SET ไอเดียในการเทรด
SET Entry 2025-2028 (Sideway) นี้เป็นการมองตลาด SET โดยรวมเป็น Sideway คาดว่าตลาดจะเป็นแบบนี้ไปถึงปี2028 ในการวิเคราะห์ราคาในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2025 ราคาได้เดินทางมาโซนสำคัญคือ 0.618 ราคา 1260 ราคาจะเกิดPullbackในระยะสั้น+200จุด แล้วกลับตัวลงต่อเพราะในภาพใหญ่ราคายังถูกไม่พอที่รายใหญ่จะเข้าโดยส่วนตัวผมคาดการณ์จุดที่ถูกที่สุดของตลาดSETอยู่ที่ราคา 1050 เป็นโซนที่เหมาะแก่การทะยอยเข้าซื้อ
โดยรวมผมให้แนวรับ2จุดคือ 1260 (คิดว่าราคาแค่Pullback) และ ราคา1050 (โซนสำคัญที่ถูกที่สุด)
นี้ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุนเป็นการคาดการณ์เท่านั้นโปรดศึกษาข้อมูลด้วยตนเองก่อนตัดสินใจลงทุน
HitSL
15/02/2025
สรุปการใช้งาน TD Sequential, TD Aggressive Sequential, และ Comboสรุปการใช้งาน TD Sequential, TD Aggressive Sequential, และ TD Combo
1. TD Sequential™
TD Sequential™ เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการระบุแนวโน้มที่ใกล้จะสิ้นสุดและคาดการณ์จุดกลับตัวของตลาด โดยอาศัยกระบวนการ Setup และ Countdown:
• Setup: เกิดขึ้นเมื่อราคามีการปิดต่ำกว่าหรือสูงกว่าราคาปิดเมื่อ 4 วันก่อนหน้า ติดต่อกัน 9 ครั้ง
o Buy Setup: เกิดขึ้นเมื่อราคาปิดต่ำกว่าราคาปิดเมื่อ 4 วันก่อนหน้า 9 ครั้ง
o Sell Setup: เกิดขึ้นเมื่อราคาปิดสูงกว่าราคาปิดเมื่อ 4 วันก่อนหน้า 9 ครั้ง
• Countdown: หลังจาก Setup เสร็จสมบูรณ์ ระบบจะเริ่มนับ Countdown 13 ครั้ง ซึ่งพิจารณาจากราคาปิดปัจจุบันเปรียบเทียบกับราคาสูงสุด/ต่ำสุดเมื่อ 2 วันก่อนหน้า
o ถ้านับถึง 13 ถือเป็นสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้ม (เช่น ตลาดอาจลงถึงจุดต่ำสุด หรือขึ้นถึงจุดสูงสุด)
o หากราคาไม่ถึงจุดที่กำหนด ระบบอาจทำการ Recycling เพื่อเริ่มต้นนับใหม่。
TD Sequential™ ถูกออกแบบมาให้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเข้าและออกตลาดก่อนที่แนวโน้มจะสิ้นสุด โดยเน้นไปที่โซนที่แนวโน้มมีโอกาสหมดแรงมากที่สุด
________________________________________
2. TD Aggressive Sequential™
TD Aggressive Sequential™ เป็นเวอร์ชันที่ปรับปรุงจาก TD Sequential เพื่อให้เหมาะสมกับตลาดที่มีความผันผวนสูงขึ้น โดยลดเงื่อนไขบางประการของ Countdown:
• ปกติ TD Sequential จะใช้ราคาปิดในการเปรียบเทียบ แต่ TD Aggressive Sequential ใช้ ราคาต่ำสุด (Low) และราคาสูงสุด (High) ในการเปรียบเทียบแทน
• ตัวอย่าง:
o Buy Countdown: เปรียบเทียบราคาต่ำสุดปัจจุบันกับราคาต่ำสุดเมื่อ 2 วันก่อน
o Sell Countdown: เปรียบเทียบราคาสูงสุดปัจจุบันกับราคาสูงสุดเมื่อ 2 วันก่อน
o หากราคาต่ำสุดของ Countdown 13 ต่ำกว่าราคาปิดของ Countdown 8 → Buy Signal
o หากราคาสูงสุดของ Countdown 13 สูงกว่าราคาปิดของ Countdown 8 → Sell Signal。
TD Aggressive Sequential ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถได้สัญญาณเร็วขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เนื่องจากใช้เงื่อนไขที่อ่อนไหวต่อความผันผวนของตลาด
________________________________________
3. TD Combo™
TD Combo™ เป็นเครื่องมือที่คล้ายกับ TD Sequential™ แต่ใช้หลักเกณฑ์ที่แตกต่างในการระบุสัญญาณกลับตัวของตลาด:
• TD Combo Setup คล้ายกับ TD Sequential โดยต้องมี 9 วันของราคาปิดที่ต่ำกว่าหรือสูงกว่าราคาปิดเมื่อ 4 วันก่อนหน้า
• TD Combo Countdown:
o เริ่มต้นนับ Countdown ตั้งแต่วันแรกของ Setup (แทนที่จะเริ่มหลังจาก Setup เสร็จสมบูรณ์แบบ TD Sequential)
o นับ Countdown โดยใช้เกณฑ์ ราคาปิดต้องต่ำลงเรื่อยๆ (Buy Signal) หรือสูงขึ้นเรื่อยๆ (Sell Signal)
o TD Combo Countdown สิ้นสุดเมื่อถึง 13 ครั้ง
o มีเงื่อนไข Termination Count ซึ่งอนุญาตให้ใช้ราคาเปิดแทนราคาปิดในการคำนวณ Countdown。
TD Combo™ มักใช้ควบคู่กับ TD Sequential™ เพื่อยืนยันสัญญาณว่าการกลับตัวของตลาดกำลังจะเกิดขึ้นจริง
________________________________________
สรุปความแตกต่างของแต่ละเครื่องมือ
Indicator หลักการทำงาน การใช้งานหลัก
TD Sequential ใช้ Setup 9 วัน และ Countdown 13 วัน โดยใช้ราคาปิด ระบุจุดกลับตัวของตลาด
TD Aggressive Sequential ใช้ราคาสูงสุด/ต่ำสุดแทนราคาปิด และปรับ Countdown ให้เร็วขึ้น ใช้ในตลาดที่มีความผันผวนสูง
TD Combo เริ่ม Countdown ตั้งแต่วันแรกของ Setup และใช้เงื่อนไขที่เข้มงวดขึ้น ยืนยันสัญญาณของ TD Sequential
TD Sequential และ TD Combo มักถูกใช้ร่วมกันเพื่อให้สัญญาณกลับตัวที่แม่นยำมากขึ้น ในขณะที่ TD Aggressive Sequential ออกแบบมาเพื่อตลาดที่เคลื่อนไหวเร็วและต้องการสัญญาณที่เร็วกว่า
ตลาดหุ้นไทยทดสอบ Fibonacci 14.6% แล้วดีดขึ้นทุกครั้ง รอดูต่อไป ตลาดหุ้นไทยทดสอบ Fibonacci 14.6% แล้วดีดขึ้นทุกครั้ง รอดูต่อไป
สัดส่วน Fibonacci Ratio 14.6% ไม่ได้เป็นหนึ่งในสัดส่วน Fibonacci ที่นิยมใช้ตามตำรา "ดั้งเดิม" (เช่น 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8%, และ 78.6%) ที่มาจากลำดับตัวเลข Fibonacci โดยตรง
แต่สามารถอธิบายได้จากการคำนวณในลักษณะเดียวกันกับการหาสัดส่วน Fibonacci อื่น ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้าง "อัตราส่วนย้อนกลับ" (Retracement Ratios)
โดยการคำนวณดังนี้:
________________________________________
การคำนวณ Fibonacci Retracement 14.6%
สัดส่วนนี้เกิดจากการคำนวณเชิงคณิตศาสตร์โดยใช้สูตร (1 - Golden Ratio)^2 ซึ่งเชื่อมโยงกับอัตราส่วนทองคำ (Golden Ratio):
1. อัตราส่วนทองคำ (Golden Ratio)
ϕ ≈ 1.618
และค่า "กลับด้าน" ของมัน:
1/ϕ ≈ 0.6181
2. คำนวณระดับ 14.6%
สัดส่วน 14.6% มาจากการยกกำลังของ (1 - ϕ)^2
(1−0.618)2=0.146 หรือ 14.6%
________________________________________
ที่มาและเหตุผลทางคณิตศาสตร์
1. ลำดับฟีโบนัชชี (Fibonacci Sequence):
o ตัวเลขในลำดับนี้คือ: 0, 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13, 21, 34
o แต่ละตัวเลขในลำดับใกล้เคียงกับการคูณอัตราส่วนทองคำ เช่น 13/21 ≈ 0.618
2. ความสัมพันธ์ในฟีโบนัชชี:
o ระดับ Fibonacci เช่น 23.6%, 38.2% ฯลฯ เกิดจากการคำนวณโดยใช้ ϕ ในลักษณะต่าง ๆ
o ระดับ 14.6% เกิดจากการใช้ฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์เพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับการลดระดับลึกลงไปในระดับการย้อนกลับ (retracement) ที่ตื้นที่สุด
________________________________________
ความสำคัญในตลาดการเงิน
ในเชิงปฏิบัติ สัดส่วน 14.6% เป็น การย้อนกลับตื้น (shallow retracement) ซึ่งมีประโยชน์ในกรณีที่ตลาดอยู่ใน แนวโน้มที่แข็งแกร่งมาก และราคามักจะปรับตัวลงเล็กน้อยก่อนที่จะกลับไปในทิศทางเดิม
ตัวเลขนี้ไม่ใช่สัดส่วนที่ "มาตรฐาน" แบบ 23.6% หรือ 38.2% แต่ในตลาดที่ซับซ้อนขึ้น สัดส่วนนี้ได้รับความสนใจจากเทรดเดอร์บางกลุ่มที่ต้องการค้นหาจุดเข้า-ออกในช่วงการเคลื่อนไหวของราคาที่เล็กลง.
