อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อ SET TIME FRAME WEEK นับ TD SET UP #4อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อ SET TIME FRAME WEEK นับ TD BUY SETUP ทางลงได้ต่อเนื่องเป็นแท่งที่ 4
**TD Buy Setup** เป็นส่วนหนึ่งของ **TD Sequential Indicator** ที่พัฒนาโดย Tom DeMark ซึ่งมักใช้ในการวิเคราะห์ทิศทางของราคาในตลาดการเงิน เช่น หุ้น, ดัชนี หรือสินทรัพย์อื่น ๆ
### การตีความในกรณีที่ **SET TIME FRAME WEEK** นับ TD Buy Setup ทางลงต่อเนื่องได้ 4 แท่ง
1. **TD Buy Setup คืออะไร**
- TD Buy Setup เกิดขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนไหวลงต่อเนื่องอย่างน้อย 9 แท่ง (Candle) ที่ราคาปิดของแท่งที่ปัจจุบันต่ำกว่าราคาปิดของแท่งเมื่อ 4 วันก่อนหน้า
- การนับจะเริ่มตั้งแต่แท่งแรกที่เงื่อนไขนี้เป็นจริง และนับต่อไปเรื่อย ๆ จนถึง 9 แท่ง
2. **TD Buy Setup แท่งที่ 4 หมายถึงอะไร**
- เมื่อ SET TIME FRAME นับ TD Buy Setup ได้ถึงแท่งที่ 4 หมายความว่า ราคาได้ลงมาต่อเนื่อง 4 แท่งแล้ว โดยทุกแท่งปิดต่ำกว่าแท่งที่ 4 แท่งก่อนหน้านั้น
- ยิ่งจำนวนแท่งที่เกิดมากขึ้น ความเป็นไปได้ที่ราคาจะถึงจุด Oversold หรืออยู่ในจุดที่ใกล้กลับตัวจะเพิ่มขึ้น (แต่ยังไม่ถึงจุดกลับตัวจริงจนกว่าจะครบ 9 แท่ง)
3. **สิ่งที่อาจเกิดขึ้นต่อไป**
- **แนวโน้มราคายังคงลงต่อ**: การนับถึงแท่งที่ 4 บ่งบอกว่าแรงขายยังคงมีอยู่ในตลาด ราคายังอยู่ในช่วงขาลงและมีโอกาสนับต่อจนถึง 9 แท่ง
- **จับตาแท่งถัดไป**: หากถึงแท่งที่ 9 โดยไม่มีการตัดเงื่อนไขหรือเกิดสัญญาณ Buy Countdown (การกลับตัวหลัง TD Buy Setup) อาจมีโอกาสเกิดการดีดตัว (Reversal) จากแรงซื้อกลับ
- **ยืนยันแนวโน้ม**: ต้องดูปัจจัยเสริม เช่น ปริมาณการซื้อขาย, เส้นแนวรับ-แนวต้าน, หรือสัญญาณอื่น ๆ ที่สอดคล้องเพื่อยืนยัน
4. **แนวทางการวิเคราะห์**
- ถ้าเป็นนักลงทุนสายเทคนิค: รอสัญญาณเพิ่มเติม เช่น TD Buy Countdown, การทะลุเส้นแนวต้าน หรือ Bullish Divergence ในอินดิเคเตอร์ เช่น RSI
- ถ้าเป็นนักลงทุนสายพื้นฐาน: ตรวจสอบปัจจัยพื้นฐานหรือข่าวที่อาจส่งผลต่อดัชนี เช่น ผลประกอบการบริษัท, นโยบายการเงิน, หรือเหตุการณ์สำคัญในตลาดโลก
### สรุป
การนับได้ TD Buy Setup 4 แท่งยังคงบ่งชี้ถึงแนวโน้มขาลงในกรอบเวลานั้น ๆ และมีโอกาสนับต่อไปถึง 9 แท่ง หากแรงขายยังไม่หมด นักลงทุนควรติดตามแท่งเทียนต่อไป รวมถึงปัจจัยเทคนิคและพื้นฐานที่สนับสนุนเพื่อวางแผนการลงทุนหรือการเทรดอย่างรอบคอบ
SET ไอเดียในการเทรด
SET กับการอ่านกราฟในรูปแบบ Head & Shoulders SET กับการอ่านกราฟในรูปแบบ Head & Shoulders
เป็นเทคนิคที่ใช้ในวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) เพื่อระบุการกลับตัวของแนวโน้ม (Trend Reversal). รูปแบบนี้มักปรากฏในช่วงที่แนวโน้มกำลังจะเปลี่ยนจากขาขึ้น (Uptrend) ไปเป็นขาลง (Downtrend) หรือกลับกันในกรณี Inverse Head & Shoulders.
โครงสร้างของ Head & Shoulders
รูปแบบนี้มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วน:
ไหล่ซ้าย (Left Shoulder): เป็นจุดสูงสุดที่เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาขึ้น และตามด้วยการย่อตัวลง (Pullback) แต่ไม่ได้ทำจุดต่ำสุดใหม่ (Higher Low).
ศีรษะ (Head): จุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่าไหล่ซ้าย ตามด้วยการย่อตัวลงอีกครั้ง.
ไหล่ขวา (Right Shoulder): จุดสูงสุดที่ต่ำกว่าศีรษะ และมักจะใกล้เคียงกับระดับของไหล่ซ้าย.
เส้นคอ (Neckline): เป็นเส้นที่ลากผ่านจุดต่ำสุดของการย่อตัวระหว่างไหล่ซ้ายและไหล่ขวา. เส้นนี้ถือเป็นแนวรับสำคัญ.
