilizes the length of the initial price swing or trend to estimate subsequent price extensions after a retracement or pullback. Commonly used Fibonacci Extension levels include 127.2%, 161.8%, 200%, 261.8%, and 423.6%.
Key Features :
- Predicting Continuation Price Targets: Fibonacci Extension leverages the initial price swing's length to approximate subsequent price targets.
- Trend Analysis: It is utilized in trending markets to anticipate where a trend may extend after a retracement or consolidation phase.
- Identifying Profit-Taking Points: Fibonacci Extension levels can serve as potential profit-taking or exit points for existing trades.
______________________________
2. Fibonacci Retracement:
Unlike Fibonacci Extension, Fibonacci Retracement focuses on identifying potential reversal or retracement points within a price trend. It utilizes the length of previous price swings to estimate areas where the current trend may pause or reverse. Commonly used Fibonacci Retracement levels include 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8%, and 78.6%.
Key Features:
- Identifying Reversal or Retracement Points: Fibonacci Retracement helps traders pinpoint areas where a price trend may reverse or retrace based on the length of previous price swings.
- Corrective Phase Analysis: It is commonly used during corrective phases within a price trend to anticipate potential reversal levels.
- Trade Signal Confirmation: Fibonacci Retracement levels can serve as confirmation points for trade signals generated by other technical indicators or price action analysis.
______________________________
Key Differences:
- Purpose: Fibonacci Extension aims to project price targets beyond the end of a trend, while Fibonacci Retracement focuses on identifying potential reversal or retracement points within a trend.
- Application: Fibonacci Extension is used in trending markets to identify potential profit-taking points, whereas Fibonacci Retracement is utilized during corrective phases to anticipate trend reversals or continuations.
- Fibonacci Ratios: Fibonacci Extension commonly uses higher ratios (e.g., 127.2%, 161.8%, 261.8%), while Fibonacci Retracement typically employs lower ratios (e.g., 23.6%, 38.2%, 61.8%).
______________________________
Conclusion:
Both Fibonacci Extension and Fibonacci Retracement are valuable tools for traders, offering complementary insights into price movements. By understanding their distinct purposes and applications, traders can effectively incorporate them into their trading strategies to make informed decisions and maximize their potential for success.
______________________________
Disclaimer: This analysis is for informational purposes only and should not be considered as investment advice. Always conduct your own research and consult with a financial professional before making any investment decisions.
บทเรียนการเทรด ตลอด 6 ปีครึ่ง ของเทพคอยน์แวะมาอัพเดทพอร์ตกันบ้าง ตามสไตล์เทรดเดอร์ที่โปร่งใส ไม่หมกเม็ด ผมจะเล่าเป็นปีๆ ไปแล้วกันนะครับ เพื่อความง่ายและกระชับ ไม่งั้นเล่ายาวเกินคนขี้เกียจอ่าน
🟢2017
* เริ่มเข้ามาเทรดคริปโตช่วงกลางปี หลังจากรู้จักมาตั้งแต่ปี 2015 แต่ก็ยังกล้าๆ กลัวๆ อยู่
* เข้ามาเทรดก็ตามสไตล์เม่า ได้กำไรง่ายๆ จากเหรียญขยะจนคิดว่า “โอ้โห ถ้าทำได้ขนาดนี้ สักพักก็ได้มากกว่าเงินเดือนอีกนะเนี่ย!” ว่าแล้วก็เลยจัดหนัก มีเท่าไหร่ ใส่เต็มเหนี่ยว
* เจอตลาดพักฐานช่วงปลายๆ ปี ดอยเหรียญขยะ พอร์ตหายไปกว่า -50% ทำอะไรไม่ถูกตามสไตล์เม่า หากูรูลอกโพยเหรียญไปเรื่อย ลงคลาสไปเรื่อยใครอวดกำไรก็ตามไปหมด
* คัทเหรียญที่ดอยมาเข้าเหรียญขยะตามโพยกูรู ได้อานิสงค์ bull run ช่วงปลายปี 2017 จนพอร์ตกลับมาฟื้นเป็น “เท่าทุน”
🟢2018
* ปีแห่งการเผาจริง ช่วงต้นปีก็ยังเชื่อกูรูว่าตลาดจะไปต่อ ก็ไปดอยเหรียญเต็มไปหมด ตอนนั้นใช้บอทของ อจ. ท่านหนึ่งด้วย ก็พาดอยเหรียญขยะยับๆ
* พอสักมีนาเริ่มเห็นท่าไม่ดี พอร์ตเริ่มกลับมาลบหนักเหมือนเดิม ก็เลย ตัดใจคัทเหรียญในบอททิ้งทั้งหมด แล้วมาเทรดมือแทน แต่ยิ่งเทรดก็ยิ่งเจ๊ง ยิ่งเทรดยิ่งจน
* เริ่มเขียนกลยุทธ ลองกลยุทธเทรดสั้นไปเรื่อย เอาไปใช้กับบอท ผล backtest โคตรดี เทรดจริงยับๆ
* ช่วงตลาดนิ่งๆ ช่วงปลายปี 2018 เริ่มทำกำไรยาก เลยใช้ leverage 20x กับเอาเงินใส่ไปเยอะ เพราะไปเชื่อวาทกรรมว่า ทุนขุด 6k ไม่ลงต่ำไปกว่านี้ และถ้า break สามเหลี่ยมนี้ก็จะขึ้นยาว
* แต่อนิจจา กลายเป็นว่ามัน break ลงแทน สรุปวันเดียวขาดทุนไปกว่า -80% จากที่เจ๊งๆ อยู่แล้วก็เจ๊งหนักกว่าเดิม เครียดมาก
* ปิดปีแบบอนาถ ได้ๆ สักพักก็คืนกำไร เทรดมั่วไปหมด แต่ก็ถือว่าเป็นปีที่ได้บทเรียนอะไรมาเยอะมากๆ
🟢2019
* เริ่มปีมาด้วยความเศร้าจากปีที่แล้ว มีแต่กูรูทำนายกันว่า BTC จะลงไป 1000$ บ้าง 800$ บ้าง 2000$ บ้าง แช่งกันไปดิ ( ตอนนั้น BTC แกว่งๆ อยู่ราวๆ 3200$-3800$
* เริ่มซึมซับความรู้ในการเทรดตามระบบ trend following จากปู่ Peter Brandt ที่ อจ.ที่เขียนบอทได้มอบหมายให้ผมแปลบทความลงห้อง VIP ให้ บอกเลยว่านี่คือจุดเปลี่ยนมุมมองของผมในการเทรดไปเลย
* เริ่มดูเทรนออก และทันขึ้นรถตอนกราฟ week เป็นขาขึ้นช่วง BTC ทะลุ 4500 มาได้
* เนื่องจากยังรีบอยากรวยเร็ว ทำให้ตอนนั้นไปใช้ leverage 5x แบบ all-in ทำให้แค่สองเดือน ที่ BTC ขึ้นจาก 5,000$ ไป 14,000$ พอร์ตโตขึ้นมาถึง +160%
* แต่ กำไรที่ได้มาจากโชค ไม่ใช่ความรู้ เราก็จะต้องคืนกลับไปให้ตลาดอยู่ดี… สุดท้ายช่วงที่ BTC ออกข้างไปเรื่อยๆ ในช่วงกลางปี 2019 ก็เริ่มคืนกำไรไปเรื่อยๆ
* พอเทรดเองไม่ได้กำไร ก็ไปเริ่มซนหาเครื่องมือมาช่วย ตอนนั้นเห็น อจ.ท่านหนึ่งแนะนำ scavenger bot เป็นบอทเทรดสองหน้าแบบสะสม position ไปทุกๆ 1 นาที แล้วจะสร้าง order ไปเรื่อยๆ เพื่อจะกิน maker fee ที่ Bitmex ช่วงแรกๆ ก็ได้กำไรคำเล็กๆ จากค่า fee มาเรื่อยๆ เพราะกราฟมันยังนิ่งๆ สะบัดแคบๆ
* พอกราฟหลุด 10k ลงมา 7k เท่านั้นแหละจ้า ความชิบหายบังเกิด ขาดทุนยับ เพราะบอทแม่งสะสม position ใหญ่มากๆ จนโดนลากแบบอย่างโหด ส่วนคำแนะนำของ อจ.ก็คือ ให้เติมสู้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็กลับมา ( อจ. เขาบอกให้เตรียม BTC เผื่อไว้สัก 2-3 BTC สำหรับหน้าที่โดนลาก เพื่อเติมไปสู้ )
* สุดท้ายก็ไม่ยอมเชื่อ และไม่เติม และคัทหนีออกมาก่อน ซึ่งก็คิดถูกแล้ว เพราะถ้าไม่คัทคงบ้าตายไปซะก่อน
* ยัง ยังไม่พอ ไปเชื่อเพื่อนที่ได้บอท martingale forex มาอีก ทรงเดียวกันกับบอทก่อนหน้าเด๊ะ แต่คิดว่า “มันคงลองมาแล้ว น่าจะเชื่อถือได้” ก็เลยโอนเงินไปลองใช้ดู .. สรุปก็โดนลากเหมือนกัน เจ๊งเหมือนกัน เด๊ะ แต่ดีหน่อยที่ไหวตัวทันก็เลยรีบคัทหนีออกมาก่อน แต่ก็เจ็บหนักอยู่ดี
* สรุปแล้ว ปีนี้ ที่ได้กำไรมาเยอะช่วงกลางปี แต่พอคิดว่า “กำไรมันอยู่เฉยๆ ก็เสียดาย เราต้องเอาไปต่อยอดสิ” แล้วก็ไปใช้บอทบ้าๆ บอๆ สุดท้ายก็เจ๊ง ก็เลยได้บทเรียนว่า “ไอ้สัส มึงได้กำไรมึงก็นั่งเฉยๆ ก็พอแล้ว” สรุปปีนั้นก็เลยขาดทุนยับๆ อยู่ดี ….. แต่ก็ได้บทเรียนที่ล้ำค่ามาเหมือนกัน
