USDAUD ไอเดียในการเทรด
Open Interest: ปัจจัยสำคัญในการวิเคราะห์ตลาดทองคำOpen Interest คืออะไร?
Open Interest (OI) คือจำนวนสัญญาซื้อขายที่ยังเปิดอยู่ในตลาดฟิวเจอร์สหรือออปชัน โดยไม่รวมสัญญาที่ปิดแล้ว ซึ่งหมายถึงจำนวนสัญญาที่ทั้งสองฝ่าย (ผู้ซื้อและผู้ขาย) ตกลงกันและยังไม่มีการปิดสถานะ สถิตินี้สามารถช่วยให้นักเทรดและนักลงทุนวิเคราะห์สภาพตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนอย่างทองคำ
บทบาทของ Open Interest ในตลาดทองคำ
ตลาดทองคำมีความซับซ้อนและได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น อัตราดอกเบี้ย ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์ ดังนั้น Open Interest จึงเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการประเมินความสนใจของนักลงทุนในสินทรัพย์นี้
การบ่งชี้แนวโน้มของตลาด
หาก Open Interest เพิ่มขึ้นในขณะที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น อาจบ่งชี้ว่ามีแรงซื้อใหม่เข้ามาในตลาด ซึ่งสามารถสนับสนุนแนวโน้มขาขึ้นได้
ในทางกลับกัน หาก Open Interest ลดลงในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น อาจแสดงว่าการเพิ่มขึ้นของราคามาจากการปิดสถานะ Short มากกว่าการเปิดสถานะใหม่
การยืนยันหรือกลับตัวของราคา
เมื่อราคาทองคำเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของ Open Interest อาจบ่งชี้ว่าราคาอยู่ในแนวโน้มที่แข็งแรง
หาก Open Interest ลดลงในช่วงที่ราคาเคลื่อนไหว อาจเป็นสัญญาณของการกลับตัวหรือสิ้นสุดแนวโน้ม
วิธีการวิเคราะห์ Open Interest ร่วมกับข้อมูลอื่น
Volume (ปริมาณการซื้อขาย):
Open Interest ควรใช้ควบคู่กับปริมาณการซื้อขาย เพราะ Volume บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของการเคลื่อนไหวในช่วงเวลาหนึ่ง
หาก Volume และ Open Interest เพิ่มขึ้นพร้อมกัน ตลาดมีแนวโน้มว่ากำลังสร้างความแข็งแกร่ง
COT Report (Commitments of Traders):
รายงาน COT ซึ่งเผยแพร่โดย CFTC (Commodity Futures Trading Commission) เป็นข้อมูลเสริมที่ดีในการวิเคราะห์ Open Interest
ช่วยให้เห็นภาพรวมของตำแหน่งซื้อขายของกลุ่มนักลงทุน เช่น ผู้จัดการกองทุนหรือผู้ป้องกันความเสี่ยง
ข้อควรระวังในการใช้งาน Open Interest
Open Interest เพียงอย่างเดียวไม่สามารถบอกทิศทางตลาดได้ จึงควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น ๆ เช่น กราฟเทคนิคหรือปัจจัยพื้นฐาน
ความผันผวนของตลาดทองคำสามารถเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การแถลงการณ์ของธนาคารกลาง
การดูข้อมูล Open Interest สำหรับทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ สามารถทำได้จากหลายเว็บไซต์ โดยแต่ละที่อาจมีจุดเด่นต่างกันตามความละเอียดและการนำเสนอข้อมูล ต่อไปนี้คือเว็บไซต์ที่นิยมใช้:
CME Group (Chicago Mercantile Exchange) , Investing.com,Barchart,TradingView
สรุป
Open Interest เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับนักเทรดทองคำในการวิเคราะห์แนวโน้มและความแข็งแกร่งของตลาด อย่างไรก็ตาม การใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพควรมาควบคู่กับการศึกษาปัจจัยอื่น ๆ เพื่อการตัดสินใจที่มั่นคงในตลาดที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอย่างตลาดทองคำ
กลยุทธ์การเทรดแบบ Grid ในตลาด Forex: เคล็ดลับการทำกำไรและการบริหการเทรดแบบ Grid (กริด) เป็นกลยุทธ์การเทรดในตลาด Forex ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากสามารถใช้เพื่อทำกำไรได้ในหลายสภาวะของตลาด อย่างไรก็ตาม การใช้กลยุทธ์นี้อย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องเข้าใจหลักการและวิธีการอย่างละเอียด รวมถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักการเทรดแบบ Grid อย่างละเอียด และวิธีการใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
1. การเทรดแบบ Grid คืออะไร?
