𝐊𝐒 𝐀𝐒𝐌𝐋 𝐇𝐨𝐥𝐝𝐢𝐧𝐠 𝐄𝐚𝐫𝐧𝐢𝐧𝐠𝐬 𝟑𝐐25ASML งบดีกว่าคาด แต่เตือนปีหน้ารายได้จากจีนจะลดลงมาก
ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นราว 4% (13.30 น.) pre market ที่ตลาด Nasdaq
• ASML รายงานผลประกอบการ 3Q25 ด้วยรายได้ €7.52 bn (คาด €7.71 bn) โดยมี Gross margin 51.6% (คาด 51.38%) และ EPS ที่ 5.40 (คาด 5.36) โดยสัดส่วนยอดขายหลักมาจากจีนที่ 42% แต่บริษัทคาดว่ายอดขายจากจีนจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2026 ด้านยอดจองใหม่ (Bookings) €5.4 bn (คาด €5.36 bn) โดยเฉพาะระบบ EUV ที่ที่มยอดจอง €3.6 bn หรือ 67% ของยอดจอง
• จุดเด่นในไตรมาสนี้คือการเร่งผลักดันเทคโนโลยีใหม่ทั้ง EUV และ High NA EUV ซึ่งลูกค้าไลน์ advanced DRAM และ Logic เริ่มทยอยใช้งานจริงแล้ว ASML ยังส่งมอบระบบ XT:260 รุ่นแรกที่ใช้ในงาน Advanced Packaging ที่เพิ่มประสิทธิภาพให้กับกระบวนการผลิตได้ถึง 4 เท่า ขณะเดียวกัน บริษัทยังเดินหน้าฝัง AI เข้าไปในซอฟต์แวร์และเครื่องจักรร่วมกับพันธมิตรอย่าง Mistral AI เพื่อเสริมประสิทธิภาพและลดต้นทุนของลูกค้าในระดับ ecosystem
• โทนผู้บริหารมีความมั่นใจมากขึ้น จากใน 2Q25 ที่ไม่กล้ายืนยันการเติบโตในปี 2026 แต่ใน 3Q25 นี้คาดว่ารายได้ในปี 2026 จะไม่ต่ำกว่า 2025 และคาดว่าใน 4Q25 จะเติบโตแข็งแกร่งเป็นพิเศษ โดยให้เป้าหมายรายได้ที่ €9.4 bn (คาด €9.23 bn) ขณะที่ทั้งปี 2025 คาดว่ารายได้จะโตประมาณ 15% ซึ่งเท่ากับประมาณการเดิม
NASDAQ:ASML
𝐊𝐒 𝐖𝐞𝐚𝐥𝐭𝐡 𝐒𝐭𝐫𝐚𝐭𝐞𝐠𝐲
ผลประกอบการ
𝐊𝐒_𝐓𝐒𝐌𝐂 𝐑𝐞𝐯𝐞𝐧𝐮𝐞 𝐑𝐞𝐩𝐨𝐫𝐭 𝐀𝐮𝐠𝐮𝐬𝐭 𝟐𝟎𝟐𝟓• TSMC รายงานรายได้เดือน ส.ค. ที่ 335.77 พันล้านไต้หวันดอลลาร์ เติบโต 34% YoY และ 4% MoM โดยรายได้ใน 2 เดือนของ 3Q25 บริษัทสามารถทำได้แล้วราว 69% ของ Guidance ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นราว 2% Pre market ที่ตลาดหุ้นนิวยอร์ก
• นับเป็นสัญญาณที่ดีต่อเนื่อง สำหรับหุ้นในกลุ่ม AI-related ต่อจากงบของ
1) Broadcom ที่ผู้บริหารมองปีหน้ารายได้จาก AI จะเติบโตมากกว่าที่เคยคาดไว้ที่ 60%
2) Oracle ที่ผู้บริหารมีมุมมอง Bullish มากขึ้น จากความต้องการใช้ Cloud โดยเฉพาะ AI Inferencing
3) Foxcon รายงานว่าเดือนสิงหาคมมีรายได้จาก AI server เติบโต 300% MoM
NYSE:TSM
𝐊𝐒 𝐖𝐞𝐚𝐥𝐭𝐡 𝐒𝐭𝐫𝐚𝐭𝐞𝐠𝐲
𝐊𝐒_𝐁𝐫𝐨𝐚𝐝𝐜𝐨𝐦_𝐄𝐚𝐫𝐧𝐢𝐧𝐠𝐬 𝐑𝐞𝐬𝐮𝐥𝐭 𝟑𝐐𝐅𝐘𝟐6Broadcom อัพเป้า AI ปีหน้า หนุนโดยลูกค้า XPU รายใหม่ ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นราว 5% after hours
• Broadcom รายงานผลประกอบการ 3Q’FY25 แข็งแกร่ง รายได้รวม $15.95 bn (สูงกว่าคาด $15.84 bn) เพิ่มขึ้น 22% YoY ขณะที่ EPS อยู่ที่ 1.69 (สูงกว่าคาด 1.67) โต 36% YoY หนุนโดยธุรกิจ AI semiconductor ที่รายได้แตะ $5.2 bn (โต 63% YoY) โดย XPU คิดเป็น 65% ของรายได้ AI และมีการเพิ่มลูกค้ารายที่ 4 ที่มี AI Rack Orders ใหม่ $10 bn (WSJ คาดว่าเป็น OpenAI) ส่งผลให้มี Backlog รวมสูงถึง $110 bn ขณะที่รายได้กลุ่มซอฟต์แวร์/VMware เติบโต 17% YoY และยังรักษา Gross Margin สูงกว่า 93%
• ปัจจัยสนับสนุนสำคัญคือคำสั่งซื้อ AI rack ขนาดใหญ่จากลูกค้า XPU รายใหม่ รวมถึงการเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่อย่าง Tomahawk 6 (102 Tbps Switch) และ Jericho 4 (Ethernet Router) รองรับการขยายตัวของ AI data center ecosystem อย่างไรก็ตาม ธุรกิจ non-AI semiconductor ยังไม่ฟื้นตัวแบบ V-Shape โดยไตรมาสนี้ยังลดลง ขณะที่ไตรมาสต่อไปคาดว่าจะเพิ่มเพียง low-single digit เท่านั้น มีเพียง Broadband ที่ฟื้นตัวแรง ส่วน Networking, Storage, Wireless ยังชะลอ ด้าน Gross margin รวมถูกกดดันจาก product mix ที่ XPU/Wireless margin ต่ำกว่า software แม้บริษัทจะควบคุมต้นทุนและเพิ่ม efficiency ได้ดี
• สำหรับแนวโน้ม 4Q’FY25 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวม $17.4 bn (สูงกว่าตลาดคาด $17.05 bn) โดย AI semiconductor จะขยายตัวต่อเนื่อง คาดแตะ $6.2 bn (+66% YoY) และ non-AI semiconductor จะยังคงฟื้นตัวช้า ขณะที่ซอฟต์แวร์ยังเติบโตต่อเนื่อง EBITDA margin คาด 67% เช่นเดิม CEO Hock Tan ประกาศต่อสัญญานั่ง CEO ถึงปี 2030 พร้อมเน้นย้ำว่าแนวโน้มรายได้ AI ใน FY26 จะ “เร่งตัว” (accelerate) มากกว่าปีนี้ ไม่ใช่แค่ maintain growth rate เดิมที่ 50-60% เหมือนไตรมาสก่อน สะท้อนมุมมอง Bullish ต่อ XPU และความมั่นใจในกลยุทธ์ AI/VMware เป็น growth engine หลักระยะยาว
💡 𝐈𝐦𝐩𝐥𝐢𝐜𝐚𝐭𝐢𝐨𝐧
• เราคงคำแนะนำซื้อ 𝐊𝐊𝐏 𝐓𝐄𝐂𝐇-𝐔𝐇 สำหรับการลงทุนเป็น 𝐒𝐚𝐭𝐞𝐥𝐥𝐢𝐭𝐞 𝐏𝐨𝐫𝐭𝐟𝐨𝐥𝐢𝐨 ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า จากผลประกอบการของ Broadcom ที่กองทุนถือครองเป็นดับที่ 6 (ราว 5%) มีผลประกอบการที่ดีกว่าคาดมาก หนุนโดยลูกค้า Hyperscaler ที่เร่งลงทุนใน XPU (ชิปที่แต่ละคนออกแบบเอง และนำไปใช้ในงานเฉพาะตัวในด้าน AI) ยิ่งไปกว่านั้น CEO ยังให้ Guidance รายได้จาก AI โต 66% สูงกว่าคาด และมองว่าปีงบประมาณ 2026 (เริ่ม 4Q25 ตามรอบปกติ) รายได้จะเติบโตแบบเร่งตัวขึ้นอีก ไม่ใช่ Growth ที่ 50-60% อย่างที่เคยประเมินไว้ในไตรมาสที่แล้ว ซึ่งมาจาก Order ของลูกค้ารายใหม่อย่าง OpenAI ทั้งนี้ตลาดยังได้ความมั่นใจมากขึ้นจากการที่ CEO ต่อสัญญากับบริษัทจนถึงปี 2030
NASDAQ:AVGO
💡คงคำแนะนำซื้อ 𝐊𝐊𝐏 𝐓𝐄𝐂𝐇-𝐔𝐇 สำหรับการลงทุนเป็น 𝐒𝐚𝐭𝐞𝐥𝐥𝐢𝐭𝐞 𝐏𝐨𝐫𝐭𝐟𝐨𝐥𝐢𝐨 ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า
𝐊𝐒 𝐖𝐞𝐚𝐥𝐭𝐡 𝐒𝐭𝐫𝐚𝐭𝐞𝐠𝐲
𝐊𝐒_𝐀𝐥𝐢𝐛𝐚𝐛𝐚_𝐄𝐚𝐫𝐧𝐢𝐧𝐠𝐬 𝐑𝐞𝐬𝐮𝐥𝐭 𝟏𝐐'𝐅𝐘𝟐𝟔💡ปรับมุมมองหุ้นจีนจาก Slightly Overweight ลงมาเป็น Neutral และแนะนำขายทำกำไร (Take profit)
Alibaba ร่วมสงครามส่งด่วน แต่คราวด์โตแรง อัด CAPEX โต 220%
ราคาหุ้น BABA ปรับตัวขึ้นราว 10% (21.10 น.) ที่ตลาดนิวยอร์ก
• Alibaba รายงานผลประกอบการ 1Q’FY26 ที่ผสมผสานโดยรายได้รวมอยู่ที่ 247.65 พันล้านหยวน (คาด 253.17) เพิ่มขึ้น 2% YoY โดยในไตรมาสนี้บริษัทได้ทำการ Re-segment โดยนำ Local Services ซึ่งรวมถึงธุรกิจ Food delivery อย่าง Eleme ที่มีการแข่งขันเดือดกับ Meituan และ JD เข้ามาไว้ในกลุ่ม China E-Commerce ที่ภาพรวมเติบโต 10% YoY, Quick Commerce โต 12% โดย MAU เดือนสิงหาคมแตะ 300 ล้านคน (+200% ตั้งแต่เมษายน) ดัน GMV, DAU และปริมาณออเดอร์รวมทำสถิติสูงสุดใหม่ จากผลของกลยุทธ์ดึงดูดผู้ใช้ใหม่และความสำเร็จของ 6.18 Shopping Festival แต่จากการลงทุนหนักใน Quick Commerce และต้นทุน user acquisition ส่งผลให้กำไรของกลุ่ม E-Commerce ลดลง 21% YoY และกำไรต่อหุ้นลดลง 10% YoY ต่ำกว่าคาด ขณะที่ธุรกิจ International Commerce อย่าง AliExpress และ Lazada ยังเติบโตแต่รายได้ต่ำกว่าคาด แม้จะลดการขาดทุนจนเกือบ breakeven จากการปรับปรุง unit economics และลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
