เทคนิควิธีอ่าน Divergence จาก Momentum Indicatorเทคนิควิธีอ่าน Divergence จาก Momentum Indicator: จับสัญญาณกลับตัวก่อนใคร
👹 กลับมากันอีกแลวกับบทความดีๆและเทคนิคต่างๆในการเทรด วันนี้แอดหยิบยกเทคนิคการอ่านไดเวอเจ้นท์มาฝากกัน มาครับตามมาดูกันดีกว่าว่ามันดีอย่างไรแล้วใช้ยังไงบ้าง
👹ในโลกของการเทรดและการวิเคราะห์ทางเทคนิค แน่นอนว่ามีทั้งกราฟขึ้น กราฟลง และกราฟหลอก!!!!! หลอกให้เราตายใจจนผิดทาง
👹 ไอ่เจ้า "Divergence" หรือ "ภาวะผิดทิศ" นี่แหละ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถส่งสัญญาณล่วงหน้าว่าราคาอาจจะกำลังจะเปลี่ยนทิศทาง "สัญญาณกลับตัว" โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับ Momentum Indicator ต่างๆ เช่น RSI, MACD หรือ Stochastic Oscillator จะช่วยให้เห็นภาพของราคาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
Divergence คืออะไร?
Divergence คือภาวะที่ "ราคากับอินดิเคเตอร์เคลื่อนไหวไปคนละทิศคนละทางกัน" ซึ่งมักบ่งชี้ว่าราคาอาจกำลังอ่อนแรง และมีแนวโน้มจะกลับตัวในไม่ช้า
ประเภทของ Divergence
1. Regular Divergence (Divergence ปกติ) เป็นสัญญาณของ การกลับตัวของแนวโน้ม
Bullish Divergence (สัญญาณกลับตัวขึ้น)
👉 ราคา: ทำ "Low ใหม่" ต่ำกว่าเดิม
👉 Indicator: ทำ "Low ใหม่" สูงกว่าเดิม
👉 หมายความว่าแรงขายเริ่มอ่อน แม้ราคาทำ Low ใหม่ได้
Bearish Divergence (สัญญาณกลับตัวลง)
👉ราคา: ทำ "High ใหม่" สูงกว่าเดิม
👉Indicator: ทำ "High ใหม่" ต่ำกว่าเดิม
👉แสดงว่าแรงซื้ออ่อนลง มีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวลง
2. Hidden Divergence (Divergence ซ่อนเร้น) เป็นสัญญาณของ การต่อเนื่องของแนวโน้มเดิม
Hidden Bullish Divergence (แนวโน้มขาขึ้นต่อ)
👉ราคา: ทำ "Higher Low"
👉Indicator: ทำ "Lower Low"
👉บ่งชี้ว่ามีแรงซื้อซ่อนอยู่ พร้อมดันราคาต่อ
Hidden Bearish Divergence (แนวโน้มขาลงต่อ)
👉ราคา: ทำ "Lower High"
👉Indicator: ทำ "Higher High"
👉สะท้อนว่าแรงขายยังมีอยู่ แม้ Indicator จะดูเหมือนฟื้น
📈 อินดิเคเตอร์ที่ใช้ดู Divergence ได้ดี
RSI (Relative Strength Index) – ใช้บ่อยที่สุด
MACD – เห็น Divergence ชัดโดยดู MACD Line กับราคา
Stochastic Oscillator – ให้สัญญาณเร็ว เหมาะกับตลาดไซด์เวย์
Awesome Oscillator / CCI / ROC – ใช้ร่วมได้ตามสไตล์เทรด
📈 วิธีอ่าน Divergence อย่างแม่นยำ
เลือกอินดิเคเตอร์ที่ใช้ถนัด เช่น RSI
ดูรูปแบบราคาบนกราฟ ว่ามี High หรือ Low ใหม่หรือไม่
เปรียบเทียบกับอินดิเคเตอร์ ว่าทำ High/Low ตรงข้ามกันหรือเปล่า
ยืนยันด้วยสัญญาณอื่น เช่น แท่งเทียนกลับตัว, เส้นแนวรับ-แนวต้าน แท่งเทียนกลับตัว (Reversal
Candle), ปริมาณการซื้อขาย (Volume) เป็นต้น
ห้ามเข้าทันที! ควรรอสัญญาณยืนยัน เช่น เบรกแนวต้าน/เส้นเทรนด์
👌 ตัวอย่าง Bullish Divergence (จาก RSI)
ราคา: ทำ Low ที่ 1000 → ทำ Low ใหม่ที่ 950
RSI: ทำ Low ที่ 30 กลับทำจุดต่ำใหม่ที่สูงขึ้น (เช่นจาก 30 → 35)
ความหมาย: แรงขายเริ่มหมด แปลว่ากำลังเกิด Bullish Divergence ราคามีโอกาสกลับตัวขึ้น
ข้อควรระวัง
Divergence เป็นเพียงสัญญาณล่วงหน้า แต่ไม่ได้บอกว่า “จะกลับทันที” ไม่ใช่การยืนยัน 100%
ควรรอ "Confirmation" เช่นการเบรกแนวต้าน หรือสัญญาณจากแท่งเทียนก่อนเข้าซื้อ
หลีกเลี่ยงการใช้ Divergence เพียงลำพัง โดยเฉพาะในตลาด Sideway ที่มีสัญญาณหลอกเยอะ
สรุป
การอ่าน Divergence จาก Momentum Indicator เป็นเทคนิคที่สามารถช่วยให้นักเทรด “จับจังหวะการกลับตัว” ของราคาได้อย่างแม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์และเครื่องมืออื่นๆ อย่างเหมาะสม ช่วยให้คุณเห็นภาพ "แรงในตลาด" ก่อนที่ราคาจะสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน
👿👿👿 เป็นอย่างไรกันบ้างครับ พอจะได้แนวทางในการวางแผนการเทรดกันบ้างหรือยังครับ ถ้ายังก็ลองเอาเทคนิคนี้ไปใช้กันดูนะครับ ชอบไม่ชอบค่อยว่ากันอีกที ที่สำคัญต้องตรงกับเทคนิคที่เราจะเทรดด้วยนะครับ แล้วอย่าลืมหมั่นฝึกฝนและเรียนรู้การเทรดในหลายๆแบบให้เข้าใจมากขึ้นนะครับ เพราะการเรียนรู้ไม่มีคำว่าสิ้นสุด แอดเอาใจช่วย แอดเชื่อว่าทุกคนทำได้ แค่เริ่มลงมือทำ สู้ๆฮะ
ภาพประกอบ
QuantDataManager: เครื่องมือจัดการข้อมูลราคาเพื่อการเทรดอัตโนมัต📌 QuantDataManager คืออะไร?
QuantDataManager (QDM) เป็นซอฟต์แวร์ที่พัฒนาโดยทีมงานของ StrategyQuant ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยนักเทรดและนักพัฒนาอัลกอริทึมในการ ดาวน์โหลด, แปลง, วิเคราะห์ และ ส่งออกข้อมูลราคาในอดีต ที่มีคุณภาพสูง สำหรับใช้งานกับแพลตฟอร์มการเทรดยอดนิยม เช่น MetaTrader 4 (MT4), MetaTrader 5 (MT5) และ StrategyQuant X เอง
เครื่องมือนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการความแม่นยำในการทดสอบกลยุทธ์ (Backtesting) และการวิเคราะห์ข้อมูลราคาเพื่อการสร้างระบบเทรดอัตโนมัติ (Algorithmic Trading)
🔍 คุณสมบัติเด่นของ QuantDataManager
✅ 1. ดาวน์โหลดข้อมูลคุณภาพสูงจากหลายแหล่ง
QuantDataManager สามารถเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการข้อมูลราคาชั้นนำ เช่น:
Dukascopy – ข้อมูล Tick และ Minute ที่แม่นยำและย้อนหลังได้ยาวนาน
Yahoo Finance
Binance / Coinbase – สำหรับข้อมูลคริปโต
Darwinex / Bitfinex / Poloniex และอื่น ๆ
✅ 2. วิเคราะห์คุณภาพของข้อมูล
QDM มีระบบ Data Quality Checker ที่ช่วยให้ผู้ใช้ตรวจสอบ:
ช่องว่างของข้อมูล (Missing Bars)
การซ้ำซ้อนของข้อมูล
ความสมบูรณ์ของ Timeframe
✅ 3. แปลงข้อมูลได้หลาย Timeframe
ผู้ใช้สามารถแปลงข้อมูล Tick เป็น Timeframe ที่ต้องการ เช่น:
M1, M5, M15, H1, D1
Custom Timeframe (เช่น M3, M10, H6)
รวมถึงการแปลงแบบ Aggregated หรือ Renko/Range Bar (ผ่าน StrategyQuant)
✅ 4. ส่งออกได้หลายรูปแบบ
QDM รองรับการส่งออกข้อมูลในรูปแบบที่เหมาะสมกับแพลตฟอร์มปลายทาง เช่น:
MetaTrader 4 (.FXT, .HST)
MetaTrader 5
CSV, JSON, SQX สำหรับ StrategyQuant
ใช้ร่วมกับ Tick Data Suite หรือ Tickstory ได้
💡 เหมาะกับใคร?
