THE MARKET STRUCTURETHE MARKET STRUCTURE (ขั้นพื้นฐาน เบื้องต้น) 📊 Sell Setup 📊 เป็นกรณีศึกษา Case Study Only
● ที่ต้องบอกว่าเบื้องต้น ก็เพราะว่าโครงสร้างตลาดนี้เป็นไปในแบบฉบับที่ผมปรับจูนนิดหน่อย อาจจะไม่เปะ ไม่ได้สมบูรณ์แบบ 100%
.
แต่คิดว่า สำหรับคนที่ต้องการศึกษาไว้ น่าจะเป็นไกด์นำทิศทาง ในการมองภาพรวมของตลาดได้
.
และทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับการศึกษาพฤติกรรมพื้นฐาน ทั้งคลื่นและโครงสร้าง ให้แตกฉาน จนเกิดเป็น ปสก. และทักษะส่วนตัว ถึงขั้นชำนาญ แตกฉานแล้วเท่านั้น ถึงจะเข้าใจว่า โครงสร้างทั้งหมด ก็เป็นเพียงไกด์นำทางเท่านั้น เมื่อถึงจุดนั้นแล้ว นักเทรดจะเริ่มปรับประยุกต์ใช้ และยืดหยุ่นเทคนิค เป็นการปรับมุมมองตามอารมณ์ของตลาดในช่วงเวลานั้นๆ
.
เพื่อให้รู้จังหวะในช่วงเวลานั้นๆ ว่าจะหลีกเลี่ยง จะฟอลโล่ตาม หรือเข้าปะทะร่างกาย
.
จากแผนภาพ เป็นการวางแผน 2 ชั้น ในระดับ Supply Zone ทั้ง 2 โซนนะครับ การเทรดควรวางแผนมากกว่า 1 แผนเสมอและควรทำ Position Sizing คำนวณล็อตและ MM ทุกๆ แผนนะครับ
#อย่าได้จดจำหรือยึดติดกับคำย่อมากมายนัก
#เน้นศึกษาและนำส่วนจำเป็นมาใช้ก็พอ
#เป็นเพียงตัวอย่างแนวทางกรณีศึกษาเท่านั้น
ไอเดียชุมชน
[CASE STUDY หาหุ้นปันผล] กอง REIT กับผลตอบแทนไม่ธรรมดาสวัสดีครับพี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคน วันนี้ผมจะพาไปรู้จักกับสินทรัพย์การเงินชนิดหนึ่งนะครับ ที่สร้างผลตอบแทนได้จากทั้งเงินปันผลที่จ่ายอย่างสม่ำเสมอ และส่วนต่างราคาซึ่งราคาเหมือนกับหุ้น แต่ไม่ผันผวนมากเท่าหุ้นกันครับ
สินทรัพย์นี้คือกอง REIT นั่นเองครับ ซึ่งกอง REIT จะมี Business Model เป็นการรับค่าเช่าจากผู้เช่า และเอาค่าเช่านั้นมาจ่ายให้ผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างเราๆ นั่นเอง
โดยทั่วไปแล้วกอง REIT ส่วนมากจะเป็นกองของ "ห้างสรรพสินค้า" . "คลังสินค้า" , "โรงแรม" , "อาคารสำนักงาน"
ทั้งนี้เองเจ้าของจะเป็นคนที่ไปเก็บค่าเช่าจากคนที่มาใช้บริการครับ เช่นหากกอง REIT เป็นห้างสรรพสินค้า รายได้ก็ได้มาจากค่าเช่ารายเดือนของห้างร้านในนั้น
กอง REIT เองมี 2 แบบ คือแบบซื้อสิทธิ์ขายอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นของตัวเอง(Freehold) กับซื้อกรรมสิทธิ์ระยะยาว (Leasehold)
ในเคสนี้ผมจะพูดถึงเรื่องกอง Reit ที่สามารถเป็นหุ้นเด้งได้ยาวๆ และจ่ายเงินปันผลให้เราได้ตลอด นอกจากนี้ยังเป็นการกระจายความเสี่ยงไปที่สินทรัพย์อื่นๆ ได้ด้วย
คุณสมบัติหลักๆ คือ
- กองนั้นต้องมีความสามารถในการดึงดูดผู้เช่าให้มาใช้บริการเขาได้ตลอด
- สามารถปรับค่าเช่าตามเงินเฟ้อได้
- ความสามารถที่โดดเด่นคือการ "ฆ่าเงินเฟ้อ" ได้ครับ จากการปรับค่าเช่า และมูลค่าที่ดินที่ปรับสูงขึ้นได้เสมอ
- หากกองเป็นแบบ Leasehold ความขยันของเจ้าของเป็นสิ่งสำคัญ หากกองมีการขาย Asset เข้ากอง Reit ตลอด การที่กองนั้นราคาจะขึ้นไปตามความคาดหวังของอนาคตก็มี สามารถทำกำไรแบบส่วนต่างราคาหรือ Capital Gain ได้ไม่ยากนัก
ข้อเสียที่ร้ายแรงของกอง REIT ก็มีครับ นั่นคือ
- สภาพคล่องของกองอาจจะมีน้อยมากจนอาจเข้าออกได้ยาก
- การที่ราคาไม่ไปไหนอาจมีความเสี่ยง หากราคาเปิด Gap ลงมาจนทำให้เราเสียเงินทางบัญชี
- เงินปันผลอาจไม่การันตีจ่ายได้ตลอดได้ จากการที่มีปัญหาเฉพาะที่ครับ เช่นกองนั้นอาจเกิดไฟไหม้ทำให้ไม่สามารถเก็บค่าเช่าได้ หรือแม้แต่ COVID ที่อาจทำให้ผู้เช่าไม่สามารถจ่ายค่าเช่าได้จากการต้อง Lock Down
ผมหวังว่าไอเดียนี้จะช่วยเพิ่มทางเลือกในการลงทุนได้ และได้ผลตอบแทนจากสินทรัพย์นี้ที่ดีนะครัย
กฏและแนวทางการนับคลื่น Zigzag(5-3-5)Zigzag(5-3-5)
ซิกแซกมี สาม รูปแบบได้แก่ Single Zigzag,Double Zigzag,Triple Zigzag
Single Zigzag คือการลดลงสามคลื่นที่มีลำดับคลื่นย่อยภายในเป็น 5-3-5 และคลื่น B ต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของคลื่น A อย่างชัดเจน ในบางกรณี Zigzag อาจเกิดขึ้น สองครั้งหรือมากสุดสามครั้งติดต่อกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีนัยสำคัญ Zigzag แต่ละอันจะถูกคั่นกลางด้วยรูปแบบสามคลื่น(Corrective wave) ทำให้เกิด Double หรือ Triple Zigzag โดยที่ Zigzag มักจะเกิดขึ้นในคลื่นสองของ Motive wave มากกว่าคลื่นสี่ และอยู่ในคลื่นย่อยของสามเหลี่ยม และคลื่น X ในชุดคลื่นผสม
Rules
ซิกแซกแบ่งออกเป็นสามคลื่นเสมอ
คลื่น A แบ่งย่อยออกเป็น impulse หรือ leading diagonal.
คลื่น C แบ่งย่อย impulse หรือ ending diagonal.
คลื่น B แบ่งย่อยออกเป็น zigzag, flat, triangle หรือ combination เสมอ
คลื่น B ไม่เคยเคลื่อนที่เกินจุดเริ่มต้นของคลื่น A
Guidelines
คลื่น A แบ่งย่อยออกเป็น impulse.กือบทุกครั้ง
Wave C แบ่งย่อยเป็น impulse เสมอ
คลื่น C มักจะมีความยาวเท่ากับคลื่น A
คลื่น C มักจะสิ้นสุดเกินกว่าจุดสิ้นสุดของคลื่น A
คลื่น B มักจะย้อนกลับ 38 ถึง 79 เปอร์เซ็นต์ของคลื่น A
ถ้าคลื่น B เป็น running triangle โดยทั่วไปจะย้อนกลับระหว่าง 10 ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ของคลื่น A
หากคลื่น B เป็นคลื่นซิกแซก โดยทั่วไปจะถอยกลับ 50 ถึง 79 เปอร์เซ็นต์ของคลื่น A
หากคลื่น B เป็นรูปสามเหลี่ยม โดยทั่วไปจะย้อนกลับ 38 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ของคลื่น A
เส้นที่เชื่อมปลายคลื่น A และ C มักจะขนานกับเส้นที่เชื่อมปลายคลื่น B กับจุดเริ่มต้นของคลื่น A (แนวทางคาดการณ์ คลื่น C มักจะสิ้นสุดเมื่อถึงเส้นที่ลากจากปลายคลื่น A นั่นคือ ขนานกับเส้นที่เชื่อมจุดเริ่มต้นของคลื่น A และจุดสิ้นสุดของคลื่น B)
[แกะหุ้นเด้ง pt.2] เล่า BizModel+งบ กับ Rightmove หุ้น 40 เด้ง สวัสดีครับพี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคน วันนี้ผมอยากจะพาทุกคนไปรู้จักกับหุ้นเด้งตัวหนึ่งที่สามารถหาได้ตามตำราแบบฉบับของคุณ Peter Lynch เจ้าของหนังสือ One Up on Wallstreet ที่เราสามารถ ค้นหา-ถือ-ทำกำไรจากหุ้นบริษัทได้ ผ่านการหาสินค้าและบริการรอบตัวที่มีแบรนด์เป็นที่นิยม เป็นที่รักต่อผู้คน
.
โดยในวันนี้ผมอยากจะพาทุกคนไปรู้จักกับบริษัทนายหน้าขายสำหรับขายบ้านบริษัทหนึ่ง ซึ่งมี Market Share ในอุตสาหกรรมนายหน้าขายบ้านสำหรับในเครือจักรภพอังกฤษมากกว่า 80% ตลอดกว่า 10 ปี ที่เข้าตลาดและยังคงเป็นเบอร์ 1 ในปัจจุบัน
.
บริษัทนั้นคือ “Rightmove” ครับ
.
.
.
สิ่งทำให้ที่บริษัทอยู่ในสนามแข่งขันนี้ได้ยาวนานนับตั้งแต่ช่วงดอทคอม ผ่านวิกฤติอสังหา จนถึงปัจจุบัน เกิดมาจากการที่การสร้างความแตกต่างจากการเป็น Agency อสังหาริมทรัพย์ทั่วไปที่ต้องอาศัยทีมเซลล์จำนวนมาก
เปลี่ยนมาเป็น Marketplace ให้ผู้ซื้อและผู้ขายมาพบกันผ่านหน้าเว็ปเอง
.
ด้วยโมเดลธุรกิจนี้และชื่อเสียงของการเป็นผู้บุกเบิกเว็ปไซต์ครั้นหลังช่วงฟองสบู่ดอทคอม การเป็นผู้บุกเบิกนี้ได้สร้างระยะทางทิ้งห่างคู่แข่งหลายเท่าตัวด้วยขนาด Marketshare มากกว่า 80% ในตอนที่เข้าตลาด
และยังคงความสามารถระดับนี้มากกว่า 1 ทศวรรษ แม้จะครองตลาดได้ระดับนี้แต่ตลาดก็มีเนื้อเค้กที่ขยายขึ้นเรื่อยๆ ตามความต้องการบ้านและราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
(คู่แข่งของบริษัทครอง Market Share ในระดับเลขเปอร์เซ็นหลักเดียว และบริษัทอื่นๆ ที่เป็นนายหน้าเหมือนกันเป็นบริษัทระดับเล็กมี Marketcap หลักสิบล้านปอนด์ ในขณะที่ Rightmove มีขนาดหลักหลายพันล้านปอนด์)
.
.
.
ด้วยความเป็นผู้นำและการไม่หยุดนิ่งนี้ทำให้ Rightmove มีกำไรที่เติบโตมาโดยตลอด และหากท่านใดเป็นนักลงทุนสาย Lynch แล้ว
จุดซื้อที่ตรงจุดตรงประเด็นตามตำราคือช่วงกลางปี 2012 จนถึงกลางปี 2013 โดยเป็นจุดที่บริษัทมี PEG Ratio อยู่ที่ 0.6x-0.8x เท่านั้น
(โดยตอนนั้น Rightmove ถูกซื้อขายอยู่ที่ราคา 170 ปอนด์ )
.
.
.
.