• Bright spot ในไตรมาสนี้คือธุรกิจ Cloud ที่มีรายได้ 33.40 พันล้านหยวน (คาด 31.84 พันล้านหยวน) เติบโตสูงถึง 26% YoY ซึ่งเป็นอัตราเร่งที่สูงกว่าไตรมาสก่อน สะท้อน demand จากลูกค้าธุรกิจและการขยายตัวของตลาด AI ที่แข็งแกร่งโดยรายได้จากผลิตภัณฑ์ AI ยังคงเติบโตสามหลักต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 8 ติดต่อกัน นอกจากนี้ Alibaba Cloud ได้ต่อยอดสู่การเป็นพันธมิตรระดับโลกกับ SAP รองรับการขยายตัวในตลาดองค์กร และมีการพัฒนา AI foundation model ใหม่ ๆ ทั้งแบบเปิด (open-source) และเชิงพาณิชย์ กำไรของ Cloud อยู่ที่ 2.95 พันล้านหยวน (คาด 2.57 พันล้านหยวน) ด้วย EBITA margin 8.8% ซึ่งบริษัทเน้นย้ำว่าเน้นการ scale, การขยายฐาน user, use case และ ecosystem เป็นเป้าหมายหลัก มากกว่าการเน้นผลตอบแทนระยะสั้น
• ผู้บริหารเน้นชัดถึง “window of opportunity” ที่บริษัทพร้อม burn เงินลงทุนหนักเพื่อ scale สองเสาหลัก Consumption (E-Commerce/Quick Commerce) และ AI+Cloud ควบคู่กัน โดยประกาศลงทุนรวม 380 พันล้านหยวนใน 3 ปี และลงทุนจริงในไตรมาสนี้ 38.6 พันล้านหยวน (+220% YoY) ส่งผลให้ Free cash flow ไตรมาสนี้ติดลบ 18.82 พันล้านหยวน (-208% YoY) แม้กำไรระยะสั้นจะถูกกดดันจากต้นทุน acquisition, marketing, และ infra แต่ผู้บริหารมั่นใจว่าการเร่งขยายฐานลูกค้า, เทคโนโลยี, และ ecosystem ในตอนนี้จะเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต โดยเฉพาะ Cloud กับ Quick Commerce ที่จะเป็นแกนหลักผลักดันการเติบโตต่อไป
💡 𝐈𝐦𝐩𝐥𝐢𝐜𝐚𝐭𝐢𝐨𝐧
• เรามีมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการของ Alibaba ที่แม้จะเข้าร่วมสงครามราคาในธุรกิจ E-Commerce และ Food delivery กับ Meituan และ JD แต่ด้วยความที่ Alibaba ไม่ใช่ Pure play จากการที่มีธุรกิจ Cloud ที่ไตรมาสนี้ทั้งรายได้ และกำไรมากกว่าที่ตลาดคาดค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตาม Cloud margin ในไตรมาสถัดๆ ไป จากการที่ Alibaba อัดงบ CAPEX หนักจน Free cash flow ติดลบแรง อีกทั้งผู้บริหารยังเน้นว่าตอนนี้ยังต้องการ scale มากกว่าผลกำไร
• แม้ผลประกอบการของ Alibaba ที่กองทุน 𝐊𝐓-𝐂𝐇𝐈𝐍𝐀-𝐀 ถืออยู่ราว 7% ของพอร์ตจะออกมาค่อนข้างดี แต่ด้วยผลประกอบการโดยภาพรวมของหุ้นเทคฯ จีนในไตรมาสนี้ค่อนข้างอ่อนแอ เมื่อเทียบกับระดับ Valuation ที่ขึ้นมาแถว +1SD แล้ว เทียบกับคุณภาพของกำไร เรามองว่าหุ้นจีนมี Upside ที่จำกัด เราจึงปรับมุมมองหุ้นจีนจาก Slightly Overweight ลงมาเป็น Neutral และแนะนำขายทำกำไร (Take profit)
HKEX:9988 NYSE:BABA
𝐊𝐒 𝐖𝐞𝐚𝐥𝐭𝐡 𝐒𝐭𝐫𝐚𝐭𝐞𝐠𝐲
𝐊𝐒_CRWD_𝐄𝐚𝐫𝐧𝐢𝐧𝐠𝐬 𝐑𝐞𝐬𝐮𝐥𝐭 𝟐𝐐'𝐅𝐘𝟐𝟔CrowdStrike เติบโตแข็งแกร่ง แต่ตลาดกังวลหลังรายได้ Q3 ต่ำคาด ราคาหุ้นปรับตัวลงราว 4% (9.30 น.) After hours
• CrowdStrike รายงานผลประกอบการ 2Q’FY26 ที่แข็งแกร่งกว่าคาด ทำสถิติสูงสุดใหม่ในหลายด้าน โดยรายได้รวมอยู่ที่ 1,169 ล้านดอลลาร์ (+21% YoY) และ Net new ARR หรือยอดขายสัญญาใหม่เพิ่มอีก 221 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน รวมถึงกระแสเงินสด (Free cash flow) 284 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 24% ของรายได้ จุดเด่นในกลุ่มผลิตภัณฑ์คือ Cloud Security (การปกป้องระบบคลาวด์), Next-gen Identity (โซลูชันจัดการและป้องกันตัวตนผู้ใช้), และ SIEM (ระบบวิเคราะห์และเฝ้าระวังเหตุการณ์ความปลอดภัยแบบเรียลไทม์) ทั้งหมดนี้มีรายได้รวมกว่า 1,560 ล้านดอลลาร์ โตถึง 40% เมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ Charlotte AI Agent ซึ่งเป็นระบบผู้ช่วยด้านความปลอดภัยแบบอัตโนมัติด้วย AI ก็เติบโตต่อเนื่องถึง 85% QoQ
• ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันความสำเร็จ คือความต้องการด้าน AI Security ที่เพิ่มขึ้น และรูปแบบการขาย Falcon Flex ที่ให้ลูกค้าเลือกใช้งานโมดูล (Modules) ได้ยืดหยุ่น เช่น EDR, Cloud, Identity, SIEM, IT Hygiene ฯลฯ โดยลูกค้าสามารถขยายบริการได้ตามต้องการ ปัจจุบันลูกค้า 60% ที่มียอดใช้งานเกิน 100,000 ดอลลาร์ต่อปี ได้ใช้งานมากกว่า 8 โมดูลแล้ว ขณะที่โดยรวม มีลูกค้าใช้งานครบ 6, 7, 8 โมดูลคิดเป็นสัดส่วน 48%, 33% และ 23% ของฐานลูกค้าทั้งหมด (Modules หมายถึงชุดฟีเจอร์หลัก ๆ ที่ลูกค้าเลือกติดตั้งเสริมตามความต้องการ เช่น การตรวจจับภัยคุกคาม, การจัดการตัวตน, การเฝ้าระวัง, และการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์)
• อย่างไรก็ตาม Guidance รายได้ Q3 ที่ 1,208–1,218 ล้านดอลลาร์ (+20–21% YoY) และรายได้ทั้งปี FY26 ที่ 4,750–4,810 ล้านดอลลาร์ (+20–22% YoY) ยังออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ตลาดมีความกังวล แม้ผู้บริหารยังคงมั่นใจในเป้าหมายการเติบโตของ Net new ARR ครึ่งปีหลัง (อย่างน้อย 40% YoY), Ending ARR โตเกิน 22% YoY และ Free cash flow margin จะขยายเป็น 27% ใน Q4 และมากกว่า 30% ในปีหน้า โดยโทนของผู้บริหารยังคงเน้นกลยุทธ์การผลักดันลูกค้าให้ใช้งานโมดูลต่อรายเพิ่มขึ้น และการพัฒนาโซลูชัน AI ให้เป็นศูนย์กลางของแพลตฟอร์ม เทียบกับไตรมาสก่อนที่ยังเน้นการฟื้นตัว รอบนี้บริษัทแสดงความมั่นใจมากขึ้น
NASDAQ:CRWD
𝐊𝐒 𝐖𝐞𝐚𝐥𝐭𝐡 𝐒𝐭𝐫𝐚𝐭𝐞𝐠𝐲
𝐊𝐒_𝐓𝐫𝐢𝐩 .𝐜𝐨𝐦_𝐄𝐚𝐫𝐧𝐢𝐧𝐠𝐬 𝐑𝐞𝐬𝐮𝐥𝐭 𝟐𝐐𝟐𝟓Trip นทท. Inbound พุ่ง 100% Outbound ทะลุ 120% pre-covid ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นราว 9% (9.30 น.) After hours ที่ตลาด Nasdaq
• Trip รายงานผลประกอบการ 2Q25 ที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยมีรายได้ 14.8 พันล้านหยวน (สูงกว่าคาด 14.65 พันล้านหยวน) +16% YoY สะท้อนความต้องการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่องในทุกกลุ่ม โดยเฉพาะธุรกิจ Online Travel Agency ต่างประเทศที่เติบโตโดดเด่น การจองบนแพลตฟอร์มนอกจีนเพิ่มขึ้นมากกว่า 60% YoY, การจองนักท่องเที่ยวต่างชาติ (Inbound) เพิ่มขึ้นกว่า 100% YoY ขณะที่การจองโรงแรมและตั๋วเครื่องบินขาออกจากจีนสูงกว่าระดับก่อนโควิด 120% และกลุ่ม APAC ยังคงเป็นหัวใจหลักของการเติบโต รายได้ธุรกิจโรงแรมโต 21% หนุนโดยความต้องการในประเทศและต่างประเทศที่แข็งแกร่ง, ตั๋วเดินทาง โต 11% ตาม capacity สายการบินที่ฟื้นตัว, ธุรกิจทัวร์โต 5% แม้จะเติบโตช้ากว่า segment อื่น แต่ได้แรงหนุนจากการขยายทัวร์ต่างประเทศ และธุรกิจลูกค้าองค์กรโต 9% ตามเทรนด์การเดินทางเชิงธุรกิจที่กลับมา