ผู้ที่ต้องการ Backtest อย่างแม่นยำใน MT4/MT5
นักพัฒนา EA และ AlgoTrader ที่ต้องการข้อมูลคุณภาพสูง
ผู้ใช้ StrategyQuant ที่ต้องการข้อมูลพร้อมใช้ในการสร้างกลยุทธ์
นักวิเคราะห์ที่ต้องการข้อมูลราคาย้อนหลังแบบ Tick หรือ Minute
📝 สรุป
QuantDataManager คือเครื่องมือที่นักพัฒนาและนักเทรดควรมีไว้ใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณให้ความสำคัญกับ คุณภาพของข้อมูลราคา, ความแม่นยำในการ Backtest, และ การจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือเทรดเดอร์ขั้นสูง QDM จะช่วยยกระดับการวิเคราะห์และพัฒนาอัลกอริทึมของคุณได้อย่างแน่นอน
HSI Futures (TF: 1D) กับ Fibonacci 78.6-88.6จากกราฟ HSI Futures (TF: 1D) มีหลายประเด็นที่สำคัญเกี่ยวกับพฤติกรรมราคา ณ บริเวณ Fibonacci 78.6%-88.6% ที่สามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อการตัดสินใจเทรด DW ได้ดังนี้:
________________________________________
🔍 สถานการณ์ปัจจุบัน:
• แนวต้าน Fibonacci 78.6% = 23,672.89 → ราคาขึ้นมาชนและเกิดแรงขาย
• แนวต้าน Fibonacci 88.6% = 24,259.39 → ยังไม่ถูกทดสอบ
• แท่งเทียนล่าสุด เป็นแท่งแดงขนาดปานกลางหลังจากไม่ผ่านแนว 78.6% ซึ่งเป็นสัญญาณของแรงขายรอบใหม่
________________________________________
📌 วิเคราะห์พฤติกรรมราคาในบริเวณ 78.6-88.6%
พื้นที่ 78.6%-88.6% เป็น:
✅ “Deep Retracement Zone”
❗ บ่งบอกว่าเป็น “จุดวัดใจ” ระหว่างการกลับตัว (Reversal) และการเบรกเพื่อไปต่อ (Breakout)
กรณีที่ 1: กลับตัวลง (Rejection จาก 78.6%)
• การไม่ผ่าน 78.6% พร้อมแท่งแดง → สัญญาณกลับตัวอ่อนๆ (Bearish reaction)
• หากราคาหลุดแนวรับใกล้ 23,200 และเบรกเส้นแนวโน้มขาขึ้น = คอนเฟิร์มโอกาสการย่อลึก
• เป้าหมายถัดไป:
o 22,687.57 = Fib 61.8%
o 21,995.50 = Fib 50%
• หากย่อลงแรง = การฟื้นตัวรอบนี้อาจเป็นแค่ “Dead Cat Bounce”
กรณีที่ 2: ทะลุ 78.6% และ Break 88.6%
• ต้องมีแท่งเขียวเต็มแท่งทะลุพร้อม Volume
• ถ้าผ่าน 88.6% ไปได้ = มีลุ้นกลับไปทดสอบ High เดิม 24,928 จุด
• เทรนด์จะกลับเป็น “ขาขึ้นจริงจัง” (Trend Reversal)
________________________________________
🧠 กลยุทธ์การเทรด HSI DW จากกราฟนี้
✅ สายอนุรักษ์นิยม (รอความชัดเจน)
• รอให้ราคา ยืนเหนือ 23,700 แล้วค่อย Follow Buy ด้วย HSI Call DW เป้า 24,200 - 24,900
• หรือ ถ้าหลุด 23,200 / เส้นแนวโน้มขาขึ้น → ซื้อ HSI Put DW เป้า 22,000 - 21,300
⚡ สายเก็งกำไรเร็ว (Aggressive Trader)
• เปิด (Put DW) ตรงแนว 78.6% พร้อมจุดตัดขาดทุนหากยืนเหนือ 23,800
• วางเป้ากำไรที่ Fib 61.8% และ 50%
________________________________________
🔔 จุดสังเกตเสริม
• มี Fair Value Gap (FVG) หลายจุดด้านล่าง → เป็นแนวรับดึงดูดราคาถ้าเกิดการกลับตัว
________________________________________
✅ สรุปความน่าจะเป็น (Probability Based Outlook):
สถานการณ์ ความน่าจะเป็น กลยุทธ์
กลับตัวจาก 78.6% → ลงต่อ ⭐⭐⭐⭐ (สูง) Put DW / Short
ยืนเหนือ 78.6% → ไปทดสอบ 88.6% ⭐⭐ (กลาง) Wait & See หรือเล่นสั้น
Break 88.6% → เทรนด์กลับตัวจริง ⭐ (ต่ำ) Buy Call DW หลังเบรกคอนเฟิร์ม
Momentum Indicators ตัวบ่งชี้โมเมนตัมคืออะไร และต่างกันอย่างไร?Momentum Indicators ตัวบ่งชี้โมเมนตัมคืออะไร มีอะไรบ้าง และต่างกันอย่างไร?
👹 กลับมากันอีกแลวกับบทความดีๆและเทคนิคการเทรดในหลายๆรูปแบบมาฝากกัน วันนี้แอดรื้อฟื้นกับความรู้เก่าๆเบสิคๆที่เราจำเป็นต้อง เผื่อใครบางคนยังหาทางออกให้กับกลยุทธ์การเทรดยังไม่เจอ มาครับ บทความนี้มีคำตอบ
👹ในโลกของการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ตัวบ่งชี้โมเมนตัม (Momentum Indicators) ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนและเทรดเดอร์สามารถวัดความแรงหรือความเร็วของแนวโน้มราคาได้ ซึ่งช่วยในการตัดสินใจในการเข้า-ออกออเดอร์ได้แม่นยำยิ่งขึ้น
โมเมนตัมคืออะไร?
โมเมนตัม หมายถึง “แรง” หรือ “ความเร็ว” ที่ราคาของสินทรัพย์เปลี่ยนแปลง ตัวบ่งชี้โมเมนตัมจึงทำหน้าที่แสดงให้เห็นว่าราคากำลังเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด และมีแรงส่งมากน้อยแค่ไหน
👉หากโมเมนตัมสูง แสดงว่าแนวโน้มมีความแข็งแรง
👉หากโมเมนตัมเริ่มลดลง แม้ราคายังวิ่งต่อ ก็อาจบ่งบอกแนวโน้มกำลังอ่อนแรงและอาจกลับตัว
ตัวอย่างตัวบ่งชี้โมเมนตัมที่นิยม
1. Relative Strength Index (RSI)
ดัชนีเปรียบเทียบความแข็งแกร่ง (RSI) เป็นเครื่องมือที่แสดงถึงความแรงของการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง (โดยปกติคือ 14 วัน) เราสามารถปรับแต่งค่าได้ ตามที่เราต้องการ
ช่วงค่า: 0 – 100
ระดับสำคัญ:
RSI > 70 = เข้าสู่เขตซื้อมากเกินไป (Overbought)
RSI < 30 = เข้าสู่เขตขายมากเกินไป (Oversold)
👉 จุดเด่น: เหมาะสำหรับดูจังหวะกลับตัวของราคา เทรดสวนทาง
2. Moving Average Convergence Divergence (MACD)
ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของราคาสองเส้น (EMA) มาคำนวณเพื่อหาทิศทางแนวโน้มและแรงโมเมนตัม โดยใช้เส้นค่าเฉลี่ยที่สามารถปรับแต่งได้ตามวันที่เราต้องการ
องค์ประกอบหลัก:
MACD Line = EMA(12) – EMA(26)
Signal Line = EMA ของ MACD Line
Histogram = แสดงความต่างของ MACD กับ Signal Line
การใช้งาน:
👉 MACD ตัดขึ้นเหนือ Signal Line = สัญญาณซื้อ BUY
👉 MACD ตัดลงใต้ Signal Line = สัญญาณขาย SELL
3. Stochastic Oscillator : SO
ใช้วัดระดับราคาปิดเมื่อเทียบกับช่วงราคาสูงสุด-ต่ำสุดในช่วงเวลาหนึ่ง
ช่วงค่า: 0 – 100
ระดับสำคัญ:
80 = Overbought
< 20 = Oversold
จุดเด่น: ให้สัญญาณการกลับตัวได้เร็ว เหมาะสำหรับตลาด Sideway
4. Rate of Change (ROC)
ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาตามสัดส่วนเมื่อเทียบกับช่วงเวลาก่อนหน้า
วิธีคิด: (ราคาปัจจุบัน – ราคาในอดีต) ÷ ราคาในอดีต × 100
การใช้งาน:
ROC > 0 = ราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
ROC < 0 = ราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง
สรุป
ตัวบ่งชี้โมเมนตัมเป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจแรงส่งของราคา ช่วยจับจังหวะซื้อ-ขายได้ดีขึ้น แต่ควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ และการวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน เพื่อประกอบการตัดสินใจอย่างรอบคอบ
👿👿👿 เป็นอย่างไรกันบ้างครับ พอจะได้แนวทางในการวางแผนการเทรดกันบ้างหรือยังครับ ถ้ายังก็ลงใช้ให้ครบก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าเรานิยมและชมชอบแบบไหนที่สุด ที่สำคัญต้องตรงกับเทคนิคที่เราจะเทรดด้วยนะครับ แล้วอย่าลืมหมั่นฝึกฝนและเรียนรู้การเทรดในหลายๆแบบให้เข้าใจมากขึ้นนะครับ เพราะการเรียนรู้ไม่มีคำว่าสิ้นสุด แอดเอาใจช่วย แอดเชื่อว่าทุกคนทำได้ แค่เริ่มลงมือทำ สู้ๆฮะ
มาดูจุดสำคัญของ HSI Futures จากกราฟ โดยเน้น “Fibonacci 78.6-88.6มาดูจุดสำคัญของ HSI Futures จากกราฟ โดยเน้น “Fibonacci 78.6-88.6% Zone” ซึ่งเป็นโซนที่เทรดเดอร์สาย Advanced ให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษในมุมมองเชิงเทคนิคอลและจิตวิทยาตลาด
________________________________________
1. ภาพรวมโครงสร้างกราฟ
• กราฟนี้เป็น HSI Futures (Daily)
• คลื่น Elliott Wave, TD Sequential และ Fibonacci Retracement ถูกลากจากจุดต่ำสุด (Low) ไปยังจุดสูงสุด (High) ล่าสุด
• ราคาปัจจุบันอยู่บริเวณ 23,400–23,800 ซึ่งตรงกับ “Fibonacci Zone 78.6% (23,672.89) – 88.6% (24,259.39)”
________________________________________
2. ความหมายของ Fibonacci 78.6% – 88.6% Zone
ทำไมถึงสำคัญ?