การเทรดแบบ Grid เป็นกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับการตั้งคำสั่งซื้อและขายในรูปแบบของตาราง โดยคำสั่งซื้อขายเหล่านี้จะถูกวางไว้ที่ระยะห่าง (interval) ที่เท่ากันทั้งด้านบนและด้านล่างของราคา ณ จุดเริ่มต้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถทำกำไรได้ไม่ว่าจะเป็นตลาดที่มีแนวโน้มขึ้น (bullish) หรือลง (bearish) หรือแม้แต่ในตลาดที่เคลื่อนไหวในช่วงแคบ (sideways)
2. หลักการของการเทรดแบบ Grid
หลักการพื้นฐานของกลยุทธ์นี้คือการทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคาด้วยการตั้งคำสั่งซื้อและขายที่ระยะห่างคงที่ ตัวอย่างเช่น หากนักเทรดเริ่มต้นที่ราคา 1.1000 และตั้งคำสั่งขายที่ทุกๆ ระยะห่าง 50 จุด เช่น 1.1050, 1.1100 และคำสั่งซื้อที่ 1.0950, 1.0900 เป็นต้น
3. ข้อดีของการเทรดแบบ Grid
ทำกำไรในทุกสภาวะตลาด: ไม่ว่าราคาจะขึ้นหรือลง กลยุทธ์นี้สามารถทำกำไรได้เนื่องจากจะมีคำสั่งซื้อขายพร้อมที่จะดำเนินการเมื่อราคาเคลื่อนไหว
ไม่จำเป็นต้องคาดการณ์ทิศทาง: การเทรดแบบ Grid ไม่จำเป็นต้องเดาทิศทางของตลาด ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบเมื่อเปรียบเทียบกับกลยุทธ์ที่ต้องใช้การวิเคราะห์แนวโน้ม
ลดการพึ่งพาการทำนายตลาด: ด้วยโครงสร้างของคำสั่งที่กระจายทั่วราคาต่างๆ ทำให้นักเทรดมีโอกาสปิดกำไรได้โดยไม่ต้องรอให้เกิดแนวโน้มที่ชัดเจน
4. ข้อเสียและความเสี่ยง
ความเสี่ยงจากการใช้เลเวอเรจสูง: เนื่องจากคำสั่งจำนวนมากถูกเปิดขึ้นพร้อมกัน นักเทรดที่ใช้เลเวอเรจสูงมีโอกาสที่มาร์จิ้นจะไม่เพียงพอเมื่อราคาวิ่งไปในทิศทางที่ขาดทุน
ขาดการควบคุมความเสี่ยง: หากไม่กำหนดขอบเขตความเสี่ยงให้ดี กลยุทธ์นี้อาจทำให้เกิดการขาดทุนจำนวนมาก โดยเฉพาะในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจนที่ต่อต้านคำสั่งของ Grid
5. วิธีการสร้างระบบ Grid อย่างมีประสิทธิภาพ
กำหนดระยะห่างระหว่างคำสั่ง (Grid Size): การตั้งระยะห่างที่เหมาะสมระหว่างคำสั่งสำคัญมาก เพราะจะมีผลต่อความเสี่ยงและโอกาสในการทำกำไร
การบริหารจัดการเงิน (Money Management): ควรใช้ระบบการบริหารความเสี่ยงที่ดี เช่น การกำหนดขนาดล็อตที่เหมาะสมและการติดตั้งคำสั่ง Stop Loss เพื่อป้องกันการสูญเสียครั้งใหญ่
การตั้งค่า Take Profit: การตั้งระดับการทำกำไรที่เหมาะสมสามารถช่วยให้คำสั่งปิดทำกำไรได้บ่อยขึ้นและสร้างความมั่นคงในระบบ
6. ตัวอย่างการใช้งานระบบ Grid ในตลาด Forex
สมมุติว่าคุณเริ่มเทรดด้วยเงินทุน 1,000 ดอลลาร์ โดยใช้ระบบ Grid ในการเทรดคู่สกุลเงิน EUR/USD:
ตั้งระยะห่าง Grid ที่ 20 จุด
ขนาดล็อตเริ่มต้นที่ 0.01
มีคำสั่งซื้อและขายหลายคู่ที่ระยะห่างกันเพื่อกระจายความเสี่ยง
ในการเคลื่อนไหวที่ผันผวนเล็กน้อย เช่น เมื่อราคาเคลื่อนที่ขึ้นและลงเป็นรอบ ระบบจะปิดกำไรเมื่อราคาผ่านจุดที่ตั้งคำสั่งไว้ ช่วยเพิ่มกำไรสะสมได้ต่อเนื่อง
7. สรุป
การเทรดแบบ Grid เป็นกลยุทธ์ที่สามารถทำกำไรได้ในหลายสถานการณ์ของตลาด แต่ต้องใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยง การวางแผนและการทดสอบระบบอย่างละเอียดจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าการเทรดนั้นปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