ขั้นตอนการอ่านและวิเคราะห์:
1. ระบุโครงสร้างของรูปแบบ
มองหา Left Shoulder, Head, และ Right Shoulder ที่มีลำดับชัดเจน.
เส้นคอ (Neckline) สามารถอยู่ในแนวนอน, เอียงขึ้น, หรือเอียงลงเล็กน้อย.
2. ยืนยันการกลับตัว
เมื่อราคาหลุดเส้นคอ จะยืนยันว่าแนวโน้มกลับตัว (จากขาขึ้นเป็นขาลง).
วอลุ่มการซื้อขายมักลดลงในช่วงที่สร้าง Right Shoulder และเพิ่มขึ้นเมื่อหลุดเส้นคอ.
3. กำหนดเป้าหมายราคา (Price Target)
วัดความสูงจากจุดสูงสุดของศีรษะลงมาถึงเส้นคอ.
ใช้ระยะนี้เป็นเป้าหมายราคา (Price Target) หลังจากราคาหลุดเส้นคอ.
Inverse Head & Shoulders
ในกรณีที่เป็น Inverse Head & Shoulders, รูปแบบและการวิเคราะห์จะกลับด้าน:
มักพบในแนวโน้มขาลงที่จะกลับตัวเป็นขาขึ้น.
จุดต่ำสุด (Head) จะอยู่ลึกที่สุด และไหล่สองข้างจะอยู่ในระดับที่สูงกว่า.
การทะลุเส้นคอขึ้นด้านบนจะเป็นสัญญาณซื้อ (Buy Signal).
ข้อควรระวัง:
รอการยืนยัน: อย่าตัดสินใจซื้อขายจนกว่าราคาจะทะลุเส้นคอ.
วอลุ่ม: ตรวจสอบวอลุ่มการซื้อขายเพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือของรูปแบบ.
บริบทตลาด: ใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น เช่น แนวรับ-แนวต้าน, RSI, MACD ฯลฯ เพื่อเพิ่มความแม่นยำ.
ตัวอย่าง:
หากพบ Head & Shoulders ในแนวโน้มขาขึ้น ราคามีโอกาสปรับตัวลงหลังทะลุเส้นคอ.
หากพบ Inverse Head & Shoulders ในแนวโน้มขาลง ราคามีโอกาสปรับตัวขึ้นหลังทะลุเส้นคอ.
หวังว่านี่จะช่วยให้คุณเข้าใจการวิเคราะห์รูปแบบนี้ได้ชัดเจนขึ้น!
SET GDP ทั้งปีทำไว้ ที่2.4 % นำมาจับมุมมองกราฟSET:SET Key Takeaways:
📍GDP ไทย ไตรมาส 3/24 ขยายตัวได้ 3.0% YoY (1.2% QoQ) ขยายตัวมากกว่าตลาดคาดที่ 2.4% YoY (Bloomberg Consensus) แต่เป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับ BLS House view ที่ 2.9% YoY
📍ปัจจัยหนุนหลักในไตรมาสนี้ ได้แก่ การบริโภคภาครัฐ (+6.3% YoY) การลงทุนภาครัฐ (+25.9% YoY) และการส่งออกสินค้า (+8.3% YoY) ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนเติบโตชะลอลงที่ 3.4% YoY จากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวได้ 4.9% YoY
📍อย่างไรก็ดี การลงทุนภาคเอกชนยังน่าเป็นห่วง โดยหดตัว 2.5% YoY เป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 สะท้อนถึงภาคธุรกิจที่ฟื้นตัวได้บางสาขา
เนื้อหา:
GDP ไทยไตรมาส 3/24 ขยายตัวเร่งขึ้น โดยมี 3 ปัจจัยหนุนหลัก ได้แก่
1. การบริโภคภาครัฐขยายตัว 6.3% YoY ขณะที่การลงทุนภาครัฐขยายตัวได้สูงถึง 25.9% YoY ซึ่งเป็นผลจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณก่อนการสิ้นสุดปีงบประมาณ 67 บวกกับผลของฐานต่ำ
2. การส่งออกสินค้าไทยขยายตัวได้ดีกว่าที่คาด โดยโตถึง 8.3% YoY จากอานิสงส์ด้าน Front-loaded demand ของสหรัฐฯ และยุโรป ก่อนมาตรการขึ้นภาษีมีผลบังคับใช้ในช่วงปลายเดือนกันยายน ประกอบกับ Demand ของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ อาทิ HDDs ที่ยังคงเติบโตสูง ซึ่งเป็นกลุ่มที่หนุนการส่งออกของไทยตลอดทั้งไตรมาส 3/24 และ
3. การบริโภคภาคเอกชนที่ยังคงขยายตัวได้ดี 3.4% YoY แม้จะเป็นการขยายตัวในทิศทางที่ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวได้ 4.9% YoY โดยการใช้จ่ายในหมวดโรงแรม ร้านอาหาร เติบโตชะลอลงจากผลของ Low Season ด้านการท่องเที่ยว ส่วนสินค้าคงทนยังคงหดตัวต่อเนื่องถึง 9.9% YoY ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง อันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่คาดว่าจะกดดันการบริโภคภาคเอกชนโดยรวมของไทยไปอย่างต่อเนื่องไปถึงปีหน้า (หากไม่มีมาตรการมากระตุ้นการบริโภคเพิ่มเติม)
อย่างไรก็ดี การลงทุนภาคเอกชนยังคงหดตัว 2.5% YoY ซึ่งเป็นการหดตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า (-6.8% YoY) สะท้อนถึงการฟื้นตัวของภาคธุรกิจแบบไม่ทั่วถึง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากกำลังซื้อโดยภาพรวมยังไม่สามารถกลับมาแบบยั่งยืนได้ ทำให้ sentiment การลงทุนของภาคเอกชนโดยรวมยังไม่ฟื้นกลับมา
