20 Days challenge ลงทุนกับตัวเองใน 20 วัน20 Days challenge ลงทุนกับตัวเองใน 20 วัน
👹 หลายคนอาจมองว่า “การลงทุน” คือการซื้อหุ้น ซื้อคริปโต หรือทำกำไรจากกราฟ โดย การใช้เงินต่อเงินมันจึงเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุด และเป็นการลงทุนที่ดีที่สุด แต่แท้จริงแล้ว...การลงทุนที่ดีที่สุดไม่ใช่แค่การลงทุนด้วยเงิน หากคุณต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีแบบสุขสบายใจ บทความนี้มีคำตอบเป็นแนวทางให้อ่านกันนะครับ
“การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด คือการลงทุนกับตัวเอง” และนี่คือความตั้งใจของ 20 Days Challenge ภารกิจ 20 วันที่จะเปลี่ยนคุณให้เป็นนักเทรดที่มีวินัยทางอารมณ์ รู้จักบริหารเงิน และใช้ชีวิตด้วยความเข้าใจมากขึ้น
🎯 เป้าหมายของ 20 Days Challenge
👉เข้าใจจิตวิทยาการเทรดอย่างลึกซึ้ง
👉พัฒนาวินัยการใช้เงินและการออม
👉สร้างนิสัยที่เสริมคุณภาพชีวิตและการตัดสินใจ
👉เสริม mindset ที่เหมาะสมกับ “การเป็นนักลงทุนในระยะยาว”
📈ภารกิจ: 20 วันกับ 20 พฤติกรรมใหม่📈
💪 Day 1 เขียนเป้าหมายการเทรดและชีวิต ตั้งเข็มทิศจิตใจให้ชัด
💪 Day 2 ติดตามอารมณ์ตัวเองหลังเทรด รู้ทันอารมณ์ ลด overtrade
💪 Day 3 ลองเทรด Paper Trade แบบไม่มีเงิน ฝึก “วินัย” ไม่ใช่แค่ “กำไร”
💪 Day 4 จัดการการใช้เงินใน 1 วัน รู้รายจ่าย = คุมอารมณ์ได้ดีขึ้น
💪 Day 5 ฟังพอดแคสต์พัฒนาตัวเอง 1 ตอน เติมความรู้ให้ mindset
💪 Day 6 พักจากหน้าจอ 6 ชม. ฝึกสมาธิและการอยู่กับตัวเอง
💪 Day 7 อ่านหนังสือเกี่ยวกับพฤติกรรม เสริมความเข้าใจจิตวิทยา
💪 Day 8 วางแผนการใช้เงินใน 1 สัปดาห์ เริ่มต้น “การออมแบบมีเป้าหมาย”
💪 Day 9 เขียน Journal ความคิดหลังเข้าเทรด เข้าใจว่าอะไรผลักดันเราเทรดผิด
💪 Day 10 เดินเร็ว 30 นาที ฟื้นพลังใจ สมองปลอดโปร่งขึ้น
💪 Day 11 ตั้งกฎ “หยุดเทรดเมื่อ...” สร้างขอบเขต ลด emotional trading
💪 Day 12 ใช้จ่ายแบบ “คิดก่อนซื้อ 3 นาที” ฝึกสติและลดความฟุ่มเฟือย
💪 Day 13 ดูกราฟแต่ไม่เข้าออเดอร์ ฝึกมอง “ตลาด” ไม่ใช่แค่ “กำไร”
💪 Day 14 สรุปการใช้จ่าย 2 สัปดาห์ เพื่อให้เข้าใจนิสัยการใช้เงินของตัวเอง
💪 Day 15 ลองเทรดแค่ 1 ไม้ที่วางแผนไว้ ฝึกคุมความอยาก ลบ FOMO
💪 Day 16 ลองไม่ใช้มือถือ 2 ชั่วโมงก่อนนอน ปรับคุณภาพการพักผ่อน
💪 Day 17 เขียนสิ่งที่ขอบคุณในชีวิต 3 ข้อ สร้างมุมมองบวกต่อชีวิต
💪 Day 18 วางเป้าหมายการออม 3 เดือน เชื่อมโยง “เป้าหมายชีวิต” กับ “เงิน”
💪 Day 19 ประเมินพฤติกรรมตนเอง สะท้อนและพัฒนาแบบมีสติ
💪 Day 20 สรุปสิ่งที่เปลี่ยนแปลง + วางแผนต่อเนื่องเริ่มการเป็น “นักลงทุนตัวเอง” แบบยั่งยืน
📈จิตวิทยาการเทรดคือ “ใจ” ไม่ใช่แค่ “จอกราฟ”
หลายคนล้มเหลวในการเทรด ไม่ใช่เพราะระบบไม่ดี แต่เพราะใจไม่มั่นคง
โลภ, กลัว, คาดหวัง, ใจร้อน
20 วันนี้คือการฝึกจิตใจ:
😸 สังเกตอารมณ์
😸 ฝึกยอมรับความผิดพลาด
😸 ฝึกรอคอยโอกาส
😸 และฝึกคิดอย่างเป็นระบบ
💸 รู้จักใช้เงิน = รู้จักควบคุมชีวิต
การจัดการเงินไม่ใช่แค่เรื่องบัญชีรายรับ-รายจ่าย แต่คือการควบคุมความต้องการในใจตนเอง คนที่บริหารเงินได้ดี มักจะเป็นคนที่บริหารอารมณ์ตัวเองได้ดีด้วยเช่นกัน
👿👿👿 ถ้าอยากเทรดให้ดีขึ้น อย่ามัวแต่มองแต่กราฟ ให้หันกลับมามองตัวเองด้วย 20 Days Challenge จะไม่เปลี่ยนชีวิตคุณในทันที แต่มันจะ “เริ่มต้นการเปลี่ยน” ที่ยั่งยืนและคุ้มค่ากว่าไม่ใช่แค่เป็น “เทรดเดอร์” ที่ดีขึ้น แต่เป็น มนุษย์ที่เข้าใจตัวเองและเข้าใจชีวิตมากขึ้นด้วยเช่นกัน
👿👿👿 เป็นอย่างไรกันบ้างครับ พอจะได้แนวทางในการจัดสรรในชีวิตสักนิดๆหน่อยๆมั้ยครับ ลองทำดูก็ไม่เสียหลายนะ ชอบไม่ชอบค่อยว่ากันอีกที ที่สำคัญ มันทำให้เรามีเป้าหมายในชีวิตที่ดีขึ้นแน่นอนเลยครับ แอดฟันธง เรามาลองทำตามกันดูดีกว่า ได้ผลดีไม่ดีอย่างไร อย่าลืมมาเล่าสู้กันฟังนะฮะ
ตลาด ETF
