Por : Technical Analysisตลาดหลักทรัพย์ไทย
เคลื่อนตัวออกด้านข้าง
ตลาดหุ้นนิวยอร์กประจำวันอังคาร (31/3) ดาวโจนส์ปรับตัวลดลง 400 จุด หลังการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทวีความรุนแรง จนอาจเป็นสาเหตุให้คนสหรัฐเสียชีวิต 100,000 – 240,000 ราย
แรงซื้อเริ่มกลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มนำตลาด เพื่อดักเม็ดเงินจากกองทุน SSF ที่จะเปิดขายในวันที่ 1 เมษายน เป็นวันแรก ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นที่ 1,125.86 จุด เพิ่มขึ้น 38.04 จุด มูลค่าการซื้อขาย 5.7 หมื่นล้านบาท สัญญาณทางเทคนิคัลเป็นบวก ทำให้ดัชนีตลาดระยะสั้นปรับตัวเข้าหาแนวต้านที่ 1,130 – 1,184 จุด สถาบันภายในประเทศเป็นกลุ่มเดียวที่ซื้อสุทธิ
ปัจจัยทางเทคนิค
จากกราฟรายวัน ดัชนีตลาดแกว่งแคบๆและเคลื่อนตัวออกด้านข้างภายในกรอบสามเหลี่ยมรูป Ascending Triangle ที่มีแนวต้านอยู่ที่ 1,130 จุด กรณีที่ดัชนีตลาดสามารถยืนปิดเหนือ 1,130 จุด ดัชนีตลาดจะมีทิศทางปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านของจุดสูงเก่าที่ 1,184 จุด และมีเส้น Multiple Moving Average แบบ Long – Term (MMA2) ที่เรียงตัวแบบตลาดขาลงเป็นแนวต้านอยู่ที่ 1,214 จุด การเกิดสัญญาณ Convergence ของสัญญาณ MACD Histogram แสดงว่าดัชนีตลาดยังมีทิศทางปรับตัวลงหรือปรับฐาน
จากกราฟรายสัปดาห์ ดัชนีตลาดมีแนวโน้มจบคลื่น I,(5),5) ที่ 1,852 จุด ดัชนีมีทิศทางปรับตัวลดลงเป็นคลื่น II,E มีทิศทางปรับตัวลดลงเข้าหาแนวรับที่ 942 จุด ซึ่งเป็นแนวรับ 61.8% Fibonacci Retracement (คำนวณระหว่าง 380 จุดกับ 1,852 จุด) และมีแนวรับถัดไปอยู่ที่ 843 จุด
เมื่อนำจุดต่ำที่ 380 จุด กับจุดสูงที่ 1,852 จุด มาวิเคราะห์แนวรับ จะได้แนวรับดังนี้
38.0% Fibonacci Retracement = 1,290 จุด
50.0% Fibonacci Retracement = 1,116 จุด
61.8% Fibonacci Retracement = 942 จุด
สัญญาณ Oscillator จากกราฟรายวัน สัญญาณทั้งระยะสั้นและระยะยาวเป็นบวก ดัชนีตลาดอยู่ในช่วงปรับฐาน
ทิศทางตลาดหลักทรัพย์ระยะสั้น มีกรอบแนวต้านอยู่ที่ 1,150 – 1,164 จุด และมีกรอบแนวรับอยู่ที่ 1,108 – 1,091 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
ได้แนะนำให้ล้างพอร์ตการลงทุน จะกลับเข้าซื้อเมื่อสัญญาณ RSI และ MACD Histogram เกิดสัญญาณ Bullish Divergence ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงถึงช่วงปลายตลาดขาลง
คำแนะนำ
- ในกรณีที่นักลงทุนจะเข้าซื้อ (ทยอย) โดยพิจารณาจากกราฟรายวัน ควรดูพิจารณาสัญญาณ Bullish Divergence ของ RSI จากกราฟรายวัน เพื่อการลงทุนระยะสั้น
- ในกรณีที่นักลงทุนจะเข้าซื้อ (ทยอย) โดยพิจารณาจากกราฟรายสัปดาห์ ควรดูพิจารณาสัญญาณ Bullish Divergence ของ MACD Histogram จากกราฟรายสัปดาห์ เพื่อการลงทุนระยะกลาง – ยาว
- ในกรณีที่ตลาดเป็น Bear Market มากๆ การเกิดสัญญาณ Bullish Divergence อาจเกิดถึง 3 ยอด (โดยทั่วไปในภาวะที่ตามปกติ สัญญาณ Bullish Divergence ส่วนใหญ่จะเป็นสองยอด)
SET ไอเดียในการเทรด
Por : Technical Analysisตลาดหลักทรัพย์ไทย
แกว่งตัวออกด้านข้าง
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดตลาดในแดนบวก ดาวโจนส์ (30/3) ปรับเพิ่มขึ้น 3 เปอร์เซ็นต์ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทำให้ทรัมป์ต้องขยายเวลามาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมออกไปจนถึงวันที่ 30 เมษายน
แรงซื้อที่กลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มนำตลาดในช่วงบ่าย ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดช่วงลบ ดัชนีตลาดปิดที่ 1,087.82 จุด ลดลง 11.94 จุด มูลค่าการซื้อขาย 4.1 หมื่นล้านบาท สัญญาณทางเทคนิคัลเป็นบวก ดัชนีตลาดระยะสั้นอยู่ในช่วงปรับฐาน ต่างชาติกลับมาขายสุทธิอีกครั้ง