และการเติบโตของ Rightmove ในช่วงทศวรรษ 2010 อันเป็นช่วงไม่กี่ปีหลังบริษัทเข้าตลาดนี้ เป็นการสร้างการเติบโตอันห้าวหาญเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ ซึ่งทั้งหลายนี้ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทไม่มากลับสู่จุดเดิมอีกต่อไป
.
โดยพัฒนาการนี้เกิดจากการที่บริษัทอยู่รอดมานานรวมถึงใช้แต้มต่อที่ตัวเองมีขยายไปในกิจการที่เกี่ยวเนื่อง
ทั้งการขยับขยายจากกิจการนายหน้าขายบ้านมาสู่ธุรกิจ “ให้การโฆษณาบ้านใหม่” โดยเป็นการเจาะตลาดผู้ที่ต้องการบ้านใหม่แทนบ้านมือสองที่มีอยู่แต่เดิม
การจัดสรรข้อมูลหลังบ้านให้แสดงบ้านแบบเรียลไทม์
การมี House Index เป็นของตัวเอง จากการมีข้อมูลหลังบ้านที่ทรงพลัง
การอาศัยโอกาสจากการมาของ Smart Phone ทำให้ผู้ใช้ได้สัมผัสการให้บริการได้มากยิ่งขึ้น อันนำมาสู่การสร้าง Ecosystem ในวงการอสังหาริมทรัพย์ อย่างการเกิดนักลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ให้เช่ารุ่นใหม่ (Home-Hunter) ที่เป็นอาชีพที่สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนให้แก่ระบบเศรษฐกิจอีกด้วย
.
กล่าวไม่ผิดว่า Rightmove จะเป็นบริษัทที่สร้างการเติบโตแก่ตัวบริษัทได้อย่างยั่งยืนทั้งด้านกำไร และด้านผู้มีส่วนได้เสียผู้ช่วยเกื้อกูลให้สภาพแวดล้อมด้านอสังหาริมทรัพย์แห่งยุโรปดีมากยิ่งขึ้นไป
.
และเป็นหุ้นเด้งภายในหนึ่งปี และเป็นหุ่น 10 เด้งใน 10 ปี มอบผลตอบแทนแก่นักลงทุนผู้เสาะแสวงหาการลงทุนจากสิ่งรอบๆ ตัวอย่างแท้จริง
#Elliottwave กฎ และ แนวทางการนับคลื่น Diagonal Triangle Diagonal Triangle
Diagonal Triangle(สามเหลี่ยมมุมทแยง) จัดเป็นหนึ่งในรูปแบบคลื่น Motive wave แต่ไม่ใช่ Impulse wave เนื่องจากคลื่นลูกที่สี่ของ Diagonal มีจุดสิ้นสุดภายในคลื่นลูกที่หนึ่ง รูปแบบ Diagonal นั้นมีตำแหน่งการเกิดขึ้นของรูปแบบที่เฉพาะเจาะจงมักจะเกิดขึ้นในช่วงต้นเทรนของแนวโน้มใหญ่ และช่วงปลาย ของการสิ้นสุดของแนวโน้ม ทั้งยังสามารถเกิดขึ้นได้ในคลื่น A ของ Zigzag และ C ของ Corrective wave
Diagonal Triangle แบ่งได้ 2 ประเภทตามของตำแหน่งที่ ปรากฏ ของคลื่น ได้แก่ Leading Diagonal และ Ending Diagonal
Rules
diagonal แบ่งออกเป็นห้าคลื่นเสมอ
ending diagonal จะปรากฏเป็นคลื่น 5 ของแรงกระตุ้นหรือคลื่น C ของ zigzag หรือ flat.
leading diagonal จะปรากฏเป็นคลื่น 1 ของแรงกระตุ้นหรือคลื่น A ของซิกแซกเสมอ
คลื่น 1, 2, 3, 4 และ 5 ของ ending diagonal, และคลื่นที่ 2 และ 4 ของ leading diagonal, แบ่งออกเป็นซิกแซกเสมอ
คลื่น 2 ไม่เคยไปไกลกว่าจุดเริ่มต้นของคลื่น 1
คลื่น 3 มักจะไปไกลกว่าจุดสิ้นสุดของคลื่น 1
คลื่น 4 ไม่เคยเคลื่อนที่เกินจุดสิ้นสุดของคลื่น 2
คลื่น 4 จะสิ้นสุดภายในอาณาเขตราคาของคลื่น 1 เสมอ*
จาก เส้นที่เชื่อมปลายคลื่น 2 และ 4 จะบรรจบกันเข้าหา (ใน contracting ) หรือแยกจาก (ใน expandingจะขยายออก) เส้นที่เชื่อมต่อปลายคลื่นที่ 1 และ 3
ใน leading diagonal,คลื่น 5 จะสิ้นสุดหลังสิ้นสุดคลื่น 3 เสมอ
ใน contracting คลื่น 3 จะสั้นกว่าคลื่น 1 เสมอ คลื่น 4 สั้นกว่าคลื่น 2 เสมอ และคลื่น 5 สั้นกว่าคลื่น 3 เสมอ
ใน expanding คลื่น 3 มักจะยาวกว่าคลื่น 1 เสมอ คลื่น 4 มักจะยาวกว่าคลื่น 2 เสมอ และคลื่น 5 มักจะยาวกว่าคลื่น 3 เสมอ
ใน expanding คลื่น 5 จะสิ้นสุดหลังจากสิ้นสุดคลื่น 3 เสมอ
Guidelines
คลื่นที่ 2 และ 4 แต่ละคลื่นมักจะย้อนกลับ .618 ถึง .786 ของคลื่นก่อนหน้า
คลื่นที่ 1, 3 และ 5 ของ leading diagonal มักจะแบ่งออกเป็นซิกแซก แต่บางครั้งก็ดูเหมือนจะเป็น impulses.
ภายใน impulse ถ้าคลื่น 1 เป็น diagonal คลื่น 3 มีแนวโน้มที่จะขยายออกไป
ภายใน impulse คลื่น 5 ไม่น่าจะเป็น diagonal หากคลื่น 3ไม่ขยาย
ใน contracting คลื่น 5 มักจะสิ้นสุดหลังจุดสิ้นสุดคลื่น 3 (บ้างครังอาจเกิดความล้มเหลวในการทำเช่นนั้นเรียกว่า truncation )
ใน contracting คลื่น 5 มักจะสิ้นสุดที่หรือเกินเส้นที่เชื่อมปลายคลื่นที่ 1 และ 3 เล็กน้อย (การสิ้นสุดเหนือเส้นนั้นเรียกว่าการ throw-over)
ใน expanding คลื่น 5 มักจะจบลงเล็กน้อยก่อนถึงเส้นที่เชื่อมปลายคลื่นที่ 1 และ 3
[แกะหุ้นเด้ง]ดู COSTCO หุ้น 100 เด้ง ผ่าน BizModel และกราฟ pt.2
- ธุรกิจ Costco เป็นห้างขายส่งคล้ายๆ Makro ของเรา แต่มีสินค้าไซส์ยัก และอาหารราคาถูก
- กำไรแบบ Recurring Income ของบริษัทผ่าน Membership Fees เป็น Keyman ในการที่ทำให้บริาัทเติบโตไปพร้อมกับยอดขาย
- การที่ราคาหุ้นขึ้นเกิดจากหลัก Twin Engine คือ PE ขยายตัวจากความคาดหวังดีจากตลาด และ กำไรสุทธิที่เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ
- ราคาหุ้นจะมีค่าเป็นเท่าไรเกิดจากสมการ Price = PE * EPS
(Twin Engine คือหลักการที่ PE ขยายตัว และ EPS เติบโตนั่นเอง)
- ปัจจุบัน Costco มีรายได้จาก Membership ที่ราวๆ 4 billions เทียบเท่ากับหุ้นที่ราคา 9 เหรียญ หากเราถือหุ้นที่ราคา 9 เหรียญจากเมื่อ 30 ปีที่แล้วจนถึงวันนี้ได้ ก็นับว่าคุณได้สินทรัพย์ที่เติบโตไม่ต่ำกว่า 9% มาครองเลย
=================================
ถ้านึกถึงห้างขายส่งบ้านเราต้อง MAKRO แต่ถ้านึกถึงห้างขายส่งระดับโลก COSTCO คือบริษัทที่เป็นเบอร์ 1 ด้านนี้เลยครับ
COSTCO เป็นห้างค้าส่งสัญชาติสหรัฐอเมริกาที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 1986 และจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นมานานกว่าครึ่งชีวิตของคนหนึ่งคนเลย
และมักถูกพูดถึงบ่อยๆ ในหนังสือการลงทุนหลายเล่ม เพราะนี่คือหนึ่งในหุ้นที่มีธุรกิจใช้ได้ ผลกำไรเติบโต ราคาหุ้นจึงสะท้อนมูลค่าที่ซ่อนอยู่นี้ด้วยราคาที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนอื่น ผมขออธิบายก่อนนะครับ ว่า Costco นอกจากธุรกิจจะเป็นธุรกิจห้างค้าหลีกแล้ว รายได้อีกส่วนที่เป็นตัวช่วย Costco มาหลายต่อหลายครั้งเพื่อให้บริษัทยังอยู่ยั่งยืนได้ นั่นคือรายได้จาก membership fee ครับ
โดยบัตร Member นี้เอง สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายมากไม่ว่าจะเป็นส่วนลดสินค้าภายในห้าง ส่วนรถปั๊ม ประกัน ตั๋วเครื่องบิน เสื้อถ้า รถยนต์ อาหารและยา และอื่นๆๆ อีกมากที่อาจกล่าวไม่ถึง
ตรงส่วนนี้เราอาจพิจารณาได้ว่าบัตรเมมเบอร์ของ Costco นั้นมี Networking Effect ที่แข็งแกร่งมาก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะสเกลการถ้าปลีกของเครือ Costco อยู่แล้ว ที่เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าระดับประเทศ (ที่มีขนาดใหญ่ลำดับต้นๆ ของโลก) จนสามารถเจรจาของส่วนลดเพื่อมาจุนเจือชาว Member ได้
โดยสัดส่วน Membership Fee นี้เปรียบได้กับกระแสเงินสดที่ทาง Costco ได้มาไม่ต่างจาก Subscription รายปีเลยครับ โดยแต่ละปี Costco เองมีรายได้จากตรงนี้เติบโตกว่า 9% CAGR ต่อเนื่องกันกว่า 30 ปี
=====================================================
เทียบตั้งแต่ปี 1993
CostCo มี Membership Revenue อยู่ที่ 309 ล้านเหรียญ
และปี 2022 ล่าสุดมีรายได้ส่วนนี้กว่า 4,224 ล้านเหรียญทีเดียว]
โดยปัจจุบัน ณ ราคา 502 เหรียญนี้ Cosco มี Market Cap ที่ 222 Billion
หากท่านใดมีหุ้น Costco ที่ Market Cap 4 billions หรือที่ราคา 9 เหรียญ ท่านอาจได้กระแสเงินสดฟรีๆ จากมูลค่า รายได้ส่วนของ Membership เปล่าๆ (เป็นอีกหนึ่งมุมมองของการถือยาวครับ)