เทคนิควิธีอ่าน Divergence จาก Momentum Indicatorเทคนิควิธีอ่าน Divergence จาก Momentum Indicator: จับสัญญาณกลับตัวก่อนใคร
👹 กลับมากันอีกแลวกับบทความดีๆและเทคนิคต่างๆในการเทรด วันนี้แอดหยิบยกเทคนิคการอ่านไดเวอเจ้นท์มาฝากกัน มาครับตามมาดูกันดีกว่าว่ามันดีอย่างไรแล้วใช้ยังไงบ้าง
👹ในโลกของการเทรดและการวิเคราะห์ทางเทคนิค แน่นอนว่ามีทั้งกราฟขึ้น กราฟลง และกราฟหลอก!!!!! หลอกให้เราตายใจจนผิดทาง
👹 ไอ่เจ้า "Divergence" หรือ "ภาวะผิดทิศ" นี่แหละ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถส่งสัญญาณล่วงหน้าว่าราคาอาจจะกำลังจะเปลี่ยนทิศทาง "สัญญาณกลับตัว" โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับ Momentum Indicator ต่างๆ เช่น RSI, MACD หรือ Stochastic Oscillator จะช่วยให้เห็นภาพของราคาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
Divergence คืออะไร?
Divergence คือภาวะที่ "ราคากับอินดิเคเตอร์เคลื่อนไหวไปคนละทิศคนละทางกัน" ซึ่งมักบ่งชี้ว่าราคาอาจกำลังอ่อนแรง และมีแนวโน้มจะกลับตัวในไม่ช้า
ประเภทของ Divergence
1. Regular Divergence (Divergence ปกติ) เป็นสัญญาณของ การกลับตัวของแนวโน้ม
Bullish Divergence (สัญญาณกลับตัวขึ้น)
👉 ราคา: ทำ "Low ใหม่" ต่ำกว่าเดิม
👉 Indicator: ทำ "Low ใหม่" สูงกว่าเดิม
👉 หมายความว่าแรงขายเริ่มอ่อน แม้ราคาทำ Low ใหม่ได้
Bearish Divergence (สัญญาณกลับตัวลง)
👉ราคา: ทำ "High ใหม่" สูงกว่าเดิม
👉Indicator: ทำ "High ใหม่" ต่ำกว่าเดิม
👉แสดงว่าแรงซื้ออ่อนลง มีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวลง
2. Hidden Divergence (Divergence ซ่อนเร้น) เป็นสัญญาณของ การต่อเนื่องของแนวโน้มเดิม
Hidden Bullish Divergence (แนวโน้มขาขึ้นต่อ)
👉ราคา: ทำ "Higher Low"
👉Indicator: ทำ "Lower Low"
👉บ่งชี้ว่ามีแรงซื้อซ่อนอยู่ พร้อมดันราคาต่อ
Hidden Bearish Divergence (แนวโน้มขาลงต่อ)
👉ราคา: ทำ "Lower High"
👉Indicator: ทำ "Higher High"
👉สะท้อนว่าแรงขายยังมีอยู่ แม้ Indicator จะดูเหมือนฟื้น
📈 อินดิเคเตอร์ที่ใช้ดู Divergence ได้ดี
RSI (Relative Strength Index) – ใช้บ่อยที่สุด
MACD – เห็น Divergence ชัดโดยดู MACD Line กับราคา
Stochastic Oscillator – ให้สัญญาณเร็ว เหมาะกับตลาดไซด์เวย์
Awesome Oscillator / CCI / ROC – ใช้ร่วมได้ตามสไตล์เทรด
📈 วิธีอ่าน Divergence อย่างแม่นยำ
เลือกอินดิเคเตอร์ที่ใช้ถนัด เช่น RSI
ดูรูปแบบราคาบนกราฟ ว่ามี High หรือ Low ใหม่หรือไม่
เปรียบเทียบกับอินดิเคเตอร์ ว่าทำ High/Low ตรงข้ามกันหรือเปล่า
ยืนยันด้วยสัญญาณอื่น เช่น แท่งเทียนกลับตัว, เส้นแนวรับ-แนวต้าน แท่งเทียนกลับตัว (Reversal
Candle), ปริมาณการซื้อขาย (Volume) เป็นต้น
ห้ามเข้าทันที! ควรรอสัญญาณยืนยัน เช่น เบรกแนวต้าน/เส้นเทรนด์
👌 ตัวอย่าง Bullish Divergence (จาก RSI)
ราคา: ทำ Low ที่ 1000 → ทำ Low ใหม่ที่ 950
RSI: ทำ Low ที่ 30 กลับทำจุดต่ำใหม่ที่สูงขึ้น (เช่นจาก 30 → 35)
ความหมาย: แรงขายเริ่มหมด แปลว่ากำลังเกิด Bullish Divergence ราคามีโอกาสกลับตัวขึ้น
ข้อควรระวัง
Divergence เป็นเพียงสัญญาณล่วงหน้า แต่ไม่ได้บอกว่า “จะกลับทันที” ไม่ใช่การยืนยัน 100%
ควรรอ "Confirmation" เช่นการเบรกแนวต้าน หรือสัญญาณจากแท่งเทียนก่อนเข้าซื้อ
หลีกเลี่ยงการใช้ Divergence เพียงลำพัง โดยเฉพาะในตลาด Sideway ที่มีสัญญาณหลอกเยอะ
สรุป
การอ่าน Divergence จาก Momentum Indicator เป็นเทคนิคที่สามารถช่วยให้นักเทรด “จับจังหวะการกลับตัว” ของราคาได้อย่างแม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์และเครื่องมืออื่นๆ อย่างเหมาะสม ช่วยให้คุณเห็นภาพ "แรงในตลาด" ก่อนที่ราคาจะสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน
👿👿👿 เป็นอย่างไรกันบ้างครับ พอจะได้แนวทางในการวางแผนการเทรดกันบ้างหรือยังครับ ถ้ายังก็ลองเอาเทคนิคนี้ไปใช้กันดูนะครับ ชอบไม่ชอบค่อยว่ากันอีกที ที่สำคัญต้องตรงกับเทคนิคที่เราจะเทรดด้วยนะครับ แล้วอย่าลืมหมั่นฝึกฝนและเรียนรู้การเทรดในหลายๆแบบให้เข้าใจมากขึ้นนะครับ เพราะการเรียนรู้ไม่มีคำว่าสิ้นสุด แอดเอาใจช่วย แอดเชื่อว่าทุกคนทำได้ แค่เริ่มลงมือทำ สู้ๆฮะ
อาชีพใหม่ที่กำลังมาแรงในปี 2025อาชีพใหม่ที่กำลังมาแรงในปี 2025
👰 กลับมากันอีกแล้วกับบทความดีๆและความรู้ใหม่ๆแน่นๆให้เหล่าสาวกของแอดมินได้เจออะไรใหม่ๆกันบ้าง ในเมื่อโลกเรามันพัฒนาแบบก้าวกระโดดขนาดนี้ อาชีพใหม่ๆก็เริ่มเป็นที่ต้องการในสังคม มาครับ มาอัพเดทอาชีพใหม่ๆกันหน่อยว่ามีอาชีพอะไรบ้าง มาครับ ตามไปอ่านพร้อมๆกันเลย
ในยุคที่เทคโนโลยีและเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาชีพที่มาแรงในปี 2025 จึงมีบทบาทและมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังมองหาทิศทางในการทำงานใหม่ๆ
เพราะอาชีพเหล่านี้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงาน แต่ยังเปิดโอกาสให้กับผู้ที่มีทักษะเฉพาะทางและความคิดสร้างสรรค์โดยเฉพาะอีกด้วย
1. นักพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI Developer)
ในยุคที่ AI มีบทบาทสำคัญในทุกอุตสาหกรรม นักพัฒนาปัญญาประดิษฐ์เป็นหนึ่งในอาชีพที่มีความต้องการสูง ความเชี่ยวชาญในการเขียนโค้ด วิเคราะห์ข้อมูล และพัฒนาโมเดล AI จะช่วยให้คุณเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
2. นักวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analyst)
ข้อมูลเป็นทรัพยากรสำคัญยิ่งในยุคดิจิทัล นักวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่มีบทบาทในการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อช่วยให้องค์กรตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ ความสามารถในการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ เช่น Python, R หรือ Power BI เป็นทักษะที่ขาดไม่ได้เลย ในสายอาชีพนี้
3. ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity Specialist)
ในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เน็ต ความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นสิ่งสำคัญ ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ทำหน้าที่ป้องกันและจัดการภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นกับระบบข้อมูลขององค์กร
4. นักสร้างเนื้อหาออนไลน์ (Content Creator)
สื่อออนไลน์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องและเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ นักสร้างเนื้อหาที่มีความคิดสร้างสรรค์และเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคออนไลน์จะมีโอกาสสร้างรายได้ทั้งจากแพลตฟอร์มส่วนตัวและการร่วมงานกับแบรนด์ชั้นนำต่างๆได้มากกว่า
5. ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Specialist)
แม้โลกจะหมุนก้าวไปเจริญขึ้นเรื่อยๆ แต่ความตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมยังจำเป็น ทำให้อาชีพในสายพลังงานหมุนเวียนเป็นที่ต้องการ ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้จะช่วยพัฒนาเทคโนโลยีและโซลูชันที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เรามีโลกที่น่าอยู่ยิ่งขึ้นตามไปด้วย
👿👿👿 แม้ว่าโลกของเราจะพัฒนาไปไกลมากแค่ไหน แต่คนจะปล่อยเวลาให้ตามไม่ทันโลกไม่ได้นะฮะ โอกาสมีมาให้เราเสมอ แค่เราต้อปรับตัวตามโลกให้ทัน
และยังช่วยให้เรามีรายได้เสริม หรือรายได้หลักที่มั่นคงได้อีก ลองพิจารณาอาชีพเหล่านี้เพื่อสร้างความสำเร็จในชีวิตการทำงานของคุณกันดีกว่า อย่าลืมหมั่นศึกษากลยุทธิ์การเทรดไว้บ่อยๆด้วยนะฮะ เราต้องมีอาชีพเสริมหลายๆทางครับ สู้ๆ
MSTY ย่อเพื่อขึ้นต่อMSTY
ตัวนี้จะเป็น ETF ซึ่งอ้างอิงกับหุ้นแม่คือ MSTR และตัว MSTR ค่อยข้างที่จะเคลื่อนไหวล้อไปกับตัว BTCUSD
เพราะเค้าตัวแม่เค้าถือ BTC เป็นจำนวนมาก หาก BTC ย่อแรง ตัว MSTR ก็จะย่อแรงด้วย