ปัจจัยทางเทคนิค
จากกราฟรายวัน ดัชนีตลาดแกว่งแคบๆและเคลื่อนตัวออกด้านข้างภายในกรอบสามเหลี่ยมรูป Ascending Triangle ที่มีแนวต้านอยู่ที่ 1,130 จุด กรณีที่ดัชนีตลาดสามารถยืนปิดเหนือ 1,130 จุด ดัชนีตลาดจะมีทิศทางปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านของเส้น Multiple Moving Average แบบ Long – Term (MMA2) ที่เรียงตัวแบบตลาดขาลงเป็นแนวต้านอยู่ที่ 1,220 จุด การเกิดสัญญาณ Convergence ของสัญญาณ MACD Histogram แสดงว่าดัชนีตลาดยังมีทิศทางปรับตัวลงหรือปรับฐาน
จากกราฟรายสัปดาห์ ดัชนีตลาดมีแนวโน้มจบคลื่น I,(5),5) ที่ 1,852 จุด ดัชนีมีทิศทางปรับตัวลดลงเป็นคลื่น II,E มีทิศทางปรับตัวลดลงเข้าหาแนวรับที่ 942 จุด ซึ่งเป็นแนวรับ 61.8% Fibonacci Retracement (คำนวณระหว่าง 380 จุดกับ 1,852 จุด) และมีแนวรับถัดไปอยู่ที่ 843 จุด
เมื่อนำจุดต่ำที่ 380 จุด กับจุดสูงที่ 1,852 จุด มาวิเคราะห์แนวรับ จะได้แนวรับดังนี้
38.0% Fibonacci Retracement = 1,290 จุด
50.0% Fibonacci Retracement = 1,116 จุด
61.8% Fibonacci Retracement = 942 จุด
สัญญาณ Oscillator จากกราฟรายวัน สัญญาณทั้งระยะสั้นและระยะยาวเป็นบวก ดัชนีตลาดอยู่ในช่วงปรับฐาน
ทิศทางตลาดหลักทรัพย์ระยะสั้น มีกรอบแนวต้านอยู่ที่ 1,100 – 1,120 จุด และมีกรอบแนวรับอยู่ที่ 1,071 – 1,058 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
ได้แนะนำให้ล้างพอร์ตการลงทุน จะกลับเข้าซื้อเมื่อสัญญาณ RSI และ MACD Histogram เกิดสัญญาณ Bullish Divergence ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงถึงช่วงปลายตลาดขาลง
คำแนะนำ
- ในกรณีที่นักลงทุนจะเข้าซื้อ (ทยอย) โดยพิจารณาจากกราฟรายวัน ควรดูพิจารณาสัญญาณ Bullish Divergence ของ RSI จากกราฟรายวัน เพื่อการลงทุนระยะสั้น
- ในกรณีที่นักลงทุนจะเข้าซื้อ (ทยอย) โดยพิจารณาจากกราฟรายสัปดาห์ ควรดูพิจารณาสัญญาณ Bullish Divergence ของ MACD Histogram จากกราฟรายสัปดาห์ เพื่อการลงทุนระยะกลาง – ยาว
- ในกรณีที่ตลาดเป็น Bear Market มากๆ การเกิดสัญญาณ Bullish Divergence อาจเกิดถึง 3 ยอด (โดยทั่วไปในภาวะที่ตามปกติ สัญญาณ Bullish Divergence ส่วนใหญ่จะเป็นสองยอด)
Por : Technical Analysisตลาดหลักทรัพย์ไทย
จับตายอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐ
ตลาดหุ้นนิวยอร์กประจำวันศุกร์ (27/3) ปรับตัวลดลง ดาวโจนส์ปรับตัวลดลงกว่า 900 จุด หลังตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐพุ่งทะลุ 1 แสนรายมากที่สุดในโลก นักลงทุนผวาเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย ยอดผู้ว่างงานกว่า 3 ล้านคน
ดัชนีตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงขายออกมาในช่วงบ่าย หลังดัชนีดีดตัวขึ้นทดสอบแนวต้านของช่องแนวโน้มขาลง ดัชนีตลาดปิดที่ 1,099.76 จุด เพิ่มขึ้น 7.80 จุด มูลค่าการซื้อขาย 6.5 หมื่นล้านบาท สัญญาณทางเทคนิคัลเป็นบวก ดัชนีตลาดระยะสั้นอยู่ในช่วงปรับฐาน สถาบันภายในประเทศและต่างชาติเป็นฝ่ายซื้อสุทธิ นับเป็นการซื้อสุทธิของต่างชาติวันแรกในรอบ 17 วัน ภาพทางเทคนิคัลชี้ว่าดัชนีตลาดระยะสั้นมีโอกาสพักตัวลงเข้าหาแนวรับทางจิตวิทยาที่ 1,000 จุด
ปัจจัยทางเทคนิค
จากกราฟรายวัน ดัชนีตลาดดีดตัวขึ้นทดสอบแนวต้านของช่องแนวโน้มขาลงที่ 1,124 จุด ดัชนีเปิดสูงปิดต่ำ เส้น MMA2 จะทำหน้าที่เป็นแนวต้านถัดไป ลักษณะของ Common gap เป็นช่องว่างที่เกิดในช่วงที่ดัชนีตลาดแกว่งตัวออกด้านข้าง (Sideways) การเรียงตัวของเส้น Multiple Moving Average แบบ Long – Term (MMA2) ที่เรียงตัวแบบตลาดขาลง และการเกิดสัญญาณ Convergence ของสัญญาณ MACD Histogram แสดงว่าดัชนีตลาดยังมีทิศทางปรับตัวลงหรือปรับฐาน
