ค้นหาในไอเดียสำหรับ "Sp500"
XAU/USD - 26-30 AUG 2019 - Making sense out of the Bull
ภาพรวมใหญ่ในกราฟสัปดาห์ เรากำลังเข้าสู่จุดสิ้นสุดของ counter trend rally ก่อนที่จะมี big correction เกิดขึ้น
การวิเคราะห์ด้วย Fibonacci พบว่าเราอยู่เหนือ 61.8% จากยอด all time high แล้ว ซึ่งบริเวณนี้เป็น key level
เมื่อตอนนี้เราอยู่เหนือเลเวลนี้ เราอาจจะไปสู่ 78.6% หรืออาจะหลุดร่วงไปจากตรงนี้ก็ได้
หากวัดความยาวของ c ด้วยไกด์ไลน์ว่า c จะยาวเท่า a
เราจะได้เป้าของ c ที่ 1603
หากวัดตามแพทเทิน 3 เหลี่ยมในกราฟสัปดาห์ มีความสูง 253 จากจุดเบรก
จะได้เป้าใกล้กันที่ 1603-5
Intraday
หากนับไม่ผิด เราได้เวฟที่ขึ้น 5 ลง 3
สัปดาห์ที่แล้วจาก 1902 ถึง 1506 ผมนับได้ 13 wave ตามบทวิเคราะห์ครั้งก่อน ()
จากนั้นราคาก็ได้พุ่งขึ้นมาจนถึง 1528
เวฟ 2 เป็น deep correction ไปแล้ว เวฟนี้ควรเป็น flat หรือ 3 เหลี่ยม
ตอนนี้ผมคิดว่าราคาน่าจะย่อตัวลงมาบริเวณ 1509-1514 ซึ่งเป็นแนวซ้อนทับของ fibonacci level หลายเส้น หากลงต่ำกว่านี้ ไม่ควรเกิน 1506
หรืออาจจะมี pa buy ตั้งแต่ 1520 ที่เป็น 61.8% ของกราฟสัปดาห์
หากมี PA buy บริเวณนี้คิดว่าสามารถ buy ได้ไปถึง 16xx
โดยแนวต้านแรกพบว่าอยู่บริเวณ 1542 และ 1588
วิเคราะห์ด้วย momentum จาก RSI พบว่า
RSI พุ่งสู่แดนกระทิงชัดเจน (ทะลุ70) และอยู่เหนือ 61.8% ของกราฟสัปดาห์ การเล่นหน้า buy สมเหตุสมผลที่สุดในตอนนี้
***************************************************************************************************************************************************
Intermarket Analysis
SP500
ดัชนีได้จบเวฟ 2 ของเวฟ a ของขา e แล้ว และกำลังมุ่งหน้าสู่เวฟ 3 ส่งผลดีต่อราคาทองคำ
ในด้าน relative strength พบว่าการลงทุนใน sp500 เทียบกับ ทอง การลงทุนใน sp500 ให้ผลกำไรน้อยกว่าอย่างชัดเจน แต่ว่าตอนนี้ relative strength ชนแนวรับแล้ว
สอดคล้องกับราคาทองที่อาจจะย่อตัวลงในสัปดาห์หน้า (แต่อาจจะไม่ย่อก็ได้)
เมื่อ relative strength และ absolute strength ของ sp500 หลุดแนวรับ อาจจะส่งผลให้ราคาทองพุ่งอย่างรุนแรงได้
Dollar Index
ราคาได้ชนแนวต้าน 78.6 และหลุด trend line ระยะสั้นลงมา
อาจเกิดการ rebound ได้
จนกว่าจะหลุด trend line ใหญ่ข้างล่าง dollar อาจจะดีดตัวกลับไป 100 ได้
แต่ในระยะสั้น ทิศทางของทั้ง dollar index และ sp500 สนับสนุนให้ทองขึ้นต่อ
SET index - วิเคราะห์ด้วย relative strength และ Elliott waveจาก wave count คราวก่อน
ตอนนี้ ไม่รู้ว่ตรงลูกศร มือ ชี้ จะนับเป็น ((1)) หรือ ((A))