ทั้งนี้ เราคาดว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/24 น่าจะขยายตัวเร่งขึ้นได้ราว 3.6% YoY (Base case) จากผลของฐานต่ำและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ เช่น โครงการแจกเงิน 10,000 บาท ที่น่าจะการแจกเฟสสองแก่กลุ่มคนอายุ 50 – 60 ปี ก่อนสิ้นปี ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้ ร่วมกับมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว (เที่ยวคนละครึ่ง) ที่น่าจะออกมาเพิ่มเติมก่อนสิ้นปี รวมถึงการท่องเที่ยวในช่วง High Season โดยเราคาดว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติไตรมาส 4/24 น่าจะอยู่ที่ราว 9.5 ล้านคน และน่าจะทำให้ยอดทั้งปีมาแตะที่ 35.6 ล้านคน ตามที่เราคาดไว้ (คิดเป็นสัดส่วน 89.2% ของ Pre-covid) อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/67 ยังคงมีความเสี่ยงด้านการส่งออกที่เรามองว่าน่าจะชะลอตัวลงแรงกว่าที่คาด จาก Demand ของเศรษฐกิจคู่ค้าหลักอย่างสหรัฐฯ และจีนที่ชะลอลง ทำให้เรายังคงยืนมุมมองการเติบโตของเศรษฐกิจทั้งปี 67 โตที่ 2.6% YoY
จากรายงานนี้บ้านเรา GDP ทั้งปีทำไว้ ที่2.4 % พอมาจับกับภาพตลาดมอง 1 เดือนครึ่งที่เหลือบัานเราจะเล่นออกข้าง ในกรอบ 1436 ถึง1500 ยกเว้นมีปัจจัยใหม่เข้ามาครับ
ย้ำเตือน ตลาดหุ้นไทยลงในกรอบ 1447.72-1429.46-1411.21 ตามลำดับย้ำเตือน ตลาดหุ้นไทยลงในกรอบ 1447.72-1429.46-1411.21 ตามลำดับ
หลักการของ **Joe DiNapoli** เกี่ยวกับการใช้งาน **Fibonacci Retracements** นั้นมีจุดเด่นในการวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดและหาจุดกลับตัวของราคาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการใช้งานเส้น **38.2%** และ **61.8%** ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สำคัญในกลยุทธ์ของเขา
### พื้นฐานของ Fibonacci Retracements
Fibonacci Retracements เป็นเครื่องมือที่นักวิเคราะห์ใช้ในการหาจุดที่ราคามีโอกาสจะเกิดการปรับฐานหรือลดลงในทิศทางตรงข้ามกับแนวโน้มเดิม โดยสัดส่วนยอดนิยมคือ:
- **38.2%**: มักถูกใช้ในการบอกถึงการปรับฐานเบาๆ ของราคา
- **61.8%**: เป็นระดับสำคัญที่ถือว่าเป็นแนวรับ/แนวต้านที่มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวหรือเคลื่อนที่ในทิศทางใหม่
### หลักการของ Joe DiNapoli
Joe DiNapoli ได้พัฒนาแนวทางการใช้งาน Fibonacci Retracements ด้วยการเน้นการวิเคราะห์แบบเจาะลึกและใช้ควบคู่กับเครื่องมืออื่น เช่น **DiNapoli Levels** เพื่อให้ได้ผลการวิเคราะห์ที่แม่นยำยิ่งขึ้น หลักการสำคัญที่เขาใช้กับ Fibonacci 38.2% และ 61.8% ได้แก่:
1. **การระบุจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของแนวโน้ม**:
- DiNapoli จะเริ่มจากการระบุจุดสูงสุด (High) และจุดต่ำสุด (Low) ของการเคลื่อนไหวของราคาที่เห็นได้ชัดเจน จากนั้นจึงใช้ Fibonacci Retracements ในการกำหนดระดับการปรับฐาน
2. **ระดับ 38.2%**:
- เป็นจุดที่ราคามักปรับฐานแบบตื้น หากราคายืนเหนือระดับนี้ได้แสดงว่าแนวโน้มหลักยังคงแข็งแรง และมักใช้ในการตัดสินใจสำหรับการเข้าซื้อ (Buy) หรือขาย (Sell) ตามแนวโน้มเดิม
3. **ระดับ 61.8%**:
- เป็นระดับที่สำคัญมากสำหรับ DiNapoli เพราะถือว่าเป็น "Golden Ratio" ที่มีโอกาสสูงที่จะเกิดการกลับตัวของราคา การยืนเหนือหรือต่ำกว่าระดับนี้จะเป็นตัวชี้วัดถึงแนวโน้มที่อาจเปลี่ยนทิศทาง
4. **การใช้งานร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ**:
- DiNapoli มักแนะนำให้ใช้ Fibonacci ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ เช่น **Moving Averages** หรือ **Oscillators** เพื่อยืนยันการวิเคราะห์ เช่น หากระดับ Fibonacci 61.8% ตรงกับ Moving Average ที่สำคัญ มันจะยิ่งเพิ่มความแข็งแกร่งในการใช้เป็นแนวรับหรือแนวต้าน
### ตัวอย่างการใช้งาน
สมมติว่าราคาของสินทรัพย์หนึ่งมีแนวโน้มขาขึ้นและกำลังปรับฐาน หากราคาลดลงมาถึงระดับ 38.2% และเริ่มฟื้นตัว นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าราคาจะเดินหน้าต่อไปในทิศทางเดิม แต่หากราคาลดลงมาถึงระดับ 61.8% และเริ่มกลับตัวขึ้น ก็เป็นจุดที่น่าสนใจมากในการพิจารณาว่าราคาจะเกิดการกลับตัวที่สำคัญ
หลักการของ Joe DiNapoli จึงเน้นการใช้ Fibonacci อย่างรอบคอบและพิจารณาแนวโน้มในภาพรวมเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจเทรด.