• Fibonacci 78.6% และ 88.6% เป็นโซนที่นักเทรด Harmonic Patterns และ Advanced Technical มักจับตามอง เพราะมักเป็น “จุดกลับตัว” (Reversal) ที่แม่นกว่าการใช้แค่ 61.8% หรือ 50%
• เป็นจุดที่ “คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าเบรกแนวต้านแล้วจะไปต่อ” แต่จริงๆ แล้ว อาจมีแรงขายหรือแรงกลับตัวซ่อนอยู่ เพราะเป็นจุดที่ผู้เล่นใหญ่ (Big Players / Smart Money) ชอบใช้ในการ “กับดักรายย่อย” (Stop Hunter)
เทคนิคที่พบเจอในโซนนี้
• Double Top, Shooting Star, Bearish Engulfing หรือสัญญาณกลับตัวอื่นๆ มักเกิดบ่อยในบริเวณนี้
• มักเกิด “False Break” คือ หลอกให้ราคาเบรกไปเหนือ High เดิม แล้วดึงกลับแรง
________________________________________
3. พฤติกรรมราคาช่วงนี้ (Context ในกราฟ)
• ราคาขึ้นมาทดสอบ 78.6% – 88.6% แล้วไม่สามารถผ่านไปได้อย่างมั่นคง
• มีแรงขายชัดเจน Candle ล่าสุดเป็นแท่งแดง และเกิดการย่อตัว
• ถ้าราคาย่อลงต่อ แนวรับถัดไปที่ 61.8% (22,687) และ 50% (21,995) มีโอกาสเป็นเป้าหมายของแรงขาย
________________________________________
4. กลยุทธ์เทรดเมื่อเจอโซน 78.6–88.6%
• ถ้าเล่นฝั่งขาย (Short):
→ ดูจังหวะกลับตัวชัดๆ เช่น Bearish Pattern, แท่งแดงใหญ่, สัญญาณจาก TD Sequential
→ Stop Loss เหนือ 88.6% เผื่อ False Break
• ถ้าจะรอเล่นฝั่งซื้อ (Long):
→ ควรรอให้ราคาทะลุ 88.6% ขึ้นไปและยืนเหนือแนวต้านเดิมได้จริง พร้อมวอลุ่มสนับสนุน
→ ไม่ควรไล่ซื้อในโซนนี้เพราะ “Risk:Reward” ไม่คุ้ม
________________________________________
5. สรุปสั้น ๆ
• Fibonacci 78.6% – 88.6% คือ “เขตสงครามจิตวิทยา” ของเทรดเดอร์
• หากราคาขึ้นไปแต่ไม่ผ่าน – มักเกิดแรงเทขายแรง หรือเทรนด์กลับตัว
• ถ้าทะลุผ่านและยืนได้ – อาจเข้าสู่รอบขาขึ้นใหม่ แต่ต้องรอ Confirmation
________________________________________
Key Takeaway:
อย่าไล่ซื้อในโซนนี้ถ้าไม่มีสัญญาณยืนยันเด็ดขาด
เน้นรอจังหวะกลับตัว หรือเล่นฝั่งขายเมื่อเห็นสัญญาณชัดเจนในบริเวณนี้จะปลอดภัยกว่า
การเข้าเทรด HSI DW ด้วยแนวคิดที่เรียกว่า Fair Value Gap (FVG)หลักการสำคัญของการเข้าเทรดด้วยแนวคิดที่เรียกว่า Fair Value Gap (FVG) ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักเทรดสไตล์ Price Action โดยเฉพาะในกลุ่มของ ICT (Inner Circle Trader)
🟢 ความหมายของ Fair Value Gap (FVG)
Fair Value Gap คือพื้นที่หรือช่องว่างที่เกิดขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนไหวเร็วเกินไปจนทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างแรงซื้อและแรงขาย ส่งผลให้ราคายังไม่ได้มีการเทรดหรือพักตัวในโซนนั้นอย่างสมบูรณ์ และมีแนวโน้มที่ราคาจะย้อนกลับมาปิดช่องว่างดังกล่าวในอนาคต
________________________________________
📌 3 รูปแบบสำคัญของการเทรด FVG ตามภาพ
1️⃣ Full Fill (FVG ถูกปิดสนิท)
• คือ สภาวะที่ราคาได้ย้อนกลับมาปิดช่องว่าง Fair Value Gap อย่างสมบูรณ์แล้ว (Imbalance Rebalanced)
• ราคาย้อนมาจนถึงจุดเริ่มต้นของช่องว่าง
• ถือว่าเป็นการเติมช่องว่างที่สมบูรณ์ ส่งสัญญาณว่าแรงซื้อ-แรงขายเริ่มกลับสู่จุดสมดุล
• กลยุทธ์เทรด:
o สามารถมองเป็นจุดเข้าแบบ Conservative (ปลอดภัยที่สุด) เพราะราคากลับมาปิด Gap แล้ว แสดงถึงการปรับสมดุลของราคาอย่างเต็มที่
________________________________________
2️⃣ Consequent Encroachment (C.E.) (FVG ปิดไปครึ่งหนึ่ง)
• คือ สภาวะที่ช่องว่างถูกเติมกลับไปเพียง 50% ของช่องว่างทั้งหมด
• จุด 50% (0.5 ของช่อง FVG) ถือเป็นแนวรับ/แนวต้านสำคัญ
• ราคาย้อนกลับมาทดสอบเพียงครึ่งช่องว่าง และอาจไม่ได้เติมเต็มช่องว่างทั้งหมด ก่อนจะเคลื่อนไหวต่อไป
• กลยุทธ์เทรด:
o ถือเป็นจุดเข้าแบบ Moderate (เสี่ยงกลางๆ)
o นักเทรดนิยมใช้จุดนี้เป็นระดับเข้าซื้อ/ขาย เพราะมีแนวโน้มที่ราคาจะกลับไปตามแนวโน้มเดิม (Continuation) หลังจากทดสอบจุด 50%
________________________________________
3️⃣ Entry Drill (IOFED - Institutional Order Flow Entry Drill)
• คือ การที่ราคาแตะเข้าไปในพื้นที่ Fair Value Gap เพียงเล็กน้อยก่อนที่จะเคลื่อนไหวต่อไปในทิศทางหลัก
• ราคาย้อนกลับเพียงสั้นๆ ไม่ถึงระดับครึ่งหนึ่งของ FVG แล้วก็เคลื่อนตัวต่อเนื่องทันที
• แสดงถึงการที่ Order Flow ของสถาบัน (Smart Money) ยังคงแข็งแกร่ง และยังสนับสนุนแนวโน้มเดิม
• กลยุทธ์เทรด:
o เหมาะสำหรับการเข้าเทรดแบบ Aggressive (เชิงรุก) เพราะมีโอกาสที่ราคาจะไม่ย้อนกลับมาลึกกว่าเดิมอีกครั้ง
o จุดเข้าเช่นนี้ต้องมีการยืนยันด้วยปัจจัยอื่นเพิ่มเติม (เช่น Momentum, Trend) เพื่อความแม่นยำ
________________________________________
🚩 สรุปแนวคิดการเทรด FVG:
• Fair Value Gap (FVG) เป็นเครื่องมือสำคัญในการจับสัญญาณการพักตัวของราคา (Retracement) ในทิศทางหลัก
• ช่องว่างที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็ม คือพื้นที่ที่ราคามีโอกาสกลับมาทดสอบ
• จุดที่ราคากลับเข้ามาทดสอบภายใน Gap ช่วยระบุระดับความเสี่ยงและลักษณะของเทรด (Conservative, Moderate, Aggressive)
• วิธีนี้นิยมในหมู่เทรดเดอร์ที่ใช้ Price Action และนักเทรด ICT (Inner Circle Trader) ซึ่งเน้นการเทรดตาม Smart Money (สถาบันการเงิน)
📌 การใช้งานจริง:
นักเทรดสามารถกำหนดกลยุทธ์ด้วยการตั้ง Limit Order หรือรอ Confirm Price Action ภายใน Gap เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการเข้าเทรด
นี่คือรายละเอียดของหลักการเทรด FVG ที่แสดงไว้ในภาพครับ
Gold Trading VS Gold Investment แบบไหนดีกว่ากัน Gold Trading VS Gold Investment
เทรดทองคำ VS ลงทุนในทองคำ ต่างกันไหม แบบไหนดีกว่ากัน
👰 กลับมากันอีกแลวกับบทความดีๆและเทคนิคการเทรดในหลายๆรูปแบบมาฝากกัน รอบนี้เรามาหยิบยกประเด็นและข้อถกเถียงต่างๆนาๆ สำหรับชาวเทรดเดอร์ที่ชื่นชอบในวัตถุสะท้อนประกายสีทอง นั่นแน่ ก็ทองคำยังไงละครับ ไหนเค้าเถียงกันเรื่องอะไรอีกเนี่ย อ่อ ลงทุนในทองคำแบบไหนดีกว่ากัน มาครับ ตามมาอ่านกันเลยดีกว่า จะได้ข้อสรุปแบบไหนบ้างน๊า ตามมาอ่านกันได้เลย
💰 เทรดทองคำ VS ลงทุนในทองคำ แบบไหนดีกว่ากัน
ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่โบราณ เพราะมีคุณค่าในตัวเอง ไม่เสื่อมสลาย และมักถูกมองว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน!!!
แต่การจะสร้างผลตอบแทนจากทองคำนั้น มี 2 แนวทางหลักที่แตกต่างกันมาก คือ การเทรดทองคำ และ การลงทุนในทองคำระยะยาว แล้วแบบไหนดีกว่ากัน? เราลองมาเปรียบเทียบกันดูดีกว่าให้เห็นภาพอย่างชัดเจน
🙋การเทรดทองคำ (Gold Trading)
คือการซื้อขายทองคำเพื่อเก็งกำไรจาก "ความผันผวนของราคา" ในระยะสั้นถึงกลาง เช่น ซื้อวันนี้ ขายอีกไม่กี่วัน หรือภายในไม่กี่เดือน โดยอาจซื้อขายผ่านช่องทางต่าง ๆ
เช่น: Forex / CFD / Gold Futures หรือผ่านแอปพลิเคชั่นต่างๆ
สิ่งที่ศึกษาเพิ่มเติมคือ :
ต้องอาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) และติดตามข่าวสารการเงินอย่างใกล้ชิด รวไปถึงข่าวสารพัด อัตราดอกเบี้ย ต้องตามให้หมด
🏦 การลงทุนทองคำ (Gold Investment)
คือการถือครองทองคำในระยะยาว โดยหวังผลจาก การเพิ่มมูลค่าในอนาคต หรือเป็น “เครื่องมือกระจายความเสี่ยง” ในพอร์ตการลงทุน
อาจลงทุนได้ผ่านทาง
- การซื้อทองคำแท่ง
- กองทุนทองคำ (Gold ETF, กองทุนรวมทองคำ)
- ทองคำในรูปแบบดิจิทัล
สิ่งที่ศึกษาเพิ่มเติมคือ :
เหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนแบบไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ ไม่ต้องเทรดถี่ วันนี้ ขายอีกที 20 ปีข้างหน้
✅ แล้วแบบไหน ดีกว่ากัน ?