การนำกลยุทธ์นี้ไปปรับใช้ควรทำอย่างระมัดระวัง โดยการใช้เงินทุนที่สามารถยอมรับการขาดทุนได้ และการติดตามสภาวะตลาดอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์
Volume Profile ใน TradingView: เครื่องมือวิเคราะห์ตลาดที่สำคัญVolume Profile เป็นหนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์เชิงเทคนิคที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการเทรด โดยเฉพาะในแพลตฟอร์ม TradingView ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์สามารถมองเห็นการกระจายของปริมาณการซื้อขาย (Volume) ในราคาต่าง ๆ และวิเคราะห์จุดแข็งหรือจุดอ่อนของตลาดได้อย่างชัดเจน
Volume Profile คืออะไร?
Volume Profile เป็นเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์ตลาดผ่านการแสดงผลปริมาณการซื้อขาย (Volume) ที่เกิดขึ้นในแต่ละระดับราคา แทนที่จะเป็นการแสดง Volume ในแนวเวลาแบบกราฟทั่วไป มันแสดงในแนวระดับ (ตามแนวแกนราคา) ช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจว่าราคาที่เทรดอยู่ในช่วงไหนมีการซื้อขายมากหรือน้อย ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากในการหาจุดกลับตัว จุดแนวรับ-แนวต้าน และบ่งชี้ระดับที่ตลาดให้ความสนใจ
ประโยชน์ของ Volume Profile
ค้นหาจุดที่มีการซื้อขายสูงสุด (Point of Control – POC): จุด POC เป็นระดับราคาที่มีการซื้อขายมากที่สุดในช่วงเวลาที่กำหนด ช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจว่าราคานั้นมีความสำคัญต่อผู้เข้าร่วมตลาดเป็นพิเศษ การเทรดในระดับใกล้เคียงกับ POC อาจมีความเสี่ยงต่ำลง เนื่องจากตลาดมีความสมดุล
ระบุบริเวณที่มี Volume หนาแน่น (High Volume Nodes – HVN): พื้นที่ HVN คือบริเวณที่มีปริมาณการซื้อขายสูงมาก โดยมักจะบ่งชี้ว่าราคานั้นมีความสนใจจากทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ทำให้พื้นที่นี้มีโอกาสเป็นแนวรับ-แนวต้านที่แข็งแรง
ระบุบริเวณที่มี Volume น้อย (Low Volume Nodes – LVN): พื้นที่ LVN เป็นบริเวณที่มีปริมาณการซื้อขายน้อยกว่า มักบ่งบอกถึงจุดที่ตลาดไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก หรือมีการเทรดที่แคบลง การที่ราคาผ่านบริเวณนี้สามารถเกิดการวิ่งไปในทิศทางที่รวดเร็ว เนื่องจากไม่มีแรงซื้อมากดดัน
ช่วยในการวางแผนการเทรด: Volume Profile ช่วยให้เทรดเดอร์ระบุจุดเข้าและออกที่ดีขึ้น โดยอาศัยข้อมูลจากแนวรับและแนวต้านในช่วงเวลาที่กำหนด การใช้ Volume Profile ยังสามารถช่วยให้เทรดเดอร์ติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดและวางแผนสำหรับการเทรดแบบระยะสั้นหรือระยะยาวได้ดีขึ้น
วิธีการใช้งาน Volume Profile บน TradingView
เปิดกราฟ: เริ่มต้นด้วยการเปิดกราฟสินทรัพย์ที่ต้องการวิเคราะห์ใน TradingView