SET 25/10/24 ปิดเหนือ 1460 week หน้า sw หากไม่เหนือลง 1434ย่อปรับฐาน
D มี สญ. ย่อปรับฐาน
120 LL ถ้าลงไม่ถึง 1434=161.8 ค้างดีด ob
15 ลงจนสุด ค้างดีด ob
- ถ้าลงต่อ
คือลงของ 120 ตาม fibo
หรือ ดีดใน 15 จะสร้าง กปฐ.
ฟอร์มหัวลง ทุบขู่1
- ถ้าขึ้น
ดีดขึ้นของ 15 เพื่อสร้าง กปฐ.
120 ลงไม่มีถึง 1434=161.8
.......................
D : HH ob will os
- beardi.2 รอบ +ts / os -L 1273 ลึก
- จากหัวขึ้น(หัก) ขึ้น 00 +120 พาขึ้น ob
120 : HH LL os ยืนไม่เหนือ 1462 จะลง
- กรอบ 1462-1506 กำลังลง
- จากขึ้นพุ่ง2 ขึน 00 + 15 พาขึ้น ลง
5 : LH LL os
- หัวลง ลงสุด
ทำไม SET ขึ้นมาพักตัวที่ Fibonacci 127.2% บริเวณ 1482-1483 จุดราคามักขึ้นมาหยุดที่ Fibonacci 127.2% เพราะระดับนี้เป็นหนึ่งในจุดที่มีความสำคัญในเชิงจิตวิทยาตลาดและพฤติกรรมของนักลงทุน โดยมีปัจจัยสำคัญหลายประการที่ทำให้ราคาเกิดการชะลอหรือกลับตัวที่ระดับนี้:
1. พฤติกรรมของนักลงทุนจำนวนมาก:
นักลงทุนและนักเทรดจำนวนมากใช้เครื่องมือ Fibonacci เพื่อคาดการณ์จุดกลับตัวหรือแนวรับแนวต้าน เมื่อหลายคนคาดหวังว่าราคาจะหยุดที่ Fibonacci 127.2% พวกเขาอาจตั้งคำสั่งซื้อขายล่วงหน้าที่ระดับนี้ เช่น การทำกำไร (take profit) หรือการเปิดคำสั่งขาย (short position) ทำให้เกิดแรงกดดันต่อราคา
2. ระดับที่แสดงถึงการขยายตัวของราคา:
Fibonacci 127.2% เป็นระดับส่วนขยาย (extension level) ซึ่งหมายถึงราคาขึ้นมาสูงกว่าเดิมเกินจุดเริ่มต้นของการปรับตัว (หลังจากที่ราคาขึ้นถึง 100%) การเคลื่อนไหวนี้มักเป็นการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง แต่ระดับ 127.2% มักถูกมองว่าเป็นจุดที่ตลาดอาจหยุดหรือพักการเคลื่อนไหวได้
นักลงทุนมองว่าหลังจากที่ราคาเคลื่อนที่ผ่าน 100% มาแล้ว ระดับ 127.2% เป็น "จุดทดสอบ" ที่ราคาอาจจะหยุดชั่วคราว
3. แรงจูงใจในการทำกำไร:
เมื่อราคามาถึงจุดขยายนี้ นักลงทุนที่ทำกำไรจากการเคลื่อนไหวเดิมอาจเลือกที่จะทำการขายเพื่อปิดกำไร ซึ่งทำให้ราคาชะลอหรือกลับตัวเพราะแรงขายที่เพิ่มขึ้น
4. แนวรับ-แนวต้านในมุมมองทางเทคนิค:
ระดับ Fibonacci รวมถึง 127.2% ถือว่าเป็นแนวต้านที่สำคัญ ถ้าราคาขึ้นมาชนระดับนี้ ราคาจะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากนักเทรดที่มองว่าเป็นโอกาสในการขายหรือการกลับทิศทาง ซึ่งส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงทิศทางหรือการชะลอตัวของราคา
5. ธรรมชาติของการปรับฐานราคา (Correction):
ในบางกรณี เมื่อราคาขยับผ่านแนวต้านหรือแนวรับเดิม นักลงทุนจะมองหาระดับ Fibonacci ต่อไปเพื่อวิเคราะห์ทิศทางการเคลื่อนไหว โดยระดับ 127.2% มักจะเป็นจุดที่ตลาดอาจมีการหยุดชั่วคราวก่อนที่จะเกิดการเคลื่อนไหวต่อ
สรุปก็คือ Fibonacci 127.2% เป็นระดับที่นักลงทุนจำนวนมากใช้เป็นแนวต้านที่สำคัญ จึงมักเห็นว่าราคาเกิดการชะลอหรือกลับตัวที่ระดับนี้บ่อยครั้ง เพราะเป็นจุดที่มีการทำกำไรและแรงจิตวิทยา
SET เข้าใกล้ SUPPLY ZONE และ Fibonacci 161.8%ความรู้เบื้องต้น "Fibonacci Extension"
ใช้เพื่อวัดว่าราคาสามารถที่จะยืดออกไปได้ไกลแค่ไหนที่สัดส่วนเท่าไหร่ ซึ่งค่า Fibonacci Extension ที่นิยมตั้งค่า เริ่มตั้งแต่ 100% ขึ้นไป ( 114.6, 127.2, 141.4, 161.8, 200, 261.8%) หรืออาจจะยืดไปมากกว่านี้ก็ได้