จากกราฟรายสัปดาห์ ดัชนีตลาดมีแนวโน้มจบคลื่น I,(5),5) ที่ 1,852 จุด ดัชนีมีทิศทางปรับตัวลดลงเป็นคลื่น II,E มีทิศทางปรับตัวลดลงเข้าหาแนวรับที่ 942 จุด ซึ่งเป็นแนวรับ 61.8% Fibonacci Retracement (คำนวณระหว่าง 380 จุดกับ 1,852 จุด) และมีแนวรับถัดไปอยู่ที่ 843 จุด
เมื่อนำจุดต่ำที่ 380 จุด กับจุดสูงที่ 1,852 จุด มาวิเคราะห์แนวรับ จะได้แนวรับดังนี้
38.0% Fibonacci Retracement = 1,290 จุด
50.0% Fibonacci Retracement = 1,116 จุด
61.8% Fibonacci Retracement = 942 จุด
สัญญาณ Oscillator จากกราฟรายวัน สัญญาณทั้งระยะสั้นและระยะยาวเป็นบวก ดัชนีตลาดอยู่ในช่วงปรับฐาน
ทิศทางตลาดหลักทรัพย์ระยะสั้น มีกรอบแนวต้านอยู่ที่ 1,114 – 1,133 จุด และมีกรอบแนวรับอยู่ที่ 1,084 – 1,066 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
ได้แนะนำให้ล้างพอร์ตการลงทุน จะกลับเข้าซื้อเมื่อสัญญาณ RSI และ MACD Histogram เกิดสัญญาณ Bullish Divergence ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงถึงช่วงปลายตลาดขาลง
คำแนะนำ
- ในกรณีที่นักลงทุนจะเข้าซื้อ (ทยอย) โดยพิจารณาจากกราฟรายวัน ควรดูพิจารณาสัญญาณ Bullish Divergence ของ RSI จากกราฟรายวัน เพื่อการลงทุนระยะสั้น
- ในกรณีที่นักลงทุนจะเข้าซื้อ (ทยอย) โดยพิจารณาจากกราฟรายสัปดาห์ ควรดูพิจารณาสัญญาณ Bullish Divergence ของ MACD Histogram จากกราฟรายสัปดาห์ เพื่อการลงทุนระยะกลาง – ยาว
- ในกรณีที่ตลาดเป็น Bear Market มากๆ การเกิดสัญญาณ Bullish Divergence อาจเกิดถึง 3 ยอด (โดยทั่วไปในภาวะที่ตามปกติ สัญญาณ Bullish Divergence ส่วนใหญ่จะเป็นสองยอด)
Por : Technical Analysisตลาดหลักทรัพย์ไทย
สหรัฐอัดฉีดสภาพคล่อง
ตลาดหุ้นนิวยอร์กกลับมาร้อนแรง หลังสภาคองเกรสอนุมัติเงินช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อัดฉีดสภาพคล่องด้วยการเข้าซื้อพันธบัตร ส่งผลให้ตลาดทุนปรับตัวขึ้น 6 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบทรงตัว
แรงซื้อที่กลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มนำตลาด หนุนดัชนีตลาดหุ้นไทยดีดตัวขึ้นปิดที่ 1,091.96 จุด เพิ่มขึ้น 11.93 จุด มูลค่าการซื้อขาย 6.2 หมื่นล้านบาท สัญญาณทางเทคนิคัลระยะสั้นเริ่มกลับมาเป็นบวก ต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 16 ขณะที่สถาบันในประเทศเป็นกลุ่มเดียวที่ซื้อสุทธิ
ปัจจัยทางเทคนิค
จากกราฟรายวัน ดัชนีตลาดแกว่งตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่สอง ดัชนีตลาดมีทิศทางปรับตัวเข้าหาแนวต้านของช่องแนวโน้มขาลงที่ 1,130 จุด และมีเส้น MMA2 เป็นแนวต้านถัดไป ลักษณะของ Common gap ที่เกิดเป็นช่องว่างที่เกิดในช่วงที่ดัชนีตลาดแกว่งตัวออกด้านข้าง (Sideways) การเรียงตัวของเส้น Multiple Moving Average แบบ Long – Term (MMA2) ที่เรียงตัวแบบตลาดขาลง และการเกิดสัญญาณ Convergence ของสัญญาณ MACD Histogram แสดงว่าดัชนีตลาดยังมีทิศทางปรับตัวลงหรือปรับฐาน
จากกราฟรายสัปดาห์ ดัชนีตลาดมีแนวโน้มจบคลื่น I,(5),5) ที่ 1,852 จุด ดัชนีมีทิศทางปรับตัวลดลงเป็นคลื่น II,E มีทิศทางปรับตัวลดลงเข้าหาแนวรับที่ 942 จุด ซึ่งเป็นแนวรับ 61.8% Fibonacci Retracement (คำนวณระหว่าง 380 จุดกับ 1,852 จุด) และมีแนวรับถัดไปอยู่ที่ 843 จุด
เมื่อนำจุดต่ำที่ 380 จุด กับจุดสูงที่ 1,852 จุด มาวิเคราะห์แนวรับ จะได้แนวรับดังนี้
38.0% Fibonacci Retracement = 1,290 จุด
50.0% Fibonacci Retracement = 1,116 จุด
61.8% Fibonacci Retracement = 942 จุด
สัญญาณ Oscillator จากกราฟรายวัน สัญญาณ Modified Stochastic และ RSI เป็นบวก ขณะที่สัญญาณ MACD เป็นลบ ทำให้ดัชนีตลาดระยะสั้นมีทิศทางแกว่งตัวขึ้น ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นเพื่อลงหรือปรับฐาน เนื่องจากสัญญาณ MACD Histogram ยังเป็น Convergence ที่แสดงว่าดัชนียังมีโอกาสปรับตัวลง