เพิ่ม Volume Profile: ไปที่เมนู “Indicators” หรือ “เครื่องมือชี้วัด” แล้วพิมพ์ “Volume Profile” จากนั้นเลือกประเภท Volume Profile ที่คุณต้องการ เช่น Visible Range ซึ่งจะวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายในกราฟที่คุณมองเห็นอยู่ หรือ Session Volume ที่แสดงการกระจายของ Volume ตามเซสชันเวลา
ตั้งค่า Volume Profile: คุณสามารถปรับแต่งการแสดงผลได้ตามต้องการ เช่น จำนวนบาร์ ความกว้างของโปรไฟล์ หรือสีของกราฟ เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์การเทรดของคุณ
ข้อสรุป
Volume Profile เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการทำความเข้าใจพฤติกรรมตลาดโดยใช้ปริมาณการซื้อขายเป็นตัวบ่งชี้ การใช้ Volume Profile ช่วยให้เทรดเดอร์ระบุจุดสำคัญในการตัดสินใจเข้าและออกจากตลาดได้แม่นยำยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยในการหาความสมดุลของตลาดและวางแผนการเทรดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
บนแพลตฟอร์ม TradingView Volume Profile เป็นเครื่องมือที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายและปรับแต่งได้ตามความต้องการ ทำให้เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่เทรดเดอร์ทุกคนควรพิจารณาใช้ในกลยุทธ์การเทรดของตนเอง
ออสซี่ทดสอบจุดสูงสุดหลัง RBA คงดอกเบี้ยเชิงเข้มงวดดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) ได้ทดสอบจุดสูงสุดของปี 2024 หลังจากการประชุมธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) ที่คงดอกเบี้ยและพร้อมปรับขึ้นหากจำเป็น เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ นอกจากนี้ AUD ยังได้รับแรงหนุนจากการขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลังจากจีนประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ นักวิเคราะห์คาดว่า AUDUSD มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ หากดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนตัวจากข้อมูลเศรษฐกิจ
มุมมองทางเทคนิค: AUDUSD ทดสอบจุดสูงสุดที่ .6857 คาดว่าหากยืนเหนือ .6681 ได้ มีโอกาสปรับขึ้นต่อถึง .6994
AUDUSD กรอบเวลา 4 ชั่วโมง | การกลับตัวเป็นขาลงวิเคราะห์ราคาคู่เงิน AUDUSD ในกรอบเวลา 4 ชั่วโมงมีโอกาสกลับตัวเป็นขาลง หากราคาปรับขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ Pivot 0.6845 ใกล้กับ Fibonacci Extension 127.20% แล้วกลับตัวลง คาดว่าจะลงไปถึงแนวรับแรกที่ 0.6797 แต่หากราคาทะลุ Pivot อาจปรับขึ้นต่อไปยังแนวต้านแรกที่ 0.6879 ซึ่งสอดคล้องกับ Fibonacci Extension 127.20%
"เฟดเตรียมลดดอกเบี้ย! AUD/USD พุ่งต่อเนื่องสองวันติด"การพยากรณ์ราคาคู่เงิน AUD/USD: อุปสรรคการบรรจบกันที่ 0.6700 ถือกุญแจสำคัญสำหรับกลุ่มกระทิง ก่อนหน้ารายงาน PPI ของสหรัฐฯ
* คู่เงิน AUD/USD ขยับขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่สอง เนื่องจากบรรยากาศตลาดที่ดี
* การลดความคาดหวังเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่มากขึ้น ช่วยหนุนค่าเงิน USD และอาจจำกัดการขึ้นของ AUD/USD
* ผู้ค้าเฝ้ารอรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ สำหรับแรงกระตุ้นระยะสั้น