=====================================================
สิ่งที่ช่วยผลักดันให้ราคาของ Costco ไปได้ไกล ส่วนหนึ่งมาจากรายได้จากร้านค้าปลีกที่เติบโตตลอดเวลาตาม GDP ของประเทศนั้นๆ
และ Business Model ของ Costco เองก็เป็นธุรกิจกิน Spread Margin แคบๆ จากการซื้อมาขายไป และเพิ่มลูกลเ่นให้กับสินค้าตัวเองผ่านการออกแบบ "ผลิตภัณฑ์ไซส์ยักษ์" ที่นอกจากประหยัดแล้วยังน่าตื่นตาตื่นใจด้วย
ยังไม่นับว่า Costco เองมีเชนร้านอาหารราคาย่อมเยาว์ถึงขนาดที่ชักจูงให้คนมาทานอาหารในราคาไม่กี่เหรียญ และไม่ขึ้นราคามากว่าทศวรรษอีกด้วย
ทั้งนี้แล้วการที่สร้างประสบการณ์ที่ดีต่อผู้บริโภคลูกค้านั้นทำให้มีผู้สมัครสมาชิกกับ Costco เพิ่มขึ้นตลอดทุกๆ ที โดยอัตราส่วนของรายได้จาก Membership Fees ต่อด้วย Operating Income นั้นสูงกว่า 50% ทีเดียวครับ กล่าวคือลำพังแค่รายได้จากค่าสมาชิกก็ทำให้ประเมินกำไรคร่าวๆ ของ Costco ได้แล้ว....และนี่แหละที่ทำให้นายตลาดชอบใจอย่างมาก
โดยคุณสมบัติจากการประเมินกำไรขาดทุนได้ง่ายแล้ว การที่บริษัทมีการบริหารงานจนทำให้นะดับ Net Margin ดีได้ยิ่งขึ้นๆ พร้อมด้วยการบริหารโดยมี ROIC ในระดับ 1x% ยิ่งขึ้นไป จะทำให้นายตลาด "มอบตัวคูณ" ให้บริษัทนี้มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น
โดยราคาหุ้นเองถูกผลักดันด้วย 2 ปัจจัย นั่นคือ Price = PE * EPS
หากบริษัทบริหารจัดการได้ดี ธุรกิจดำเนินไดีดี ตัว EPS จะเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้น
ส่วนตัว PE หากบริษัทนั้นมีโมเดลที่แข็งแกร่ง มี Moat ที่สมบูรณ์ รายได้เติบโต (กอปรกับการมีค่า Bond Yield ที่ต่ำ) บริษัทนั้นก็จะเทรดที่ค่า PE ที่สูงยิ่งขึ้น
หลักการนี้คือหลักการ Twin Engine ที่ทำให้หุ้นนั้นสามารถกลายเป็นหุ้นเด้งได้นั่นเองครับ
ซึ่ง CostCo เองนับว่าเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน โดยได้ลมส่งจากรายได้ที่โตขึ้นจากการขยายสาขาและ GDP ที่โต กับโมเดลธุรกิจที่ดึงดูดลูกค้าโดยเฉพาะ Membership ทำให้ Costco มีกำไรเติบโตตลอด
จากนั้นนายตลาดก็เริ่มเห็นแววในบริษัทนี้ เลยให้ PE หรือแม้กระทั่ง P/S ที่สูงมากยิ่งขึ้น ทำให้ตัวนี้เข้าหุ้นเด้งตามตำรา Twin Engine ในที่สุด
====================================================
หลักการหาจังหวะซื้อขาย หากใช้ Fundamental อาจใช้เส้น Asset Line ในการจับจังหวะเข้าซื้ได้ครับ แต่ต้องมั่นใจว่าหุ้นตัวนี้ตลาดชอบแน่ๆ พื้นฐานบริษัทไม่เปลี่ยน รายได้และกำไรมีโอกาสโตได้ อย่างน้อยก็เชิงอนุกรม
ต่อมาคือการซื้อโดยใช้ PE Forward ผ่านเส้น Value Line อันเป็นแนวรับแนวต้านทางพื้นฐาน หากราคามาลงสู่แนวรับนี้ และประกอบกับกราฟทำทรง VCP Cup with Handle พร้อมทั้งมี Risk to Reward ที่ท่ารับไหวก็อาจพิจารณาซื้อได้
ไม่สายเกินไป หากซื้อหุ้นนี้ที่ Market Cap 1xx,xxx Milliion เพราะว่าเขาอาจไปได้ไกลกว่านั้นได้
(พร้อมดูโมเมนตัมจากยอดขายและผลการดำเนินงาน รวมถึงดูกระแสจากผู้บริโภคด้วย ว่าบริษัทยังคงส่งมอบคุณค่าแก่ผู้ถือหุ้นดั่งเดิมไหม)
====================================================
สามารถอ่านไอเดียการลงทุนอื่นๆ ได้นะครับจากหน้า Profile ของผม
#Elliottwave #Triangle(3-3-3-3-3) #อีสานเทรดเดอร์การแก้ไขรูปแบบสามเหลี่ยม(Triangle) จะสะท้อนถึงความสมดุลของแรงทำให้เกิดการเคลื่อนที่ไปด้านข้าง โดยปกติ
จะเกี่ยวข้องกับการลดลงของปริมาณซื้อขายและความผันผวน รูปแบบสามเหลี่ยมประกอบด้วยคลื่นที่ทับซ้อนกัน 5 คลื่น
แบ่งย่อยเป็น 3-3-3-3-3 และติดป้ายกำกับด้วยตัวอักษร A-B-C-D-E สามเหลี่ยมถูกกำหนดโดยการลากเส้นเชื่อมต่อระหว่่าง
A และ C , B และ D โดยที่คลื่น E สามารถเกินเส้น A - C ได้ คลื่น C ไม่เกินจุดเริ่มต้นของ คลื่น A และ คลื่น E ไม่เกินจดเริ่มต้นของคลื่น B
สามเหลี่ยมมี 2 ประเภท คือ Contracting และ Expending แต่โดยส่วนใหญ่หากคลื่น B ยาวกว่าจุดเริ่มต้นของคลื่น A และการย้อนกลับของคลื่น E จะอยู่ที่ปลายคลื่นคลื่นก่อนหน้าเราจะเรียกว่า Running Triangle
แม้ว่าบางครั้งคลื่นลูกที่ 2 ใน Impulse จะเป็น สามเหลี่ยม แต่ สามเหลี่ยมมักจะเกิดกับคลื่นลูกที่ 4 มากกว่า หรือ คลื่น B
ใน ABC หรือ คลื่่นสุดท้าย Y,Z ใน Combined หากคลื่นที่เกิดตามหลัง Triangle ยาวเกินกว่าเป้าหมายปกติให้ระวังการยืดเยื้อแะลยาวนานของคลื่นชุดนั้น
[แกะหุ้นเด้ง]ดู COSTCO หุ้น 100 เด้ง ผ่าน CANSLIM และ VCP pt.1แก่นแท้จากหุ้นเด้งตัวนี้
-การย่อระดับ 1x% เป็นเรื่องที่ธรรมชาติมากๆ นับเป็นเรื่องที่ปกติ
การย่อลงมาแบบหลักๆ อยู่ที่ราว 3x%
-จุดซื้อที่ทรงประสิทธิภาพจะมาจากจุดที่แข็งกว่าตลาด
หรือ Relative Strength มากกว่า 0
-การย่อลงต่อละครั้งหากไม่หลุดราคาเฉลี่ยนับว่าสามารถรันเทรนด์ต่อได้
-การที่ราคาหุ้นตกหนักๆ โดยหลัก มี 3 ปัจจัย (ซึ่งการตกนี้ไม่ต่ำกว่า 50%)
1. การลงจากเศรษฐกิจเอง เช่น COVID-19 , Subprime
2. การลงจากอุตสาหกรรม เช่น รอบสินค้าโภคภัณฑ์ , การออกกฎบัตรบางอย่างจากภาครัฐที่ทำให้ราคาไม่ไปไหน
3. การลงจากตัวบริษัทเอง เช่น ความสามารถในการแข่งขัน ปราการและคูคลองเริ่มเสื่อมสลาย (แบบนี้อันตรายที่สุด)
.
-การลงจากตัวเศรษฐกิจ หากบริษัทแข็งแกร่งจากการมีปราการและคูคลองแข็งแกร่ง ตลาดย่อมรับรู้ อย่างน้อยก็จากผลประกอบการที่หากไม่ลดลง และรายงานจากฝ่ายบริหารแจ้งออกมาไม่มีรอยฟกช้ำจากเศรษฐกิจ นายตลาดก็ตอบรับอย่างสดใส
-การลงจากอุตสาหกรรม ราคาหุ้นอาจจะไม่ขึ้นมาในทันที อาจต้องให้เวลากับเขา ในการปรับทัพรวมพลสู้ศึก ในเชิงรูปธรรม อาจขยายตลาดไปที่อื่น, คุยกับ Supplier เพื่อปรับราคาให้มี Margin ที่ดีขึ้น และคงคุณภาพสินค้า
หรือในกรณีที่สดใสที่สุด คือรอเมฆหมอกแห่งความโชคร้ายให้ผ่านไปเลย
-การลงจากตัวบริษัทเอง ยากที่สุดในการพิจารณา ต้องติดตามกระบวนการบริหารบริษัทอย่างใกล้ชิด รวมถึงดูคุณภาพในสินค้าและบริการ
แก่นแท้คือดูว่า Core Value ที่เขมอบให้แก่ลูกค้าและสังคม
กับการทำกำไร ยังพอไปทางเดียวกันได้ไหม
-สิ่งที่ต้องการสื่อคือหุ้นหลายเด้งมักมีการลงแรงๆ เสมอ ไม่ว่าจากตัวเขาเอง ตัวอุตสาหกรรม หรือจากเศรษฐกิจ แก่นแท้คือการถือให้ยาวและมองให้ขาดว่าบริษัทจะผ่านไปได้ไหม เป็นสำคัญ
-การฟอร์มตัวแบบ Cup with Handle จากที่ดูมักใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 30 bars week หรือราว 200 วัน ก่อนพุ่งขึ้นไป
การรันเทรนด์เพื่อให้ได้กำไรเด้ง อาจต้องอาศัยเวลา
เราควรมีหลังบ้านที่แข็งแกร่ง มีรายได้หลายทางเพียงพอที่จะคลายกังวลกับการลงทุนในบริษัทนี้ได้
เราอาจใช้อรรถประโยชน์จาก Stock Option ช่วยได้ หากหุ้นนั้นมีบริการ Short Call หรือ Short Put เพื่อหากระแสเงินสดจากช่วง Sideway หากินกับ Volatile
(อาจจะซับซ้อน แต่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกได้นะครับ)
-จุดกลับตัวของกราฟ บางทีอาจใช้รูปแบบแท่งเทียนพิจารณาได้
เช่นรูปแบบ Hammer ที่ทำหางยาวมาก เสมือนการปฏิเสธการลงของราคา
-จุดกลับตัวอาจใช้ Relative Strength ช่วยได้
หากราคาหุ้นแข็งกว่าตลาด เราอาจเริ่มกลับมามองหุ้นนี้ได้ครับ
@Kunnaphatz รูปแบบ Flat ประเภทต่างๆFlat = 3-3-5
1. Normal B มี 3 ประเภท คือ
1.1 Common Flat
1.2 Elongated Flat
1.3 C-Failure Flat
.
2. Strong B มี 3 ประเภทคือ
2.1 Irregular Flat
2.2 Irregular Failure Flat
2.3 Running Flat
.