สำหรับการเลือกเครื่องมือในแพลตฟอร์มต่างๆอาจจะไม่เจอคำว่า Fibonacci Extension อาจจะเจอเครื่องมือที่มีชื่อว่า Fibonacci Retracement จริงๆแล้วคือเครื่องมือเดียวกัน ต่างกันที่ตัวเลขของฟิโบ ถ้าเป็น 0-100 คือช่วงของ Fibonacci Retracement ตั้งแต่ค่า 100 ขึ้นไปเราเรียกว่า Extension นั่นเอง
วิธีการกาง Fibonacci Extension ให้กางจากจุด A ไปยังจุด B เพื่อหา C เพื่อวัดว่าระยะยืดเวลาที่กราฟทำ New High หรือ New Low นั้นมีโอกาสไปถึงค่า Fibo Extension ที่เท่าไหร่ได้บ้าง โดยกางจากซ้ายไปขวาเสมอ
จากภาพ อ่านได้ว่า 9 ตุลาคม 2567
SET ขึ้นมาทดสอบ SUPPLY ZONE ซึ่งมีค่าใกล้เคียงกับ Fibonacci 161.8% ซึ่งมักผ่านได้ยาก
ทั้งนี้ สัญญาณ "MaChao Flip" 13 และ ดัชนีเกาะกลุ่มอยู่ต่ำกว่า HMA ทำให้นักลงทุนต้องเฝ้าระวังการ พักตัว หรือ กลับตัวจากขึ้นไปเป็นลง
SET อาทิตย์นี้ ยังต่อเบรค ชะลอตัวอยู่ที่แนว 61.8% ของกราฟวีคเริ่มทำ round top pattern ใน daily TF
แนวโน้มจะมีการกลับ ย่อตัวลง
ถ้าย่อลงมาเกิน 1426 จุด ก็อาจไหลลงมาได้จนปิด gap ที่ 1400 จุด
รอตามข่าว
- ว่ารัฐบาลจะอัดฉีดกองวายุภัค เข้าไปอุ้มซ้ำ หรือ จะมีเงิน ตปท ไหลกลับ / เพราะจริงๆแล้ว พื้นฐานการลงทุนมันยังไม่ได้มีปัจจัยจริงๆ เข้ามา
- รายย่อย ที่ซื้อกองทุน Thai ESG เข้าไปอุ้มไว้ไหม
ถ้าจะเข้า รอเล่นด้วย strategy เก็บหุ้นปันผลสูง ราคาถูก ตอนย่อตัวดีกว่า
30 กันยายน 2567 ตอบปัญหา ไม่รู้ว่าตลาดจะขึ้น รึ ลง ดูยังไงดี?30 กันยายน 2567 ตอบปัญหา ไม่รู้ว่าตลาดจะขึ้น รึ ลง ทำไงดี ที่มันจะดีกว่า นึกเอา เดาเอา
ขอนำเสนอ MaChao Flip + Hull Moving Avg. (เส้นค่าเฉลี่ยของฮัลล์)
ภาพแสดง SET
MaChao Flip SELL9 + เทรดต่ำกว่า Hull Moving Avg. (เส้นค่าเฉลี่ยของฮัลล์)
กรอบ SET
1464.50-1468.77 โซนบน
1457.31-1464.50 ไซด์เวย์บวก
1453.04-1457.31 ไซด์เวย์ลบ
1445.85-1453.04 เตรียมเทกระจาด
ผมยกตัวอย่างการ ใช้ MaChao Flip ร่วมกับเส้นค่าเฉลี่ย HMA
หลักการง่ายๆ
MaChao Flip SELL9 + ราคาไถลงมาต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย = แนวโน้มลง
MaChao Flip BUY9 + ราคางัดไปเหนือเส้นค่าเฉลี่ย = แนวโน้มขึ้น
เราก็สามารถไปทำสัญญาณจาก AI ง่ายๆ เช่น
SELL ก็ต่อเมื่อ MaChao Flip SELL9 + Price CloseMoving Avg.
ซึ่ง ณ เวลาที่โพสต์
สัญญาณเป็นเชิงลบไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ในภาพคือ TF@DAY ก็ต้องดูแนวโน้มตอนปิดสิ้นวัน ว่ารอด รึ ร่วง
อย่างไรก็ตาม สัญญาณต่างๆ ไม่มีทางถูก 100% ถ้ามันไม่ใช่ก็ให้ยอมแพ้เสมอครับ
SET 30/09/24 60 จะปรับฐานจาก 30 พาลง ไม่หลุด 1406 ขึ้นต่อD ขาขึ้น โซนปรับย่อได้
120 ขาขึ้น ค้าง os จากมี สญ.
30 มีหัวลง พา 120 os
.
การลงของ 30 ทำให้ 120 ย่อ os
ระยะสั้น : เด้ง S ตาม 30 sl 1460
ระยะกลาง : รอ L ให้ปรับฐานจบก่อน
ระยะยาว : ถ้าระยะกลางยังไม่หัวลง ย่อลงเข้า L
...............................
D : ขาขึ้น
- ขึ้นโซน 00 จ่อราคา ts
- ob ลากเลื้อย / rsi ob
120 : ขาขึ้น beardi.
- มี ts = ค้าง os / os low 1405.7 ลึก
- ถ้าลงไม่หลุด 1405.7 เริ่มมี hi-bulldi.