ถ้าเป็น ((1)) แสดงว่าเราจะเป็นขาขึ้น
แต่ถ้าเป็น ((A)) แสดงว่าเมื่อชน แถว 1300-1350 เราจะลงไปทำ new low? ส่วนตัวผม bias ว่าไม่น่าจะมีนิวโล
เพราะว่าอิงจาก ทฤษฎี Elliott wave wave 4 จะไม่ overlap wave 1 (ยกเว้นกรณี leading/ending diagonal)
จากภาพ wave 4 ได้ลงไปเกือบจะชนเวฟ 1 แถว 900 ต้นๆแล้ว และกราฟเดือนได้ปิดเหนือ 50 fib (ถ้าเปิด MA200 จะเห็นว่าเราปิดเหนือเส้น MA200 ซึ่งสนับสนุนว่ายังเป็นขาขึ้น)
ส่วนตัวผมที่ซื้อมาแถว SET 1000 คาดว่าต่อให้มี new low แต่ก้แค่ลงเล็กน้อยเท่านั้น คงจะไม่มีการคัทหุ้นทิ้งที่ก้นเหวครับ
"ซื้อถูก ขายแพง" คือสิ่งที่ยังมีผลต่อการลงทุนในตลาดช่วงนี้
ในระยะสั้น
คิดว่าจบเวฟ e ของ 3 เหลี่ยมเวฟ 4 ความสูง 75 จุด ได้เป้าที่ 1353 ซึ่งเป็น 0.5 fib วัดจาก low ล่าสุด ถึง swing high ปี 2019 พอดี
แต่ทั้งนี้ ไอเดียนี้จะผิด ถ้า set ลงมาต่ำกว่าเวฟ C
แต่บริเวณ psychological number 1300 เป็นแนว .382 วัดจาก all time high คงมีแรงขายกดลงมาบ้าง ต้องดูกันต่อครับ
มาดู Emerging market index
มีลักษณะทำ pattern triangle ที่ควรจะ break ขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบ performance ของ EEM กับ SP500
พบว่าตอนนี้ด้าน relative performance EEM เริ่มกลับมาทำท่าจะ outperform SP500 หมายความว่าควรลงทุนใน emerging market มากกว่า SP500
ด้าน relative strength ของ SET index ของไทย เทียบกับ EEM
ตอนนี้ SET ก็ outperform กลุ่ม emerging market แล้ว
ทุกครั้งที่ set outperform ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ก้จะมีการ rally เกิดขึ้น สังเกตจากกราฟข้างล่าง
เมื่อเทียบ SET vs SP500
พบว่าตอนนี้ relative performance ได้ทะลุแนวต้านตั้งแต่ 30 ปีก่อน และเมื่อ 2 ปีก่อนแล้ว
และเป็นไปได้ว่าหลังจากนี้เรากำลังเข้าสู่การทำฐาน ก่อนที่จะขึ้นไป all time high
Fibonacci ratio แสดงให้เห็นว่า performance chart เจอแนวต้านที่ .148 และ .236 มานานหลายปี และเป็นไปได้ว่าภายใน10 ปีเราจะ outperform ขึ้นไปข้างบน
SET index - มุมมองทางบวก (+) ในระยะยาวและเหตุผลหากพิจารณาว่ามีการ breakout ทั้ง fail break และ break ที่สำเร็จแต่ยืนไม่ได้ (พิจารณาจากราคาปิดของแท่งเทียน)
เป็นไปได้ว่าจริงๆแล้ว ตรงนี้แหละ คือแนว all time high ที่แท้จริง ที่ไม่นับ failed breakout ที่ผ่านๆมา
ราคายังยืนเหนือเส้น EMA 233 และตอนนี้ได้พยายามทดสอบแนวต้านกรอบเหลือง หากยืนได้คงทำ new all time high ได้จริงๆ
และถ้าหาก clear all time high เดิมได้
เป้าถัดไป คือแนว 6000
