XAUUSD วันชี้ชะตาข่าวอัตราดอกเบี้ยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 96.0% ที่เฟดจะปรับลด อัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการ ประชุมวันที่ 17 ก.ย.
นอกจากนี้ นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลด อัตราดอกเบี้ย 0.25% ทั้งในการประชุมเดือน ต.ค.และธ.ค.
นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พา วเวล ประธานเฟด หลังเสร็จสิ้นการประชุมวันที่ 17 ก.ย. เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ และทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ รวมทั้ง จับตารายงานคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ของเจ้าหน้าที่เฟด และตัวเลขประมาณ การเศรษฐกิจสหรัฐ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มวลรวม ภายในประเทศ (GDP) อัตราว่างงาน และอัตรา เงินเฟ้อ
ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าเฟดยังคงอัตรดอกเบี้ยเราอาจได้เห็นการเทขายทองเพื่อนทำกำไรครั้งใหญ่
เพื่อปรับฐาน
ตามตลาดคาดการเฟดต้องการที่จะลดอัตราดอกเบี้ยในคืนวันที่ 17 หรือ 18 เวลา 01:00
ภาพไกลยังมองเป็นขาขึ้นทางเดียวตลอดทั้งปี
Buy now
การเติบโต
𝐊𝐒_𝐓𝐒𝐌𝐂 𝐑𝐞𝐯𝐞𝐧𝐮𝐞 𝐑𝐞𝐩𝐨𝐫𝐭 𝐀𝐮𝐠𝐮𝐬𝐭 𝟐𝟎𝟐𝟓• TSMC รายงานรายได้เดือน ส.ค. ที่ 335.77 พันล้านไต้หวันดอลลาร์ เติบโต 34% YoY และ 4% MoM โดยรายได้ใน 2 เดือนของ 3Q25 บริษัทสามารถทำได้แล้วราว 69% ของ Guidance ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นราว 2% Pre market ที่ตลาดหุ้นนิวยอร์ก
• นับเป็นสัญญาณที่ดีต่อเนื่อง สำหรับหุ้นในกลุ่ม AI-related ต่อจากงบของ
1) Broadcom ที่ผู้บริหารมองปีหน้ารายได้จาก AI จะเติบโตมากกว่าที่เคยคาดไว้ที่ 60%
2) Oracle ที่ผู้บริหารมีมุมมอง Bullish มากขึ้น จากความต้องการใช้ Cloud โดยเฉพาะ AI Inferencing
3) Foxcon รายงานว่าเดือนสิงหาคมมีรายได้จาก AI server เติบโต 300% MoM
NYSE:TSM
𝐊𝐒 𝐖𝐞𝐚𝐥𝐭𝐡 𝐒𝐭𝐫𝐚𝐭𝐞𝐠𝐲
𝐊𝐒_𝐁𝐫𝐨𝐚𝐝𝐜𝐨𝐦_𝐄𝐚𝐫𝐧𝐢𝐧𝐠𝐬 𝐑𝐞𝐬𝐮𝐥𝐭 𝟑𝐐𝐅𝐘𝟐6Broadcom อัพเป้า AI ปีหน้า หนุนโดยลูกค้า XPU รายใหม่ ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นราว 5% after hours
• Broadcom รายงานผลประกอบการ 3Q’FY25 แข็งแกร่ง รายได้รวม $15.95 bn (สูงกว่าคาด $15.84 bn) เพิ่มขึ้น 22% YoY ขณะที่ EPS อยู่ที่ 1.69 (สูงกว่าคาด 1.67) โต 36% YoY หนุนโดยธุรกิจ AI semiconductor ที่รายได้แตะ $5.2 bn (โต 63% YoY) โดย XPU คิดเป็น 65% ของรายได้ AI และมีการเพิ่มลูกค้ารายที่ 4 ที่มี AI Rack Orders ใหม่ $10 bn (WSJ คาดว่าเป็น OpenAI) ส่งผลให้มี Backlog รวมสูงถึง $110 bn ขณะที่รายได้กลุ่มซอฟต์แวร์/VMware เติบโต 17% YoY และยังรักษา Gross Margin สูงกว่า 93%
• ปัจจัยสนับสนุนสำคัญคือคำสั่งซื้อ AI rack ขนาดใหญ่จากลูกค้า XPU รายใหม่ รวมถึงการเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่อย่าง Tomahawk 6 (102 Tbps Switch) และ Jericho 4 (Ethernet Router) รองรับการขยายตัวของ AI data center ecosystem อย่างไรก็ตาม ธุรกิจ non-AI semiconductor ยังไม่ฟื้นตัวแบบ V-Shape โดยไตรมาสนี้ยังลดลง ขณะที่ไตรมาสต่อไปคาดว่าจะเพิ่มเพียง low-single digit เท่านั้น มีเพียง Broadband ที่ฟื้นตัวแรง ส่วน Networking, Storage, Wireless ยังชะลอ ด้าน Gross margin รวมถูกกดดันจาก product mix ที่ XPU/Wireless margin ต่ำกว่า software แม้บริษัทจะควบคุมต้นทุนและเพิ่ม efficiency ได้ดี
• สำหรับแนวโน้ม 4Q’FY25 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวม $17.4 bn (สูงกว่าตลาดคาด $17.05 bn) โดย AI semiconductor จะขยายตัวต่อเนื่อง คาดแตะ $6.2 bn (+66% YoY) และ non-AI semiconductor จะยังคงฟื้นตัวช้า ขณะที่ซอฟต์แวร์ยังเติบโตต่อเนื่อง EBITDA margin คาด 67% เช่นเดิม CEO Hock Tan ประกาศต่อสัญญานั่ง CEO ถึงปี 2030 พร้อมเน้นย้ำว่าแนวโน้มรายได้ AI ใน FY26 จะ “เร่งตัว” (accelerate) มากกว่าปีนี้ ไม่ใช่แค่ maintain growth rate เดิมที่ 50-60% เหมือนไตรมาสก่อน สะท้อนมุมมอง Bullish ต่อ XPU และความมั่นใจในกลยุทธ์ AI/VMware เป็น growth engine หลักระยะยาว
💡 𝐈𝐦𝐩𝐥𝐢𝐜𝐚𝐭𝐢𝐨𝐧
• เราคงคำแนะนำซื้อ 𝐊𝐊𝐏 𝐓𝐄𝐂𝐇-𝐔𝐇 สำหรับการลงทุนเป็น 𝐒𝐚𝐭𝐞𝐥𝐥𝐢𝐭𝐞 𝐏𝐨𝐫𝐭𝐟𝐨𝐥𝐢𝐨 ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า จากผลประกอบการของ Broadcom ที่กองทุนถือครองเป็นดับที่ 6 (ราว 5%) มีผลประกอบการที่ดีกว่าคาดมาก หนุนโดยลูกค้า Hyperscaler ที่เร่งลงทุนใน XPU (ชิปที่แต่ละคนออกแบบเอง และนำไปใช้ในงานเฉพาะตัวในด้าน AI) ยิ่งไปกว่านั้น CEO ยังให้ Guidance รายได้จาก AI โต 66% สูงกว่าคาด และมองว่าปีงบประมาณ 2026 (เริ่ม 4Q25 ตามรอบปกติ) รายได้จะเติบโตแบบเร่งตัวขึ้นอีก ไม่ใช่ Growth ที่ 50-60% อย่างที่เคยประเมินไว้ในไตรมาสที่แล้ว ซึ่งมาจาก Order ของลูกค้ารายใหม่อย่าง OpenAI ทั้งนี้ตลาดยังได้ความมั่นใจมากขึ้นจากการที่ CEO ต่อสัญญากับบริษัทจนถึงปี 2030
NASDAQ:AVGO
💡คงคำแนะนำซื้อ 𝐊𝐊𝐏 𝐓𝐄𝐂𝐇-𝐔𝐇 สำหรับการลงทุนเป็น 𝐒𝐚𝐭𝐞𝐥𝐥𝐢𝐭𝐞 𝐏𝐨𝐫𝐭𝐟𝐨𝐥𝐢𝐨 ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า
𝐊𝐒 𝐖𝐞𝐚𝐥𝐭𝐡 𝐒𝐭𝐫𝐚𝐭𝐞𝐠𝐲
𝐊𝐒_𝐀𝐥𝐢𝐛𝐚𝐛𝐚_𝐄𝐚𝐫𝐧𝐢𝐧𝐠𝐬 𝐑𝐞𝐬𝐮𝐥𝐭 𝟏𝐐'𝐅𝐘𝟐𝟔💡ปรับมุมมองหุ้นจีนจาก Slightly Overweight ลงมาเป็น Neutral และแนะนำขายทำกำไร (Take profit)
Alibaba ร่วมสงครามส่งด่วน แต่คราวด์โตแรง อัด CAPEX โต 220%
ราคาหุ้น BABA ปรับตัวขึ้นราว 10% (21.10 น.) ที่ตลาดนิวยอร์ก
• Alibaba รายงานผลประกอบการ 1Q’FY26 ที่ผสมผสานโดยรายได้รวมอยู่ที่ 247.65 พันล้านหยวน (คาด 253.17) เพิ่มขึ้น 2% YoY โดยในไตรมาสนี้บริษัทได้ทำการ Re-segment โดยนำ Local Services ซึ่งรวมถึงธุรกิจ Food delivery อย่าง Eleme ที่มีการแข่งขันเดือดกับ Meituan และ JD เข้ามาไว้ในกลุ่ม China E-Commerce ที่ภาพรวมเติบโต 10% YoY, Quick Commerce โต 12% โดย MAU เดือนสิงหาคมแตะ 300 ล้านคน (+200% ตั้งแต่เมษายน) ดัน GMV, DAU และปริมาณออเดอร์รวมทำสถิติสูงสุดใหม่ จากผลของกลยุทธ์ดึงดูดผู้ใช้ใหม่และความสำเร็จของ 6.18 Shopping Festival แต่จากการลงทุนหนักใน Quick Commerce และต้นทุน user acquisition ส่งผลให้กำไรของกลุ่ม E-Commerce ลดลง 21% YoY และกำไรต่อหุ้นลดลง 10% YoY ต่ำกว่าคาด ขณะที่ธุรกิจ International Commerce อย่าง AliExpress และ Lazada ยังเติบโตแต่รายได้ต่ำกว่าคาด แม้จะลดการขาดทุนจนเกือบ breakeven จากการปรับปรุง unit economics และลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
• Bright spot ในไตรมาสนี้คือธุรกิจ Cloud ที่มีรายได้ 33.40 พันล้านหยวน (คาด 31.84 พันล้านหยวน) เติบโตสูงถึง 26% YoY ซึ่งเป็นอัตราเร่งที่สูงกว่าไตรมาสก่อน สะท้อน demand จากลูกค้าธุรกิจและการขยายตัวของตลาด AI ที่แข็งแกร่งโดยรายได้จากผลิตภัณฑ์ AI ยังคงเติบโตสามหลักต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 8 ติดต่อกัน นอกจากนี้ Alibaba Cloud ได้ต่อยอดสู่การเป็นพันธมิตรระดับโลกกับ SAP รองรับการขยายตัวในตลาดองค์กร และมีการพัฒนา AI foundation model ใหม่ ๆ ทั้งแบบเปิด (open-source) และเชิงพาณิชย์ กำไรของ Cloud อยู่ที่ 2.95 พันล้านหยวน (คาด 2.57 พันล้านหยวน) ด้วย EBITA margin 8.8% ซึ่งบริษัทเน้นย้ำว่าเน้นการ scale, การขยายฐาน user, use case และ ecosystem เป็นเป้าหมายหลัก มากกว่าการเน้นผลตอบแทนระยะสั้น