3. Weak B มี 3 ประเภท คือ
3.1 B-Failure C=A
3.2 B-Failure C>A
3.3 Double Failure
BTCUSD : ระวัง! เตรียมเลือกทางเร็วๆ นี้ ลองดูจากปี 2018 ได้..เอาพฤติกรรมราคาของ Bitcoin ในปี 2018 มาให้ลองศึกษากันครับ
โดยปี 2018 คือตลาดหมีที่โหดร้ายยิ่งกว่าตอนนี้เยอะ โดยเฉพาะหลังจากวันที่มันถล่มหลุด 6k แล้วลงไปถึง 3k .. ณ ตอนนั้น ตลาดสิ้นหวังกันถึงขีดสุดครับ ผมเองก็สิ้นหวังเหมือนกัน แถมขาดทุนยับๆ ด้วย
มาลองเทียบกันดูนะครับ
#June
- 2018 ราคาลงมาย่ำ bottom 6k เอาจริงๆ ก็ตั้งแต่ ก.พ. 2018 นะ แต่ การลงมาย่ำแล้วอยู่แถวนี้เลยก็คือตอน ช่วงหลังเดือน June 2018 เป็นต้นมา
- 2022 ซึ่งก็คล้ายกันกับในปีนี้ นั่นก็คือ ราคาหลุดแนวรับ 30k ลงมา แล้วไหลยาวลงมาถึง 17700 แล้วเด้งกลับ หลังจากนั้นก็มีการย่ำทดสอบแนวรับโซนนี้หลายครั้งมากเช่นกัน
#July-#Sep
- 2018 ในสองเดือนนี้ จะเห็นได้ว่า หลังจากนั้น ราคามีการเด้งกลับแรง แล้วก็ลงมาย่ำฐานอีกรอบ แล้วหลังจากนั้นก็เด้งใหม่อีกที
- 2022 ซึ่ง ถ้าเทียบกันกับในปีนี้ก็วิ่งเหมือนกันอีก โดยแต่ละรอบก็คือการประกาศเลข CPI นั่นเองครับ ( ตอน 2018 ผมยังไม่ได้ดูข้อมูลหลายด้าน ก็เลยไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงเด้ง )
#Oct
- 2018 เดือนนี้เป็นเดือนที่ตลาดออกข้างกันไปนิ่งๆ แทบจะที่สุด แต่ระหว่างทางก็มีการ "สะบัด" ขึ้นลง แรงๆ อยู่เรื่อยๆ เช่นกันครับ โดยช่วงนี้ ณ ตอนนั้น ผมจำได้ว่า ผมยังคึกๆ จะเทรดอยู่ และใช้ leverage หนักมาก เพราะราคามันแกว่งน้อย ก็เลยต้องอัดหนัก เพื่อที่จะได้กำไรไวๆ
- 2022 เดือนนี้ตลาดก็ออกข้างไปนิ่งๆ ไม่มีทะลุกรอบบนล่างของ ATR เลยเช่นกัน คล้ายกับปี 2018 และ หลายๆ คนที่ไปพยายามเล่นช่วงนี้ก็จะเจอ whipsaw loss เมาหมัดกันไป เหมือนผมสมัยก่อนเด๊ะ 55
#Nov
- 2018 เดือนแห่งหายนะครับ ตอนนั้นทุกคนมองเหมือนกันหมดว่า "6k เอาอยู่ เพราะมันคือทุนขุด ไม่ลงไปต่ำกว่านี้หรอก" ผมก็เคยมองแบบนั้นนะ แต่พอมันหลุด มันก็หลุด และมันลงเละยับเลยด้วย ตอนนั้น sentiment ตลาดแย่มาก ทุกคนมองลงกันหมด ไม่มีใครมองขึ้นเลยแม้แต่คนเดียว ใครไปสวน รีบรับมีด ก็เละ ยับ สุดท้าย ถึงไปหยุดที่ 3200 ทำเอาหลายๆ คนหมดตัว
- 2022 รอดูว่ากราฟจะเฉลยมาอย่างไรนะครับ แต่ทรงออกข้าง นิ่งๆ แบบนี้ ผมบอกเลย ถ้ามันทะลุทางไหน คุณต้องหนีให้ทัน เพราะมันมีโอกาสสูงมากๆ ที่มันจะวิ่งไปต่อทางที่มันเลือกอีกไกลครับ ใครไปสวน ก็จะมาหมดตัวกันในจังหวะนี้แหละ
#ส่งท้าย
แวะมาฝากมุมมองกันไว้ จากคนที่เคยเจ๊งบ๊ง หมดตัว มาแล้ว 2018 มาเตือนด้วยความหวังดี ไม่ได้มีเจตนามาขัดลาภพวกท่านแต่อย่างใด เพียงแต่ไม่อยากให้ใครต้องมาหมดตัวเหมือนผมสมัยก่อนแค่นั้นเองครับ
[CaseStudy หาหุ้นลงทุน] การเลือกหุ้นปันผลที่มีคุณภาพเหนือกาลเวลาสวัสดีครับ สำหรับหลักการในวันนี้ผมอยากมานำเสนอการหาหุ้นที่เรียกได้ว่าเป็นหุ้นที่อาจเป็นปันผลให้เราประดับพอร์ตในการกระจายความเสี่ยง และหาโอกาสท่ามกลางตลาดลงกันนะครับ
และปฏิเสธไม่ได้นะครับว่าตอนนี้เป็นช่วงที่ตลาดขาลงและเป็นช่วงที่ลงทนเพื่อ Runtrend ก็นับว่าลำบากพอสมควร
ผมเลยใช้เวลานี้ไปกับการศึกษาขุดหาบริษัทดีๆ ที่ตอนนี้อาจมีตำหนิบ้าง แต่อาจกลับมาได้อาจจะดีกว่าก็ได้ครับ เป็นการใช้เวลาให้เหมาะสมอีกด้วย
โดยผมจะมีการอ้างอิงหนังสือที่ผมได้ตกตะกอนได้หลักๆ คือ 2 เล่มนี้ครับ นั่นคือเล่ม One Up on Wall Street กับ Warren Buffett Ways
โดยหลักการที่ผมอยากถ่ายทอดจะเป็นเรื่องของ
1) การหาบริษัทจากสิ่งรอบตัว การดูสิ่งแวดล้อมว่าเทรนด์อะไรที่มีอนาคต ซึ่งได้มาจากเล่ม One Up on Wall Street ของคุณปีเตอร์ ลินซ์ ครับ
2) การคัดเลือกบริษัทที่มีศักยภาพแบบเล่ม Warren Buffett Ways รวมถึงหยิบหลักการเรื่องของปราการและคูคลองมาใช้ในการเลือก
โดยหลักการนี้ผมจะมาพูดในวีดีโอนี้กันครับ และขอมาแนะนำหุ้นหมวดหนึ่งที่มี Moat ที่อยากจะนำเสนอไม่มีในไทยได้รู้จักด้วยครับ เผื่อเป็นโอกาสใหม่ๆ ในการลงทุนในต่างประเทศครับผม
ท้ายสุดนี้มี Key Takeaway ที่ผมตกตะกอนได้เกี่ยวกับบริษัทที่ตลาดมองว่ามีคุณภาพ ซึ่งมีหลักๆ ประมาณ 7 ข้อ ดังนี้ครับ
1)เป็นบริษัทมี Profit Margin สูง
2)บริษัทมี Free Cash Flow ตลอด
3)นอกจากมี Free Cash Flow สูงแล้ว มีการลง Capex ในระดับไม่มากนัก (อาจจะไม่เกิน 35% ของกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน)
4)บริษัทมีอัตราผลตอบแทนต่อเงินลงทุนมีอัตราที่สูง
5)พึงระลึกไว้ ว่าหุ้นปันผลดีๆ คือบริษัทที่มี Recurring Income อย่างสม่ำเสมอ
5.5) และจำดีมากหาก Income ส่วนนี้เพิ่มสูงขึ้นเหนือกว่าอัตราการเพิ่มของ GDP กับ Inflation
6)จากข้อที่ 5 Recurring Income ล้วนมาจากการมี Recurring Revenue ที่มีศักยภาพ กล่าวคือสินค้าหรือการบริการของบริษัทต้องเป็นที่ต้องการตลอด และอาจมีเพิ่มขึ้นบ้าง
7)จากข้อที่ 6 Recurring Revenue จะดีมากที่สุดหากว่าไม่มีคู่แข่งหรือสินค้าสับเปลี่ยนมาตัดกำลัง คงดีไม่น้อยหากเราซื้อหุ้นที่ดูผูกขาด แต่ก็สามารถวางตัวให้ไม่มีข้อครหาได้ ตรงนี้ขึ้นอยู่กับฝ่ายบริหารแล้วครับ ว่าวางตัวและดำเนินนโยบายสร้างภาพลักษณ์อย่างไร
สำหรับสิ่งที่ผมตกตะกอนและอยากฝากฝังทุกคนไว้ก็มีเพียงเท่านี้ หวังว่าวีดีโอและเนื้อหานี้จะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย หากทุกคนชอบผมก็ดีใจและฝากร้ investing ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกคนด้วยนะครับ ที่นี่เราจะรวมหนังสือที่เกี่ยวข้องกับจักรวาลนักลงทุนไว้ในที่เดียว เพื่อเสริมศักยภาพสังคมการลงทนต่อๆ ไปครับ
โชคดีรักษาสุขภาพ Stay Healthy Stay Wealthy ครับผม
[Hybrid Study:John Neff] แก่นการลงทุนหุ้นวงจร เพือถือรันหลายเด้งสวัสดีครับพี่ๆ เพื่อนๆ ทุกท่าน วันนี้ผมจะมาขอ Tribute หลักการลงทุนของคุณ John Neff ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนในสายผสมนี้กันนะครับ
และเนื่องในโอกาสที่วันที่ 19 กันยานี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของคุณ John Neff และคุณ John Neff เองก็เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง นับว่า 1 ในตำนานแห่งโลกการลงทุนของเราได้จากเราแล้วอีกหนึ่งราย แต่ว่าหลักการของคุณ John Neff จะยังคงอยู่ในจิตใจของนักลงทุนสาย Value ทุกท่าน
สำหรับผมแล้ว การระลึกถึงและ"ให้เกียรติ" หลักการของใครก็ตาม คือการใช้หลักการนั้นเป็นพื้นฐานอ้างอิงเพื่อให้หลักการนั้นเป็นที่พูดถึง และขัดเกลาให้ทันต่อโลกมากขึ้น ผมชอบหลักการของคุณ John Neff มาก จึงเป็นเหตุให้เขียนอินดิเคเตอร์ DDM ขึ้นมาด้วย
และสิ่งที่ผมได้ทำในวันนี้ก็คือการทำให้หลักการของคุณ John Neff ยังคงมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยก็ปรับประยุกต์ใช้ในรูปแบบกราฟผ่าน Trading View ซึ่งโค้ดอินดิเคเตอร์นี้ผมได้รับแรงบันดาลใจมาจากคุณ John Neff อย่างแท้จริง
หลักการลงทุนนี้ผมใช้กับการอาศัยซื้อหุ้น(โดยเฉพาะหมวดวงจร : Commodities) ในจุดที่ PE ต่ำอย่างสวนตลาด แต่หลักการที่เราจะได้มาที่ PE ต่ำนั้น ย่อมเกิดจากการปรับ ตัว E หรือ EPS จากสมมการ PE = Price / EPS , โดยผมจะ Predict ค่า EPS ผ่านตัวรายได้ในแบบที่ควรจะเป็น
และนำรายได้นั้นมาจับคุณด้วยอัตราส่วน Net Margin ในระดับ Base Case-Best Case ซึ่งค่าตัวเลขของ Net Margin นี้เราจะได้มาจากการทำ Research หุ้นในหมวด Commodities ย้อนหลังนะครับ
และจะตั้งตัวเลขพวกนี้เสมือนเป็นตุ๊กตาเฉยๆ เพื่อให้เราหาค่า EPS ให้ได้
ในการตั้งค่า Net Margin นี้ ผมจะมีการตั้งเป็นหลายค่ามากๆ และค่าที่ต่ำที่สุดก็คือ 1% มาจากสมมติฐานที่ว่าปกติหุ้น Commodities ตอนจะจบรอบราคาเขาจะลงมาแรงมากๆ จากราคาสินค้าอ้างอิงตกต่ำไม่ว่าจะเหล็ก น้ำมัน เคมี แร่ธาตุต่างๆ
เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้แล้วส่วนมากบริษัทจะมีผลขาดทุนจากสต็อกสินค้าก็ดี หรือจากรายได้จากการขายสินค้าลดลง จนแบกรับต้นทุนคงที่ไม่ได้ ทั้งหลายนี้เองจึงทำให้ตัว PE ของบริษัท “ติดลบ” หรือก็คือคำนวณไม่ได้ หรือแม้แต่ PE พุ่งสูงขึ้นเป็นหลัก “ร้อยเท่า” จากการที่ EPS นั้นแกร่งนั่นเอง
การที่ผมตั้ง Net Margin ที่ 1% นี้ก็เพื่อเป็น “บาร์อย่างต่ำๆ” ที่บริษัทสมควรทำได้ เมื่อเราได้ NPM ที่ 1% มาได้แล้ว เราก็จับ 1% มาคูณกับตัวเลขรายได้ครับ(ตรงส่วนนี้บางคนอาจใช้รายได้เมื่อปีที่แล้ว หรือว่ารายได้เฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง แล้วแต่สไตล์แต่ละคนเลยครับ)
เมื่อนำ Revenue * NPM แล้วเราก็จะได้ “กำไรสุทธิ” จากนั้นก็นำมาหารด้วยจำนวนหุ้น ทีนี้เราก็ได้ EPS อันเป็นพระเอกของเราแล้ว
จากนั้นเราก็นำ EPS มาเพื่อที่จับคูณด้วย PE อย่างที่ควรจะเป็น โดยเคสนี้ผมจะให้ที่ PE = 6-8 ตรงส่วนนี้หากใคร Conservative มากๆ อาจใช้ที่ PE 5 ไปเลยก็ได้ โดยมีการตั้งสมมติฐานว่า “ใครกันล่ะ จะไม่อยากได้หุ้น PE 5 เท่า หรือหุ้นที่จ่ายเงินปันผลหลัก 10% ต่อปี ณ ระดับราคาฐานต่ำนี้”