ตอนนี้หุ้นใหญ่ๆคงพักตัวหรือปรับฐาน เป็นเวลาให้หุ้นเล็กค่อยขยับๆ rotation ไม่ว่าจะเป็น large-cap ขยับหมุนเข้า midcap หรือ small cap
หรือ sector rotation ไปกลุ่มอื่นๆที่ยังไม่ขึ้น
อีกข้อมูลที่สนับสนุนว่า SET index จะขยับขึ้นไปสูงขนาดนั้น (6000!?) ได้ ผมคิดว่า 2 ภาพข้างล่างมีคำตอบครับ
XLE vs SP500
กราฟ relative performance ของกลุ่มพลังงาน VS SP500 โดยรวม ที่มีสัญญาณกลับตัวในรอบ 13 ปี
ปัจจัยพื้นฐานอื่นๆเรื่องพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "น้ำมัน" ที่จะมีราคาแพงขึ้น เพราะว่า
1. ด้าน supply
COVID-19 ทำให้ demand ในใช้พลังงาน เพื่อการเดินทางลดลง ทำให้น้ำมันมี supply ล้นตลาด จนทำให้ OPEC+ ต้องประชุมตกลงลดกำลังการผลิต
ตอนนี้ แทบจะไม่มีการ ผลิต หรือ เสาะหา เพิ่ม พลังงานที่ใช้ตอนนี้คือ supply ที่หลงเหลืออยู่
2. ด้าน demand
เมื่อทุกประเทศได้รับวัคซีนถึงจุดหนึ่ง ย่อมต้องมีการเปิดประเทศ ทำให้ประชาชน ออกเดินทาง ท่องเที่ยว การคมนาคม การบินกลับมาอีกครั้ง
demand นี้จะ เกิน supply ในระยะแรกๆที่กลับมา เพราะว่า การผลิตน้ำมันที่หยุดไป ไม่ใช่แค่กดปุ่ม restart แล้วทุกอย่างจะกลับมาเท่าเดิมทันที
จะต้องมีช่วง supply ที่ไม่ทัน demand ส่งผลให้น้ำมันมีราคาแพงขึ้น
3. นโยบาย Green energy โดยเฉพาะอย่างยิ่งของอเมริกา ย่อมมีนโยบายที่ "ไม่เอื้อ" ต่อบริษัทน้ำมัน ในอนาคต อาจมีการลดการเสาะหา ขุดเจาะ ผลิต เพราะนโยบายของรัฐไม่เอื้อ ทำให้ supply ลดลงเรื่อยๆ ทำให้น้ำมันมีราคาแพงขึ้น เพราะ supply shortage
นอกจากน้ำมันแล้ว อนาคตของ green energy คงไม่พ้นเรื่องของ electric vehicles
ซึ่งเป้าหมายในเรื่องนั้น ก่อนอื่น คงต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีของ battery ที่ดีกว่า Lithium หรือ semi-solid state
แต่กว่าจะถึงจุดนั้น
น้ำมันจะยังคงมีบทบาทต่อไป
ตัวที่จะเชื่อมตรงกลางระหว่างการเปลี่ยนแปลงจาก fossil fuel อย่างน้ำมัน ไปสู่ electric vehicle คือ "natural gas"
(วิเคราะห์ทิศทางคร่าวๆไว้แล้วที่นี่ )
ซึ่งเริ่มทำการปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆมาตั้งแต่ปีที่แล้ว
เชื่อว่ากลุ่มพลังงานจะมีบทบาทมากใน Post-pandemic era ครับ
XLF
กราฟกลุ่มการเงิน ของอเมริกา ที่หลังจาก 13-14 ปี ก้ได้ทำการ breakout ขึ้นสู่ new all time high
แน่นอนว่า แนวต้าน 13 ปีที่ถูกทลาย ย่อมขึ้นต่อมากกว่ากลับตัวลงมา
เพียงแค่ 2 sectors นี้ อาจจะเพียงพอที่จะส่ง SET ขึ้นสู่ new high
น้ำหนักของแต่ละ Sector ที่ประกอบกันเป็น SET index (อ้างอิงข้อมูลจาก MSCI Thailand ล่าสุด January 2021)