ทิศทางตลาดหลักทรัพย์ระยะสั้น มีกรอบแนวต้านอยู่ที่ 1,113 – 1,133 จุด และมีกรอบแนวรับอยู่ที่ 1,064 – 1,047 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
ได้แนะนำให้ล้างพอร์ตการลงทุน จะกลับเข้าซื้อเมื่อสัญญาณ RSI และ MACD Histogram เกิดสัญญาณ Bullish Divergence ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงถึงช่วงปลายตลาดขาลง
คำแนะนำ
- ในกรณีที่นักลงทุนจะเข้าซื้อ (ทยอย) โดยพิจารณาจากกราฟรายวัน ควรดูพิจารณาสัญญาณ Bullish Divergence ของ RSI จากกราฟรายวัน เพื่อการลงทุนระยะสั้น
- ในกรณีที่นักลงทุนจะเข้าซื้อ (ทยอย) โดยพิจารณาจากกราฟรายสัปดาห์ ควรดูพิจารณาสัญญาณ Bullish Divergence ของ MACD Histogram จากกราฟรายสัปดาห์ เพื่อการลงทุนระยะกลาง – ยาว
- ในกรณีที่ตลาดเป็น Bear Market มากๆ การเกิดสัญญาณ Bullish Divergence อาจเกิดถึง 3 ยอด (โดยทั่วไปในภาวะที่ตามปกติ สัญญาณ Bullish Divergence ส่วนใหญ่จะเป็นสองยอด)
Por : Technical Analysisตลาดหลักทรัพย์ไทย
แกว่งตัว
ตลาดหุ้นนิวยอร์กแกว่งตัวขึ้นปิดในแดนบวก หลังนักลงทุนขาดหลังว่าสภาคองเกรสจะผ่านเงินช่วยเหลือ 2 ล้านล้านดออลาร์ เพื่อรองรับผลกระทบจากการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19
อานิสงส์จากตลาดโลกที่มีสัญญาณฟื้นตัว หนุนแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดหุ้นกลุ่มนำตลาด หนุนดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นปิดที่ 1,080.03 จุด เพิ่มขึ้น 46.19 จุด มูลค่าการซื้อขาย 7.49 หมื่นล้านบาท สัญญาณทางเทคนิคัลขัดแย้งกันจะทำให้ดัชนีตลาดแกว่งตัวออกด้านข้างแบบไร้ทิศทาง ต่างชาติชาติขายสุทธิเล็กน้อย 109 ล้านบาท ดัชนีตลาดระมีทิศทางปรับตัวเข้าหาแนวต้านที่ 1,130 จุด ก่อนที่จะพักตัวลง
ปัจจัยทางเทคนิค
จากกราฟรายวัน ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นปิดในแดนบวก ดัชนีตลาดมีทิศทางปรับตัวเข้าหาแนวต้านของช่องแนวโน้มขาลงที่ 1,130 จุด และมีเส้น MMA2 เป็นแนวต้านถัดไป ลักษณะของ Common gap ที่เกิดเป็นช่องว่างที่เกิดในช่วงที่ดัชนีตลาดแกว่งตัวออกด้านข้าง (Sideways) การเรียงตัวของเส้น Multiple Moving Average แบบ Long – Term (MMA2) ที่เรียงตัวแบบตลาดขาลง และการเกิดสัญญาณ Convergence ของสัญญาณ MACD Histogram แสดงว่าดัชนีตลาดยังมีทิศทางปรับตัวลงหรือปรับฐาน
จากกราฟรายสัปดาห์ ดัชนีตลาดมีแนวโน้มจบคลื่น I,(5),5) ที่ 1,852 จุด ดัชนีมีทิศทางปรับตัวลดลงเป็นคลื่น II,E มีทิศทางปรับตัวลดลงเข้าหาแนวรับที่ 942 จุด ซึ่งเป็นแนวรับ 61.8% Fibonacci Retracement (คำนวณระหว่าง 380 จุดกับ 1,852 จุด) และมีแนวรับถัดไปอยู่ที่ 843 จุด
เมื่อนำจุดต่ำที่ 380 จุด กับจุดสูงที่ 1,852 จุด มาวิเคราะห์แนวรับ จะได้แนวรับดังนี้
38.0% Fibonacci Retracement = 1,290 จุด
50.0% Fibonacci Retracement = 1,116 จุด
61.8% Fibonacci Retracement = 942 จุด
สัญญาณ Oscillator จากกราฟรายวัน สัญญาณ RSI เป็นบวกในเขตขายมากเกิน ขณะที่สัญญาณ Modified Stochastic และ MACD เป็นลบ ทำให้ดัชนีตลาดระยะสั้นแกว่งตัวออกด้านข้างแบบไร้ทิศทาง ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นเพื่อลงหรือปรับฐาน เนื่องจากสัญญาณ MACD Histogram ยังเป็น Convergence ที่แสดงว่าดัชนียังมีโอกาสปรับตัวลง
ทิศทางตลาดหลักทรัพย์ระยะสั้น มีกรอบแนวต้านอยู่ที่ 1,105 – 1,128 จุด และมีกรอบแนวรับอยู่ที่ 1,053 – 1,024 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
ได้แนะนำให้ล้างพอร์ตการลงทุน จะกลับเข้าซื้อเมื่อสัญญาณ RSI และ MACD Histogram เกิดสัญญาณ Bullish Divergence ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงถึงช่วงปลายตลาดขาลง
คำแนะนำ