ในตอนนี้เราก็ได้ราคาหุ้นแล้ว ผมก็ให้แสดงค่าเป็นเหมือนเส้นแนวรับแนวต้านที่จะอัพเดตทุกๆ ปีนะครับ จากการที่ข้อมูลการเงินจะมีอัพเดตใหม่ทุกปี ตรงเส้นแนวรับ/แนวต้าน พวกนี้เสมือนกับเป็น “แนวรับเชิงพื้นฐาน” นั่นเองครับ
หุ้นใดก็ตามที่ลงมาเทสที่เส้นนี้ และมีการทำแท่งเทียนกลับตัว หรือมีการพักตัวตรงนี้เราอาจพิจารณาเอาเขามาใส่ลิสเพื่อรอวันให้เกิด Catalyst ให้ราคาขึ้นไปกันนะครับ จากนั้นก็รับเทรนไปเรื่อยๆ
หรือหากท่านใดเป็นสายHardcore อาจนำหุ้นนั้นไปวางหลักทรัพย์ค้ำประดันในการขอบัญชี Margin มาต่อเงินอีกรอบก็แล้วแต่สไตล์ท่านเลยครับ
หวังว่าแนวทางนี้จะมีประโยชน์กับท่านผู้อ่านผู้ฟังทุกคนนะครับ โชคดี รักษาสุขภาพ Stay Healthy Stay Wealthy นะครับผม
#Elliottwave #พื้นฐาน #Basicการรู้ว่าเมื่อไรที่เราผิด สำคัญกว่าการรู้ว่าเมื่อไรที่เราถูก
ในการเคลื่อนที่ของแนวโน้มที่แข็งแกร่ง ราคาจะไม่เกิดการทับซ้อนกัน และจะไม่ย้อนกลับเกินจุดเริ่มต้นของคลื่นก่อนหน้าในระดับเดียวกัน ก่อให้เกิดกฎสำคัญของ Elliott wave ในการนับคลื่นที่เป็นแนวโน้มในรูปแบบ Impulse ที่ไม่สามารถละเมิดได้ หากละเมิดกฎเหล่านี้การนับคลื่นเราจะผิดทันที
1 คลื่นสองไม่สามารถย้อนกลับได้มากกว่า 100% ของคลื่นหนึ่ง
2 เทียบระหว่างคลื่นหนึ่ง คลื่นสาม คลื่นห้า คลื่นสามต้องไม่ใช่คลื่นที่สั้นที่สุด
3 คลื่นสี่จะไม่มีจุดสิ้นสุดภายในอาณาเขตของคลื่นหนึ่ง
2022 : ปีแห่งการเชือดทั้ง Short และ Long ( 27/8/2022 )ปี 2022 ที่ผ่านมา ตั้งแต่ต้นปี จนถึงตอนนี้ จากการนั่งส่อง Price Action แล้ว ผมบอกเลยว่า ตลาด โคตรจะโหดร้าย โดยเฉพาะคนที่ Overtrade หรือ ใช้ Leverage ในการเล่นคริปโต ก็จะโดนกันไปไม่น้อย
เพราะจากรูปที่ผมแปะช่องข้อความให้ดู ก็จะเห็นว่า ไม่ว่าคุณจะเล่นฝั่ง short หรือ ฝั่ง long สุดท้าย ถ้าคุณ "คัทไม่เป็น" คุณก็จะโดนลากจนพอร์ตแตกอยู่ดีครับ
โดยเราพอจะสรุปได้ว่า
1) คนที่เล่นฝั่ง Long
- พอร์ตแตกเพราะไปคิดว่า "น่าจะลงมาแค่นี้แหละ ไม่ลงไปมากกว่านี้แล้ว" แล้วก็ไปจัดหนักจัดเต็มหลาย x ด้วยเงินที่มีทั้งหมดกัน
- พอเริ่มติดก็ไม่ยอมแพ้ ไปถัวสู้ ไปเติมเงิน เพราะยังไปติดกับภาพจำตอนปี 2021 ที่ตลาดยังเป็นขาขึ้นว่า "แค่ย่อ เดี๋ยวก็เด้ง"
- สุดท้าย ก็โดนทุบหลุด low รัวๆ ถ้าใครถัว สุดท้ายก็จะพอร์ตแตกกันยับๆ อยู่ดีในท้ายที่สุด เพราะ มันลงมามากกว่า -50% คุณเล่น safe สุดแค่ 2x ยังไงก็ตายครับ
- ตอนนี้ ผมก็ยังเชื่อว่า หลายๆ คน ที่ยังมีเงินเติม ยังไม่ยอมแพ้ และคิดว่า 20k น่าจะ "เอาอยู่" เพราะมันเป็นยอดเก่าของปี 2017 และมโนกันไปว่า นี่คือราคาทุนขุด มันไม่ลงไปมากกว่านี้หรอก
- ปัญหาคือ ถ้ามันลงไปอีกขา ...ก็พอร์ตแตกกันอยู่ดี
2) คนที่เล่นฝั่ง Short
- เอาจริงๆ คนที่เล่นฝั่ง short จากกราฟ จะเห็นได้ว่า มีหลายๆ ช่วงที่กราฟรูดแรง น้ำตกมา คนพวกนี้ก็จะได้กำไรกันเยอะมาก
- แต่ปัญหาของฝั่ง short ก็คือ ตอนกำไรอ่ะ แม่งกำไรนิดเดียว เพราะยังไงกำไรพื้นฐานของด้าน short จะไม่มีวันเกิน -99.99% ( ถ้าใช้ leverage ก็ค่อยคูณเพิ่มกันไป )
- แต่ตอนมันลากกลับเนี่ย ฝั่ง short จะแตกกันเร็วมาก.. เพราะเวลากราฟขึ้น % มันจะขึ้นแรงกว่าตอนลงเสมอ
- ทีนี้ พวกที่เล่นฝั่ง short แล้วได้ตังกันง่ายๆ เวลาโดนลาก ก็มักจะ "ไม่ยอมแพ้" เพราะ.. ที่ผ่านมา ตอนกราฟดีด ถ้าคุณถัวสู้ สักพัก คุณจะมีโอกาสกลับมาได้กำไร ( ถ้าพอร์ตไม่แตกไปซะก่อน )
- ทำให้ หลายๆ คน เสพติดท่านี้ และ "ไม่ยอมแพ้" เวลาโดนลากกันเสมอ พอใกล้จะล้างก็เติมเงินฮีลพอร์ตไปเรื่อยๆ
- ปัญหาคือ ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีเงินไว้ฮีลพอร์ตได้ตลอด สุดท้าย ก็จะมีคนที่โดนลากจนเงินหมดแล้วพอร์ตแตกอยู่เรื่อยๆ อยู่ดี..
- ยิ่งถ้าไปเล่น Cross Mode 20x กับ altcoins หลายๆ ตัว รอบล่าสุด ก็น่าจะโดนกันไปหมดตัวแน่นอน เพราะ ETH ขึ้นมาถึง +100% จาก Bottom ช่วงเดือน มิ.ย. ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเล่นกี่ x พอร์ตคุณก็จะแตกหมดอยู่ดีครับ ( ยกเว้นมีตังเติม ฮีลพอร์ต ไปเรื่อยๆ นะ 55 )
สรุปว่า
- ตลาด มันโหดร้าย มันจะไม่ปราณีใคร แถมยึดเงินคืนจากมือใหม่ไปหมดด้วย ลงๆ ให้มือใหม่สาย short ตายใจ แล้วก็ลากกลับจนแตก เสร็จแล้วก็ลงต่อ แม่งโคตรน่าเจ็บใจที่สุดแล้วล่ะ 555
- ไอ้การเล่น short เนี่ย มันไม่ง่าย โดยเฉพาะมือใหม่ ที่ยังต้องเที่ยวคอยไปพึ่ง signal จากกูรูต่างๆ ซึ่งผมจะแนะนำทุกคนเสมอว่า ถ้าคุณยังไม่สามารถวางแผนเองได้ .. จงอย่าเข้ามาเล่น short เพราะสุดท้าย คุณจะเจ๊งอยู่ดี
- เอาจริงๆ Price Action ทรงแบบนี้ มันไม่ใช่ไม่เคยมีมานะ มันมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2018-2019-2020-2021 แล้วครับ
- 2018 : ลากเดือนทุบเดือน ตายทั้งฝั่ง short และฝั่ง long
- 2019 ต้นปี : ลากโหดสัสจาก 3200 ไป 14000 ใครที่ short แล้วสู้ จะสู้แค่ไหนก็พอร์ตแตก
- 2019 ปลายปี : เหี่ยวๆ อยู่ดีๆ ลากกลับสองวัน +40% ใครที่ short แล้วรอดูว่าจะทำไงดี ก็พอร์ตแตกหมด
- 2020 ต้นปี : ขึ้นจาก 6500 ไป 10000 แล้วย่อลงมา 8000 สายนับเวฟบอกว่า นี่แหละเวฟ 1-2 ใหญ่ สรุปแล้วร่วงไป 3600 ก็เจ๊งกันหมด
- 2020 ปลายปี : ขึ้นจาก 10000 ไป 20000 พวกนับเวฟ ขึ้น B ลง C แน่นอน ก็เจ๊งกันหมด เพราะหลังจากนั้นขึ้นไปถึง 65000
- 2021 ต้นปี : ขึ้นเรื่อยๆ กูรูบอกว่าจะไป 100k แน่นอน ก็เลยไปจัดหนักจัดเต็มที่ยอด สรุปแล้วลงจาก 65k มาถึง 30k ก็เจ๊งกันหมด
- 2021 ปลายปี : ดีดกลับงงๆ พวก short บอกว่า ขึ้น B ลง C ลึกแน่นอน กลายเป็นว่า ดีดจาก 30k ไป 69k ใคร short ไว้ก็เจ๊งกันหมด
ถ้าให้ผมแนะนำ คุณจะรอดในตลาดนี้ได้ มีขั้นตอนง่ายๆ ไม่กี่ข้อเองครับ
1) เลือกเล่นแค่ฝั่งมองขึ้นเท่านั้น อย่าไปเล่น short เพราะเราจะลดความเสี่ยงลงไปเลยถึง 50% ( เล่นน้อยลง = เสี่ยงน้อยลง )
2) เล่นแค่ spot และ เล่นด้วยเงินไม่ถึง 100% ของพอร์ต ( Position Sizing ที่เหมาะสม )
3) มี ระบบ Trend Following ที่ backtest แล้วระยะยาวมีกำไร แล้วทำตามมันไปเรื่อยๆ อย่างมีวินัย
4) มี Stop Loss ที่ชัดเจน ตั้งแต่ก่อนเข้าซื้อ และเมื่อชน Stop ต้องหนีอย่างไม่มีข้อต่อรอง
5) เลือกเล่นแค่เหรียญหลักๆ อย่าง BTC, ETH, BNB อย่าไปเล่น shitcoins
- เอาแค่ 5 ข้อนี้ ถ้าคุณทำได้ โอกาสที่คุณจะอยู่รอดในตลาดก็จะเยอะขึ้นมากๆ แล้วครับ ส่วนจะอยู่ได้นานแค่ไหน ก็แล้วแต่ความตั้งใจของแต่ละคนแล้วล่ะ
[Deep Value Scanner] หาหุ้นโคตรปลอดภัย ไม่เสี่ยงล้มละลายและดักVI แสกนหาหุ้น Deep Value โคตรปลอดภัย ไม่เสี่ยงล้มละลาย
สำหรับหลักการนี้ต้องขอขอบคุณ คุณเบนจามิน เกรแฮม ผู้เขียนตำรา Security Analysis และหนังสือ The Intelligent Investor และเป็นผู้ริเริ่มการลงทุนแบบ Value Investing แบบ Cigarette Butt ด้วยนะครับ
เทคนิคของ Deep Value กับเทคนิคหุ้นการลงทุนแบบ Cigarette Butt นี้ไม่ต่างกันมากเลย นั่นคือการซื้อหุ้นในมูลค่าที่น้อยกว่าทรัพย์สินส่วนของทุนบริษัท
ก่อนอื่นขอแนะนำตัวเลข 2 ตัวในการแสกนก่อนนะครับ เพื่อที่ทุกคนจะได้เข้าใจหลักการแสกนนี้ นั่นคือ
1 . Net Debt ซึ่งมีสูตรคือ Cash – (Short Term Debt + Long Term Debt)
2. Enterprise Value มีสูตรคือ (Market Cap + Debt )- Cash
โดยทั้งสองตัวเลขนี้ หากมีค่าติดลบก็หมายความว่าผ่านเกณฑ์แล้วครับ หลักการคือเราจะซื้อบริษัท ณ “ราคา” ที่น้อยกว่าเงินสดสุทธิหักลบหนี้สินของบริษัทนั่นเองครับ
สำหรับข้อดีข้อเสียของหลักการนี้มีดังนี้ครับ
ข้อดี
- เราสามารถซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีได้
- สามารถ Unlock Value ได้ ผ่านการเข้าไปถือหุ้น แล้วใช้สิทธิโหวตกดดันให้ผู้บริหารขายทอดกิจการ เพื่อนำเงินสดมาจ่ายสู่ผู้ถือหุ้นได้
- หากมูลค่าทางบัญชีสะท้อนความเป็นจริงแล้ว เหมือนกับการที่เราซื้อหุ้นโดยมีส่วนลด มีความสมเหตุสมผลในการลงทุนในเชิงทฤษฎี
(มีหลักยึดในการลงทุนชัดเจน)
- สิ่งที่เราต้องทำ มีเพียงอย่างเดียวคือการรอให้มูลค่าปลดล็อค สายกราฟคือหาจุดเข้าซื้อที่ได้เปรียบ
เช่นมีการสะสมพอสมควรแล้ว รวมถึงทำท่า Breakout อาจพิจารณาวางกลยุทธ์ได้
ข้อเสียและจุดอ่อน
- หากบัญชีมีการตกแต่งขึ้น อาจเป็นอุปสรรคได้ในการรับรู้มูลค่าที่แท้จริง
- ราคามักไม่ค่อยมีการขึ้นลงมาก หากไม่มีปัจจัยมาขับมูลค่า
เช่น การ Take Over , การขายสินทรัพย์ , การจ่ายเงินปันผลออกมา (ในกรณีที่บริษัทมีแต่เงินสดพร้อมจ่าย)
- ราคาหุ้นถูก ณ ตอนนี้ ไม่การันตีว่าจะราคาถูกตลอดไป
เช่นกรณีผู้บริหารใช้กลฉ้อฉล อย่างการนำเงินสดไปลงทุนในบริษัทอื่นๆ ซึ่งบริษัทอื่นๆ ที่ว่านี้อาจเป็น Shell Company ที่ผู้บริหารคนนั้นถือหุ้น
แล้วตั้งใจทำให้เกิดผลขาดทุน จนต้อง Whiteout ธุรกิจออกไปเกิดความสูญเสียทางบัญชีบริษัทเป็นต้น
หลักการ Supply and Demand โดย (RTM) Supply and Demand โดย Readthemarket (RTM)
เนื้องหาของ RTM เกี่ยวกับ Supply Demand นั้นเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้
-การอ่านราคา (Price Reading)
-การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)
-แนวรับแนวต้านหน้าตาเป็นยังไง (What do support & Resistance look like?)