Energy 14.83%
Financials 13.89%
Consumer Staples 12.81%
Materials 11.35%
Industrials 9.14%
Communication Services 9.11%
Utilities 8.43%
Health Care 6.67%
Consumer Discretionary 5.84%
Real Estate 4.08%
Information Technology 3.84%
จะเห็นว่า กลุ่ม พลังงาน และ การเงิน มีน้ำหนักเกือบ 30% ของ SET index
ไม่เพียงเท่านั้น Post-pandemic era ย่อมต้องมีการเร่งพัฒนาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นด้าน infrastructure หรือการก่อสร้างพัฒนาใดๆ
กลุ่มที่จะได้ผลดีจากการพัฒนาหรือฟื้นฟูประเทศด้านต่างๆ คือ Material และ Industrial (จีนเป็นตัวอย่างด้านการพัฒนาประเทศจนทำให้ basic material มีราคาแพงขึ้น ในช่วง post-world war 2 จนถึงขั้นเกิดเงินเฟ้อชนิด Demand (ต่อ basic material)-pull
หากรวม 2 กลุ่มนี้เข้าไปด้วย จะประกอบเป็นเกือบ 50% ของ SET index
ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวปริมาณมหาศาล ซึ่งส่วนนี้จะอิงกับการฉีดวัคซีนและการเปิดประเทศ กลุ่มการท่องเที่ยว การโรงแรม การสื่อสาร (กลุ่มที่ขายซิมการ์ดให้นักท่องเที่ยว) ย่อมต้องรอวัคซีน จึงจะฟื้นตัว ซึ่งคงอีกไม่นาน เหลือแค่รอเวลาเท่านั้น
จะเห็นว่าทุกอย่างมีความเกี่ยวโยงกัน และทั้งหมดนี้ย่อมส่งให้ SET index ทำ new all time high ได้
เป้าระยะสั้น คงเป็นตามที่นักวิเคราะห์และคนดังหลายคนอกมาพูด คือบริเวณ 2200-2300 ครับ
ตอนนี้เป็นเวลาสะสมหุ้น เพื่ออนาคตใน Post-pandemic era ครับ
หวังว่าข้อมูลจะมีประโยชน์ครับ
ทิศทางทองคำ XAU/USD กำลังย่อตัวระยะสั้นสืบเนื่องจากโพสที่แล้ว
()
ราคาทองคำในกราฟสัปดาห์ได้มุดตัวลงใต้ 61.8% fibo ของกราฟสัปดาห์วาดจาก all time high พร้อมกับทำ bearish pin bar
คาดว่าในระยะสั้น ราคาทองคำจะย่อตัวลงมา
แนวรับระยะแรกที่เป็นไปได้มากที่สุดคือบริเวณ 1510-1505
จากนั้นราคาอาจจะดีดกลับตัวไปบริเวณ 1525-1527
ก่อนจะลงมาอีก 5 wave เพื่อจบ correction abc
จากนั้นราคาทองคงขึ้นต่อ
ในส่วนของ SP500 ดูท่า correction ของเวฟ 2 จะยังไม่จบ
คาดว่าจะเริ่มเจอแนวต้านบริเวณ 2970
DXY
ดูท่าจะยังขึ้นไปได้อีก
ดังนั้น ไอเดียทั้งหมดส่งเสริมความคิดว่าทองจะย่อตัวในระยะสั้นครับ
เมื่อsp500 มีสัญญาณกลับตัว ทองคำคงจะส่งสัญญาณกลับตัวสู่ขาขึ้นเหมือนกัน
******************************************************************************************
หากอยากรับทุกการอัพเดท สามารถกดติดตามได้ครับ
เห็นต่างอย่างไร แชร์กันได้ในคอมเม้นเลยครับ
ทองคำ และ S&P500 - วันนี้เรากำลังอยู่ตรงจุดไหนของ cycle?