• ปัจจัยสนับสนุนสำคัญคือการขยายตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ ทั้งกลุ่มสูงวัย (Old Friends Club) ที่ GMV โตเกิน 100% และกลุ่มวัยรุ่น/บันเทิงที่รายได้จากกิจกรรมคอนเสิร์ตและกีฬาโตเกิน 100% เช่นกัน โดย Trip มุ่งเน้นการยกระดับนวัตกรรมด้วย AI Trip Planner ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้แบบ personalized และเครื่องมือสนับสนุนโรงแรม (IntelliTrip) ที่ช่วยแปลภาษา 26 ภาษาและสร้าง content อัตโนมัติ ทำให้บริการของบริษัทครบวงจรและสร้างคุณค่าเพิ่มทั้งฝั่งลูกค้าและพาร์ทเนอร์
• อย่างไรก็ตาม บริษัทเผชิญแรงกดดันจากต้นทุนและค่าใช้จ่ายบุคลากร/การตลาดที่เพิ่มขึ้น (ต้นทุนรายได้ +22% YoY, Sales & Marketing +17% YoY) และการแข่งขันในตลาด OTA ที่เข้มข้นขึ้น (เช่น JD และผู้เล่นใหม่ในเอเชีย) ทำให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 5.01 พันล้านหยวน แม้จะมากกว่าคาดที่ 4.35 พันล้านหยวด แต่ Flat YoY สะท้อนแรงกดดันต่อกำไรจากต้นทุน-การแข่งขัน แม้ผู้บริหารจะเน้นคุณภาพมากกว่าการแข่งขันด้านราคา แต่ต้องจับตาผลกระทบต่อ margin และ ROI ของแคมเปญการตลาด สำหรับแนวโน้มข้างหน้า Trip มองบวกต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวโลก โดยเฉพาะการขยายฐานนักท่องเที่ยวขาเข้าจีนที่ยังมีโอกาสเติบโตมาก (contribution ต่อ GDP ของจีนยังต่ำกว่าประเทศพัฒนา) โดยจะเน้นลงทุนในนวัตกรรม AI และบริการครบวงจร พร้อมรักษาวินัยด้านต้นทุน เพื่อเสริมความสามารถในการเติบโตในระยะยาว
𝐊𝐒 𝐖𝐞𝐚𝐥𝐭𝐡 𝐒𝐭𝐫𝐚𝐭𝐞𝐠𝐲
NASDAQ:TCOM
𝐊𝐒_𝐍𝐯𝐢𝐝𝐢𝐚_𝐄𝐚𝐫𝐧𝐢𝐧𝐠𝐬 𝐑𝐞𝐬𝐮𝐥𝐭 𝟐𝐐'𝐅𝐘𝟐𝟔💡 𝐁𝐮𝐲 𝐨𝐧 𝐝𝐢𝐩 คงคำแนะนำซื้อ 𝐊𝐊𝐏 𝐓𝐄𝐂𝐇-𝐔𝐇 สำหรับการลงทุนเป็น 𝐒𝐚𝐭𝐞𝐥𝐥𝐢𝐭𝐞 𝐏𝐨𝐫𝐭𝐟𝐨𝐥𝐢𝐨 ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า
Nvidia รายได้ Data Center ต่ำคาด แต่อาจ Ramp ขึ้นใน Q3 ราคาหุ้นปรับตัวลงราว 3% After hours
• Nvidia รายงานผลประกอบการ 2Q’FY26 ที่ยังเติบโตโดดเด่น แม้เผชิญแรงกดดันจากข้อจำกัดการส่งออกชิปไปจีน รายได้รวมอยู่ที่ $46.74 bn (สูงกว่าคาด $46.23 bn) และกำไรต่อหุ้น $1.05 (คาด $1.01) แต่รายได้จาก Data Center อยู่ที่ $41.1 bn (ต่ำกว่าคาด $41.29 bn) เพราะกลุ่ม Compute ได้รับผลกระทบจากตลาดจีน ($33.84 bn ต่ำกว่าคาด $34.19 bn) ขณะที่กลุ่ม Networking กลับทำได้ดีมาก $7.25 bn (มากกว่าคาด $5.07 bn) เติบโต 98% YoY จากความต้องการโซลูชัน rack-scale ที่ต้องใช้ Networking เชื่อมต่อระหว่าง Rack/datacenter ในกลุ่ม hyperscaler รายใหญ่ เช่น AWS, Google Cloud, Microsoft Azure และ CoreWeave
• แรงขับเคลื่อนหลักในไตรมาสนี้มาจากการเร่งลงทุน Reasoning/Agentic AI ของลูกค้ากลุ่ม Cloud และ Enterprise ที่ต้องการประมวลผล LLM ขนาดใหญ่ ส่งผลให้รายได้จาก Blackwell เติบโต 17% QoQ โดยเฉพาะ Blackwell Ultra (GB300) ซึ่งขณะนี้ ramp-up การผลิตเต็มกำลัง, ส่งมอบให้ CSP ระดับโลกแล้วสัปดาห์ละ 1,000 racks และเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาสนี้ โดยยอดจองเต็ม capacity และจะเร่งส่งมอบมากขึ้นอีกใน Q3 นำโดย CoreWeave ที่เป็น early adopter ทั้งนี้ OPEX และ Inventory เพิ่มขึ้นเพื่อตอบรับการ ramp-up Blackwell Ultra รองรับดีมานด์ที่ยังล้นตลาด ขณะเดียวกัน Gaming โต 49.7% YoY และ Automotive/Robotics โต 69% YoY จากกระแส AI PC และเทรนด์รถยนต์อัตโนมัติ
• สำหรับแนวโน้มข้างหน้า Nvidia ให้ Guidance Q3 เป็นบวก คาดรายได้ $54 bn (±2%) สูงกว่าคาด $53.46 bn และ Gross Margin ฟื้นตัวที่ 72.7% จาก 71.3% ไตรมาสก่อนหน้า โดยมีเป้าหมายแตะระดับกลาง 70% ในช่วงปลายปี นอกจากนี้ การเร่งลงทุน AI Infrastructure ของ hyperscaler รายใหญ่ดัน CAPEX อุตสาหกรรมแตะ $600 bn/ปี และคาดว่าจะเพิ่มเป็น $3-4 tn ใน 5 ปีข้างหน้า สำหรับรายได้ใน Q3 อาจมี Upside ขึ้นอีกหากข้อจำกัดการส่งออกไปจีนคลี่คลาย ซึ่งอาจเพิ่มรายได้ $2-5 bn พร้อมกันนี้ Nvidia ยังเดินหน้าเตรียมผลิต Rubin platform รุ่นใหม่ในปีหน้า เพื่อรองรับคลื่นความต้องการ AI ที่ยังขยายตัวต่อเนื่องทั่วโลก
💡 𝐈𝐦𝐩𝐥𝐢𝐜𝐚𝐭𝐢𝐨𝐧
• เรามองผลประกอบการของ Nvidia ออกมาค่อนข้างดี แม้รายได้ Data Center จะต่ำกว่าคาดเล็กน้อย แต่หากดูรายละเอียดจะเห็นว่าถูกฉุดจากฝั่ง Compute (ชิปประมวลผล) ซึ่งได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดในจีน ขณะที่รายได้จาก Networking (อุปกรณ์เชื่อมต่อภายใน Rack/Data Center) กลับทำได้ดีกว่าคาดและเติบโตเกือบ 100% สะท้อนว่าดีมานด์ฝั่งการขายเป็น Rack ให้กับ Hyperscaler รายใหญ่ยังขยายตัวแรง แม้การขายชิปเดี่ยวไปจีนจะเจออุปสรรคก็ตาม
• นอกจากนี้ Nvidia ยังให้ Guidance รายได้ใน 3Q'FY26 ที่สูงกว่าตลาดคาด (ไม่นับรวม H20 ในจีน) และเติบโตจากไตรมาสก่อนอย่างมีนัยสำคัญ บ่งชี้การ Ramp up ที่จะเกิดขึ้นในไตรมาสถัดไป ขณะเดียวกัน Gross margin ก็ฟื้นตัวชัดเจน และมีเป้าหมายกลับสู่ 75% ในช่วงปลายปี ซึ่งสะท้อนว่าการเปลี่ยนผ่านจาก Hopper สู่ Blackwell เสร็จสมบูรณ์แล้ว ขณะที่การอัปเกรดจาก Blackwell ไป Blackwell Ultra จะ Seamless ยิ่งขึ้น เนื่องจากใช้สถาปัตยกรรมเดียวกัน นำไปสู่การเพิ่มศักยภาพกำไรและโอกาสการเติบโตต่อเนื่องในระยะถัดไป
• จากราคาหุ้นที่อาจปรับตัวลงในระยะสั้น แต่รันเวย์ระยะกลาง-ยาว ค่อนข้างชัดเจนว่าดี เราคงคำแนะนำซื้อ 𝐊𝐊𝐏 𝐓𝐄𝐂𝐇-𝐔𝐇 สำหรับการลงทุนเป็น 𝐒𝐚𝐭𝐞𝐥𝐥𝐢𝐭𝐞 𝐏𝐨𝐫𝐭𝐟𝐨𝐥𝐢𝐨 ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า
𝐊𝐒 𝐖𝐞𝐚𝐥𝐭𝐡 𝐒𝐭𝐫𝐚𝐭𝐞𝐠𝐲
RELX บริษัทดี Business Model งาม แต่ก็แพงแบบอิหยังหน่อยๆRELX: ผู้ให้บริการข้อมูลและการวิเคราะห์ชั้นนำระดับโลก
RELX เป็นบริษัทมหาชนสัญชาติอังกฤษ ผู้ให้บริการข้อมูลและการวิเคราะห์ชั้นนำระดับโลก ที่มีบทบาทสำคัญในการให้บริการข้อมูลและการวิเคราะห์ (information and analytics) แก่ลูกค้าธุรกิจและมืออาชีพทั่วโลก รวมถึงด้านการศึกษาและวิจัยทางวิชาการ
โดย RELX เอง ดำเนินการผ่านธุรกิจผ่าน 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ดังต่อไปนี้
1. งานวิจัย Scientific, Technical & Medical - STM คิดเป็น 33.4% ของรายได้
- ดำเนินการภายใต้แบรนด์ Elsevier
- เป็นผู้ตีพิมพ์บทความวิชาการชั้นนำของโลก (600,000 บทความในปี 2021)
- ให้บริการฐานข้อมูลวิชาการผ่านแพลตฟอร์มอย่าง ScienceDirect (18 ล้านเอกสาร) และ Scopus