________________________________________
สรุป
Fibonacci Ratio 14.6% มาจากการคำนวณ (1 - Golden Ratio)^2 โดยเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์ในลำดับ Fibonacci และอัตราส่วนทองคำ มันถูกนำมาใช้ในบางกรณีที่ตลาดมีแนวโน้มแข็งแกร่ง และการย้อนกลับที่ตื้นเป็นจุดที่เหมาะสำหรับการตัดสินใจลงทุน
SET หลักการ TD Aggressive Count:การใช้หลักการของ TD Aggressive Count ตามแนวคิดของ Thomas DeMark เพื่อตรวจสอบกราฟ SET ในภาพนี้สามารถทำได้ดังนี้:
1. หลักการ TD Aggressive Count:
• TD Aggressive Count เป็นระบบที่อาศัยการนับรอบ (Count) ของแท่งเทียนทั้งในขาขึ้นและขาลง โดยมุ่งเน้นที่จุดกลับตัวสำคัญ (Reversal Points) หรือสัญญาณที่จะยืนยันแนวโน้ม
• การนับจะเกิดจาก:
o Setup Phase (1-9): นับเมื่อราคาเคลื่อนไหวต่อเนื่องไปในทิศทางเดียว โดยเปรียบเทียบราคาปิดของแท่งที่กำลังนับกับแท่งก่อนหน้า (เช่น ปิดสูงกว่าหรือต่ำกว่าตามกฎ)
o Countdown Phase (1-13): เกิดขึ้นหลังจาก Setup Phase เมื่อราคายืนยันแนวโน้มด้วยการสร้าง "แท่งยืนยัน" ซึ่งราคาปิดต่ำกว่า/สูงกว่า 2 แท่งก่อนหน้า
________________________________________
2. วิเคราะห์ภาพ:
Setup Phase (1-9):
• บนกราฟสามารถสังเกตได้ว่ามีตัวเลขตั้งแต่ 1 ถึง 9 แสดงถึงการสิ้นสุด Setup Phase (ตามเงื่อนไขที่ราคาปิดสัมพันธ์กับ 4 แท่งก่อนหน้า)
• ตัวอย่าง:
o ช่วงเดือน 06/2024 มีการนับ 1-9 ในขาลงที่ชัดเจน ก่อนราคาจะหยุดปรับตัวลงและเกิดการปรับฐาน
Countdown Phase (1-13):
• ช่วงที่ตัวเลขนับถึง 13 แสดงถึงการยืนยัน จุดกลับตัวสำคัญ ที่ควรระวัง
• ตัวอย่าง:
o ในเดือน 09/2024 ราคาสร้าง Countdown (13) ในขาขึ้น (ช่วงแนวต้าน 1,506.82) ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงโอกาสกลับตัวในอนาคต
o เช่นเดียวกัน ในเดือน 01/2025 ราคาสร้าง Countdown (13) ในขาลง ที่ใกล้กับแนวรับ 1,334.17
________________________________________
3. สรุปประเด็นสำคัญจากภาพนี้:
• ราคามีการสลับระหว่าง Setup และ Countdown ซึ่งแสดงถึงพฤติกรรมของตลาดในกรอบแนวโน้มระยะกลาง
• การเกิด Countdown (13) ทั้งในขาขึ้นและขาลง ช่วยยืนยันว่าแนวต้านและแนวรับเหล่านี้มีความสำคัญ
• แนวรับปัจจุบัน (1,334.17) อาจเป็นจุดสำคัญในการติดตามการกลับตัวหรือการฟื้นตัวในอนาคต
ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว เปิดเผยสาเหตุตลาดหุ้นไทย "สแตมป์" 14.6เพราะความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว เปิดเผยสาเหตุตลาดหุ้นไทย "สแตมป์" 14.6% ที่นี่
สัดส่วน Fibonacci Ratio 14.6% ไม่ได้เป็นหนึ่งในสัดส่วน Fibonacci ที่นิยมใช้ตามตำรา "ดั้งเดิม" (เช่น 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8%, และ 78.6%) ที่มาจากลำดับตัวเลข Fibonacci โดยตรง
แต่สามารถอธิบายได้จากการคำนวณในลักษณะเดียวกันกับการหาสัดส่วน Fibonacci อื่น ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้าง "อัตราส่วนย้อนกลับ" (Retracement Ratios)
โดยการคำนวณดังนี้:
________________________________________
การคำนวณ Fibonacci Retracement 14.6%
สัดส่วนนี้เกิดจากการคำนวณเชิงคณิตศาสตร์โดยใช้สูตร (1 - Golden Ratio)^2 ซึ่งเชื่อมโยงกับอัตราส่วนทองคำ (Golden Ratio):
1. อัตราส่วนทองคำ (Golden Ratio)
ϕ ≈ 1.618
และค่า "กลับด้าน" ของมัน:
1/ϕ ≈ 0.6181
2. คำนวณระดับ 14.6%
สัดส่วน 14.6% มาจากการยกกำลังของ (1 - ϕ)^2
(1−0.618)2=0.146 หรือ 14.6%
________________________________________
ที่มาและเหตุผลทางคณิตศาสตร์
1. ลำดับฟีโบนัชชี (Fibonacci Sequence):
o ตัวเลขในลำดับนี้คือ: 0, 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13, 21, 34
o แต่ละตัวเลขในลำดับใกล้เคียงกับการคูณอัตราส่วนทองคำ เช่น 13/21 ≈ 0.618
2. ความสัมพันธ์ในฟีโบนัชชี:
o ระดับ Fibonacci เช่น 23.6%, 38.2% ฯลฯ เกิดจากการคำนวณโดยใช้ ϕ ในลักษณะต่าง ๆ
o ระดับ 14.6% เกิดจากการใช้ฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์เพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับการลดระดับลึกลงไปในระดับการย้อนกลับ (retracement) ที่ตื้นที่สุด
________________________________________
ความสำคัญในตลาดการเงิน
ในเชิงปฏิบัติ สัดส่วน 14.6% เป็น การย้อนกลับตื้น (shallow retracement) ซึ่งมีประโยชน์ในกรณีที่ตลาดอยู่ใน แนวโน้มที่แข็งแกร่งมาก และราคามักจะปรับตัวลงเล็กน้อยก่อนที่จะกลับไปในทิศทางเดิม
ตัวเลขนี้ไม่ใช่สัดส่วนที่ "มาตรฐาน" แบบ 23.6% หรือ 38.2% แต่ในตลาดที่ซับซ้อนขึ้น สัดส่วนนี้ได้รับความสนใจจากเทรดเดอร์บางกลุ่มที่ต้องการค้นหาจุดเข้า-ออกในช่วงการเคลื่อนไหวของราคาที่เล็กลง.
________________________________________
สรุป
Fibonacci Ratio 14.6% มาจากการคำนวณ (1 - Golden Ratio)^2 โดยเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์ในลำดับ Fibonacci และอัตราส่วนทองคำ มันถูกนำมาใช้ในบางกรณีที่ตลาดมีแนวโน้มแข็งแกร่ง และการย้อนกลับที่ตื้นเป็นจุดที่เหมาะสำหรับการตัดสินใจลงทุน.
SET 13/01/25 sw down 1352-1410 ถึงมี bulldi.แต่ยังไม่หยุดลงยังไม่มี สญ.หยุดลง
a. จะเริ่มหยุดลงเมื่อเบรค 1371 1385.5 1410
b. หลุด low แล้วเบรคขึ้นแนวต้านได้ ก็จะหยุดลง
c. หลุด 1352 ลงตาม fibo
- ถึงจะมี bulldi 15 60 240 ถ้า ob LH ยังไม่มี สญ.หยุดลง
(-: ขอบคุณสำหรับกดส่งกำลังใจ :-)
ทำให้เห็นการจดบันทึกแผนมีประโยชน์
......................................
D : ขาลงในกรอบ 1273-1506.7 ลง 00
- 240 60 หัวลงลงโซน 00+bulldi. เฝ้า ob เมื่อมีสญ.
60 : ขาลง + bulldi ยังไม่มี สญ.หยุดลง
-15 หัวลง สกปฐ. 1552.4-1371
SET 2568 ยังไหวมั้ย นักลงทุนควรทำยังไงต่อหลังจากย่อมาถึงจุดนี้จากความผันผวนในช่วงเปิดปีที่ผ่านมา SETยืน 1400ไม่อยู่แล้วย่อมาทดสอบ 1361ครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นตลาดก็ผันผวนหนัก +/-10-20 จุดหลายวันติด
จนมาถึงวันนี้ตลาดลงพร้อมกับแรงขายหุ้นกลาง/ใหญ่หลายๆตัวอีกครั้ง ที่สำคัญคือลงมาถึงแนว 1362อีกครั้งจุดนี้คือจุดน่าสนใจ
เพราะแนว 1350-1365คือโซนที่นักลงทุนหลายๆท่านทำการโหลดหุ้นเต็ม 100%ในขาขึ้นรอบที่แล้ว(ช่วง Q3-4) นั่นหมายความว่าแนวนี้คือทุนของขาขึ้นรอบที่แล้ว
ดังนั้นการย่อลงมาทดสอบครั้งแรกจึงมีการเด้งเกิดขึ้น แต่เมื่อไม่สามารถยืนแนว 1400ได้การลงมาทดสอบ 1362ถึงไม่ใช่เรื่องที่เกินความคาดหมาย และหุ้นหลายๆตัวดันลงมาพร้อมกันด้วยทำให้มุมมองที่เคยมองไว้ว่าตลาดจะย่อไปถึง 1300ยังคงอยู่เหมือนเดิม
ฝากนักลงทุนตรวจเช็คหุ้นในพอร์ตและแผนการรับมือนะครับ แล้วฝากติดตามการอัพเดทในครั้งต่อไปเรื่อยๆนะครับ
SET 02/01/25 กรอบ 1361.2-1410 ขาลง ไม่มี สญ.หยุดลง
a. ลงไม่หลุด 1362 ฟอร์มหัวขึ้น ถึงจะเริ่มหยุดลง
b. เบรค 1410 จะมีหัวขึ้น พา 240 หยุดลง
.................................