ถึงแม้ช่วงหลังๆจะมีความไม่แน่นอนของข่าวเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่หากมองทางด้านเทคนิคอย่างเดียว
จากกราฟจะเห็นว่าเราได้มาถึง target 2.618 fibonacci extension ของ bear market ช่วงปี 2000 ในอเมริกาที่เกิดจากภาวะเงินฝืดจากผลกระทบจากเหตุการณ์ต้มยำกุ้ง
ตลาดหุ้นอเมริกาได้ผ่าน the great bull run ในประวัติศาสตร์กินระยะเวลายาวนาน 10 ปี
ตอนนี้ด้วยข้อมูลเศรษฐกิจของอเมริกาที่ออกมาดีมากๆ sector ส่วนใหญ่ breakout อยู่ในขาขึ้น
เมื่อมองจากกราฟด้วยทฤษฎี Elliot wave ผมคิดว่าเราเพิ่งจบการย่อของเวฟ 4 และตลาดอเมริกากำลังมุ่งหน้าไปสู่เวฟที่ 5
สำหรับ near term หลังจากที่เริ่มปีด้วยการวิ่งขึ้นมา 20 กว่า% ตอนนี้คงไม่น่าแปลกใจหากจะมีการ take profit และย่อตัวเกิดขึ้น
หากนำ classic chart pattern มาจับ จะเห็นว่าราคาทำ pattern diamond top ที่มีการ break out ขึ้นด้านบน แต่ตอนนี้เราคงเห็นการย่อตัวมาทดสอบแนวรับตาม trend line
ก่อนที่จะขึ้นไปทำเวฟ 5
นี่คือ price objective แรกของเวฟ 5 สำหรับ S&P500 แต่หากเวฟที่ 5 มีการยืดออก target จะเลื่อนออกไปเรื่อยๆครับ
ทั้งหมดนี้สัมพันธ์กับทองอย่างไร?
ทองเป็นสินทรัพย์ที่มีนักลงทุนมักซื้อเมื่อตลาดหุ้นอยู่ใน bear market หรือย่อตัวลง ซึ่งเป็นภาวะ risk-off
แต่หากตลาดหุ้นกำลังอยู่ในขาขึ้น ตลาดจะอยู่ภาวะ risk-on
หมายความว่า นักลงทุนจะเลือกลงทุนในหุ้นที่เป็นขาขึ้นมากกว่าเนื่องจากได้กำไรและปันผล
แต่ทองไม่มีการปันผลใดๆ
เพราะฉะนั้น หากนักลงทุนมีความมั่นใจในตลาดหุ้น จะไม่มีคนเลือกซื้อทอง ทำให้ราคาทองตกลง
ตอนนี้ ในขณะที่ S&P500 กำลังย่อตัว ทองคงขึ้นมา correct ได้ระดับนึง
(ได้วิเคราะห์ไว้ในการวิเคราะห์ก่อนหน้านี้ ติดตามอ่านได้ที่ )
แต่ท้ายที่สุดแล้ว ภายในสัปดาห์นี้ ทองคงจะถูกเทขายเมื่อตลาดหุ้นได้ย่อตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว
จะเห็นว่าทองได้จบ price objective ที่ 4.236 fibonacci level แล้วครับ
ทอง และหุ้น ไม่ได้ top และ bottom พร้อมกันครับ จะมีเหลื่อมกันบ้างในด้านเวลา เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นว่าหุ้นขึ้นหรือลง ทองจะต้องวิ่งด้านตรงข้ามทันทีนะครับ
ความสัมพันธ์เหล่านี้ ต้องดูบริบทของตลาดในขณะนั้นด้วย
ผมคิดว่า ทองคำสามารถทำราคาได้ถึง 1296-1302 ในขณะที่ S&P500 กำลังย่อตัว ครับ
รอขายทองคำทุกครั้งที่ราคาดีดขึ้น
ขายไปจนกว่า S&P500 จะจบเวฟ 5 ครับ จากนั้นค่อยเริ่มซื้อทองคำได้อีกครั้ง
ปัจจัยพื้นฐาน : XAUUSD 26/1/2024ปัจจัยพื้นฐาน : XAUUSD 26/1/2024
ราคาทองคำยังคงซื้อขายแบบกรอบแคบในวันนี้ และอยู่ในระดับที่ขาดทุนเป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกัน เนื่องจากการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นทำให้เทรดเดอร์เกิดความกังวล โดยขณะนี้ข้อมูลเงินเฟ้อที่สำคัญและการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐกำลังอยู่ในความสนใจ
ในทางกลับกัน ราคาทองแดงมุ่งหน้าสู่ประสิทธิภาพที่แข็งแกร่งรายสัปดาห์ หลังจากที่ผู้นำเข้าชั้นนำอย่างจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นให้เกิดความหวังว่าความต้องการทองแดงจะยังคงแข็งแกร่ง