- ในกรณีที่นักลงทุนจะเข้าซื้อ (ทยอย) โดยพิจารณาจากกราฟรายวัน ควรดูพิจารณาสัญญาณ Bullish Divergence ของ RSI จากกราฟรายวัน เพื่อการลงทุนระยะสั้น
- ในกรณีที่นักลงทุนจะเข้าซื้อ (ทยอย) โดยพิจารณาจากกราฟรายสัปดาห์ ควรดูพิจารณาสัญญาณ Bullish Divergence ของ MACD Histogram จากกราฟรายสัปดาห์ เพื่อการลงทุนระยะกลาง – ยาว
- ในกรณีที่ตลาดเป็น Bear Market มากๆ การเกิดสัญญาณ Bullish Divergence อาจเกิดถึง 3 ยอด (โดยทั่วไปในภาวะที่ตามปกติ สัญญาณ Bullish Divergence ส่วนใหญ่จะเป็นสองยอด)
Por : Technical Analysisตลาดหลักทรัพย์ไทย
แกว่งตัว
ตลาดหุ้นนิวยอร์กแกว่งตัวขึ้นปิดในแดนบวก หลังนักลงทุนขาดหลังว่าสภาคองเกรสจะผ่านเงินช่วยเหลือ 2 ล้านล้านดออลาร์ เพื่อรองรับผลกระทบจากการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19
อานิสงส์จากตลาดโลกที่มีสัญญาณฟื้นตัว หนุนแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดหุ้นกลุ่มนำตลาด หนุนดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นปิดที่ 1,080.03 จุด เพิ่มขึ้น 46.19 จุด มูลค่าการซื้อขาย 7.49 หมื่นล้านบาท สัญญาณทางเทคนิคัลขัดแย้งกันจะทำให้ดัชนีตลาดแกว่งตัวออกด้านข้างแบบไร้ทิศทาง ต่างชาติชาติขายสุทธิเล็กน้อย 109 ล้านบาท ดัชนีตลาดระมีทิศทางปรับตัวเข้าหาแนวต้านที่ 1,130 จุด ก่อนที่จะพักตัวลง
ปัจจัยทางเทคนิค
จากกราฟรายวัน ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นปิดในแดนบวก ดัชนีตลาดมีทิศทางปรับตัวเข้าหาแนวต้านของช่องแนวโน้มขาลงที่ 1,130 จุด และมีเส้น MMA2 เป็นแนวต้านถัดไป ลักษณะของ Common gap ที่เกิดเป็นช่องว่างที่เกิดในช่วงที่ดัชนีตลาดแกว่งตัวออกด้านข้าง (Sideways) การเรียงตัวของเส้น Multiple Moving Average แบบ Long – Term (MMA2) ที่เรียงตัวแบบตลาดขาลง และการเกิดสัญญาณ Convergence ของสัญญาณ MACD Histogram แสดงว่าดัชนีตลาดยังมีทิศทางปรับตัวลงหรือปรับฐาน
จากกราฟรายสัปดาห์ ดัชนีตลาดมีแนวโน้มจบคลื่น I,(5),5) ที่ 1,852 จุด ดัชนีมีทิศทางปรับตัวลดลงเป็นคลื่น II,E มีทิศทางปรับตัวลดลงเข้าหาแนวรับที่ 942 จุด ซึ่งเป็นแนวรับ 61.8% Fibonacci Retracement (คำนวณระหว่าง 380 จุดกับ 1,852 จุด) และมีแนวรับถัดไปอยู่ที่ 843 จุด
เมื่อนำจุดต่ำที่ 380 จุด กับจุดสูงที่ 1,852 จุด มาวิเคราะห์แนวรับ จะได้แนวรับดังนี้
38.0% Fibonacci Retracement = 1,290 จุด
50.0% Fibonacci Retracement = 1,116 จุด
61.8% Fibonacci Retracement = 942 จุด
สัญญาณ Oscillator จากกราฟรายวัน สัญญาณ RSI เป็นบวกในเขตขายมากเกิน ขณะที่สัญญาณ Modified Stochastic และ MACD เป็นลบ ทำให้ดัชนีตลาดระยะสั้นแกว่งตัวออกด้านข้างแบบไร้ทิศทาง ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นเพื่อลงหรือปรับฐาน เนื่องจากสัญญาณ MACD Histogram ยังเป็น Convergence ที่แสดงว่าดัชนียังมีโอกาสปรับตัวลง
ทิศทางตลาดหลักทรัพย์ระยะสั้น มีกรอบแนวต้านอยู่ที่ 1,105 – 1,128 จุด และมีกรอบแนวรับอยู่ที่ 1,053 – 1,024 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
ได้แนะนำให้ล้างพอร์ตการลงทุน จะกลับเข้าซื้อเมื่อสัญญาณ RSI และ MACD Histogram เกิดสัญญาณ Bullish Divergence ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงถึงช่วงปลายตลาดขาลง
คำแนะนำ
- ในกรณีที่นักลงทุนจะเข้าซื้อ (ทยอย) โดยพิจารณาจากกราฟรายวัน ควรดูพิจารณาสัญญาณ Bullish Divergence ของ RSI จากกราฟรายวัน เพื่อการลงทุนระยะสั้น
- ในกรณีที่นักลงทุนจะเข้าซื้อ (ทยอย) โดยพิจารณาจากกราฟรายสัปดาห์ ควรดูพิจารณาสัญญาณ Bullish Divergence ของ MACD Histogram จากกราฟรายสัปดาห์ เพื่อการลงทุนระยะกลาง – ยาว
- ในกรณีที่ตลาดเป็น Bear Market มากๆ การเกิดสัญญาณ Bullish Divergence อาจเกิดถึง 3 ยอด (โดยทั่วไปในภาวะที่ตามปกติ สัญญาณ Bullish Divergence ส่วนใหญ่จะเป็นสองยอด)