• ผู้บริหารเน้นชัดถึง “window of opportunity” ที่บริษัทพร้อม burn เงินลงทุนหนักเพื่อ scale สองเสาหลัก Consumption (E-Commerce/Quick Commerce) และ AI+Cloud ควบคู่กัน โดยประกาศลงทุนรวม 380 พันล้านหยวนใน 3 ปี และลงทุนจริงในไตรมาสนี้ 38.6 พันล้านหยวน (+220% YoY) ส่งผลให้ Free cash flow ไตรมาสนี้ติดลบ 18.82 พันล้านหยวน (-208% YoY) แม้กำไรระยะสั้นจะถูกกดดันจากต้นทุน acquisition, marketing, และ infra แต่ผู้บริหารมั่นใจว่าการเร่งขยายฐานลูกค้า, เทคโนโลยี, และ ecosystem ในตอนนี้จะเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต โดยเฉพาะ Cloud กับ Quick Commerce ที่จะเป็นแกนหลักผลักดันการเติบโตต่อไป
💡 𝐈𝐦𝐩𝐥𝐢𝐜𝐚𝐭𝐢𝐨𝐧
• เรามีมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการของ Alibaba ที่แม้จะเข้าร่วมสงครามราคาในธุรกิจ E-Commerce และ Food delivery กับ Meituan และ JD แต่ด้วยความที่ Alibaba ไม่ใช่ Pure play จากการที่มีธุรกิจ Cloud ที่ไตรมาสนี้ทั้งรายได้ และกำไรมากกว่าที่ตลาดคาดค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตาม Cloud margin ในไตรมาสถัดๆ ไป จากการที่ Alibaba อัดงบ CAPEX หนักจน Free cash flow ติดลบแรง อีกทั้งผู้บริหารยังเน้นว่าตอนนี้ยังต้องการ scale มากกว่าผลกำไร
• แม้ผลประกอบการของ Alibaba ที่กองทุน 𝐊𝐓-𝐂𝐇𝐈𝐍𝐀-𝐀 ถืออยู่ราว 7% ของพอร์ตจะออกมาค่อนข้างดี แต่ด้วยผลประกอบการโดยภาพรวมของหุ้นเทคฯ จีนในไตรมาสนี้ค่อนข้างอ่อนแอ เมื่อเทียบกับระดับ Valuation ที่ขึ้นมาแถว +1SD แล้ว เทียบกับคุณภาพของกำไร เรามองว่าหุ้นจีนมี Upside ที่จำกัด เราจึงปรับมุมมองหุ้นจีนจาก Slightly Overweight ลงมาเป็น Neutral และแนะนำขายทำกำไร (Take profit)
HKEX:9988 NYSE:BABA
𝐊𝐒 𝐖𝐞𝐚𝐥𝐭𝐡 𝐒𝐭𝐫𝐚𝐭𝐞𝐠𝐲
𝐊𝐒_CRWD_𝐄𝐚𝐫𝐧𝐢𝐧𝐠𝐬 𝐑𝐞𝐬𝐮𝐥𝐭 𝟐𝐐'𝐅𝐘𝟐𝟔CrowdStrike เติบโตแข็งแกร่ง แต่ตลาดกังวลหลังรายได้ Q3 ต่ำคาด ราคาหุ้นปรับตัวลงราว 4% (9.30 น.) After hours
• CrowdStrike รายงานผลประกอบการ 2Q’FY26 ที่แข็งแกร่งกว่าคาด ทำสถิติสูงสุดใหม่ในหลายด้าน โดยรายได้รวมอยู่ที่ 1,169 ล้านดอลลาร์ (+21% YoY) และ Net new ARR หรือยอดขายสัญญาใหม่เพิ่มอีก 221 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน รวมถึงกระแสเงินสด (Free cash flow) 284 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 24% ของรายได้ จุดเด่นในกลุ่มผลิตภัณฑ์คือ Cloud Security (การปกป้องระบบคลาวด์), Next-gen Identity (โซลูชันจัดการและป้องกันตัวตนผู้ใช้), และ SIEM (ระบบวิเคราะห์และเฝ้าระวังเหตุการณ์ความปลอดภัยแบบเรียลไทม์) ทั้งหมดนี้มีรายได้รวมกว่า 1,560 ล้านดอลลาร์ โตถึง 40% เมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ Charlotte AI Agent ซึ่งเป็นระบบผู้ช่วยด้านความปลอดภัยแบบอัตโนมัติด้วย AI ก็เติบโตต่อเนื่องถึง 85% QoQ
• ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันความสำเร็จ คือความต้องการด้าน AI Security ที่เพิ่มขึ้น และรูปแบบการขาย Falcon Flex ที่ให้ลูกค้าเลือกใช้งานโมดูล (Modules) ได้ยืดหยุ่น เช่น EDR, Cloud, Identity, SIEM, IT Hygiene ฯลฯ โดยลูกค้าสามารถขยายบริการได้ตามต้องการ ปัจจุบันลูกค้า 60% ที่มียอดใช้งานเกิน 100,000 ดอลลาร์ต่อปี ได้ใช้งานมากกว่า 8 โมดูลแล้ว ขณะที่โดยรวม มีลูกค้าใช้งานครบ 6, 7, 8 โมดูลคิดเป็นสัดส่วน 48%, 33% และ 23% ของฐานลูกค้าทั้งหมด (Modules หมายถึงชุดฟีเจอร์หลัก ๆ ที่ลูกค้าเลือกติดตั้งเสริมตามความต้องการ เช่น การตรวจจับภัยคุกคาม, การจัดการตัวตน, การเฝ้าระวัง, และการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์)
• อย่างไรก็ตาม Guidance รายได้ Q3 ที่ 1,208–1,218 ล้านดอลลาร์ (+20–21% YoY) และรายได้ทั้งปี FY26 ที่ 4,750–4,810 ล้านดอลลาร์ (+20–22% YoY) ยังออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ตลาดมีความกังวล แม้ผู้บริหารยังคงมั่นใจในเป้าหมายการเติบโตของ Net new ARR ครึ่งปีหลัง (อย่างน้อย 40% YoY), Ending ARR โตเกิน 22% YoY และ Free cash flow margin จะขยายเป็น 27% ใน Q4 และมากกว่า 30% ในปีหน้า โดยโทนของผู้บริหารยังคงเน้นกลยุทธ์การผลักดันลูกค้าให้ใช้งานโมดูลต่อรายเพิ่มขึ้น และการพัฒนาโซลูชัน AI ให้เป็นศูนย์กลางของแพลตฟอร์ม เทียบกับไตรมาสก่อนที่ยังเน้นการฟื้นตัว รอบนี้บริษัทแสดงความมั่นใจมากขึ้น
NASDAQ:CRWD
𝐊𝐒 𝐖𝐞𝐚𝐥𝐭𝐡 𝐒𝐭𝐫𝐚𝐭𝐞𝐠𝐲
𝐊𝐒_𝐓𝐫𝐢𝐩 .𝐜𝐨𝐦_𝐄𝐚𝐫𝐧𝐢𝐧𝐠𝐬 𝐑𝐞𝐬𝐮𝐥𝐭 𝟐𝐐𝟐𝟓Trip นทท. Inbound พุ่ง 100% Outbound ทะลุ 120% pre-covid ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นราว 9% (9.30 น.) After hours ที่ตลาด Nasdaq
• Trip รายงานผลประกอบการ 2Q25 ที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยมีรายได้ 14.8 พันล้านหยวน (สูงกว่าคาด 14.65 พันล้านหยวน) +16% YoY สะท้อนความต้องการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่องในทุกกลุ่ม โดยเฉพาะธุรกิจ Online Travel Agency ต่างประเทศที่เติบโตโดดเด่น การจองบนแพลตฟอร์มนอกจีนเพิ่มขึ้นมากกว่า 60% YoY, การจองนักท่องเที่ยวต่างชาติ (Inbound) เพิ่มขึ้นกว่า 100% YoY ขณะที่การจองโรงแรมและตั๋วเครื่องบินขาออกจากจีนสูงกว่าระดับก่อนโควิด 120% และกลุ่ม APAC ยังคงเป็นหัวใจหลักของการเติบโต รายได้ธุรกิจโรงแรมโต 21% หนุนโดยความต้องการในประเทศและต่างประเทศที่แข็งแกร่ง, ตั๋วเดินทาง โต 11% ตาม capacity สายการบินที่ฟื้นตัว, ธุรกิจทัวร์โต 5% แม้จะเติบโตช้ากว่า segment อื่น แต่ได้แรงหนุนจากการขยายทัวร์ต่างประเทศ และธุรกิจลูกค้าองค์กรโต 9% ตามเทรนด์การเดินทางเชิงธุรกิจที่กลับมา
• ปัจจัยสนับสนุนสำคัญคือการขยายตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ ทั้งกลุ่มสูงวัย (Old Friends Club) ที่ GMV โตเกิน 100% และกลุ่มวัยรุ่น/บันเทิงที่รายได้จากกิจกรรมคอนเสิร์ตและกีฬาโตเกิน 100% เช่นกัน โดย Trip มุ่งเน้นการยกระดับนวัตกรรมด้วย AI Trip Planner ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้แบบ personalized และเครื่องมือสนับสนุนโรงแรม (IntelliTrip) ที่ช่วยแปลภาษา 26 ภาษาและสร้าง content อัตโนมัติ ทำให้บริการของบริษัทครบวงจรและสร้างคุณค่าเพิ่มทั้งฝั่งลูกค้าและพาร์ทเนอร์
• อย่างไรก็ตาม บริษัทเผชิญแรงกดดันจากต้นทุนและค่าใช้จ่ายบุคลากร/การตลาดที่เพิ่มขึ้น (ต้นทุนรายได้ +22% YoY, Sales & Marketing +17% YoY) และการแข่งขันในตลาด OTA ที่เข้มข้นขึ้น (เช่น JD และผู้เล่นใหม่ในเอเชีย) ทำให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 5.01 พันล้านหยวน แม้จะมากกว่าคาดที่ 4.35 พันล้านหยวด แต่ Flat YoY สะท้อนแรงกดดันต่อกำไรจากต้นทุน-การแข่งขัน แม้ผู้บริหารจะเน้นคุณภาพมากกว่าการแข่งขันด้านราคา แต่ต้องจับตาผลกระทบต่อ margin และ ROI ของแคมเปญการตลาด สำหรับแนวโน้มข้างหน้า Trip มองบวกต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวโลก โดยเฉพาะการขยายฐานนักท่องเที่ยวขาเข้าจีนที่ยังมีโอกาสเติบโตมาก (contribution ต่อ GDP ของจีนยังต่ำกว่าประเทศพัฒนา) โดยจะเน้นลงทุนในนวัตกรรม AI และบริการครบวงจร พร้อมรักษาวินัยด้านต้นทุน เพื่อเสริมความสามารถในการเติบโตในระยะยาว