คำตอบคือ ไม่มีแบบไหนดีกว่ากันฮะ ขึ้นอยู่กับ เป้าหมายการเงิน และ ลักษณะนิสัยของผู้ลงทุนในแต่ละคน ว่าชื่นชบการลงทุนแบบใด ต้องถามตัวเองให้ได้ก่อนชอบแบบไหน
💡 คนที่เหมาะกับการ เทรดทองคำ Gold Trading
1. ต้องการทำกำไรไว เร็ว เงินน้อยก็ขยันเทรดหน่อยนะ
2. ยอมรับความเสี่ยงได้สูง
3. มีเวลาศึกษาและติดตามตลาดมากหรือทุกวัน
4. มีประสบการณ์.ในการเทรดหรือชอบวิเคราะห์กราฟ
5.ใช้เงินหมุนเพื่อต่อเงินทุนในอนาคต
💡 คนที่เหมาะกับการ ลงทุนในทองคำ Gold Investment
1. ต้องการเก็บเงินหรือกระจายพอร์ตระยะยาว
2. ไม่อยากเฝ้าหน้าจอเทรด
3.ควบคุมอารมณ์การลงทุนได้ดี
4. มองว่าทองเป็นเครื่องป้องกันเงินเฟ้อในอนาคต
5. ใช้เงินเย็นหรือเงินเก็บลงทุน
📝 สรุปสั้นๆ
การจะลงทุนทำอะไรสักอย่างต้องมีใจรักด้วยนะครับ อย่าเอาเงินไปลงในสิ่งที่เราไม่ได้โหยหา พูดง่ายๆ หวังฟลุ๊กๆ แบบนั้นไม่ดีฮะ ทุกการลงทุนย่อมต้องมีการวางแผน
ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องพร้อมทั้งใจ ทั้งกาย และทุนทรัพย์ ด้วยนะครับ หากเรายังไม่มีให้ค่อยๆเก็บทีละเล็กละน้ออย ผสมกันไป จากเล็กๆก็จะเริ่มใหญ่ และเติบโตเองครับ
👿👿👿 เป็นอย่างไรกันบ้างครับ พอจะได้ข้อสรุปกันบ้างแล้วหรือยังฮะ แอดแนะนำว่า ใครถนัดแบบไหน ใช้แบบนั้นดีกว่าฮะ เพราะต่างคนก็ต่างมุมมอง แต่ที่แน่ๆและสำคัญสุดๆก็คือ การหมั่นฝึกฝนและเรียนรู้การเทรดให้เข้าใจมากขึ้นจะดีกว่า อย่าลืมการใช้ระบบเทรดที่มีวนัย และการคำนวน MM เพื่อบริหารเงินในพอร์ตด้วยนะครับ แอดเอาใจช่วย แอดเชื่อว่าทุกคนทำได้ แค่เริ่มลงมือทำ สู้ๆฮะ
"วิเคราะห์ Breakout ยังไงให้ได้เปรียบ?""วิเคราะห์ Breakout ยังไงให้ได้เปรียบ?"
ในโลกของการเทรด ความเข้าใจประเภทของ Breakout คือกุญแจสำคัญ! ไม่ว่าจะเป็น:
Lower Highs & Support: เตรียมรับมือกับขาลงที่แรงขึ้น
Range: อดทนรอโอกาสทะลุกรอบและเข้าตามเทรนด์
Higher Lows & Resistance: ใช้เป็นโอกาสเข้าซื้อในขาขึ้น
การเข้าใจโครงสร้างราคาและสัญญาณ Breakout ช่วยให้คุณเทรดด้วยความมั่นใจมากขึ้น พร้อมวางแผน Entry, Exit และ Stop-Loss อย่างมืออาชีพ!
Breakout Types (ประเภทของการ Breakout)
1. Lower Highs & Support
-ราคาอยู่ในขาลง โดยเกิดจุด Lower Highs และมาถึงแนว Support ก่อนทะลุลงไป
-บ่งชี้การต่อเนื่องของแนวโน้มขาลง (Bearish Continuation)
2.Range
-ราคาเคลื่อนตัวในกรอบแนวรับ-แนวต้าน (Sideways) จนทะลุออกจากกรอบ
-มักใช้ยืนยันแนวโน้มใหม่หลัง Breakout
3.Higher Lows & Resistance
-ราคาเกิดจุด Higher Lows ต่อเนื่อง และเคลื่อนตัวขึ้นไปจนทะลุแนวต้าน
-บ่งชี้แนวโน้มขาขึ้นต่อเนื่อง (Bullish Continuation)
วิธีรับมือเมื่อพลาดโอกาสในการเทรด หรือ ‘ตกรถ’หนึ่งในความรู้สึกที่นักเทรดแทบทุกคนต้องเคยเจอคือ "ความเสียดาย" เมื่อตลาดเคลื่อนไหวไปตามที่วิเคราะห์ไว้ แต่เราไม่ได้เข้าออเดอร์ หรือไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง — เราเรียกสถานการณ์นี้ว่า “ตกรถ” ซึ่งถ้าไม่จัดการอารมณ์ให้ดี ก็อาจนำไปสู่การเทรดแบบไร้แผน ขาดวินัย และท้ายที่สุดคือการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจ และเสนอวิธีรับมือกับความรู้สึกและพฤติกรรมที่มักเกิดขึ้นเมื่อตกรถ
1. ยอมรับว่า "พลาด" เป็นเรื่องปกติ
การพลาดโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของการเทรด ไม่มีใครสามารถจับจังหวะได้ทุกครั้ง แม้แต่มืออาชีพก็ยังพลาด เพราะตลาดเต็มไปด้วยปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ การยอมรับความจริงข้อนี้จะช่วยลดแรงกดดันและความรู้สึกเสียดายได้มาก
2. อย่าพยายาม “ไล่ราคา” (FOMO)
หลังจากตกรถ หลายคนมักกระโจนเข้าเทรดเพราะกลัวจะพลาดอีก (FOMO: Fear of Missing Out) แต่นั่นคือจุดเริ่มต้นของหายนะ การไล่ราคามักทำให้คุณซื้อที่จุดสูงสุด หรือขายที่จุดต่ำสุด โดยไม่มีแผนชัดเจน และมักจบลงด้วยการติดดอย
แนวทาง: ถ้าไม่มั่นใจในจุดเข้า ให้รอรอบใหม่ อย่าฝืนตลาด
3. วิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้น
พิจารณาว่าเพราะเหตุใดคุณถึงพลาดโอกาสนั้น เช่น
มองกราฟไม่ทัน
ไม่มีแผนชัดเจน
ขาดความมั่นใจ
ติดภารกิจอื่น
เมื่อรู้เหตุผล จะสามารถปรับกลยุทธ์ให้ดีขึ้นในอนาคต เช่น ตั้ง Alert ไว้ หรือวางแผนล่วงหน้าในกรณีที่กราฟถึงจุดที่น่าสนใจ
4. จดบันทึกการตกรถใน Trading Journal
หลายคนจดแค่การเข้าออกออเดอร์ แต่การ “ไม่เข้า” ก็มีคุณค่าในการเรียนรู้เช่นกัน ลองเขียนว่าเกิดอะไรขึ้น ความรู้สึกขณะนั้นคืออะไร และคุณจะรับมืออย่างไรครั้งหน้า การจดบันทึกจะช่วยให้คุณพัฒนาทั้งด้านจิตวิทยาและกลยุทธ์
5. โฟกัสที่ "โอกาสหน้า" ไม่ใช่ "โอกาสที่พลาด"
ตลาดไม่เคยหยุดเคลื่อนไหว โอกาสใหม่เกิดขึ้นเสมอ การจมอยู่กับอดีตไม่ช่วยอะไร สิ่งสำคัญคือการเตรียมตัวให้พร้อมเมื่อโอกาสใหม่มาถึง
6. ฝึกใจให้นิ่ง ผ่านการฝึกวินัย
การควบคุมอารมณ์เป็นหัวใจของการเทรด ฝึกให้ตัวเองตัดสินใจตามแผน ไม่ตามอารมณ์ เช่น กำหนดเงื่อนไขชัดเจนว่าจะเข้าออเดอร์เมื่อไหร่ เท่านั้น ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นนอกเหนือจากนั้นก็ "ปล่อยผ่าน"
สรุป
การตกรถอาจทำให้รู้สึกเสียดาย แต่ไม่ใช่จุดจบของเส้นทางเทรด การมีสติ วิเคราะห์เหตุผล และปรับกลยุทธ์จะทำให้คุณเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในฐานะเทรดเดอร์ จงจำไว้ว่าตลาดมีโอกาสใหม่เสมอ ขอเพียงคุณ "พร้อม" เมื่อโอกาสมาถึง
วิเคราะห์หุ้น ศรีตรังโกลฟส์ (STGT) เราจะวิเคราะห์หุ้น ศรีตรังโกลฟส์ (STGT) โดยอ้างอิงข้อมูลเชิงพื้นฐานและเทคนิคอย่างครบถ้วน:
________________________________________
🔍 ข้อมูลจากภาพ:
• ราคาล่าสุด (9 พ.ค.): 7.20 บาท (+2.86%)
• มูลค่ายุติธรรม (Fair Value): 9.91 บาท
• Upside: +38%
• กราฟราคา: อยู่ในแนวโน้ม “ขาลงต่อเนื่อง” แต่เริ่มมีแรงดีดเล็กน้อยใกล้แนวรับเดิม
________________________________________
📌 วิเคราะห์เชิงพื้นฐาน (Fundamental View)
STGT คือใคร?