ถึงอย่างไร ปัจจุบันตัว MSTY เป็นย่อเพื่อขึ้นต่อ โดยมีแนวรับ 26.09 ค่ะ
หากไม่หลุด เราสามารถลุ้นการเด้งได้ถึง 38 เลยทีเดียว
และจุดคัทค่อยข้างต่ำด้วยคือ 25
TNA หรือ ETF Leverage x3 ของ Russel2000 หรือ ดัชนี Small capเมกาTNA สำหรับคนที่ยังไม่มีสามารถซื้อ ราคา Market ได้เลยนะครับ ตัวนี้คือ ดัชนี Russel2000 ที่เปรียบเสมือน MAI บ้านเรา คือ ดัชนีหุ้นขนาดเล็กของอเมริกา
แผนคือ
Buy Market Price 44.29
Stop Loss 39.82
Take Profit 58.32
RR=3.29
ซึ่งผมมองว่ามีโอกาสที่หุ้นขนาดเล็กที่เติบโต
1.ที่หนี้แบบพอเหมาะ
2.มี Data ที่สามารถใช้ Ai ไปประมวลผลให้มีโอกาสเกิดรายได้ที่เป็น S Curve ได้ในอนาคต
จากปัจจัยของการลดดอกเบี้ย และ เทคโนโลยีของรายใหญ่
- MSFT
- GOOG
- AMZN
- NVDA
ซึ่งถ้าวิเคราะห์จาก Volume Profile และ Momentum ของ RSI มีโอกาสสูงมากที่ จะเป็นจุดเริ่มต้น Up Trend ร่วมกับ Technical สาย Elliott wave ที่มองว่ากำลังจะเป็น Wave 3
ซึ่งถือเป็นช่วงที่ขึ้นได้ไกลและแรงที่สุด
แต่ก็ไม่ได้อยากให้ถึงกับ All in เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่แนวโน้มที่มี่โอกาสขึ้นมากกว่าลง
ถือว่าเป็นแนวโน้ม ที่มีโอกาศเติบโตทาง Technical และ Story นะ
ยังไงอย่าลืมควบคุมความเสี่ยงที่ดีกันด้วยนะครับ
เพราะการชนะตลาด ไม่ใช่ เรื่องของขุดซื้อที่แม่นยำ
แต่คือ Money management ที่ดี และ mindset ที่ดี
กรรมกรมั่วหุ้นลุ้นกำไร [EP1]ทำการเข้าซื้อที่ ราคา 445 ก็ถือว่าเข้าได้ตามที่วางแผนไว้ สรุป ตลาดลงมากว่าที่คาดการณ์ไว้
การแกว่งตัว
BB ยังคงบานออกอยู่ แสดงว่าการแกว่งของราคายังมีอยู่ รอบหน้าจังหวะเข้าซื้อ ตอน BB หุบตัวดีกว่า
แรงซื้อ แรงขาย
ตอนนนี้อัตราส่วนของ แรงขาย ยังมากกว่า การซื้อ แรงขายยัง ครอบงำตลาดอยู่
Performance:
ตอนนี้เจอ indicator ตัวใหม่ ที่คิดว่า Work ดี คือ Buffet indicator
= Market value / GDP ใช้ดูคนมีเงินไหม ตัวนี้ต้องหา Chart ดุให้ได้
ทำสวนทำไร่ EP3Main idea
1. วิเคราะห์ การแกว่งของ ราคา ผ่าน BB และ RSI
BB ใช้ในการดูการแกว่ง ของ ราคา
<> แท่งราคายาว ติดๆ กันหลายวันแสดงมี ความเป็น Volatility สูง
<> แท่งราคาสั้น ติดๆ กันแสดงว่า ความเป็น Volatility ต่ำ
** แกว่งมาก เดี๋ยวเปลี่ยนเป็น แกว่งน้อย แกว่งน้อย เดี๋ยวเปลี่ยนเป็น แกว่งมาก **
** การบานอออก ของ BB แสดงถึง Volatility ที่เพิ่มมากขึ้น **
** การหุบเข้า ของ BB แสดงถึง Volatility ที่ลดลง **
RSI ใช้การดูว่า แรงซื้อ หรือ แรงขาย ว่ามีแนวโน้มเป็นอย่าง
วิธีใช้ คือ ทำ Trend line บน RSI แล้วทำการวิเคราะห์
2. อารมณ์ของตลาด หรือ Big trend วิเคราะห์ จาก ปัจจัย ดังต่อไปนี้
ศักยภาพของ Market cap ราคาขึ้นมาก เม็ดรวมจะเป็นเท่าไร สามารถเกิดขึ้นได้ไหม
<ความคุ้มค่า> Bond yield ใช้ ดูเรื่องความคุ้มค่า ใรการลงทุนระหว่าง หุ้น กับ พันธบัตร
<ทิศทางเศรษกิจ> ทิศทางดอกเบี้ย + ความสามารถในการหาเงิน + ความมั่นคงทางเศรษกิจ
3. Chart pattern ใช้การ ซื้อ หรือ ขาย
ชอบสิ่งนี้ เพราะ จำแค่ 3 สิ่งนี้ ก็เทรดได้เรื่อยๆ แล้ว
1. Continuation pattern
2. REVERSAL pattern
3. NEUTAL pattern (side way unknow)
ทำสวนทำไร EP2RSI = ไว้บอก แรงซื้อ มากกว่าแรงขาย หรือ แรงขายมากกว่าแรงซื้อ
BB = ให้สักขนาดของ กรอบ ถ้ากว้างหมายความว่า ราคาแกว่งเยอะ ถ้าแคบหมายถึงราคาแกว่งน้อย
volatility is your friend
ก่อนหน้านั้นเกิดปริมาณการแกว่งของราคาที่เพิ่มขึ้น
ต่อไปน่า การแกว่งของราคาน่าแกว่งน้อยลง แล้วค่อยสู่การแกว่งเพิ่มขึ้น
นั้นหมายความว่าราคาน่าวิ่งปวนเปี้ยนอยู่ที่เส้นแนวรับซักพักหนึ่ง ถึงวิ่งไปขึ้นไป
BTC เมื่อ DEAD CROSS มาเยือน!ด้านบนเป็นกองทุน ETF บิทคอยน์ ตัวใหญ่ "เกรย์สเกล" กราฟจะเหมือนกับการขึ้นลงของราคาบิทคอยน์เลยบ่งชัดได้ว่าเป็นตัวกำหนดราคาในเส้นอีเอ็มเอ 15 และ 24 ในไทม์เดย์จะเห็นย้อนหลังกลับไปเกิดขึ้นสามครั้งตั้งแต่หลังโควิด ล่าสุดเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนพฤษภานี้ อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าการรีบาวครั้งนี้ขึ้นเพื่อลง