🟢2020
* หลังจากไปเรียนรู้แบบจุกจริงเจ็บจริงมาสองปี จนแทบเป็นบ้าแต่ก็ยังไม่เป็น ทำให้ปี 2020 เป็นปีที่เอาบทเรียนจากสองปีก่อนหน้ามาสร้าง “สิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะถ้าทำแล้วจะเสียตัง” เต็มไปหมด
* ตอนนั้นก็เลิกเทรดสั้นทั้งหมด เน้น TF Daily และทดลองระบบ Trend Following และนำมาใช้ แต่ดันไป over use มันเกิน เอามาใส่ในกราฟ 12 ระบบ ต้องรอมัน confirm 8 ระบบถึงจะเริ่มซื้อ กว่าจะได้ซื้อกราฟก็ไปหวันแล้ว
* แต่ข้อดี มันก็ยังมี เพราะหลังจากนั้น BTC เองก็เริ่มออกข้างซึมๆ ในช่วง Feb ก่อน covid dump จะมา ทำให้ทุกระบบมีสัญญาณ “ขาย” ออกทั้งหมด เพราะเราก็เชื่อระบบก็ขาย+ลดความเสี่ยงทั้งหมด ทำให้ตอน covid ก็รอดตายมาได้แบบสบายๆ
* ช่วงนั้นกูรูก็ออกมาฟันธงกันไปต่างๆ นาๆ ว่า ลงไม่ลึกหรอก ลงแค่ 8000 เดี๋ยวก็เด้งขึ้นเวฟ 1-2 หญ่ายยยย ขึ้นสู้งงงงงง หลายๆ คนไปเชื่อก็ไปซัดจัดหนักจัดเต็มกันแถวๆ โซน 8000 สุดท้ายมันก็รูดคืนเดียวลงไปถึง 3000 ใช้ leverage น้อยที่สุดก็ยังพอร์ตแตก … แต่ผมรอด + ได้กำไรมาด้วย เพราะซื้อ put option ทิ้งเอาไว้ 555
* หลังจากนั้น ก็เชื่อในระบบมาตลอด แต่ก็ปรับ fine tune มันอีกรอบ เพราะว่า ตอนที่ใช้ 8 ระบบ confirm มันช้าไป ก็ปรับเหลือแค่ 4 ระบบ และแยกไม้กันเข้าไปแทน ไม่รอเข้าพร้อมกันหมด และก็ใช้ 4 ระบบที่ว่า มาจนถึง ปัจจุบันนี้
* ความตลกร้ายของตลาดก็คือ ช่วงปลายปี 2020 กูรูก็ออกมาฟันธงกันเต็มไปหมดว่า ปี 2021 ตลาดจะพัง เกิดวิกฤตเหมือนตอน subprime ตลาดลงยับๆ หลายๆ คนก็ไม่กล้าซื้อกัน แต่ตอนนั้นระบบที่ผมใช้ มันก็เขียวแล้วไง ผมก็ไม่สนคำทำนายกูรู เราก็เข้าตามระบบไป.. ทำให้พอจบปี ก็ปิดบวกมาได้แบบชิวๆ
🟢2021
* ปีนี้แม้แต่ลิงก็ยังเป็นเซียนได้ สำหรับผม กำไรแค่นี้มันก็ไม่ได้มากเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับพวกที่ไปเล่น DeFi, GameFi, NFT จนเปลี่ยนเงิน หกหลัก เป็น แปดหลัก แล้วก็โม้กันจนเต็มเฟส, youtube และ tiktok
* แต่ก็นั่นแหละ งานเลี้ยง ย่อมมีวันเลิกรา ผมที่ผ่านตลาดนรกช่วงปี 2018+2019 มาแล้ว ก็ได้บทเรียนชั้นดีมาว่า “ถ้าระบบบอกให้เราขาย เราก็ต้องขาย มาถือเงินสด จบนะ”
* ทำให้ช่วงตลาดลงจาก 65k มา 30k ตอนกลางปี… ผมก็รอดมาได้ และตอนตลาดเริ่มเสียทรงขาขึ้นตอนปลายปี … ผมก็รอดมาได้อีกอยู่ดี ทำให้สิ้นปี ปิดจ๊อบไปได้แบบเกินคาดอย่างมาก
* ปีนี้ผมโดนแขวน+ทัวร์ลงหนักมาก เพราะไปเตือนลงเพจเกี่ยวกับ DeFi ทำให้หลายๆ คนไม่พอใจ แล้วแคปไปด่ากันอย่างสนุกสนานในกลุ่มแชท ทำให้ผมได้บทเรียนมาเช่นเดียวกันว่า เออ ช่างแม่งเหอะ ใครจะทำไรก็ปล่อยมันทำไป เจ๊งก็เรื่องของมัน เพราะเงินมัน ไม่ใช่เงินเรา เราก็เตือนครั้งเดียวพอ สุดท้ายพอ GameFi, NFT มา ผมก็เลยขี้เกียจจะไปเตือนไรมาก … สุดท้าย ทุกตัว มันก็เจ๊งตามที่ผมได้เคยเตือนๆ ไว้
🟢2022
* ปีนี้เป็นปีที่โหดสัสสำหรับทุกตลาด เพราะคริปโตก็ลง หุ้นเมกาก็ลง หุ้นจีนก็ลง หุ้นไทยก็ลง หุ้นเวียดนามก็ลง คือลงกันหมด แต่มีอย่างเดียวที่ขึ้น คือ “USDTHB”
* ช่วงนั้นผมก็มีการแบ่งเงินบางส่วนไปเทรด USDT/THB ที่ bitkub โดยใช้หลักการ trend following ตามที่ผมใช้ๆ มาอยู่นี่แหละ สุดท้ายก็เลยพอทำกำไรมาช่วยจุนเจือพอร์ตคริปโต ที่พอร์ตนั้นปิดปีขาดทุนไปประมาณ -6% เพราะเข้าตามระบบ แล้วโดนสับขาหลอกตลอด
* มีจังหวะรอดตายหวุดหวิดคือ คืนที่ FTX เปิดวอร์กับ CZ ผมเห็นทรงแล้วดูไม่ดีเลยรีบโอนเงินออก รออยู่สองชั่วโมงกว่าจะได้เงินคืน ตอนรอนี่เหงื่อออกตูด เป็นสองชั่วโมงที่นานมากๆ ในชีวิต เพราะตอนนั้นเอาเงินไปฝากกินดอกที่ FTX แทบจะทั้งหมดของพอร์ตเลยก็ว่าได้ ถ้าช้ากว่านั้นอีกนิดเดียว ก็คงหมดตัว ไม่ได้มาโม้ตามโพสนี้ 5555
* อีกช๊อตที่รอดตายคือ ตอนแรกก็เอาเงินไป lock ไว้ที่ zipmex แล้วพอเริ่มเห็นว่า rate มันไม่ดี พอ unlock ได้ก็ถอนออกมาหมด ทำให้ไม่มีเงินใน zipmex เลยก่อนที่มันจะล้ม ซึ่ง.. จริงๆ ก่อนหน้านั้นเคยวางแผนว่าจะเอาไปฝากไว้ที่นั่นยาวๆ เพราะ “เป็น exchange ที่ กลต. รับรอง” .. สุดท้าย ก็เป็นอย่างที่เห็น
* เกร็ดความรู้ : ปีนี้ พวกที่เปลี่ยนเงินหกหลักเป็นแปดหลัก สุดท้ายก็กลับมาเหลือหกหลักเหมือนเดิม บางคนก็กลายเป็นศูนย์ เพราะหมดไปกับ FTX, Zipmex, Anchor ฯลฯ ก็เป็นอีกหนึ่งบทเรียนอันเจ็บปวดของหลายๆ คน… ก็เรียนรู้กันไปครับ เหมือนที่ผมเคยเจอมาก่อนตอนช่วง 2018-2019 เจอก่อนเจ็บก่อนรอดก่อน
🟢2023
* ปีนี้ สำหรับคริปโต เปิดปีมาก็ซิ่งเลย เพราะ BTC ขึ้นจาก 15k ไป 30k ช่วงต้นปี ผมเองที่ทำตามระบบ ก็แน่นอน ได้ขึ้นรถเก็บกำไรอิ่มๆ กันไป
* แต่หลายๆ คน ที่ พยายามจะลองทำตามระบบ แล้วเจอสับขาหลอกรัวๆ ตอนปี 2022 ก็ออกมาถ่มถุยระบบที่ผมใช้ว่า “เฮอะ เดี๋ยวก็หลอกเหมือนทุกทีน่ะแหล๊ะ” สุดท้าย ก็ไม่ได้เข้า ตอนระบบบอกให้ซื้อ แล้วก็ได้แต่ตกรถ กันไปแบบเซ็งๆ
* ส่วนกลางปี พอ BTC พักตัว ผมก็ทำตามระบบไปโง่ๆ เหมือนเช่นเดิม แต่พอร์ตก็นิ่งและไม่ไปไหนอยู่หลายเดือนมากๆ แถมหดด้วย เพราะเจอ false sig ไปบ่อย จนคนที่มาลองทำตามระบบหลังจากเห็นผมอวดกำไรช่วงต้นปี ออกมาถ่มถุยว่า ระบบแม่งโคตรกาก มีแต่สัญญาณหลอก
* พอปลายปี ระบบเขียวอีกรอบ หลายๆ คนก็ยังออกมาถ่มถุยเหมือนเดิมว่า “เฮอะ เดี๋ยวก็หลอกเหมือนทุกทีน่ะแหล๊ะ” สุดท้าย มันก็ไปจริง หลายๆ คนก็ตกรถกันเป็นแถบ เรื่องนี้มันก็ให้บทเรียนกับผมได้เหมือนกันว่า ถ้าเราเชื่อมั่นในระบบ ก็ทำต่อไปเถอะ ยิ่งจังหวะตอนที่เราไม่อยากจะเข้า เพราะมันสับขาหลอกบ่อยๆ … ยิ่งต้องกล้าเข้า เพราะ ถ้ามันไปต่อ แล้วเราไม่เข้า เราจะเซ็งยิ่งกว่าเยอะ
* หลายๆ คนอาจจะงงว่า เอ๊ะ แอด BTC ขึ้นมาตั้ง 160% ทำไมแอดได้กำไรแค่ 20% เองอ่ะ น้อยจัง ที่มันน้อยเพราะยอดนี้มันคือพอร์ตรวมของสองพอร์ต นั่นคือ พอร์ตหุ้นเมกา ด้วยครับ ซึ่งกำไรที่ผมได้จริงๆ จากการทำตามระบบก็คือ ประมาณ 35% ที่ความเสี่ยง 4% โดย Benchmark ของการทำตามระบบแบบเป๊ะๆ ที่ผมทำเป็น paper trade ไว้ อยู่ที่ 56% ครับ ที่ความเสี่ยง 4%
* สำหรับผม ถ้ามอง Risk:Reward กำไร 35% ที่ความเสี่ยง 4% ก็ตกอยู่ที่ 8.75RR ซึ่งผมก็ happy กับผลการเทรดมากๆ แล้วนะ
* ส่วนพอร์ตหุ้นเมกา ยอมรับว่า มั่ว และป๊อด ไปช่วงนึง ทำให้แทนที่จะได้กำไรสัก 30% แต่ก็ได้มาจริงแค่ 5% เพราะไปเข้าๆ ออกๆ และเจอค่าเงิน USDTHB อ่อนหนักนั่นเองครับ
🟢สิ่งที่ผมได้เรียนรู้มาตลอด 6 ปี ครึ่ง
* ยิ่งอยากได้กำไรเร็ว ยิ่งเจ๊ง อันนี้โคตรจริง เพราะพอเราอยากรีบทำกำไร เราจะเลิกคิดถึงความเสี่ยง และไอ้ความเสี่ยงนี่แหละมันจะทำให้พอร์ตพังยับ ถ้าตลาดไม่เป็นอย่างที่เราคิด
* ช่างแม่งเยอะๆ ใครบ่นอะไรไม่เข้าหูก็บล๊อกแม่งให้หมด เพราะ 100 คน 100 ความเห็น อะไรที่มันทำให้ใจเราขุ่นมัวก็ปิดการรับรู้มันไปซะ
* นึกถึงความเสี่ยงให้รอบด้าน ก่อนลงทุนทำอะไรเสมอ ถ้ามันดูแล้วคุ้มต่อความเสี่ยงก็ทำไปเลย อย่ากลัวเกินจนไม่กล้าทำอะไรเลย
* กูรูคนไหนชอบทำนายอนาคต อย่าไปให้ราคาเยอะ ฟังขำๆ พอ เพราะผมอยู่มา 6 ปี ครึ่ง กูรูนักทำนายพวกนี้ทำนายผิดกันไปไม่รู้กี่รอบ สักพักก็ออกมาทำนายใหม่คนก็มาชาบูกันต่อ
* ตลาดเป็น cycle เสมอ ตอนตลาดดีๆ กูรูเต็มตลาด กาวหึ่ง ก็ต้องระวังตัวอย่าไป FOMO มาก เพราะโอกาสจบรอบมีตลอดเวลา รวมถึง ตอนตลาดแย่ๆ ข่าวแย่เต็มไปหมด กูรูแช่งเต็มสื่อ ก็ต้องอย่าไปกลัวมาก มีระบบมาคุมอีกที กราฟบอกให้ซื้อก็ต้องเข้าซื้อ เพราะฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอ
* และอื่นๆ อีกมากมาย ลองไปไล่อ่านโพสเก่าๆ ของผมได้ครับ
เเผนเทรด Harmonic สัปดาห์ที่เเล้วHarmonic Pattern คืออะไร? อธิบายง่ายๆ สำหรับมือใหม่ Forex