D : ขาลง กรอบ 1289.3-1506.8
- มีหัวลง 1457.7-1421 ลง 261.8 test 1286.3
240 : ขาลง กรอบ 1289.3-1506.8
- มีหัวลง 1443.2-1487.4 ลง 00
60 : ขาลง เหมือน 240
- กรอบ 1361.2-1410
- ถ้าหลุด 1362 ยังลงตาม fibo
- ถ้าเบรค 1410 จะมีหัวขึ้น
15 : ขาลง กรอบ 1361.2-1410
- ถ้าจะมี สญ.หยุดลง อย่างน้อย 15 ต้องฟอร์มหัวขึ้น
- ถ้าไม่เบรค 1410 ยังลงตาม fibo
วิเคราะห์ SET ด้วย TD SEQUENTIAL + HMASET วิเคราะห์โดยใช้ **TD Sequential** และ **HMA** (Hull Moving Average) ดังนี้:
---
### **1. การวิเคราะห์แนวโน้ม (Trend Analysis)**
#### **Hull Moving Average (HMA):**
- จากภาพ HMA สีเขียวแสดงถึงแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลาง ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดมีแรงซื้อสนับสนุน
- เส้น HMA ยังมีมุมเอียงขึ้น ซึ่งยืนยันว่าราคาโดยรวมยังคงอยู่ในทิศทางบวก แม้ว่าจะมีการพักตัวเล็กน้อย
---
### **2. TD Sequential:**
#### **สัญญาณ Setup และ Countdown**
- **เลข 9 สีเขียว (ช่วงซ้าย)**: หมายถึงการเกิด Overextended (จุดที่แนวโน้มขาลงเริ่มหมดแรง) และอาจเกิดการกลับตัว (Reversal) ซึ่งจากภาพ ราคาเริ่มฟื้นตัวหลังจากเกิดเลข 9 ในช่วงก่อนหน้า
- **ตัวเลข 1, 2, 3, และ 4 (บริเวณขวา)**:
- TD Sequential กำลังเริ่มเข้าสู่ "Setup Phase" ใหม่ (นับตัวเลข 1-9)
- ช่วงนี้บ่งชี้ว่าแนวโน้มขาขึ้นกำลังอยู่ในช่วงสะสมแรง แต่ยังไม่ครบ 9 แท่ง (ยังไม่มี Overbought ในรอบนี้)
---
### **3. การวิเคราะห์แนวรับ-แนวต้าน (Support & Resistance)**
จากภาพ มีการแสดง **Pivot Points** (Traditional Quarterly) ซึ่งช่วยระบุจุดแนวรับและแนวต้านสำคัญ:
- **R1 (1380.99):** ทำหน้าที่เป็นแนวต้านสำคัญ แต่ดูเหมือนราคาจะยังไม่สามารถผ่านไปได้
- **P (Pivot ที่ 1397.90):** เป็นแนวต้านหลัก และราคาปัจจุบันอยู่ต่ำกว่าระดับนี้ ซึ่งบ่งชี้ถึงแรงขายในระยะสั้น
- **S1 (1324.10):** แนวรับที่น่าจับตามอง หากราคาปรับตัวลงมาต่ำกว่าเส้น HMA
---
### **4. สัญญาณการเทรด**
#### **กรณีขาขึ้น (Bullish)**
- หากราคาสามารถกลับขึ้นไปเหนือเส้น Pivot (1397.90) และยังอยู่เหนือเส้น HMA สีเขียว แนวโน้มขาขึ้นอาจยืนยันตัวเอง
- รอ TD Sequential นับถึง 9 ใน "Setup Phase" เพื่อพิจารณาการขาย (Overbought)
#### **กรณีขาลง (Bearish)**
- หากราคาปิดต่ำกว่า HMA สีเขียว และต่ำกว่าแนวรับสำคัญที่ S1 (1324.10) ตลาดอาจเข้าสู่แนวโน้มขาลงในระยะกลาง
- TD Sequential นับย้อนกลับไปยัง 1-9 อาจเกิด "Oversold" หากถึงจุดเลข 9 สีแดง
---
### **5. กลยุทธ์การเทรด**
#### **Short-Term Strategy (ระยะสั้น)**
- ติดตามการทะลุผ่าน Pivot (1397.90): หากราคาเบรกขึ้นไป อาจเป็นสัญญาณซื้อ
- ใช้ HMA เป็นตัวกรอง: หากราคาปิดต่ำกว่า HMA สีเขียว ให้พิจารณาหลีกเลี่ยงการเข้าซื้อ
#### **Long-Term Strategy (ระยะยาว)**
- ดูการนับตัวเลขของ TD Sequential: หากนับถึงเลข 9 (Overbought/Oversold) ในช่วงแนวรับหรือแนวต้านสำคัญ ใช้เป็นจุดตัดสินใจเข้าหรือออกจากตลาด
- ใช้แนวรับ S1 (1324.10) เป็นจุด Stop Loss ในกรณีที่เกิดการ Breakout ลง
---
### **สรุป**
- **แนวโน้มปัจจุบัน:** ตลาดอยู่ในช่วงพักตัว (Consolidation) ภายใต้แนวโน้มขาขึ้นระยะกลาง (ตาม HMA สีเขียว)
- **สัญญาณ TD Sequential:** กำลังเข้าสู่รอบใหม่ (Setup Phase) ที่ยังไม่ครบ 9 แท่ง
- **กลยุทธ์:** ใช้ HMA และ Pivot Point เป็นแนวรับแนวต้าน และรอ TD Sequential ยืนยันสัญญาณที่ชัดเจนก่อนการตัดสินใจ
แนวคิดและทฤษฏี
การใช้งาน **TD Sequential** ร่วมกับ **HMA (Hull Moving Average)** ถือเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจสำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิค เพราะทั้งสองเครื่องมือมีเป้าหมายแตกต่างกัน แต่สามารถเสริมกันเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจได้:
---
### 1. **TD Sequential: การใช้งานและจุดเด่น**
TD Sequential เป็นเครื่องมือที่พัฒนาโดย **Tom DeMark** ซึ่งใช้เพื่อระบุจุดกลับตัวของราคา (reversal points) โดยเฉพาะในตลาดที่มีแนวโน้ม (trending market) และตลาดที่กำลังเข้าสู่ภาวะพักตัว (consolidation phase)
- **โครงสร้างของ TD Sequential:**
- **Setup Phase (1-9):** ใช้ตัวเลข 9 แท่งเพื่อระบุแนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคา (uptrend/downtrend)
- **Countdown Phase (1-13):** ใช้ตัวเลข 13 แท่งเพื่อติดตามภาวะ "หมดแรง" ของแนวโน้ม
- **การใช้งานหลัก:**
- สัญญาณซื้อ: เมื่อ TD Sequential Setup จบลงที่ 9 (Overbought) หรือ Countdown จบที่ 13
- สัญญาณขาย: เมื่อ Setup หรือ Countdown ให้ค่า Overextended (Oversold)
---
### 2. **HMA (Hull Moving Average): การใช้งานและจุดเด่น**
HMA เป็น Moving Average ที่ออกแบบมาเพื่อลดความล่าช้า (lag) และยังมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม ซึ่งเหมาะสำหรับการวิเคราะห์ทิศทางราคาในระยะสั้นถึงกลาง
- **จุดเด่นของ HMA:**
- **เปลี่ยนสี:** สามารถปรับเปลี่ยนสีเพื่อบอกสถานะ Bullish หรือ Bearish
- **แนวโน้ม:** ใช้เพื่อตรวจสอบแนวโน้มหลัก (major trend) หรือการกลับตัว (reversal)
---
### 3. **การใช้งาน TD Sequential ร่วมกับ HMA**
การผสมผสาน TD Sequential กับ HMA สามารถช่วยในการระบุ **จุดเข้าซื้อ (entry point)** และ **จุดขาย (exit point)** ได้อย่างมีประสิทธิภาพ:
#### ขั้นตอนการใช้งาน:
1. **วิเคราะห์แนวโน้มด้วย HMA:**
- หาก HMA มีทิศทางขาขึ้น (สีเขียวหรือสูงกว่าราคา) ให้มองหาโอกาสซื้อ
- หาก HMA มีทิศทางขาลง (สีแดงหรือต่ำกว่าราคา) ให้มองหาโอกาสขาย
2. **ใช้ TD Sequential ระบุจุดกลับตัว:**
- หาก HMA อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น และ TD Sequential Setup ถึงเลข 9 หรือ Countdown ถึง 13 ให้เตรียมขาย (จุดกลับตัวหรือ Overbought)
- หาก HMA อยู่ในแนวโน้มขาลง และ TD Sequential Setup ถึงเลข 9 หรือ Countdown ถึง 13 ให้เตรียมซื้อ (จุดกลับตัวหรือ Oversold)
3. **ยืนยันด้วยการ Breakout ของ HMA:**
- หากราคาทะลุ HMA หลังจากที่ TD Sequential ส่งสัญญาณกลับตัว ถือเป็นจุดเข้าออกที่แข็งแกร่ง
---
### 4. **ตัวอย่างเชิงปฏิบัติ**
สมมติว่าคุณกำลังดูกราฟ Bitcoin บน Timeframe 4H:
- **HMA**: เป็นสีเขียว (ขาขึ้น)
- **TD Sequential**: Setup Phase จบที่ 9
- **กลยุทธ์:**
- ถ้าราคาอยู่ใกล้แนวต้านสำคัญและ TD Sequential ให้สัญญาณ Overbought → เตรียม Short หรือรอ Pullback
- ถ้าราคาไม่สามารถทะลุ HMA ได้ → ใช้ HMA เป็นแนวต้านในการตั้งจุดขาย
---
### 5. **ข้อดีและข้อจำกัด**
- **ข้อดี:**
- TD Sequential ช่วยระบุจุดกลับตัวที่อาจเกิดขึ้น
- HMA ลดสัญญาณหลอก (false signals) ด้วยการให้แนวโน้มที่ชัดเจน
- **ข้อจำกัด:**
- TD Sequential อาจไม่แม่นยำในตลาดที่ผันผวน (volatile)
- HMA อาจเกิดความล่าช้าในช่วงที่ราคากลับตัวอย่างรวดเร็ว
---
**สรุป:**
การใช้ TD Sequential ร่วมกับ HMA ช่วยให้คุณสามารถมองเห็นจุดกลับตัวที่แม่นยำมากขึ้น โดย TD Sequential จะระบุจุดอิ่มตัวของแนวโน้ม ในขณะที่ HMA ช่วยให้คุณเข้าใจแนวโน้มในภาพรวม ทั้งนี้ควรใช้ควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมเสมอ!