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในความเชื่อมั่นของสินทรัพย์ที่ขับเคลื่อนด้วยความเสี่ยง ซึ่งเมื่อประกอบกับระดับการปิดที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวอลล์สตรีทจึงส่งผลให้ความต้องการทองคำลดลงอีก
การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ตามข้อมูล GDP ที่แข็งค่าเกินคาด ยังส่งผลต่อราคาทองคำให้อยู่ในกรอบการซื้อขายที่ 2,000-2,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ความสูญเสียที่รุนแรงขึ้นในทองคำก็ถูกระงับไว้ด้วยความต้องการของสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่สงครามอิสราเอล-ฮามาส และความขัดแย้งที่เพิ่มมากขึ้นในตะวันออกกลางเลวร้ายลง
ข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ PCE จับตาการประชุมเฟด
ขณะนี้ตลาดกำลังรอสัญญาณใหม่ ๆ เกี่ยวกับนโยบายการเงินของสหรัฐฯ โดยเริ่มจากข้อมูล ดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคส่วนบุคคล ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อของเฟด และกำลังจะมีการเปิดเผยในวันนี้ รายงานดังกล่าวคาดว่าจะย้ำว่าอัตราเงินเฟ้อยังคงเหนียวแน่นในเดือนธันวาคม
อัตราเงินเฟ้อที่เหนียวแน่นประกอบกับสัญญาณฟื้นตัวที่เพิ่มขึ้นในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้เฟดมีพื้นที่เหลือมากขึ้นในการรักษาอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นได้นานขึ้น แนวคิดนี้คาดว่าจะจำกัดการเพิ่มขึ้นของทองคำในช่วงหลายเดือนข้างหน้า
เฟดมีกำหนดการจัดการประชุมในสัปดาห์หน้า และเป็นที่คาดการณ์กันอย่างกว้างขวางว่าจะยังคง อัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม ตลาดยังเริ่มเดิมพันด้วยว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้จนถึงการประชุมในเดือนมีนาคม ซึ่งเปลี่ยนจากความคาดหมายก่อนหน้านี้ที่เดิมพันว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยพื้นฐาน 25 จุด
แนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่จะสูงขึ้นต่อไปในระยะยาว ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงจะผลักดันต้นทุนเสียโอกาสในการลงทุนในทองคำ
สรุปมุมมอง
วิเคราะห์ทางเทคนิค :
Ma ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ : ขึ้น tfD
ตัวชี้วัดทางเทคนิค : ลง tfD
สรุปมุมมอง SW ไม่แน่นอน 1สงคราม 2***ถ้าเงินเฟ้อ คงดอก ทองลง 3 SP500 ทำให้สินทรัพปลดภัยราคาลดลง 4โครงสร้างเทรนขาลงอยู่
16/2/2566 XAUUSD(ระวังช่วงข่าว 20:30)
นักลงทุน วิตกว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนานกว่าที่คาดไว้ หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาด ⬇
XAUUSD แนวต้าน 1842.22 แนวรับ 1829.22 ถ้าผ่านแนวรับ หรือแนวต้าน มีแนวโน้มไปต่อ มีโอกาสทะลุต้าน1842มากกว่าในช่วงเช้า ⬆
DXY ชนแนวต้าน 104.050 แล้วปรับตัวลง ⬆
10Y ชนแนวต้าน 3.817% แล้วปรับตัวลง ⬆
SPDR ซื้อทอง 0.29ตัน ⬆
WTI สัญญาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงกว่า 1% หลุดระดับ 78 ดอลลาร์ในวันนี้ หลังสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นเกินคาดในสัปดาห์ที่แล้ว ⬇