Harmonic pattern เป็นหนึ่งในรูปแบบกราฟเทรดที่มีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น โดยอาศัยระดับ Fibonacci และพฤติกรรมราคาที่มีความเชื่อมโยงรูปแบบเรขาคณิตเข้ามาเกี่ยวข้อง เราเรียกรูปแบบนี้ว่า harmonic pattern ตามชื่อของ Harold McKinley Gartley ผู้ที่คิดค้นทฤษฎีนี้ขึ้นมาครั้งแรกในปี 1932 โดยเขาได้เขียนอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพทเทิร์นดังกล่าวในหนังสือของเขาซึ่งเป็นหนึ่งในหนังสือเกี่ยวกับการเทรดที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เหตุผลที่เทรดเดอร์ควรใช้เครื่องมือที่มีความซับซ้อนนี้ เนื่องจากว่ามันสามารถใช้เพื่อระบุ PRZ (Potential Reverse Zone) เพื่อขยายโอกาสในการทำกำไร ลดความเสี่ยงจากการขาดทุน และเป็นจังหวะที่เหมาะสมสำหรับการเปิดออเดอร์นั่นเองครับ ตามที่เราได้กล่าวไปข้างต้นว่ากลยุทธ์นี้จะใช้ตัวเลข Fibonacci และแพทเทิร์นทางเรขาคณิตต่างๆ ในการคาดการณ์จุดที่ราคาอาจเกิดการเปลี่ยนแปลง (Price Turning Point)
5 เบญจภาคี ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค The Titans Of Technical Analysis
ในยุคแรกของซื้อขายในตลาด ผู้คนให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ ปัจจัยพื้นฐาน ข่าววงใน ตัวเลขเศรฐกิจ การวิเคราะห์ทางเทคนิคถูกมองว่า เป็นเรื่องเหลวไหลใช้งานไม่ได้จริง แต่กาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่าหลักการเหล่านี้ใช้งานได้จริง เป็นเหตุเป็นผล เชื่อถือได้ ต่อไปนี้เป็นบุคคลในยุคบุกเบิกของการวิเคราะห์ทางเทคนิค และได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลต่อวงการเทคนิคอล เทคนิคของพวกท่านเหล่านี้ได้รับการศึกษาต่อยอด มาจนถึงปัจจุบัน
BTCUSD : Grand capitulation 2023 = $1,088M ล้างยับวันนี้เป็นวันที่ควรต้องลุกขึ้นมาจดบันทึกไว้สักหน่อย เพราะเป็นวันสำคัญของโลกคริปโตวันหนึ่ง นั่นก็คือ.... วันที่คนเปิด Long Position โดนล้างพอร์ต ( Liquidated ) สูงที่สุด เป็นประวัติการณ์ ของปี 2023 ( เอาจริงๆ ไม่แน่ใจว่าก่อนหน้านี้มีมากกว่านี้อีกมั้ย เพราะไม่ได้จดไว้นี่แหละ 555 ก็เลยต้องลุกมาจด ไม่งั้น เดี๋ยวก็ไม่มีให้อ่าน ) โดยมีรายละเอียดดังนี้
BTC Grand Capitulation 2023
-------------------
* 15-18 Aug 2023
* Total Long Liquidated = 1,088M USD
* Price Drop = 29200 -> 25200 ( -13.69% )
* Most liquidation amount YTD
------------------
มันเกิดอะไรขึ้น?
------------------
- เท่าที่ตามๆ มีข่าวลือว่า อีลอนคุง ขาย BTC ที่ถือโดยบริษัท ทิ้งไปทั้งหมด มูลค่าแค่ $375M เท่านั้น ก็อาจจะเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เกิด panic sell ขึ้นมาได้
- แต่จริงๆ แล้ว เหตุผลหลักๆ ที่มันรูดแรง ก็ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากว่า ที่ผ่านมา คนเทรดกันด้วย leverage กันเยอะมากๆ เพราะราคามันแทบจะไม่ขยับไปไหน
- หลายๆ คนก็เลือกที่จะตีปิงปอง long แนวรับ short แนวต้าน กันไปเรื่อยๆ ยิ่งได้เงินง่ายๆ ก็ยิ่งได้ใจ และเพิ่ม position ให้ใหญ่ขึ้น ด้วยการเติมเงิน หรือเอากำไรมาทบ
- สุดท้าย พอตลาดเกิด panic sell ขึ้นมา ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า "Cascade Liquidation" หรือ ฟ้าถล่ม ดินทลาย ขึ้น นั่นก็คือ พอคนก่อนหน้าที่เปิด long โดนล้าง ก็จะไปเกิดการ force sell ต่อลงมา ทำให้คนที่อยู่ด้านล่างโดนล้างต่อกันไปอีก เป็นทอดๆ ยิ่งใช้ leverage สูงๆ การแกว่งของราคานิดเดียวก็ทำให้คนโดนล้างได้
- จะเห็นได้ว่า รอบนี้ ราคาลงมาแค่ -13.69% เท่านั้นเอง ซึ่ง ถือว่าน้อยยยยยมากๆๆๆ นะสำหรับ BTC เนี่ย แต่กลับกลายเป็นว่า คนโดนล้างกันระดับพันล้าน USD ก็แสดงว่า คนส่วนใหญ่ เล่นกันที่ระดับเกิน 10x ขึ้นไป ลงมาแค่ -10% ก็ปลิวกันหมด ( 10x * -10 = -100% ก็ล้างดิ )
- จากที่ผมอยู่ในตลาดนี้มานาน เหตุการณ์นี้มันไม่ใช่ไม่เคยเกิด มันเคยเกิดมาไม่รู้กี่รอบแล้ว ที่ชัดสุดก็คือตอน หลุด 6000 ลงมา 3200 ตอนปี 2018 และช่วงที่กระแทกจาก 8000 ลงไปเหลือ 3600 ตอนโควิท 2020 ซึ่งทุกเหตุการณ์ที่ว่า ก็ทำให้มีคนหมดตัวกันไปในเวลาแค่คืนเดียว ( ซึ่งผมก็โดนนะ ตอนปี 2018 อ่ะ ก็จิตตกไปหลายวัน )
-----------------
แล้วเราควรทำอย่างไรต่อ?
-----------------
- สำหรับคนที่หมดตัว หรือขาดทุนหนัก : ผมก็คงได้แต่แนะนำว่า ให้ท่านพักการเทรดออกมาก่อน อย่าเพิ่งรีบกลับเข้าไปเติมเงินจะเอาคืน เพราะตอนนี้ อารมณ์ท่านจะเหมือนพวกผีพนัน ที่เสียเงินแล้วอยากจะเอาคืน mindset มันพังไปเรียบร้อยแล้ว รีบเข้ามาใหม่ก็มีแต่จะพังกว่าเดิมนะ
หยุดเทรด สักเดือน สองเดือน พอสติสตางค์กลับมา ก็ค่อยๆ นั่งทบทวนปัญหาที่เกิดขึ้น ด้วยใจที่เป็นกลาง ทบทวนว่า มันเกิดอะไรขึ้นวะ ทำไมเราถึง overtrade วะ ทำไมเราถึงไม่สนความเสี่ยงวะ ทำไมเราถึงลงเงินเยอะวะ ฯลฯ นั่งหาคำตอบให้ได้ แล้วถ้าได้คำตอบที่ชัดเจน ก็ค่อยๆ วางแผนใหม่ หาทางแก้ ว่า แล้วจะทำไงต่อ ถึงจะไม่เจอเหตุการณ์เหล่านี้อีก .. ได้ solution ถึงค่อยกลับเข้ามาเริ่มเทรดด้วยเงินน้อยๆ ใหม่อีกรอบ เพื่อสร้างความมั่นใจครับ
- ส่วนคนที่มือว่าง ไม่ได้ขาดทุนอะไร เพราะออกมาถือเงินสดตามระบบ ตั้งนานแล้ว : ก็เก็บเคสนี้ไว้เหมือนเป็นเครื่องเตือนใจ ว่า เออ สิ่งที่เราทำ ทนนั่งเฉยๆ ตอนระบบแดง มันคือเรื่องที่ถูกต้องแล้วล่ะ เพราะบางที ระหว่างที่เรานั่งเฉยๆ เราจะเจอสิ่งเร้าต่างๆ เข้ามาทำให้เราเริ่มคันมือ เช่น บทวิเคราะห์จากเพจกาวๆ คนโน้นบอกอย่างนี้ คนนี้บอกอย่างนั้น จะไปเท่านั้นเท่านี้ สุดท้าย ถ้ารีบไปเข้า ก็จะโดน ทั้งๆ ที่ไม่ควรโดน นั่นเอง
- ส่วนคนที่ได้กำไรอู้ฟู่ จากการ short : ผมก็ได้แต่ดีใจกับท่านเหล่านี้ด้วย แต่อยากจะเตือนสายนี้ไว้อีกเช่นกันว่า การ short น่ะ อย่าไปกาวเป้าลึกๆ มาก เช่น ฉันจะถือลงไปถึง 20k หรือ 1000$ ค่อยเก็บกำไร เพราะบางที BTC มันก็ลากสวนขึ้นมาได้เช่นกัน
การเล่น short ให้รอดในโลกของคริปโต ก็ควรมีแผนตีหัวเข้าบ้าน และห้ามโลภ มีกำไรเยอะก็ปิด position บางส่วน เก็บกำไรมากอดไว้บ้าง ไม่งั้น เดี๋ยวพี่แกลากกลับดื้อๆ ก็มี ผมก็เห็นมาแล้วไม่รู้กี่รอบเช่นกัน แถมพอเก็บกำไรมาแล้วก็อย่าไปซนเข้าเพิ่ม ที่ก้นหลุม ให้นั่งดูไปเรื่อยๆ รอดูการกลับตัวของกราฟ ก็ค่อยปิด position ที่เหลือทั้งหมด แล้วสลับมาเทรด long อะไรก็ว่าไป
---------------
สรุป
---------------
- ก็หวังว่าบทความนี้ จะได้ประโยชน์กับคนที่ผ่านมาอ่าน ไม่มาก ก็น้อย จากที่อยู่ในตลาดมานี่ก็เข้าปีที่หกละ ก็บอกเลยว่า เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น มันก็เกิดขึ้นซ้ำๆ วนๆ กันมาตลอดน่ะแหละ ถ้าเราเรียนรู้บทเรียน แล้วนำไปปรับใช้ในอนาคต เราก็จะไม่ตกเป็น "ผู้เสียหาย" จากโลกของคริปโตได้ครับ
- แต่ก็อีกนั่นแหละ ตราบใด "คุณไม่เคยโดนกับตัวเอง" คุณก็จะไม่เข้าใจสิ่งที่ผมเตือนอยู่เรื่อยๆ อีกเช่นกัน... 5555
#Elliottwave #Zigzag Zigzag(5-3-5)
Single Zigzag คือการลดลงสามคลื่นที่มีลำดับคลื่นย่อยภายในเป็น 5-3-5 และคลื่น B ต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของคลื่น A อย่างชัดเจน ในบางกรณี Zigzag อาจเกิดขึ้น สองครั้งหรือมากสุดสามครั้งติดต่อกัน เพื่อให้มีการบรรลุเป้าหมายอย่างมีนัยสำคัญ Zigzag แต่ละอันจะถูกคั่นกลางด้วยรูปแบบสามคลื่น(Corrective wave) ทำให้เกิด Double หรือ Triple Zigzag โดยที่ Zigzag มักจะเกิดขึ้นในคลื่นสองของ Motive wave มากกว่าคลื่นสี่ และอยู่ในคลื่นย่อยของสามเหลี่ยม และคลื่น X ในชุดคลื่นผสม
Rules
ซิกแซกแบ่งออกเป็นสามคลื่นเสมอ
คลื่น A แบ่งย่อยออกเป็น impulse หรือ leading diagonal.