30 : ขาลง LH LL
- ถ้าขึ้นไม่เบรค 1460 มีหัวขาลง
26 กันยายน 2567 ตอบปัญหา ไม่รู้ว่าตลาดจะขึ้น รึ ลง TD + HMA26 กันยายน 2567 ตอบปัญหา ไม่รู้ว่าตลาดจะขึ้น รึ ลง ทำไงดี ที่มันจะดีกว่า นึกเอา เดาเอา
ขอนำเสนอ TD Sequential + Hull Moving Avg. (เส้นค่าเฉลี่ยของฮัลล์)
ภาพแสดง SET
TD SELL9 + เทรดต่ำกว่า Hull Moving Avg. (เส้นค่าเฉลี่ยของฮัลล์)
กรอบ SET
1464.50-1468.77 โซนบน
1457.31-1464.50 ไซด์เวย์บวก
1453.04-1457.31 ไซด์เวย์ลบ
1445.85-1453.04 เตรียมเทกระจาด
ผมยกตัวอย่างการ ใช้ TD ร่วมกับเส้นค่าเฉลี่ย HMA
หลักการง่ายๆ
TD SELL9 + ราคาไถลงมาต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย = แนวโน้มลง
TD BUY9 + ราคางัดไปเหนือเส้นค่าเฉลี่ย = แนวโน้มขึ้น
เราก็สามารถไปทำสัญญาณจาก AI ง่ายๆ เช่น
SELL ก็ต่อเมื่อ TD SELL9 + Price CloseMoving Avg.
ซึ่ง ณ เวลาที่โพสต์ 15:05 ของ 26 ก.ย.67
สัญญาณเป็นเชิงลบไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ในภาพคือ TF@DAY ก็ต้องดูแนวโน้มตอนปิดสิ้นวัน ว่ารอด รึ ร่วง
อย่างไรก็ตาม สัญญาณต่างๆ ไม่มีทางถูก 100% ถ้ามันไม่ใช่ก็ให้ยอมแพ้เสมอครับ
SETTHAI พุ่งตอบรับเฟดลดดอกเบี้ยแรงลุ้น 1500นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้วันนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค และดาวโจนส์ฟิวเจอร์สที่ยังบวกต่อเนื่อง ขานรับปัจจัยหนุนธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดดอกเบี้ยลงมา 0.50% ตามที่ตลาดให้น้ำหนักไว้ เป็นแรงหนุนต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่
บ้านเรารับแรงซื้อหุ้นใหญ่ที่ได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากดอกเบี้ยขาลง โดยเฉพาะกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โรงไฟฟ้า และค้าปลีก ทำให้เป็นแรงหนุนต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยในวันนี้ แม้ว่าปัจจัยในประเทศยังไม่มีเรื่องใหม่เข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ
แนวโน้มพรุ่งนี้คาดตลาดแกว่งไซด์เวย์ ติดตามการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะมีการพิจารณาดอกเบี้ยอย่างไร ซึ่งจะมีผลต่อตลาดหุ้นภูมิภาค และค่าเงินเยน รวมถึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐด้วยเช่นกัน
แนวต้าน
1460 - 1465
แนวรับ
1435 - 1440
SET 21/09/24 : 60 อาจย่อลงก่อน ถ้าไม่หลุด 1406 ก็ยังต่อw : อาจทำ ตข.คาดจะกลับเป็นขาขึ้น
- ดึงจน sto ob มีเจ้าเปิดแล้ว
- ob high 1597 ถ้าไม่เบรค ค้าง os ได้
- ย่อลงเข้าซื้อได้ จากเห็นการเปิดของเจ้าแล้ว
.
D : ขาขึ้นจากมีหัวขึ้น(หัก) + เบรค down trend line
- ขึ้น 00 ob ลากเลื้อย ขึ้นแรงมาก ก ก
- rsi ob + hi-beardi. แต่ยังไม่มี สญ.กลับตัวลง เพียงเฝ้้าระวัง
- D ยังขึ้นจากมีหัวพา w ob ต่อได้
.
240 : ขาขึ้น HH HL
- ob + beardi. / os low 1352
120 60 : ขาขึ้น HH HL
- หัวขึ้น พ.2 >161.8
- ob + beardi.รอบ2+ ts = ค้าง os
- os low 1406 ถ้าไม่หลุดยังขึ้นต่อ จะล้างการย่อลงเมื่อเบรค 1462 = ขึ้นต่อ
- จากราคาโดดขึ้นเปิด gap แต่เย็นลงมาปิด gap = คาดแรงขายชนะแรงซื้อ มีโอกาสปรับย่อได้
- 60 ขึ้นมารอบนี้ จาก 5 มีหัวขึ้น
.
