SET VS สงครามหมีกระทิงในแดน Fibonacci🐂🐻 สงครามหมีกระทิงในแดน Fibonacci
เปรียบแต่ละระดับ Fibonacci เป็น "ตำแหน่งยุทธศาสตร์" ที่สำคัญของสงครามแนวโน้ม
🔢 ระดับ Fib 📍ตำแหน่งในสงคราม 🧠 ความหมายเชิงเทรด
14.6% จุดลาดตระเวนเบื้องต้น รอยเท้าศัตรูเล็กๆ – อาจเป็นการพักตัวระยะสั้นก่อนเดินหน้าต่อ ไม่ใช่จุดเปลี่ยนที่สำคัญ
23.6% ป้อมหน้า (Outpost) เริ่มเห็นแรงต้าน หรือรับ – มักใช้วัด momentum ว่ายังแข็งแรงไหม ถ้ายังไปต่อได้ แสดงเทรนด์ยังอยู่
38.2% ค่ายทหารย่อย เป็น “ฐานป้องกัน” ที่เริ่มมีความสำคัญ กระทิง-หมีเริ่มเผชิญหน้าชัดเจน มักใช้เป็น wave 2 หรือ b pullback
50.0% สนามรบหลัก จุดวัดใจกลางสนาม – ยังไม่ใช่เมืองหลวง แต่เป็นจุดที่ "ไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบ" รอดูว่ากระทิงหรือหมีจะควบคุมได้
61.8% เมืองหลวง 💥 จุดยุทธศาสตร์สูงสุด – หากโดนทะลุ เทรนด์อาจ เปลี่ยนฝั่ง ได้เต็มตัว จึงเป็นแนว ตัดสินขาด
78.6% เมืองหลวงแตกแต่ยังไม่ยึด ปราการสุดท้ายก่อนแตกทัพ – โอกาสพลิกกลับมีน้อย แต่ถ้ากลับได้ = รีเวอร์แซลขั้นเทพ
88.6% เมืองหลวงลุกเป็นไฟ ⚔️ สถานการณ์สิ้นหวัง แต่ยังพอมีปาฏิหาริย์ – การถอยลึกเกินปกติ แต่หากกระทิงโต้กลับได้ อาจเป็น "V-shape reversal" แบบไม่คาดคิด
100% กองทัพถอยกลับเต็มตัว เทรนด์เดิม ตายสนิท – เท่ากับราคา ย้อนกลับ 100% จบแนวโน้มเดิม
127.2% ล้อมเมืองใหม่ เริ่มเข้าสู่แนว Extension – กองทัพเริ่มบุกไป “ยึดเมืองใหม่” ตั้งเป้าทะลุไฮ/โลเดิม
161.8% ยึดประเทศใหม่ เป็น เป้าโปรดของกระทิง/หมีที่ชนะศึก – คล้ายจุด Take Profit แรกของเทรนด์ใหม่
200% ขยายอาณาเขต เทรนด์เริ่มร้อนแรงเกินเหตุ – เข้าสู่ “ภาวะเร่ง” ที่ต้องระวังความร้อนแรงเกินจริง
261.8% จักรวรรดิใหม่ จุดสูงสุดของสงครามเทรนด์ – มักเกิดก่อนการพักฐานใหญ่หรือ Reversal – “ยิ่งสูง ยิ่งเสี่ยงหัก”
________________________________________
📌 สรุปภาพรวม
• 🔸 14.6–38.2% = โซน "พักเพื่อไปต่อ" (Pullback โซน)
• 🔸 50–61.8% = โซน "ตัดสินใจ" (Reversal Zone)
• 🔸 >100–261.8% = โซน “ขยายแนวรบ” (Extension Zone)
ภาพประกอบ
อาชีพใหม่ที่กำลังมาแรงในปี 2025อาชีพใหม่ที่กำลังมาแรงในปี 2025
👰 กลับมากันอีกแล้วกับบทความดีๆและความรู้ใหม่ๆแน่นๆให้เหล่าสาวกของแอดมินได้เจออะไรใหม่ๆกันบ้าง ในเมื่อโลกเรามันพัฒนาแบบก้าวกระโดดขนาดนี้ อาชีพใหม่ๆก็เริ่มเป็นที่ต้องการในสังคม มาครับ มาอัพเดทอาชีพใหม่ๆกันหน่อยว่ามีอาชีพอะไรบ้าง มาครับ ตามไปอ่านพร้อมๆกันเลย
ในยุคที่เทคโนโลยีและเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาชีพที่มาแรงในปี 2025 จึงมีบทบาทและมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังมองหาทิศทางในการทำงานใหม่ๆ
เพราะอาชีพเหล่านี้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงาน แต่ยังเปิดโอกาสให้กับผู้ที่มีทักษะเฉพาะทางและความคิดสร้างสรรค์โดยเฉพาะอีกด้วย
1. นักพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI Developer)
ในยุคที่ AI มีบทบาทสำคัญในทุกอุตสาหกรรม นักพัฒนาปัญญาประดิษฐ์เป็นหนึ่งในอาชีพที่มีความต้องการสูง ความเชี่ยวชาญในการเขียนโค้ด วิเคราะห์ข้อมูล และพัฒนาโมเดล AI จะช่วยให้คุณเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
2. นักวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analyst)
ข้อมูลเป็นทรัพยากรสำคัญยิ่งในยุคดิจิทัล นักวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่มีบทบาทในการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อช่วยให้องค์กรตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ ความสามารถในการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ เช่น Python, R หรือ Power BI เป็นทักษะที่ขาดไม่ได้เลย ในสายอาชีพนี้
3. ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity Specialist)
ในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เน็ต ความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นสิ่งสำคัญ ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ทำหน้าที่ป้องกันและจัดการภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นกับระบบข้อมูลขององค์กร
4. นักสร้างเนื้อหาออนไลน์ (Content Creator)
สื่อออนไลน์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องและเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ นักสร้างเนื้อหาที่มีความคิดสร้างสรรค์และเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคออนไลน์จะมีโอกาสสร้างรายได้ทั้งจากแพลตฟอร์มส่วนตัวและการร่วมงานกับแบรนด์ชั้นนำต่างๆได้มากกว่า
5. ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Specialist)
แม้โลกจะหมุนก้าวไปเจริญขึ้นเรื่อยๆ แต่ความตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมยังจำเป็น ทำให้อาชีพในสายพลังงานหมุนเวียนเป็นที่ต้องการ ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้จะช่วยพัฒนาเทคโนโลยีและโซลูชันที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เรามีโลกที่น่าอยู่ยิ่งขึ้นตามไปด้วย
👿👿👿 แม้ว่าโลกของเราจะพัฒนาไปไกลมากแค่ไหน แต่คนจะปล่อยเวลาให้ตามไม่ทันโลกไม่ได้นะฮะ โอกาสมีมาให้เราเสมอ แค่เราต้อปรับตัวตามโลกให้ทัน
และยังช่วยให้เรามีรายได้เสริม หรือรายได้หลักที่มั่นคงได้อีก ลองพิจารณาอาชีพเหล่านี้เพื่อสร้างความสำเร็จในชีวิตการทำงานของคุณกันดีกว่า อย่าลืมหมั่นศึกษากลยุทธิ์การเทรดไว้บ่อยๆด้วยนะฮะ เราต้องมีอาชีพเสริมหลายๆทางครับ สู้ๆ
พอร์ต Alpha และ Beta ในการเทรด Forex: กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงในการลงทุนหรือเทรดในตลาด Forex นอกจากการวิเคราะห์กราฟ การจัดการความเสี่ยง และการบริหารเงินทุนแล้ว อีกหนึ่งแนวคิดที่น่าสนใจและสามารถช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้น คือการแบ่ง “พอร์ตการลงทุน” ออกเป็น พอร์ต Alpha และ Beta ซึ่งเป็นแนวคิดที่มีพื้นฐานมาจากการบริหารกองทุนในตลาดทุน แต่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการเทรด Forex ได้เช่นกัน
พอร์ต Alpha คืออะไร?