คู่เงิน AUD/USD ได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวที่ดีในช่วงข้ามคืน จากพื้นที่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบง่าย 200 วัน (SMA) ประมาณระดับ 0.6620 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบสี่สัปดาห์ และได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมในวันพฤหัสบดีนี้ การเคลื่อนไหวนี้ยกให้ราคาขยับขึ้นสู่จุดสูงสุดรายสัปดาห์ใหม่ ในช่วงการซื้อขายเช้าของยุโรปและได้รับแรงผลักดันจากบรรยากาศตลาดที่ดี ซึ่งมักส่งผลดีต่อเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) ที่มีความเสี่ยง บรรยากาศความเสี่ยงทั่วโลกได้รับแรงหนุนหลังจากรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ที่สำคัญ ยืนยันการคาดการณ์ตลาดว่ารอบการผ่อนคลายนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) กำลังจะเริ่มต้นเร็ว ๆ นี้ 💹📈
ตามจริงแล้ว สำนักสถิติแรงงานสหรัฐฯ รายงานว่า ดัชนี CPI ที่ประกาศออกมาเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนสิงหาคม และอัตรารายปีชะลอลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ จาก 2.9% เป็น 2.5% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2021 นอกจากนี้ การอ่านค่าที่อ่อนแอของดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของญี่ปุ่น ได้ทำให้สัญญาณความเข้มแข็งจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ลดลง และเพิ่มความต้องการของนักลงทุนสำหรับสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม ดัชนี CPI สหรัฐฯ ที่ไม่รวมราคาที่ผันผวนของอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนที่รายงาน และยังคงอยู่ที่ 3.2% ในช่วง 12 เดือนที่สิ้นสุดในเดือนสิงหาคม ซึ่งสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นในเดือนกรกฎาคมและการประมาณการจากนักวิเคราะห์ 💼📊
สิ่งนี้บ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงยืดหยุ่น และได้ทำให้ความหวังในการลดอัตราดอกเบี้ย 50 จุดพื้นฐาน (bps) ของเฟดในการประชุมครั้งหน้า ลดลง ตามเครื่องมือ FedWatch ของกลุ่ม CME ตลาดกำลังประเมินความเป็นไปได้ที่ 87% สำหรับการลดอัตราดอกเบี้ย 25 bps ในการประชุมนโยบาย FOMC วันที่ 17-18 กันยายน เทียบกับ 71% ก่อนการรายงานดัชนี CPI ของสหรัฐฯ นี้ นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ เล็กน้อย และผลักดันให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) กลับมาใกล้จุดสูงสุดรายเดือน ซึ่งอาจจะขัดขวางการขยับขึ้นของคู่เงิน AUD/USD อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน 📉🌏
ในบริบทพื้นฐานที่กล่าวถึงข้างต้น ทำให้ควรรอการซื้อที่ต่อเนื่องอย่างแข็งแกร่ง ก่อนที่จะยืนยันว่าการปรับตัวลงล่าสุดจากจุดสูงสุดในหลายเดือน ประมาณระดับ 0.6825 ที่แตะในเดือนสิงหาคม ได้สิ้นสุดลงแล้ว ตลาดจะมุ่งเน้นไปที่การเผยแพร่รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงต้นของการซื้อขายในอเมริกาเหนือ นอกเหนือจากนี้ ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ จะขับเคลื่อนความต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลต่อโอกาสในการซื้อขายระยะสั้นรอบคู่เงิน AUD/USD 💵📉