-Support and Resistance Breakout
สำหรับเนื้อหาของ Price Action จะแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ
Past
-Supply and Demand
-Support and Resistance
-PAZ- Price Action Zones
-Caps on Price – RBD/DBR
-Flg Limits – DBD/RBR
-Fail to Return – FTR
Approach
-Compression
-3 Drive
Reaction
-Engulf
-Quasimodo
-Diamond
-The CanCan
เนื้อหาทั้งหมดแหวกทุกแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับ Price Action ที่เคยมีเผยแพร่ในอดีต และมีการนำไปใช้และประสบความสำเร็จจำนวนมาก สำหรับเนื้อหาที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้น Quasimodo
ลองเอาศัพท์เล่านี้ ไปค้นหา ศึกษาใน Google ดูครับ
[Case Study] วิเคราะห์หุ้นทุกมิติ และสอนใช้ Relative Strength สำหรับวีดีโอนี้ผมจะมานำเสนอการใช้ Relative Strength ประยุกต์กับทรงกราฟ รวมถึงการดูปัจจัยผลักดันบริษัท รวมถึงการหาเหลี่ยมเพื่อการลงทุนนะครับ
โดยเนื้อหาในครั้งนี้ทุกท่านหากได้อ่านคำประกอบนี้ก็เพียงพอได้รับสารที่ผมต้องการสื่อในวีดีโอนี้แล้วครับผม
แต่ก่อนอื่นเรามาคุยภาษาเดียวกันก่อนนะครับ
- บริษัทที่นำเสนอนี้เป็นเพียง 1 ใน Case Study ที่น่าสนใจ
- ผมปรับราคาบริษัทเป็นหน่วย CHF เพื่อป้องกันการชี้นำราคาหุ้น
- วีดีโอนี้มี Ref ที่สำคัญราวๆ 3 แหล่งนะครับ และทาง Trading View ไม่ให้เราโพสลิงค์ไปด้านนอก ขอให้ทุกท่านโปรดวางใจ ว่าทุกอย่างที่ผมได้นำเสนอไปนี้มีเอกสารตัวเลขอ้างอิงครับ
====================================================
จากกราฟนะครับ เราจะเห็นว่าตัว Relative Strength นี้มีการหดตัวเข้าสู่ 0 อย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือเมื่อเทียบหุ้นตัวนี้กับตลาดแล้ว หุ้นตัวนี้มีความแข็งแกร่งกว่าตลาดอย่างเห็นได้ชัดเจนครับ และหากมองให้ไกลกว่านั้น เราอาจตั้งคำถามได้ว่า "เป็นไปได้ไหม ที่หุ้นตัวนี้จะเป็นหุ้นที่แข็งกว่าตลาดสัดวันหนึ่ง" ซึ่งหุ้นที่แข็งกว่าตลาดนั้นก็คือหุ้นที่มีค่า RS > 1 นั่นเองครับ
จากปัจจัยจากกราฟที่แสดงให้เห็นว่าเขาทำ Sideway มาเนิ่นนาน และเริ่มมีการเปลี่ยนไป เรามาดูกันที่ปัจจัยขับเคลื่อนภายในบริษัทอันเป็นต้นสายธารของหุ้นตัวนี้กันครับ
สำหรับบริษัทที่เราพูดถึงนี้ก็คือ BAFS บริษัทผู้จำหน่ายเชื้อเพลิงให้แก่เครื่องบินนั่นเอง (และขอชี้แจงเพิ่มเติมจาก Oppday บริษัทนี้เปรียบเสมือนกับ "เด็กปั๊ม" นะครับ เขามีหน้าที่บริการบรรจุเชื้อเพลิง ดังนั้นแล้วราคาน้ำมันไม่มีผลจ่อบริษัทเลยครับ)
สิ่งที่ผมได้นำเสนอนี้มีปัจจัยผลักดันคือจำนวนผู้โดยสารและเที่ยวบินที่เริ่มบินสะพัดมากยิ่งขึ้น โดยหากเราได้ดูงบกำไรขาดทุนสุทธิแล้ว เราจะพบว่าตัวเลขในส่วนของ EBITDA กับค่าเสื่อมเริ่มมีการหักล้าง และเริ่มเท่าทุนแล้ว
และจากการที่ผมได้ไปฟัง Oppday ย้อนหลังก็ได้ทราบว่าปริมาณนักท่องเที่ยวตอนนี้เองก็ Breakeven ต่อการทำกำไรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งหลายทั้งมวลนี้ นำมาสู่ทรงกราฟครับที่จากแต่ดั้งเดิมบริษัทได้มีการทำ Sideway มากว่า 2 ขวบปี อาจมีแนวโน้มที่บริษัทจะเปลี่ยนแนวโน้มไปก็ได้ ไม่ขึ้นก็ลง
โดยจุดตัดของเทรนนี้จะอยู่ที่ราวๆ เดือนมกราคา จากการตีเส้นเทรนด์ไลน์ขากด และเทรนด์ไลด์ขาขึ้น หลังจากที่พูดถึงเรื่องปัจจัยด้านเวลาที่อัดตัวพร้อมผลักดันหุ้นแล้ว เรามาดูในมิติของมูลค่ากันบ้างดีกว่าครับ
จากเครื่องมือ 2 ตัวนั่นคือ DDM และ Double Dividend Discount Model ได้แสดงให้เราเห็นว่า แต่ก่อนเดิม "ตลาด" เคยให้มูลค่าบริษัทนี้ "มากกว่ามูลค่าสินทรัพย์ของบริษัท" ต่อเนื่องหลายปี
และในปัจจุบัน บริษัทเองกลับมีการเทรดในระดับที่ต่ำกว่าเส้นแนวต้านที่แสดงนี้เสียอีก ดังนั้นหากเราตั้งสมมติฐานว่าราคาหุ้นจะ Mean Reversion ก็เป็นไปได้
ทั้งนี้แล้วจากข้อมูลที่เรามี อาจช่วยให้พี่ๆ เพื่อนๆ ใช้ในการวางแผนการเทรดได้นะครับ ผมว่าการที่เราวิเคราะห์ได้หลากหลายมิตินี้จะช่วยให้เราลงทุนได้อย่างมั่นใจได้มากขึ้น แต่ก็มีข้อเสียที่ต้องแลกเข้ามาที่สาหัสเช่นกัน นั่นคือ "เราไม่อาจรู้เลย ว่าเรื่องอะไรที่เรารู้นั้นเป็น NOISE" หรือ "สิ่งก่อกวนในการลงทุน" ได้ กล่าวคือหากเรารู้สิ่งใดมากแล้ว สิ่งนั้นอาจบดบังทรรศนวิสัยในระยะยาวของเราก็เป็นได้
แต่กระนั้นแล้ว เราทุกคนในหมวดของเทรดเดอร์ก็ยังโชคดีครับที่เรายังสามารถยอมแพ้ได้ หากแผนที่เราวางไว้ไม่เป็นไปตามที่วาง ผ่านการยอมรับตัวเองและ Cutloss ทิ้งไป
ทั้งหลายนี้ผมวาดหวังว่าจะเป็นทางเลือกการลงทุนแก้ทุกท่านได้ไม่มากก็น้อยนะครับ
ฝากหนังสือและ investing-in-th ไว้ด้วยนะครับผม เราจะรวบรวมหนังสือที่อยู่ในจักรวาลการลงทุนไว้ให้ทุกท่านในที่เดียวเป็นร้านหนังสือเพื่อการลงทุน เพื่อการ Empowerment สังคมการลงทุนอย่างแท้จริง
ขอให้ทุกท่านโชคดี สุขภาพแข็งแรงปลอดภัยครับผม
[ดักรายใหญ่VI]สร้างแนวรับ/ต้านทางพื้นฐาน ด้วย PE และเงินปันผลวันนี้ผมจะมาพูดถึงที่มาของสูตรที่ได้ใช้ในอินดิเคเตอร์ใน Trading View กันนะครับ
(โดยอินดิเคเตอร์นี้ชื่อว่า DDM เพื่อแสดงแนวรับแนวต้านสำหรับสายพื้นฐานนะครับ สามารถดูสคริปสูตรได้ที่ด้านล่างคำอธิบายนี้ได้เลยครับ)
หลักๆ คือเพื่อต้องการประเมินมูลค่าหุ้นอย่างง่ายไว้ดูว่าแนวที่ควรซื้อแบบสวนกระแสอย่าง VI ควรซื้อประมาณโซนสะสมบริเวณไหนดี และใช้ประกอบการดูโซนการทำ Price Pattern ด้วย
หลักการคือเราจะใช้การกำหนดค่า PE ผ่านการตั้งค่า Dividend Payout ไว้คงที่(ที่ 40%) และปรับตัวเลข % Dividend Yield ตามที่เราต้องการ (2,3,4,6 เท่าไรก็ได้ตามที่เราอยากตั้งครับ)
ดั่งแนวรับและแนวต้าน โดยจะเป็นการประเมินมูลค่าหุ้นแบบ DDM นั่นเองครับ
สูตรมูลฐานที่เราจูดคือ Dividend Yield% = DPS / Price
และจะปรับมาเป็น PE = %Dividend Payout/%dividend Yield กันนะครับ
โดยท่านสามารถฟังการอธิบายเต็มๆ ได้ผ่านทางวีดีโอนี้นะครับ และมีตัวอย่างประกอบด้วย หวังว่าจะเป็นประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อยสำหรับการลงทุนโดยใช้อินดิเคเตอร์ต้นทางนะครับ
สำหรับวิธีการดักทางรายใหญ่ VI เราก็อาศัยดูเงินปันผลได้เลยครับ ว่าระดับไหนตามแบบ Price Pattern ที่จะจูงใจรายใหญ่ให้ซื้อหุ้นตัวนี้หรือตัวนั้น โดยอาจจะดูแนวโน้มเส้นแนวรับแนวต้านนี้ครั้นอดีตย้อนหลังก็ได้ครับ ว่าเขาเคยมีแนวที่แข็งๆ ตรงไหนเป็นต้นครับ
ทั้งนี้ท่านใดสนใจเกี่ยวกับการลงทุนแบบสวนกระแส สามารถหาอ่านได้ในหนังสือ ลงทุนหุ้นแบบจอห์น เนฟฟ์ ได้นะครับผม
[Trading View Trick] วิธีแสกนหุ้นในเพลย์ลิสต์ทำยังไงดี? หลักการสามารถทำตามได้เพียงไม่เกิน 3 ขั้นตอนเลยครับ นั่นคือ
1.