สกุลเงิน + BTC ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย ⬆
คลาดหุ้นปิดเป็นบวก SP500 0.28% NASDAQ 0.92% DOWJONES 0.11% ⬆
(สรุปช่วงเช้ามีแนวโน้มจะไปชนต้าน1842.22 แล้วปรับตัวลง ถ้ายืนเหนือ1842.22ได้ แนวโน้มขึ้นต่อ)
( SELL 1842.22 SL1855 TP1829-1819 )
( ⬆ ⬇ -- ) สัญลักษณ์ส่งผลกับราคาทองคำ )
ZIRP และ QE 2020 กับสิ่งที่อาจเกิดขึ้น
คร่าวๆสั้นๆสำหรับ Zero interest rate policy และ Quantitative easing
เมื่อคืนวันที่ 15 มีนาคม 2020 ที่ผ่านมาได้มีเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจ นั่นคือการที่ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศนโยบาย ZIRP (Zero interest rate policy) รวมถึงประกาศทำ Quantitative easing (QE) เพื่อสู้กับวิกฤตทางตลาดหุ้นของสหรัฐฯ
- Zero Interest Rate Policy-
คือการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดดอกเบี้ยระยะสั้นหรือ 0% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีจุดหมายให้บริษัทห้างร้านรวมถึงคนทั่วไปสามารถกู้ยืมเงินเพื่อไปประกอบธุรกิจง่ายขึ้น
โดยปกติ การลดดอกเบี้ยเป็นวิธีกระตุ้นเศรษฐกิจที่ง่ายที่สุดที่ธนาคารกลางสามารถใช้ได้ แต่เมื่อดอกเบี้ยเป็น 0% หรือติดลบ แล้วยังไม่สามารถแก้วิกฤต ได้ สิ่งที่ธนาคารกลางสามารถทำเป็นสิ่งต่อไปคือ Quantitative Easing
- Quantitative Easing -
คือการที่ธนาคารกลางออกมาซื้อสินทรัพย์ของรัฐบาล หรือหน่วยงานอื่นเพื่อเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ
ล่าสุด คืนวันที่ 15 มีนาคม 2020 ที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐฯได้ประกาศ QE program โดยมีงบประมาณ 700 Billion USD
จุดอ่อนของ QE คือการที่มีจำนวนเงินในตลาดเพิ่มขึ้น ย่อมทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ รวมไปถึงการเสื่อมค่าของสกุลเงิน (ในที่นี้คือ US Dollar) ซึ่งในแง่ของผู้ผลิต อาจเป็นผลดี เพราะทำให้สินค้าของตนมีราคาถูกลงในตลาดโลก แต่ก็จะทำให้การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมีราคาแพงขึ้น
****************************************
การทำ QE ที่ผ่านมาในช่วงวิกฤต Subprime กว่าจะทำให้ตลาดกลับตัวเป็นขาขึ้นได้ ใช้เวลาเกือบ 6 เดือน
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับ QE ก็คือ ทองคำและน้ำมันมีการ Rally (ในภาพ สีเหลืองคือราคาทองคำ สีน้ำเงินคือSP500)
โดยทองคำได้ขึ้นสู่ All time high ในช่วงของการทำ QE นี้
ในเมื่อมีการทำ ZIRP และ QE อีกครั้ง คงต้องรอดูว่าราคาหุ้น ทองคำ และน้ำมันจะเป็นอย่างไร
สำหรับตลาดหุ้น จะระยะเวลานานแค่ไหนกว่าจะกลับตัว และราคาทองคำจะทำ new high อีกครั้งหรือไม่ คงต้องรอดูต่อไปครับ
XAU/USD - ไปเลยหรือลงไปพักก่อน
หาก Low 1502 เป็นจุดสิ้นสุดจริงๆ ราคาควรจะดีดตัวขึ้นไปที่บริเวณ 1590-2
แต่หากหลุด 1502 ลงมา
แนวรับใกล้สุดคือ 1492 ตามด้วย 1470 และ 1450
สำหรับ SP500
อาจจะจบเวฟ c แล้ว และอาจจะลงจากตรงนี้เลย
หรือ ถ้ายังไม่จบ น่าจะไปจบแถว 3000
หากเป็นยังงั้น ทองอาจจะลงอีก 1 ครั้งก่อนที่จะไปจบขา C บริเวณ 1590