𝐊𝐒 𝐖𝐞𝐚𝐥𝐭𝐡 𝐒𝐭𝐫𝐚𝐭𝐞𝐠𝐲
NASDAQ:TCOM
𝐊𝐒_𝐍𝐯𝐢𝐝𝐢𝐚_𝐄𝐚𝐫𝐧𝐢𝐧𝐠𝐬 𝐑𝐞𝐬𝐮𝐥𝐭 𝟐𝐐'𝐅𝐘𝟐𝟔💡 𝐁𝐮𝐲 𝐨𝐧 𝐝𝐢𝐩 คงคำแนะนำซื้อ 𝐊𝐊𝐏 𝐓𝐄𝐂𝐇-𝐔𝐇 สำหรับการลงทุนเป็น 𝐒𝐚𝐭𝐞𝐥𝐥𝐢𝐭𝐞 𝐏𝐨𝐫𝐭𝐟𝐨𝐥𝐢𝐨 ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า
Nvidia รายได้ Data Center ต่ำคาด แต่อาจ Ramp ขึ้นใน Q3 ราคาหุ้นปรับตัวลงราว 3% After hours
• Nvidia รายงานผลประกอบการ 2Q’FY26 ที่ยังเติบโตโดดเด่น แม้เผชิญแรงกดดันจากข้อจำกัดการส่งออกชิปไปจีน รายได้รวมอยู่ที่ $46.74 bn (สูงกว่าคาด $46.23 bn) และกำไรต่อหุ้น $1.05 (คาด $1.01) แต่รายได้จาก Data Center อยู่ที่ $41.1 bn (ต่ำกว่าคาด $41.29 bn) เพราะกลุ่ม Compute ได้รับผลกระทบจากตลาดจีน ($33.84 bn ต่ำกว่าคาด $34.19 bn) ขณะที่กลุ่ม Networking กลับทำได้ดีมาก $7.25 bn (มากกว่าคาด $5.07 bn) เติบโต 98% YoY จากความต้องการโซลูชัน rack-scale ที่ต้องใช้ Networking เชื่อมต่อระหว่าง Rack/datacenter ในกลุ่ม hyperscaler รายใหญ่ เช่น AWS, Google Cloud, Microsoft Azure และ CoreWeave
• แรงขับเคลื่อนหลักในไตรมาสนี้มาจากการเร่งลงทุน Reasoning/Agentic AI ของลูกค้ากลุ่ม Cloud และ Enterprise ที่ต้องการประมวลผล LLM ขนาดใหญ่ ส่งผลให้รายได้จาก Blackwell เติบโต 17% QoQ โดยเฉพาะ Blackwell Ultra (GB300) ซึ่งขณะนี้ ramp-up การผลิตเต็มกำลัง, ส่งมอบให้ CSP ระดับโลกแล้วสัปดาห์ละ 1,000 racks และเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาสนี้ โดยยอดจองเต็ม capacity และจะเร่งส่งมอบมากขึ้นอีกใน Q3 นำโดย CoreWeave ที่เป็น early adopter ทั้งนี้ OPEX และ Inventory เพิ่มขึ้นเพื่อตอบรับการ ramp-up Blackwell Ultra รองรับดีมานด์ที่ยังล้นตลาด ขณะเดียวกัน Gaming โต 49.7% YoY และ Automotive/Robotics โต 69% YoY จากกระแส AI PC และเทรนด์รถยนต์อัตโนมัติ
• สำหรับแนวโน้มข้างหน้า Nvidia ให้ Guidance Q3 เป็นบวก คาดรายได้ $54 bn (±2%) สูงกว่าคาด $53.46 bn และ Gross Margin ฟื้นตัวที่ 72.7% จาก 71.3% ไตรมาสก่อนหน้า โดยมีเป้าหมายแตะระดับกลาง 70% ในช่วงปลายปี นอกจากนี้ การเร่งลงทุน AI Infrastructure ของ hyperscaler รายใหญ่ดัน CAPEX อุตสาหกรรมแตะ $600 bn/ปี และคาดว่าจะเพิ่มเป็น $3-4 tn ใน 5 ปีข้างหน้า สำหรับรายได้ใน Q3 อาจมี Upside ขึ้นอีกหากข้อจำกัดการส่งออกไปจีนคลี่คลาย ซึ่งอาจเพิ่มรายได้ $2-5 bn พร้อมกันนี้ Nvidia ยังเดินหน้าเตรียมผลิต Rubin platform รุ่นใหม่ในปีหน้า เพื่อรองรับคลื่นความต้องการ AI ที่ยังขยายตัวต่อเนื่องทั่วโลก
💡 𝐈𝐦𝐩𝐥𝐢𝐜𝐚𝐭𝐢𝐨𝐧
• เรามองผลประกอบการของ Nvidia ออกมาค่อนข้างดี แม้รายได้ Data Center จะต่ำกว่าคาดเล็กน้อย แต่หากดูรายละเอียดจะเห็นว่าถูกฉุดจากฝั่ง Compute (ชิปประมวลผล) ซึ่งได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดในจีน ขณะที่รายได้จาก Networking (อุปกรณ์เชื่อมต่อภายใน Rack/Data Center) กลับทำได้ดีกว่าคาดและเติบโตเกือบ 100% สะท้อนว่าดีมานด์ฝั่งการขายเป็น Rack ให้กับ Hyperscaler รายใหญ่ยังขยายตัวแรง แม้การขายชิปเดี่ยวไปจีนจะเจออุปสรรคก็ตาม
• นอกจากนี้ Nvidia ยังให้ Guidance รายได้ใน 3Q'FY26 ที่สูงกว่าตลาดคาด (ไม่นับรวม H20 ในจีน) และเติบโตจากไตรมาสก่อนอย่างมีนัยสำคัญ บ่งชี้การ Ramp up ที่จะเกิดขึ้นในไตรมาสถัดไป ขณะเดียวกัน Gross margin ก็ฟื้นตัวชัดเจน และมีเป้าหมายกลับสู่ 75% ในช่วงปลายปี ซึ่งสะท้อนว่าการเปลี่ยนผ่านจาก Hopper สู่ Blackwell เสร็จสมบูรณ์แล้ว ขณะที่การอัปเกรดจาก Blackwell ไป Blackwell Ultra จะ Seamless ยิ่งขึ้น เนื่องจากใช้สถาปัตยกรรมเดียวกัน นำไปสู่การเพิ่มศักยภาพกำไรและโอกาสการเติบโตต่อเนื่องในระยะถัดไป
• จากราคาหุ้นที่อาจปรับตัวลงในระยะสั้น แต่รันเวย์ระยะกลาง-ยาว ค่อนข้างชัดเจนว่าดี เราคงคำแนะนำซื้อ 𝐊𝐊𝐏 𝐓𝐄𝐂𝐇-𝐔𝐇 สำหรับการลงทุนเป็น 𝐒𝐚𝐭𝐞𝐥𝐥𝐢𝐭𝐞 𝐏𝐨𝐫𝐭𝐟𝐨𝐥𝐢𝐨 ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า
𝐊𝐒 𝐖𝐞𝐚𝐥𝐭𝐡 𝐒𝐭𝐫𝐚𝐭𝐞𝐠𝐲
RELX บริษัทดี Business Model งาม แต่ก็แพงแบบอิหยังหน่อยๆRELX: ผู้ให้บริการข้อมูลและการวิเคราะห์ชั้นนำระดับโลก
RELX เป็นบริษัทมหาชนสัญชาติอังกฤษ ผู้ให้บริการข้อมูลและการวิเคราะห์ชั้นนำระดับโลก ที่มีบทบาทสำคัญในการให้บริการข้อมูลและการวิเคราะห์ (information and analytics) แก่ลูกค้าธุรกิจและมืออาชีพทั่วโลก รวมถึงด้านการศึกษาและวิจัยทางวิชาการ
โดย RELX เอง ดำเนินการผ่านธุรกิจผ่าน 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ดังต่อไปนี้
1. งานวิจัย Scientific, Technical & Medical - STM คิดเป็น 33.4% ของรายได้
- ดำเนินการภายใต้แบรนด์ Elsevier
- เป็นผู้ตีพิมพ์บทความวิชาการชั้นนำของโลก (600,000 บทความในปี 2021)
- ให้บริการฐานข้อมูลวิชาการผ่านแพลตฟอร์มอย่าง ScienceDirect (18 ล้านเอกสาร) และ Scopus
2. การบริหารความเสี่ยง (Risk) คิดเป็น 34.2% ของรายได้
- ให้บริการเครื่องมือช่วยตัดสินใจด้านความเสี่ยงสำหรับธนาคารและบริษัทประกันภัย
- ช่วยตรวจจับการฟอกเงิน และการฉ้อโกง
- 84% ของบริษัทใน Fortune 500 เป็นลูกค้าของ RELX และ 9 ใน 10 ธนาคารชั้นนำของโลกก็เป็นลูกค้าของ RELX เช่นกัน
3. การบริการด้านกฎหมาย (Legal) คิดเป็น 20.2% ของรายได้
- ดำเนินการภายใต้แบรนด์ LexisNexis
- ฐานข้อมูลทางกฎหมายและข่าวสารมีเอกสารมากกว่า 119 พันล้านฉบับ
- 85% ของรายได้มาจากการให้บริการแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งช่วยรีดใ้ห Operating Margin ของบริษัทดีมากเลยล่ะ
และ BU สุดท้าย
4. การจัดนิทรรศการ (Exhibitions) คิดเป็น 12.2% ของรายได้
- ดำเนินการภายใต้ชื่อ RX (เดิมคือ Reed Exhibitions)
- เป็นบริษัทจัดนิทรรศการที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดงานแสดงสินค้า 500 งานสำหรับผู้ออกบูธ 140,000 รายและผู้เข้าชม 7 ล้านคน
------------------------------------------------------------------------
ปี 2024 RELX มีรายได้อยู่ที่ £9.434 พันล้าน และมีกำไรสุทธิ £1.934 พันล้าน
หลักๆ แล้ว โครงสร้างรายได้ของธุรกิจเน้นไปที่การให้บริการแบบดิจิทัลและการสมัครสมาชิกทำให้บริษัทมีรายได้ที่มั่นคงและคาดการณ์ได้:
- 93% ของรายได้ทั้งหมดมาจากผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัล
- รายได้จากการสมัครสมาชิกแบบต่อเนื่องมีมูลค่า £6.4 พันล้านในปี 2023
- อัตราการต่ออายุสมาชิกมากกว่า 90% ในทุกส่วนธุรกิจ
-------------------------------------------------------------------------
RELX ให้บริการลูกค้ากว่า 180 ประเทศทั่วโลก โดยส่วนใหญ่เป็นองค์กรขนาดใหญ่และเสิร์ฟผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขาวิชาชีพ ครอบคลุมอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเลยล่ะคุณ โดยเบื้องต้นเรากล่าวไ้แล้วคร่าวๆ เกี่ยวกับลูกค้า จากข้อมูลเพิ่มเติม เราใส่มาเพิ่มดังนี้ฮะ
- สถาบันการศึกษาและการวิจัย
- บริษัทใน Fortune 500 (84%)
- ธนาคารชั้นนำของโลก (9 ใน 10 แห่ง)
- บริษัทประกันภัยชั้นนำ (21 ใน 25 แห่ง)
- สำนักงานกฎหมาย
- หน่วยงานภาครัฐ
------------------------------------------------------------------------------
Competitive Advantage & Moat