#AUDUSD #ดัชนีราคาผู้ผลิต #เฟด #นโยบายการเงิน #ค่าเงินดอลลาร์
AUDUSD ทรงตัวที่ระดับสูงหลังจากข้อมูล CPIเงินดอลลาร์ออสเตรเลียทรงตัวที่ระดับสูงหลังข้อมูล CPI ชะลอตัว แต่ยังสูงกว่าคาดการณ์ ทำให้แนวโน้มการปรับอัตราดอกเบี้ยของ RBA ยังคงไม่แน่นอน นักเทรดเลื่อนการคาดการณ์การผ่อนคลายอัตราดอกเบี้ยไปเดือนธันวาคม ราคาคู่เงิน AUDUSD กำลังทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 0.6857 หากทะลุได้ อาจขึ้นไปที่ 0.6994 โดยมีแนวรับที่ 0.6681
AUDUSD H4 | การร่วงลงของขาลงวิเคราะห์ราคา AUDUSD ในกราฟ H4 ราคาปัจจุบันอยู่ที่จุดหมุน 0.6711 ซึ่งเป็นแนวต้านของการเด้งกลับ หากราคาลดลงจากจุดนี้ อาจลดลงสู่แนวรับแรกที่ 0.6643 ใกล้ระดับ 61.8% ของ Fibonacci retracement
แต่หากราคาทะลุเหนือจุดหมุน อาจขึ้นไปถึงแนวต้านแรกที่ 0.6790 ซึ่งเป็นแนวต้านของการขึ้นลงหลายจุด
AUDUSD Buy signal H4AUDUSD เกินสัญญาณ Divergence อ่อนๆและเกิดที่แนวรับแนวต้านสำคัญและมีโอกาสกลับตัวเป็นขาขึ้นใน H4 ได้
Zone Buy จะแบ่งเป็น2 Zone ด้วยกัน
1.Zone buy#1 :จะมี Fibonacci Level 61.8-78.6% ในการวาง Buy limit เอาไว้ SL: จะถูกวางไว้ที่ Fibonacci Level 100%
หากราคาทะลุ Fibonacci level 100%(SL) จะรอเข้า Buy ใน Zoneที่2 กัน
2.Zone Buy#2 จะมี Fibonacci Level 127% ในการวาง Buy limit เอาไว้ SL: จะถูกวางไว้ที่ Fibonacci Level 161.8%
TP: เปิด
ฝึกวิเคราะห์กราฟเพื่อหาจุดเข้าซื้อให้ละเอียดแม่นยำยิ่งๆขึ้นไปทำเฟรม h4ก็ดูแนวโน้มเป็นขาขึ้นตามพี่ใหญ่นั่นแหละแต่ช่วงราคาปัจจุบันมันเป็น side way ก็เทรดแบบ side way ก่อนถ้าจะเสร็จตามแนวโน้มรอให้ครับย่อลงมาให้ลึกๆหน่อยแล้วรอให้มันตั้ง PA by ก็ค่อยบายแต่ถ้ามันทะลุขึ้นไปเลยก็ให้มันทะลุขึ้นไปก่อนแล้วค่อยไปเซลล์อีกทีตรงที่จุดที่มันทะลุ
ฝึกวิเคราะห์กราฟเพื่อหาจุดเข้าซื้อให้ละเอียดแม่นยำยิ่งๆขึ้นไปดูยังไงก็ยังให้เทรดหน้าบายอยู่แต่วอลุ่มที่จะเก็บมันเหลืออีกแค่ 300 กว่าจุดเองคือถ้าจะเก็บเก็บสั้นๆ 100 จุดก็ปิดเบิ้ลไม้เอาเก็บไวๆถ้าอยากไว้ลุ้นก็ SL หน้าไม้ไว้สัก 1 ไม้เผื่อมันจะขึ้นต่อแต่ตอนนี้มันใกล้ชนวีคแล้วก็ต้องระวังหน่อยมันมีโอกาสทุบลงมาเรื่องนี้ไม่มีใครตอบได้คนที่ตอบได้ก็คือเจ้าตลาดเท่านั้นว่าเขาจะเล่นแบบไหนก็ยังไงเขาก็เห็นอยู่แล้วว่าแมงเม่าแต่ละคนมีเทคนิคการเข้าแบบไหนเขาจะกวาดแบบไหนจะเก็บอย่างไรมันก็เป็นเทคนิคของเขา
การกลับตัวเป็นขาลงในคู่เงิน AUDUSD ราคากำลังขึ้นไปสู่ระดับ Pivot ที่ 0.6781 ซึ่งเป็นแนวต้านการดึงกลับที่ใกล้เคียงกับระดับการถอยกลับของ Fibonacci ที่ 78.6% หากราคากลับตัวจากระดับนี้ ราคาน่าจะลงไปสู่แนวรับแรกที่ 0.6690 ซึ่งเป็นแนวรับการดึงกลับ
สถานการณ์ทางเลือก
หากราคาทะลุเหนือระดับ Pivot นี้ได้ ราคาน่าจะขึ้นไปสู่แนวต้านแรกที่ 0.6870 ซึ่งเป็นแนวต้านระดับต่ำสุดของการสวิงสูง