• STGT คือบริษัทลูกของ STA ที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่าย ถุงมือยาง (ทางการแพทย์และอุตสาหกรรม)
• ได้รับผลดีช่วงโควิด แต่ปัจจุบันราคาขายถุงมือยางโลก (ASP: Average Selling Price) ปรับตัวลงแรงจาก Oversupply
ประเด็นสำคัญ:
1. ธุรกิจยังไม่ฟื้นเต็มที่ – ความต้องการถุงมือหลังโควิดลดลงมาก และคู่แข่งจีน/มาเลย์แข่งตัดราคาหนัก
2. ราคาหุ้นลงมามาก – ทำให้เริ่ม “ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี” และ Fair Value ยังสูงกว่าราคาปัจจุบันมาก
3. Upside สูงถึง 38% – หากแนวโน้มการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมชัดเจน อาจเป็นโอกาสเข้าสะสม
________________________________________
📈 วิเคราะห์เชิงเทคนิค (Technical View)
แนวโน้มหลัก:
• ชัดเจนว่า “ขาลงต่อเนื่อง”
• ราคาหลุดจาก 14 → 12 → 10 → 8 → ล่าสุดมาพักแถวๆ 7 บาท
สัญญาณล่าสุด:
• มีการเด้งจากแนวรับใกล้ Low เดิมบริเวณ 6.80–7.00
• แต่ยัง “ไม่ Break” แนวต้านสำคัญที่ 7.50 บาท
แนวรับ:
• 7.00 และ 6.80 เป็นแนวรับสำคัญสุดท้าย
• หากหลุด จะเข้าสู่โซนต่ำสุดใหม่รอบหลายปี
แนวต้าน:
• 7.50 = ต้านแรก (ต้องผ่านให้ได้ก่อน)
• ถัดไปคือ 8.20 / 9.00 (บริเวณ EMA หรือ Fibonacci Retracement zone)
________________________________________
🎯 กลยุทธ์แนะนำ
สำหรับนักลงทุนเน้นพื้นฐาน (Value Investor):
• หากเชื่อว่าระยะกลาง–ยาวธุรกิจจะฟื้น (เมื่อ Oversupply ลดลง / ราคาขายปรับตัวดีขึ้น) → น่าสะสม บางส่วน
• จุดเข้าที่ดี: ใกล้ 7.00 พร้อม Stop loss หากหลุด 6.80
สำหรับนักเก็งกำไรระยะสั้น:
• รอให้ “ทะลุ 7.50 บาท” และปิดเหนือระดับนี้ → ค่อยเข้าซื้อเพื่อเทรด
• เป้าหมายการรีบาวด์: 8.20–8.50 / Stop loss หากปิดต่ำกว่า 7.00
________________________________________
✅ สรุปเปรียบเทียบ STA vs STGT
รายการ STA STGT
ราคาปัจจุบัน 14.00 7.20
มูลค่ายุติธรรม 16.27 (+16%) 9.91 (+38%)
แนวโน้ม ขาลง-เริ่มฟื้น ขาลงชัดเจน
กลยุทธ์ ถือได้สำหรับฟื้นตัวตามราคายาง เสี่ยงกว่าแต่ Upside สูง
ความเสี่ยงหลัก ราคายางตก / STGT ยังไม่ฟื้น แข่งราคาแรง / กำไรหาย
________________________________________
Disclaimer “โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน เนื้อหาและข้อมูลในเพจมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นข้อมูลและไว้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเท่านั้น ไม่มีเจตนาที่จะให้มีลักษณะเป็นการเสนอ เชื้อเชิญ ชักจูง แนะนำ หรือเชิญชวนให้มีการซื้อหรือขายตราสารทางการเงินใด (รวมถึงใบสำคัญแสดงสิทธิหรือผลิตภัณฑ์อื่นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วย)”
PC Or Phone is better forTradingเทรดในคอมหรือในมือถือดีกว่า PC Or Mobile Phone is better for Trading
เทรดในคอมหรือในมือถือดีกว่ากัน
👰 กลับมากันอีกแล้วกับบทความดีๆและเทคนิคการเทรดในหลายๆรูปแบบมาฝากกัน รอบนี้เรามาหยิบยกประเด็นและข้อถกเถียงต่างๆนาๆ สำหรับช่องทางแพลตฟอร์ในการเทรด ระหว่าง คอม PC และ มือถือ 1 เครื่องกันฮะ ดูสิว่าเทรดแบบไหนมันเทรดดีกว่ากัน มาครับ ตามมาอ่านกันเลยดีกว่า จะได้ข้อสรุปแบบไหนบ้างน๊า บทความนี้มีคำตอบครับ ตามมาอ่านกันได้เลย
👾 ทุกคนเคยคิดกันมั้ยครับ เรื่องช่องทางการเทรดเพื่อหาเงิน บางคนเทรดในมือถือกำไรดี๊ดี แต่พอมาเทรดในคอม อ้าวพัง ! แต่กลับกัน บางคนกลับเทรดในคอมกำไรดี๊ดี แต่พอไปเทรดในมือถือ ก็พังไม่เป็นท่าเหมือนกัน สรุปว่า มันต้องมีอะไรผิดพลาดตรงไหน ไม่เข้าใจเลยสักครั้ง ไอ้ที่เขาทำฉันนั้นก็ทำ แต่ทำและไม่เคยสมหวัง หรืออาจเป็นเพราะพื้นดวงหรือเปล่า หรือเป็นที่ราศีของดวงดาว!!!!!
👾 วกกลับเข้ามาต่อ เกือบหลุดไปกับเพลง เอาหล่ะสิ แล้วแบบนี้ ใครดีกว่ากันหล่ะ เราจะมาวิเคราะห์ความแตกต่างนี้กันฮะ ว่าแบบไหนดีกว่ากัน แล้วลองเอาไปพิจารณากันดู แล้วเทรดกันให้ถูกกับพฤติกรรมของเรากันดีกว่าเนาะ
การเปรียบเทียบเทรดผ่าน คอมพิวเตอร์ (PC/Laptop)และมือถือ
✅ ข้อดี-ข้อเสีย
คอมพิวเตอร์
✅ หน้าจอใหญ่ เหมาะกับการดูหลายกราฟพร้อมกัน
✅ ใช้งานเครื่องมือวิเคราะห์ได้เต็มที่ เหมาะกับการวิเคราะห์เชิงลึก, เทรดระยะกลาง-ยาว
✅ พิมพ์คำสั่งได้แม่นยำ
✅ ใช้เครื่องมือช่วยเทรดได้หลากหลาย เช่น EA, script, multiple monitors
❌ ต้องอยู่กับที่ ไม่สะดวกพกพา
มือถือ
✅ คล่องตัว สะดวก พกพาง่าย ใช้ได้ทุกที่
✅ เหมาะกับการเข้าออกออเดอร์สั้น ๆ หรือดูพอร์ตระหว่างวัน
❌ หน้าจอเล็ก มองกราฟหรือข้อมูลเชิงลึกได้ยาก
❌ จำกัดการเปิดหลายหน้าจอหรือหลายกราฟพร้อมกัน
❌ไม่เหมาะกับการวิเคราะห์กราฟลึก ๆ
❌ ข้อผิดพลาดในการพิมพ์หรือวางคำสั่งเทรดสูงกว่า
สรุป
👉 รูปแบบการใช้งาน
👉มือถือ แนะนำให้ใช้ การเทรดแบบ Day Trade, Scalping
สำหรับความคล่องตัว
👉คอมพิวเตอร์ วิเคราะห์กราฟเชิงลึก, Swing trade, เทรดตามระบบ
👉 เทรดแบบผสม ใช้คอมในการวางแผน และใช้มือถือในการติดตามออเดอร์ระหว่างวัน
ข้อแนะนำ:
การเทรดผ่าน คอมพิวเตอร์ (PC/Laptop) และ มือถือ (Smartphone/Tablet) มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน ความต้องการ และไลฟ์สไตล์ของเทรดเดอร์แต่ละคน เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ที่จริงจังกับการทำกำไร มักวิเคราะห์และวางแผนบนคอมพิวเตอร์ แล้วใช้มือถือเพื่อติดตามสถานะหรือเข้าตลาดอย่างรวดเร็วเมื่อจำเป็น
👿👿👿 เป็นอย่างไรกันบ้างครับ พอจะได้ข้อสรุปกันบ้างแล้วหรือยังฮะ แอดแนะนำว่า ใครถนัดแบบไหน ใช้แบบนั้นดีกว่าฮะ เพราะต่างคนก็ต่างมุมมอง แต่ที่แน่ๆและสำคัญสุดๆก็คือ การหมั่นฝึกฝนและเรียนรู้การเทรดให้เข้าใจมากขึ้นจะดีกว่า อย่าลืมการใช้ระบบเทรดที่มีวนัย และการคำนวน MM เพื่อบริหารเงินในพอร์ตด้วยนะครับ แอดเอาใจช่วย แอดเชื่อว่าทุกคนทำได้ แค่เริ่มลงมือทำ สู้ๆฮะ
วางแผนก่อนเข้าออร์เดอร์ ดีอย่างไร?ในการเทรดไม่ว่าจะเป็นหุ้น ฟอเร็กซ์ คริปโต หรือสินทรัพย์ใด ๆ ก็ตาม การ "วางแผนก่อนเข้าออร์เดอร์" ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการวางแผนที่ดีช่วยให้คุณเทรดอย่างเป็นระบบ ลดอารมณ์ ลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในระยะยาว
1. ลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจด้วยอารมณ์
หากคุณเข้าออร์เดอร์โดยไม่มีแผน อาจเกิดจากความรู้สึกโลภ กลัว หรือความตื่นตระหนก ซึ่งอารมณ์เหล่านี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ขาดทุน การมีแผนช่วยให้คุณยึดตามกฎ ไม่หลุดจากวินัย
2. รู้จุดเข้า-จุดออกชัดเจน
แผนการเทรดที่ดีจะกำหนดจุดเข้า (Entry Point), จุดออกทำกำไร (Take Profit) และจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ไว้ล่วงหน้า ซึ่งช่วยให้คุณไม่ต้องตัดสินใจใหม่ขณะตลาดวิ่ง และลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนใจกลางทาง
3. จัดการทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
การวางแผนรวมถึงการจัดการเงินทุน เช่น จะใช้ความเสี่ยงต่อไม้เทรดกี่เปอร์เซ็นต์ จะเพิ่มหรือลดล็อตอย่างไร ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยป้องกันการล้างพอร์ต และสร้างความมั่นคงให้กับการเทรด
4. มีแนวทางในการประเมินผลและพัฒนา
เมื่อคุณมีแผนการเทรดที่ชัดเจน คุณสามารถบันทึกและวิเคราะห์ผลการเทรดแต่ละไม้ได้ง่ายขึ้น รู้ว่าอะไรได้ผล อะไรไม่ได้ผล เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์และพัฒนาให้ดีขึ้นในระยะยาว
5. สร้างความมั่นใจ
แผนที่ผ่านการคิดและทดสอบมาอย่างดีจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเข้าออร์เดอร์ ไม่ลังเล ไม่กลัว เพราะคุณรู้ว่าคุณกำลังทำตามระบบที่มีเหตุผลรองรับ
สรุป
การวางแผนก่อนเข้าออร์เดอร์ คือรากฐานของการเทรดอย่างมืออาชีพ ไม่ใช่แค่การคาดเดาหรือหวังโชคดี แต่มันคือการใช้ข้อมูล วิเคราะห์ และจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ ดังคำพูดที่ว่า
“Plan the trade, trade the plan”
วางแผนให้ชัด แล้วทำตามแผนให้มั่นคง เท่านี้โอกาสสำเร็จในตลาดก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
S50M25 กับ Hull Moving Average (HMA)🔍 HMA คืออะไร? ทำไมเทรดเดอร์มือโปรเริ่มหันมาใช้เส้นนี้กันมากขึ้น?