gvk]jt มาอยู่ในหัวข้อที่ทุกคนน่าจะให้ความสนใจกัน RELX มี moat ที่แข็งแกร่งหลักๆ 2 เรื่อง ซึ่งเราว่าเรื่องนี้มันช่วยให้บริษัทรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน 2 หัวข้อที่ว่าคืออันนี้:
1. High Switching Costs ต้นทุนการเปลี่ยนแปลงสูง
- ส่วนหนึ่งมาจากแบรนด์ และการที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งต้องการนำเสนอ Research ดีๆ ให้กับเล่ม Research ของทาง Science Direct หรือแม้แต่การใช้ SCopus เพื่อตรวจจับการโกง
- สิ่งนี้เลยทำให้บรรดาอาจารย์ และลูกค้าที่ใช้บริการของ RELX มีต้นทุนในการเปลี่ยนไปใช้บริการของคู่แข่งสูง หากคู่แข่งไม่มีของแบบนี้มาสู้ได้ และว่ากันตามตรงเราว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องของความภาคภูมิของมหาลัยด้วยล่ะ ที่อยากจะตีพิมพ์ Research ดีๆ กับเจ้าดังๆ ซึ่ง RELX สั่งสมประสบการณ์มามากเลย
- ซึ่งเรื่องที่เรากล่าวไป มันเลยสะท้อนมาที่อัตราการต่ออายุสมาชิกที่สูงถึง 90% แสดงให้เห็นถึงการล็อคลูกค้าได้ดีเลย
2. ความประหยัดจากขนาด (Economies of Scale)
- ด้วยความที่เขาเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม นั่นเลยทำให้บริษัทมีมีเครือข่ายลูกค้าขนาดใหญ่ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับแพลตฟอร์ม
- และด้วยเรื่องต้นทุนต่างๆ ที่พอบริษัทหันมาอยู่ในโลกดิจิตัลแล้ว มันเลยไม่ได้มีมากขนาดนั้น ยิ่งสเกลได้ง่าย
และจุดขายอื่นๆ ที่นอกจาก Moat ก็มีเรื่องของ
ฐานข้อมูลกรรมสิทธิ์เฉพาะ (Proprietary Database)
- ที่บริษัทครอบครองฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่รวบรวมมาเป็นเวลานาน เช่น ScienceDirect ที่มีเอกสารกว่า 18 ล้านชิ้น และ LexisNexis ที่มีเอกสารกว่า 119 พันล้านฉบับ
- ซึ่งข้อมูลพวกนี้อาจจะยากหน่อยต่อการลอกเลียนแบบหรือสร้างใหม่ ทำให้คู่แข่งเข้ามาแข่งขันได้ยาก
และอีกเรื่องที่น่าจะพูดถึง คือ
ความต้านทานต่อวัฎจักรเศรษฐกิจ (Anti-cyclical)
- บริการวิเคราะห์ข้อมูลของ RELX มีความจำเป็นไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจจะเป็นยังไง เพราะว่าโลกมันถูกขัยเคลื่อนด้วยการ R&D ล้วนๆ และ Trust เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ
- นอกจาดนี้ ลูกค้ายังคงต้องใช้ข้อมูลและเครื่องมือวิเคราะห์แม้ในช่วงเศรษฐกิจถดถอยด้วย
------------------------------------------------------------------------------------------------------
จากทั้งหลายทั้งปวงนี้ มันสนับสนุนว่าบริษัทนี้มันดูน่าสนใจ น่าแข็งแกร่งมากเลย
และมันส่งให้ภาพสติรี่ของบริาัทดูมีอะไรให้เล่นอีกมากด้วย ผ่าน Usecase ของ AI ใหม่ๆ
แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยนะคุณ ว่าบริษัทนี้ รายได้โตแค่หลักเดียว และกำไรโตแค่หลัก 1x% แต่บริษัทกลับถูกเทรดอยู่ที่ P/E 5x เท่า ซึ่งว่ากันตามตรงแล้ว หุ้นกลุ่มนี้ อาจจะอยู่ในขอบข่ายของทาง Passive Fund ที่ต้องซื้อหุ้นในตระกร้าของ ETF ฝั่ง Euro Zone แน่ๆ อยู่แล้ว กับส่วนหนึ่งอาจจะเป็นนักลงทุนที่อาจจะเป็นสาย Mometum Play
น่าเสียดายหากท่านเป็นนักลงทุนสาย Growth Investor แล้ว การที่บริษัทเทรดที่ P/E ระดับนี้ รวมถึง Growth ที่ไม่ได้สูงขนาดนั้น คงเป็นเรื่องที่น่าลำบากใเหมือนกัน หากเราจะซื้อ ณ ระดับ P/E นี้ จนอดคิดไม่ได้ว่านี่เป็นการลงทุนที่ดีหรือเปล่า หรือว่าเราควร Say Bye แล้วไปหาตัวอื่นต่อไป
สำหรับเราแล้ว เราอาจจะมองว่าหุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่อาจจะแพงแบบไร้สาระไปหน่อย แต่ในความไร้สาระนั้น พื้นฐานของเขาก็นับว่าไม่เลว และสมควรที่จะถูกหยิบเป็นเคสของบริษัทที่มีความแข็งแกร่งในเรื่องของ Revenue Stream อย่างแท้จริง และ Business Model แบบนี้ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ เสียด้วย
และด้วยความแพงระดับนี้ เราให้เขาอยู่ในระดับ ของขลังของวงการการเงิน อย่าง ASML , NVDA , LIN , ISRG ที่แบบเก่งมากกก เก่งเกินจนแบบต้องเทรด P/E ระดับนี้
ไว้คราวหน้าเราจะหาตัวที่คล้ายๆ แบบนายให้เจอนะ
ขอจบการบ่นแต่เพียงเท่านี้
FN, bad habits but it's interestingNYSE:FN
buy at 201.96 or wait it for buy on dip
Confirmation Checklist
+ Price > Running Line (D W M)
== not bad in Volume (D)
== Base is interesting but it's quite high
== Pattern
+ Revenue growth
Action Plan
○ Sell All, if close < SL
○ Sell 50, if close > TP and adjust SL to 216.84
Sell the rest whenever you want
ESNT good pivot point from good baseNYSE:ESNT
//55.21 //51.92 //65.51
Confirmation Checklist
+ Price > Running Line (D W M)
- not good in Volume (D)
+ Base, the time was spent to built base not too short
+ Pattern, break from upper base zone
+ Revenue growth
Action Plan
○ Sell All, if close < SL
○ Sell 30, if close > TP and adjust SL to 53.35
Sell the rest whenever you want
จักรวย analysisETH คือ L1 ที่ดีที่สุด จะเป็น infrastructure ให้กับ DApp เเละเป็น base layer ให้กับผู้ที่จะมาสร้างL2 ทั้งสาย ZKRoll Up เเละ Opitimistic Rollup // ในเเง่ MK Cap มันสามารถขึ้นไปเเตะระดับ Trillions ได้เเบบสบายๆ เหมือนได้ซื้อหุ้นTechที่ราคาถูกๆ เพราะฉะนั้น 10,000ดอลก็เเค่ทางผ่าน อิอิ // ETH คือ investment asset ที่ดีที่สุดตั้งเเต่โลกนี้ถือกำเนิดขึ้นมา หน้าที่พวกมึงคือหาเงินให้ได้เยอะๆ เเดกน้อยๆ เเล้วเอาเงินมาลงใน ETH ให้หมด อิอิ // ถ้าBull run รอบหน้ามาเมื่อไหร่ ตอนที่ราคาขึ้น มันจะขึ้นจนพวกมึงต้องร้องขอชีวิต ฮรี่ๆๆๆ
[แกะหุ้นเด้ง pt.2] เล่า BizModel+งบ กับ Evolution หุ้น 100 เด้ง Evolution AB ตำนานหุ้น 100 เด้ง และเป็น หุ้น 10 เด้งใน 5 ปี
.
บริษัท Evolution AB เป็นบริษัทสัญชาติสวีเดนที่ประกอบธุรกิจเว็บพนันออนไลน์ที่มีอัตราการเติบโตในระดับที่น่าประทับใจ ผู้เพียบพร้อมทั้งเรื่องการเติบโตของรายได้ ผลกำไร และอัตราส่วนทางการเงิน ที่ไม่ว่าใครมาเห็นต้องอยากได้หุ้นตัวนี้มาประดับพอร์ตการลงทุนอย่างแน่แท้
.
โดยบริษัทเองนอกจากทำอัตรากำไรในระดับที่น่าพึงพอใจแล้ว บริษัทเองก็มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (CFO) และกระเงินสดอิสระ (FCF) เป็นบวกมาตลอดระยะเวลาหลายปี และมีเทรนด์ที่เป็นขาขึ้นตลอด จนกลายเป็นหุ้น 10 เด้งในระยะเวลา 5 ปี (และเป็นหุ้น 20 เด้ง เมื่อตอนที่ตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ ณ จุดสูงที่สุดตอนช่วงปี 2021)
.
และเราเองก็สามารถเป็นเจ้าของหุ้นนี้ได้ ผ่านการประยุกต์ใช้หลักการของคุณปีเตอร์ ลินซ์ ผ่านเพลย์บุคอย่างเล่ม One Up on Wall Street ด้วยการซื้อหุ้นที่มีค่า PEG ต่ำกว่า 1 ในการลงทุนได้ครับ
.
.
.
ทั้งหลายนี้แสดงให้เราเห็นอะไรบ้าง ก่อนอื่นผมขอพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับอัตราส่วน PEG ที่จะเป็นผู้ช่วยในการเลือกซื้อหุ้นนี้กันก่อนครับ
.
หุ้นมี PEG ต่ำกว่า 1 เท่า เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่แสดงให้เราเห็นว่า “หุ้นตัวนี้มีโอกาสขึ้น” จากการ “ปรับค่า PE ใหม่ของนายตลาดสู่ระดับที่ควรจะเป็น”
.
สมการของ PEG คือ PE / EPS Growth และสมการของ PE คือ Price / EPS
.
EPS ขึ้น หากราคาเท่าเดิม PE จะต่ำลงตามสมการ , เมื่อนายตลาดเห็น PE ที่ถูกลง นายตลาดก็อาจปรับ PE กลับไปสู่จุดเดิมได้
.