2. การบริหารความเสี่ยง (Risk) คิดเป็น 34.2% ของรายได้
- ให้บริการเครื่องมือช่วยตัดสินใจด้านความเสี่ยงสำหรับธนาคารและบริษัทประกันภัย
- ช่วยตรวจจับการฟอกเงิน และการฉ้อโกง
- 84% ของบริษัทใน Fortune 500 เป็นลูกค้าของ RELX และ 9 ใน 10 ธนาคารชั้นนำของโลกก็เป็นลูกค้าของ RELX เช่นกัน
3. การบริการด้านกฎหมาย (Legal) คิดเป็น 20.2% ของรายได้
- ดำเนินการภายใต้แบรนด์ LexisNexis
- ฐานข้อมูลทางกฎหมายและข่าวสารมีเอกสารมากกว่า 119 พันล้านฉบับ
- 85% ของรายได้มาจากการให้บริการแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งช่วยรีดใ้ห Operating Margin ของบริษัทดีมากเลยล่ะ
และ BU สุดท้าย
4. การจัดนิทรรศการ (Exhibitions) คิดเป็น 12.2% ของรายได้
- ดำเนินการภายใต้ชื่อ RX (เดิมคือ Reed Exhibitions)
- เป็นบริษัทจัดนิทรรศการที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดงานแสดงสินค้า 500 งานสำหรับผู้ออกบูธ 140,000 รายและผู้เข้าชม 7 ล้านคน
------------------------------------------------------------------------
ปี 2024 RELX มีรายได้อยู่ที่ £9.434 พันล้าน และมีกำไรสุทธิ £1.934 พันล้าน
หลักๆ แล้ว โครงสร้างรายได้ของธุรกิจเน้นไปที่การให้บริการแบบดิจิทัลและการสมัครสมาชิกทำให้บริษัทมีรายได้ที่มั่นคงและคาดการณ์ได้:
- 93% ของรายได้ทั้งหมดมาจากผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัล
- รายได้จากการสมัครสมาชิกแบบต่อเนื่องมีมูลค่า £6.4 พันล้านในปี 2023
- อัตราการต่ออายุสมาชิกมากกว่า 90% ในทุกส่วนธุรกิจ
-------------------------------------------------------------------------
RELX ให้บริการลูกค้ากว่า 180 ประเทศทั่วโลก โดยส่วนใหญ่เป็นองค์กรขนาดใหญ่และเสิร์ฟผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขาวิชาชีพ ครอบคลุมอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเลยล่ะคุณ โดยเบื้องต้นเรากล่าวไ้แล้วคร่าวๆ เกี่ยวกับลูกค้า จากข้อมูลเพิ่มเติม เราใส่มาเพิ่มดังนี้ฮะ
- สถาบันการศึกษาและการวิจัย
- บริษัทใน Fortune 500 (84%)
- ธนาคารชั้นนำของโลก (9 ใน 10 แห่ง)
- บริษัทประกันภัยชั้นนำ (21 ใน 25 แห่ง)
- สำนักงานกฎหมาย
- หน่วยงานภาครัฐ
------------------------------------------------------------------------------
Competitive Advantage & Moat
gvk]jt มาอยู่ในหัวข้อที่ทุกคนน่าจะให้ความสนใจกัน RELX มี moat ที่แข็งแกร่งหลักๆ 2 เรื่อง ซึ่งเราว่าเรื่องนี้มันช่วยให้บริษัทรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน 2 หัวข้อที่ว่าคืออันนี้:
1. High Switching Costs ต้นทุนการเปลี่ยนแปลงสูง
- ส่วนหนึ่งมาจากแบรนด์ และการที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งต้องการนำเสนอ Research ดีๆ ให้กับเล่ม Research ของทาง Science Direct หรือแม้แต่การใช้ SCopus เพื่อตรวจจับการโกง
- สิ่งนี้เลยทำให้บรรดาอาจารย์ และลูกค้าที่ใช้บริการของ RELX มีต้นทุนในการเปลี่ยนไปใช้บริการของคู่แข่งสูง หากคู่แข่งไม่มีของแบบนี้มาสู้ได้ และว่ากันตามตรงเราว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องของความภาคภูมิของมหาลัยด้วยล่ะ ที่อยากจะตีพิมพ์ Research ดีๆ กับเจ้าดังๆ ซึ่ง RELX สั่งสมประสบการณ์มามากเลย
- ซึ่งเรื่องที่เรากล่าวไป มันเลยสะท้อนมาที่อัตราการต่ออายุสมาชิกที่สูงถึง 90% แสดงให้เห็นถึงการล็อคลูกค้าได้ดีเลย
2. ความประหยัดจากขนาด (Economies of Scale)
- ด้วยความที่เขาเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม นั่นเลยทำให้บริษัทมีมีเครือข่ายลูกค้าขนาดใหญ่ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับแพลตฟอร์ม
- และด้วยเรื่องต้นทุนต่างๆ ที่พอบริษัทหันมาอยู่ในโลกดิจิตัลแล้ว มันเลยไม่ได้มีมากขนาดนั้น ยิ่งสเกลได้ง่าย
และจุดขายอื่นๆ ที่นอกจาก Moat ก็มีเรื่องของ
ฐานข้อมูลกรรมสิทธิ์เฉพาะ (Proprietary Database)
- ที่บริษัทครอบครองฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่รวบรวมมาเป็นเวลานาน เช่น ScienceDirect ที่มีเอกสารกว่า 18 ล้านชิ้น และ LexisNexis ที่มีเอกสารกว่า 119 พันล้านฉบับ
- ซึ่งข้อมูลพวกนี้อาจจะยากหน่อยต่อการลอกเลียนแบบหรือสร้างใหม่ ทำให้คู่แข่งเข้ามาแข่งขันได้ยาก
และอีกเรื่องที่น่าจะพูดถึง คือ
ความต้านทานต่อวัฎจักรเศรษฐกิจ (Anti-cyclical)
- บริการวิเคราะห์ข้อมูลของ RELX มีความจำเป็นไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจจะเป็นยังไง เพราะว่าโลกมันถูกขัยเคลื่อนด้วยการ R&D ล้วนๆ และ Trust เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ
- นอกจาดนี้ ลูกค้ายังคงต้องใช้ข้อมูลและเครื่องมือวิเคราะห์แม้ในช่วงเศรษฐกิจถดถอยด้วย
------------------------------------------------------------------------------------------------------
จากทั้งหลายทั้งปวงนี้ มันสนับสนุนว่าบริษัทนี้มันดูน่าสนใจ น่าแข็งแกร่งมากเลย
และมันส่งให้ภาพสติรี่ของบริาัทดูมีอะไรให้เล่นอีกมากด้วย ผ่าน Usecase ของ AI ใหม่ๆ
แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยนะคุณ ว่าบริษัทนี้ รายได้โตแค่หลักเดียว และกำไรโตแค่หลัก 1x% แต่บริษัทกลับถูกเทรดอยู่ที่ P/E 5x เท่า ซึ่งว่ากันตามตรงแล้ว หุ้นกลุ่มนี้ อาจจะอยู่ในขอบข่ายของทาง Passive Fund ที่ต้องซื้อหุ้นในตระกร้าของ ETF ฝั่ง Euro Zone แน่ๆ อยู่แล้ว กับส่วนหนึ่งอาจจะเป็นนักลงทุนที่อาจจะเป็นสาย Mometum Play
น่าเสียดายหากท่านเป็นนักลงทุนสาย Growth Investor แล้ว การที่บริษัทเทรดที่ P/E ระดับนี้ รวมถึง Growth ที่ไม่ได้สูงขนาดนั้น คงเป็นเรื่องที่น่าลำบากใเหมือนกัน หากเราจะซื้อ ณ ระดับ P/E นี้ จนอดคิดไม่ได้ว่านี่เป็นการลงทุนที่ดีหรือเปล่า หรือว่าเราควร Say Bye แล้วไปหาตัวอื่นต่อไป
สำหรับเราแล้ว เราอาจจะมองว่าหุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่อาจจะแพงแบบไร้สาระไปหน่อย แต่ในความไร้สาระนั้น พื้นฐานของเขาก็นับว่าไม่เลว และสมควรที่จะถูกหยิบเป็นเคสของบริษัทที่มีความแข็งแกร่งในเรื่องของ Revenue Stream อย่างแท้จริง และ Business Model แบบนี้ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ เสียด้วย
และด้วยความแพงระดับนี้ เราให้เขาอยู่ในระดับ ของขลังของวงการการเงิน อย่าง ASML , NVDA , LIN , ISRG ที่แบบเก่งมากกก เก่งเกินจนแบบต้องเทรด P/E ระดับนี้
ไว้คราวหน้าเราจะหาตัวที่คล้ายๆ แบบนายให้เจอนะ
ขอจบการบ่นแต่เพียงเท่านี้
GREENบริษัท กรีน รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน)
..................