คลื่น C แบ่งย่อย impulse หรือ ending diagonal.
คลื่น B แบ่งย่อยออกเป็น zigzag, flat, triangle หรือ combination เสมอ
คลื่น B ไม่เคยเคลื่อนที่เกินจุดเริ่มต้นของคลื่น A
Guidelines
คลื่น A แบ่งย่อยออกเป็น impulse.กือบทุกครั้ง
Wave C แบ่งย่อยเป็น impulse เสมอ
คลื่น C มักจะมีความยาวเท่ากับคลื่น A
คลื่น C มักจะสิ้นสุดเกินกว่าจุดสิ้นสุดของคลื่น A
คลื่น B มักจะย้อนกลับ 38 ถึง 79 เปอร์เซ็นต์ของคลื่น A
ถ้าคลื่น B เป็น running triangle โดยทั่วไปจะย้อนกลับระหว่าง 10 ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ของคลื่น A
หากคลื่น B เป็นคลื่นซิกแซก โดยทั่วไปจะถอยกลับ 50 ถึง 79 เปอร์เซ็นต์ของคลื่น A
หากคลื่น B เป็นรูปสามเหลี่ยม โดยทั่วไปจะย้อนกลับ 38 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ของคลื่น A
เส้นที่เชื่อมปลายคลื่น A และ C มักจะขนานกับเส้นที่เชื่อมปลายคลื่น B กับจุดเริ่มต้นของคลื่น A (แนวทางคาดการณ์ คลื่น C มักจะสิ้นสุดเมื่อถึงเส้นที่ลากจากปลายคลื่น A นั่นคือ ขนานกับเส้นที่เชื่อมจุดเริ่มต้นของคลื่น A และจุดสิ้นสุดของคลื่น B)
10 เหตุผลที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่เสียเงินสวัสดีทุกคน!👋
การซื้อขายและการลงทุนไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้ามีคงรวยกันทุกคน
ต่อไปนี้เป็นเหตุผลสองประการที่ทำให้เทรดเดอร์เสียเงิน และเคล็ดลับบางประการที่จะช่วยให้คุณกลับสู่พื้นฐาน
ขาดความรู้ 📘
เทรดเดอร์จำนวนมากกระโดดเข้าสู่ตลาดโดยขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่ามันทำงานอย่างไรและต้องใช้อะไรบ้างจึงจะประสบความสำเร็จ เป็นผลให้พวกเขาทำผิดพลาดและสูญเสียเงินอย่างรวดเร็ว
การจัดการความเสี่ยงไม่ดี 🚨
ความเสี่ยงเป็นส่วนหนึ่งของการเทรด และสิ่งสำคัญคือต้องจัดการอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อปกป้องเงินทุนของคุณและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จสูงสุด อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์จำนวนมากไม่มีกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงที่ชัดเจน และเป็นผลให้พวกเขามีความเสี่ยงที่จะขาดทุนเกินขนาด
การตัดสินใจด้วยอารมณ์ 😞
เป็นเรื่องง่ายที่จะรู้สึกอารมณ์รุนแรงในขณะซื้อขาย อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจโดยใช้อารมณ์มากกว่าการวิเคราะห์อย่างมีเหตุผลอาจเป็นตัวกำหนดหายนะได้ เทรดเดอร์หลายคนตัดสินใจได้ไม่ดีเมื่อพวกเขารู้สึกถูกครอบงำ โลภ หรือหวาดกลัว และสิ่งนี้อาจนำไปสู่การสูญเสียที่สำคัญ
ขาดวินัย 🧘♂️
การเทรดที่ประสบความสำเร็จต้องมีระเบียบวินัย แต่เทรดเดอร์จำนวนมากพยายามทำตามแผนของตน นี่อาจเป็นความท้าทายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตลาดผันผวนหรือเมื่อนักเทรดกำลังเผชิญกับการขาดทุน สร้างระบบให้ตัวเองปฏิบัติตามได้ง่าย!
โอเวอร์เทรด 📊
เทรดเดอร์หลายคนทำผิดพลาดในการเทรดมากเกินไป ซึ่งหมายความว่าพวกเขาเทรดมากเกินไปและไม่อนุญาตให้เทรดได้อย่างเหมาะสม สิ่งนี้นำไปสู่ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนค่านายหน้าที่สูงขึ้น และโอกาสในการขาดทุนมากขึ้น การจัดฉากที่คุณชอบอย่างชัดเจนสามารถช่วยแยกโอกาสที่ดีออกจากแกลบได้
ขาดแผนการเทรด 📝
แผนการเทรดมีกฎและแนวทางที่ชัดเจนในการปฏิบัติตามเมื่อทำการเทรด หากไม่มีการวางแผน เทรดเดอร์อาจตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น ซึ่งอาจเป็นอันตรายและมักนำไปสู่การสูญเสีย
ไม่ติดตามข้อมูลสำคัญและข้อมูล ⏰
ตลาดและเรื่องราวทั่วไปของตลาดนั้นมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ที่จะต้องติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับการพัฒนาล่าสุดเพื่อทำการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด
ไม่ตัดขาดทุนเร็ว ✂️
ไม่มีนักเทรดรายใดที่สามารถหลีกเลี่ยงการขาดทุนได้อย่างสมบูรณ์ แต่กุญแจสำคัญคือต้องลดผลกระทบต่อบัญชีของคุณให้น้อยที่สุด หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการทำเช่นนี้คือการตัดการขาดทุนของคุณอย่างรวดเร็วเมื่อการซื้อขายสวนทางกับคุณ อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์หลายคนหยุดการเทรดที่ขาดทุนไว้นานเกินไป โดยหวังว่าพวกเขาจะฟื้นตัว และสิ่งนี้อาจนำไปสู่การขาดทุนที่มากกว่าที่คาดไว้
ไม่เพิ่มจำนวนผู้ชนะสูงสุด 💸
เช่นเดียวกับการลดความสูญเสียของคุณอย่างรวดเร็ว สิ่งสำคัญคือการเพิ่มผู้ชนะให้ได้มากที่สุด เทรดเดอร์หลายคนล้มเหลวในการทำเช่นนี้ อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่มีแผนในการบอกพวกเขาว่าจะออกจากการซื้อขายเมื่อใดและอย่างไร เป็นผลให้พวกเขาอาจทิ้งเงินไว้บนโต๊ะและพลาดผลกำไรที่อาจเกิดขึ้น
ไม่ปรับตัว 📚
การปรับตัวให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จในตลาดการเงิน ระบอบการปกครองเปลี่ยนแปลง ความได้เปรียบในการซื้อขายหายไปและปรากฏขึ้นอีกครั้ง และระบบที่หนุนทุกอย่างอยู่ในภาวะผันผวนตลอดเวลา วันหนึ่งกลยุทธ์การซื้อขายสร้างผลกำไรที่สม่ำเสมอ วันต่อมากลับไม่ใช่ ผู้ค้าจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อสร้างรายได้ในระยะยาว มิฉะนั้นอาจเสี่ยงที่จะถูกเลิกเล่นจากตลาด
โดยรวมแล้ว เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ขาดทุนเพราะพวกเขาไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับความท้าทายของตลาด ด้วยการให้ความรู้แก่ตนเอง พัฒนาแผนการเทรดที่มั่นคง และวางแผนการตัดสินใจล่วงหน้า เทรดเดอร์สามารถเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จและหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทั่วไปได้
เราหวังว่าคุณจะสนุก! โปรดอย่าลังเลที่จะเขียนเคล็ดลับหรือคำแนะนำเพิ่มเติมในส่วนความคิดเห็นด้านล่าง!
เจอกันใหม่สัปดาห์หน้า 🙂
– ทีม TradingView
10 ข้อควรจำเกี่ยวกับตลาดหมี ความผันผวน และความตื่นตระหนกการค้าและการลงทุนไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าทำได้ ทุกคนคงรวย
หนึ่งในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดสำหรับเทรดเดอร์ทุกคน และโดยเฉพาะนักลงทุน คือเมื่อตลาดอยู่ในภาวะหมีอย่างผิดปกติ มีแนวโน้มลดลงหรือไปในทิศทางที่สวนทางกับตำแหน่งของพวกเขา การเพิ่มความยากลำบากนั้นคือเมื่อความผันผวนเพิ่มขึ้นและเมื่อความไม่แน่นอนสูง เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นตลอดประวัติศาสตร์ของตลาดและควรเกิดขึ้น นักเทรดหรือนักลงทุนทุกคนควรจำความจริงง่ายๆ ไว้: ตลาดจะสวนทางกับคุณเมื่อถึงจุดหนึ่ง เตรียมตัวให้พร้อม
การเรียนรู้ที่จะซื้อขายหรือลงทุนในตลาดขาลงและผันผวนนั้นต้องใช้ทักษะ ประสบการณ์ และความใจเย็นอย่างมาก 12 เดือนที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นแล้วว่า หุ้น พันธบัตร ฟอเร็กซ์ คริปโต และฟิวเจอร์สมีความผันผวนสูงขึ้นในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา แล้วเราควรทำอย่างไร? อะไรตอนนี้?