26 ธ.ค.67 วิธีนับ TD COMBO ใน SET 120MIN
**TD Combo** มีความแตกต่างจาก TD Sequential (Original) อย่างชัดเจนในส่วนของการเริ่มต้น
**Countdown Phase** ซึ่งใน TD Combo **Countdown Phase เริ่มต้นพร้อมกับ Setup Phase**
เป็นการนับที่เกิดขึ้นควบคู่กันตั้งแต่เริ่มต้น Setup Phase ไม่เหมือน TD Sequential Original ที่ Countdown จะเริ่มหลังจาก Setup Phase จบลง (ครบ 9 แท่ง)
### การนับ TD Combo ที่ถูกต้อง
TD Combo ยังคงแบ่งออกเป็น 2 เฟส คือ **Setup Phase** และ **Countdown Phase** แต่ลักษณะและเงื่อนไขแตกต่างจาก TD Sequential Original ในหลายแง่ ดังนี้:
---
### 1. **Setup Phase (9 Setup)**
**กฎการนับ Setup Phase:**
1. ราคาปิดของแต่ละแท่งเทียนต้อง:
- **ต่ำกว่า** ราคาปิดของแท่งที่ 4 ก่อนหน้า (ในขาลง) หรือ
- **สูงกว่า** ราคาปิดของแท่งที่ 4 ก่อนหน้า (ในขาขึ้น)
2. การนับจะต้องเกิดต่อเนื่องจนถึง 9 แท่ง หากมีแท่งเทียนที่ไม่ตรงตามเงื่อนไข การนับจะเริ่มต้นใหม่
3. เมื่อครบ 9 Setup จะสร้าง **TDST Line** ซึ่งเป็นแนวรับ (สำหรับขาขึ้น) หรือแนวต้าน (สำหรับขาลง)
**จุดสำคัญของ Setup Phase ใน TD Combo:**
- Setup Phase ระบุแนวโน้มต่อเนื่องในระยะสั้นและเริ่มต้นการตรวจสอบว่าตลาดอาจเข้าสู่จุดกลับตัวหรือไม่
- ใน TD Combo **Countdown Phase เริ่มต้นตั้งแต่แท่งที่ 1 ของ Setup Phase**
---
### 2. **Countdown Phase (13 Countdown)**
**กฎการนับ Countdown Phase (ใน TD Combo):**
1. Countdown เริ่มต้นพร้อมกับ Setup Phase (ตั้งแต่แท่งแรกของ Setup)
2. ราคาปิดของแท่งที่ถูกนับใน Countdown ต้อง:
- **ต่ำกว่า** ราคาปิดของแท่งที่ 2 ก่อนหน้า (ในขาลง) หรือ
- **สูงกว่า** ราคาปิดของแท่งที่ 2 ก่อนหน้า (ในขาขึ้น)
3. แท่งที่ถูกนับใน Countdown **สามารถเป็นแท่งเดียวกันกับที่อยู่ใน Setup Phase ได้** (แตกต่างจาก TD Sequential Original)
4. การนับ Countdown จะต้องครบ 13 แท่ง โดยไม่จำเป็นต้องต่อเนื่อง หากเงื่อนไขกลับมาตรง สามารถนับต่อได้
5. การทำลาย TDST Line จะทำให้การนับ Countdown Phase เป็นโมฆะ
**เป้าหมายของ Countdown Phase ใน TD Combo:**
- ระบุจุดที่ตลาดเข้าสู่จุดอิ่มตัว (Exhaustion) ทั้งในขาขึ้นและขาลง
- การนับ 13 Countdown ที่เกิดพร้อม Setup Phase ทำให้ TD Combo มีความเข้มงวดและแม่นยำมากขึ้น
---
### ตัวอย่างการนับ TD Combo
#### กรณีขาลง (Downtrend):
- **Setup Phase**:
- นับ 9 แท่งเทียนที่ราคาปิดแต่ละแท่ง **ต่ำกว่า** ราคาปิดของแท่งที่ 4 ก่อนหน้า
- **Countdown Phase**:
- ในขณะที่ Setup กำลังดำเนินการ หากแท่งเทียนใดมีราคาปิด **ต่ำกว่า** ราคาปิดของแท่งที่ 2 ก่อนหน้า จะนับเป็น 1 Countdown
- นับจนกว่าจะครบ 13 Countdown โดยสามารถทับซ้อนกับ Setup ได้
#### กรณีขาขึ้น (Uptrend):
- **Setup Phase**:
- นับ 9 แท่งเทียนที่ราคาปิดแต่ละแท่ง **สูงกว่า** ราคาปิดของแท่งที่ 4 ก่อนหน้า
- **Countdown Phase**:
- ในขณะที่ Setup กำลังดำเนินการ หากแท่งเทียนใดมีราคาปิด **สูงกว่า** ราคาปิดของแท่งที่ 2 ก่อนหน้า จะนับเป็น 1 Countdown
- นับจนกว่าจะครบ 13 Countdown โดยสามารถทับซ้อนกับ Setup ได้
---
### ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง TD Combo และ TD Sequential Original
**การเริ่มต้น Countdown** | เริ่มต้นหลัง Setup Phase (9 Setup) เสร็จ | เริ่มต้นพร้อมกับ Setup Phase
---
### สรุป
การนับ **TD Combo** มีลักษณะเฉพาะที่สำคัญคือ:
1. **Countdown Phase เริ่มต้นพร้อมกับ Setup Phase** ตั้งแต่แท่งแรก
2. แท่งที่ถูกนับใน Countdown Phase สามารถเป็นแท่งเดียวกับที่อยู่ใน Setup Phase ได้
3. Countdown Phase มุ่งเน้นการระบุจุดอิ่มตัว (Exhaustion) ด้วยเงื่อนไขที่แตกต่างจาก TD Sequential Original
January Effect จากสถิติ 14 ปี เกิดปรากฏการณ์นี้ในเซต 9 ปีJanuary Effect "จากสถิติย้อนหลัง 14 ปี พบว่าตลาดหุ้นไทยเกิดปรากฏการณ์นี้ใน 9 ปี"
หากใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคอลร่วมด้วย เมื่อดัชนีปิดในกรอบ 23.6-38.2 หรือ 1372.96-1434.69 โอกาสเกิด "January Effect" มีความเป็นไปได้ หากระบุเฉพาะเจาะจงละเอียดกว่านั้น KEY LEVEL คือ 1408.17 จะเป็นตำแหน่งยืนยัน Bull Run ต่อเนื่อง
หมายเหตุ 1408.17 คือ ดัชนีปิดสิ้นวันเมื่อ 10 เม.ย.2567 ดู กราฟประกอบด้านล่าง
ในช่วงปลายปี นักลงทุนมักให้ความสนใจกับปรากฏการณ์ "Santa Claus Rally" และ "January Effect" ซึ่งอาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย
Santa Claus Rally
"Santa Claus Rally" หมายถึงการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคมถึงต้นเดือนมกราคม ปัจจัยที่อาจส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์นี้ ได้แก่ การปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อประโยชน์ทางภาษี การใช้โบนัสสิ้นปีในการลงทุน และสภาพคล่องที่ลดลงเนื่องจากนักลงทุนบางส่วนหยุดพักผ่อน
January Effect
"January Effect" เป็นทฤษฎีที่เชื่อว่าราคาหุ้นมักปรับตัวขึ้นในเดือนมกราคม สาเหตุอาจมาจากนักลงทุนขายหุ้นในเดือนธันวาคมเพื่อประโยชน์ทางภาษี แล้วกลับมาซื้อใหม่ในเดือนมกราคม จากสถิติย้อนหลัง 14 ปี พบว่าตลาดหุ้นไทยเกิดปรากฏการณ์นี้ใน 9 ปี
สถานการณ์ปัจจุบัน
ในปีนี้ ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนจากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ แม้ว่าจะมีโอกาสเกิด "Santa Claus Rally" และ "January Effect" แต่ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะเกิดขึ้นเสมอไป นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของบริษัทและสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมก่อนตัดสินใจลงทุน
หากใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคอลร่วมด้วย เมื่อดัชนีปิดในกรอบ 23.6-38.2 หรือ 1372.96-1434.69 โอกาสเกิด "January Effect" มีความเป็นไปได้ หากระบุเฉพาะเจาะจงละเอียดกว่านั้น KEY LEVEL คือ 1408.17 จะเป็นตำแหน่งยืนยัน Bull Run ต่อเนื่อง
หมายเหตุ 1408.17 คือ ดัชนีปิดสิ้นวันเมื่อ 10 เม.ย.2567
ข้อควรระวัง
แม้ว่าปรากฏการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่ไม่ควรใช้เป็นเกณฑ์หลักในการตัดสินใจลงทุน ควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ผลประกอบการของบริษัท สถานการณ์เศรษฐกิจ และข่าวสารที่อาจส่งผลต่อตลาด
สรุปแล้ว แม้ว่าจะมีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นในช่วงปลายปีและต้นปีหน้า แต่การลงทุนควรพิจารณาปัจจัยหลายด้านและไม่ควรพึ่งพาปรากฏการณ์เหล่านี้เพียงอย่างเดียว ให้ใช้โซนราคาทางเทคนิคอลตามที่ระบุไว้ ในการตัดสินใจ
Dec 20, 2024. SETSET : กับมามองตลาดภาพรวม ตลาดอดีตที่ผ่านมา คิด วิเคราะห์ แยกแยะ และ ตอบสนองอย่างไรลองคิดนะ
วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518(1975) กำเนิด ตลาดหลักทรัพย์แห่ง ประเทศไทย The Securities Exchange of Thailand
วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2534 (1991)เปลี่ยนเป็น The Stock Exchange of Thailand (SET)
ปี 2522 (1979) วิกฤตการณ์ราคาน้ำมัน การขาดดุล ดัชนีเหลือ 106 จุด ปลายปี 2524(1981)
ปี 2526-2528 (1983-1985) วิกฤติทรัสต์ล้ม ปี 2528(1985) ดัชนีอยู่ที่ 134 จุด
ปี 2530 (1987) เหตุการณ์ Black Monday 11 ธ.ค. 2530(1987) ดัชนีอยู่ที่ 243จุด
ปี 2533 (1990) สงครามอ่าวเปอร์เซีย 30 พ.ย. 2533(1990) ดัชนีอยู่ที่ 544 จุด
ปี 2535 (1992) เหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ ดัชนีอยู่ที่ 667 จุด
ปี 2540 (1997) ประกาศ ลอยตัวค่าเงินบาท มิ.ย. 2540 (1997) ดัชนีต่ำสุดที่ระดับ 457 จุด
ปี 2544 (2001) เหตุการณ์ วินาศกรรมสหรัฐ 911 ดัชนีลงมาที่ 266 จุด
ปี 2549 (2006) มาตรการแบงค์ชาติ ปิดตลาดที่ 622 จุด ลดลง 108 จุด
ปี 2551 (2008) วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ เลแมน บราเดอร์สยังล้ม 26 พ.ย. แตะที่ 380 จุด
เกิดหนักๆ ระยะห่างประมาณ 10 ปี
ปี 2557 (2014) คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ(คสช) รัฐประหาร
ปี 2558 (2015) วิกฤตตลาดหุ้นจีน
ปี 2559-2561(2016-2018)
ปี 2562(2019) สงครามการค้า จีน-สหรัฐ
ปี 2562-2563 (2019-2020) วิกฤต COVID 19, 13 มี.ค.2563 (2020) ดัชนีอยู่ที่ 968.29 จุด
สิ่งสำคือรักษาเงินทุนของคุณเอาไว้ก่อนเสมอ มองหาโอกาสที่เกิดขึ้นในวิกฤต หาความรู้เพิ่มเติมเสมอ อย่าเอามือไปรีบมีดที่กำลังหล่นร่วงลงพื้น หาเหตุผลในการ ลงทุน ร่วมทุน หรือ เก็งกำไรในบริษัทที่กำลังสนใจ margin of safety ของคุณคือตรงไหน ตัดขาดทุนเท่าไร ถัวเฉลี่ย อย่างไร ทุกอย่างถ้ายังตอบตัวเองไม่ได้ กำเงินไว้ก่อนไม่ต้องรีบ
แผนการเทรดตลาดหุ้นไทย (20 ธ.ค. 2567 - 6 ม.ค. 2568) โพสต์ 09:09แผนการเทรดตลาดหุ้นไทย (20 ธ.ค. 2567 - 6 ม.ค. 2568) โพสต์เวลา 09:09
1. การวิเคราะห์โซนเวลา (สำคัญ)
20 ธ.ค. 2567 ช่วงเวลาที่ราคาอาจเกิดการกลับตัวในแนวโน้ม เนื่องจากตรงกับ Fibonacci Time (1.272)
6 ม.ค. 2568 ช่วงเวลาที่ราคามีโอกาสตัดสินทิศทาง (Fibonacci Time 1.618)
กลยุทธ์ จับตาดูการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลานี้ หากราคาทะลุแนวต้านหรือหลุดแนวรับสำคัญ ให้ปรับแผนทันที
---
2. การวิเคราะห์โซนราคา
แนวรับสำคัญ
1,369-1,385 (Fibonacci 88.6% - 78.6%) โดยมี 1374.33 เป็น low ของวันก่อนหน้า 19 ธ.ค.67
1,360 (จุดยอมแพ้): หากหลุด แนวโน้มขาลงจะชัดเจน
แนวต้านสำคัญ
ระยะสั้น 1,411 (Fibonacci 61.8%) ทดสอบความแข็งแกร่งของขาขึ้น
ระยะกลาง 1,447-1,450 โซน Supply ที่อาจเกิดแรงขาย
---
3. แผนการเทรด
1. โซนเข้าซื้อ (Long Entry)
- พิจารณาเปิดสถานะ Long ที่ระดับ 1,369-1,374 หากมีสัญญาณกลับตัว (เช่น Bullish Candlestick) TD BUY SETUP8/9
- Stop Loss ตั้งไว้ที่ ต่ำกว่า 1,360
2. โซนขาย (Short Entry) ทำเมื่อดัชนี ดีดตัวขึ้นมาแล้วหมดแรง
- พิจารณาเปิดสถานะ Short หากราคาดีดขึ้นมาถึง 1,411 หรือ 1,447-1,450แต่ไม่สามารถทะลุผ่าน
3. เป้าหมายทำกำไร (Take Profit) กรณีเข้าซื้อ ในกรอบ 1369-1374 แล้ว ดัชนีดีดตัวขึ้นมา
- เป้าหมายแรก 1,411 (ระดับ 61.8%)
- เป้าหมายถัดไป1,447 (Supply Zone)
---
4. การจัดการความเสี่ยง:**
- ใช้ Risk-to-Reward Ratio อย่างน้อย **1:2**
- หากราคาไม่เคลื่อนไหวตามแผน ให้รีบตัดขาดทุน
---
สรุปสั้น ๆ:
**เข้าซื้อ:** 1,369-1,374
**ตัดขาดทุน:** <1,360
หากเป็นไปตามแผน
**เป้าหมายกำไร:** 1,411 และ 1,447 หรือ ถือสถานะต่อเนื่องในแนวโน้มระยะยาวหากยัง Bullish ต่อเนื่อง
SET หลุด 1400 ดาวโจนส์ -1000 กว่าจุด ตลาดหุ้นไทย ยังไงดี?SET หลุด 1400 ดาวโจนส์ -1000 กว่าจุด ตลาดหุ้นไทย ยังไงดี?
ในกราฟที่แสดง มีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) รวมถึงแนวโน้มราคา, โครงสร้างตลาด, และการใช้งาน Fibonacci Retracement และ Time Ratio ที่ช่วยคาดการณ์จุดกลับตัวในอนาคต ต่อไปนี้คือการวิเคราะห์กราฟโดยละเอียด:
---
### 1. **โครงสร้างตลาด (Market Structure)**:
- กราฟนี้แสดงโครงสร้างราคาที่มีการเคลื่อนไหวแบบ **Higher High (H), Lower Low (L)** และ **Retest จุดเดิม (R)** โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้:
- ช่วงที่ตลาดปรับตัวขึ้น: กราฟสร้าง **Higher High (H)** โดยเป็นจุดสูงสุดใหม่
- ช่วงที่ตลาดปรับตัวลง: มีการทะลุแนวรับ (Break of Structure หรือ BOS) และเข้าสู่ช่วงแนวโน้มขาลง
- ช่วง **Retest**: ราคากลับมาทดสอบระดับแนวต้านที่เดิม (บริเวณสีแดง)
---
### 2. **Fibonacci Retracement**:
กราฟนี้แสดงระดับ Fibonacci Retracement ซึ่งช่วยระบุโซนแนวรับ/แนวต้านที่สำคัญ โดยระดับที่เด่นชัดคือ:
- **61.8% (1,411.21):** เป็นโซนที่ราคามักจะเด้งหรือกลับตัว (Good Probability)
- **78.6% (1,385.22):** เป็นโซนแนวรับที่แข็งแกร่ง (Very Good Probability)
- **88.6% (1,369.75):** เป็นโซนสุดท้ายที่มักจะใช้เป็นจุดตัดสินใจ ถ้าราคาทะลุโซนนี้ ตลาดอาจเข้าสู่แนวโน้มขาลงที่ชัดเจน
---
### 3. **Break of Structure (BOS)**:
- จุด BOS (Break of Structure) เป็นบริเวณที่ราคา **ทะลุแนวรับสำคัญ** และบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลง
- การเกิด BOS ในกราฟนี้ยืนยันว่าแนวโน้มขาลงกำลังแข็งแรง
---
### 4. **Time Ratio และวันที่สำคัญ (Fibonacci Time Zone)**:
- วันที่ **20/12/2024** ถูกระบุไว้ในกราฟ ซึ่งอาจเป็นการคาดการณ์จุดกลับตัวสำคัญ โดยสัมพันธ์กับ Fibonacci Time Ratio (0.618, 1.0, 1.618)
- วันที่นี้ถูกใช้เพื่อคาดการณ์ว่าตลาดอาจเริ่มมีการกลับตัวในแนวโน้ม หรือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ
---
### 5. **โซนสภาพคล่อง (Liquidity Zone)**:
- บริเวณสีแดง: เป็นโซนแนวต้านที่ราคาทดสอบซ้ำ (Retest) และเป็นพื้นที่ที่นักลงทุนอาจมองหาการขาย (Sell Area)
- บริเวณสีเขียว: เป็นโซนแนวรับ (Demand Zone) ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ราคาจะเด้งกลับเมื่อมาถึง
---
### 6. **จุดสำคัญในกราฟ (Key Levels)**:
- **แนวต้าน (Resistance):**
- บริเวณที่ราคามีการ Retest และไม่สามารถทะลุขึ้นไปได้ เป็นแนวต้านสำคัญที่บ่งบอกถึงความแข็งแรงของแรงขาย
- **แนวรับ (Support):**
- ระดับ Fibonacci (61.8%, 78.6%, 88.6%) เป็นแนวรับสำคัญที่ราคามักจะมีปฏิกิริยาเมื่อมาถึง
- **ระดับราคาเป้าหมาย (Target Levels):**
- ถ้าราคาทะลุระดับ 1,369.75 (88.6%) ตลาดอาจปรับตัวลงต่อ โดยเป้าหมายถัดไปอาจอยู่ในช่วง 1,344
---
### 7. **การวิเคราะห์การกลับตัว (Reversal Analysis):**
- หากราคาสามารถยืนเหนือระดับ **61.8% (1,411.21)** ได้ อาจมีโอกาสที่แนวโน้มจะกลับมาเป็นขาขึ้นในระยะสั้น
- ถ้าราคาลงไปที่ **78.6% (1,385.22)** หรือ **88.6% (1,369.75)** แต่มีแรงซื้อกลับมา อาจเกิดการเด้งกลับในแนวโน้มขาลง
---