พอร์ต Alpha หมายถึงพอร์ตที่เน้นสร้างผลตอบแทนที่ "มากกว่าตลาด" หรือมากกว่าค่าเฉลี่ยของระบบทั่วไป โดยใช้กลยุทธ์ที่อิงกับการวิเคราะห์เชิงลึก เช่น
การเทรดด้วยข่าว (News Trading)
การวิเคราะห์ทางเทคนิคขั้นสูง
การจับจังหวะตลาด
กลยุทธ์ที่มี Risk/Reward Ratio สูง
จุดเด่นของพอร์ต Alpha คือสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงที่มากกว่า เนื่องจากต้องอาศัยความแม่นยำและวินัยอย่างสูงในการเข้าออกออเดอร์
ตัวอย่างกลยุทธ์ในพอร์ต Alpha
Scalping หรือ Day Trading
กลยุทธ์ Breakout / Reversal
การเทรดช่วงข่าวแรง เช่น Non-Farm Payroll
พอร์ต Beta คืออะไร?
พอร์ต Beta เป็นพอร์ตที่มุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับ “ค่าเฉลี่ยของตลาด” หรือระบบที่มีความเสถียรสูง โดยมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่า Alpha เน้นความมั่นคงและระยะยาว เช่น
*ระบบเทรดอัตโนมัติ (EA)
*กลยุทธ์ที่ใช้ Moving Average
*กลยุทธ์เทรนด์ฟอลโลว์ (Trend Following)
Beta ไม่ได้พยายาม "ชนะตลาด" แต่พยายาม "เติบโตไปพร้อมกับตลาด" อย่างต่อเนื่อง เป็นพอร์ตที่เหมาะกับการลงทุนในระยะยาว และมักจะมีการจัดการความเสี่ยงที่ดี
ตัวอย่างกลยุทธ์ในพอร์ต Beta
*กลยุทธ์ EMA Crossover
*กลยุทธ์ตามเทรนด์ระยะกลาง
*ระบบ DCA (Dollar Cost Averaging) ที่ประยุกต์ใช้กับ Forex
ทำไมต้องแยกพอร์ต Alpha และ Beta?
การแยกพอร์ตออกเป็น Alpha และ Beta ช่วยให้คุณสามารถจัดการความเสี่ยงได้ดีขึ้น โดย:
พอร์ต Beta เป็นฐานหลักที่คอยรักษาเสถียรภาพของบัญชี ช่วยลดความผันผวน
พอร์ต Alpha เป็นพอร์ตที่ใช้โอกาสสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติม หากมีกำไรดี ก็จะเร่งให้พอร์ตโตเร็วขึ้น
การแยกพอร์ตช่วยให้คุณวัดผลของกลยุทธ์แต่ละประเภทได้ชัดเจน และสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างมีหลักการ
การจัดสัดส่วนพอร์ต
ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของแต่ละคน เช่น
นักลงทุนสายอนุรักษ์นิยม: 80% Beta / 20% Alpha
นักลงทุนสายสมดุล: 60% Beta / 40% Alpha
นักลงทุนสายบุก: 40% Beta / 60% Alpha หรือมากกว่านั้น
สรุป
การจัดพอร์ต Alpha และ Beta เป็นแนวทางที่ช่วยให้การเทรด Forex มีระบบระเบียบมากขึ้น ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพากลยุทธ์เดียว และช่วยให้คุณสามารถประเมินผลการเทรดได้อย่างชัดเจน หากนำแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้กับการบริหารบัญชีเทรด จะช่วยเพิ่มโอกาสให้การเทรดของคุณ “อยู่รอดและเติบโต” ได้ในระยะยาว
หลักการดู Order Block ที่ “แม่นยำและถูกต้อง” #4 น้าจะจะอธิบาย “Order Block (OB)” แบบละเอียด ลึก และใช้งานได้จริง โดยเน้นแนวทางที่ นักเทรดสาย Smart Money (SMC) ใช้กันจริงจัง ไม่ใช่แค่เห็นแท่งเทียนใหญ่แล้วเรียกว่า OB เฉย ๆ
💡 Order Block (OB) คืออะไร?
Order Block คือ “แท่งเทียนสุดท้ายก่อนที่ราคาจะกลับทิศ” ซึ่งเป็นจุดที่สถาบันการเงิน (Smart Money) วางคำสั่งซื้อหรือขายจำนวนมาก เพื่อเปิด Position ขนาดใหญ่ โดยมีจุดประสงค์หลักคือ
สร้าง liquidity ด้วยการหลอก (Manipulation)
วาง Buy/Sell limit หรือเปิด Position ใหม่
เป็นต้นกำเนิดของ BOS (Break of Structure)
🧩 ประเภทของ Order Block (OB)
ประเภท ความหมาย สังเกตอย่างไร
Bullish Order Block (Buy OB) จุดที่ราคาเคยกลับตัวขึ้นอย่างแรง ดูแท่งเทียนแดง (ก่อนขึ้น) แล้วราคาวิ่งขึ้นทะลุโครงสร้าง
Bearish Order Block (Sell OB) จุดที่ราคาเคยกลับตัวลงอย่างแรง ดูแท่งเทียนเขียว (ก่อนลง) แล้วราคาวิ่งลงทะลุโครงสร้าง
Mitigation Block จุดที่ OB ถูก revisit เพื่อเติมคำสั่งค้าง มักมี reaction รอบ 2
Continuation OB ใช้ในเทรนด์เพื่อหาจุดเติมไม้ เกิดในเทรนด์ชัดเจน หลัง BOS
✅ หลักการดู Order Block ที่ “แม่นยำและถูกต้อง”
1. มี Break of Structure (BOS) ยืนยัน
OB ที่ดี ต้อง เกิดก่อนที่ราคาจะ ทะลุ High หรือ Low สำคัญ
เช่น ก่อนเกิด BOS ขาขึ้น ต้องมี OB ที่ราคาพุ่งจากมัน
2. แท่งสุดท้ายก่อนเปลี่ยนทิศ
Bullish OB = แท่งแดงสุดท้ายก่อนราคาพุ่งทะลุ High
Bearish OB = แท่งเขียวสุดท้ายก่อนราคาดิ่งทะลุ Low
3. ต้องมี Liquidity ถูกกวาดก่อนหน้า (Sweep)
เช่น มี Equal Low/High หรือ Liquidity Pool ด้านบน/ล่าง ก่อนเกิด OB
4. ใช้ TF ใหญ่เป็นตัวกรอง
OB ที่น่าเชื่อถือควรดูจาก TF ใหญ่ก่อน (1H, 4H, Daily) แล้วค่อยหาจุดเข้าใน TF ย่อย (15m, 5m)
🛠️ วิธีการใช้งาน Order Block ในแผนเทรด
✅ ขั้นตอนการใช้ OB เพื่อหา Entry
วิเคราะห์ Trend และโครงสร้าง (Structure) ก่อน
หาจุด BOS ล่าสุด
มองหา OB ที่ทำให้เกิด BOS นั้น
รอให้ราคาย่อลงกลับมาแตะ OB
หาสัญญาณ Confirm เช่น:
Rejection Candlestick
RSI Divergence
MACD Crossover
CHoCH ใน TF ย่อย
🎯 เทคนิคเสริมความแม่น
เทคนิค รายละเอียด
ใช้ Fibonacci 0.5 - 0.79 OB ที่ดีมักอยู่ในโซน Discount (ซื้อ) / Premium (ขาย)
Confirm ด้วย CHoCH ใช้ใน TF ย่อย เช่น 5M เพื่อคอนเฟิร์มการกลับตัว
ดู Volume Volume พุ่งใน OB แปลว่า Smart Money เข้ามาจริง
ดูการ Revisit OB OB ที่ยังไม่ถูก revisit มีโอกาสทำงานสูง
📌 ตัวอย่างการใช้งานจริง