มาดูพื้นฐานกันอีกครั้ง - ทักษะ ลักษณะ และกรอบความคิดที่จำเป็นต่อการอยู่รอดในช่วงเวลาเหล่านี้
1. วางแผนล่วงหน้า 🗺
วางแผนการเทรดของคุณ เทรดตามแผนของคุณ ทุกการซื้อขาย ทุกการลงทุน ควรมีแผนรองรับ เขียนคำถามพื้นฐานก่อนที่คุณจะซื้อหรือขาย ตัวอย่างเช่น ราคาค่าเข้าที่คุณต้องการคือเท่าไร? ราคาทางออกที่คุณต้องการคืออะไร? Stop Loss ของคุณคืออะไร? คุณเสี่ยงด้วยเงินเท่าไหร่? ทำไมคุณถึงทำการค้าหรือการลงทุนตั้งแต่แรก? ในช่วงเวลาแห่งความผันผวน คำถามเหล่านี้มีความสำคัญมากกว่าที่เคย กลับสู่พื้นฐาน
2. ไม่ต้องรีบร้อน 🧘♂️
ความผันผวนและโดยเฉพาะอย่างยิ่งความตื่นตระหนกในตลาดทำให้ผู้คนมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว แรงกดดัน การเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็ว มักบังคับให้ผู้คนดำเนินการโดยไม่ได้ทบทวนแผนเดิมของตนสักครู่ อย่าทำแบบนี้! ใช้เวลาของคุณ สงบสติอารมณ์และจัดการกับมือที่คุณได้รับ
3. อดใจรอผลงาน🎯
ผู้ค้าและนักลงทุนจำนวนมากพูดถึงการซื้อที่ลดลง แต่วลีนี้อธิบายถึงขั้นตอนที่จำเป็น คุณไม่ซื้อการลดลงโดยไม่มีแผน คุณวางแผนกลยุทธ์ของคุณ คุณรอการเข้ามาที่สมบูรณ์แบบ และปล่อยให้ตลาดเข้ามาหาคุณ เมื่อตลาดอยู่ในแนวโน้มขาลงและมีความผันผวนสูง สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณต้องอดทนรอการเข้าสู่ที่สมบูรณ์แบบ ใช้คำสั่งจำกัดอย่างชาญฉลาด
4. รู้กรอบเวลาของคุณ ⏰
คุณซื้อขายหนึ่งวันหรือไม่? หนึ่งเดือน? หรือ 5 ปี? คำถามพื้นฐานเหล่านี้จะเตือนคุณถึงสิ่งที่คุณกำลังพยายามทำให้สำเร็จ และคุณควรเร่งรีบหรืออดทนเพียงใด นอกจากนี้ยังจะเตือนคุณเกี่ยวกับแผนภูมิที่คุณควรดู ไม่ว่าคุณควรขยายเป็นแผนภูมิราย 30 นาทีหรือย่อเป็นแผนภูมิรายสัปดาห์ โดยแสดงประวัติราคาเป็นปี
5. มีกลยุทธ์การออก 🚨
กลยุทธ์ทางออกหมายความว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณรู้ว่าจุดหยุดการขาดทุนของคุณอยู่ที่ไหน และคุณรู้ว่าเป้าหมายกำไรของคุณอยู่ที่ไหน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขึ้นหรือลง หรือออกด้านข้าง คุณมีแผนออก อย่าปล่อยให้เข้าหรือออกตามโอกาส สร้างกลยุทธ์ทางออกของคุณก่อนที่คุณจะทำการซื้อขายและปฏิบัติตาม
6. ท่ากระชับขนาด💪
ความผันผวนและความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นจะต้องนำมาพิจารณาในแผนเกมของคุณก่อนที่จะเริ่มตั้งแต่แรก อย่างไรก็ตาม นักลงทุนและเทรดเดอร์รายใหม่จำนวนมากลืมที่จะทำเช่นนี้ หากเป็นคุณ ถึงเวลาปรับกลยุทธ์ แผนของคุณ สำหรับช่วงการซื้อขายที่กว้างขึ้น ความผันผวน แนวโน้มตลอดทั้งปีที่กำหนดตลาดก่อนหน้านั้นไม่ถูกต้อง
7. ซูมออกเพื่อดูบริบททางประวัติศาสตร์ 🔎
ย่อชาร์ตของคุณ จากนั้นให้ซูมออก และตอนนี้ซูมออกอีก วงกลมแท่งเทียน เส้น หรือการเคลื่อนไหวของราคาล่าสุด และปล่อยให้มันเป็นเครื่องเตือนใจว่าราคาอยู่ที่ใดในวันนี้เทียบกับที่มา มีคำกล่าวว่า: เมื่อสงสัยให้ซูมออก อย่าหลงทางในขณะนี้ มองเฉพาะวันหรือสัปดาห์ แต่ให้ศึกษาประวัติราคาทั้งหมดแทน เรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต
8. เงินสดคือตำแหน่ง 💸
ต้องการใช้เงินดอลลาร์เฉลี่ยในการค้าขายหรือไม่? ต้องการซื้อเพิ่มเติมหรือไม่ ต้องการค้าขายเพิ่มเติมหรือไม่? คุณต้องการเงินสดเพื่อทำเช่นนั้น มีความสะดวกสบายที่สามารถมีส่วนร่วมในความผันผวนได้ทุกเมื่อที่คุณต้องการ เงินสดเป็นตำแหน่งและรับประกันสิ่งนี้
9. หลีกเลี่ยงความตื่นตระหนก FUD และ FOMO 😳
เมื่ออารมณ์พลุ่งพล่าน ความผิดพลาดทางจิตใจที่ใหญ่ที่สุดบางอย่างอาจเกิดขึ้นได้ FUD ย่อมาจากความกลัว ความไม่แน่นอน และหายนะ FOMO ย่อมาจากความกลัวที่จะพลาดโอกาส นี่คือสองอารมณ์ทั่วไปในตลาดที่พังทลาย ในแง่หนึ่ง ทุกคนคิดว่าจุดจบใกล้เข้ามาแล้ว ในทางกลับกัน ทุกการเคลื่อนไหวขึ้นเล็กน้อยคือการวิ่งสู้วัวครั้งต่อไป อย่าปล่อยให้อารมณ์เหล่านี้พาคุณไป
10. พักก่อน😀
บางครั้งการถอยห่างก็ช่วยได้ ออกจากระบบ ปิดแอพของคุณ ออกไปข้างนอกและออกกำลังกาย กลับมาที่ตลาดเมื่อคุณพร้อม จิตใจของคุณก็จะได้รับการพักผ่อนอย่างดีเช่นกัน
เราหวังว่าคุณจะสนุกกับโพสต์นี้ และเราหวังว่ามันจะช่วยคุณได้เมื่อคุณสำรวจตลาดต่างๆ
โปรดอย่าลังเลที่จะเขียนเคล็ดลับหรือคำแนะนำเพิ่มเติมในส่วนความคิดเห็นด้านล่าง!
รูปแบบ Flat ใน NEoWaveในรูปแบบ Flat คลื่น B ยิ่งใหญ่มากเท่าไหร่เมื่อเทียบกับ
คลื่น a จะยิ่งทำให้คลื่น c รีเทรซคลื่น b น้อยเท่านั้น และ
คลื่น a กับคลื่น c ก็จะมีความคล้ายคลึงกันเท่านั้น และถ้า
ยิ่ง b รีเทรซคลื่น a น้อยเท่าไหร่ ก็จะทำให้คลื่น c ใหญ่กว่าเท่านั้น
ให้ทุกท่านดูเป็นแนวทางพอนะครับไม่ต้องไปซีเรียสกับว่า
มันจะต้องเท่าตามนี้เป๊ะๆ ไม่ต้องนะครับ เพราะหากเราใช้
มันในการเทรดจริงๆ เราก็ไม่ได้นำทุกรูปแบบมาประมวล
ผลครับ สมองมนุษย์เราไม่ได้ทำงานแบบนั้น สมองคนเรา
รับข้อมูลได้มากสุดในการประมวลผลหนึ่งครั้งแค่ 7 อย่าง
เท่านั้นครับ เวลาเราไปใช้จริง เราจะดูแค่ความเป็นไปได้
บางรูปแบบเท่านั้น แล้วสมองเราก็จะตัดความเป็นไปได้
อย่างอื่นออกไป เหลือแค่ไม่กี่ความเป็นไปได้เท่านั้นครับ
สมองมนุษย์เราเน้นที่การจดจำรูปแบบว่า ถ้าไม่ใช่แบบนี้
ก็จะเป็นแบบอื่น
แนวทางสู่ภาวะถดถอย - มันคืออะไร?ภาวะถดถอยเป็นคำที่น่ากลัวสำหรับประเทศใด ๆ ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นเมื่อเศรษฐกิจหดตัว ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย แม้แต่ธุรกิจต่างๆ ก็ปิดประตู แม้แต่บุคคลก็สามารถเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยตาของเขาเอง:
1. คนตกงาน
2. การลงทุนสูญเสียมูลค่า
3. ธุรกิจขาดทุน
หมายเหตุ: ภาวะถดถอยเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรเศรษฐกิจ
หากคุณยังไม่ได้อ่านบทความนั้น คุณสามารถตรวจสอบแนวคิดที่เกี่ยวข้อง:
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยคืออะไร
การลดลงติดต่อกันสองไตรมาสของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศถือเป็นภาวะถดถอย ภาวะเศรษฐกิจถดถอยตามมาด้วยช่วงพีค แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะกินเวลาเพียงไม่กี่เดือน แต่เศรษฐกิจจะไม่ถึงจุดสูงสุดหลังจากสิ้นสุดการให้บริการไปหลายปี
ผลกระทบต่ออุปสงค์และอุปทาน - ความต้องการสินค้าลดลงเนื่องจากราคาแพง อุปทานจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และในทางกลับกันอุปสงค์จะเริ่มลดลง นั่นทำให้เกิด "อุปทานส่วนเกิน" และจะนำไปสู่การลดลงของราคา
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยมักเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ แต่อาจสร้างความเจ็บปวดได้ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทุกครั้งมีสาเหตุที่แตกต่างกัน แต่มีเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ภาวะซึมเศร้าคืออะไร - ภาวะถดถอยลึกซึ่งคงอยู่เป็นเวลานานนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าในที่สุด
ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย อัตราเงินเฟ้อจะลดลง
จะหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้อย่างไร?
1. นโยบายการเงิน
- ปรับลดอัตราดอกเบี้ย
- ผ่อนคลายเชิงปริมาณ
- เงินเฮลิคอปเตอร์
2: นโยบายการคลัง
- ลดภาษี
- การใช้จ่ายภาครัฐที่สูงขึ้น
3: เป้าหมายเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
4: ความมั่นคงทางการเงิน
ว่างงาน :
เราทราบดีว่าบริษัทต่างๆ มีการขยายตัวที่ดี แต่มีคำกล่าวที่ว่า "สิ่งใดมากเกินไปก็ไม่มีประโยชน์"
ในช่วงพีค
บริษัทไม่สามารถหารายได้ส่วนเพิ่มถัดไปได้
บริษัทต่าง ๆ กำลังรับความเสี่ยงและหนี้สินมากขึ้นเพื่อรีเซ็ตการเติบโต
ไม่เพียงแต่บริษัทเท่านั้น แต่นักลงทุนและลูกหนี้ก็ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเช่นกัน
ทำไมการเลิกจ้างจึงเกิดขึ้น
หลังจากช่วงพีค บริษัทต่างๆ จะไม่สามารถหารายได้ส่วนเพิ่มถัดไปได้ ตอนนี้ธุรกิจไม่มีกำไรแล้ว Cบริษัทเริ่มลดต้นทุนเพื่อเข้าสู่ระบบที่ทำกำไรได้ ตัวอย่างเช่น - แรงงาน
ปัจจุบันบริษัทต่าง ๆ กำลังทำงานโดยมีพนักงานน้อยลง พนักงานน้อยลงต้องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น มิฉะนั้นพวกเขาอาจถูกเลิกจ้างโดยบริษัทเช่นกัน คุณสามารถจินตนาการถึงภาระงานและความกดดัน
คุณอาจโต้แย้งว่าพวกเขาควรออกจากบริษัท! จริงหรือ พวกเราเพิ่งพูดถึงอัตราการจ้างงานที่ลดลง คุณจะได้งานอย่างไรเมื่อไม่มีงานทำ? ตอนนี้คุณเข้าใจแล้ว!