Por : Technical Analysisตลาดหลักทรัพย์ไทย
การระบาดโควิด-19 ในไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ตลาดหุ้นนิวยอร์กประจำวันจันทร์ (23/3) ดาวโจนส์ปรับตัวลดลงกว่า 3 เปอร์เซ็นต์ หลังร่างกฏหมายมาตรการเยียวผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไม่ผ่านวุฒิสภาครั้งที่ 2
ดัชนีตลาดหุ้นไทยทรุดตัวลงปิดที่ 1,024.46 จุด ลดลง 102.78 จุด มูลค่าการซื้อขาย 5.96 หมื่นล้านบาท สัญญาณทางเทคนิคัลระยะสั้นเป็นบวก ดัชนีตลาดระยะสั้นอยู่ในช่วงปรับฐาน แต่มีโอกาสที่จะปรับตัวลงเข้าหาแนวรับที่ 942 จุด ต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 13
ปัจจัยทางเทคนิค
จากกราฟรายวัน ดัชนีตลาดปรับตัวลดลงแบบมีช่องว่าง การปรับตัวขึ้นปิดและปรับตัวลงปิดช่องว่าง เป็นลักษณะของ Common gap ที่เกิดในช่วงที่ดัชนีตลาดแกว่งตัวออกด้านข้าง (Sideways) การเรียงตัวของเส้น Multiple Moving Average แบบ Long – Term (MMA2) ที่เรียงตัวแบบตลาดขาลง และการเกิดสัญญาณ Convergence ของสัญญาณ MACD Histogram แสดงว่าดัชนีตลาดยังมีทิศทางปรับตัวลงหรือปรับฐาน โดยดัชนีตลาดอาจแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 969 – 1,133 จุด
จากกราฟรายสัปดาห์ ดัชนีตลาดมีแนวโน้มจบคลื่น I,(5),5) ที่ 1,852 จุด ดัชนีมีทิศทางปรับตัวลดลงเป็นคลื่น II,E มีทิศทางปรับตัวลดลงเข้าหาแนวรับที่ 942 จุด ซึ่งเป็นแนวรับ 61.8% Fibonacci Retracement (คำนวณระหว่าง 380 จุดกับ 1,852 จุด) และมีแนวรับถัดไปอยู่ที่ 843 จุด
เมื่อนำจุดต่ำที่ 380 จุด กับจุดสูงที่ 1,852 จุด มาวิเคราะห์แนวรับ จะได้แนวรับดังนี้
38.0% Fibonacci Retracement = 1,290 จุด
50.0% Fibonacci Retracement = 1,116 จุด
61.8% Fibonacci Retracement = 942 จุด
สัญญาณ Oscillator จากกราฟรายวัน สัญญาณ Modified Stochastic และ RSI กลับมาเป็นบวกในเขตขายมากเกิน ขณะที่สัญญาณ MACD เป็นลบ ทำให้ดัชนีตลาดระยะสั้นปรับตัวขึ้นทางเทคนิคัล แต่จะเป็นการปรับตัวขึ้นเพื่อลงหรือปรับฐาน เนื่องจากสัญญาณ MACD Histogram ยังเป็น Convergence ที่แสดงว่าดัชนียังมีโอกาสปรับตัวลง
ทิศทางตลาดหลักทรัพย์ระยะสั้น มีกรอบแนวต้านอยู่ที่ 1,053 – 1,077 จุด และมีกรอบแนวรับอยู่ที่ 997 – 969 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
ได้แนะนำให้ล้างพอร์ตการลงทุน จะกลับเข้าซื้อเมื่อสัญญาณ RSI และ MACD Histogram เกิดสัญญาณ Bullish Divergence ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงถึงช่วงปลายตลาดขาลง
คำแนะนำ
- ในกรณีที่นักลงทุนจะเข้าซื้อ (ทยอย) โดยพิจารณาจากกราฟรายวัน ควรดูพิจารณาสัญญาณ Bullish Divergence ของ RSI จากกราฟรายวัน เพื่อการลงทุนระยะสั้น
- ในกรณีที่นักลงทุนจะเข้าซื้อ (ทยอย) โดยพิจารณาจากกราฟรายสัปดาห์ ควรดูพิจารณาสัญญาณ Bullish Divergence ของ MACD Histogram จากกราฟรายสัปดาห์ เพื่อการลงทุนระยะกลาง – ยาว
- ในกรณีที่ตลาดเป็น Bear Market มากๆ การเกิดสัญญาณ Bullish Divergence อาจเกิดถึง 3 ยอด (โดยทั่วไปในภาวะที่ตามปกติ สัญญาณ Bullish Divergence ส่วนใหญ่จะเป็นสองยอด)
Por : Technical Analysisตลาดหลักทรัพย์ไทย
สัปดาห์ที่บอบช้ำ
การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐในวงกว้าง นักลงทุนตื่นนำหุ้นออกเทขายฉุดตลาดหุ้นนิวยอร์กดิ่งลงแรง ในรอบสัปดาห์ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ดิ่งลง 4,011 จุด หรือดิ่งลง 17.3%
ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นปิดในแดนบวกส่งท้ายสัปดาห์ หลังตลาดออกมาตรการสกัดการขายล่วงหน้า ดัชนีตลาดวันศุกร์ปิดที่ 1,127.24 จุด เพิ่มขึ้น 83.05 จุด มูลค่าการซื้อขาย 9.3 หมื่นล้านบาท สัญญาณทางเทคนิคัลเริ่มกลับมาเป็นบวก ดัชนีตลาดระยะสั้นมีทิศทางปรับตัวเข้าหาแนวต้านที่ 850 จุด ก่อนที่จะปรับตัวลง ต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 12 ดัชนีตลาดระยะสั้นอยู่ในช่วงปรับฐาน