TF 1H: เห็น BOS ขาขึ้น → หา Bullish OB แท่งแดงสุดท้ายก่อนราคาพุ่ง
รอราคาย่อลงมาแตะ OB ใน TF 15M
ดูสัญญาณ CHoCH / RSI / MACD เพื่อ Confirm
เข้า Buy พร้อม SL ใต้ OB
วาง TP ที่ Liquidity High ถัดไป
#บันทึกเทรดน้า #roongee #playbooksmc
Liquidity Grab จุดที่ “รายใหญ่” ใช้หลอกกิน Stop Loss #3Liquidity Grab จุดที่ “รายใหญ่” ใช้หลอกกิน Stop Loss
เรื่อง Liquidity Grab เป็นหัวใจของแนวคิด Smart Money Concept เพราะมันคือจุดที่ “รายใหญ่” ใช้หลอกกิน Stop Loss ของรายย่อย แล้วพาราคากลับทิศไปอีกทางหนึ่ง
Liquidity Grab คืออะไร
“การดูดสภาพคล่องที่อยู่หลัง High/Low ก่อนเปลี่ยนทิศทาง”
ความหมายง่ายๆ:
รายใหญ่รู้ว่า “มี Stop Loss ของเทรดเดอร์รายย่อยซ่อนอยู่หลัง High หรือ Low สำคัญ”
เค้าจึง “พาราคาไปแตะเพื่อกิน SL เหล่านั้น (สร้างสภาพคล่อง)”
แล้วพาราคากลับทิศทันที = กลายเป็น “กับดักเทรดเดอร์”
ตัวอย่างง่ายๆ
สถานการณ์:
ราคาอยู่ในกรอบแนวนอน (Sideway)
มี High ซ้ำๆ อยู่ที่ 1.2000 หลายรอบ
เทรดเดอร์เปิด Sell แล้ววาง SL เหนือ High
เกิดอะไรขึ้น:
รายใหญ่ดันราคา ทะลุ 1.2000 → SL รายย่อยโดน
ราคากลับตัวทันที → เกิดแท่ง Rejection
นี่คือ “Liquidity Grab” → แล้วราคากลับลงแรง (False Breakout)
ประเภทของ Liquidity Grab
ประเภท รายละเอียด ใช้ทำอะไร
Buy-side Liquidity SL ของฝั่ง Sell (อยู่เหนือ High) ใช้สำหรับดันราคาขึ้นไปกินก่อนกลับลง
Sell-side Liquidity SL ของฝั่ง Buy (อยู่ใต้ Low) ใช้สำหรับทุบราคาลงไปกินก่อนกลับขึ้น
จุดที่มักมี Liquidity ให้ Grab
เหนือ High / ใต้ Low ที่เด่นชัด
→ ยิ่งชัด = ยิ่งมี SL ซ่อนอยู่เยอะ
ใกล้ OB / FVG / Supply-Demand Zone
ก่อนข่าวแรงๆ หรือ Breakout สำคัญ
สัญญาณว่าเกิด Liquidity Grab แล้ว
มีแท่งไส้ยาว (Wick) ทะลุ High/Low แล้วปิดกลับ
มีแท่ง Rejection หรือ Engulfing หลัง Grab
บางกรณีมี Divergence ช่วยยืนยัน
วิธีเทรดจาก Liquidity Grab
1. รอราคาเข้า “POI + มี Liquidity อยู่ใกล้ๆ”
(เช่น Order Block ที่มี High/Low อยู่ข้างบน/ล่าง)
2. พอราคาทะลุ High/Low → อย่ารีบเทรด
ให้รอแท่ง Rejection หรือ CHoCH ใน TF เล็ก
3. เข้าเทรดตรง BOS หรือแท่งยืนยัน
ตั้ง SL หลังไส้แท่งที่ Grab ไปแล้ว
ตัวอย่างกลยุทธ์ SMC + Liquidity Grab
Timeframe การใช้ Liquidity Grab
1H ใช้ดูแนวรับ/ต้านที่มี SL ซ่อนอยู่
15M เฝ้าดูโซน POI ใกล้จุด SL
5M / 1M รอแท่ง Rejection / BOS เพื่อเข้าออเดอร์
ภาพจำแบบง่าย
“ราคามักจะไปกิน SL ก่อน ถึงจะไปจริง”
#บันทึกเทรดน้า #roongee #playbooksmc
คู่มือการใช้งาน SMC (Smart Money Concept) CHOCH BOS #2โอ้เรื่องนี้สำคัญมากเลยครับคุณ โดยเฉพาะถ้าคุณกำลังใช้แนวทาง SMC (Smart Money Concept) แบบเต็มระบบ ต้องเข้าใจความต่างระหว่าง CHOCH กับ BOS แบบแม่นๆ เพราะมันคือ "สัญญาณเปลี่ยนแนวโน้ม" และ "สัญญาณยืนยันแนวโน้ม" ซึ่งทั้งคู่ทำงานร่วมกันเหมือนพี่น้องเลย
สรุปแบบเร็วให้เห็นภาพก่อน
หัวข้อ CHoCH (Change of Character) BOS (Break of Structure)
ความหมาย การเปลี่ยน “พฤติกรรมของราคา” การยืนยัน “เทรนด์ปัจจุบันยังคงอยู่”
เกิดเมื่อ มีการทำ “Low ใหม่” ในขาขึ้น หรือ “High ใหม่” ในขาลง มีการทำ “HH ใหม่” ในขาขึ้น หรือ “LL ใหม่” ในขาลง
สื่อถึง อาจเป็นจุด “เปลี่ยนเทรนด์” เป็นจุด “ต่อเนื่องเทรนด์”
ใช้เมื่อ อยากจับจุดกลับตัว อยากเทรดตามเทรนด์เดิม
ความเสี่ยง สูงกว่า (ยังไม่ยืนยันแนวโน้ม) เสี่ยงน้อยกว่า (แนวโน้มชัด)
ลำดับการเกิด: CHoCH → BOS
CHOCH จะเกิดก่อนเสมอ → เป็นการ “เปลี่ยนพฤติกรรม” จากแนวโน้มเดิม
BOS จะเกิดหลังจากนั้น → เป็นการ “ยืนยันแนวโน้มใหม่”
ตัวอย่าง:
ราคาอยู่ในขาลง → ทำ Lower High, Lower Low
อยู่ดีๆ ราคาทำ Higher Low + Break High เดิม → CHOCH
ถัดมา ราคาทำ Higher High อีกครั้ง → BOS ขาขึ้น
คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ (ตามลักษณะ Probability)
ประเภท ความน่าเชื่อถือโดยเฉลี่ย แนวทางการพิจารณา
CHOCH ~60–70% ใช้เป็นจุดเริ่มพิจารณา Entry + รอดู Rejection
BOS ~80–90% ใช้เป็นยืนยันเทรนด์ใหม่ก่อนเข้าออเดอร์หนัก
เทคนิค: ถ้าเข้าเทรดตอน CHOCH → ควรใช้ Risk น้อยลง
แต่ถ้ารอ BOS แล้วเข้าตอนย่อกลับ → สามารถใช้ Risk ได้มากขึ้น
วิธีใช้ใน Timeframe ต่างๆ
TF ใช้ CHOCH/BOS เพื่ออะไร
1H ดู CHOCH เพื่อเตรียมแผนเปลี่ยนเทรนด์, รอ BOS เพื่อยืนยันแนวโน้มใหญ่
15M ใช้ CHOCH เพื่อตั้ง POI, รอ BOS เพื่อมั่นใจก่อนเข้า
5M / 1M ใช้ CHOCH ในจุด Entry, รอ BOS เพื่อเพิ่มออเดอร์หรือเข้าใหม่
สรุปภาพรวมสไตล์ Playbok SMC Trader
เมื่อเห็น CHOCH:
→ อย่าพึ่งเทรด! ให้เริ่มวางแผน หา Order Block หรือ FVG
เมื่อ BOS เกิด:
→ เข้าออเดอร์ได้ถ้ามีการย่อกลับ พร้อมแท่งยืนยัน
หลัง BOS:
→ เฝ้าดูการย่อ เพื่อ Re-entry หรือถือรันเทรนด์
#playbooksmc #บันทึกเทรดน้า #tradersetup
คู่มือการใช้งาน SMC (Smart Money Concept) POI Order Block FVG วันนี้น้าจะอธิบาย 3 องค์ประกอบสำคัญในแนวคิด SMC (Smart Money Concept) ได้แก่ POI, Order Block, FVG แบบละเอียด พร้อมตัวอย่างการใช้งานในการเทรดจริง โดยเฉพาะสำหรับ Timeframe 1H, 15M, 5M ที่คนส่วนใหญ่ใช้งานนะครับ
1. POI (Point of Interest) คืออะไร