สมมติว่าผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจถดถอยต่อคนทั่วไป:
-*-เงื่อนไขที่ 1: เขาอาจถูกเลิกจ้าง
-*- เงื่อนไขที่ 2: บางทีเขาอาจถูกบังคับให้ทำงานนานขึ้น บริษัทไม่สามารถรักษาแนวโน้มเชิงบวกได้ พนักงานจำนวนน้อยลงกำลังทำงานมากขึ้นเนื่องจากการเลิกจ้างจำนวนมาก ค่าจ้างของเขาลดลงและเขาไม่มีรายได้ที่ใช้แล้วทิ้ง
ส่งผลให้อัตราการบริโภคลดลงส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อลดลง การชะลอตัวของเศรษฐกิจเกิดจากราคาที่ลดลงซึ่งทำให้กำไรลดลงส่งผลให้มีการลดงานมากขึ้น
สี่สาเหตุของภาวะถดถอย:
1. ภาวะช็อกทางเศรษฐกิจ
2. การสูญเสียผู้บริโภค
3. อัตราดอกเบี้ยสูง
4. ตลาดหุ้นตกกะทันหัน
1) Economic shocks - เมื่อเกิดภาวะช็อกจากภายนอกหรือเศรษฐกิจที่ประเทศเผชิญ ตัวอย่างเช่น โควิด-19,
2) ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค - การรับรู้เชิงลบเกี่ยวกับเศรษฐกิจและบริษัทจากผู้บริโภคที่ไม่มั่นใจในอำนาจการใช้จ่าย แทนที่จะใช้จ่ายพวกเขาจะเลือกประหยัดเงิน เนื่องจากไม่มีการใช้จ่ายจึงไม่มีความต้องการสินค้าและบริการ การขาดการใช้จ่ายส่งผลให้ความต้องการซื้อสินค้าและบริการลดลง
3) อัตราดอกเบี้ยสูง - อัตราดอกเบี้ยสูงจะลดการใช้จ่าย เงินกู้มีราคาแพง น้อยคนนักที่จะปล่อยกู้ การใช้จ่ายของผู้บริโภค ยอดขายรถยนต์ และตลาดที่อยู่อาศัยจะได้รับผลกระทบ จะไม่มีความต้องการที่ดีหากไม่มีการให้ยืม จะมีการผลิตลดลง
4) ตลาดหุ้นพังกระทันหัน - หลีกเลี่ยงความไว้วางใจของผู้คนในตลาดหุ้น เป็นผลให้พวกเขาจำเงินได้และอารมณ์ทำให้พวกเขาคลั่งไคล้ นอกจากนี้ยังถือเป็นปัจจัยทางจิตวิทยา ส่งผลให้ผู้คนไม่ใช้เงินและจีดีพีจะลดลง
การใช้จ่ายของผู้บริโภค:
ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย ผู้บริโภคไม่มีรายได้เพิ่มเติมที่เรียกว่ารายได้ที่ใช้แล้วทิ้ง
ส่วนของการใช้จ่ายของผู้บริโภค
-- สินค้าคงทน - มีอายุการใช้งานมากกว่าหนึ่งปี
-- สินค้าไม่คงทน - มีอายุการใช้งานน้อยกว่าหนึ่งปี
-- บริการ - บัญชี กฎหมาย บริการนวด ฯลฯ
นักท่องสินค้าคงทนในช่วงเศรษฐกิจถดถอย สินค้าไม่คงทนสามารถพิสูจน์ภาวะถดถอยได้เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานในแต่ละวันไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะถดถอย
ลองยกตัวอย่างหุ้นสองตัว
ABC Food เทียบกับ ABC car
แต่คุณจะหยุดซื้ออาหารเพราะภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่? คุณจะลดการบริโภคยาสีฟัน ขนมปัง และนมหรือไม่?
คำตอบคือ "ไม่"
ผู้บริโภคซื้ออาหารในปริมาณเท่าๆ กันในช่วงเวลาที่ดีหรือไม่ดี ในทางกลับกัน ผู้บริโภคจะแลกหรือแลกซื้อรถก็ต่อเมื่อพวกเขาไม่ได้ทำงานเท่านั้น แต่ยังมองในแง่ดีเกี่ยวกับความปลอดภัยของงานและมั่นใจว่าจะได้รับโปรโมชั่น หรืองานที่ได้รับค่าตอบแทนสูงกับนายจ้างรายอื่น และรายได้ที่ใช้แล้วทิ้งของผู้คนจะถูกดูดซับในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย
การใช้จ่ายของผู้บริโภคคือจุดสำคัญในการแทนที่ภาวะถดถอย
การขายรถยนต์:
อย่างที่เราคุยกัน มีคนไม่กี่คนที่ซื้อรถในช่วงเศรษฐกิจถดถอย ยอดขายรถใหม่นับเป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจ คุณอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับสินเชื่อ 0% บริษัทอำนวยความสะดวกสินเชื่อ 0% เพื่อเพิ่มยอดขายรถยนต์ คนส่วนใหญ่ซ่อมรถหรือซื้อรถเก่าในช่วงเศรษฐกิจถดถอย
คุณอาจเห็นการเติบโตของตลาดรถมือสองและยอดขายของบริษัทขายอะไหล่
ยอดขายบ้าน/ตลาดที่อยู่อาศัย:
ฉันมีคำถามตอนนี้!
สินทรัพย์ใดที่ใหญ่ที่สุดของคุณ? พวกคุณส่วนใหญ่จะพูดว่า my home!
ยอดขายบ้านใหม่เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ราคาบ้านยังส่งผลต่อความรู้สึกของผู้บริโภคที่มั่งคั่งอีกด้วย ราคาบ้านยิ่งสูง ยิ่งรวย และในทางกลับกัน เมื่อราคาบ้านสูงขึ้น ผู้บริโภครู้สึกว่าตนมีฐานะร่ำรวยและเต็มใจที่จะใช้จ่าย แต่เมื่อราคาบ้านลดลง การใช้จ่าย/การบริโภคก็ลดลง
หากราคาสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของคุณลดลง คุณไม่ใช้จ่ายและเศรษฐกิจต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัว อัตราที่สูงขึ้นจะหยุดการเพิ่มราคาบ้านเพราะต้องจ่าย EMI มากขึ้น ธนาคารกลางลดอัตราในช่วงเศรษฐกิจถดถอย และอัตราตลาดที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นเนื่องจากเงินกู้/อีเอ็มไอมีราคาถูก
อัตราดอกเบี้ย:
โดยทั่วไป อัตราดอกเบี้ยจะลดลงในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย ธนาคารกลางปรับลดอัตราดอกเบี้ย เป็นเหตุให้เงินกู้มีราคาถูก
ประโยชน์ของการลดอัตราดอกเบี้ย -
- - เพิ่มขึ้นในตลาดที่อยู่อาศัย
- - เพิ่มยอดขายสินค้าคงทน
- - เพิ่มการลงทุนทางธุรกิจ
- - พันธบัตรและอัตราดอกเบี้ยมีความสัมพันธ์แบบผกผัน ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำมีแนวโน้มที่จะทำให้นักลงทุนสนใจพันธบัตรมากกว่าหุ้น ซึ่งสามารถดำเนินการได้ดีในภาวะเศรษฐกิจถดถอย
- - ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย อัตราดอกเบี้ยถูกลงและธนาคารกำหนดเกณฑ์ในการขอสินเชื่อให้สูงขึ้น เพื่อให้ผู้คนสามารถเผชิญกับนามธรรมในขณะที่ให้กู้ยืมเงิน
ตลาดหุ้น:
ฉันต้องการชี้แจงว่าตลาดหุ้นไม่ใช่เศรษฐกิจ วัฏจักรเศรษฐกิจล้าหลังกว่าวัฏจักรตลาดและวัฏจักรความรู้สึก มันทำให้ฉันสบายใจในฐานะนักวิเคราะห์ทางเทคนิคและช่วงเวลาที่เศร้าใจในฐานะคนรักเศรษฐศาสตร์ บางครั้งก็อยู่ข้างหน้าและบางครั้งก็อยู่ข้างหลัง ภาวะถดถอย = ตลาดหมี
อุตสาหกรรมที่พิสูจน์ภาวะถดถอย:
* ลวดเย็บกระดาษของผู้บริโภค
* ความสุขที่มีความผิด
* ยูทิลิตี้
* ดูแลสุขภาพ
* เทคโนโลยีสารสนเทศ
* การศึกษา
ฉันจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ในอนาคต แต่สำหรับในตอนนี้ เราจะกลับไปที่ การวิเคราะห์ทางเทคนิค
แจ้งเตือน: 3 เหตุผลที่ทำให้คุณเป็นเทรดเดอร์ที่ดีขึ้นได้เฮ้ทุกคน! 👋
การแจ้งเตือนบนแอปพลิเคชันนั้นมีหลายลักษณะ หากพูดถึงในบริบท การเทรด มันมักถูกใช้งานน้อยเกินไปเนื่องจากอาจต้องใช้เวลาและความเฉลียวฉลาดในการสร้างระบบที่สามารถทำงานได้ดี มาดูเหตุผลบางประการที่ทำให้การลงทุนนั้น คุ้มค่า
1. พวกมันช่วยสร้างนิสัยที่ดีได้ 💪
หยุดเราหากสิ่งนี้ฟังดูคุ้นหู: คุณได้ยินเรื่องราวการลงทุนที่ยอดเยี่ยม จากนั้นจึงออกไปในตลาดและซื้อสินทรัพย์ทันทีโดยไม่มีแผน
แม้ว่าวิธีนี้จะได้ผล แต่ก็ไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีสำหรับความสำเร็จในระยะยาว เพราะในความเป็นจริงแล้ว การนั่งในตำแหน่งนั้นโดยไม่ได้วางแผนและเทรดอย่างมีประสิทธิภาพอาจเป็นเรื่องยากมาก คุณอาจเลือกที่จะออกจากตำแหน่งโดยไม่มีอะไรมากไปกว่าความโลภหรือความกลัวชั่วขณะ และการเคลื่อนไหวเช่นนั้นอาจขัดขวางความสม่ำเสมอและความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว
การแจ้งเตือนเป็นสิ่งที่ดีเพราะสามารถคาดเดาการเข้าและออกจากตำแหน่งได้ เพียงตั้งค่าการแจ้งเตือนสำหรับราคาที่คุณต้องการ จากนั้นทำการซื้อขายหากตรงตามเงื่อนไขเท่านั้น จากนั้นปล่อยให้ตลาดทำสิ่งนั้นและปล่อยให้ความน่าจะเป็นเข้าข้างคุณ
การแจ้งเตือนสามารถเปลี่ยนประสบการณ์การเทรดจากการค้นหาไอเดียอย่างต่อเนื่องและรู้สึกล้าหลังอยู่เสมอ ให้กลายเป็นงานที่ผ่อนคลายด้วยการรอให้เงื่อนไขที่ได้รับการอนุมัติล่วงหน้าของคุณทำงานก่อนที่จะดำเนินการ กล่าวโดยย่อ การแจ้งเตือนสามารถทำให้คุณพร้อมมากขึ้นสำหรับตลาดขาขึ้นและขาลง
2. ช่วยเพิ่มอิสระและลดความวิตกกังวล 🧘
มีคตินิยมที่รู้จักกันดีในการซื้อขายและในชีวิตที่ระบุว่าอารมณ์ด้านลบมีความรู้สึกรุนแรงเป็นสองเท่าอารมณ์ด้านบวก ข้อเท็จจริงนี้มีหลักฐานมากมาย แต่จะมีประโยชน์อย่างยิ่งในการทำความเข้าใจในฐานะเทรดเดอร์
พิจารณานักลงทุนต่อไปนี้:
ทันตแพทย์ที่ตรวจสอบรายงานรายไตรมาสจากนายหน้าของเขา
นักซื้อขายตำแหน่งที่ตรวจสอบตำแหน่งของเขาเดือนละครั้ง
เทรดเดอร์ที่ตรวจสอบตำแหน่งของเขาสัปดาห์ละครั้ง
เทรดเดอร์รายวันที่ตรวจสอบตำแหน่งของเขาวันละครั้ง หากไม่มากกว่านั้น
เมื่อพิจารณาจากความผันผวนตามธรรมชาติที่ตลาดประสบ ผู้เข้าร่วมตลาดรายใดที่มีแนวโน้มน้อยที่สุดที่จะโกรธหรือไม่พอใจ? ทันตแพทย์. ทำไม เพราะเขาได้รับจุดข้อมูลจากตลาดน้อยลง แม้แต่นักเทรดรายวันระดับโลกก็ยังต้องเผชิญกับสถานการณ์เชิงลบนับสิบหรือร้อยสถานการณ์ในแต่ละวันอันเป็นผลมาจากความผันผวนซึ่งพวกเขาไม่สามารถควบคุมได้ ระดับของการกระตุ้นเชิงลบนี้สามารถลดสุขภาพจิตและประสิทธิภาพการซื้อขายได้
การแจ้งเตือนช่วยให้เทรดเดอร์ที่เตรียมตัวมาอย่างดีพร้อมถอยห่างจากตลาดและอนุญาตให้เทรดมาหาพวกเขา
3. การแจ้งเตือนของเราจะไม่ปล่อยให้สิ่งใดหลุดลอดออกมา ✅
แม้ว่าสองประเด็นก่อนหน้านี้จะเป็นประโยชน์เมื่อพูดถึงการแจ้งเตือนราคา การแจ้งเตือนของเรายังยกระดับเกมขึ้นอย่างมากเมื่อพูดถึงยูทิลิตี้ของผู้ใช้ เมื่อคุณมีการตั้งค่าที่คุณต้องการเทรดแล้ว คุณสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนเกี่ยวกับเส้นแนวโน้ม ตัวบ่งชี้ทางเทคนิค สคริปต์ที่ปรับแต่งได้ และอื่นๆ อีกมากมาย คุณจึงมั่นใจได้ว่าจะไม่พลาดการตั้งค่าที่คุณชื่นชอบ
สิ่งนี้อาจเป็นเรื่องง่ายเหมือนนักลงทุนระยะยาวที่ตั้งค่าการแจ้งเตือน RSI บนหุ้น Dow 30 เพื่อซื้อการดิ่งลงอย่างแข็งแกร่ง ไปจนถึงซับซ้อนพอๆ กับการแจ้งเตือนการตั้งค่า Scalper ของฟิวเจอร์สระหว่างวันสำหรับความไร้ประสิทธิภาพด้านราคาภายในสัญญา 40 อันดับแรกของเขา
การแจ้งเตือนที่ปรับแต่งได้ของเราสามารถช่วยให้เทรดเดอร์ที่มีการจัดการที่ดีสามารถคว้าทุกโอกาสที่พวกเขามองเห็นได้
และคุณมีมัน! 3 เหตุผลในการใช้ประโยชน์จากการแจ้งเตือน และประโยชน์อันยอดเยี่ยมทั้งหมดที่พวกเขามอบให้
ขอบคุณที่อ่านและรักษาสุขภาพ!