### 8. **กลยุทธ์การเทรด (Trading Strategy)**:
- **สำหรับฝั่งขาย (Short):**
- มองหาการเปิดสถานะขายเมื่อราคาขึ้นไปทดสอบบริเวณแนวต้าน (บริเวณสีแดง) หรือระดับ 61.8%
- **สำหรับฝั่งซื้อ (Long):**
- มองหาการเปิดสถานะซื้อเมื่อราคาลงมาที่ระดับ 78.6% หรือ 88.6% และแสดงสัญญาณการกลับตัว
- **เป้าหมาย (Targets):**
- สำหรับฝั่งซื้อ: เน้นเป้าหมายระยะสั้นในกรอบ Fibonacci Retracement
- สำหรับฝั่งขาย: เป้าหมายที่ระดับ 1,344 หรือต่ำกว่า หากแนวรับถูกทะลุ
---
### สรุป:
กราฟนี้มีการใช้งาน Fibonacci Retracement, Time Ratio และการวิเคราะห์โครงสร้างตลาดอย่างชัดเจนเพื่อคาดการณ์แนวโน้มราคาในอนาคต จุดสำคัญที่ต้องจับตามองคือ:
1. การเคลื่อนไหวของราคาในระดับ Fibonacci 61.8%, 78.6%, และ 88.6%
2. การ Retest ในโซนแนวต้าน
3. วันที่ 20/12/2024 ซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนแปลงสำคัญ
การวางกลยุทธ์ควรพิจารณาแนวรับ/แนวต้านที่สำคัญ และรอคอยการยืนยันจากพฤติกรรมราคาก่อนตัดสินใจเทรด
โอกาสลงจบและเข้าซื้อเกิดที่โซนราคาใด และ เมื่อไหร่
จากการวิเคราะห์ข้อมูลในกราฟ โอกาสเข้าสู่ **โซนซื้อ (Buy Zone)** ขึ้นอยู่กับจุดที่ราคาเคลื่อนที่ถึงแนวรับสำคัญ หรือแสดงสัญญาณกลับตัวในระดับ Fibonacci Retracement ที่สำคัญ รวมถึงโซนแนวรับเชิงโครงสร้างในตลาด (**Demand Zone**) ต่อไปนี้คือรายละเอียด:
---
### **1. ราคาเป้าหมายสำหรับโซนซื้อ**
#### ระดับ Fibonacci Retracement:
1. **78.6% (1,385.22):**
- เป็นโซนแรกที่มีโอกาสเห็นแรงซื้อกลับตัว เพราะระดับนี้มักเป็นแนวรับที่แข็งแกร่งในตลาดขาลง
- หากราคาลงมาทดสอบที่บริเวณนี้พร้อมด้วยสัญญาณกลับตัว เช่น แท่งเทียนกลับทิศ (Bullish Candlestick) หรือวอลุ่มเพิ่มขึ้น อาจเปิดสถานะซื้อได้
- **กลยุทธ์:** รอคอนเฟิร์มด้วย Price Action หรือ Bullish Divergence จากเครื่องมือ Indicator เช่น RSI
2. **88.6% (1,369.75):**
- หากระดับ 78.6% ไม่สามารถรองรับแรงขายได้ ราคาจะเคลื่อนที่ลงมายังโซนนี้ ซึ่งเป็นโซนสุดท้ายที่มีแนวโน้มจะเกิดการกลับตัว
- **กลยุทธ์:** พิจารณาเปิดสถานะซื้อในโซนนี้พร้อมตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ใต้โซนเล็กน้อย เช่น 1,360
#### โซนแนวรับเชิงโครงสร้าง (Demand Zone):
- บริเวณ **1,380 - 1,370** (พื้นที่สีเขียว):
- โซนนี้เป็นแนวรับเชิงโครงสร้างที่มีความน่าสนใจ เนื่องจากเป็นจุดที่เคยเกิดแรงซื้อในอดีต
- สัญญาณการกลับตัวในบริเวณนี้จะเพิ่มความมั่นใจให้การเปิดสถานะซื้อ
---
### **2. เวลาเป้าหมาย**
#### Fibonacci Time Ratio:
- วันที่ระบุในกราฟคือ **20/12/2024**:
- วันที่นี้สัมพันธ์กับ Fibonacci Time Ratio ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีโอกาสเกิดจุดกลับตัวสำคัญ
- หากราคายังอยู่ในแนวโน้มขาลง ณ เวลานี้ หรือเคลื่อนที่ลงมายังระดับ Fibonacci Retracement ที่ระบุไว้ (78.6% หรือ 88.6%) อาจเป็นจุดที่เหมาะสมสำหรับการเข้าสู่สถานะซื้อ
#### แนวโน้มโดยรวม:
- หากราคาปรับตัวลงต่อเนื่องในช่วงก่อนวันที่ 20/12/2024 และเริ่มแสดงสัญญาณกลับตัวในช่วงใกล้วันดังกล่าว อาจถือเป็นจุดเข้าซื้อที่เหมาะสมที่สุด
---
### **3. สัญญาณยืนยันสำหรับเปิดสถานะซื้อ**
- **รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns):**
- แท่งเทียนกลับตัว เช่น **Bullish Engulfing**, **Hammer**, หรือ **Morning Star** ในระดับแนวรับ
- **วอลุ่ม (Volume):**
- ดูวอลุ่มเพิ่มขึ้นในช่วงแนวรับ หากมีแรงซื้อที่ชัดเจน
- **Divergence กับ Indicators:**
- ใช้ RSI หรือ MACD เพื่อดู **Bullish Divergence** (ราคาไปต่ำกว่า แต่ Indicator ไม่ต่ำกว่า)
---
### **สรุปโอกาสเข้าสู่โซนซื้อ**
- **ระดับราคาเป้าหมาย:**
- โซนแรก: 1,385 (78.6% Fibonacci Retracement)
- โซนสุดท้าย: 1,370 (88.6% Fibonacci Retracement)
- **เวลาเป้าหมาย:**
- ประมาณวันที่ **20/12/2024** หรือก่อนหน้านี้ หากราคาเคลื่อนที่เข้าสู่โซนซื้อในแนวรับที่สำคัญ
- **สัญญาณยืนยัน:**
- ใช้ Price Action, Volume, หรือ Indicators เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการเปิดสถานะซื้อ
---
การตัดสินใจเข้าซื้อควรพิจารณาร่วมกับการตั้ง **จุดตัดขาดทุน (Stop Loss)** และ **จุดทำกำไร (Take Profit)** เพื่อบริหารความเสี่ยงในการเทรดอย่างเหมาะสม.
SET ยังไม่แย่ ให้กรอบพักตัว 61.8%-78.6%-88.6% อยู่กับปัจจุบันกรอบพักตัว SET
- **61.80%** ที่ **1,411.21**
- **78.60%** ที่ **1,385.22**
- **88.60%** ที่ **1,369.75**
**Fibonacci Levels และที่มาของระดับ 61.8%, 78.6%, และ 88.6%**
Fibonacci retracement levels เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์ตลาดการเงิน โดยมีพื้นฐานมาจากตัวเลข Fibonacci sequence ที่คิดค้นโดย Leonardo Fibonacci นักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลีในศตวรรษที่ 13 ตัวเลขในลำดับ Fibonacci มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น อัตราส่วนที่ปรากฏในธรรมชาติและการเงิน ซึ่งเป็นที่มาของอัตราส่วนหรือระดับที่ใช้ในเครื่องมือนี้
**1. ระดับ 61.8%**
อัตราส่วน **61.8%** (หรือ 0.618) เป็นที่รู้จักในชื่อ **"Golden Ratio"** หรือ "สัดส่วนทองคำ" (Phi, Φ) ซึ่งได้มาจากการหารตัวเลขในลำดับ Fibonacci ตัวใด ๆ ด้วยตัวเลขถัดไป เช่น:
- \( 34 \div 55 = 0.618 \)
หรือจากการหารตัวเลขใด ๆ ด้วยตัวเลขที่อยู่สองตำแหน่งถัดไป เช่น:
- \( 21 \div 34 = 0.618 \)
ระดับนี้ถือว่าสำคัญมากในตลาดการเงิน เพราะนักเทรดเชื่อว่าราคามักจะปรับตัว (retracement) กลับมาที่ระดับนี้ก่อนจะไปต่อในทิศทางเดิม
**2. ระดับ 78.6%**
ระดับ **78.6%** (หรือ 0.786) เกิดจากการคำนวณรากที่สองของ 0.618 (\( \sqrt{0.618} \))
ระดับนี้มักใช้ในสถานการณ์ที่ราคาปรับตัวมากกว่าระดับ 61.8% แต่ยังถือว่าเป็นจุดกลับตัว (reversal zone) ที่สำคัญในกรณีที่การปรับฐานนั้นรุนแรงหรือมีแนวโน้มรองที่แข็งแรงกว่า
**3. ระดับ 88.6%**
ระดับ **88.6%** (หรือ 0.886) มาจากการคำนวณรากที่สี่ของ 0.618 (\( \sqrt {0.618} \))
ระดับนี้ใช้ในกรณีที่ราคาปรับตัวลึกมากและใกล้จะถึง 100% retracement ซึ่งมักใช้ร่วมกับรูปแบบฮาร์โมนิก (Harmonic Patterns) เช่น Butterfly หรือ Bat Pattern ที่มีเป้าหมายการกลับตัวในระดับนี้
---
### **ความสำคัญของ Fibonacci Levels**
Fibonacci levels มีความสำคัญเพราะช่วยให้นักลงทุนและนักเทรดสามารถ:
- **คาดการณ์แนวรับ-แนวต้าน**: ราคามักชะลอหรือกลับตัวบริเวณระดับ Fibonacci
- **วางกลยุทธ์การเข้าและออก**: ใช้กำหนดจุดเข้าซื้อขาย (Entry) และจุดตัดขาดทุน (Stop Loss)
- **ผสมกับเครื่องมืออื่น**: เช่น Moving Averages หรือ RSI เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณ
การใช้ Fibonacci levels จึงเป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมเพราะสะท้อนความสัมพันธ์ทางธรรมชาติที่ปรากฏซ้ำในหลายบริบท ตั้งแต่การเงินไปจนถึงธรรมชาติ.