POI คือ “จุดที่น่าสนใจ” ซึ่งคาดว่าราคาจะมีปฏิกิริยาเมื่อกลับมาแตะ ใช้เป็น โซนสำหรับรอเทรด (Entry Zone)
ตัวอย่างของ POI ที่นิยมใช้:
Order Block (OB) – บริเวณแท่งเทียนสุดท้ายก่อนราคาพุ่งขึ้น/ลง
FVG (Fair Value Gap) – ช่องว่างที่เกิดจากแรงซื้อ/ขายเร็ว
Liquidity Zone – จุดที่มี Stop Loss ของเทรดเดอร์รายย่อยซ่อนอยู่
Supply/Demand Zone – พื้นฐานโซนดีมานด์/ซัพพลายแบบคลาสสิก
2. Order Block (OB) คืออะไร
Order Block คือ “แท่งเทียนสุดท้ายของฝั่งตรงข้าม” ก่อนที่เกิดการเคลื่อนไหวอย่างแรง เช่น:
ในขาขึ้น → มองหา แท่งแดงสุดท้ายก่อนเกิดแท่งเขียวใหญ่
ในขาลง → มองหา แท่งเขียวสุดท้ายก่อนเกิดแท่งแดงใหญ่
วิธีใช้งาน:
ใช้ Order Block เป็น จุดรอราคาเข้ามา Re-test เพื่อเข้าออเดอร์
ใช้ร่วมกับ Break of Structure (BOS) เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
วาง SL ไว้ใต้ OB (ในขาขึ้น) หรือเหนือ OB (ในขาลง)
เทคนิคพิเศษ:
ใช้ OB บน TF ใหญ่ (1H, 15M) เพื่อเป็น POI
ยืนยันด้วย Candlestick + Indicator ใน TF เล็ก (5M, 1M)
3. FVG (Fair Value Gap) คืออะไร
FVG คือ “ช่องว่างของราคาที่เกิดจากความไม่สมดุล” ระหว่างแรงซื้อกับแรงขาย
รูปแบบ:
เกิดเมื่อแท่งเทียน 3 แท่งเรียงกัน โดย:
แท่งที่ 2 มี Body ใหญ่
ไม่เติมเต็ม Wick ของแท่งที่ 1 หรือแท่งที่ 3
ช่องว่างนี้ = โซน FVG
วิธีใช้งาน:
ใช้เป็น POI สำหรับรอการ Refill (ราคามักย้อนกลับมาเติม)
วาง Limit Order ได้ หรือรอแท่งเทียนยืนยันเมื่อราคากลับมา
ตัวอย่างการวางแผนเทรดด้วย OB + FVG
สมมุติ:
TF 1H = Uptrend (มี BOS)
พบ Order Block อยู่บริเวณ 1,800
มี FVG ระหว่างราคา 1,790 - 1,795
แผน:
วาง POI บริเวณ OB (1,800) + FVG (1,790–1,795)
รอราคาลงมาทดสอบ
เข้าเทรดเมื่อมีแท่งเทียน Rejection บน TF 5M หรือ 1M
SL ใต้ OB (1,785) / TP ที่ Liquidity Zone ถัดไป (1,820)
สรุปง่ายๆ แบบใช้จริง
-------------------------
องค์ประกอบ ความหมาย ใช้ยังไง
POI จุดที่คาดว่าราคาจะกลับตัว ใช้เป็น "โซนเฝ้า" เพื่อหา Entry
Order Block แท่งสุดท้ายก่อนเกิด impulsive move ใช้เป็น POI ที่แม่นยำมาก
FVG ช่องว่างที่เกิดจากแรงซื้อ/ขาย ใช้คาดจุดที่ราคาจะมาเติมเต็ม
XAUUSD 15/04/2025 >>> แผน Trade หลัง 17.15 <<<
Pacth 2.0 ระบบ down ลงแรง
.
"====================="
Mark กรอบ
"====================="
.
Up 3229.90
.
Mid 3224.40
.
Down 3218.90
.
"====================="
Trade Set up
"====================="
.
>>> Sell limit 3229.40
.
*** > SL 3236.9
*** > TP 3,219.4 , 3214.4
3204.4 , 3180
.
>>> Sell limit 3239.4
.
*** > SL 3248.4
*** > TP 3224.4 , 3214.4
3204.4
Bond Shock คืออะไร?ขอเล่าเรื่อง "Bond Shock" ให้เข้าใจง่าย และเชื่อมโยงกับ สงครามการค้า (Trade War) ในตอนนี้นะครับ
________________________________________
📉 Bond Shock คืออะไร?
"Bond Shock" เปรียบเหมือน “แผ่นดินไหวในตลาดพันธบัตร”
จู่ๆ อัตราผลตอบแทน (Yield) ของพันธบัตรรัฐบาลก็พุ่งขึ้นแรงราวกับ “ภูเขาไฟระเบิด”
โดยในภาพที่แนบมา — เราเห็นว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี ขยับจากแถว 4.00% → ทะลุ 4.38% ในเวลาไม่นาน
นั่นคือ “แรงขายพันธบัตรอย่างหนัก” → ราคาพันธบัตรร่วง → Yield พุ่ง = Bond Shock
________________________________________
🧠 ทำไมถึง "ช็อก"?
1. ราคาพันธบัตรลง = คนไม่อยากถือหนี้รัฐบาล
→ สะท้อนความกังวลว่า "เงินเฟ้อ" อาจจะยังไม่หยุด
→ หรือกลัวว่ารัฐจะกู้เงินมากขึ้น จนหนี้ล้น (Fiscal Risk)
2. ต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทและประชาชนพุ่ง
→ คนซื้อบ้าน ผ่อนรถ ลงทุนธุรกิจ เจออัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
→ “ช็อกซ้ำ” ไปที่เศรษฐกิจ
3. หุ้นก็ตกตาม
→ ดอกเบี้ยสูงคือพิษร้ายของตลาดหุ้น (ดิสเคานต์แวลูสูงขึ้น กำไรดูไม่คุ้มความเสี่ยง)
________________________________________
⚔️ แล้วเทรดวอร์ (Trade War) มีผลยังไง?
เทรดวอร์ = ระเบิดเวลาของ Bond Shock
1. สงครามภาษี → ต้นทุนสินค้าสูงขึ้น → เงินเฟ้อเพิ่ม
→ นักลงทุนเริ่มคาดว่า Fed ต้องขึ้นดอกเบี้ยสูงและนาน
→ พันธบัตรจึงถูกเทขาย → Yield พุ่ง
2. จีนคือผู้ถือครองพันธบัตรสหรัฐรายใหญ่
ถ้าเทรดวอร์รุนแรง → จีนลดการซื้อพันธบัตรหรือขายทิ้ง
= อุปสงค์ลด ราคาตก Yield พุ่ง
3. ดอลล่าร์แข็ง → ทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่
= ตลาดทุนทั่วโลกปั่นป่วน → นักลงทุน Panic ขายตราสารหนี้
________________________________________
🔥 ตัวอย่าง Bond Shock ที่เคยเกิดขึ้น
• ปี 1994: Fed ขึ้นดอกเบี้ยแบบเซอร์ไพรส์ → Bond Yield พุ่งเร็ว → ตลาดหุ้นตกแรง
• ปี 2022: เงินเฟ้อสหรัฐสูงสุดในรอบ 40 ปี → Fed ขึ้นดอกเบี้ยดุ → Bond Shock ทำ Nasdaq ดิ่ง
________________________________________
🪙 สรุปแบบสำนวน "ลุงบัฟเฟตต์"
“เวลาอัตราดอกเบี้ยขึ้น มันเหมือนน้ำทะเลลดลง… คุณจะเห็นว่าใครบ้างที่ไม่ใส่กางเกงว่ายน้ำ”
และ Bond Shock ก็คือ “น้ำลดฉับพลัน” ที่ทำให้ตลาดทั้งโลกสะดุ้ง
อย่าประมาทสงครามการค้า เพราะมันเหมือน ไฟใต้ดิน ที่พร้อมจุด
14/04/25 Down>>> แผน Trade หลัง 17.15 <<<
Pacth 2.0 ระบบ down
.