รัก,
ทีมงานเทรดวิว ❤️❤️
จอกศักดิ์สิทธิ์ของนักลงทุน - วงจรธุรกิจ/เศรษฐกิจวัฏจักรธุรกิจอธิบายว่าเศรษฐกิจขยายตัวและหดตัวอย่างไรเมื่อเวลาผ่านไป เป็นการเคลื่อนไหวขึ้นและลงของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศพร้อมกับอัตราการเติบโตในระยะยาว
วงจรธุรกิจประกอบด้วย 6 ระยะ/ระยะ:
1. การขยายตัว
2. จุดสูงสุด
3. ภาวะถดถอย
4. ภาวะซึมเศร้า
5. รางน้ำ
6. การกู้คืน
1) การขยายตัว:
ภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบ: เทคโนโลยี ดุลยพินิจของผู้บริโภค
การขยายตัวเป็นขั้นตอนแรกของวงจรธุรกิจ เศรษฐกิจเคลื่อนตัวขึ้นอย่างช้าๆ และวัฏจักรเริ่มต้นขึ้น
รัฐบาลเสริมสร้างเศรษฐกิจ:
> ลดภาษี
> เพิ่มการใช้จ่าย
- เมื่อการเติบโตช้าลง ธนาคารกลางจะลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นให้ธุรกิจกู้ยืม
- ในขณะที่เศรษฐกิจขยายตัว ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะแสดงสัญญาณเชิงบวก เช่น การจ้างงาน รายได้ ค่าจ้าง ผลกำไร อุปสงค์และอุปทาน
- การจ้างงานที่เพิ่มขึ้นเพิ่มความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เพิ่มกิจกรรมในตลาดที่อยู่อาศัย และการเติบโตกลายเป็นบวก อุปสงค์ในระดับสูงและอุปทานไม่เพียงพอทำให้ราคาการผลิตเพิ่มขึ้น นักลงทุนใช้เงินกู้ในอัตราสูงเพื่อเติมเต็มแรงกดดันด้านอุปสงค์ กระบวนการนี้ดำเนินต่อไปจนกว่าเศรษฐกิจจะเอื้ออำนวยต่อการขยายตัว
2) จุดสูงสุด:
ภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบ: การเงิน พลังงาน วัสดุ
- ขั้นตอนที่สองของวัฏจักรธุรกิจคือจุดสูงสุดซึ่งแสดงถึงการเติบโตสูงสุดของเศรษฐกิจ การระบุจุดสิ้นสุดของส่วนขยายเป็นงานที่ซับซ้อนที่สุด เพราะสามารถอยู่ได้นานหลายปี
- ระยะนี้แสดงการลดลงของอัตราการว่างงาน ตลาดยังคงมีมุมมองเชิงบวก ในระหว่างการขยายตัว ธนาคารกลางจะมองหาสัญญาณของการสร้างแรงกดดันด้านราคา และอัตราที่เพิ่มขึ้นสามารถนำไปสู่จุดสูงสุดนี้ได้ ธนาคารกลางยังพยายามปกป้องเศรษฐกิจจากอัตราเงินเฟ้อในระยะนี้
- เนื่องจากอัตราการจ้างงาน รายได้ ค่าจ้าง ผลกำไร อุปสงค์และอุปทานสูงอยู่แล้ว จึงไม่มีการเพิ่มขึ้นอีก
- นักลงทุนจะผลิตมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อเติมเต็มแรงกดดันด้านอุปสงค์ ดังนั้นการลงทุนและสินค้าจะมีราคาแพง ณ เวลานี้ นักลงทุนจะไม่ได้รับผลตอบแทนเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ ราคาจะสูงขึ้นสำหรับผู้ซื้อที่จะซื้อ จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย เศรษฐกิจจะกลับตัวจากระยะนี้
3) ภาวะถดถอย:
ภาคส่วนได้รับผลกระทบ: สาธารณูปโภค สุขภาพ อุปโภคบริโภค
- การลดลงติดต่อกันสองไตรมาสของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศถือเป็นภาวะถดถอย
- ภาวะเศรษฐกิจถดถอยตามมาด้วยช่วงพีค ในระยะนี้เครื่องบ่งชี้เศรษฐกิจเริ่มถดถอย ความต้องการสินค้าลดลงเนื่องจากราคาแพง อุปทานจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และในทางกลับกันอุปสงค์จะเริ่มลดลง นั่นทำให้เกิด "อุปทานส่วนเกิน" และจะนำไปสู่การลดลงของราคา
4) ภาวะซึมเศร้า:
- ในช่วงขาลงที่ยืดเยื้อมากขึ้น เศรษฐกิจจะเข้าสู่ระยะตกต่ำ ระยะเวลาของอาการป่วยไข้เรียกว่าภาวะซึมเศร้า ภาวะซึมเศร้าไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่เมื่อเกิดขึ้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมากที่สามารถยกระดับผู้บริโภคและธุรกิจให้พ้นจากภาวะตกต่ำได้ เมื่อเศรษฐกิจถดถอยและลดลงต่ำกว่าการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ระยะนี้เรียกว่าภาวะซึมเศร้า
- ผู้บริโภคไม่กู้ยืมหรือใช้จ่ายเพราะมองเศรษฐกิจในแง่ร้าย เมื่อธนาคารกลางลดอัตราดอกเบี้ย เงินกู้มีราคาถูก แต่ธุรกิจไม่สามารถใช้ประโยชน์จากเงินกู้ได้ เนื่องจากพวกเขามองไม่เห็นภาพที่ชัดเจนว่าความต้องการจะเริ่มฟื้นตัวเมื่อใด ความต้องการสินเชื่อจะน้อยลง ธุรกิจจบลงด้วยการนั่งอยู่บนสินค้าคงเหลือและการผลิตกลับคืนซึ่งพวกเขาผลิตไปแล้ว
- บริษัทต่างๆ เลิกจ้างพนักงานมากขึ้นเรื่อยๆ และอัตราการว่างงานก็พุ่งสูงขึ้นและความเชื่อมั่นก็ลดลง
5) ราง:
- เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจติดลบ แนวโน้มก็จะดูสิ้นหวัง อุปสงค์และอุปทานของสินค้าและบริการที่ลดลงต่อไปจะทำให้ราคาตกลงมากขึ้น
- มันแสดงให้เห็นสถานการณ์เชิงลบสูงสุดเมื่อเศรษฐกิจมาถึงจุดต่ำสุด ตัวบ่งชี้ทางเศรษฐกิจทั้งหมดจะแย่ลง อดีต. อัตราการว่างงานสูงสุด และความต้องการสินค้าและบริการต่ำที่สุด (ต่ำสุด) เป็นต้น หลังจากเสร็จสิ้น ช่วงเวลาที่ดีจะเริ่มต้นด้วยระยะฟื้นตัว
6) การกู้คืน:
ภาคที่ได้รับผลกระทบ: อุตสาหกรรม วัสดุ อสังหาริมทรัพย์
- เนื่องจากราคาที่ต่ำ เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากอัตราการเติบโตที่ติดลบ และอุปสงค์และการผลิตก็เริ่มเพิ่มขึ้น
- บริษัทหยุดปลดพนักงานและเริ่มค้นหาเพื่อตอบสนองความต้องการในระดับปัจจุบัน เป็นผลให้พวกเขาถูกบังคับให้จ้าง เมื่อหลายเดือนผ่านไปเศรษฐกิจก็ขยายตัวอีกครั้ง
- วัฏจักรธุรกิจมีความสำคัญเนื่องจากนักลงทุนพยายามมุ่งความสนใจไปที่การลงทุนที่คาดว่าจะไปได้ดีในช่วงเวลาหนึ่งของวัฏจักร
- รัฐบาลและธนาคารกลางดำเนินการเพื่อสร้างเศรษฐกิจที่ดี รัฐบาลจะเพิ่มรายจ่ายและดำเนินการเพื่อเพิ่มการผลิต
หลังจากระยะฟื้นตัว เศรษฐกิจก็เข้าสู่ช่วงขยายตัวอีกครั้ง
สวรรค์ที่ปลอดภัย/หุ้นตั้งรับ - รักษาหรือคาดการณ์มูลค่าในช่วงวิกฤต จากนั้นจึงทำได้ดี เรายังสามารถคาดหวังผลตอบแทนที่ดีในประเภทสินทรัพย์เหล่านี้ อดีต. สาธารณูปโภค การดูแลสุขภาพ วัตถุดิบหลักของผู้บริโภค ฯลฯ ("เราจะหารือเพิ่มเติมในบทความที่กำลังจะมาถึงของเราเนื่องจากความยาวของบทความ")
Harmonic Series on TFEXTFEX - S50Z22 เป็น Series ที่มีสภาวะ Sideway อย่างยาวนาน นักเทรดไม่สามารถหาสัญญาณการเกิดเทรนได้ หรือเกิดสัญญาณแล้วก็ False
แต่ในสภาวะ Sideway ที่ราคาเคลื่อนตัวเหมือนจะไร้ทิศทางนี้ แท้จริงแล้วกลับมีรูปแบบที่ซ่อนอยู่ เป็นการฟอร์มตัวของจุดที่มีนัยยะสำคัญ 5 จุด ก่อเกิดเป็นรูปแบบที่เรียกว่า 'HARMONIC PATTERN'
Harmonic Pattern คือ Pattern ที่จะเกิดในสภาวะ sideway หรือในชุดพักตัว และยิ่งพักตัวยาวนานเท่าไหร่ เราก็จะได้เห็น Harmonic Pattern ที่ร้อยเรียงกันต่อเนื่องกันไปเหมือนอย่างในรูปชาร์ตของ TFEX Series Z นี้
HARMONIC TRADING เป็นเทคนิคการเทรดในสภาวะไร้ทิศทางด้วย 'Harmonic Pattern' ในแต่ละ Pattern ของ Harmonic จะมีหลักในการวาง จุดเข้าซื้อ จุดตัดขาดทุน และจุดล็อกกำไร ไว้อย่างชัดเจน และจะแตกต่างกันไปตามแต่ละ Pattern ซึ่งจำเป็นจะต้องเรียนรู้และฝึกฝนให้ชำนาญก่อนที่จะนำไปใช้ แล้วเราก็จะสามารถเปลี่ยนสภาวะไร้ทิศทางที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงสูง ไปเป็นการแกว่งตัวในรูปแบบที่เรารู้จักและสามารถเทรดทำกำไรกับมันได้
มนุษย์กราฟ | Humangraphy
[แกะหุ้นเด้ง pt.2] เล่า BizModel+งบ กับ Evolution หุ้น 100 เด้ง Evolution AB ตำนานหุ้น 100 เด้ง และเป็น หุ้น 10 เด้งใน 5 ปี
.