ดูจากอาร์เอสไอประกอบเข้าสู่โซนโอเวอร์โซลเรียบร้อย... เทรดกันด้วยความระมัดระวังนะครับ
*** สายสปอท รอเก็บต่ำกว่า 60,000 ครับ
*** สายฟิวเจอร์ รอเปิดเซลล์ที่ 67,000 เปิดบายที่ 59,000
+++ ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุน เป็นเพียงไอเดีย
Blackrock China A50 W1ส่วนตัวมองว่าน่าสะสม จะลงผ่านกองทุน feeder fund หรือไปซื้อ ETF ตรงๆ ก็ตามแล้วแต่ มองว่ารอบนี้น่าจะติดแนวรับ ใน day มัน swing test low ไปแล้วรอบนึง น่าจะเอาอยู่
ขอออกตัวก่อนว่า bias ส่วนตัวโดยเฉพาะ ไม่ได้อิงข่าวใดๆ ส่วนตัวไม่ค่อยอิงข่าวอยู่แล้ว แค่อยากมาแชร์ idea กับตัวนี้ส่วนตัวแล้วลงทุนผ่าน feeder fund ในไทย เก็บมาตั้งแต่ 1 กันยายน 2022 พอร์ตเล็กมนุษย์เงินเดือนทั่วไป ถัวมาจนบวม ถ้ารอบนี้ -15% อาจจะต้องพิจารณา rebalance
DAPP น่าจะกำลังเป็นขาขึ้นรอบใหม่จากจุดต่ำสุดในปีที่แล้วใครที่สะสมไว้ในปลายปี2022ถึงต้นปี 2023 จะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าของการลงทุนมาก 80-100%
ใช่เวลาประมาณ 6-8 เดือน และค่อยๆ ไหลลงมาระยะหนึ่งแล้ว
ช่วงกลางเดือนตุลาคมเริ่มมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นระยะสั้นรอบใหม่ และเริ่มเป็นแนวโน้มขาขึ้นระยะกลาง(หลายเดือนไปจากหลายสัปดาห์) คล้าย ๆกับปีที่แล้ว แต่เป็นยก Low ,Higher High
ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ดี(หรือเปล่า?) สำหรับคนที่กำลังลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงประเภทนี้
ICLN เทรนที่กำลังเปลี่ยน ราคาจะมาได้ยัง ?จุดสูงสุด 11/1/21 หัว W1 ย่อลงทำจุดต่ำสุด 12/5 มีโอกาสเป็นจุดสิ้นสุด W2 ?
การย่อลงมา W2 ย่อ 61.8 และใช้ระยะเวลา เกิน 1เท่าที่วิ่งขึ้น W1 ทั้งเรื่องเวลาและระดับการย่อก็น่าจะมีโอกาสเป็นจุดจบ W2
จากจุดต่ำสุด 12/5/22 รีบาวทะลุเส้นwave และ tunnel wavy ( W1 or A )
ราคาย่อกลับมาแต่ไม่หลุดทำ new low ( W2 or B )
ราคาดีดกลับไปเหนือ เส้นwave และ tunnel (เส้น wave และ tunnel กำลังจะตัดกัน) และเป็นการเปิดโดดดีดข้ามเป็น Breakaway Gap , Volome วันที่กระชากเกิน 2 SD น่าจะมีโอกาสเป็น W3 or C (น่าจะมีโอกาสเป็น3มากกว่า)
ราคาปัจจุบันแตะกรอบบนของ channel สีฟ้า ถ้าสามารถทะลุได้โอกาสเป็น W3 ก็จะมากขึ้น (ถ้าทะลุก็ยังไม่สามารถตัดโอกาส wave C ออกไปเพราะก็ยังมีโอกาสเป็น Elongated ได้ จะตัด Elongated ออกก็ต่อเมื่อ W4 ย่อไม่หลุด fibo 38.2-50 ของ W3 และราคายกกลับไป)
จับตาว่าจะสามารถเบรคกรอบฟ้าได้รึไม่ ? หรือถ้าจะย่อเพื่อขึ้นไม่ควรย่อปิด gap ที่เปิดวันที่ 28/7/22
( เป้า W3 )เบรคได้เป้าถัดไป 23.82 -25.4
( เป้า W4 ) ถ้า W3 ตามเป้า W4 เป้าจะอยู่ในกรอบ Fibo 38.2-50 ของ W3
4 ข้อควรจำเกี่ยวกับตลาดหมีเฮ้ทุกคน! 👋
เฮ้อ นี่มันสัปดาห์อะไรกันเนี่ย สินทรัพย์ทั่วกระดานถูกรมควัน และ Nasdaq สิ้นสุดสัปดาห์อย่างเป็นทางการด้วยตลาดหมี สำหรับเทรดเดอร์คริปโต, Bitcoin, Ethereum และสินทรัพย์ คริปโตอื่น ๆ บางส่วนได้ลดมูลค่าลงครึ่งหนึ่งหรือมากกว่านั้น แม้ว่า S&P 500 จะลดลงเพียง 13-14% จากระดับสูงสุด แต่มีเพียง 25% ของหุ้นที่จดทะเบียนทั้งหมดอยู่เหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน พูดได้อย่างปลอดภัยว่าหลังจากการวิ่งขึ้นครั้งใหญ่ในเกือบทุกอย่างที่เราได้เห็นในช่วงสองปีที่ผ่านมา ตอนนี้เราอยู่ในตลาดหมีอย่างเป็นทางการแล้ว
เนื่องจากนี่อาจเป็นตลาดหมีครั้งแรกของใครหลายๆ คนในชุมชนของเรา เราจึงคิดว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์ที่จะแนะนำสิ่งสำคัญเล็กๆ น้อยๆ ที่ควรจำเกี่ยวกับตลาดหมี เพื่อช่วยให้ผู้คนสำรวจระบบตลาดใหม่นี้
มาลุยกันเลย!