"====================="
Mark กรอบ
"====================="
.
Up 3235.8
.
Mid 3230.8
.
Down 3225.8
.
"====================="
Trade Set up
"====================="
.
>>> Sell limit 3225.5
.
*** > SL 3234.8
*** > TP 3224.8 , 3219.8
3145
.
>>> Sell limit 3250
.
*** > SL 3260
*** > TP 3230
3145
How To Setting EA วิธีติดตั้ง EA Robot Forex บน MT4, MT5How To Setting EA
วิธีติดตั้ง EA Robot Forex บน MT4, MT5
👰 กลับจากบทความที่แล้ว แอดพาทุกคนไปรู้จัก กับ EA robot กันแล้ว มารอบนี้เราไปดูกันต่อฮะกับวิธีการติดตั้ง EA robot แบบง่ายๆที่ไม่ยุ่งยาก มาครับ ตามไปอ่านพร้อมๆกันเลยกับบทความนี้มีคำตอบ
วิธีติดตั้ง EA Robot Forex บน MT4
ขั้นตอนที่ 1 ดาวน์โหลดไฟล์ EA ที่ต้องการจะติดตั้ง หาโหลดฟรีได้ทั่วไปเลยครับ
ขั้นตอนที่ 2 Extract ไฟล์ EA และ Copy ข้อมูล
👉คลิกขวาที่ไฟล์ EA
👉เลือก Extract to
👉คลิกขวาที่ไฟล์ (.ex4 หรือ .mq4) เพื่อ Copy
ขั้นตอนที่ 3 เปิดโปรแกรม MT4 และเริ่มติดตั้ง
👉ไปที่ File
👉เลือก Open Data Folder
👉กดเข้าไปที่ โฟลเดอร์ MQL4
👉คลิกเข้าไปที่ Experts
👉นำ EA ที่เรา Copy ในขั้นตอนที่ 2 มาวางในโฟลเดอร์ Expert
ขั้นตอนที่ 4 รีเฟรชโปรแกรม MT4 อีกครั้ง
👉คลิกขวาที่ Expert Advisors บนแถบด้านซ้ายหน้า MT4
👉เลือก Refresh
วิธีติดตั้ง EA Forex บน MT5 มีขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ดาวน์โหลดไฟล์ EA ที่ต้องการ โดยอยู่ในรูปแบบ EX5 หรือ MQ5
ขั้นตอนที่ 2 เปิดโปรแกรม MT5 และติดตั้ง
👉ไปที่ File บนแถบเมนูด้านบน
👉คลิกที่ Open Data Folder
👉คลิกที่ MQL5 จากนั้นคลิกที่ Experts
👉คัดลอกและวางไฟล์ EA ลงในโฟลเดอร์
ขั้นตอนที่ 3 กลับไปที่แพลตฟอร์ม MT5
ขั้นตอนที่ 4 รีเฟรชโปรแกรม MT5 อีกครั้ง
👉คลิกขวาที่ Expert Advisors บนแถบด้านซ้ายหน้า MT5
👉เลือก Refresh จากนั้น EA ที่ติดตั้งจะปรากฏขึ้นในรายการ
👉👉👉 เป็นอย่างไรกันบ้างฮะ ง่ายใช่มั้ยหล่ะ แต่สิ่งสำคัญที่เราควรต้องคำนึงเป็นอันดับแรกๆก็คือการเลือก EA ที่ดีสักตัว เพราะมันจะช่วยเพิ่มโอกาสการทำกำไรและลดความเสี่ยงได้อีกนะดับ แอดแถมให้อีกนิดนะฮะ
1. เลือก EA ที่มีการแสดง Back Test ให้เราติดตาม และควรเลือกระยะเวลาย้อนหลังอย่างน้อย 1 ปี เพื่อให้เห็นโอกาสการทำกำไรของการใช้ EA ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
2. ทดสอบ A/B Test เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพก่อน เพื่อเป็นการเปรียบเทียบว่า EA ตัวไหนสามารถทำกำไรได้จริง และดีกว่ากัน
3. อ่านรีวิว EA Forex จากผู้ใช้งานจริง จะทำให้เราตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น และบางทีอาจจะถูกกับจริตของเราด้วย
4. ทดสอบ EA Forex ในตลาดจริงก่อนเริ่มใช้งาน ด้วยการลองใช้ในบัญชี Demo เพื่อความสมจริงฮะ แม้จะไม่เหมือนพอร์ตจริงแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ไม่หนีกันมากนัก
5. เลือกโบรกเกอร์ที่มีใบอนุญาตและมีความน่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันความเสี่ยง
👉👉👉แม้ว่า EA Robot จะเป็นที่นิยม เพื่อใช้ในการเทรดที่ต้องการลดการทำงานของมนุษย์ หรือเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดในตลาดที่มีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากการตั้งค่าหรือกลยุทธ์ที่ไม่เหมาะสมด้วยเช่นกัน อย่าลืมเผื่อใจและใช้เวลาในการเลือกสักหน่อยนะครับ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ EA Robot สมัยนี้มันต้องเพิ่งเทคโนโลยีด้วยกันแล้วจริงๆนะ แต่ทั้งนี้ทั้นนั้น EA Robot ก็มีทั้งด้านดี และด้านเสีย เราจะเอาใจไปลงที่ EA robot แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้นะครับ มันเสี่ยงเกินไป และที่สำคัญ เมื่อได้มันมาแล้ว แอดแนะนำให้ลอง back test ย้อนดูไปนานๆก่อนฮะ และทดลองใช้กับพอร์ตเดโม่3-6 เดือนด้วยยิ่งดี เราจะได้ไม่ขาดทุนครับ
การเทรด Forex ด้วยกลยุทธ์ Volatility Tradingความหมายของ Volatility
Volatility หรือ "ความผันผวน" คือระดับความแปรปรวนของราคาสินทรัพย์ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยในตลาด Forex นั้น ความผันผวนหมายถึงการที่ราคาคู่เงินมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงในอัตราที่รวดเร็วและรุนแรง ซึ่งถือเป็นดาบสองคม เพราะแม้จะเปิดโอกาสในการทำกำไรมหาศาล แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนได้เช่นกัน
ทำไม Volatility ถึงสำคัญในการเทรด?