ในโลกของการเทรด "เส้นค่าเฉลี่ย" หรือ Moving Average เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ใครๆ ก็ใช้ แต่เชื่อไหมว่า... เส้นค่าเฉลี่ยดั้งเดิมที่เราคุ้นเคยอย่าง SMA (Simple Moving Average) หรือ EMA (Exponential Moving Average) อาจ ช้าเกินไป หรือไวเกินเหตุ จนทำให้เกิดสัญญาณเทรดที่ไม่แม่นยำ!
🧠 Alan Hull จึงคิดค้น HMA ขึ้นมา
Hull Moving Average (HMA) ถูกพัฒนาขึ้นโดย Alan Hull เพื่อแก้ปัญหา 2 ข้อใหญ่ของเส้นค่าเฉลี่ยทั่วไป:
• ❌ ช้าเกินไป → เข้าเทรดช้า หลุดเทรนด์
• ❌ เร็วเกินไป → สัญญาณปลอมเพียบ
เขาจึงออกแบบ HMA ให้เป็นเส้นค่าเฉลี่ยที่...
⚡ “ตอบสนองเร็วระดับเกือบ Real-time แต่ยังคงความเรียบเนียนและเสถียร”
________________________________________
📊 เปรียบเทียบ HMA vs SMA vs EMA
คุณสมบัติ SMA (Simple) EMA (Exponential) ✅ HMA (Hull)
การตอบสนองต่อราคา ช้ามาก ปานกลาง เร็วมาก (เกือบ Real-Time)
ความเรียบเนียน เรียบแต่ช้า ไวต่อ Noise เรียบ + แม่นยำ
การใช้งานเหมาะกับ เทรนด์ยาว เทรนด์กลาง จับจังหวะเปลี่ยนเทรนด์เร็ว / Scalping
________________________________________
🎯 แล้วใช้ HMA ยังไงให้เกิดประโยชน์จริง?
✅ สัญญาณจาก HMA เข้าใจง่ายมาก
• HMA สีเขียว หรือชี้ขึ้น → แนวโน้มขาขึ้น
• HMA สีแดง หรือชี้ลง → แนวโน้มขาลง
• จุดเปลี่ยนโค้ง → ใช้เป็นสัญญาณเข้า/ออกได้
💡 ใช้ได้ทั้งแบบเดี่ยว และแบบหลายเส้น (เช่น HMA 9, 20, 50) เพื่อสร้างระบบ Crossover ที่แม่นยำ
________________________________________
🔧 สูตรลับของ HMA (ไม่ต้องจำ แต่รู้ไว้เท่)
HMA ถูกสร้างโดยการผสม Weighted MA + การเร่งสูตรทางคณิตศาสตร์ ทำให้...
"เร่งความไว" + "ลดความหน่วง" ไปพร้อมกัน
________________________________________
✅ สรุปสั้น ๆ: ทำไมคุณควรลองใช้ HMA?
• เร็วกว่า EMA
• เรียบกว่า SMA
• สัญญาณไว แม่นยำ ไม่หลอกให้เข้าผิด
• เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการ “เข้าเร็ว – ออกไว – ตัดสินใจทัน”
________________________________________
📌 หากคุณกำลังมองหาเส้นค่าเฉลี่ยที่แม่นยำ ใช้งานง่าย และตอบสนองต่อราคาตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ HMA อาจเป็น “อาวุธลับ” ที่ช่วยให้คุณเทรดได้ดีขึ้น
HSI Futures (TF: Day) 08/05/25 วางแผนกลยุทธ์ DW อย่างละเอียดจากกราฟล่าสุดของ HSI Futures (TF: Day) 08/05/25 (พร้อม Fibonacci + TD Sequential) เราสามารถวางแผนกลยุทธ์ DW ได้อย่างละเอียดดังนี้:
________________________________________
🔍 สถานการณ์ปัจจุบัน (TF Day)
รายละเอียด ข้อมูล
✅ แนวโน้มล่าสุด Rebound จาก TD Buy Setup ครบ 9 → ขาขึ้นต่อ
🟢 ราคาปัจจุบัน 22,901 จุด (ทะลุ Fib 61.8%)
⚠️ ต้านสำคัญถัดไป 23,672 (78.6%), 24,259 (88.6%) และ 24,928 (100%)
🔢 TD Sequential ล่าสุด TD Sell Setup ขาขึ้นถึงแท่ง 5 แล้ว
🔴 แนวรับสำคัญ 22,687 (Fib 61.8%), 21,995 (Fib 50.0%)
________________________________________
🎯 กลยุทธ์เทรด DW28
✅ กลยุทธ์ Call DW (ขึ้นต่อ → เล่นตามโมเมนตัม)
รายการ แผน
🟩 ใช้ DW HSI28C2507E
📍 จุดเข้า ยืนเหนือ 22,800–23,000 ได้ต่อเนื่อง
🎯 เป้าหมาย TP1: 23,672 / TP2: 24,259 / TP3: 24,928
⛔ Stop Loss หากราคากลับมาต่ำกว่า 22,600
🕒 อายุ DW อย่างน้อย 1.5–2 เดือน (อิงรหัส 2507 = หมดอายุ ก.ค. 2568 เหมาะสม)
⚠️ กลยุทธ์ Put DW (เผื่อกลับตัวจากแนวต้านสูง)
รายการ แผน
🟥 ใช้ DW HSI28P2507C หรือ HSI28P2507D
📍 จุดเข้า รอ TD Sell Setup ขาขึ้นครบแท่ง 9 + เกิดแท่งแดงกลับตัวที่ 23,672–24,928
🎯 เป้าหมาย TP1: 22,000 / TP2: 21,303 / TP3: 20,447
⛔ Stop Loss ถ้าทะลุ 25,000 แบบแรง
🕒 อายุ DW เหลือเวลา > 45 วัน, Delta ≈ -0.5 ถึง -0.6
________________________________________
📌 กลยุทธ์ HSI DW28 (อิง TD Sequential + Fib Day Chart)
✅ Call DW: ใช้ HSI28C2507E
- ซื้อเมื่อยืนเหนือ 23,000
- เป้า: 23,672 → 24,928
- Stop: <22,600
⚠️ Put DW: เฉพาะเมื่อกลับตัวจากแนวต้าน
- รอ TD Sell ครบ 9
- ใช้ HSI28P2507C/D
- เป้า: 22,000 → 21,303
🧭 DW หมดอายุ ก.ค. 2568 → เหมาะกับ Swing Trade 2–4 สัปดาห์
________________________________________
Scalping trading strategy เทรดสั้นยังไงให้ได้กำไรScalping trading strategy
เทรดสั้นยังไงให้ได้กำไร
👰 กลับมากันอีกแล้วกับบทความดีๆและเทคนิคการเทรดสั้นยังไงให้ได้กำไร เพราะการเทรดสั้นนั้นสามารถทำกำไรได้เร็วนั่นเอง มาครับ มาดูกันว่ารอบนี้เราจะใช้สูตรการเทรดสั้นแบบไหนกันบ้าง ตามมาอ่านกันได้เลย
👾 คนส่วนใหญ่มักนิยมการเทรดสั้นเพราะว่ามันเร็ว และใช้เวลาไม่นาน แต่ในความเร็วนั้นแฝงไปด้วยกำไรและขาดทุนแบบเต็มๆ แล้วต้องเทรดยังไงให้ได้กำไรมากกว่าขาดทุนหล่ะ บทความนี้มีคำตอบ
👴 สิ่งที่ต้องรู้ ก่อนเริ่ม Scalping trading strategy
👿 กลยุทธ์ Scalping เราจะใช้เทคนิคการเทรดในระยะสั้นมากๆ โดยที่ราคาไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เรียกสั้นๆว่า "เก็งกำไร"
👿 Scalping มักจะมุ่งเน้นไปที่ตลาดที่มีสภาพคล่องสูงและมีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะทำให้ การซื้อขาย เปิด ปิด ตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วในทันทีที่ตลาดเคลื่อนไหว
👿 เราจะได้กำไรเล็กน้อยจากการซื้อขายในแต่ละครั้ง โดยคาดหวังการเก็บเล็กผสมน้อยนั่นเอง การเทรดแบบนี้จะทำให้เราได้กำไรน้อย แต่มีโอกาสทำกำไรได้หลายครั้ง
👿 เมื่อกำไรน้อย ความเสี่ยงย่อมน้อยตาม กำไรเล็กน้อยทั้งหมดจะสะสมไว้ ในพอร์ตของเรา เพื่อเป็นทุนในการเทรดต่อไป
👿 การเทรดสั้น Scalping จำเป็นต้องมีวินัยอย่างเคร่งครัด
👿 สภาพแวดล้อมและจิตใจก็สำคัญมากอันดับหนึ่ง หากเราเลือกเส้นทางการเทรดนี้ เพราะราคาขยับเพียงเล็กน้อย ก็ได้กำไรหรือขาดทุนแล้ว ดังนั้นอารมณ์จึงสำคัญอย่างยิ่ง
กลยุทธ์การซื้อขายจะประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก
1. การวางแผน
2. การวางคำสั่งซื้อขาย
3.การดำเนินการซื้อขาย
กลยุทธ์การซื้อขายส่วนใหญ่จะอิงตามปัจจัยทางเทคนิคหรือปัจจัยพื้นฐาน โดยใช้ข้อมูลเชิงปริมาณที่สามารถทดสอบย้อนหลังเพื่อกำหนดความแม่นยำได้
💂ตัวอย่างอินดิเคเตอร์และเครื่องมือที่ใช้
1. เส้น EMA หรือ MA 5 , 20 , 100
2. RSI
3. Stohastic
4. MACD ฯลฯ
💂วิธีการหาจุดเข้าในการเทรด Scalping trading strategy
👿 หลักๆ ต้องเลือกแนวโน้มเทรนด์ใหญ่เป็นหลัก แล้วหาจุดเข้า ทั้งขาบายและขาเซลดังนี้
ขา BUY เข้าทำกำไรตามเทรนด์ใหญเป็นหลัก แต่เก็บกำไรสั้นๆ เข้าเร็วออกเร็ว
ขา SELL เน้นเข้าทำกำไรช่วงราคาย่อลง ตามคลื่นรอบเล็ก เก็บกำไรสั้นๆ เข้าเร็วออกเร็ว
👿👿👿 แม้ว่าระบบการเทรดจะง่ายขนาดไหน แต่หากเราไม่หมั่นฝึกฝนและพยายามหรือแม้แต่การลงมือปฏิบัติจริง ผลลัพธ์ย่อมไม่เกิดขึ้นนะครับ ที่สำคัญสภาพอารมณ์และจิตใจสำคัญมากๆในการเทรดสั้นแบบนี้ อย่าลืม เตรียมเงิน เตรียมใจ และเตรียมแผนการเทรดให้ดีครับ แอดเอาใจช่วย แอดเชื่อว่าทุกคนทำได้ แค่เริ่มลงมือทำ สู้ๆฮะ
Market Sentiment คืออะไร? สำคัญไหมMarket Sentiment คืออะไร?