บริษัทและบริษัทย่อยดำเนินกิจการในประเทศไทยและดำเนินธุรกิจหลักในการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจพลังงานทางเลือก
..................
💥เส้น V-wap = อยู่ที่ 2.18💥
💥Book value = 0.94 💥
💥D/E = 0.33 💥
💥P/E = 92.13 💥
💥P/BV = 1.22 💥
💥EPS = 0.00💥
💥Free Float = 45.11% 💥(08/03/24)
💥NVDR ถือหุ้น = 0.31% 💥
💥ต่างชาติถือหุ้น = 22.28% 💥
....................
ข้อมูลวันที่ 01/10/24
การซ์้อ-ขาย ของ NVDR ( NET แล้ว)
💥 0 หุ้น💥
.....................
เงินปันผลครั้งล่าสุด
-
...................
📲💥ฝากกดติดตามผมด้วยนะครับ💥📲
📲💥อยากให้ทางผม ทำกร๊าฟหุ้นตัวไหน หรือ สินทรัพย์อะไร สามารถทิ้งไว้ที่ใต้โพส หรือ ทักส่วนตัวมาเลยก็ได้นะครับ
......................
Disclaimer คำเตือน
1.โพสต์นี้เป็นการแชร์มุมมองเพื่อการศึกษาและเรียนรู้พฤติกรรมการทำราคาของกราฟเทคนิคคอลเท่านั้น (For Educational purposes only) และ ผู้เขียนไม่ใช่ (Financial advisor nor a CPA)
2.ทางเราไม่ได้มีเจตนาชี้แนะหรือชี้ชวนการลงทุนแต่อย่างใด (I am sharing my opinion with no guarantee of investment gains or losses.)
3.ผู้ลงทุนควรศึกษาผลิตภัณฑ์การลงทุนก่อน และตัดสินใจการลงทุนเอง ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นผู้ลงทุนต้องยอมรับความเสี่ยงด้วยตนเอง (Investing of any kind involves risk. While it is possible to minimize risk, your investments are solely your responsibility. You must conduct your own research.)
[แกะหุ้นเด้ง pt.2] เล่า BizModel+งบ กับ Evolution หุ้น 100 เด้ง Evolution AB ตำนานหุ้น 100 เด้ง และเป็น หุ้น 10 เด้งใน 5 ปี
.
บริษัท Evolution AB เป็นบริษัทสัญชาติสวีเดนที่ประกอบธุรกิจเว็บพนันออนไลน์ที่มีอัตราการเติบโตในระดับที่น่าประทับใจ ผู้เพียบพร้อมทั้งเรื่องการเติบโตของรายได้ ผลกำไร และอัตราส่วนทางการเงิน ที่ไม่ว่าใครมาเห็นต้องอยากได้หุ้นตัวนี้มาประดับพอร์ตการลงทุนอย่างแน่แท้
.
โดยบริษัทเองนอกจากทำอัตรากำไรในระดับที่น่าพึงพอใจแล้ว บริษัทเองก็มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (CFO) และกระเงินสดอิสระ (FCF) เป็นบวกมาตลอดระยะเวลาหลายปี และมีเทรนด์ที่เป็นขาขึ้นตลอด จนกลายเป็นหุ้น 10 เด้งในระยะเวลา 5 ปี (และเป็นหุ้น 20 เด้ง เมื่อตอนที่ตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ ณ จุดสูงที่สุดตอนช่วงปี 2021)
.
และเราเองก็สามารถเป็นเจ้าของหุ้นนี้ได้ ผ่านการประยุกต์ใช้หลักการของคุณปีเตอร์ ลินซ์ ผ่านเพลย์บุคอย่างเล่ม One Up on Wall Street ด้วยการซื้อหุ้นที่มีค่า PEG ต่ำกว่า 1 ในการลงทุนได้ครับ
.
.
.
ทั้งหลายนี้แสดงให้เราเห็นอะไรบ้าง ก่อนอื่นผมขอพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับอัตราส่วน PEG ที่จะเป็นผู้ช่วยในการเลือกซื้อหุ้นนี้กันก่อนครับ
.
หุ้นมี PEG ต่ำกว่า 1 เท่า เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่แสดงให้เราเห็นว่า “หุ้นตัวนี้มีโอกาสขึ้น” จากการ “ปรับค่า PE ใหม่ของนายตลาดสู่ระดับที่ควรจะเป็น”
.
สมการของ PEG คือ PE / EPS Growth และสมการของ PE คือ Price / EPS
.
EPS ขึ้น หากราคาเท่าเดิม PE จะต่ำลงตามสมการ , เมื่อนายตลาดเห็น PE ที่ถูกลง นายตลาดก็อาจปรับ PE กลับไปสู่จุดเดิมได้
.
เช่น เมื่อก่อนหุ้นตัวหนึ่งถูกเทรดที่ ราคา 15 บาท ที่ PE 15 เท่า และมีกำไรต่อหุ้นที่ 1 บาท (สมการ Price = PE * EPS) ต่อมาหุ้นนี้มีกำไรเติบโต 30% หรือกำไรต่อหุ้นได้เปลี่ยนเป็น 1.3 บาทต่อหุ้น (EPS ใหม่ = EPS เดิม * อัตราการเติบโต , EPS ใหม่ = 1* = 1.3 บาทต่อหุ้น )
.
ทำให้ค่า PEG ของบริษัทเทรดอยู่ที่ 15/30 = 0.5 เท่า หากหุ้นนี้เทรดอยู่ที่ราคา 15 บาทเท่าเดิม ตอนนี้ PE ของบริษัทก็จะอยู่ที่ 11.53 เท่า
.
.
.
ดังนั้นแล้ว การที่บริษัทจะกลับไปเทรดเท่าเดิมที่ PE 15 เท่าเดิมได้นั้น ราคาหุ้นจะต้องไปอยู่ที่ 19.5 บาท คิดเป็น Upside ในสัดส่วนที่เทียบเท่ากับการเติบโตของกำไร 30%
.
แต่ทั้งนี้สิ่งที่เราต้องพิจารณา คือกำไรที่ได้มานี้ “เป็นกำไรจากการดำเนินงานที่เติบโตตามธรรมชาติบริษัท” หรือไม่ เราต้องพิจารณาผ่านการอ่านรายงานผลประกอบการรายไตรมาสด้วย
.
เพราะหากบริษัทได้กำไรมาจากกิจกรรมพิเศษ (เช่นการขายที่ดินออก การได้เงินประกัน) ความสามารถในการทำซ้ำอีกครั้งก็นับว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลย เช่น ถ้าบริษัทขายที่ดินแปลงนั้นไปแล้ว เราก็คงไม่สามารถเสกที่ดินแปลงเดิมมาขายใหม่ทุกๆ ปีได้ใช่ไหมครับ
.
ต่อมาเมื่อการทำซ้ำไม่มีแล้ว เมื่อปีหน้ามาถึงกำไรส่วนที่ได้จากกิจกรรมก่อนหน้าจะหายไป ตรงนี้จะทำให้นายตลาด “ตีมูลค่าบริษัทให้ต่ำลง” (จากการที่ EPS ลดลง) ในที่สุด
.
.
.
กลับมาที่บริษัท Evolution AB ราคาหุ้นของบริษัทเคยเทรดอยู่ในระดับที่ PEG ต่ำ 1 อยู่หลายช่วงเวลาเหมือนกันครับ โดยช่วงที่เห็นได้ชัดมากที่สุดคือตอนกลางปี 2017 จนถึงท้ายปี 2018 ต้นปี 2019 หากเราได้ซื้อหุ้นตัวนี้ในช่วงราคา 140 เหรียญ (Swedish Krona) ตอนเดือนกันยายน 2018 ซึ่งเป็นจุดซื้อที่จั่วยอดดอย ณ PEG Ratio 0.9x และทนถือเพื่อรอกำไรและราคาหุ้นบริษัทเบ่งบานตอนเดือนเมษายน 2021 ที่ราคา 1,6xx เหรียญ (Swedish Krona) คุณจะได้ผลตอบแทนกว่า 1,1xx% ทีเดียว
.
ในด้านธุรกิจ Evolution เองมีผลการดำเนินงานที่เป็นบวกและเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ ครับ ผ่านการเปิดแพลตฟอร์มไปในประเทศต่างๆ รวมถึงมียอดผู้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ผสานกับลักษณะบริษัทเป็น Asset Light Model ซึ่งมีต้นทุนการดำเนินงานที่คงที่ ใช้สินทรัพย์ไม่หนักมากทั้งด้านบุคลากรและอุปกรณ์ มีรายได้เข้ามาไม่จำกัดแต่ต้นทุนคงที่ ทำให้รายได้ของบริษัทลงมาสู่บรรทัดล่างที่เติบโตขึ้นทุกปี ด้วยปัจจัยนี้เองจึงช่วยผลักดันให้มูลค่าของบริษัทสามารถไปได้ไกลนั่นเองครับ
.
และอีกประเด็นที่เลี่ยงไม่ได้ คือ “เทรนด์ธุรกิจ” ผู้เป็นพระเอกที่ช่วยผลักดันให้บริษัทเติบโตเหนือกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ ในตลาดอีกด้วยโดย Evolution เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ซึ่งรูปแบบแพลตฟอร์มออนไลน์นี้ได้มา Disrupt ธุรกิจกาสิโนแบบมีพื้นที่ตั้ง โดยจากข้อมูลบริษัทได้ระบุว่าขนาดตลาดของกาสิโนแบบมีพื้นที่มีอัตราการหดตัวแบบทบต้น (CAGR) กว่า -8.2% ตลอดปี 2017-2021 ในขณะที่ตลาดเกมแบบออนไลน์ที่บริษัทกำลังประกอบการอยู่มีอัตราการเติบโตแบบทบต้น (CAGR) ที่ 31.1%
.