โอกาสในการทำกำไรเพิ่มขึ้น – เมื่อตลาดมีความผันผวนสูง เทรดเดอร์สามารถเข้าออกออเดอร์ได้ในช่วงราคาที่กว้างขึ้น สร้างกำไรได้มากขึ้นในเวลาอันสั้น
กลยุทธ์การเทรดบางประเภทต้องการ Volatility – เช่น Breakout Strategy หรือ News Trading ที่ต้องอาศัยการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็ว
ช่วยบ่งชี้แนวโน้มของตลาด – ความผันผวนที่เพิ่มขึ้นอาจบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มในตลาด
วิธีการเทรดด้วย Volatility
1. Breakout Trading
กลยุทธ์นี้เน้นการเข้าออเดอร์เมื่อราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ พร้อมกับปริมาณความผันผวนที่สูง เพื่อหวังให้ราคาวิ่งต่อไปอย่างรุนแรง
2. Range Trading (เมื่อ Volatility ต่ำ)
เมื่อราคาวิ่งอยู่ในกรอบแคบ ๆ หรือ Sideway การใช้กลยุทธ์ Range Trading เช่น ซื้อบริเวณแนวรับ และขายบริเวณแนวต้าน เป็นวิธีที่เหมาะสม
3. News Trading
ข่าวเศรษฐกิจใหญ่ เช่น Non-Farm Payroll, การประกาศอัตราดอกเบี้ย ฯลฯ มักสร้างความผันผวนมหาศาล หากวางแผนล่วงหน้าได้ดี อาจสร้างผลกำไรได้มากจากการเคลื่อนไหวเหล่านี้
ตัวชี้วัดความผันผวนที่ควรรู้
ATR (Average True Range): ใช้วัดระดับความผันผวนในกรอบเวลาเฉพาะ เช่น ATR สูง = ตลาดผันผวน
Bollinger Bands: แสดงช่วงการเคลื่อนไหวของราคา ยิ่งแคบแปลว่าผันผวนต่ำ ยิ่งกว้างแปลว่าผันผวนสูง
Volatility Index (VIX): ใช้ในตลาดทุน (หุ้น/ดัชนี) แต่สามารถดูแนวโน้มของความกลัวในตลาดรวมได้
ข้อควรระวังในการเทรดตามความผันผวน
อย่าใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินใจ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดเหวี่ยง
วาง Stop Loss และ Risk Management อย่างรัดกุมเสมอ
หลีกเลี่ยง Overtrade เมื่อเห็นกราฟเคลื่อนไหวแรงเกินไป
ศึกษาพฤติกรรมของตลาดในช่วงเวลาแต่ละวัน เช่น ตลาดยุโรป/อเมริกามักผันผวนกว่าตลาดเอเชีย
สรุป
การเทรดด้วยกลยุทธ์ Volatility Trading เป็นวิธีที่สามารถสร้างกำไรได้อย่างรวดเร็วในตลาด Forex แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงด้วยความเสี่ยงสูง ผู้ที่สนใจจึงควรศึกษาพฤติกรรมของตลาด เข้าใจเครื่องมือวัดความผันผวน และบริหารจัดการความเสี่ยงให้ดี เพื่อเปลี่ยน "ความผันผวน" ให้กลายเป็น "โอกาส" อย่างแท้จริง
10/04/25 เราอาจอธิบายว่าทำไมตลาดดีดแรงได้ด้วย10/04/25 เราอาจอธิบายว่าทำไมตลาดดีดแรงได้ด้วย
1. ตลาดเหลือ PBV = 1 ในวันที่ 08/04/25 ถูกสุดในรอบ 10 ปี ถูกกว่าโควิดที่ 1.12
2. นับจาก low 969.08 ขึ้นไปทำ hi 1718.55 ช่วงตลาดฟื้นจากโควิด 2020-2022 ตลาดหุ้นไทยได้ลงมา 88.6% และเริ่มเกิด "SELL REJECT"
3. ข้อสังเกต SET@WEEK กับ "TD SEQUENTIAL"
Aggressive Count จะยืนยัน TD#13 ศุกร์สิ้นวัน เพราะ TF@WEEK ต้องจบ วีค
Classic Count จะยืนยัน TD#10 ศุกร์สิ้นวัน เพราะ TF@WEEK ต้องจบ วีค
การนับครบด้วย Aggressive Count ให้น้ำหนัก REBOUND ไม่ใช่ REVERSAL
4. Fibo Time 161.8% ตรงกับ 04/04/25 ซึ่ง 5-6-7 ตลาดปิดทำการ ก็แปลว่ามีโอกาสเจอ แนวรับของเวลาตั้งแต่ 8 เมษายน 68 เป็นต้นไป
5. ตลท. ห้ามทำ "SHORT SELL" ช่วง 8-11 เมษายน 68
6. การสะสม long futures ของต่างชาติ YTD 40,233 สัญญา ในขณะที่ สถาบันและรายย่อย short สะสม YTD
EA Robot คืออะไร กำไรได้จริงหรือเปล่านะEA Robot คือะไร กำไรได้จริงหรือเปล่านะ
👰 กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับบทความๆดีๆที่มีให้อ่านกันไม่รู้จักเบื่อ มาครับวันนี้แอดพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ EA robot กัน ด้วยยุคสมัยที่เติบโตไปเรื่อยๆแบบนี้ แน่นอนว่าไม่มีใครอยากหยุดอยู่ที่เดิมแน่นอน การเอา EA เข้ามาช่วยจึงเป็นบทบาทสำคัญอีกหนึ่งอันที่เราชาวเทรดเดอร์นิยมใช้กัน มาครับ วันนี้แอดพาทุกท่านไปรู้จักกับ EA robot กันครับ
ในโลกการเทรด Forex ที่เต็มไปด้วยความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงของราคาที่เกิดขึ้นได้วินาทีต่อวินาที การมองหาเครื่องมือที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในการเทรดคือ จุดกำเนิดของ EA Robot โปรแกรมเทรดอัตโนมัติที่ออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนโดยเฉพาะ
EA Forex หรือชื่อเต็มว่า Expert Advisor Forex คือ โปรแกรมที่ใช้ในตลาด Forex ซึ่งทำงานโดยอัตโนมัติในการซื้อขายหรือเทรดในตลาดตามที่ได้ตั้งค่าหรือโปรแกรมไว้ล่วงหน้า โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้งานทำการซื้อขายด้วยตนเอง
EA Forex ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยใช้ภาษาโปรแกรม MQL (MetaQuotes Language) ซึ่งใช้สำหรับการพัฒนาอินดิเคเตอร์, สคริปต์, และ Expert Advisors บนแพลตฟอร์ม MetaTrader 4 หรือ MetaTrader 5 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการเทรดที่นิยม
การทำงานของ EA Forex มีลักษณะดังนี้
1. การซื้อขายอัตโนมัติ: EA จะทำกาวิเคราะห์ตลาดและเปิด/ปิดคำสั่งซื้อขายตามกลยุทธ์ที่ได้ตั้งค่าไว้ โดยอัตโนมัติ
2. ลดความผิดพลาดจากอารมณ์: เนื่องจาก EA ทำงานตามกฎที่ตั้งไว้จึงไม่ถูกรบกวนจากอารมณ์ของผู้เทรด
3. การตั้งค่ากลยุทธ์: ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่ากลยุทธ์การเทรดเอง เช่น การวิเคราะห์ทางเทคนิค, การกำหนดสัญญาณซื้อ/ขาย, การตั้ง Stop Loss และ Take Profit
4. สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง: เนื่องจาก EA ทำงานอัตโนมัติ มันสามารถทำงานตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน โดยไม่ต้องพัก
EA Robot มีกี่ประเภท
1. EA Forex ประเภท News เป็น EA ที่เทรดโดยอาศัยช่วงข่าว หรือเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวต่างๆ ในช่วงที่กราฟมีความผันผวนรุนแรงมากๆ