5 : มีหัวลง 1459.5
- การลงของ 5 ขอมองเป็นพา 60 os
- 60 os จากมี beardi.รอบ2+ ts
- ให้ยึด 60 เป็นหลัก ถ้าไม่หลุด 1406 ยังขึ้นต่อ
SET 20/09/24 ถึงมี beardi.แต่ยังขึ้นต่อ 60 พุ่งขู่2W : คาดทำ w.4 จบ
- ขึ้น >50
- ถึงจะมี hi-beardi.แต่ยังไม่มี ts
D : ขาขึ้น จากมีหัว(หัก) ขึ้น 00
- พา W ob
- rsi sto ob ลากเลื้อย
- gap ที่กระโดดขึ้น ลงไม่ปิดหมด แล้วขึ้นต่อ
60 : ขาขึ้น พุ่งขู่2 ขึ้น 161.8
- rsi sto ลากเลื้อย
- มี beardi. HH HL
- ล่าสุดจาก beardi.+ts แต่พา เบรคบนได้ก็ล้างขึ้นต่อ
5 : ขาขึ้น ถ้าไม่หลุด 1432 HH HL
เฝ้าระวังตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนตัวเข้าสู่บริเวณหัวคลื่น 17-20 ก.ย.เฝ้าระวัง ตลาดหุ้นไทย จะเคลื่อนตัวเข้าสู่บริเวณหัวคลื่นในกรอบ 1427.29-1458.71 ช่วง 17-20 กันยายน 2567
19 กันยายน 2567 เมื่อ เทคนิคอล คือ คณิตศาสตร์ หลักการเดียวกับ การพยากรณ์อากาศ ที่ใช้คาดการณ์ด้วย "การคำนวณไปข้างหน้า"
ไม่ได้มีไว้อ่านถอยหลัง อย่างที่เห็นกันอยู่ปัจจุบัน ทำให้คนส่วนใหญ่ มองว่าเทคนิคอลเป็นเรื่องตลก นั่งขีดเส้น เอาเส้นตัดกัน
ขอ ยกตัวอย่างการใช้งาน ด้วยหลักการคำนวณไปข้างหน้า ดังนี้
เหตุการณ์ปัจจุบัน กรมอุตุฯ เตือนคนไทย 19-20 ก.ย. เตรียมรับมือ "พายุดีเปรสชัน ฝนจะตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน! แน่นอนมันอาจจะไม่เกิด แต่ต้องคาดการณ์ไปข้างหน้า เพื่อเตรียมรับมือ
หากฝนตก น้ำท่วมฉับพลันไปแล้ว มาเตือนย้อนหลัง เราคงก่นด่า กรมอุตุฯ ถูกไหมครับ
ทีนี้ในตลาดหุ้น เทคนิคอล ก็ใช้หลักการเดียวกัน ผมขอยกตัวอย่างการใช้งาน Fibonacci Time & Price เราจะอ่านได้ว่า
ตลาดหุ้นไทย จะเคลื่อนตัวเข้าสู่บริเวณหัวคลื่นในกรอบ 1427.29-1458.71 ดูภาพประกอบ ที่มาคือกรอบ Fibonacci Extension 127.2%-161.8%
และเป็นโซนหัวคลื่น ที่โมเมนตัมพีค
โมเมนตัมพีค บอกเราถึงบรรยากาศมวลชน Bullish ตลาดมาก แต่ซื้อจนหมดแรงซื้อ จะตามมาด้วยการพักตัว หรือ กลับตัวเป็นลง
ต่อไป การวิเคราะห์ตลาด ขึ้น หรือ ลง นอกจากกรอบราคา เราต้องมีกรอบเวลา ไม่สามารถพูดเรื่อยเปื่อย ว่า ปีนี้เผาหลอก ปีหน้าเผาจริง หรือ พูดแต่วิกฤติ ทุกวัน สามเวลาหลังอาหาร หรือ ตลาดจะไป 2000 จุด อยู่ตลอดเวลา ไม่ต่างจากหมอดู
กลับมาเข้าเรื่อง ตลาดหุ้นไทยจะเจอโซนหัวคลื่น ตาม Fibonacci Time ช่วง 17-20 ก.ย.67 ดูภาพประกอบ มาจาก แนวร่วมเวลาที่ 23.6%
ถ้าคุณคิดว่าคำเตือนของกรมอุตุฯ อาจไม่ถูก 100% แต่มีประโยชน์
การอ่านว่า ตลาดหุ้นไทย เคลื่อนตัวมาทำหัวคลื่น ช่วง 17-20 กันยายน 2567 บริเวณ1447.29-1458.71 แล้วอาจพักตัว ก็น่าจะมีประโยชน์เช่นกัน
แม้มิอาจยืนยันได้ว่า มันจะเกิดขึ้น 100%
17 กันยายน 2567 เมื่อ SET ปิดมากกว่าเท่ากับแนว 38.2% ที่ 1434.6917 กันยายน 2567 เมื่อ SET ปิดมากกว่าเท่ากับแนว 38.2% ที่ 1434.69 ในรอบปี 2566-2567 เราอ่านอย่างไร?
ตัวเลขฟีโบนัชชี เป็นตัวเลขอนุกรมหรือลำดับที่เรียงกัน และเรียงกันอย่างมีแบบแผน ค้นพบโดยนักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลีนามว่า Leonardo Pisano หรือรู้จักกันกว้างขวางในนามว่า Fibonacci
Fibonacci Retracement คือ หนึ่งในประเภทของ Fibonacci Indicator ที่สามารถหาจุดพักตัวของราคา จุดกลับตัวของราคา จุดทำกำไร (Take Profit) ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
ถูกใช้ในการวิเคราะห์กราฟ เพื่อคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต ด้วยการระบุ Price Level ล่วงหน้า ยิ่งนักลงทุนที่ต้องใช้แนวรับและแนวต้านเป็นสิ่งสำคัญในการส่งสัญญาณเกี่ยวกับการกลับตัว (Breakout)
โดย Fibonacci จะเป็นการการใช้ Price Level อ้างอิงระดับราคาย้อนหลัง
ซึ่งปัจจุบันนี้ก็มีนักลงทุนจำนวนมากที่ใช้อัตราส่วนทองคำ ในการคำนวณแนวรับและแนวต้าน เพื่อเป็นตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุน
ตัวอย่าง ตัวเลข Fibonacci