หลังจากเพิ่มหุ้นไว้ในเพลย์ลิสแล้ว จากนั้นกด Shrift ค้าง + ใช้เมาส์คลิ๊กที่หุ้นตัวแรกสุด จากนั้นก็ปล่อยปุ่ม Shrift แล้วสกอลเมาส์ไปที่หุ้นตัวล่างสุด แล้วกดปุ่ม Shrift พร้อมเลือกหุ้นตัวล่างสุดครับ จะเป็นการเลือกหุ้นทั้งแผงในเพลย์ลิสเรา
2)
หลังจากกด Shrift แล้วเลือกหุ้นทุกตัวแล้ว ให้เรากดคลิ๊กขวา แล้วเพิ่มหุ้นทุกตัวเข้าไปในธงที่เราชอบเลยครับ
3)
หลังจากที่เราใส่ Flag ครบหมดแล้ว ให้เรามาที่ Stock Screener แล้วกดเลือกหุ้นที่เราปักธงไว้ เพียงเท่านี้เราก็สามารถคัดกรองหุ้นที่เราต้องการได้แล้วครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับผม หากชอบใจกดถูกใจให้ผมหน่อยนะครับ
จิตวิทยาด้านประสิทธิภาพการซื้อขาย: ตอนที่ 1 ยิ่งมีความยากลำบากมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีเกียรติในการเอาชนะมันมากขึ้นเท่านั้น นักบินที่เก่งกาจได้รับชื่อเสียงจากพายุและความปั่นป่วน
- เอพิคเตตัส.
เฮ้ทุกคน! 👋
สัปดาห์นี้ เราคิดว่าหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจที่จะเจาะลึกในหัวข้อที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึง: จิตวิทยาด้านประสิทธิภาพ - และอภิปรายว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการซื้อขายอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราจะพิจารณาคำถามต่อไปนี้: อะไรเป็นตัวขับเคลื่อนประสิทธิภาพที่เหนือกว่าจากเทรดเดอร์รายหนึ่งไปยังเทรดเดอร์รายถัดไป
โดยจุดยืนของกระบวนการแล้ว มีหลายสิ่งหลายอย่างจากประสิทธิภาพด้านอื่น ๆ (เช่น กีฬา) ที่เทรดเดอร์ผู้ทะเยอทะยานสามารถนำไปใช้ เพื่อให้เข้าใจขั้นตอนที่จำเป็นมากขึ้นเพื่อไปยังที่ที่พวกเขาต้องการ มาลุยกันเลย!
เวลาเป็นองค์ประกอบทั่วไปของความเชี่ยวชาญ ⏰
การเรียนรู้ถูกสร้างขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เริ่มจากการสำรวจก่อน, จากนั้นจึงสร้างองค์ความรู้, แล้วจึงฝึกปฏิบัติเพื่อให้มีโครงสร้างที่ดี
ในการทุ่มเทเวลาและความพยายามอย่างมากเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญ ผู้นั้นมักจะมีความผูกพันทางอารมณ์กับกับสิ่งที่ทำ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว
เทรดเดอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงเกือบทั้งหมดเป็นเพราะความรักในการซื้อขายโดยธรรมชาติของพวกเขา นี่หมายถึงความรักในการวิเคราะห์ชาร์ต, ความรักในการทำงานเชิงกลยุทธ์, ความรักในการดูตลาด และความรักที่จะพยายามรวบรวมส่วนต่างๆ เข้าด้วยกัน ในมุมมองนี้ การซื้อขายไม่ใช่งาน แต่เป็น งานคราฟ หากคุณรักในสถานะภาพ, ไลฟ์สไตล์ หรือรายได้ ก็มีแนวโน้มว่าคุณจะไม่ถึงจุดสูงสุดของอาชีพนี้ เทรดเดอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงๆ ใช้เวลาหลายชั่วโมงในการซื้อขาย ไม่ใช่เพราะความต้องการของพวกเขา แต่เป็นเพราะพวกเขารักที่จะทำ
หาแหล่งเฉพาะด้าน ❤️
คนที่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้ยิ่งใหญ่ด้วยการทำงานหนัก แต่พวกเขาทำงานหนักเพราะพวกเขาพบด้านเฉพาะที่ยอดเยี่ยม: พื้นที่ที่ให้พวกเขาได้ใช้พรสวรรค์, ความสนใจ และจินตนาการของพวกเขา ผู้ขว้างลูกที่เก่งที่สุดในโลกอาจสร้างผู้ตีลูกที่แย่ที่สุดก็ได้
หากคุณอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเดินทาง (หรือหลงทาง) สิ่งที่ควรพิจารณาคือการพยายามหาด้านเฉพาะที่คุณตรงใจคุณ เนื่องจากโรงพยาบาลและธนาคารมีการหมุนเวียนเพื่อให้ผู้มาใหม่ได้รับประสบการณ์ประเภทต่างๆ ความสำคัญอย่างยิ่งยวดจึงอยู่ที่การวางด้านเฉพาะนั้นๆ ในกลุ่มวิชาชีพและสถาบันในด้านการเงิน
เหตุใดเทรดเดอร์แต่ละรายจึงไม่ทำเช่นนี้? วิธีที่ดีในการตั้งศูนย์ทางความคิดของคุณคือการสร้างโปรแกรมหมุนเวียนสำหรับตัวคุณเอง นี่คือรายการประเภทสินทรัพย์และรูปแบบการซื้อขายที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ลอง google หาข้อมูลหรือค้นหาแนวคิดที่นี่ใน TradingView ก็ได้ และพิจารณาสิ่งที่คุณเห็นด้วยมากที่สุด เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความเชี่ยวชาญในระยะยาวด้วยการค้นหาสิ่งที่คุณชอบทำในแต่ละวันจริงๆ
ประเภทสินทรัพย์สภาพคล่อง:
-หุ้น
-สกุลเงิน
-สกุุลเงินดิจิทัล
-ฟิวเจอร์ส
-รายได้คงที่
-ความผันผวน
รูปแบบ (ไทม์เฟรม):
-ระหว่างวัน - เวลาในการถือคือวินาทีถึงชั่วโมง
-สวิง - เวลาในการถือคือวันถึงสัปดาห์
-โพสิชั่น- เวลาในการถือคือสัปดาห์ถึงเดือน
สไตล์การถือครองแบบไหนที่เหมาะกับอารมณ์ของคุณ? คุณชอบเรียนรู้หัวข้ออะไร?
กระบวนการเรียนรู้ ✅
ในการซื้อขายและในชีวิตจริง เรามักจะได้ยินเสมอว่า "การฝึกฝนทำให้เกิดความสมบูรณ์แบบ" คำพูดที่ดีกว่าอาจเป็น "การฝึกฝนที่สมบูรณ์แบบทำให้เกิดความสมบูรณ์แบบ" โครงสร้างเวลาฝึกซ้อมแบบไหนที่สร้างความแตกต่างระหว่างผู้ที่มีประสบการณ์ห้าปีกับผู้ที่มีประสบการณ์หนึ่งปีที่ซ้ำกันห้าครั้ง ดังนั้น; คุณควรจัดโครงสร้างการปฏิบัติของคุณอย่างไร?
ในทางจิตวิทยาด้านประสิทธิภาพ มีแนวคิดที่เรียกว่า "การเรียนรู้แบบวนลูป" ซึ่งมีอยู่ด้วยกันสามส่วน
การปฏิบัติ -> คำติชม -> การเรียนรู้ (ซ้ำ)
นี่เป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากคำติชมเป็นกุญแจสำคัญในการปรับปรุง การซื้อขายเป็นกีฬาที่เล่นเดี่ยว ซึ่งหมายความว่ากระบวนการรวมความคิดเห็นนั้นเป็นสิ่งสำคัญ
กำไร/ขาดทุนคือผลตอบรับ แต่กลไกการตอบรับของคุณเพียงอย่างเดียวอาจเป็นปัญหาได้ แม้แต่เทรดเดอร์ที่เก่งที่สุดที่ดำเนินการซื้อขายได้ดีที่สุด ก็สามารถอยู่อีกด้านหนึ่งของความแตกต่างได้ในแต่ละวันได้ กระบวนการเป็นสิ่งสำคัญที่สุด รับข้อเสนอแนะเกี่ยวกับประสิทธิภาพที่ไม่ได้ขึ้นกับกำไร/ขาดทุน เพื่อให้คุณสามารถติดตามข้อมูลประกอบการตัดสินใจของคุณได้ เทรดเดอร์บางคนจดบันทึกอย่างละเอียด, บางคนบันทึกหน้าจอ, บางคนบันทึกข้อมูลในแต่ละวันที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกำไร/ขาดทุน (ระยะเวลาการนอนหลับ, การดื่มน้ำ, อารมณ์ ฯลฯ)
(เรามีฟีเจอร์การบันทึกโน็ตที่อยู่บนชาร์ตที่คุณสามารถใช้เพื่อจุดประสงค์นี้ได้)
หากคุณต้องการที่จะรวบรวมสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเข้าด้วยกันเพื่อสร้างพิมพ์เขียวระยะยาวสำหรับต้นแบบความเชี่ยวชาญ ควรมีลักษณะดังนี้:
1.) ค้นหาสิ่งที่คุณรักเกี่ยวกับการซื้อขายอย่างแท้จริง
2.) สำรวจให้ลึกยิ่งขึ้น
3.) อยู่ร่วมกับมันตลอดเวลาและปล่อยให้ความเพลิดเพลินที่แท้จริงของคุณกระตุ้นให้คุณผ่านช่วงขาขึ้นและขาลง
4.) จัดโครงสร้างการปฏิบัติของคุณในช่วงเวลานั้นๆ ในลักษณะที่คุณสามารถสร้างข้อเสนอแนะสำหรับตัวคุณเองได้
5.) รวมข้อเสนอแนะนั้นเพื่อปรับปรุงกระบวนการของคุณอย่างต่อเนื่อง ให้ลูปการเรียนรู้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว
หวังว่าคุณจะเพลิดเพลินกับการอ่าน, และอยู่อย่างปลอดภัย
- ทีม TradingView
เทรด "เจ๊ง" เพราะรีบเป็น "เทพ"…ลองดูก่อน เก็บเกี่ยวประสบการณ์ก่อน จะได้รู้ว่าขาดตกบกพร่องตรงไหน ต้องแก้ไขจุดไหนบ้าง ถ้าอยู่รอดได้จริง ค่อยเป็นเทพ
2 เทพ ที่อย่าพึ่งรีบเป็น
1.)เทพอุปกรณ์ …อุปกรณ์ไม่ต้องเทพ โต๊ะเก้าอี้ไม่ต้องดีเด่น สเปคคอมไม่ต้องเวอร์วังอลังการ …ขอแค่ปลอดภัยก็พอ
2.)เทพเงินทุน … ตัวอย่าง ถ้ามีเงิน 1 ล้านบาท ก็แบ่งเงินมาเทรดสัก 1 - 3 หมื่นบาท …แล้วค่อย ๆ ประเมินผลลัพธ์ไปแต่ละรอบการเทรด // ถ้าผลลัพธ์ออกมาดี ก็ค่อย ๆ เพิ่มเงินทุนเข้าไป ประสบการณ์มากขึ้น เข้าใจตลาดมากขึ้น การแก้ไขปัญหาและการวางแผนก็จะดีขึ้น // แต่ถ้ารู้สึกว่าไม่รอดแล้ว ถอยดีกว่า ไม่เอาแล้ว ใส่เงินเข้าไปรอบละ 1 หมื่นบาท ขาดทุนยับ 10 รอบ ตลอด 1 ปี ก็ยังมีเงินเหลืออีกเยอะเลยที่จะออกไปเริ่มต้นใหม่
...ลึก ๆ แล้วก็คือประมาทนั้นแหละ ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ ยังเก็บเกี่ยวไม่มากพอ
แต่เงินทุนหมดแล้ว ไปต่อไม่ได้ …ก็เลยมองตลาดในแง่ร้าย และถ้าถึงขั้นชีวิตพัง ก็อาจจะฆ่าตัวตาย
มีความรู้ มีทักษะ มีประสบการณ์ อยู่ไหนก็เทรดได้ มีเงินเท่าไหร่ก็ทำกำไรได้
// ถ้าไร้ซึ่งสิ่งเหล่านี้แล้ว ต่อให้มีเงินมากแค่ไหน ก็ทำกำไรไม่ได้
วิธีที่จะล้มเหลวในฐานะเทรดเดอร์เฮ้ทุกคน! 👋
ในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้พิจารณาวิธีที่ดีที่สุดสองสามวิธีในการปรับปรุงการซื้อขายของคุณ รวมถึง เรียนรู้การปรับตัวตามสภาวะตลาด , สร้างกรอบความคิดในการซื้อขายที่เหมาะสม และอื่นๆ วันนี้เราคิดว่าน่าจะสนุกที่จะทำตรงกันข้าม แทนที่จะพยายามช่วยชุมชนสร้างแนวทางการซื้อขายแบบมืออาชีพที่มั่นคง - มาลองออกแบบการซื้อขายที่ขาดทุนตั้งแต่เริ่มต้นกันเถอะ! คุณลักษณะ/การตัดสินใจใดที่เราจะต้องสนับสนุนเพื่อให้ได้ผลที่แพ้?