Market Sentiment หรือ "ภาวะอารมณ์ของตลาด" คือการวัดความรู้สึกของนักลงทุนในตลาด ว่ากำลังมีมุมมองในเชิงบวก (Bullish) หรือเชิงลบ (Bearish) ต่อสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง ความรู้สึกนี้มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ-ขาย และสามารถขับเคลื่อนราคาได้ แม้ในบางครั้งจะสวนทางกับพื้นฐานของสินทรัพย์นั้นก็ตาม
ประเภทของ Market Sentiment
Bullish Sentiment (ตลาดกระทิง)
นักลงทุนมีความมั่นใจ คาดว่าราคาจะปรับขึ้น จึงเน้นการซื้อถือ (Buy & Hold)
Bearish Sentiment (ตลาดหมี)
นักลงทุนมีความวิตก คาดว่าราคาจะปรับลดลง จึงมักเทขายเพื่อลดความเสี่ยง
เครื่องมือวิเคราะห์ Market Sentiment
-Indicator แบบวัดอารมณ์ตลาด
-Fear & Greed Index (ใช้บ่อยในตลาดคริปโต)
-Put/Call Ratio (ใช้ในตลาดหุ้น)
-Commitment of Traders (COT) Report
-รายงานการถือสถานะของกลุ่มผู้เล่นรายใหญ่
Volume Analysis
ปริมาณการซื้อขายสูงพร้อมราคาเพิ่ม = มองว่าตลาดมีแรงซื้อหนุน
ข่าวสาร / สื่อโซเชียล
การวิเคราะห์กระแสข่าวใน Twitter, Reddit, หรือสื่อการเงิน
Price Action
พฤติกรรมของแท่งเทียน (Candlestick) เช่น Pin Bar, Engulfing อาจบอกอารมณ์นักลงทุนได้
SIDEWAY OR CONSOLIDATION PHASESSIDEWAY OR CONSOLIDATION PHASES
ตลาดไซด์เวย์หมายถึงโครงสร้างของตลาดที่ไม่สามารถทะลุทั้งจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด หรือเพียงแค่ไส้เทียนแตะจุดสูงสุด/ต่ำสุดเท่านั้น
ช่วงที่ราคาแกว่งอยู่ในกรอบ (Range/Consolidation) มีความสำคัญมาก
เพราะเป็นการตัดสินใจถึงทิศทางถัดไปของตลาด
ลองสังเกตว่า ก่อนที่ราคาจะเคลื่อนไหวใหญ่ มักจะมีช่วงไซด์เวย์ก่อนเสมอ
ตามด้วยการกวาดสภาพคล่อง (Liquidity Gap) และจากนั้นจึงเกิดการเคลื่อนที่จริง
การเทรดช่วงตลาดไซด์เวย์ในไทม์เฟรมเล็ก (LTF) มีความเสี่ยงสูง
อย่างไรก็ตาม หากตลาดไซด์เวย์เกิดขึ้นบนไทม์เฟรม 4 ชั่วโมง (4H) หรือ 1 วัน (D1)
อาจกลายเป็นแนวโน้มในไทม์เฟรม 15 นาที (15M) ซึ่งสามารถเทรดได้
Disclaimer คำเตือน
1.โพสต์นี้เป็นการแชร์มุมมองเพื่อการศึกษาและเรียนรู้พฤติกรรมการทำราคาของกราฟเทคนิคคอลเท่านั้น (For Educational purposes only) และ ผู้เขียนไม่ใช่ (Financial advisor nor a CPA)
2.ทางเพจไม่ได้มีเจตนาชี้แนะหรือชี้ชวนการลงทุนแต่อย่างใด (I am sharing my opinion with no guarantee of investment gains or losses.)
3.ผู้ลงทุนควรศึกษาผลิตภัณฑ์การลงทุนก่อน และตัดสินใจการลงทุนเอง ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นผู้ลงทุนต้องยอมรับความเสี่ยงด้วยตนเอง (Investing of any kind involves risk. While it is possible to minimize risk, your investments are solely your responsibility. You must conduct your own research.)
ระบบเทรด EOD สำหรับคนชอบเทรดกราฟเดย์ TF DAYระบบเทรด EOD
สำหรับคนชอบเทรดกราฟเดย์ TF DAY
👰 กลับมากันอีกแล้วกับบทความดีๆและความรู้ใหม่ๆแน่นๆให้เหล่าชาวเทรดเดอร์ วันนี้แอดเาใจมือใหม่หัดเทรดกันครับด้วยระบบเทรดแบบง่ายๆและเบสิคสุดๆ อ่านจบเทรดเป็นได้เลย มาครับ มาตามอ่านกันดีกว่า
👾ระบบการเทรด EOD ย่อมาจาก End of Day เป็นการนำข้อมูลทางเทคนิคมาวิเคราะห์หลังตลาดปิดทำการหรือจบวัน จบแท่งเดย์นั่นเอง เพื่อวางแผนการเทรดในวันต่อไป
👾โดยทั่วไปแล้วระบบการเทรด EOD จะใช้กับไทม์เฟรม Daily อย่างเดียว เพราะว่าง่ายต่อการดูทิศทางของตลาด แต่เราสามารถใช้กับไทม์เฟรมอื่น ๆ ได้ เพื่อมาวิเคราะห์ ตลาดในแต่ละ Session ในการเข้าทำกำไร
👾 รูปแบบการเทรดนี้จะทำให้เราไม่ต้องสู้กับความผันผวนในตลาดที่น่าหวาดเสียว และไม่ต้องเฝ้าจอนานๆ ไม่เครียดด้วย เหมาะกับเพื่อนๆ ที่ไม่ชอบเทรดความเสี่ยงสูง
💂หลักการเทรดเบื้องต้นของระบบเทรด EOD
ใช้ลักษณะของแท่งเทียนและแนวโน้มของเทรนด์เป็นหลัก ผ่านอินดิเคเตอร์ตัวเบสิค และทำการเข้าเทรดเมื่อราคามาถึงจุดย่อของแท่งเทียนเดิม และมีการใช้เส้น ค่าเฉลี่ย ATR เป็นตัวช่วยในการปิดออเดอร์หรือเก็บกำไร และที่สำคัญมากๆ คือ เป็นระบบเทรดระยะกลางจนถึงการเทรดระยะยาว การทำกำไรจะได้ผลดีในการเทรดเพียงครั้งเดียวต่อรอบ และต้องใช้เงินทุนสูงนิดนึงนะฮะ
💂สิ่งที่จำเป็นต้องรู้ในการเทรดระบบ EOD
1. ลักษณะของแท่งเทียน candlesticks แบบเบสิคที่เราสามารถเห็นได้บ่อย
2. รูปแบบ Chart Pattern ใช้แบบทั่วไปได้เลยไม่เยอะ
3. ช่องว่างระหว่างราคา (Gap)ในบางครั้งอาจมีมาบ้าง
แท่งเทียนวันก่อนหน้าเป็นสิ่งสำคัญมากของระบบนี้ จดจำและดูทิศทางของแท่งเทียนวันก่อนหน้าก่อน ว่าเป็นแบบ Bullish หรือ Bearlish ก่อนที่จะเปิดออเดอร์ในการเทรด
💂การตั้งค่าอินดิเคเตอร์เครื่องมือที่ใช้
1. CCI และ Stochastic
CCI ใช้ค่า Length: 40 และ Source: HLC3 ตีเส้นแนวนอนที่ 0
Stochastic ใช้ค่า %K: 5 %D: 3 Slowing -2 Price Field: Low/High
💂วิธีการเทรดและการอ่านอินดิเคเตอร์
💂1. การอ่านค่า CCI
CCI อยู่เหนือเส้นกึ่งกลาง เป็นเทรนด์ขาขึ้น
CCI อยู่ใต้เส้นกึ่งกลาง เป็นเทรนด์ขาลง
💂 2. การอ่านค่า Stochastic
STO อยู่โซน Oversold ราคามีโอกาสกลับตัวขึ้น
STO อยู่โซน Overbought ราคามีโอกาสกลับตัวลง
ข้อดีและข้อเสียของการเทรดระบบ EOD
ข้อดี
1. เป็นระบบที่เข้าใจง่าย
2.เพราะเทรดไทม์เฟรมใหญ่ทำให้เจอสัญญาณหลอกน้อย
3. เป็นกลยุทธ์การเทรดตามเทรนด์ ได้กำไรสูง
4. เหมาะกับคนไม่มีเวลาเฝ้ากราฟ
ข้อเสีย
1. มักจะพลาดโอกาสในการทำกำไรในระหว่างวัน และอาจต้องรอนานหลายวัน กว่าจะถึงเป้าหมาย TP
2. หากราคาตลาดเป็นไซด์เวย์นกรอบรายวัน เราจะเสียเวลานานกว่าเดิมเป็นอาทิตย์ หรือเป็นเดือนได้เลย คนที่ชอบเราแล้วรอได้นานเท่านั้นถึงจะอบระบบนี้ฮะ
3. ไม่เหมาะกับคนใจร้อนที่ไม่สามารถถือออร์เดอร์ข้ามวันได้
4. จำนวนการเทรดน้อยจนถึงน้อยมาก
💂คำแนะนำเพิ่มเติม
1. สามารถปรับ Risk Reward ให้เหมาะสมกับการวิ่งของราคาได้
2..ให้ลองเทรดหลายๆคู่เงิน จะช่วยเพิ่มการทำกำไรได้ และการพลาดโอกาสการเทรดระหว่างวัน
3.อย่าลืม Back Test ก่อนใช้งานจริงฮะ
👿👿👿 แม้ว่าระบบการเทรดจะง่ายขนาดไหน แต่หากเราไม่หมั่นฝึกฝนและพยายามหรือแม้แต่การลงมือปฏิบัติจริง ผลลัพธ์ย่อมไม่เกิดขึ้นนะครับ แอดอยากให้เราชาวเทรดเดอร์มือใหม่ ได้ลองพยายามและหมั่นฝึกฝน ลงมือทำ เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ไม่มากก็น้อย สู้ๆนะครับ แอดเอาใจช่วย
Serotonin: ฮอร์โมนแห่งความสุขที่ส่งผลต่อการตัดสินใจในการเทรด
ในการเทรด ไม่ใช่แค่การวิเคราะห์กราฟหรือข่าวเท่านั้นที่มีผลต่อความสำเร็จของเทรดเดอร์ แต่ "สภาพจิตใจ" และ "เคมีในสมอง" เองก็มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้ง หนึ่งในสารเคมีสำคัญที่มีบทบาทคือ Serotonin (เซโรโทนิน) ซึ่งถูกเรียกขานว่า "ฮอร์โมนแห่งความสุข"
💡 Serotonin คืออะไร?