ปฏิเสธไม่ได้เลยครับ ว่าท่ามกลางความแตกต่างของ 2 เทรนด์บริษัทที่ขาหนึ่งกำลังถอยลง และขาหนึ่งกำลังพุ่งทะยาน นายตลาดจึงมอบรางวัลและความคาดหวังแก่ Evolution ให้เป็นหุ้นเด้งผู้เติบโตด้วยศักดิ์และศรีเพียบพร้อมด้วยตัวเลขการเงินอันเป็นผลประจักษ์และราคาอย่างแท้จริง
.
.
.
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมได้บอกเล่าทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้แม่นยำ 100% ว่าสิ่งที่เขียนจะเป็นเพลย์บุคที่ต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ในอนาคต สิ่งนี้อาจมีความแม่นยำเพียง 30-40% เพียงเท่านั้นครับเมื่อนำไปประยุกต์ผ่านการลงทุน
.
ทั้งนี้ขอให้พี่ๆ เพื่อนๆ พึงระลึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องตามปกติ เพราะว่าไม่มีวิธีการลงทุนใดที่ให้ผลลัพธ์ 100% ได้ และการที่เราจะทำเงินจากตลาดหุ้นได้ไม่ได้อยู่ที่การเลือกวิธีการที่แม่นยำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ประกอบไปด้วยองค์ประกอบอันหลายอย่างซึ่งก่อรูปและร่าง ผ่านบริบทและเวลาของบริษัทนั้นๆ ครับ
.
สิ่งที่เราเล่าทั้งหมด เป็นเพียงการชี้ให้เห็นภาพเท่านั้นว่าคุณสามารถนำความรู้จากหนังสือหุ้นไปทำเงินได้ครับ
[แกะหุ้นเด้ง pt.2] เล่า BizModel+งบ กับ Rightmove หุ้น 40 เด้ง สวัสดีครับพี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคน วันนี้ผมอยากจะพาทุกคนไปรู้จักกับหุ้นเด้งตัวหนึ่งที่สามารถหาได้ตามตำราแบบฉบับของคุณ Peter Lynch เจ้าของหนังสือ One Up on Wallstreet ที่เราสามารถ ค้นหา-ถือ-ทำกำไรจากหุ้นบริษัทได้ ผ่านการหาสินค้าและบริการรอบตัวที่มีแบรนด์เป็นที่นิยม เป็นที่รักต่อผู้คน
.
โดยในวันนี้ผมอยากจะพาทุกคนไปรู้จักกับบริษัทนายหน้าขายสำหรับขายบ้านบริษัทหนึ่ง ซึ่งมี Market Share ในอุตสาหกรรมนายหน้าขายบ้านสำหรับในเครือจักรภพอังกฤษมากกว่า 80% ตลอดกว่า 10 ปี ที่เข้าตลาดและยังคงเป็นเบอร์ 1 ในปัจจุบัน
.
บริษัทนั้นคือ “Rightmove” ครับ
.
.
.
สิ่งทำให้ที่บริษัทอยู่ในสนามแข่งขันนี้ได้ยาวนานนับตั้งแต่ช่วงดอทคอม ผ่านวิกฤติอสังหา จนถึงปัจจุบัน เกิดมาจากการที่การสร้างความแตกต่างจากการเป็น Agency อสังหาริมทรัพย์ทั่วไปที่ต้องอาศัยทีมเซลล์จำนวนมาก
เปลี่ยนมาเป็น Marketplace ให้ผู้ซื้อและผู้ขายมาพบกันผ่านหน้าเว็ปเอง
.
ด้วยโมเดลธุรกิจนี้และชื่อเสียงของการเป็นผู้บุกเบิกเว็ปไซต์ครั้นหลังช่วงฟองสบู่ดอทคอม การเป็นผู้บุกเบิกนี้ได้สร้างระยะทางทิ้งห่างคู่แข่งหลายเท่าตัวด้วยขนาด Marketshare มากกว่า 80% ในตอนที่เข้าตลาด
และยังคงความสามารถระดับนี้มากกว่า 1 ทศวรรษ แม้จะครองตลาดได้ระดับนี้แต่ตลาดก็มีเนื้อเค้กที่ขยายขึ้นเรื่อยๆ ตามความต้องการบ้านและราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
(คู่แข่งของบริษัทครอง Market Share ในระดับเลขเปอร์เซ็นหลักเดียว และบริษัทอื่นๆ ที่เป็นนายหน้าเหมือนกันเป็นบริษัทระดับเล็กมี Marketcap หลักสิบล้านปอนด์ ในขณะที่ Rightmove มีขนาดหลักหลายพันล้านปอนด์)
.
.
.
ด้วยความเป็นผู้นำและการไม่หยุดนิ่งนี้ทำให้ Rightmove มีกำไรที่เติบโตมาโดยตลอด และหากท่านใดเป็นนักลงทุนสาย Lynch แล้ว
จุดซื้อที่ตรงจุดตรงประเด็นตามตำราคือช่วงกลางปี 2012 จนถึงกลางปี 2013 โดยเป็นจุดที่บริษัทมี PEG Ratio อยู่ที่ 0.6x-0.8x เท่านั้น
(โดยตอนนั้น Rightmove ถูกซื้อขายอยู่ที่ราคา 170 ปอนด์ )
.
.
.
.
และการเติบโตของ Rightmove ในช่วงทศวรรษ 2010 อันเป็นช่วงไม่กี่ปีหลังบริษัทเข้าตลาดนี้ เป็นการสร้างการเติบโตอันห้าวหาญเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ ซึ่งทั้งหลายนี้ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทไม่มากลับสู่จุดเดิมอีกต่อไป
.
โดยพัฒนาการนี้เกิดจากการที่บริษัทอยู่รอดมานานรวมถึงใช้แต้มต่อที่ตัวเองมีขยายไปในกิจการที่เกี่ยวเนื่อง
ทั้งการขยับขยายจากกิจการนายหน้าขายบ้านมาสู่ธุรกิจ “ให้การโฆษณาบ้านใหม่” โดยเป็นการเจาะตลาดผู้ที่ต้องการบ้านใหม่แทนบ้านมือสองที่มีอยู่แต่เดิม
การจัดสรรข้อมูลหลังบ้านให้แสดงบ้านแบบเรียลไทม์
การมี House Index เป็นของตัวเอง จากการมีข้อมูลหลังบ้านที่ทรงพลัง
การอาศัยโอกาสจากการมาของ Smart Phone ทำให้ผู้ใช้ได้สัมผัสการให้บริการได้มากยิ่งขึ้น อันนำมาสู่การสร้าง Ecosystem ในวงการอสังหาริมทรัพย์ อย่างการเกิดนักลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ให้เช่ารุ่นใหม่ (Home-Hunter) ที่เป็นอาชีพที่สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนให้แก่ระบบเศรษฐกิจอีกด้วย
.
กล่าวไม่ผิดว่า Rightmove จะเป็นบริษัทที่สร้างการเติบโตแก่ตัวบริษัทได้อย่างยั่งยืนทั้งด้านกำไร และด้านผู้มีส่วนได้เสียผู้ช่วยเกื้อกูลให้สภาพแวดล้อมด้านอสังหาริมทรัพย์แห่งยุโรปดีมากยิ่งขึ้นไป
.