เช่น เมื่อก่อนหุ้นตัวหนึ่งถูกเทรดที่ ราคา 15 บาท ที่ PE 15 เท่า และมีกำไรต่อหุ้นที่ 1 บาท (สมการ Price = PE * EPS) ต่อมาหุ้นนี้มีกำไรเติบโต 30% หรือกำไรต่อหุ้นได้เปลี่ยนเป็น 1.3 บาทต่อหุ้น (EPS ใหม่ = EPS เดิม * อัตราการเติบโต , EPS ใหม่ = 1* = 1.3 บาทต่อหุ้น )
.
ทำให้ค่า PEG ของบริษัทเทรดอยู่ที่ 15/30 = 0.5 เท่า หากหุ้นนี้เทรดอยู่ที่ราคา 15 บาทเท่าเดิม ตอนนี้ PE ของบริษัทก็จะอยู่ที่ 11.53 เท่า
.
.
.
ดังนั้นแล้ว การที่บริษัทจะกลับไปเทรดเท่าเดิมที่ PE 15 เท่าเดิมได้นั้น ราคาหุ้นจะต้องไปอยู่ที่ 19.5 บาท คิดเป็น Upside ในสัดส่วนที่เทียบเท่ากับการเติบโตของกำไร 30%
.
แต่ทั้งนี้สิ่งที่เราต้องพิจารณา คือกำไรที่ได้มานี้ “เป็นกำไรจากการดำเนินงานที่เติบโตตามธรรมชาติบริษัท” หรือไม่ เราต้องพิจารณาผ่านการอ่านรายงานผลประกอบการรายไตรมาสด้วย
.
เพราะหากบริษัทได้กำไรมาจากกิจกรรมพิเศษ (เช่นการขายที่ดินออก การได้เงินประกัน) ความสามารถในการทำซ้ำอีกครั้งก็นับว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลย เช่น ถ้าบริษัทขายที่ดินแปลงนั้นไปแล้ว เราก็คงไม่สามารถเสกที่ดินแปลงเดิมมาขายใหม่ทุกๆ ปีได้ใช่ไหมครับ
.
ต่อมาเมื่อการทำซ้ำไม่มีแล้ว เมื่อปีหน้ามาถึงกำไรส่วนที่ได้จากกิจกรรมก่อนหน้าจะหายไป ตรงนี้จะทำให้นายตลาด “ตีมูลค่าบริษัทให้ต่ำลง” (จากการที่ EPS ลดลง) ในที่สุด
.
.
.
กลับมาที่บริษัท Evolution AB ราคาหุ้นของบริษัทเคยเทรดอยู่ในระดับที่ PEG ต่ำ 1 อยู่หลายช่วงเวลาเหมือนกันครับ โดยช่วงที่เห็นได้ชัดมากที่สุดคือตอนกลางปี 2017 จนถึงท้ายปี 2018 ต้นปี 2019 หากเราได้ซื้อหุ้นตัวนี้ในช่วงราคา 140 เหรียญ (Swedish Krona) ตอนเดือนกันยายน 2018 ซึ่งเป็นจุดซื้อที่จั่วยอดดอย ณ PEG Ratio 0.9x และทนถือเพื่อรอกำไรและราคาหุ้นบริษัทเบ่งบานตอนเดือนเมษายน 2021 ที่ราคา 1,6xx เหรียญ (Swedish Krona) คุณจะได้ผลตอบแทนกว่า 1,1xx% ทีเดียว
.
ในด้านธุรกิจ Evolution เองมีผลการดำเนินงานที่เป็นบวกและเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ ครับ ผ่านการเปิดแพลตฟอร์มไปในประเทศต่างๆ รวมถึงมียอดผู้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ผสานกับลักษณะบริษัทเป็น Asset Light Model ซึ่งมีต้นทุนการดำเนินงานที่คงที่ ใช้สินทรัพย์ไม่หนักมากทั้งด้านบุคลากรและอุปกรณ์ มีรายได้เข้ามาไม่จำกัดแต่ต้นทุนคงที่ ทำให้รายได้ของบริษัทลงมาสู่บรรทัดล่างที่เติบโตขึ้นทุกปี ด้วยปัจจัยนี้เองจึงช่วยผลักดันให้มูลค่าของบริษัทสามารถไปได้ไกลนั่นเองครับ
.
และอีกประเด็นที่เลี่ยงไม่ได้ คือ “เทรนด์ธุรกิจ” ผู้เป็นพระเอกที่ช่วยผลักดันให้บริษัทเติบโตเหนือกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ ในตลาดอีกด้วยโดย Evolution เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ซึ่งรูปแบบแพลตฟอร์มออนไลน์นี้ได้มา Disrupt ธุรกิจกาสิโนแบบมีพื้นที่ตั้ง โดยจากข้อมูลบริษัทได้ระบุว่าขนาดตลาดของกาสิโนแบบมีพื้นที่มีอัตราการหดตัวแบบทบต้น (CAGR) กว่า -8.2% ตลอดปี 2017-2021 ในขณะที่ตลาดเกมแบบออนไลน์ที่บริษัทกำลังประกอบการอยู่มีอัตราการเติบโตแบบทบต้น (CAGR) ที่ 31.1%
.
ปฏิเสธไม่ได้เลยครับ ว่าท่ามกลางความแตกต่างของ 2 เทรนด์บริษัทที่ขาหนึ่งกำลังถอยลง และขาหนึ่งกำลังพุ่งทะยาน นายตลาดจึงมอบรางวัลและความคาดหวังแก่ Evolution ให้เป็นหุ้นเด้งผู้เติบโตด้วยศักดิ์และศรีเพียบพร้อมด้วยตัวเลขการเงินอันเป็นผลประจักษ์และราคาอย่างแท้จริง
.
.
.
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมได้บอกเล่าทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้แม่นยำ 100% ว่าสิ่งที่เขียนจะเป็นเพลย์บุคที่ต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ในอนาคต สิ่งนี้อาจมีความแม่นยำเพียง 30-40% เพียงเท่านั้นครับเมื่อนำไปประยุกต์ผ่านการลงทุน
.
ทั้งนี้ขอให้พี่ๆ เพื่อนๆ พึงระลึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องตามปกติ เพราะว่าไม่มีวิธีการลงทุนใดที่ให้ผลลัพธ์ 100% ได้ และการที่เราจะทำเงินจากตลาดหุ้นได้ไม่ได้อยู่ที่การเลือกวิธีการที่แม่นยำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ประกอบไปด้วยองค์ประกอบอันหลายอย่างซึ่งก่อรูปและร่าง ผ่านบริบทและเวลาของบริษัทนั้นๆ ครับ
.
สิ่งที่เราเล่าทั้งหมด เป็นเพียงการชี้ให้เห็นภาพเท่านั้นว่าคุณสามารถนำความรู้จากหนังสือหุ้นไปทำเงินได้ครับ
[แกะหุ้นเด้ง pt.2] เล่า BizModel+งบ กับ Rightmove หุ้น 40 เด้ง สวัสดีครับพี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคน วันนี้ผมอยากจะพาทุกคนไปรู้จักกับหุ้นเด้งตัวหนึ่งที่สามารถหาได้ตามตำราแบบฉบับของคุณ Peter Lynch เจ้าของหนังสือ One Up on Wallstreet ที่เราสามารถ ค้นหา-ถือ-ทำกำไรจากหุ้นบริษัทได้ ผ่านการหาสินค้าและบริการรอบตัวที่มีแบรนด์เป็นที่นิยม เป็นที่รักต่อผู้คน
.
โดยในวันนี้ผมอยากจะพาทุกคนไปรู้จักกับบริษัทนายหน้าขายสำหรับขายบ้านบริษัทหนึ่ง ซึ่งมี Market Share ในอุตสาหกรรมนายหน้าขายบ้านสำหรับในเครือจักรภพอังกฤษมากกว่า 80% ตลอดกว่า 10 ปี ที่เข้าตลาดและยังคงเป็นเบอร์ 1 ในปัจจุบัน
.
บริษัทนั้นคือ “Rightmove” ครับ
.
.
.
สิ่งทำให้ที่บริษัทอยู่ในสนามแข่งขันนี้ได้ยาวนานนับตั้งแต่ช่วงดอทคอม ผ่านวิกฤติอสังหา จนถึงปัจจุบัน เกิดมาจากการที่การสร้างความแตกต่างจากการเป็น Agency อสังหาริมทรัพย์ทั่วไปที่ต้องอาศัยทีมเซลล์จำนวนมาก
เปลี่ยนมาเป็น Marketplace ให้ผู้ซื้อและผู้ขายมาพบกันผ่านหน้าเว็ปเอง
.
ด้วยโมเดลธุรกิจนี้และชื่อเสียงของการเป็นผู้บุกเบิกเว็ปไซต์ครั้นหลังช่วงฟองสบู่ดอทคอม การเป็นผู้บุกเบิกนี้ได้สร้างระยะทางทิ้งห่างคู่แข่งหลายเท่าตัวด้วยขนาด Marketshare มากกว่า 80% ในตอนที่เข้าตลาด
และยังคงความสามารถระดับนี้มากกว่า 1 ทศวรรษ แม้จะครองตลาดได้ระดับนี้แต่ตลาดก็มีเนื้อเค้กที่ขยายขึ้นเรื่อยๆ ตามความต้องการบ้านและราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
(คู่แข่งของบริษัทครอง Market Share ในระดับเลขเปอร์เซ็นหลักเดียว และบริษัทอื่นๆ ที่เป็นนายหน้าเหมือนกันเป็นบริษัทระดับเล็กมี Marketcap หลักสิบล้านปอนด์ ในขณะที่ Rightmove มีขนาดหลักหลายพันล้านปอนด์)
.
.
.
ด้วยความเป็นผู้นำและการไม่หยุดนิ่งนี้ทำให้ Rightmove มีกำไรที่เติบโตมาโดยตลอด และหากท่านใดเป็นนักลงทุนสาย Lynch แล้ว
จุดซื้อที่ตรงจุดตรงประเด็นตามตำราคือช่วงกลางปี 2012 จนถึงกลางปี 2013 โดยเป็นจุดที่บริษัทมี PEG Ratio อยู่ที่ 0.6x-0.8x เท่านั้น
(โดยตอนนั้น Rightmove ถูกซื้อขายอยู่ที่ราคา 170 ปอนด์ )
.
.
.
.
และการเติบโตของ Rightmove ในช่วงทศวรรษ 2010 อันเป็นช่วงไม่กี่ปีหลังบริษัทเข้าตลาดนี้ เป็นการสร้างการเติบโตอันห้าวหาญเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ ซึ่งทั้งหลายนี้ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทไม่มากลับสู่จุดเดิมอีกต่อไป
.