ในทางทฤษฎี ตลาดเป็นเพียงเกมของความน่าจะเป็น แล้วเราจะรับประกันได้อย่างไรว่าเทรดเดอร์ของเราจะแพ้? ผลปรากฏว่า มีพฤติกรรมง่ายๆ สองสามอย่างที่เรานำมารวมกันได้ เพื่อให้แน่ใจว่าผลลัพธ์ที่เสียไปนั้นเป็นข้อสรุปมาก่อน
วิธีที่ 1: พวกเขาไม่เคยกำหนดความเสี่ยง 🤷🏼♂️
ในการซื้อขาย ผู้คนมักจะพูดถึง "การจัดการความเสี่ยง", "การกำหนดความเสี่ยงของคุณ" หรือ "การกำหนดปัญหาของคุณ" แต่บางครั้งอาจเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินว่าคนทั่วไปพูดถึงอะไรในฐานะเทรดเดอร์รายใหม่ กำหนดความเสี่ยงของฉัน? มันเป็นยังไง? คุณกำลังพูดถึงอะไร? ทั้งหมดนี้มันความว่าอย่างไร?
พูดง่ายๆ ก็คือ การกำหนดความเสี่ยงของคุณคือกระบวนการในการหาว่า *ที่ไหน* ที่คุณทำผิดพลาดในการซื้อขาย/การลงทุน
สำหรับเทรดเดอร์ที่มีความเคลื่อนไหวอยู่บ้าง อาจทำได้ง่ายๆ แค่เลือกจุดต่ำสุดหรือสูงสุด และพูดว่า "หากมันมาถึงราคานี้ ฉันก็จะออกจากการซื้อขาย, การอ่านผลระยะสั้นของสินทรัพย์นี้ของฉัน ใช้ไม่ได้อีกต่อไป, ฉันทำไม่ได้, ฉันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป” สำหรับคนที่เป็นเทรดเดอร์โพสิชั่นมากกว่า อาจพูดง่ายๆ ว่า "ฉันไม่ต้องการที่จะสูญเสียมากกว่า 10% (หรือบางส่วน) ของเงินทุนของฉัน ณ จุดที่ฉันอยู่ในโพสิชั่นนี้, ฉันคิดว่า ฉันเลือกจุดเข้าของฉันได้ดีพอ ซึ่งหากมันล่วงลงไป 10% (หรือ x%) หมายความว่า คงมีอะไรผิดพลาดไป"
จากมุมมองของการจัดการเงินสด / การจัดการพอร์ตโฟลิโอ การกำหนดความเสี่ยงของคุณมีมิติอื่น: คุณต้องการสูญเสียเงินทุนทั้งหมดเท่าไรในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด? การซื้อขายแต่ละครั้งควรเสี่ยง 50% ของเงินทุนของคุณหรือไม่? 20%? 5%? 1%? คุณจะต้องเสียเงินทั้งหมดเท่าไหร่ก่อนที่คุณจะหยุด?
เพื่อให้แน่ใจว่าเรามีเทรดเดอร์ที่ขาดทุน สิ่งสำคัญคือพวกเขาไม่มีแผนสำหรับขนาดโพสิชั่น การตั้งสต็อปลอส หรือการตั้งค่าการหยุดการขาดทุนของบัญชี ด้วยวิธีนี้พวกเขาจะไม่มีความสม่ำเสมอและจะต้องสูญเสียครั้งใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ซึ่งจะทำให้แพ้เกมไปตลอดกาล
วิธีที่ 2: พวกเขาใช้เลเวอเรจมากจนเกินไป 🍋
เมื่อรวมกับอันดับ 1 การใช้เลเวอเรจจำนวนมากเป็นวิธีที่ดีในการเร่งกระบวนการสูญเสียเงิน เนื่องจากกลยุทธ์ที่ชนะ 50% ของเวลาจะต้องเผชิญกับการสูญเสียทางการซื้อขาย 7 ครั้งในการซื้อขาย 100 ครั้งถัดไป การเพิ่มขนาดและการใช้เลเวอเรจเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการรับรองว่าเมื่อแพทช์คร่าวๆ เกิดขึ้น คุณจะสูญเสียเงินทุนทั้งหมดของคุณ การปล่อยให้การซื้อขายผ่านไปกว่าที่คุณคาดว่าจะสูญเสียเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเร่งกระบวนการนี้ เพราะด้วยการเพิ่มเลเวอเรจ สิ่งต่าง ๆ จะต้องสวนทางกับคุณเพียง 50%, 20%, 10% และอื่น ๆ ก่อนที่คุณจะหมด คุณไม่สามารถเสี่ยงที่จะเป็นศูนย์
เมื่อพิจารณาว่ากองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ก้าวร้าวที่สุดในโลกมักไม่ใช้เลเวอเรจเกิน 5-8x แม้แต่ในการเทรด FX เราจะต้องให้เทรดเดอร์ที่ขาดทุนของเราใช้เลเวอเรจอย่างน้อย 10-20x เพื่อเร่งการตายของพวกเขา
วิธีที่ 3: พวกเขามักกระโดดจากกลยุทธ์หนึ่งไปอีกกลยุทธ์หนึ่ง 🐰
บรูซ ลี เคยกล่าวไว้ว่า “ฉันไม่กลัวคนที่ฝึกเตะ 10,000 ท่า ต่อครั้ง แต่ฉันกลัวคนที่ฝึกเตะท่าเดียว 10,000 ครั้ง”
ในตัวอย่างนี้ ผู้ที่ฝึกเตะท่าเดียวมาหลายครั้ง แม้ว่าจะไม่ได้ผลก็ตาม เทรดเดอร์ที่วางแผนกลยุทธ์คือผู้ที่พยายามแทบทุกอย่างแล้ว แต่ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเลย เพื่อให้แน่ใจว่าเทรดเดอร์ของเราเป็นเทรดเดอร์ที่ขาดทุน เราต้องแน่ใจว่าพวกเขาไม่เคยพัฒนาความเชี่ยวชาญใดๆ และเปลี่ยนจากกลยุทธ์เป็นกลยุทธ์ เราจำเป็นต้องห้อยกลยุทธ์, อินดิเคเตอร์ หรือรูปแบบการซื้อขายใหม่อย่างต่อเนื่องต่อหน้าผู้ซื้อขายของเรา ดังนั้น ไม่ว่าเทรดเดอร์จะเลือกกลยุทธ์ใด พวกเขาจะไม่มีเวลาที่จำเป็นในการมีสิ่งใดนอกจากการดำเนินการซื้อขายที่ไม่เหมาะสม ความรู้สึกตลาดโดยรวมที่ไม่ดี และการขาดความแตกต่างและความเข้าใจโดยทั่วไป
เมื่อรวมกับอันดับ 1 และอันดับ 2 แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เทรดเดอร์รายนี้จะทำกำไรได้
คุณรู้ทั้งหมดแล้ว; 3 วิธีเพื่อให้แน่ใจว่าเทรดเดอร์จะล้มเหลว พอจะคุ้นๆ บ้างไหม?
ความหวังของเราในการเขียนเรื่องนี้ไม่ใช่การกีดกันไม่ให้ใครก็ตามเข้ามามีส่วนร่วมในตลาด แต่เป็นการชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมที่ไม่ดีบางอย่างที่เราจะได้รับเมื่อเริ่มต้นอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงความผิดพลาดของมือใหม่และแนวปฏิบัติที่ไม่ดีที่สามารถขัดขวางอาชีพการเป็นเทรดเดอร์และสร้างนิสัยที่ไม่ดี ขอบคุณที่ติดตามแจ้งให้เราทราบหากคุณชอบ และเราจะพยายามสร้างโพสต์เหล่านี้เพิ่มเติมที่ผ่าน "แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด" ในการซื้อขาย
ขอให้เป็นสัปดาห์ที่ดี!
-ทีม TradingView ❤️
RSI Divergence หลอกให้เจ๊งโดยทั่วไปเรามักจะได้ยินว่าเมื่อเกิด RSI Divergence นั้นคือสัญญาณที่เตือนว่าแนวโน้มมีโอกาสจะกลับตัว ...แต่นักเทรดส่วนใหญ่มักจะเชื่อมั่นว่าแนวโน้มจะกลับตัวเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากมี RSI Divergence (นี่คือจุดแรกที่นักเทรดเริ่มทำพลาด คือ การเทรดด้วยความเชื่อ)
เรามักจะได้ยินเพื่อนนักเทรดส่วนใหญ่พูดคำว่า "ไม่ต้องกลัวนะ เพราะมี Divergence แล้วเดี๋ยวก็กลับตัว"
---------------------------------------
RSI Divergence สำหรับมุมมองของ OhMan Lan
Bearish Divergence หมายถึง ราคามีโอกาสปรับตัวลงชั่วคราว หรือ "ย่อลง" เท่านั้น
Bullish Divergence หมายถึง ราคามีโอกาสปรับตัวขึ้นชั่วคราว หรือ "เด้งขึ้น" เท่านั้น
การกลับตัวของแนวโน้มไม่ได้ขึ้นอยู่กับ RSI Divergence // แต่คือการพิจารณาหลังจากที่เกิด RSI Divergence และราคาได้ปรับตัวขึ้นหรือย่อลงแล้ว
พยายามไม่ดู RSI Divergence ซี้ซั้ว
1.ไม่สนใจ ถ้าหากส่วนใดส่วนหนึ่งของ RSI Divergence ไม่อยู่ในโซน overbought/oversold
2.ให้ความสำคัญน้อยลงเมื่อ RSI Divergence มี overbought/oversold กั้น
3.RSI Divergence จะยังไม่ใช่ RSI Divergence ถ้ายังไม่มีการยืนยันสัญญาณหรือการปิดแท่งเทียน (นี่คืออีกหนึ่งจุดสำคัญที่นักเทรดทำพลาด) หากไม่รอยืนยันสัญญาณก่อน แล้วราคาวิ่งต่อเนื่องอย่างรุนแรงอาจจะทำให้ RSI Divergence นั้นหายไป
หากให้ความสำคัญทุกจุด ก็จะสามารถเห็น RSI Divergence ได้แบบเรื่อยเปื่อย