SET ปิดหลุด 1400 จุด วิกฤต หรือ โอกาส ซานต้าจะมาไหมปีนี้SET ปิดหลุด 1400 จุด วิกฤต หรือ โอกาส ซานต้าจะมาไหมปีนี้
ภาพนี้แสดงกราฟราคาดัชนี **SET (ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)** แบบรายวัน โดยมีการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ละเอียด ซึ่งสามารถแบ่งเป็นส่วนต่าง ๆ ได้ดังนี้:
วิเคราะห์โซนราคา
### 1. **รูปแบบกราฟ Head and Shoulders (H&S)**
รูปแบบนี้เป็น **สัญญาณการกลับตัวจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง** ซึ่งประกอบไปด้วย:
- **L**: **Left Shoulder** (ไหล่ซ้าย) - เป็นจุดสูงแรกที่เกิดขึ้น
- **H**: **Head** (หัว) - จุดสูงสุดที่เกิดขึ้นสูงกว่าไหล่ซ้าย
- **R**: **Right Shoulder** (ไหล่ขวา) - จุดสูงที่เกิดขึ้น แต่ต่ำกว่าหัว และใกล้เคียงกับไหล่ซ้าย
- เส้น **Neckline** (เส้นน้ำเงินเฉียง) - เส้นที่ลากเชื่อมระหว่างจุดต่ำสุดระหว่างไหล่ซ้าย, หัว และไหล่ขวา เมื่อราคาหลุดเส้นนี้ลงมา จะถือว่าเป็นสัญญาณขายที่ชัดเจน
**สรุป**: การเกิดรูปแบบ H&S นี้แสดงว่ามีโอกาสสูงที่ราคาดัชนี SET จะปรับตัวลดลงต่อไป
---
### 2. **การ Retest (ทดสอบแนวต้าน)**
คำว่า **RETEST** สีแดงหมายถึง ราคาได้กลับขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่เคยเป็น **เส้น Neckline** เดิม แต่ไม่สามารถผ่านขึ้นไปได้ ทำให้ราคาปรับตัวลงต่อ
---
### 3. **Fibonacci Retracement**
เส้น Fibonacci Retracement ถูกใช้เพื่อวัดระดับการปรับฐานของราคาหลังจากขาขึ้นใหญ่ โดยแบ่งเป็นระดับสำคัญ:
- **38.20%** ที่ **1,447.72** (แนวต้านแรก)
- **50.00%** ที่ **1,429.47** (แนวต้านถัดไป)
- **61.80%** ที่ **1,411.21**
- **78.60%** ที่ **1,385.22**
- **88.60%** ที่ **1,369.75**
ระดับเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้าน หากราคาปรับตัวลงต่ำกว่าแต่ละระดับ จะมีโอกาสปรับลงไปที่ระดับถัดไป
---
### 4. **แนวโน้มและเป้าหมายในอนาคต**
- **วันที่ 20/12/2024** (ตัวอักษรสีแดง) น่าจะเป็นการคาดการณ์ช่วงเวลาที่ราคาจะเคลื่อนไหวไปถึงเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่ง เช่น จุดแนวรับหรือแนวต้านสำคัญ
- จากกราฟ การเคลื่อนไหวราคามีลักษณะเป็นขาลง (Downtrend) โดยมีการยืนยันจาก
- **การหลุดเส้น Neckline**
- ราคาล่าสุดอยู่ต่ำกว่า **1,395.57** จุด
---
### 5. **ข้อมูลเพิ่มเติมจากกราฟ**
- **ระดับราคาปิดล่าสุด**:
- ปัจจุบันปิดที่ **1,395.57** จุด (ตัวเลขสีแดง)
- ระดับนี้ต่ำกว่าระดับ Fibonacci 61.80% แต่ยังสูงกว่าแนวรับ Fibonacci ที่ 78.60%
- **เป้าหมายระยะสั้น**:
- หากราคาหลุดต่ำกว่า 1,385.22 (78.60%) จะมีแนวโน้มลงไปทดสอบแนวรับถัดไปที่ **1,369.75 (88.60%)**
---
### 6. **การตีความทางเทคนิค**
- รูปแบบ **Head and Shoulders** บ่งบอกถึงแนวโน้มขาลงที่ชัดเจน
- การ Retest เส้น Neckline แล้วย่อตัวลงต่อ เป็นการยืนยันว่าขาลงยังคงอยู่
- Fibonacci แสดงแนวรับและแนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง
- วันที่ **20/12/2024** เป็นช่วงเวลาคาดการณ์สำหรับทิศทางราคาที่ชัดเจนขึ้น
---
### **สรุปภาพรวม**
กราฟนี้บ่งชี้ถึงโอกาสที่ดัชนี SET จะปรับตัวลดลงตามรูปแบบ **Head and Shoulders** โดยมีแนวรับสำคัญตาม Fibonacci ที่ระดับ 1,385.22 และ 1,369.75 เป็นเป้าหมายลำดับถัดไป หากราคาหลุดลงต่ำกว่าแนวรับเหล่านี้ นักลงทุนควรระมัดระวังการลงต่อเนื่อง.
วิเคราะห์โซนเวลา
ในภาพนี้ มีการใช้ **Fibonacci Time-Based Lines** (เส้นแนวตั้งสีขาว) ซึ่งเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ช่วยคาดการณ์ **ช่วงเวลา** ที่ราคามีโอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญ เช่น การกลับตัวหรือการเร่งตัวของราคา โดยไม่สนใจทิศทางขึ้นหรือลง เน้นเฉพาะ **จังหวะเวลา** เท่านั้น
---
### วิธีการอ่าน Fibonacci Time-Based Lines
1. **หลักการวางเส้น**
- เส้นแนวตั้งจะถูกวางตามลำดับตัวเลข Fibonacci เช่น **0.618**, **1**, **1.272**, **1.618**, **2**, **2.618** และอื่น ๆ
- จุดเริ่มต้นของ Fibonacci Time-Based Lines มักจะวางไว้ที่ **จุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวราคา** (เช่น จุดต่ำสุดหรือสูงสุดหลักในอดีต)
2. **ความหมายของแต่ละเส้น**
- **เส้นแนวตั้ง** แสดงช่วงเวลาที่มีโอกาสเกิดเหตุการณ์สำคัญ เช่น การกลับตัวของราคา, การเร่งตัวขึ้นหรือลง, หรือการเปลี่ยนทิศทางแนวโน้ม
- ตัวเลขเช่น **1.0** และ **1.618** แสดงถึงระยะเวลาที่สัมพันธ์กับจุดเริ่มต้น โดยคิดตามสัดส่วน Fibonacci
3. **การใช้งานในกราฟนี้**
- เส้น **0.618**, **1.0**, **1.272**, **1.618**, **2.0**, และ **2.618** ถูกวางไว้เป็นช่วงเวลาแนวตั้ง
- แต่ละเส้นถูกคาดหมายว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของราคา เช่น:
- **0.618**: อาจเป็นจุดที่ราคาชะลอตัวหรือเปลี่ยนทิศทาง
- **1.0**: ช่วงที่ราคามีแนวโน้มเกิดการเคลื่อนไหวสำคัญ
- **1.618**: อาจบ่งบอกถึงจุดเร่งตัวครั้งใหม่หรือตลาดเปลี่ยนทิศทาง
---
### ตัวอย่างในกราฟ
- ในภาพนี้ Fibonacci Time-Based Lines ถูกลากจากจุดเริ่มต้น (ช่วงที่ราคาพุ่งขึ้น)
- เส้นต่าง ๆ เช่น **1.0**, **1.272**, และ **1.618** บ่งบอกถึงช่วงเวลาที่ราคามีโอกาสเกิดความเคลื่อนไหว เช่น
- การปรับฐานใหญ่ (ขาลง)
- การกลับตัว (อาจกลับขึ้น หรือย่อลงไปต่อ)
**ตัวอย่างวันที่ 20/12/2024**
- เส้นนี้ถูกกำหนดให้เป็นช่วงเวลา **1.272** หรือ **1.618** ซึ่งเป็นช่วงที่นักวิเคราะห์คาดว่า ราคามีโอกาสเกิดการเคลื่อนไหวสำคัญ
- เป็นการบ่งชี้ว่าในช่วงนี้ราคาจะมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการย่อตัวลงไปหาแนวรับใหม่หรือกลับตัวขึ้น
---
### วิธีการใช้งานควบคู่
1. **จับตาดูการเคลื่อนไหวของราคาใกล้เส้นแนวตั้ง**
- ถ้าราคาเกิดสัญญาณเทคนิคอื่น ๆ ใกล้เส้น เช่น การหลุดแนวรับ หรือเกิดรูปแบบแท่งเทียนกลับตัว ก็อาจยืนยันการเปลี่ยนทิศทางของราคา
2. **ผสมกับเครื่องมืออื่น ๆ**
- เช่น Fibonacci Retracement, เส้นแนวโน้ม (Trendline), หรือสัญญาณจากอินดิเคเตอร์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
---
### **สรุปการอ่าน Fibonacci Time-Based Lines**
- เส้นแนวตั้งสีขาวแสดง **จังหวะเวลา** ที่ราคามีโอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญ
- แต่ละเส้นสัมพันธ์กับเลขสัดส่วน Fibonacci เช่น 1.0, 1.618
- ในกราฟนี้ วันที่ **20/12/2024** คือจุดเวลาที่น่าจับตามอง เพราะมีโอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญของราคา
- ใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ราคาและแนวโน้มอื่น ๆ เพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวได้แม่นยำยิ่งขึ้น