ตัวเลข Fibonacci ที่ได้มาคือ 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13, 21, 34, 55, 89, 144, 233…. ไม่มีสิ้นสุด
โดยมีรายละเอียดการคำนวณดังนี้
1, 1, 2 (เกิดจาก 1+1)
3 (เกิดจาก 2+1)
5 (เกิดจาก 2+3)
8 (เกิดจาก 3+5)
13 (เกิดจาก 5+8)
21 (เกิดจาก 8+13)
34 (เกิดจาก 13+21)
55 (เกิดจาก 21+34)
89 (เกิดจาก 34+55)
144 (เกิดจาก 55+89)
233 (เกิดจาก 89+144)
นอกจากนี้ ตัวเลข Fibonacci ยังมีคุณสมบัติที่น่าสนใจ เพราะ เลข Fibonacci ตัวหลัง มีค่าออกมาใกล้เคียงกับ 0.618 เสมอ เช่น 144/233 = 0.618
ซึ่งผลลัพธ์จากคุณสมบัติข้างต้นของตัวเลข Fibonacci คือ 0.618, 1.618, 0.382 และ 2.618 ถือเป็นสัดส่วนธรรมชาติ และ 0.618 และ 1.618 คือ สัดส่วนที่เราให้ความสำคัญมากที่สุด หรือที่เรียกกันว่า อัตราส่วนทองคำ
วิธีดูตัวเลข Fibonacci Level ที่ช่วยให้นักลงทุนพิจารณาสำหรับการลงทุน
0 = 0.0%
0.146 = 14.6%
0.236 = 23.6%
0.382 = 38.2%
0.5 = 50.0%
0.618 = 61.8%
0.786 = 78.6%
0.886 = 88.6%
1 = 100.0%
1.272 = 127.2%
1.618 = 161.8%
2.618 = 261.8%
4.236 = 423.6%
กลยุทธ์สำคัญของการพักราคา
และการใช้ เลข Fibonacci Retracement จะมีค่า Fibonacci ที่สำคัญอยู่ 3 โซน ได้แก่
โซนเริ่มต้นเปลี่ยนแนวโน้ม
ค่า Fibonacci คือ 14.6 = ราคาปิดเหนือแนวนี้
ค่า Fibonacci คือ 23.6 = แนวต่อไปในการเคลื่อนตัวต่อเนื่อง
โซนที่สองของโอกาสเปลี่ยนแนวโน้ม
กรณีขึ้นมาก่อนแล้วพักตัว ให้ไล่เรียง 61.8,50 และ 38.2 หากเป็นแนวโน้มลงมาก่อนให้ไล่เรียง 38.2,50 และ 61.8
ค่า Fibonacci คือ 61.8 = จุดพักตัวที่ 1 ราคามักจะมีการพักตัวบริเวณนี้
ค่า Fibonacci คือ 50.0 = จุดพักตัวที่ 2 ในกรณีที่ราคาหลัดจุดพักตัวที่ 1 ลงมาได้
ค่า Fibonacci คือ 38.2 = จุดพักตัวที่ 3 หากราคามีแนวโน้มที่แข็งแรงจะไม่สามารถลงมาถึงจุดที่ 3 ได้ แต่ถ้าหากสามารถลงมาถึงจุดนี้ได้ หมายความว่า ราคามีโอกาสกลับตัวสูง
ในทำนองเดียวกัน ในแนวโน้มลงมาก่อน เมื่อราคากลับขึ้นมาปิดเหนือแนว 38.2% ซึ่งเป็นเหตุการณ์ปัจจุบันในตอนนี้ก็จะอ่านได้ว่ามีแนวโน้มเปลี่ยนทิศทางจากลงไปเป็นขึ้นได้ต่อเนื่อง
โซนที่สามของโอกาสเปลี่ยนแนวโน้ม
ค่า Fibonacci คือ 78.6 = ราคาปิดเหนือแนวนี้
ค่า Fibonacci คือ 88.6 = แนวต่อไปในการเคลื่อนตัวต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามการใช้เครื่องมือ Fibonacci ในการวิเคราะห์ทิศทางของกราฟราคา โดยหลักการแนวรับ-แนวต้าน และ Golden Ratio ซึ่งประเภทของ Fibonacci ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เป็นการวัดรอบการแกว่งตัวของราคาเพื่อหาจุดกลับตัวของรอบ ซึ่งสามารถใช้จับจังหวะในการซื้อขาย และยิ่งถ้าไปใช้ประกอบกับเครื่องมืออื่นอย่างเช่น การดู Elliott Wave, Harmonic Pattern และ TD SEQUENTIAL ก็จะยิ่งทวีความมีประสิทธิภาพในการลงทุนขึ้นไปอีกด้วยเช่นเดียวกัน
สุดท้ายแล้วผู้ลงทุนจะเลือกลงทุนแบบไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดจะต้อง คิด วิเคราะห์ แล้วเตรียมรับผลตอบแทนและความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจ
SET 09/09/24 ยังไม่มี สญ.กลับลง เฝ้าระวังการย่อ จากอยู่โซนย่อได้กรณีขึ้น
- ถ้าเบรค high ไม่หลุด 1352
- จาก 60 ขึ้นสุด อาจมี os ได้ก่อน ถ้ายัง HH HL ก็ยังมีหัวพุ่งขึ้นต่อได้
.
กรณีลง
- จากราคาอยู่โซน 60 สุด + D 261.8 + rsi sto ob = เฝ้าระวัง os เมื่อมี สญ.กลับตัว
- ถ้าหลุด 1352 ลึกไม่น่าเกิด น่าจะฟอร์มหัวยก os สูงขึ้นมาก่อน ถ้าจะกลับลง
..................................
W : คาดทำ w.4 จบ
- จาก hi+bulldi.+ ts = ob
- จาก D มีหัวขึ้น(หัก)
- ถ้าลงเทส os ไม่หลุด 1273 = กลับตัวขึ้น
- ล่าสุดกำลังดีด ob
D : ดีดขึ้น จากมีหัว(หัก)
- rsi sto ob ขึ้น 261.8 = เฝ้าระวัง os
- มี hi-beardi. แต่ยังไม่มี สญ.กลับลง
- จากขึ้นมาสูง ถ้าลงไม่น่าหลุด
60 : ขาขึ้น HH HL
- พุ่งขู่ ขึ้นสุด rsi sto ob = เฝ้าระวัง os
- os low ลึก ถ้าไม่ฟอร์มหัวลงก็ยังขึ้นต่อ