บริษัท Evolution AB เป็นบริษัทสัญชาติสวีเดนที่ประกอบธุรกิจเว็บพนันออนไลน์ที่มีอัตราการเติบโตในระดับที่น่าประทับใจ ผู้เพียบพร้อมทั้งเรื่องการเติบโตของรายได้ ผลกำไร และอัตราส่วนทางการเงิน ที่ไม่ว่าใครมาเห็นต้องอยากได้หุ้นตัวนี้มาประดับพอร์ตการลงทุนอย่างแน่แท้
.
โดยบริษัทเองนอกจากทำอัตรากำไรในระดับที่น่าพึงพอใจแล้ว บริษัทเองก็มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (CFO) และกระเงินสดอิสระ (FCF) เป็นบวกมาตลอดระยะเวลาหลายปี และมีเทรนด์ที่เป็นขาขึ้นตลอด จนกลายเป็นหุ้น 10 เด้งในระยะเวลา 5 ปี (และเป็นหุ้น 20 เด้ง เมื่อตอนที่ตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ ณ จุดสูงที่สุดตอนช่วงปี 2021)
.
และเราเองก็สามารถเป็นเจ้าของหุ้นนี้ได้ ผ่านการประยุกต์ใช้หลักการของคุณปีเตอร์ ลินซ์ ผ่านเพลย์บุคอย่างเล่ม One Up on Wall Street ด้วยการซื้อหุ้นที่มีค่า PEG ต่ำกว่า 1 ในการลงทุนได้ครับ
.
.
.
ทั้งหลายนี้แสดงให้เราเห็นอะไรบ้าง ก่อนอื่นผมขอพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับอัตราส่วน PEG ที่จะเป็นผู้ช่วยในการเลือกซื้อหุ้นนี้กันก่อนครับ
.
หุ้นมี PEG ต่ำกว่า 1 เท่า เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่แสดงให้เราเห็นว่า “หุ้นตัวนี้มีโอกาสขึ้น” จากการ “ปรับค่า PE ใหม่ของนายตลาดสู่ระดับที่ควรจะเป็น”
.
สมการของ PEG คือ PE / EPS Growth และสมการของ PE คือ Price / EPS
.
EPS ขึ้น หากราคาเท่าเดิม PE จะต่ำลงตามสมการ , เมื่อนายตลาดเห็น PE ที่ถูกลง นายตลาดก็อาจปรับ PE กลับไปสู่จุดเดิมได้
.
เช่น เมื่อก่อนหุ้นตัวหนึ่งถูกเทรดที่ ราคา 15 บาท ที่ PE 15 เท่า และมีกำไรต่อหุ้นที่ 1 บาท (สมการ Price = PE * EPS) ต่อมาหุ้นนี้มีกำไรเติบโต 30% หรือกำไรต่อหุ้นได้เปลี่ยนเป็น 1.3 บาทต่อหุ้น (EPS ใหม่ = EPS เดิม * อัตราการเติบโต , EPS ใหม่ = 1* = 1.3 บาทต่อหุ้น )
.
ทำให้ค่า PEG ของบริษัทเทรดอยู่ที่ 15/30 = 0.5 เท่า หากหุ้นนี้เทรดอยู่ที่ราคา 15 บาทเท่าเดิม ตอนนี้ PE ของบริษัทก็จะอยู่ที่ 11.53 เท่า
.
.
.
ดังนั้นแล้ว การที่บริษัทจะกลับไปเทรดเท่าเดิมที่ PE 15 เท่าเดิมได้นั้น ราคาหุ้นจะต้องไปอยู่ที่ 19.5 บาท คิดเป็น Upside ในสัดส่วนที่เทียบเท่ากับการเติบโตของกำไร 30%
.
แต่ทั้งนี้สิ่งที่เราต้องพิจารณา คือกำไรที่ได้มานี้ “เป็นกำไรจากการดำเนินงานที่เติบโตตามธรรมชาติบริษัท” หรือไม่ เราต้องพิจารณาผ่านการอ่านรายงานผลประกอบการรายไตรมาสด้วย
.
เพราะหากบริษัทได้กำไรมาจากกิจกรรมพิเศษ (เช่นการขายที่ดินออก การได้เงินประกัน) ความสามารถในการทำซ้ำอีกครั้งก็นับว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลย เช่น ถ้าบริษัทขายที่ดินแปลงนั้นไปแล้ว เราก็คงไม่สามารถเสกที่ดินแปลงเดิมมาขายใหม่ทุกๆ ปีได้ใช่ไหมครับ
.
ต่อมาเมื่อการทำซ้ำไม่มีแล้ว เมื่อปีหน้ามาถึงกำไรส่วนที่ได้จากกิจกรรมก่อนหน้าจะหายไป ตรงนี้จะทำให้นายตลาด “ตีมูลค่าบริษัทให้ต่ำลง” (จากการที่ EPS ลดลง) ในที่สุด
.
.
.
กลับมาที่บริษัท Evolution AB ราคาหุ้นของบริษัทเคยเทรดอยู่ในระดับที่ PEG ต่ำ 1 อยู่หลายช่วงเวลาเหมือนกันครับ โดยช่วงที่เห็นได้ชัดมากที่สุดคือตอนกลางปี 2017 จนถึงท้ายปี 2018 ต้นปี 2019 หากเราได้ซื้อหุ้นตัวนี้ในช่วงราคา 140 เหรียญ (Swedish Krona) ตอนเดือนกันยายน 2018 ซึ่งเป็นจุดซื้อที่จั่วยอดดอย ณ PEG Ratio 0.9x และทนถือเพื่อรอกำไรและราคาหุ้นบริษัทเบ่งบานตอนเดือนเมษายน 2021 ที่ราคา 1,6xx เหรียญ (Swedish Krona) คุณจะได้ผลตอบแทนกว่า 1,1xx% ทีเดียว
.
ในด้านธุรกิจ Evolution เองมีผลการดำเนินงานที่เป็นบวกและเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ ครับ ผ่านการเปิดแพลตฟอร์มไปในประเทศต่างๆ รวมถึงมียอดผู้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ผสานกับลักษณะบริษัทเป็น Asset Light Model ซึ่งมีต้นทุนการดำเนินงานที่คงที่ ใช้สินทรัพย์ไม่หนักมากทั้งด้านบุคลากรและอุปกรณ์ มีรายได้เข้ามาไม่จำกัดแต่ต้นทุนคงที่ ทำให้รายได้ของบริษัทลงมาสู่บรรทัดล่างที่เติบโตขึ้นทุกปี ด้วยปัจจัยนี้เองจึงช่วยผลักดันให้มูลค่าของบริษัทสามารถไปได้ไกลนั่นเองครับ
.
และอีกประเด็นที่เลี่ยงไม่ได้ คือ “เทรนด์ธุรกิจ” ผู้เป็นพระเอกที่ช่วยผลักดันให้บริษัทเติบโตเหนือกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ ในตลาดอีกด้วยโดย Evolution เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ซึ่งรูปแบบแพลตฟอร์มออนไลน์นี้ได้มา Disrupt ธุรกิจกาสิโนแบบมีพื้นที่ตั้ง โดยจากข้อมูลบริษัทได้ระบุว่าขนาดตลาดของกาสิโนแบบมีพื้นที่มีอัตราการหดตัวแบบทบต้น (CAGR) กว่า -8.2% ตลอดปี 2017-2021 ในขณะที่ตลาดเกมแบบออนไลน์ที่บริษัทกำลังประกอบการอยู่มีอัตราการเติบโตแบบทบต้น (CAGR) ที่ 31.1%
.
ปฏิเสธไม่ได้เลยครับ ว่าท่ามกลางความแตกต่างของ 2 เทรนด์บริษัทที่ขาหนึ่งกำลังถอยลง และขาหนึ่งกำลังพุ่งทะยาน นายตลาดจึงมอบรางวัลและความคาดหวังแก่ Evolution ให้เป็นหุ้นเด้งผู้เติบโตด้วยศักดิ์และศรีเพียบพร้อมด้วยตัวเลขการเงินอันเป็นผลประจักษ์และราคาอย่างแท้จริง
.
.
.
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมได้บอกเล่าทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้แม่นยำ 100% ว่าสิ่งที่เขียนจะเป็นเพลย์บุคที่ต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ในอนาคต สิ่งนี้อาจมีความแม่นยำเพียง 30-40% เพียงเท่านั้นครับเมื่อนำไปประยุกต์ผ่านการลงทุน
.
ทั้งนี้ขอให้พี่ๆ เพื่อนๆ พึงระลึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องตามปกติ เพราะว่าไม่มีวิธีการลงทุนใดที่ให้ผลลัพธ์ 100% ได้ และการที่เราจะทำเงินจากตลาดหุ้นได้ไม่ได้อยู่ที่การเลือกวิธีการที่แม่นยำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ประกอบไปด้วยองค์ประกอบอันหลายอย่างซึ่งก่อรูปและร่าง ผ่านบริบทและเวลาของบริษัทนั้นๆ ครับ
.
สิ่งที่เราเล่าทั้งหมด เป็นเพียงการชี้ให้เห็นภาพเท่านั้นว่าคุณสามารถนำความรู้จากหนังสือหุ้นไปทำเงินได้ครับ