และเป็นหุ้นเด้งภายในหนึ่งปี และเป็นหุ่น 10 เด้งใน 10 ปี มอบผลตอบแทนแก่นักลงทุนผู้เสาะแสวงหาการลงทุนจากสิ่งรอบๆ ตัวอย่างแท้จริง
[แกะหุ้นเด้ง pt.1] หาจุดซื้อรันเทรน กับ Rightmove หุ้น 10 เด้ง
- วีดีโอนี้พูดถึง Technical จุดซื้อ/ขาย 75% และพูดเกริ่นถึงบริษัท 25%
- บริษัทนี้คือบริษัทแข็งแกร่ง Market Share สูง 80% อัตราการทำกำไรมากกว่า 30%
- แม้บริษัทจะดูตันๆ ในเรื่องของความสำเร็จ จากประสิทธิภาพแต่ก็เป็นหุ้นหลายเด้งได้ จากสภาพแวดล้อมที่เติบโตได้จนเป็นหุ้น 10 เด้ง
- กำไรที่ได้แต่ละรอบสั้นนั้นได้ราว 1x% และจะนิ่งๆ และก็จะขึ้นใหม่เป็นขั้นบรรได แต่หากถือยาวจะได้กำไรเป็นเด้งได้ไม่ยาก (แต่ก็ขึ้นกับบริบทเวลาด้วย)
- Breakout รับมือได้ดีที่สุดกับบริษัทจำพวกที่กำไรโตตลอดเวลา
-------------------------------
สำหรับเนื้อหาจะมี 2พาร์ทด้วยกัน โดยพาร์ทนี้จะเน้นในเรื่อง Technical อย่างเดียวนะครับ จากนั้นอีกพาร์ทจะเป็นเรื่องของการเงินและธุรกิจล้วนๆ
และโพสนี้ผมแบ่งเป็น 3 ส่วน คือหลักการเลือกหุ้นลงทุน ตามมาด้วยจุดซื้อที่ได้ และสิ่งที่ได้เรียนรู้จากหุ้นนี้/บริษัทนี้
Rightmove เป็นบริษัทที่ทำหน้าที่เป็นนายหน้าซื้อขายบ้าน และมีเว็ปไซต์โปรโมทบ้านเหล่านั้นอยู่ โดยครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 80% ตามมาด้วยอัตราการทำกำไรที่น่าประทับใจอยู่ระดับมากกว่า 30%
นอกจากนี้แล้วบริษัทยังมีการเติบโตต่อรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยสูงกว่าอัตราการเติบโตของประเทศอย่างอังกฤษกว่าที่ 2.xx% กว่ามาก
ต่อมาคือเรื่องของอัตราการทำกำไรต่อส่วนของเจ้าของ(ROE) ที่ทำได้อยู่ในระดับที่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องบอกว่าประทับใจ
ปัจจัยทั้งหลายนี้ ชี้ให้เห็นว่าไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนสายไหนก็ย่อมอยากได้บริษัทนี้เป็นเจ้าของแน่นอนครับ ดังนั้นหากบริษัทไม่มีพื้นฐานเปลี่ยนไปมากนัก อย่างไรก็ต้องมีคนซื้อกลับมาไม่ทางมดก็ทางหนึ่งครับ
ในวีดีโอนี้หลักๆ แล้วหลักกรซื้อที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด คือการ "Breakout" ครับ คือราคาเบรคขึ้นไปเมื่อไรหลายครั้งราคาจะไม่ค่อยกลับมาที่เดิมนัก
และการซื้อตอนย่อราคามาที่เส้นค่าเฉลี่ย 20 สัปดาห์ก็สามารถทำได้ และคุณก็สามารถใช้ประกอบกับ Relative Strength ได้เช่นกัน หากบริษัทแข็งกว่าตลาดจุดนั้นก็อาจเป็นจุกซื้อได้ตลอดได้
นอกจากเรื่องของ Breakout แล้ว เราสามารถมาผสานการใช้กับทรง VCP หรือ Cup with Handle ได้เช่นกันครับ โดยช่วงที่เขาจะ Break High ตรงจุดนี้นับเป็นจุกซื้อที่ทำให้เรารู้นิสัยครับว่าได้ผล
แต่สิ่งที่ต้องกังวลคือบางช่วงมีการพักตัวที่อาจนานเกินไปซึ่งหากท่านไม่ใช่นักลงทุนที่รอรวยนานได้ ตรงนี้อาจทำให้ทุนพี่ๆ เพื่อนๆ จมลงได้ครับ
แต่ก็สามารถแก้ทางได้โดยหาเครื่องไม้เครื่องมืออย่าง Option มาหากระแสเงินสดจากบริษัทนี้ได้เช่นกัน
บริษัทนี้จากที่ผมได้กล่าวแล้วคงไม่พ้นเรื่องหุ้น "แข็งแกร่ง" ตามตำราของคุณปีเตอร์ ลินซ์เลยครับ นั่นคือเป็นหุ้นที่มี Market Share แข็งแกร่ง(เช่นเคสนี้มากกว่า 80%) กอปรด้วยตัวเลขการเงินที่อัศจรรย์ ไม่ว่าใครในตลาดต่างก็อยากเป็นเจ้าของ
ดังนั้นแล้วพอหุ้นขึ้นไป หุ้นมักไปได้ไม่มากครับ นั่นคือขึ้นไปสักราว 1x% แต่แม้จะขึ้นระดับนี้แล้วการจะย่อลงไปจุดต่ำเดิมนั้นไม่ค่อยมีมาก จากการที่กำไรบริษัทแข็งแกร่งไม่มีทีท่าลงมาต่ำกว่าเดิมเลย
แม้ราคาจะเพิ่มขึ้นสั้นๆ แต่หากเราถือนานมากยิ่งขึ้นให้บริษัทได้เฉิดฉายแล้วกำไรที่คุณจะได้ก็สามารถไปได้มากกว่าเด้งได้ไม่ยากเลยครับ
และหากคุณมองว่ากำไรได้น้อยและมีบางช่วงออกข้างนาน การใช้ประโยชน์จาก Option ในการหากระแสเงินสดหรือหาโอกาสจากหุ้นนี้ก็ทำได้เช่นกัน
เนื่องจากบริษัทนี้เป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่เพียงพอจะมีเครื่องมือทางการเงินหลากหลาย
[แกะหุ้นเด้ง]ดู COSTCO หุ้น 100 เด้ง ผ่าน CANSLIM และ VCP pt.1แก่นแท้จากหุ้นเด้งตัวนี้
-การย่อระดับ 1x% เป็นเรื่องที่ธรรมชาติมากๆ นับเป็นเรื่องที่ปกติ
การย่อลงมาแบบหลักๆ อยู่ที่ราว 3x%
-จุดซื้อที่ทรงประสิทธิภาพจะมาจากจุดที่แข็งกว่าตลาด
หรือ Relative Strength มากกว่า 0
-การย่อลงต่อละครั้งหากไม่หลุดราคาเฉลี่ยนับว่าสามารถรันเทรนด์ต่อได้
-การที่ราคาหุ้นตกหนักๆ โดยหลัก มี 3 ปัจจัย (ซึ่งการตกนี้ไม่ต่ำกว่า 50%)
1. การลงจากเศรษฐกิจเอง เช่น COVID-19 , Subprime
2. การลงจากอุตสาหกรรม เช่น รอบสินค้าโภคภัณฑ์ , การออกกฎบัตรบางอย่างจากภาครัฐที่ทำให้ราคาไม่ไปไหน
3. การลงจากตัวบริษัทเอง เช่น ความสามารถในการแข่งขัน ปราการและคูคลองเริ่มเสื่อมสลาย (แบบนี้อันตรายที่สุด)
.
-การลงจากตัวเศรษฐกิจ หากบริษัทแข็งแกร่งจากการมีปราการและคูคลองแข็งแกร่ง ตลาดย่อมรับรู้ อย่างน้อยก็จากผลประกอบการที่หากไม่ลดลง และรายงานจากฝ่ายบริหารแจ้งออกมาไม่มีรอยฟกช้ำจากเศรษฐกิจ นายตลาดก็ตอบรับอย่างสดใส
-การลงจากอุตสาหกรรม ราคาหุ้นอาจจะไม่ขึ้นมาในทันที อาจต้องให้เวลากับเขา ในการปรับทัพรวมพลสู้ศึก ในเชิงรูปธรรม อาจขยายตลาดไปที่อื่น, คุยกับ Supplier เพื่อปรับราคาให้มี Margin ที่ดีขึ้น และคงคุณภาพสินค้า
หรือในกรณีที่สดใสที่สุด คือรอเมฆหมอกแห่งความโชคร้ายให้ผ่านไปเลย
-การลงจากตัวบริษัทเอง ยากที่สุดในการพิจารณา ต้องติดตามกระบวนการบริหารบริษัทอย่างใกล้ชิด รวมถึงดูคุณภาพในสินค้าและบริการ
แก่นแท้คือดูว่า Core Value ที่เขมอบให้แก่ลูกค้าและสังคม
กับการทำกำไร ยังพอไปทางเดียวกันได้ไหม
-สิ่งที่ต้องการสื่อคือหุ้นหลายเด้งมักมีการลงแรงๆ เสมอ ไม่ว่าจากตัวเขาเอง ตัวอุตสาหกรรม หรือจากเศรษฐกิจ แก่นแท้คือการถือให้ยาวและมองให้ขาดว่าบริษัทจะผ่านไปได้ไหม เป็นสำคัญ
-การฟอร์มตัวแบบ Cup with Handle จากที่ดูมักใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 30 bars week หรือราว 200 วัน ก่อนพุ่งขึ้นไป
การรันเทรนด์เพื่อให้ได้กำไรเด้ง อาจต้องอาศัยเวลา
เราควรมีหลังบ้านที่แข็งแกร่ง มีรายได้หลายทางเพียงพอที่จะคลายกังวลกับการลงทุนในบริษัทนี้ได้
เราอาจใช้อรรถประโยชน์จาก Stock Option ช่วยได้ หากหุ้นนั้นมีบริการ Short Call หรือ Short Put เพื่อหากระแสเงินสดจากช่วง Sideway หากินกับ Volatile
(อาจจะซับซ้อน แต่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกได้นะครับ)
-จุดกลับตัวของกราฟ บางทีอาจใช้รูปแบบแท่งเทียนพิจารณาได้
เช่นรูปแบบ Hammer ที่ทำหางยาวมาก เสมือนการปฏิเสธการลงของราคา
-จุดกลับตัวอาจใช้ Relative Strength ช่วยได้
หากราคาหุ้นแข็งกว่าตลาด เราอาจเริ่มกลับมามองหุ้นนี้ได้ครับ
link/USDT (+กำไร 300 จุด) หวังกำไร 1:3RR🗨 Update บทวิเคราะห์ Cryptocurrency
💲 คู่เงิน linkUSDT
🗒 สถานะ Sell (กำไร + 300 จุด )
------
Swing Trade
🗒 TF : H4
➡️ Pattern Upper band
➡️ Head And shoulder
➡️ Neck line Brake
------