1.) ความผันผวนทำให้โพสิชั่นของคุณดูใหญ่ขึ้นในแง่ของ P/L 💥
ตลาดหมีมักทำให้เกิดความผันผวนของราคาสินทรัพย์มากกว่าตลาดกระทิง ในช่วง 20 วันที่ผ่านมา เราได้เห็นการเคลื่อนไหวเฉลี่ยรายวันในดัชนีประมาณ 3% ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ย 20 วันในปี 2564 ที่ประมาณ 0.9% อย่างมาก ด้วยจำนวนเงินทุนที่เท่ากัน การเบิกสินค้าในช่วงเฉลี่ยนี้หมายความว่าในแง่ $$ การเคลื่อนไหวของ P/L ของคุณน่าจะมากกว่า "ปกติ" มาก ในเดือนมีนาคม 2020 ช่วงรายวันเฉลี่ยใน S&P 500 นั้นมากกว่า 5%!
นี่เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ เพราะ P/L สามารถมีผลกระทบอย่างมากต่อจิตวิทยาของเทรดเดอร์ ผู้จัดการเงินมืออาชีพและกองทุนป้องกันความเสี่ยงจำนวนมากควบคุมปัจจัยนี้ โดยลดความเสี่ยงจากการผันผวนของพอร์ตรายวันให้ใกล้เคียงกับเป้าหมาย กองทุนบางส่วนได้รับคำสั่งให้ทำสิ่งนี้ แม้ว่าคุณจะมีอิสระที่จะทำสิ่งที่คุณต้องการในการปฏิบัติตามแผนการซื้อขายของคุณ แต่นี่เป็นความคาดหวังหลักที่จะถือไว้! คาดว่าจะมีการเคลื่อนไหวที่ใหญ่กว่าปกติ
2.) ตลาดหมีเฉลี่ยอยู่ได้ประมาณ 2 ปี 📉
ตัวเลข 2 ปีส่วนใหญ่หมายถึงระยะเวลาเฉลี่ยของตลาดหมี *หุ้น* จนถึงตอนนี้ในส่วนของคริปโต ตลาดหมีโดยเฉลี่ยใช้เวลาประมาณ 9 เดือน สำหรับการเปรียบเทียบ ในหุ้น ตลาดกระทิงเฉลี่ยอยู่ได้นานกว่า 6 ปี ดังนั้น แม้ว่าตลาดหมีมักจะเร็วกว่าช่วงที่หุ้นเติบโต แต่ก็มีแนวโน้มที่จะน่าจดจำมากกว่า
เมื่อเร็วๆ นี้ ตลาดหมีเริ่มสั้นลงเรื่อยๆ โดยตลาดหมีล่าสุดในปี 2020 ดำเนินไปเพียงไม่กี่เดือน คุณลักษณะบางอย่างเป็นผลจากการที่เฟดก้าวเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่คนอื่นๆ มักอ้างว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารที่ดีกว่าที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันในศตวรรษที่ 21 นั้นช่วยให้ข้อมูลสามารถกำหนดราคาได้เร็วกว่ามาก แม้ว่าแนวโน้มจะมุ่งไปสู่ตลาดหมีที่สั้นลงและสั้นลงอย่างแน่นอน แต่บ่อยครั้งก็ยังสามารถยืนยาวได้นานกว่าที่คาดไว้ ปรับความคาดหวังตามนั้น!
3.) เงินสดคือโพสิชั่น💵
แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อ USD ในปัจจุบันจะสูง โดยอยู่ที่ประมาณ 7-10% (ขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังดูตัวเลขใดอยู่) กำลังซื้อของ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนักในแต่ละวัน กำลังซื้อของ SPY หนึ่งหุ้นเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมากขึ้นทุกวัน และเมื่อเร็วๆ นี้ อำนาจซื้อก็สูญเสียเร็วขึ้นมาก สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องจำสำหรับตลาดหมีคือการมีชีวิตอยู่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ตราบใดที่คุณไม่ระเบิด คุณก็สามารถมีชีวิตเพื่อสู้ต่อไปได้อีกวัน การหนีสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพต่ำแล้วทำให้เป็นเป็นเงินสดเป็นทางเลือกหนึ่ง
สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ หากคุณดูประเภทสินทรัพย์หลัก ๆ ผู้คนดูเหมือนจะหนีไปหาเงินสด พันธบัตร, หุ้น, ทองคำ, คริปโต - ขายเป็นเงินสดทั้งหมด ในสภาพแวดล้อมที่ "ปิดความเสี่ยง" โดยทั่วไปแล้ว ผู้เล่นที่ระมัดระวังจะหมุนเวียนจากสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น เป็นสิ่งที่ "ปลอดภัยกว่า" เช่น พันธบัตรรัฐบาล ที่กล่าวว่าด้วยการปีนเขาและอัตราเงินเฟ้อที่สูงดูเหมือนว่าผู้คนจะข้ามผลตอบแทน 3% ที่พวกเขาจะได้รับในพันธบัตรเพื่อสนับสนุนความยืดหยุ่นทั้งหมดที่คุณได้รับด้วยเงินสด อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการป้องกันความเสี่ยงคือการขายสินทรัพย์สั้นที่คุณคิดว่าจะมีประสิทธิภาพต่ำกว่า หรือซื้อการลงทุนในพอร์ตของคุณ (ถ้ามี) คุณสามารถดูราคาการนอนหลับได้ดีในตลาดตัวเลือกโดยตรง
4.) การจะได้ราคาที่ด้านล่างนั้นยาก 🎣