ปัจจัยทางเทคนิค
จากกราฟรายวัน ดัชนีตลาดดีดตัวขึ้นแบบมีช่องว่าง (Gap = 1,044 – 1,077 จุด) ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นตามหลักการของ Granville โดยมีทิศทางปรับตัวเข้าหาแนวต้านของช่องแนวโน้มขาลงที่ 1,164 จุด และมีเส้น Multiple Moving Average แบบ Long – Term (MMA2) ที่เรียงตัวแบบตลาดขาลงเป็นแนวต้านถัดไป ดัชนีตลาดระยะสั้นอยู่ในช่วงปรับฐาน เนื่องจากสัญญาณ MACD Histogram ยังเป็น Convergence
จากกราฟรายสัปดาห์ ดัชนีตลาดมีแนวโน้มจบคลื่น I,(5),5) ที่ 1,852 จุด ดัชนีมีทิศทางปรับตัวลดลงเป็นคลื่น II,E มีทิศทางปรับตัวลดลงเข้าหาแนวรับที่ 942 จุด ซึ่งเป็นแนวรับ 61.8% Fibonacci Retracement (คำนวณระหว่าง 380 จุดกับ 1,852 จุด) และมีแนวรับถัดไปอยู่ที่ 843 จุด
เมื่อนำจุดต่ำที่ 380 จุด กับจุดสูงที่ 1,852 จุด มาวิเคราะห์แนวรับ จะได้แนวรับดังนี้
38.0% Fibonacci Retracement = 1,290 จุด
50.0% Fibonacci Retracement = 1,116 จุด
61.8% Fibonacci Retracement = 942 จุด
สัญญาณ Oscillator จากกราฟรายวัน สัญญาณ Modified Stochastic และ RSI กลับมาเป็นบวกในเขตขายมากเกิน ขณะที่สัญญาณ MACD เป็นลบ ทำให้ดัชนีตลาดระยะสั้นปรับตัวขึ้นทางเทคนิคัล แต่จะเป็นการปรับตัวขึ้นเพื่อลงหรือปรับฐาน เนื่องจากสัญญาณ MACD Histogram ยังเป็น Convergence ที่แสดงว่าดัชนียังมีโอกาสปรับตัวลง
ทิศทางตลาดหลักทรัพย์ระยะสั้น มีกรอบแนวต้านอยู่ที่ 1,164 – 1,223 จุด และมีกรอบแนวรับอยู่ที่ 1,077 – 1,010 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
ได้แนะนำให้ล้างพอร์ตการลงทุน จะกลับเข้าซื้อเมื่อสัญญาณ RSI และ MACD Histogram เกิดสัญญาณ Bullish Divergence ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงถึงช่วงปลายตลาดขาลง
คำแนะนำ
- ในกรณีที่นักลงทุนจะเข้าซื้อ (ทยอย) โดยพิจารณาจากกราฟรายวัน ควรดูพิจารณาสัญญาณ Bullish Divergence ของ RSI จากกราฟรายวัน เพื่อการลงทุนระยะสั้น
- ในกรณีที่นักลงทุนจะเข้าซื้อ (ทยอย) โดยพิจารณาจากกราฟรายสัปดาห์ ควรดูพิจารณาสัญญาณ Bullish Divergence ของ MACD Histogram จากกราฟรายสัปดาห์ เพื่อการลงทุนระยะกลาง – ยาว
- ในกรณีที่ตลาดเป็น Bear Market มากๆ การเกิดสัญญาณ Bullish Divergence อาจเกิดถึง 3 ยอด (โดยทั่วไปในภาวะที่ตามปกติ สัญญาณ Bullish Divergence ส่วนใหญ่จะเป็นสองยอด)
SETราคามีการรีบาวน์ขึ้นมาตลอดทั้งสัปดาห์ในขณะที่ฝั่ง ดาวน์โจนส์ยังคงปรับตัวลงต่อเนื่องก่อนปิดสัปดาห์ไป
สัปดาห์นี้ราคาเปิดมาทำ swing low ไว้ที่ 1010 จุด และ swing high อยู่ที่ 1133 จุด ก่อนจะปิดสัปดาห์ไว้ที่ 1127 จุด
- ปัจจัยเชิงเทคนิค
การรีบาวน์ยังคงเป็นการรีบาวน์ขึ้นมาในแนวโน้มขาลง ยังคงไม่มีสัญญาณกลับตัวให้เห็นในระยะยาว
การรีบาวน์ขึ้นมา จะมีแนวต้านอยู่ที่ 1224 จุด ดังนั้น หากในสัปดาห์หน้า ราคาไม่สามารถปรับตัวขึ้นไปเหนือแนวต้านนี้ได้ ก็มีโอกาสที่จะปรับตัวลงต่อตามแนวโน้มเดิม
ส่วนภาพรวมในระยะสั้นมีโอกาสที่จะ sideway ในกรอบ 1150 - 1010 โดยประมาณ
เป้าการลงระยะยาวยังคงอยู่ที่ 894 จุด โดยประมาณ อิงจากเป้า retracement
=============================
- ปัจจัยอื่นๆ
ในช่วงที่ผ่านมา ธปท. ได้มีการอัดฉีดสภาพคล่องในตลาดพันธบัตรผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรภาครัฐทั้งระยะสั้นและระยะยาวอย่างต่อเนื่อง
โดยหากนับตั้งแต่ช่วงการเข้าซื้อตั้งแต่ 13-19 มีนาคม 2563 มียอดรวมกว่า 100,000 ล้านบาท
นอกจากนี้
คณะกรรมการนโยบายการเงิน มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 1.00 เป็นร้อยละ 0.75 ต่อปี
โดยให้มีผลในวันที่ 23 มีนาคม 2563 เพื่อ....
- ลดภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ
- บรรเทาปัญหาสภาพคล่องในตลาดการเงิน
- ลดผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจโดยรวม
ทั้งนี้เพื่อช่วยสนับสนุนมาตรการการคลังของรัฐบาลที่ได้ออกมาแล้วและที่กำลังจะออกมาเพิ่มเติม
นอกจากนี้ทางแบงค์ชาติได้กำชับให้ธนาคารพาณิชย์เร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และช่วยเหลือลูกหนี้แต่ละแห่งอย่างใกล้ชิด
=============================
ถึงแม้ว่า กนง.จะมีมติลดดอกเบี้ยนโยบายลง แต่อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงถือว่าน้อยมาก ซึ่งตลาดกำลังคาดหวังว่า ในการประชุม กนง. นัดปกติวันที่ 25 มี.ค.นี้ กนง. จะตัดสินใจลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อดูแลเศรษฐกิจ
และที่สำคัญ ตลาดคาดหวังว่า กนง. จะมีมาตรการดูแลสภาพคล่องในตลาดการเงินด้วย เนื่องจากนักลงทุนทั่วโลกกำลังตื่นตระหนกจึงพากันเทขายสินทรัพย์ต่างๆ ออกมา เพื่อถือเงินสด ทำให้สภาพคล่องในตลาดเงินตึงตัว
ดังนั้นสิ่งที่แบงก์ชาติพอจะเข้ามาดูแลเรื่องนี้ได้ คือ การลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ที่สำคัญนอกจากการลดดอกเบี้ยแล้ว แบงก์ชาติ ควรฉีดสภาพคล่องเข้ามาในระบบให้มากกว่านี้
ซึ่งนอกจากบอนด์รัฐบาลแล้ว ควรดูไปถึงหุ้นกู้เอกชนด้วย เพราะวันนี้คนพากันเทขาย สะท้อนว่าเขาไม่ต้องการถือสินทรัพย์การลงทุนใดๆ การจะต่ออายุหุ้นกู้ หรือออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อมาทดแทนจึงทำได้ยาก
ถ้าปล่อยไว้ระบบการเงินจะมีปัญหาได้
=============================
ทางด้านของ FED ทีผ่านมา
มีการประกาศการร่วมมือกับธนาคารกลางประเทศอื่น ได้แก่ แคนาดา อังกฤษ ญี่ปุ่น ยุโรป และสวิตเซอร์แลนด์ ประกาศเพิ่มความถี่ในการทำธุรกรรม swap ระยะ 7 วัน เป็นรายวัน
จากปกติเป็นรายสัปดาห์ โดยมีผลตั้งแต่วันจันทร์ที่ 23 มีนาคมจนถึงสิ้นเดือน เมษายนเป็นอย่างน้อย ขณะที่สัญญาอายุ 84 วันยังคงความถี่เป็นรายสัปดาห์เช่นเดิม
โดย FED หวังว่ามาตรการนี้จะช่วยรักษาสภาพคล่องให้เพียงพอต่อความต้องการสกุลเงินดอลลาร์ของ ภาคธุรกิจ และครัวเรือนทั้งในและต่างประเทศ
=============================
ความเห็นส่วนตัว
ถึงแม้จะมีการออกมาอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ตลาดกันอย่างมากในช่วงนี้ ก็ยังต้องระวังภาพรวมเศรษฐกิจทั้งหมดอยู่ดี จริงอยู่ที่เราอาจจะเห็นตลาดหุ้นมีการรีบาวน์ขึ้นมา แต่อย่าลืมว่า กลุ่มเงินที่อัดฉีดเข้ามามันอยู่แค่ในตลาดทุนเป็นส่วนใหญ่
กระแสเงินสดที่หมุนอยู่ในระบบเศรษฐกิจจริงๆนั้น ยังคงมีปัญหาอยู่
ตราบใดที่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่แปรผันตามคือ การหยุดชะงักของกระแสเงินสด เนื่องจากผู้คนไม่ออกมาจับจ่ายใช้สอยทำให้เงินไม่หมุนในระบบ
สิ่งที่ตามมาคือ ผลกระทบของภาคธุรกิจต่างๆ ดังนั้น การอัดฉีดสภาพคล่องอาจทำได้แค่พยุงตลาดทุน แต่ อาจไม่ได้ช่วยให้ภาพรวมเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวในช่วงนี้
SETต้องการขา2SETที่ลงมาทั้งหมดถือว่าเป็นแค่แรงกระแทกรอบที่1 การเด้งที่รุนแรงตอนนี้เป็นแค่เทคนิคอลรีบาวด์
การรอเพื่อดูdemand supplyของsetน่าจะเป็นตัวยืนยันที่ดีกว่าว่าSETปลอดภัยรึยัง
ในเชิงfundamental อาจจะมีหุ้นบางตัวที่เข้าเขตราคาถูก แต่ก็ยังไม่ได้มีmargin of safetyมาก
คือต้องโตได้ตามแผนเท่านั้น ห้ามผิดพลาด ถึงจะถูกจริง (เกณฑ์ของผมคืออยากให้growthมากกว่าPE เช่น growth 20% PE 15เท่า)
ซึ่งสถานการณ์นี้ต่างจากตอน2008มากที่่หุ้นถูกสุดๆ และมีlong-term growthที่เห็นได้ชัด มีmargin of safetyมากสุดๆ
ตอนนี้GDPไทยแทบไม่โต เผลอๆอาจมีติดลบ การที่SETลงมาแค่นี้ถือว่าปกติ
การลงอีกรอบจะเป็นตัวทดสอบว่าคนมีมุมมองต่ออนาคตยังไง
การลงขา2จะช่วยให้เรามองเห็นdemandของหุ้นรายตัวมากขึ้นด้วยนอกจากleaderที่มีตอนนี้อย่างSFLEX MONO SIMAT