โดยพัฒนาการนี้เกิดจากการที่บริษัทอยู่รอดมานานรวมถึงใช้แต้มต่อที่ตัวเองมีขยายไปในกิจการที่เกี่ยวเนื่อง
ทั้งการขยับขยายจากกิจการนายหน้าขายบ้านมาสู่ธุรกิจ “ให้การโฆษณาบ้านใหม่” โดยเป็นการเจาะตลาดผู้ที่ต้องการบ้านใหม่แทนบ้านมือสองที่มีอยู่แต่เดิม
การจัดสรรข้อมูลหลังบ้านให้แสดงบ้านแบบเรียลไทม์
การมี House Index เป็นของตัวเอง จากการมีข้อมูลหลังบ้านที่ทรงพลัง
การอาศัยโอกาสจากการมาของ Smart Phone ทำให้ผู้ใช้ได้สัมผัสการให้บริการได้มากยิ่งขึ้น อันนำมาสู่การสร้าง Ecosystem ในวงการอสังหาริมทรัพย์ อย่างการเกิดนักลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ให้เช่ารุ่นใหม่ (Home-Hunter) ที่เป็นอาชีพที่สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนให้แก่ระบบเศรษฐกิจอีกด้วย
.
กล่าวไม่ผิดว่า Rightmove จะเป็นบริษัทที่สร้างการเติบโตแก่ตัวบริษัทได้อย่างยั่งยืนทั้งด้านกำไร และด้านผู้มีส่วนได้เสียผู้ช่วยเกื้อกูลให้สภาพแวดล้อมด้านอสังหาริมทรัพย์แห่งยุโรปดีมากยิ่งขึ้นไป
.
และเป็นหุ้นเด้งภายในหนึ่งปี และเป็นหุ่น 10 เด้งใน 10 ปี มอบผลตอบแทนแก่นักลงทุนผู้เสาะแสวงหาการลงทุนจากสิ่งรอบๆ ตัวอย่างแท้จริง
[แกะหุ้นเด้ง]ดู COSTCO หุ้น 100 เด้ง ผ่าน BizModel และกราฟ pt.2
- ธุรกิจ Costco เป็นห้างขายส่งคล้ายๆ Makro ของเรา แต่มีสินค้าไซส์ยัก และอาหารราคาถูก
- กำไรแบบ Recurring Income ของบริษัทผ่าน Membership Fees เป็น Keyman ในการที่ทำให้บริาัทเติบโตไปพร้อมกับยอดขาย
- การที่ราคาหุ้นขึ้นเกิดจากหลัก Twin Engine คือ PE ขยายตัวจากความคาดหวังดีจากตลาด และ กำไรสุทธิที่เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ
- ราคาหุ้นจะมีค่าเป็นเท่าไรเกิดจากสมการ Price = PE * EPS
(Twin Engine คือหลักการที่ PE ขยายตัว และ EPS เติบโตนั่นเอง)
- ปัจจุบัน Costco มีรายได้จาก Membership ที่ราวๆ 4 billions เทียบเท่ากับหุ้นที่ราคา 9 เหรียญ หากเราถือหุ้นที่ราคา 9 เหรียญจากเมื่อ 30 ปีที่แล้วจนถึงวันนี้ได้ ก็นับว่าคุณได้สินทรัพย์ที่เติบโตไม่ต่ำกว่า 9% มาครองเลย
=================================
ถ้านึกถึงห้างขายส่งบ้านเราต้อง MAKRO แต่ถ้านึกถึงห้างขายส่งระดับโลก COSTCO คือบริษัทที่เป็นเบอร์ 1 ด้านนี้เลยครับ
COSTCO เป็นห้างค้าส่งสัญชาติสหรัฐอเมริกาที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 1986 และจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นมานานกว่าครึ่งชีวิตของคนหนึ่งคนเลย
และมักถูกพูดถึงบ่อยๆ ในหนังสือการลงทุนหลายเล่ม เพราะนี่คือหนึ่งในหุ้นที่มีธุรกิจใช้ได้ ผลกำไรเติบโต ราคาหุ้นจึงสะท้อนมูลค่าที่ซ่อนอยู่นี้ด้วยราคาที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนอื่น ผมขออธิบายก่อนนะครับ ว่า Costco นอกจากธุรกิจจะเป็นธุรกิจห้างค้าหลีกแล้ว รายได้อีกส่วนที่เป็นตัวช่วย Costco มาหลายต่อหลายครั้งเพื่อให้บริษัทยังอยู่ยั่งยืนได้ นั่นคือรายได้จาก membership fee ครับ
โดยบัตร Member นี้เอง สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายมากไม่ว่าจะเป็นส่วนลดสินค้าภายในห้าง ส่วนรถปั๊ม ประกัน ตั๋วเครื่องบิน เสื้อถ้า รถยนต์ อาหารและยา และอื่นๆๆ อีกมากที่อาจกล่าวไม่ถึง
ตรงส่วนนี้เราอาจพิจารณาได้ว่าบัตรเมมเบอร์ของ Costco นั้นมี Networking Effect ที่แข็งแกร่งมาก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะสเกลการถ้าปลีกของเครือ Costco อยู่แล้ว ที่เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าระดับประเทศ (ที่มีขนาดใหญ่ลำดับต้นๆ ของโลก) จนสามารถเจรจาของส่วนลดเพื่อมาจุนเจือชาว Member ได้
โดยสัดส่วน Membership Fee นี้เปรียบได้กับกระแสเงินสดที่ทาง Costco ได้มาไม่ต่างจาก Subscription รายปีเลยครับ โดยแต่ละปี Costco เองมีรายได้จากตรงนี้เติบโตกว่า 9% CAGR ต่อเนื่องกันกว่า 30 ปี
=====================================================
เทียบตั้งแต่ปี 1993
CostCo มี Membership Revenue อยู่ที่ 309 ล้านเหรียญ
และปี 2022 ล่าสุดมีรายได้ส่วนนี้กว่า 4,224 ล้านเหรียญทีเดียว]
โดยปัจจุบัน ณ ราคา 502 เหรียญนี้ Cosco มี Market Cap ที่ 222 Billion
หากท่านใดมีหุ้น Costco ที่ Market Cap 4 billions หรือที่ราคา 9 เหรียญ ท่านอาจได้กระแสเงินสดฟรีๆ จากมูลค่า รายได้ส่วนของ Membership เปล่าๆ (เป็นอีกหนึ่งมุมมองของการถือยาวครับ)
=====================================================
สิ่งที่ช่วยผลักดันให้ราคาของ Costco ไปได้ไกล ส่วนหนึ่งมาจากรายได้จากร้านค้าปลีกที่เติบโตตลอดเวลาตาม GDP ของประเทศนั้นๆ
และ Business Model ของ Costco เองก็เป็นธุรกิจกิน Spread Margin แคบๆ จากการซื้อมาขายไป และเพิ่มลูกลเ่นให้กับสินค้าตัวเองผ่านการออกแบบ "ผลิตภัณฑ์ไซส์ยักษ์" ที่นอกจากประหยัดแล้วยังน่าตื่นตาตื่นใจด้วย
ยังไม่นับว่า Costco เองมีเชนร้านอาหารราคาย่อมเยาว์ถึงขนาดที่ชักจูงให้คนมาทานอาหารในราคาไม่กี่เหรียญ และไม่ขึ้นราคามากว่าทศวรรษอีกด้วย
ทั้งนี้แล้วการที่สร้างประสบการณ์ที่ดีต่อผู้บริโภคลูกค้านั้นทำให้มีผู้สมัครสมาชิกกับ Costco เพิ่มขึ้นตลอดทุกๆ ที โดยอัตราส่วนของรายได้จาก Membership Fees ต่อด้วย Operating Income นั้นสูงกว่า 50% ทีเดียวครับ กล่าวคือลำพังแค่รายได้จากค่าสมาชิกก็ทำให้ประเมินกำไรคร่าวๆ ของ Costco ได้แล้ว....และนี่แหละที่ทำให้นายตลาดชอบใจอย่างมาก
โดยคุณสมบัติจากการประเมินกำไรขาดทุนได้ง่ายแล้ว การที่บริษัทมีการบริหารงานจนทำให้นะดับ Net Margin ดีได้ยิ่งขึ้นๆ พร้อมด้วยการบริหารโดยมี ROIC ในระดับ 1x% ยิ่งขึ้นไป จะทำให้นายตลาด "มอบตัวคูณ" ให้บริษัทนี้มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น
โดยราคาหุ้นเองถูกผลักดันด้วย 2 ปัจจัย นั่นคือ Price = PE * EPS
หากบริษัทบริหารจัดการได้ดี ธุรกิจดำเนินไดีดี ตัว EPS จะเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้น
ส่วนตัว PE หากบริษัทนั้นมีโมเดลที่แข็งแกร่ง มี Moat ที่สมบูรณ์ รายได้เติบโต (กอปรกับการมีค่า Bond Yield ที่ต่ำ) บริษัทนั้นก็จะเทรดที่ค่า PE ที่สูงยิ่งขึ้น
หลักการนี้คือหลักการ Twin Engine ที่ทำให้หุ้นนั้นสามารถกลายเป็นหุ้นเด้งได้นั่นเองครับ
ซึ่ง CostCo เองนับว่าเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน โดยได้ลมส่งจากรายได้ที่โตขึ้นจากการขยายสาขาและ GDP ที่โต กับโมเดลธุรกิจที่ดึงดูดลูกค้าโดยเฉพาะ Membership ทำให้ Costco มีกำไรเติบโตตลอด
จากนั้นนายตลาดก็เริ่มเห็นแววในบริษัทนี้ เลยให้ PE หรือแม้กระทั่ง P/S ที่สูงมากยิ่งขึ้น ทำให้ตัวนี้เข้าหุ้นเด้งตามตำรา Twin Engine ในที่สุด
====================================================
หลักการหาจังหวะซื้อขาย หากใช้ Fundamental อาจใช้เส้น Asset Line ในการจับจังหวะเข้าซื้ได้ครับ แต่ต้องมั่นใจว่าหุ้นตัวนี้ตลาดชอบแน่ๆ พื้นฐานบริษัทไม่เปลี่ยน รายได้และกำไรมีโอกาสโตได้ อย่างน้อยก็เชิงอนุกรม
ต่อมาคือการซื้อโดยใช้ PE Forward ผ่านเส้น Value Line อันเป็นแนวรับแนวต้านทางพื้นฐาน หากราคามาลงสู่แนวรับนี้ และประกอบกับกราฟทำทรง VCP Cup with Handle พร้อมทั้งมี Risk to Reward ที่ท่ารับไหวก็อาจพิจารณาซื้อได้