2. EA Robot ประเภท Breakout เป็นการเทรดโดยอาศัยการใช้แนวรับ – แนวต้านที่สำคัญ และจะทำการซื้อ – ขาย เมื่อราคาทะลุแนวรับแนวต้านที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า
3. EA Robot ประเภท Martingale เป็นรูปแบบการทำงานของ Martingale คือ จะมีการเพิ่มขนาดการลงทุนในการซื้อ – ขายเป็น 2 เท่าทุกครั้งที่ขาดทุน เพื่อทดแทนเงินส่วนที่ขาดทุนไปก่อนหน้านี้ และทำซ้ำไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้กำไร EA ประเภทนี้ จัดว่ามีความเสี่ยงสูงมากและต้องมีทุนมากเช่นกัน
4. EA Robot ประเภท Hedging เป็น EA ที่เน้นการเทรดโดยป้อกันความเสี่ยงเป็นหลัก หลักการทำงานที่สำคัญของ EA รูปแบบนี้ คือ การเปิดออเดอร์ซื้อ – ขายในทิศทางที่ตรงข้ามกันในคู่สกุลเงินที่มีความสัมพันธ์และใกล้เคียงกัน เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากความผันผวนของตลาด
5. EA Robot ประเภท Scalping EA ประเภทนี้จะเน้นการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงระยะสั้น ๆ และจะมีการเปิด – ปิดออเดอร์การซื้อขายหลายครั้งในหนึ่งวัน ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดเป็นหลัก
แม้ว่า EA Robot จะเป็นที่นิยม เพื่อใช้ในการเทรดที่ต้องการลดการทำงานของมนุษย์ หรือเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดในตลาดที่มีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากการตั้งค่าหรือกลยุทธ์ที่ไม่เหมาะสมด้วยเช่นกัน อย่าลืมเผื่อใจและใช้เวลาในการเลือกสักหน่อยนะครับ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ EA Robot สมัยนี้มันต้องเพิ่งเทคโนโลยีด้วยกันแล้วจริงๆนะ แต่ทั้งนี้ทั้นนั้น EA Robot ก็มีทั้งด้านดี และด้านเสีย เราจะเอาใจไปลงที่ EA robot แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้นะครับ มันเสี่ยงเกินไป และที่สำคัญ เมื่อได้มันมาแล้ว แอดแนะนำให้ลอง back test ย้อนดูไปนานๆก่อนฮะ และทดลองใช้กับพอร์ตเดโม่3-6 เดือนด้วยยิ่งดี เราจะได้ไม่ขาดทุนครับ
เปรียบเทียบ ทฤษฎี Wyckoff Accumulation Schematic เปรียบเทียบ ทฤษฎี Wyckoff Accumulation Schematic #1 กับ กราฟ BTC/USDT บน Timeframe 4H
ผมขอวิเคราะห์ให้แบบละเอียดด้านล่างเลยครับ:
🔍 Step-by-Step เทียบกับ Wyckoff Accumulation
✅ Phase A – Stopping the Downtrend
✅ มีการลงแรงอย่างชัดเจนก่อนหน้า (Preliminary Support – PS, Selling Climax – SC)
✅ มีการดีดตัวขึ้นแรงหลังลง (Automatic Rally – AR)
✅ และมีการย่อกลับลงมาอีกครั้งแบบไม่หลุดจุดต่ำสุดเดิม (Secondary Test – ST)
ในกราฟ BTC เห็นชัดเจนว่าช่วงประมาณ 23 มี.ค. – 27 มี.ค. มีรูปแบบนี้เกิดขึ้นครบ
✅ Phase B – Building a Cause
✅ กราฟเริ่มแกว่งตัวในกรอบ Sideways โดยมีความผันผวนสูง
✅ มีหลายครั้งที่ราคาทดสอบแนวรับ-แนวต้านซ้ำ
ช่วงนี้กินเวลาตั้งแต่ ประมาณ 27 มี.ค. – 15 เม.ย. เป็นการสะสมพลังตามหลัก Wyckoff
✅ Phase C – Spring และ Test
✅ มีจังหวะที่ราคาหลุดแนวรับช่วงสั้นๆ แล้วดีดกลับแรง (Spring)
✅ ตามมาด้วยการเทสซ้ำในกรอบเดิม (Test)
ในกราฟดูเหมือนเกิด Spring ประมาณ 18 เม.ย. ซึ่งหลุดกรอบแล้วเด้งกลับทันที (ลักษณะพฤติกรรมของแรงซื้อเข้าทันที)
✅ Phase D – Markup เริ่มต้น
✅ ราคาทะลุกรอบบน (Resistance) แบบมี Volume (Sign of Strength – SOS)
✅ ตามมาด้วยการย่อลงทดสอบ (Last Point of Support – LPS)
ประมาณช่วง 21 เม.ย. – 28 เม.ย. BTC ขึ้นแรง ทะลุแนวต้าน และย่อเบาๆ ก่อนจะเริ่มแกว่งตัวบนกรอบใหม่
❓ Phase E – Trend ใหม่เริ่มต้น
⚠️ ตอนนี้กราฟยังอยู่ในช่วงปลาย Phase D → ยังไม่ยืนยันการเริ่มต้นเทรนด์ใหม่อย่างชัดเจน (Phase E)
ต้องรอราคายืนเหนือแนวต้านได้อย่างมั่นคงและมี Volume สนับสนุนอีกหน่อย
🔮 สรุปภาพรวม
✅ กราฟ BTC/USDT ปัจจุบันตรงกับ Wyckoff Accumulation Schematic ค่อนข้างแม่นยำ
ผ่าน Phase A → C อย่างครบถ้วน
กำลังเข้าสู่ปลาย Phase D
ถ้าราคายืนเหนือแนวต้านได้และมี Breakout → Phase E อาจเกิดขึ้นต่อไป
🎯 แนวทางสำหรับเทรดเดอร์
รอดู LPS หรือ BU/LPS ล่าสุด ว่าจะรับอยู่ไหม
ถ้าราคาเบรก High เดิมใน Phase D (บริเวณ ~88K-90K) = สัญญาณเปิด Long เพิ่ม
Stop Loss ควรอยู่ใต้ LPS (ประมาณ ~80K)
เปรียบเทียบ 2 กรณีจากกราฟ BTC ตอนนี้ ที่ดูเหมือนจะอยู่ในช่วงปลาย Phase D ของ Wyckoff Accumulation ซึ่งกำลังใกล้จุดตัดสินใจ ว่าจะไป Phase E (ขาขึ้น) หรือ Fail (ลงซ้ำ)
📈 กรณีที่ 1: ไปต่อ Phase E – เข้าขาขึ้นเต็มตัว
🔹 สัญญาณที่จะยืนยัน:
ราคายืนเหนือแนวต้านเดิมได้ (เช่น FWB:88K –$90K)
มี Volume สนับสนุนขาขึ้น (SOS)
การย่อตัวหลังจากเบรกเป็นเพียงการทดสอบแนวรับใหม่ (BU/LPS)
🔮 คาดการณ์ล่วงหน้า:
เป้าหมายแรกอาจไปทดสอบ High เดิมช่วง $94K– GETTEX:98K
ถ้าแรงดี อาจเห็นราคาทะลุ $100K ในรอบถัดไป
ลักษณะการเคลื่อนไหวจะ “ขึ้น–พัก–ขึ้น” แบบแข็งแรง
✅ กลยุทธ์:
ซื้อเพิ่มเมื่อราคาเบรกแนวต้านสำเร็จ + ย่อมาเทสต์ไม่หลุดแนวรับใหม่
ใช้ Trailing Stop เพื่อรักษากำไรในขาขึ้น
📉 กรณีที่ 2: Fail ขึ้นจริง – กลับตัวลงซ้ำ (Fail of Accumulation)
🔹 สัญญาณที่จะยืนยัน:
ราคาย่อตัวหลุดแนวรับของ LPS หรือ BU/LPS (~$80K)
เกิดการ “Breakdown” พร้อม Volume ขายหนาแน่น
พฤติกรรมเปลี่ยนจากการสะสมเป็น Distribution
🔮 คาดการณ์ล่วงหน้า:
ราคาจะลงกลับไปทดสอบแนวรับเดิมบริเวณ $76K หรือแม้แต่ต่ำกว่า Spring ที่ ~$72K
อาจเข้าสู่ Wyckoff Distribution หรือ Re-Accumulation ใหม่อีกที
⚠️ กลยุทธ์:
Cut loss หากหลุดแนวรับ LPS
หากหลุดแบบมี Volume หนัก = อาจมีโอกาส Short ระยะสั้น
หลีกเลี่ยงการ Buy-the-dip ถ้าไม่มีพฤติกรรม Spring ใหม่ที่ชัดเจน
📌 สรุปเบื้องต้น (ณ 5เม.ย. 2025)
กรณี ความเป็นไปได้ แนวทาง
Phase E (ขึ้นต่อ) ✅ 60% เฝ้ารอสัญญาณเบรก + เทสต์แนวต้าน