ทำไม SET ถึงมีแนวโน้มลงหา 1411.21 หรือ ต่ำกว่าภาพนี้เป็นกราฟราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ซึ่งมีการวิเคราะห์โดยใช้เครื่องมือทางเทคนิคหลายอย่าง ดังนี้:
---
### **1. การวิเคราะห์แบบ Head and Shoulders (H&S)**
- ในภาพมีการทำเครื่องหมาย:
- **L**: หมายถึง **Left Shoulder** (ไหล่ซ้าย)
- **H**: หมายถึง **Head** (ศีรษะ)
- **R**: หมายถึง **Right Shoulder** (ไหล่ขวา)
**รูปแบบนี้บ่งบอกถึงแนวโน้มการกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง** (Bearish Reversal) ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าราคาอาจมีการปรับตัวลงหลังจากผ่านไหล่ขวาไปแล้ว
---
### **2. เส้นแนวโน้ม (Trendline)**
- มีการลาก **เส้นสีฟ้า** เป็นเส้นแนวโน้มขาขึ้นเดิม
- ราคาได้ทะลุผ่านเส้นแนวโน้มลงมา (Breakdown) และกลับมาทดสอบเส้นแนวโน้มอีกครั้ง ซึ่งตรงจุดนี้เรียกว่า **RETEST**
การ **RETEST** คือการที่ราคากลับมาทดสอบแนวต้านใหม่หลังจากหลุดแนวรับเดิม
---
### **3. Fibonacci Retracement**
- มีการใช้ **Fibonacci Retracement** เพื่อระบุระดับที่ราคาน่าจะเกิดการพักตัวหรือกลับตัว โดยระดับที่สำคัญในกราฟ ได้แก่:
- **38.2%** ที่ประมาณ **1,447.72**
- **50.0%** ที่ประมาณ **1,429.47**
- **61.8%** ที่ประมาณ **1,411.21**
- **78.6%** ที่ประมาณ **1,385.22**
ระดับเหล่านี้เป็นจุดที่ราคามักจะชะลอตัวหรือเกิดแรงซื้อขายกลับเข้ามา
---
### **4. Fibonacci Time-Based Lines (เส้นแนวตั้งสีขาว)**
- เส้นแนวตั้งเหล่านี้ถูกวางตาม **ลำดับฟีโบนัชชี** บนแกนเวลา เช่น:
- จุดที่ **0**: จุดเริ่มต้น
- จุดที่ **0.618, 1.0, 1.272, 1.618** และอื่นๆ
**วันที่ 20/12/2024** ถูกทำเครื่องหมายบนกราฟ ซึ่งอาจเป็นจุดเวลาที่คาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม (เช่น การปรับฐานหรือการเร่งตัวของราคา) ตามหลักการวิเคราะห์ฟีโบนัชชี
---
### **สรุปการตีความ**
1. **รูปแบบ Head & Shoulders** บ่งชี้ถึงการกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง
2. การ **RETEST** เส้นแนวโน้มที่ถูกทะลุลงมาอาจทำให้ราคาปรับลงต่อ
3. ระดับ Fibonacci Retracement เป็นแนวรับที่ควรจับตา:
- **50% ที่ 1,429.47**
- **61.8% ที่ 1,411.21**
4. วันที่ 20/12/2024 ตาม Fibonacci Time-Based Lines อาจเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ราคาจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
---
หวังว่าจะช่วยให้เข้าใจการวิเคราะห์ภาพนี้ได้มากขึ้นนะครับ 😊 ถ้ามีคำถามเพิ่มเติมยินดีช่วยเหลือครับ!
ทำไมอ่านตลาดหุ้นไทยลงในกรอบ 1447.72-1429.46-1411.21 ได้ล่วงหน้าทำไมเราถึงให้น้ำหนักการพักตัวของตลาดหุ้นไทยในกรอบ 1447.72-1429.46-1411.21 ได้ล่วงหน้า ก่อนที่ตลาดจะลงมาในกรอบนั้น
ในขณะที่บรรยากาศมวลชนพุ่งเป้าไปที่ 1500-1600 หรือ มากกว่านั้น
เหตุผล ก็คือการอ้างอิงแนวพักตัวจาก "Dinapoli Levels" ที่มีคำอธิบายดังนี้
Joe Dinapoli Levels เป็นเครื่องมือที่ใช้ใน **การวิเคราะห์ทางเทคนิค** (Technical Analysis) โดยอิงกับ **Fibonacci Retracement** ซึ่งมักใช้เพื่อระบุแนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) ที่สำคัญในตลาดการเงิน เช่น หุ้น, ฟอเร็กซ์, หรือคริปโต
Dinapoli ให้ความสำคัญกับ **38.2% และ 61.8%** ซึ่งเป็นสองระดับที่สำคัญใน Fibonacci Retracement เพราะเขาเชื่อว่า:
1. **38.2%**
- เป็นระดับที่แสดงถึงการ **พักตัวเล็กน้อย** (Shallow Retracement)
- เมื่อราคาเคลื่อนที่ถึงระดับนี้ จะมีแนวโน้มที่ตลาดจะรีบาวน์กลับไปในทิศทางเดิม
- เหมาะสำหรับตลาดที่มี **แรงเทรนด์แข็งแกร่ง** (Strong Trend) เพราะราคาอาจไม่ถอยลึกมากนัก
2. **61.8%**
- เป็นระดับที่แสดงถึงการ **พักตัวลึก** (Deep Retracement)
- หากราคามาถึงระดับนี้ มักแปลว่าแรงเทรนด์เริ่มอ่อนตัวลงหรือมีการพักตัวที่ชัดเจน
- เหมาะสำหรับการมองหาโอกาสในการกลับเข้าซื้อขาย (Re-entry) หากตลาดยังคงทิศทางเดิม
### แนวคิดหลัก:
- **Dinapoli Levels** ไม่ใช่แค่ตัวเลข 38.2% และ 61.8% แต่ Jo Dinapoli แนะนำให้มองการเคลื่อนไหวของราคาควบคู่กับ **อินดิเคเตอร์อื่น** (เช่น Moving Average หรือ Stochastic) เพื่อช่วยยืนยันว่าระดับเหล่านี้เป็นจุดกลับตัวที่สำคัญจริงๆ
- เป้าหมายคือการเข้าออเดอร์เมื่อราคา **พักตัว** และกลับมาสอดคล้องกับแนวโน้มใหญ่ (Trend) เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไร
### ทำไมต้อง 38.2% และ 61.8%?
- ตัวเลขทั้งสองมาจาก **สัดส่วนฟีโบนักชี** ซึ่งมีพื้นฐานจากคณิตศาสตร์ธรรมชาติ และถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์ในตลาดการเงิน
- Joe Dinapoli เชื่อว่าตลาดมักตอบสนองต่อระดับเหล่านี้บ่อยกว่าระดับอื่น เช่น 50% หรือ 23.6%
สรุปง่ายๆ:
1447.42 คือระดับ **38.2%** ใช้ในตลาดที่เทรนด์แรง (Shallow Pullback)
และ 1411.21 คือระดับ **61.8%** ใช้ในตลาดที่พักตัวลึก (Deep Pullback) โดยผสมผสานกับเครื่องมืออื่นเพื่อยืนยันจุดกลับตัวของราคา
SET สัปดาห์หน้าหลัง 15 ธันวาคม รอเลือกทางSET ปัจจุบัน ติดแนวรับสำคัญมากคือ 1444
หากภายในสัปดาห์นี้ 11-13 ธันวาคม 2567 ไม่สามารถปิดยืนเหนือ 1444 ได้
มีโอกาสไหลลงมาปิด gap 1442-1436 และ ถ้าหากปิดแก็ปแล้ว ไม่สามารถขึ้นต่อ ลงหลุด 1436
ระมัดระวังการลงไปทดสอบแนวรับ 1422 ซึ่งเป็นแนวรับสำคัญอีกแนวนึงที่ไม่ควรหลุด
เพราะถ้าหลุดสามารถลงได้อีก 20-30 จุดโดยประมาณ ก็จะตรงกับแถว 1406-1400 ประมาณนี้
และถ้าหลุด 1400 จะมีแนวรับสำคัญอีกทีเลยคือ 1370
กลับกัน หากลงมาปิด gap 1442-1436 แล้วเด้งแรงๆทีนึง มีโอกาส กลับขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 1457 1470 และ 1485 ตามลำดับ
อาจจะเกิดการ sideway down ค่อยๆลงมาปิด gap ที่เปิดไว้อยู่ จนถึงวันที่ 16-17 ธันวาคม 2567
เพราะจากสถิติ 5 ปีที่ผ่านมา หลังวันที่ 15 ธันวาคม SET มักจะเลือกทางแรงๆ
Disclaimer คำเตือน
1.โพสต์นี้เป็นการแชร์มุมมองเพื่อการศึกษาและเรียนรู้พฤติกรรมการทำราคาของกราฟเทคนิคคอลเท่านั้น (For Educational purposes only) และ ผู้เขียนไม่ใช่ (Financial advisor nor a CPA)
2.ทางเพจไม่ได้มีเจตนาชี้แนะหรือชี้ชวนการลงทุนแต่อย่างใด (I am sharing my opinion with no guarantee of investment gains or losses.)
3.ผู้ลงทุนควรศึกษาผลิตภัณฑ์การลงทุนก่อน และตัดสินใจการลงทุนเอง ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นผู้ลงทุนต้องยอมรับความเสี่ยงด้วยตนเอง (Investing of any kind involves risk. While it is possible to minimize risk, your investments are solely your responsibility. You must conduct your own research.)