ไม่สายเกินไป หากซื้อหุ้นนี้ที่ Market Cap 1xx,xxx Milliion เพราะว่าเขาอาจไปได้ไกลกว่านั้นได้
(พร้อมดูโมเมนตัมจากยอดขายและผลการดำเนินงาน รวมถึงดูกระแสจากผู้บริโภคด้วย ว่าบริษัทยังคงส่งมอบคุณค่าแก่ผู้ถือหุ้นดั่งเดิมไหม)
====================================================
สามารถอ่านไอเดียการลงทุนอื่นๆ ได้นะครับจากหน้า Profile ของผม
[CaseStudy หาหุ้นลงทุน] การเลือกหุ้นปันผลที่มีคุณภาพเหนือกาลเวลาสวัสดีครับ สำหรับหลักการในวันนี้ผมอยากมานำเสนอการหาหุ้นที่เรียกได้ว่าเป็นหุ้นที่อาจเป็นปันผลให้เราประดับพอร์ตในการกระจายความเสี่ยง และหาโอกาสท่ามกลางตลาดลงกันนะครับ
และปฏิเสธไม่ได้นะครับว่าตอนนี้เป็นช่วงที่ตลาดขาลงและเป็นช่วงที่ลงทนเพื่อ Runtrend ก็นับว่าลำบากพอสมควร
ผมเลยใช้เวลานี้ไปกับการศึกษาขุดหาบริษัทดีๆ ที่ตอนนี้อาจมีตำหนิบ้าง แต่อาจกลับมาได้อาจจะดีกว่าก็ได้ครับ เป็นการใช้เวลาให้เหมาะสมอีกด้วย
โดยผมจะมีการอ้างอิงหนังสือที่ผมได้ตกตะกอนได้หลักๆ คือ 2 เล่มนี้ครับ นั่นคือเล่ม One Up on Wall Street กับ Warren Buffett Ways
โดยหลักการที่ผมอยากถ่ายทอดจะเป็นเรื่องของ
1) การหาบริษัทจากสิ่งรอบตัว การดูสิ่งแวดล้อมว่าเทรนด์อะไรที่มีอนาคต ซึ่งได้มาจากเล่ม One Up on Wall Street ของคุณปีเตอร์ ลินซ์ ครับ
2) การคัดเลือกบริษัทที่มีศักยภาพแบบเล่ม Warren Buffett Ways รวมถึงหยิบหลักการเรื่องของปราการและคูคลองมาใช้ในการเลือก
โดยหลักการนี้ผมจะมาพูดในวีดีโอนี้กันครับ และขอมาแนะนำหุ้นหมวดหนึ่งที่มี Moat ที่อยากจะนำเสนอไม่มีในไทยได้รู้จักด้วยครับ เผื่อเป็นโอกาสใหม่ๆ ในการลงทุนในต่างประเทศครับผม
ท้ายสุดนี้มี Key Takeaway ที่ผมตกตะกอนได้เกี่ยวกับบริษัทที่ตลาดมองว่ามีคุณภาพ ซึ่งมีหลักๆ ประมาณ 7 ข้อ ดังนี้ครับ
1)เป็นบริษัทมี Profit Margin สูง
2)บริษัทมี Free Cash Flow ตลอด
3)นอกจากมี Free Cash Flow สูงแล้ว มีการลง Capex ในระดับไม่มากนัก (อาจจะไม่เกิน 35% ของกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน)
4)บริษัทมีอัตราผลตอบแทนต่อเงินลงทุนมีอัตราที่สูง
5)พึงระลึกไว้ ว่าหุ้นปันผลดีๆ คือบริษัทที่มี Recurring Income อย่างสม่ำเสมอ
5.5) และจำดีมากหาก Income ส่วนนี้เพิ่มสูงขึ้นเหนือกว่าอัตราการเพิ่มของ GDP กับ Inflation
6)จากข้อที่ 5 Recurring Income ล้วนมาจากการมี Recurring Revenue ที่มีศักยภาพ กล่าวคือสินค้าหรือการบริการของบริษัทต้องเป็นที่ต้องการตลอด และอาจมีเพิ่มขึ้นบ้าง
7)จากข้อที่ 6 Recurring Revenue จะดีมากที่สุดหากว่าไม่มีคู่แข่งหรือสินค้าสับเปลี่ยนมาตัดกำลัง คงดีไม่น้อยหากเราซื้อหุ้นที่ดูผูกขาด แต่ก็สามารถวางตัวให้ไม่มีข้อครหาได้ ตรงนี้ขึ้นอยู่กับฝ่ายบริหารแล้วครับ ว่าวางตัวและดำเนินนโยบายสร้างภาพลักษณ์อย่างไร
สำหรับสิ่งที่ผมตกตะกอนและอยากฝากฝังทุกคนไว้ก็มีเพียงเท่านี้ หวังว่าวีดีโอและเนื้อหานี้จะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย หากทุกคนชอบผมก็ดีใจและฝากร้ investing ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกคนด้วยนะครับ ที่นี่เราจะรวมหนังสือที่เกี่ยวข้องกับจักรวาลนักลงทุนไว้ในที่เดียว เพื่อเสริมศักยภาพสังคมการลงทนต่อๆ ไปครับ
โชคดีรักษาสุขภาพ Stay Healthy Stay Wealthy ครับผม
DITTO : Ditto (Thailand) PCLVol ซื้อขาย สูงกว่าค่าเฉลี่ยมา ประมาณ 30 วัน โดยที่ราคายังวิ่งในกรอบ
MCDX มีแท่งแดงเข้า โดยที่ตั้งแต่ แท่งแดงเข้า กราฟยก Low ขึ้นเรื่อยๆ
VA ตั้งแต่เดือน มีค. ราคาตอนนี้ใกล้เคียงเฉลี่ย
* ผลประกอบการ Q2 2565 QoQ : +64.17%
Buy : 60 - 60.25
SL : หลุด 58.25
TP : 66.25
RR : 1:3
MTIกำไร ไตรมาส 2 /65 ออกมา 242.03 ล้านบาท กำไร 6 เดือนอยู่ที่ 477.85 ล้านบาท
มูลค่าตลาด @19/08/2565 7,785 ล้านบาท
สมมุติให้กำไร 2 ไตรมาสหลังปี 65 ไม่โตเลย จะได้ 477.85+(173.82+141.49 )= 793.16 ล้านบาท
ณ ราคาตลาดปัจจุบันคือ pe 9.81 เท่า pb 1.34 เท่า (pb สูงนิดหน่อย)
สาเหตุที่กำไรน่าจะสูงขึ้น เพราะ
- บริษัทประกันภัยหลายแห่งต้องปิดตัวลงในวิกฤตโควิท ทำให้บริษัทที่แข็งแกร่งจะได้ส่วนแบ่งของเบี้ยประกันพวกนี้
- แนวโน้มดอกเบี้ยน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว (แต่ไม่รู้จะขึ้นไหม)
CRC หุ้นที่สะสมกำลัง Sideway มาตั้งแต่ IPOสำหรับ SET:CRC เคสนี้ผมมองว่าเป็นรูปแบบที่คลับคล้ายการฟอร์มตัว Sideway ที่มีความผันผวนกรอบแคบที่ไม่เลวเลยครับ แอบเหมือนแพทเทิร์น VCP ของคุณมาร์คชอบกล แต่กระนั้นแล้วก็ไม่ใช่ VCP ที่สมบูรณ์แบบมากนัก จากการที่ราคายังคงมาชนที่แนวรับเดิมๆ อยู่เสมอๆ ต้นแบบของ VCP จริงๆ จะเป็นการที่ราคามีการยก Low มากขึ้นเรื่องๆ แต่ High จะอยู่โซนใกล้เคียงเดิม แต่จุดที่ย่อตัวลงมาจะค่อยๆ น้อยลงเรื่อยๆ
แต่กระนั้นก็ตามสารภาพตามตรงเลยครับว่าหุ้นที่สะสมกำลังนานๆ รอการระเบิดแบบนี้ผมเองมองว่าเขาน่าจับตามาก
หากว่ากันตามตรงบริษัท IPO มาจังหวะก่อนเลิกงานเลี้ยงพอดีครับ ก่อนโควิดเพียงนิดเดียว และได้ IPO มาใน Valuation ที่แอบกำหมัดสิดๆ จนผมฉงนใจเลยว่านี่กะ IPO มาเพื่อออกส่วนหนึ่งแล้วกระจายหุ้นใช่ไหมนะ
แต่กระนั้นก็ยังดีอยู่ครับ ที่เม็ดเงินจากการ IPO ยังคงนำไปใช้ขยายธุรกิจแตกหน่อเนื้อสาขาต่อ เช่นการเทคโอเวอร์เชนห้างร้านต่างประเทศใน Valuation ที่ถูกแสนถ฿กจากช่วง Covid และเป็นช่วงตะวันตกดินของอุตสาหกรรมนี้จากการถูก Disrupt ซึ่งว่ากันตามตรงสำหรับผมแล้ว เขาซื้อของถูกก็จริงครับ สมมติบริษัทที่ซื้อมียอดขาย 1000 ล้านเหรียญ แต่ราคาที่ซื้ออยู่ที่เพียง 600 ล้านเหรียญ แบบนี้นับว่าเอาเงิน 600 ไปแลกกับยอดขายที่มาเติมยอด 1000 ล้านได้ทันทีเลยก็ไม่เลว
สิ่งที่ต้องมาคิดต่อคงไม่พ้นการปลดล็อกคุณค่าของบริษัทที่ไปเทคมาครับ ว่า CRC สามารถบริหารจัดการต้นทุนและแปลงมาเป็นกำไรได้ดีกว่าเจ้าที่แล้วไหม ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจห้างร้านมี Gross Margin ราวๆ 25% แต่เจ้าขิงเดิมเขาสามารถเทิร์นเป็น Free Cash Flow (หรือคุณจะว่าเป็น Net Margin หรือ EBITDA ก็ได้ ความหมายของผมคือ output ของธุรกิจที่เราจะได้รับกับ ) ได้ราวๆ 1.75-2.5% แต่ถ้าทาง CRC เข้าไปบริหาร ปรับสายการผลิตสินค้า House Brand ให้ Lean ขึ้น หา Suppliers ที่ราคาถูกลงแต่คุณภาพคงเดิม หาแหล่งเงินทุนที่จ่ายดอกเบี้ยน้อยกว่าแหล่งเงินทุนเจ้าเก่า(ซึ่งที่ยุโรป loan interest ต่ำใช้ได้อยู่ครับ ยิ่งถ้าแอบอิงทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่ตรงจุดก็ยิ่ง raise fund ได้) หาช่องทางการเพิ่มรายได้ใหม่ๆ เพิ่มคุณค่าให้กับแบรนด์ เช่นเอาน้ำพริกหรือ Local Brand ที่มี Margin สูงไปถัวเฉลี่ย ให้ได้ output margin (จะ free cash flow ,ebit margin หรือ net margin) ให้ได้สัก 4% เท่านี้การปรับค่า PE ที่ซื้อก็ลดน้อยลงคุ้มค่ามากขึ้นแล้ว (จาก margin ราวๆ 2.25% ไป 4 อันนี้เกือบเท่าตัวครับ)
ด้วยการที่ IPO มาในราคาที่น่ากำหมัดเอง(จนตอนนี้ราคายังอยู่ในโซนต่ำกว่า IPO อยู่) ผมเลยมองว่าแอบเป็นข้อดีเล็กๆ ที่บริษัทได้ Raise Fund มีเงินสดออกมาจนซื้อห้างได้ 2 ปีติดต่อกันเลยครับ สร้าง Story Growth ได้ตลอดเวลา น่าลุ้นครับ ว่า sideway นี้จะจบหรือยัง และสิ่งที่ผมคิดไว้จะถูกต้องหรือไม่ คงต้องมาดูกันต่อไปครับ
[SAWAD]ภายใต้พื้นฐานกำไรที่เติบโต มีเรื่องน่ากังวลอะไรหรือไม่?!!