Serotonin เป็นสารสื่อประสาท (Neurotransmitter) ที่ทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์ ความสุข การนอนหลับ ความอยากอาหาร และการควบคุมแรงกระตุ้น การมีระดับเซโรโทนินที่สมดุลทำให้เรารู้สึกสงบ มั่นคง และมีสมาธิ
🧠 Serotonin ส่งผลต่อการเทรดอย่างไร?
ลดอารมณ์ฉุนเฉียวและความหุนหันพลันแล่น
เทรดเดอร์ที่มีระดับเซโรโทนินต่ำอาจเกิดอารมณ์แปรปรวนง่าย ทำให้รีบตัดสินใจโดยไม่วางแผน เช่น การปิดออเดอร์ก่อนเวลา หรือการโอเวอร์เทรด
-ช่วยเพิ่มความอดทนในการถือไม้
ระดับเซโรโทนินที่เหมาะสมทำให้เทรดเดอร์มีความอดทนในการรอจังหวะที่เหมาะสม ไม่ตื่นตระหนกง่ายเมื่อราคาวิ่งสวน
-เพิ่มความมั่นใจโดยไม่หลงตัวเอง
เทรดเดอร์บางคนเมื่อได้กำไรจะหลงตัวเองและกล้าทุ่มเกินแผน แต่หากสมองมีเซโรโทนินสมดุล จะทำให้มั่นใจในแผนโดยไม่หลุดกรอบ
-ช่วยควบคุมอารมณ์หลังขาดทุน
หลังจากขาดทุนหนัก เซโรโทนินช่วยให้เรากลับมาอยู่กับปัจจุบัน ไม่ติดกับดักของอารมณ์เสียหรือการเทรดเพื่อล้างแค้น
🎯 วิธีเพิ่มระดับ Serotonin อย่างธรรมชาติ
-นอนหลับให้เพียงพอ
-ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
-กินอาหารที่มี Tryptophan เช่น ปลา ไข่ กล้วย
-รับแสงแดดยามเช้า
-ฝึกสมาธิหรือหายใจลึก ๆ
-หลีกเลี่ยงความเครียดจากการจ้องกราฟตลอดเวลา
🧘♂️ สรุป
Serotonin คือกุญแจลับอีกดอกที่ช่วยให้เทรดเดอร์มี "จิตใจมั่นคง" และ "สติรอบคอบ" ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญไม่แพ้กลยุทธ์การเทรด อย่ามองข้ามการดูแลสมองของตัวเอง เพราะจิตใจที่นิ่ง มักสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้เสมอ
USDJPY 8H | คลื่น C ชนโซน 100-127 % เตรียมเทคออฟ – พี่รวยมอง Buyแนวคิดนี้ผมอ่านจากกราฟ 8 ชั่วโมง USDJPY แล้วเห็นภาพ “คลื่นปรับฐาน ABC” ดิ่งมาพักตัวตรงวง Gann/Fibo โซน 100-127 % (แถบชมพูล่าง) พอดี — จุดเดียวกับที่เคยเป็นฐานเด้งรอบใหญ่เมื่อ ก.ย. ปีที่แล้ว
✅ แรงขายเริ่มอ่อน: แท่งเทียนยาว-ลงแรงถูก “ดูด” กลับอย่างรวดเร็ว เกิด Pin bar/Long-lower-shadow สะท้อนแรงซื้อแอบสะสม
✅ สัญญาณกลับตัว: โมเมนตัม Divergence บน RSI + รูปทรง Ending diagonal ช่วงคลื่น (C)
✅ เป้าหมายคลื่นถัดไป: หากยืนเหนือ 142.00 ได้ต่อเนื่อง คาดคลื่นขาขึ้นใหม่จะไล่ทดสอบแนวต้าน 157-160 (กรอบ 100-127 % ด้านบน)
📌เพจมือสไน หากินกับกราฟ
www.facebook.com
📌เพจรวยกับกราฟ
www.facebook.com
📌แจกชีทเรียนเทรดฟรี 1,000 กว่าหน้า! เพียงทักมาในไลน์ว่า “เพจมือสไน”
lin.ee
EURUSD 45m | ชน Fan 0.618-0.786 เตรียมยิง Sell ครับราคา EURUSD รีบาวด์ขึ้นมาชนแถบ Fan 0.618-0.786 % (ช่องสีเหลือง) ซึ่งตลอดทางทำหน้าที่เป็น “ทางด่วนลงเขา” ให้กราฟเด้งแล้วดิ่งซ้ำหลายครั้ง (ดูวงกลมประกอบ) โครงสร้างยังเป็น Lower-High → Lower-Low ต่อเนื่อง จึงมองจังหวะ “ตีหัวแล้วขาย” มากกว่ากลับตัวขึ้นจริง ครับ
📌เพจมือสไน หากินกับกราฟ
www.facebook.com
📌เพจรวยกับกราฟ
www.facebook.com
📌แจกชีทเรียนเทรดฟรี 1,000 กว่าหน้า! เพียงทักมาในไลน์ว่า “เพจมือสไน”
lin.ee
USOIL 4H | เกาะกรอบ Fan ขาลง ลุ้น TP 54.76 – พี่รวยมอง Sellกราฟ 4-ชั่วโมงของ WTI ยังเคลื่อนตัวอยู่ในกรอบ Fan ขาลง 0.618-0.50 (แถบเหลือง) ที่ลากจากยอดต้น ก.พ. ตลอดทางเกิดการ “ชน-เด้ง-ดิ่ง” ซ้ำ ๆ (วงกลมตามรูป) ล่าสุดราคารีบาวด์ขึ้นมาทดสอบขอบบนแถว 63-65 ดอลลาร์ แล้วเริ่มออกอาการอ่อนแรงอีกครั้ง จึงมองเป็นจังหวะ “ยิงซ้ำ” ฝั่ง Sell
📌เพจมือสไน หากินกับกราฟ
www.facebook.com
📌เพจรวยกับกราฟ
www.facebook.com
📌แจกชีทเรียนเทรดฟรี 1,000 กว่าหน้า! เพียงทักมาในไลน์ว่า “เพจมือสไน”
lin.ee
BTCUSD 1D | เบรกกรอบ Fan 0.618 ลุ้น TP 109 K – พี่รวยมอง Buy1.แนวรับ Fan 0.618-0.786 %
เส้นพัดฟีโบนักชี (ลากจากโล ก.ค. 2024) สร้างแผ่นรับสีเหลือง ≈ 72,000-80,000 ดอลลาร์
แท่งราคากว่าหนึ่งเดือนปิดเหนือกรอบนี้ตลอด บ่งชี้แรงซื้อยังคุมโซนล่าง
2.Breakout & Retest
แท่ง Daily ล่าสุดปิดเหนือกรอบสีดำ (แนวโน้มขาขึ้นย่อย) พร้อมวอลุ่มทะลุกรอบรีเทสต์ แสดงโมเมนตัมบวก
หากราคาย่อกลับมาบริเวณ 85-88 K ดอลลาร์ แล้วยืนได้ ถือเป็นจุด “เติมกระสุน” เพิ่มความได้เปรียบด้าน Risk/Reward
3.Target (TP)
เส้นนอน TP ที่ 109,550 ดอลลาร์ เป็นยอดเดิมปลาย ธ.ค. 2024 และแนวต้าน 0 % Fan
จากจุดเข้า (≈ 86 K) ถึง TP ให้ R:R ราว 1:2-3 เมื่อวาง SL หลุด 80 K
เพจมือสไน หากินกับกราฟ
facebook.com/share/18r3wpqd2K/?mibextid=wwXIfr
เพจรวยกับกราฟ
facebook.com/share/1ECAomTqAD/?mibextid=wwXIfr
แจกชีทเรียนเทรดฟรี 1,000 กว่าหน้า! เพียงทักมาในไลน์ว่า “เพจมือสไน”
lin.ee/DIn0Rm4
📌เพจมือสไน หากินกับกราฟ
www.facebook.com
📌เพจรวยกับกราฟ
www.facebook.com
📌แจกชีทเรียนเทรดฟรี 1,000 กว่าหน้า! เพียงทักมาในไลน์ว่า “เพจมือสไน”
lin.ee






