Fail / ลงต่อ ⚠️ 40% เฝ้าแนวรับ ~$80K ถ้าหลุดให้ระวัง
ช่วยกดติดตามด้วยนะ ผมจะมาวิเคราห์กราฟ ด้วยระบบSMC
#smcลึกแต่เข้าใจง่าย #เทรดแบบไม่โดนแดก #oakmastertrader #บันทึกเทรดน้า
BTCUSD (1D): บีบราคาบนแนวรับ Fib 0.618–0.786 พร้อมเป้าขึ้นสู่ 12กราฟ BTCUSD (TF Day) แสดงการแกว่งตัวสร้างฐานบนโซน Fibonacci 0.618–0.786 ซึ่งเป็นแนวรับหลัก
เส้น Gann Fan หลากสีแบ่งระดับแนวรับ/แนวต้านตามโมเมนตัมขาขึ้น
ราคากำลังกระจุกตัว (Consolidation) ในบริเวณวงกลมสีม่วง บ่งบอกถึงการสะสมพลัง
เป้าหมายการขึ้นต่อ (TP1) อยู่บริเวณ 109,452–129,452 ดอลลาร์ตามเส้นแนวโน้ม
หากไม่หลุดแนวรับนี้ มีแนวโน้มที่จะเด้งขึ้นตามลูกศรสีแดงได้ต่อเนื่อง
นักเทรดบางส่วนพิจารณา “Buy” ในโซนนี้เพื่อตามแนวโน้มขาขึ้น
ควรกำหนด Stop Loss และวางแผน Money Management เพื่อรับมือความผันผวนของตลาด
📌เพจมือสไน หากินกับกราฟ
www.facebook.com
📌เพจรวยกับกราฟ
www.facebook.com
📌แจกชีทเรียนเทรดฟรี 1,000 กว่าหน้า! เพียงทักมาในไลน์ว่า “เพจมือสไน”
lin.ee
ETHUSD (1D): จับตาโซน Fibonacci 100-127.2% กับโอกาสดีดตัวจาก Patกราฟ ETHUSD (TF Day) กำลังเคลื่อนที่ในโซน Fibonacci 100-127.2% ซึ่งเป็นแนวรับสำคัญ
เส้นวงกลมหลากสีคือ Fibonacci Arcs ใช้ระบุตำแหน่งแนวรับ/แนวต้านในรูปแบบโค้ง
รูปแบบ Harmonic AB=CD กำลังพัฒนา โดยจุด D อยู่บริเวณราคาใกล้ ๆ แนวรับนี้
ค่า B–D ประมาณ 1.27–1.414 สะท้อนการ “ยืดตัว” ของราคาในขาลงก่อนหน้า
หากยืนเหนือแนว Fibonacci นี้ได้ มีโอกาสที่ราคาจะดีดตัวขึ้นต่อ ตามลูกศรสีแดง
เป้าหมายแนวต้านถัดไปอยู่ที่บริเวณโซนสูงกว่าระดับ 3,000–4,000 ดอลลาร์ (100–127.2%)
ควรพิจารณาสัญญาณยืนยันจาก Price Action และปริมาณการซื้อขายประกอบการตัดสินใจลงทุน
📌เพจมือสไน หากินกับกราฟ
www.facebook.com
📌เพจรวยกับกราฟ
www.facebook.com
📌แจกชีทเรียนเทรดฟรี 1,000 กว่าหน้า! เพียงทักมาในไลน์ว่า “เพจมือสไน”
lin.ee
Pyramiding ในการเทรด Forex: กลยุทธ์เพิ่มกำไรแบบเป็นระบบPyramiding คืออะไร?
Pyramiding เป็นกลยุทธ์การเพิ่มขนาดของตำแหน่ง (Position) ในขณะที่ตลาดเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่เป็นกำไร โดยไม่เพิ่มความเสี่ยงมากเกินไป หลักการของ Pyramiding คือการใช้กำไรที่ได้รับจากออเดอร์เดิมมาสร้างออเดอร์ใหม่ ทำให้สามารถขยายขนาดของการเทรดได้โดยไม่ต้องเพิ่มความเสี่ยงของบัญชีมากนัก
หลักการของ Pyramiding
1.เริ่มต้นด้วยขนาดที่เหมาะสม: เทรดเดอร์จะเปิดออเดอร์แรกด้วยขนาดที่คำนวณจากการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
2.เพิ่มออเดอร์เมื่อราคาเคลื่อนที่ไปในทางที่ถูกต้อง: เมื่อราคาวิ่งไปในทิศทางที่ทำให้เกิดกำไร จะมีการเปิดออเดอร์ใหม่ที่ระดับราคาที่สูงขึ้น (ในเทรดขาขึ้น) หรือระดับราคาที่ต่ำลง (ในเทรดขาลง)
3.ใช้กำไรเพื่อเพิ่มขนาดการเทรด: กำไรที่เกิดขึ้นจากออเดอร์แรกสามารถนำมาใช้เป็นหลักประกันสำหรับออเดอร์ใหม่ได้
4.กำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) อย่างรัดกุม: ควรตั้ง Stop Loss ของทุกออเดอร์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยง หากราคาย้อนกลับไปผิดทางจะเสียเพียงส่วนหนึ่งของกำไร ไม่ใช่ขาดทุนทั้งบัญชี
ตัวอย่างการใช้ Pyramiding
สมมติว่าเทรดเดอร์กำลังเทรดคู่เงิน XAUUSD (ทองคำ) ในขาขึ้น และใช้ Pyramiding:
เปิดออเดอร์แรกที่ราคา 2,000 USD/oz ด้วยขนาด 1 ล็อต
เมื่อราคาขยับขึ้นไปที่ 2,020 USD/oz และมีการยืนยันแนวโน้ม เทรดเดอร์เปิดออเดอร์ที่สอง 0.5 ล็อต
ถ้าราคาขึ้นไปที่ 2,040 USD/oz เทรดเดอร์เปิดออเดอร์ที่สาม 0.25 ล็อต
Stop Loss ของออเดอร์แรกถูกเลื่อนขึ้นมาตามแนวรับใหม่ เพื่อล็อกกำไร
ข้อดีของ Pyramiding
✅ เพิ่มกำไรแบบทบต้น: สามารถใช้ประโยชน์จากแนวโน้มที่แข็งแกร่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ลดความเสี่ยงเมื่อเทียบกับการเพิ่มล็อตทีเดียว: การแบ่งไม้เข้าเพิ่มช่วยให้สามารถจัดการความเสี่ยงได้ดีขึ้น ✅ เหมาะกับแนวโน้มที่แข็งแกร่ง: ใช้ได้ดีเมื่อมีเทรนด์ชัดเจน เช่น ในข่าวใหญ่หรือช่วงตลาดมีโมเมนตัมสูง
ข้อควรระวัง
⚠️ ต้องตั้ง Stop Loss อย่างเหมาะสม: หลีกเลี่ยงการเพิ่มออเดอร์โดยไม่วางแผนการออกจากตลาด ⚠️ ไม่ควรใช้ในตลาดไซด์เวย์: Pyramiding เหมาะกับตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน ถ้าใช้ในตลาดไซด์เวย์อาจทำให้ติดดอยหรือติดดอยหนัก ⚠️ ควรใช้การบริหารความเสี่ยงเสมอ: อย่าพยายามใช้ Pyramiding กับ Leverage สูงเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดความเสี่ยงสูง
สรุป
Pyramiding เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มกำไรจากการเทรด Forex โดยอาศัยแนวโน้มที่แข็งแกร่งของตลาด อย่างไรก็ตาม ควรใช้ร่วมกับการบริหารความเสี่ยงที่ดี ตั้ง Stop Loss อย่างเหมาะสม และเลือกใช้ในสภาวะตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
+++ XAUUSD 04/04/2025 +++>>> แผน Trade หลัง 17.15 <<<
Pacth 2.0 ระบบ Down
.
"====================="
Mark กรอบ
"====================="
.
Up 3098.90
.
Mid 3093.40
.
Down 3087.90
.
"====================="
Trade Set up
"====================="
.
>>> Sell limit 3093.4
.
*** > SL 3106
*** > TP 3083.4 , 3078.4
3068.4
.
>>> Sell limit 3098.4
.
*** > SL 3106
*** > TP 3088.4 , 3083.4
3073.4
+++ XAUUSD 03/04/2025 +++>>> แผน Trade หลัง 17.15 <<<
Pacth 2.0 ระบบ Down
.
"====================="
Mark กรอบ
"====================="
.
Up 3154.80
.
Mid 3149.80
.
Down 3144.80
.
"====================="
Trade Set up
"====================="
.
>>> Sell limit 3144.7
.
*** > SL 3151.7
*** > TP 3134.7 , 3129.7
3097.80
.






