สำหรับ SAWAD นับว่าเป็นหุ้นตัวหนึ่งที่ผมมักอารมณ์องุ่นเปรี้ยวทุกครั้งเลยครับ เวลาเห็นเขาทำราคาที่สูงขึ้น กอปรกับความกลัวเรื่องของ NPL ผมเลยกลัวอย่างบอกไม่ถูกเลยครับ จรพบกับความผิดพลาดที่ไม่ได้ลงทุนในตัวพวกเขา
แต่ตอนนี้ถ้าเราลบอคติฝังตาลง เราพบอะไรบ้างจากอินดิเคเตอร์ที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างกำไรสุทธิกับราคาหุ้นกัน โดยผ่านอินดิเคเตอรตัวเดิมของผมอย่าง Yield Valuation นี้ครับ
SAWAD นับว่าเป็นหุ้นที่อยู่ในหมวดของ Growth อย่างแท้จริงครับ จากการดูการเติบโตของสินทรัพย์(เส้นส้ม) ของเขา จากหนังสือพ่อรวยสอนลูกก็อย่างที่ว่าครับ สินทรัพย์คือสิ่งที่ช่วยสร้างรายได้ให้เรา การมีสินทรัพย์มากขึ้นก็เสมือนกับการเพิ่มที่มาของรายได้แบบนี้นั่นเองครับ
แต่กระนั้นแล้วสินทรัพย์ที่เพิ่มมขึ้นของ SAWAD นี้ เขาเพิ่มขึ้นในหมวดของหนี้สินนั่นเอง ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องปกติครับ เพราะว่า SAWAD ทำธุรกิจการเงิน หนี้สินของหมวดนี้ก็คือปริมาณเงินที่เราปล่อยสินเชื่อไปแน่นอนครับ
ว่ากันตามตรงในความเห็นของผมเอง ประเทศไทยเรามีระบบการเงินที่ Conservative มากนะครับ จากการที่แบงก์ของเราไม่มีการแข่งขันเท่าที่ควรจนมาถึงการไม่กล้าปล่อยสินเชื่อจนเรามีทุนสำรองของประเทศเราอยู่สูงมาก การไม่กล้าทำอะไรแบบนี้ทำให้ประเทศเรามี Opportunity Cost สูงมาก สังเกตได้จากการที่นายกพูดเลยครับ ที่ว่าทำไม่เราถึงแพ้เวียดนาม ทั้งที่เรามีทุนสำรอง(งบดุลของประเทศ) ที่แข็งแกร่งมาก พูดง่ายๆ คือเราอาจจะล้มได้ยากนั่นเองครับ
กลับมาที่เรื่องของ SAWAD ด้วยความที่ธุรกิจการธนาคารของเราไม่ค่อยได้ปล่อยสินเชื่อให้รายย่อย นั่นเลยเป็นช่องทางให้กับธุรกิจ Nonbank อย่างพวก SAWAD และ MTC ได้มาทำหน้าที่นี้แทนพวกเขา เมื่อ Demand(ผู้ต้องการเงินรายย่อย) มีอยู่อย่างมหาศาล การเติบโตก็มหาศาลอีก และ Supply ที่กล้าทำตอนนั้นเองก็มีอยู่ไม่มาก Supply น้อย (MTC SAWAD) ดังนั้นแล้วหุ้นทังสองตัวนี้เลยโตเอาๆ จากความกลัว ความกังวลของหุ้นกลุ่มธนาคารนั่นเอง แต่เอาเถิดท่านอย่าเศร้ากับอุตสาหกรรมการเงินไทยเลย เพราะปัจจุบันนี้ภาครัฐก็ได้ส่งแบงก์ออมสินมาสู้ๆ พวกธุรกิจนี้แล้วครับ
การมาของออมสินเอง ทำให้เราอาจต้องกังวลมากขึ้นกับการลงทุนหุ้น SAWAD ครับ ว่าเขาจะมีโอกาสไปต่อได้หรือไม่ การแข่งขันนั้นดีตรงที่เราอาจจะได้พบนวัตกรรมใหม่ๆ และทางออกให้ผู้บริโภคที่สร้างสรรค์มากขึ้นจากการแย่งชิงตลาด แต่กระนั้นแล้วการลงทุนอย่างนักลงทุนเราคงต้องทำการบ้านหนักขึ้นครับ
แล้ว SAWAD ตอนนี้มีอะไร เรามาดูเส้น Yield Valuation ที่โปรแกรมสังเคราะห์มาครับ ว่าหากอนาคตคน "ให้ค่า" แก่ตัว SAWAD มากกว่าสมัยก่อน การที่เขาจะก้าวไกลเข้าสู่เส้นสีแดงนั้นก็อาจเป็นไปได้นั่นเองครับ เพราะว่ากำไรของเขาเติบโตตลอดเวลาเลย ตรงส่วนนี้ก็อยู่กับความคิดเห็นของรายย่อยอย่างเราแล้วครับ ว่าในฐานะผู้ถือหุ้นท่านจะเป็นลมใต้ปีกให้แก่ผู้บริหาร หรือทางผู้บริหารเขาจะทำอะไรได้บ้าง (ผมก็เพิ่งรู้ว่าที่ต่างประเทศนักลงทุนรายย่อยอย่างเราก็สามารถเสนอแผนธุรกิจให้แก่บริษัทได้เหมือนกันครับ หากเราเห็นศักยภาพของเขา)
ยาวหน่อย แต่ถ้าคุณชอบผมก็ดีใจนะครับ
[APCO] หุ้น Value จ๋า พร้อมงบอันแข็งแกร่งที่ไม่ยอมลง แม้ราคาแพง?สวัสดีปีใหม่มิตรสหายทาง Trading View ทุกท่านนะครับ
พอดีช่วงปีใหม่นี้ผมเองก็ว่างไม่ได้ออกไปไหนเนื่องจากเรื่องของไวรัสโควิดตามที่ท่านได้พบเจอกัน ผมเลยได้มาสอดส่องดูหุ้นรับปีใหม่ถือเป็นการวางแผนประจำปีไปด้วยนั่นเองครับ
แล้วทีนี้ผมก็เจอหุ้นตัวนึงเข้าที่มีความเป็น Value จ๋าๆ มีงบที่แข็งแกร่งมาก และมีกิจการที่ทำนุบำรุงซ่อมแซมเครื่องจักรทางการเงินของบริษัทได้ดีเสมอ มีอัตราการทำกำไรที่สูงมาก แต่อนิจจาที่เขาอาจหมดสิ้นสภาพความเป็นหุ้นเติบโตไปแล้ว
เป็นภาพสะท้อนกรายๆ ว่าหุ้นที่เคย Growth แล้วเป็นหุ้น Value เดี่ยวๆ มันเป็นแบบนี้นี่เอง
วันนี้ผมเลยอยากทำวีดีโอสั้นๆ มาอธิบายเกี่ยวกับหุ้น Value จ๋าๆ งบการเงินแข็งๆ นั้นเป็นอย่างไรให้ชมกันครับ โดยจะอธิบายอย่างกระชับไม่กินเวลาท่านมาก พอเป็นกระษัย ขนาดท่านจิบกาแฟแก้วหนึ่งแล้วยังอุ่นๆ อยู่ก็ได้สาระพอดี
หวังว่า Case Study ของ APCO นี้ จะช่วยเป็นไอเดียในการเลือกสรรค์หุ้นเข้าพอร์ตในอนาคตของใครไม่มากก็น้อยนะครับ ที่สำคัญคือขอให้ทุกคนมีวิจารณญาณในการลงทุนเสมอนะครับ
หวังว่าทุกท่านจะชอบใจไม่มากก็น้อย สามารถส่ง Feed Back หรือ Comment มาได้เสมอนะครับ ผมตามอ่านและนำมาปรับปรุงเสมอ
สวัสดีปีใหม่ครับ
[CPALL] หุ้นโคตร Defensive ณ ราคาดัชนี 1200 จุด ดีไหม มาดููกันสำหรับ CPALL ผมมองว่าตอนนี้หุ้นตัวนี้เริ่มมี Valuation ที่น่าสนใจไม่เลวเลย
จากการที่ธุรกิจของเขานั้น ล้อตามตัว C ในสมการของ GDP (GDP = "C" +I+G+X-M)
ซึ่งตัว C ที่ว่าก็คือกำลังซื้อของผู้บริโภคนั่นเองครับ กล่างคือ หากว่ากำลังซื้อของคนกลับมาหุ้นตัวนี้ก็อาจได้รับอานิสงฆ์นั้นก็เป็นได้เลย
สำหรับหุ้นตัวนี้ที่อาจมีการเติบโตอื่นๆ เข้ามา จากการมีฐานทุนที่ใหญ่ขึ้น ก็ไม่เลวเลยที่เราจะมาลองทำการบ้านสำหรับตัวนี้ดูกันครับ รายละเอียดเป็นอย่างไร มารับชมกันครับ
PS. รายละเอียดนอกคลิป สำหรับ CPALL หุ้นตัวนี้ มี ROE หรืออัตราการทำกำไรต่อผู้ถือหุ้นอยู่ที่ราวๆ 20%++ ซึ่งนับว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับ ROE ของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะมีค่าอยู่ที่ราวๆ 9-11% เท่านั้น แล้วแต่ราคาน้ำมัน (ว่ากันมาตรง ตลาดบ้านเราพึ่งพิงอุตสาหกรรมเก่า อย่างน้ำมันมาก ถึงมากเลยครับ)
ซึ่งการมีระดับ ROE เท่านี้ เราเลยไม่แปลกใจเลยที่เขาให้มูลค่าเทรดที่ Market Cap. เหนือกว่า Asset ของบริษัทเสียอีก เราอาจมองได้ว่า หุ้นตัวนี้ถูกหวังกับการเติบโตในอนาคตก็ไม่ผิดเลยครับ
ซึ่งตรงส่วนนี้เราอาจจะเอาจุดที่ Market Cap <= Total Asset เป็นจุด Stop Loss คงอาจจะดูโหดร้ายไป (คนไม่เห็นอนาคต หมดฝันแล้ว)
ดังนั้นแล้วตรงส่วนนี้ท่านอาจจะใช้จุดซื้อแบบ Technical ในการเข้าซื้อก็ได้ครับ แล้วก็เอาไปบอกลูกหลานท่านว่าท่านเป็นเจ้าของ 7-11 คงคูลไม่น้อยเลย ฮาา
ปล. ทั้งหมดก็มีราวๆ นี้นะครับ หากมีอะไรเพิ่มเติมผมจะมาแจ้งครับ ยาวหน่อย แต่ถ้าคุณชอบ ผมก็ดีใจนะ






