แม้ว่าจะเป็นหน้าที่ของเราในฐานะเทรดเดอร์ในการค้นหาโอกาสที่มีมูลค่าที่คาดหวังในเชิงบวก การเลือกจุดต่ำสุดเป็นสิ่งที่ท้าทายมากในอดีต ในช่วงความผิดพลาดของปี 2020 กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่โดดเด่นหลายแห่งไม่ได้รับการป้องกันความเสี่ยงจากความผิดพลาด และก็ยากเกินที่จะออกมาจากมัน ที่แน่ๆ คนที่ฉลาดที่สุดในโลกบางคนก็ยังทำการเลือกจุดที่ต่ำสุดที่น่าจะเป็นไปได้ได้ไม่ดีพอ
เว้นแต่ว่าคุณมีกลยุทธ์ระยะยาวที่ช่วยให้สามารถใช้เงินทุนได้อย่างสม่ำเสมอเมื่อเวลาผ่านไป (DCA) การพยายามเลือกจุดต่ำสุดในตลาดที่มีแนวโน้มลดลงอาจเป็นกลยุทธ์ % อัตรา bat rate ที่ต่ำมาก
เอาล่ะ ทั้งหมดนี้คือ 4 ข้อควรจำสำหรับมือใหม่ที่ต้องแบกรับตลาด ดังที่เราได้กล่าวไปแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำในตลาดที่ยากกว่าคือการเอาตัวรอด! 🐻
ขอให้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ดี! 😄
-ทีม TradingView
3 เคล็ดลับในการสร้าง Mindset ในการซื้อขายอย่างมืออาชีพ 🎯เฮ้ทุกคน! 👋
วันนี้ เราจะมาพูดถึงการสร้างกรอบความคิดในการซื้อขายอย่างมืออาชีพ แม้ว่าหัวข้อนี้จะเป็นหัวข้อของหนังสือและวรรณกรรมเกี่ยวกับการซื้อขายจำนวนนับไม่ถ้วน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเราคิดว่าการแยกแยะประเด็นที่สำคัญที่สุดสองสามข้อสำหรับชุมชน TradingView นั้นเป็นเรื่องที่ดี กระโดดเข้าไปกันเลย!
1.) เริ่มคิดในความน่าจะเป็น 🔢
มาดูแนวคิดที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการซื้อขายและในชีวิตกัน: มูลค่าที่คาดหวัง
มูลค่าที่คาดหวังเป็นเพียงตัวเลขที่บ่งชี้ตามความน่าจะเป็น, มูลค่าของการดำเนินการบางอย่าง ซึ่งอาจเป็นบวกหรือลบก็ได้ การซื้อขายนี้จะสร้างรายได้หรือไม่? ฉันควรเปลี่ยนอาชีพหรือไม่? ฉันควรแต่งงานกับคู่ของฉันหรือไม่? ทั้งหมดลงมาที่มูลค่าที่คาดหวัง แล้วอะไรคือมูลค่าที่คาดหวังในตอนนี้ล่ะ? มี 2 สิ่งคือ: อัตรา BAT RATE % และ การแพ้ / ชนะ
อัตรา BAT RATE คือเปอร์เซ็นต์ของการชนะเทียบกับผลลัพธ์ทั้งหมด การชนะ / การแพ้ คือขนาดของผู้ชนะโดยเฉลี่ยหารด้วยขนาดของผู้แพ้โดยเฉลี่ย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ โอกาสนี้ทำงานอย่างไร? ชัยชนะยิ่งใหญ่แค่ไหน? ขาดทุนขนาดไหน? เมื่อคุณรวมตัวเลขเหล่านี้เข้าด้วยกัน คุณจะเข้าใจได้ชัดเจนมากขึ้นว่าการดำเนินการบางอย่างมีความสมเหตุสมผลหรือไม่
ตัวอย่างเช่น แนวคิดทางการซื้อขายบางอย่างมีโอกาส 50% ที่จะได้ผล การชนะทำให้คุณได้ $2 ในขณะที่การแพ้ทำให้คุณเสีย $1 คุณควรทำการซื้อขายหรือไม่?
ลองหากัน ในตัวอย่างนี้ คุณทำการซื้อขาย 100 ครั้ง ซึ่งมี 50 ครั้ง ที่คุณชนะ $2 และ 50 ครั้ง ที่คุณเสีย $1 คุณจะได้กำไรรวม $50! ((50x2)-(50x1)). เห็นได้ชัดว่าการซื้อขายนี้มีมูลค่าที่คาดหวังในเชิงบวก! ดังนั้น แม้ว่าคุณจะทำการซื้อขายและจบลงด้วยการขาดทุน คุณยังคงตัดสินใจถูกต้อง จากมุมมองของ EV
ธุรกิจที่ยุ่งยากกับมูลค่าที่คาดหวังคือ Bat Rate และ ชนะ / แพ้ ไม่ใช่ตัวเลขที่ชัดเจน เป็นการประมาณการ ดังนั้น การสร้างความรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีบางสิ่งเกิดขึ้น และการสร้างความเข้าใจในขอบเขตของการชนะและการสูญเสียจึงเป็นทักษะหลักในการสร้างเพื่อการซื้อขายและชีวิต วิธีง่ายๆ ในการปรับเทียบเสาอากาศของคุณให้ดีขึ้นสำหรับสิ่งนี้ คือการจดบันทึกสิ่งที่คุณคาดว่าจะเกิดขึ้นในบันทึกการซื้อขายของคุณ การทำซ้ำหลายๆ ครั้ง ความสามารถในการคาดเดาผลลัพธ์ของคุณน่าจะดีขึ้น
2.) การตระหนักรู้ในตนเอง 😵💫
ในการซื้อขาย การกระทำของผู้เข้าร่วมตลาดทุกคนมักเกิดจากความกลัว 2 ประการคือ: ความกลัวที่จะพลาดโอกาส และ ความกลัวการสูญเสีย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือความกลัวและความโลภ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับเคมีในสมองและประสบการณ์ชีวิตของคุณ มีแนวโน้มว่าความกลัวเหล่านี้จะส่งผลกระทบกับคุณมากกว่าอีกความกลัวหนึ่ง
ลองนึกถึงสถานการณ์ต่อไปนี้: คุณทำการซื้อขาย และโพสิชั่นก็เริ่มเคลื่อนไปในทิศทางที่คุณคาดการณ์ไว้ จากนั้นสินทรัพย์นั้นก็เริ่มเกิด sideway ขึ้น ลองดูสองวิธีที่สามารถทำได้:
a - คุณปิดสถานะของคุณ จากนั้นสินทรัพย์ก็เริ่มฉีกไปในทิศทางของคุณอีกครั้งโดยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นสามเท่า คุณพลาดการเคลื่อนไหวพิเศษนี้ไปซะแล้ว ตอนนี้คุณได้ออกจากตำแหน่งเพื่อผลกำไรอันน้อยนิด
b - คุณไม่ได้ปิดสถานะ และสินทรัพย์เดินทางกลับลงไปที่ Stop Loss ของคุณและคุณใช้ L (ซื้อ) ในการซื้อขาย
สถานการณ์ใดต่อไปนี้ที่เจ็บปวดสำหรับคุณมากกว่ากัน ไม่มีคำตอบที่ *ถูก* หรือ *ผิด* แต่สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าความกลัวใดมีอิทธิพลเหนือการตัดสินใจที่ซับซ้อนในสมองของคุณ หากคุณพบว่าคุณมีแนวโน้มที่จะใช้ FOMO มากกว่า ให้ลองคิดหากลยุทธ์ที่คุณสามารถบีบทุกหยดสุดท้ายของการซื้อขายที่จะชนะให้ได้ หากคุณมีแนวโน้มที่จะกลัวการสูญเสียมากกว่า ให้ลองคิดหากลยุทธ์ที่ลดโอกาสที่คุณจะประสบความสูญเสียครั้งใหญ่
3.) ความเหมาะสมของกลยุทธ์มีความสำคัญอย่างยิ่ง ✅
เคล็ดลับนี้เน้นย้ำถึงเคล็ดลับสุดท้ายเกี่ยวกับการตระหนักรู้ในตนเอง และเน้นย้ำถึงความสำคัญของความสม่ำเสมอในการโต้ตอบกับตลาด
เมื่อคุณโต้ตอบกับตลาด การเขียนแผนการซื้อขายที่เข้าใจเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดและยอดเยี่ยมที่สุดในโลกได้กำหนดอาณัติการลงทุน แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด และแผนธุรกิจไว้อย่างชัดเจน อะไรทำให้คุณคิดว่าคุณไม่จำเป็นต้องมีแผนกันล่ะ?
" ที่กล่าวไว้ ไม่ใช่ว่าทุกแผนการซื้อขายจะถูกสร้างขึ้นมาเท่าเทียมกัน และแผนที่วาง
ไว้ดีที่สุด มักจะไม่เป็นไปตามนั้น...ฯลฯ "
เมื่อออกแบบแผนการซื้อขายเทรดเดอร์มือใหม่หรือระดับกลางจำนวนมากมุ่งเน้นที่ด้านการทำเงินเพียงอย่างเดียว เช่นเดียวกับใน 'กลยุทธ์ใดที่จะทำให้ฉันได้รับผลกำไรสูงสุดในช่วงเวลาที่กำหนด' ฉันจะได้เปรียบได้อย่างไร? โดยทั่วไป การทดสอบย้อนหลัง, การวิจัยพื้นฐาน, วิสัยทัศน์ และอื่นๆ มีส่วนในการช่วยกำหนดเกณฑ์สำหรับกลยุทธ์ที่ทำกำไรได้
อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์ผู้เชี่ยวชาญรู้ว่ามีบางสิ่งที่สำคัญมากกว่าการกำหนดขอบของคุณ สร้างความเสมอต้นเสมอปลาย .
ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณมีกลยุทธ์การซื้อขายที่สมบูรณ์แบบซึ่งในทางทฤษฎี ในอนาคต มันจะช่วยให้คุณซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด แผนดังกล่าวกำหนดเกณฑ์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการซื้อจุดต่ำสุดของตลาดและการขายในจุดสูงของตลาด สำหรับมือใหม่ นี่อาจเป็นดั่งจอกศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรก็ตาม เพียงเพราะคุณ *เข้าใจ* กลยุทธ์ ไม่ได้หมายความว่าคุณจะสามารถ *ดำเนินการ* กลยุทธ์ได้
คุณสามารถทดสอบกลยุทธ์ที่สมบูรณ์แบบนี้ได้ในชีวิตจริง และหากคุณไม่สามารถปฏิบัติตามกฎที่ตั้งไว้สำหรับตัวคุณเองในช่วงเวลาที่ร้อนระอุเนื่องจากองค์ประกอบทางจิตวิทยาของคุณ นั่นไม่่ใช่เพราะกลยุทธ แต่เป็นเพราะตัวคุณเอง
ดังนั้น การค้นหากลยุทธ์ที่คุณสามารถทำเองได้ด้วยความสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในตลาด ถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
ในแง่ของมูลค่าที่คาดหวังและการรับรู้ในตนเอง การมีกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ 30% แต่คุณสามารถดำเนินการได้ด้วยความมั่นใจ 100% นั้นมีค่ามากกว่ากลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ 70% ซึ่งคุณสามารถดำเนินการได้อย่างแม่นยำเพียง 40% ของเวลาเท่านั้น
การไม่เครียดจากการสูญเสียถือเป็นผลลัพธ์ที่แท้จริง สิ่งนี้ออกแบบมาเพื่อป้องกันความผิดพลาด ไม่ใช่การสูญเสีย
อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับการอ่าน และขอให้มีวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ดี! แจ้งให้เราทราบด้วยการแสดงความคิดเห็นด้านล่างว่าคุณได้เรียนรู้สิ่งใด และเราจะพิจารณาทำชุดข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับจิตวิทยาที่ประยุกต์ใช้สำหรับการซื้อขาย
ไชโย!
- ทีม TradingView