ผลตอบเเทนคุ้มเสี่ยง
💲 RR 1:3
------
*ขอมูลที่นำเสนอข้างต้น เป็นเพียงการวิเคราะห์เชิง Technical ส่วนบุคคล เพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น
THETA/USDT (กำไร+33 จุด) หวังกำไร 1:2 RR🗨 Update บทวิเคราะห์ Cryptocurrency
💲 คู่เงิน THETAUSDT
🗒 สถานะ Sell (กำไร + 33 จุด )
------
Swing Trade
🗒 TF : H4
➡️ Channel Trendline
➡️ inner Trendline
➡️ Down Trend
------
ผลตอบเเทนคุ้มเสี่ยง
➡️ RR 1:2
------
*ขอมูลที่นำเสนอข้างต้น เป็นเพียงการวิเคราะห์เชิง Technical ส่วนบุคคล เพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น
[Case Study] วิเคราะห์หุ้นทุกมิติ และสอนใช้ Relative Strength สำหรับวีดีโอนี้ผมจะมานำเสนอการใช้ Relative Strength ประยุกต์กับทรงกราฟ รวมถึงการดูปัจจัยผลักดันบริษัท รวมถึงการหาเหลี่ยมเพื่อการลงทุนนะครับ
โดยเนื้อหาในครั้งนี้ทุกท่านหากได้อ่านคำประกอบนี้ก็เพียงพอได้รับสารที่ผมต้องการสื่อในวีดีโอนี้แล้วครับผม
แต่ก่อนอื่นเรามาคุยภาษาเดียวกันก่อนนะครับ
- บริษัทที่นำเสนอนี้เป็นเพียง 1 ใน Case Study ที่น่าสนใจ
- ผมปรับราคาบริษัทเป็นหน่วย CHF เพื่อป้องกันการชี้นำราคาหุ้น
- วีดีโอนี้มี Ref ที่สำคัญราวๆ 3 แหล่งนะครับ และทาง Trading View ไม่ให้เราโพสลิงค์ไปด้านนอก ขอให้ทุกท่านโปรดวางใจ ว่าทุกอย่างที่ผมได้นำเสนอไปนี้มีเอกสารตัวเลขอ้างอิงครับ
====================================================
จากกราฟนะครับ เราจะเห็นว่าตัว Relative Strength นี้มีการหดตัวเข้าสู่ 0 อย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือเมื่อเทียบหุ้นตัวนี้กับตลาดแล้ว หุ้นตัวนี้มีความแข็งแกร่งกว่าตลาดอย่างเห็นได้ชัดเจนครับ และหากมองให้ไกลกว่านั้น เราอาจตั้งคำถามได้ว่า "เป็นไปได้ไหม ที่หุ้นตัวนี้จะเป็นหุ้นที่แข็งกว่าตลาดสัดวันหนึ่ง" ซึ่งหุ้นที่แข็งกว่าตลาดนั้นก็คือหุ้นที่มีค่า RS > 1 นั่นเองครับ
จากปัจจัยจากกราฟที่แสดงให้เห็นว่าเขาทำ Sideway มาเนิ่นนาน และเริ่มมีการเปลี่ยนไป เรามาดูกันที่ปัจจัยขับเคลื่อนภายในบริษัทอันเป็นต้นสายธารของหุ้นตัวนี้กันครับ
สำหรับบริษัทที่เราพูดถึงนี้ก็คือ BAFS บริษัทผู้จำหน่ายเชื้อเพลิงให้แก่เครื่องบินนั่นเอง (และขอชี้แจงเพิ่มเติมจาก Oppday บริษัทนี้เปรียบเสมือนกับ "เด็กปั๊ม" นะครับ เขามีหน้าที่บริการบรรจุเชื้อเพลิง ดังนั้นแล้วราคาน้ำมันไม่มีผลจ่อบริษัทเลยครับ)
สิ่งที่ผมได้นำเสนอนี้มีปัจจัยผลักดันคือจำนวนผู้โดยสารและเที่ยวบินที่เริ่มบินสะพัดมากยิ่งขึ้น โดยหากเราได้ดูงบกำไรขาดทุนสุทธิแล้ว เราจะพบว่าตัวเลขในส่วนของ EBITDA กับค่าเสื่อมเริ่มมีการหักล้าง และเริ่มเท่าทุนแล้ว
และจากการที่ผมได้ไปฟัง Oppday ย้อนหลังก็ได้ทราบว่าปริมาณนักท่องเที่ยวตอนนี้เองก็ Breakeven ต่อการทำกำไรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งหลายทั้งมวลนี้ นำมาสู่ทรงกราฟครับที่จากแต่ดั้งเดิมบริษัทได้มีการทำ Sideway มากว่า 2 ขวบปี อาจมีแนวโน้มที่บริษัทจะเปลี่ยนแนวโน้มไปก็ได้ ไม่ขึ้นก็ลง
โดยจุดตัดของเทรนนี้จะอยู่ที่ราวๆ เดือนมกราคา จากการตีเส้นเทรนด์ไลน์ขากด และเทรนด์ไลด์ขาขึ้น หลังจากที่พูดถึงเรื่องปัจจัยด้านเวลาที่อัดตัวพร้อมผลักดันหุ้นแล้ว เรามาดูในมิติของมูลค่ากันบ้างดีกว่าครับ
จากเครื่องมือ 2 ตัวนั่นคือ DDM และ Double Dividend Discount Model ได้แสดงให้เราเห็นว่า แต่ก่อนเดิม "ตลาด" เคยให้มูลค่าบริษัทนี้ "มากกว่ามูลค่าสินทรัพย์ของบริษัท" ต่อเนื่องหลายปี
และในปัจจุบัน บริษัทเองกลับมีการเทรดในระดับที่ต่ำกว่าเส้นแนวต้านที่แสดงนี้เสียอีก ดังนั้นหากเราตั้งสมมติฐานว่าราคาหุ้นจะ Mean Reversion ก็เป็นไปได้
ทั้งนี้แล้วจากข้อมูลที่เรามี อาจช่วยให้พี่ๆ เพื่อนๆ ใช้ในการวางแผนการเทรดได้นะครับ ผมว่าการที่เราวิเคราะห์ได้หลากหลายมิตินี้จะช่วยให้เราลงทุนได้อย่างมั่นใจได้มากขึ้น แต่ก็มีข้อเสียที่ต้องแลกเข้ามาที่สาหัสเช่นกัน นั่นคือ "เราไม่อาจรู้เลย ว่าเรื่องอะไรที่เรารู้นั้นเป็น NOISE" หรือ "สิ่งก่อกวนในการลงทุน" ได้ กล่าวคือหากเรารู้สิ่งใดมากแล้ว สิ่งนั้นอาจบดบังทรรศนวิสัยในระยะยาวของเราก็เป็นได้
แต่กระนั้นแล้ว เราทุกคนในหมวดของเทรดเดอร์ก็ยังโชคดีครับที่เรายังสามารถยอมแพ้ได้ หากแผนที่เราวางไว้ไม่เป็นไปตามที่วาง ผ่านการยอมรับตัวเองและ Cutloss ทิ้งไป
ทั้งหลายนี้ผมวาดหวังว่าจะเป็นทางเลือกการลงทุนแก้ทุกท่านได้ไม่มากก็น้อยนะครับ
ฝากหนังสือและ investing-in-th ไว้ด้วยนะครับผม เราจะรวบรวมหนังสือที่อยู่ในจักรวาลการลงทุนไว้ให้ทุกท่านในที่เดียวเป็นร้านหนังสือเพื่อการลงทุน เพื่อการ Empowerment สังคมการลงทุนอย่างแท้จริง
ขอให้ทุกท่านโชคดี สุขภาพแข็งแรงปลอดภัยครับผม
BKIประกาศ กำไรไตรมาส 2 ออกมา 428.66 ล้านบาท กำไร 6 เดือน -3,151.87 ล้านบาท
พอไปดูรายละเอียด ธุรกิจประกันไตรมาส 2 ขาดทุน -2,157.27 ล้านบาท เป็นขาดทุนจากประกันโควิท (ไตรมาส 3 จะไม่มีขาดทุนส่วนนี้แล้ว)
คาดการณ์ว่า กำไรจากการประกัน จะเป็น บวกในไตรมาส 3
สิ่งที่หน้าสนใจคือ
- เบี้ยประกันรับ ไตรมาส 1-2 เฉลี่ยไตรมาส ละ 4,300 ล้านบาท ถ้า 2 ไตรมาส หลังทำได้ไตรมาสละ 4,000 ล้าน ทั้งปีจะมีเบี้ยรับประมาณ 16,000 ล้านบาท มากกว่าปีที่มีการขายประกันโควิท ถ้าสามารถทำกำไรได้ในอัตราปกติ กำไรจากส่วนนี้จะประมาณ 1,600-1,760 ล้านบาท
- ขนาดของพอร์ตลงทุนที่สิ้นไตรมาส 2 ประมาณ 46,164 ล้านบาท คิดที่ ROI เฉลี่ย 4% กำไรจากส่วนนี้จะประมาณ 1,846 ล้านบาท
กำไรจาก 2 ส่วนจะได้ 3,446-3,606 (ก่อนภาษี)
กราฟ ออกข้างมานาน เริ่มมีการยกตัวขึ้นเล็กน้อย งบน่าจะผ่านจุดต่ำสุดของรอบ ถ้าซื้อตรงนี้ จุดตัดขาดทุนไม่ไกล ^^
DITTO : Ditto (Thailand) PCLVol ซื้อขาย สูงกว่าค่าเฉลี่ยมา ประมาณ 30 วัน โดยที่ราคายังวิ่งในกรอบ
MCDX มีแท่งแดงเข้า โดยที่ตั้งแต่ แท่งแดงเข้า กราฟยก Low ขึ้นเรื่อยๆ
VA ตั้งแต่เดือน มีค. ราคาตอนนี้ใกล้เคียงเฉลี่ย
* ผลประกอบการ Q2 2565 QoQ : +64.17%
Buy : 60 - 60.25
SL : หลุด 58.25
TP : 66.25
RR : 1:3
OISHIกำไรไตรมาส 3 ออกมา 357.10(0.95) ล้านบาท 9เดือน 1,010.15(2.69) ล้านบาท
มูลค่าตลาด @22/08/2565 18,187.50 ล้านบาท
ถ้าประมาณรายได้ไตรมาส4 ให้มีรายได้เท่ากับไตรมาส 4 ปีที่แล้ว คือประมาณ 2,199.96 ล้านบาท (ไตรมาส4ปี นี้น่าจะได้มากว่าเพราะธุรกิจอาหารสามารถเปิดบริการได้เต็มที่)
คิดอัตรากำไรสุทธิที่ 5-7% (คิดลดจาก 3ไตรมาสแรก) จะได้กำไรประมาณ 109.99-153.99 ล้านบาท
กำไรทั้งปีจะได้ประมาณ 1,120.14-1,161.14 ล้านบาท คิดเป็น PE 15.66-16.23 เท่า ไม่ได้แพงมากเมื่อเทียบกับ pe 3ปี เฉลี่ยที่ 20.14 เท่า
ปีต่อไป น่าจะพอมีการเติบโตของรายได้ เพราะ ธุรกิจอาหาร น่าจะเปิดธุรกิจได้เต็ม 100% และธุรกิจใหม่ในการส่งอาหารและร้านอาหารใหม่ที่ราคาไม่สูงมาก
กราฟ
มีการบีบตัวสะสมกำลังของกราฟในภาพระยะ สั้น กลาง ยาว ภาพยาวยาวกำลังจะยกตัวขึ้นน่าสนใจ






















