[แกะหุ้นเด้ง pt.1] หาจุดซื้อรันเทรน กับ Rightmove หุ้น 10 เด้ง
- วีดีโอนี้พูดถึง Technical จุดซื้อ/ขาย 75% และพูดเกริ่นถึงบริษัท 25%
- บริษัทนี้คือบริษัทแข็งแกร่ง Market Share สูง 80% อัตราการทำกำไรมากกว่า 30%
- แม้บริษัทจะดูตันๆ ในเรื่องของความสำเร็จ จากประสิทธิภาพแต่ก็เป็นหุ้นหลายเด้งได้ จากสภาพแวดล้อมที่เติบโตได้จนเป็นหุ้น 10 เด้ง
- กำไรที่ได้แต่ละรอบสั้นนั้นได้ราว 1x% และจะนิ่งๆ และก็จะขึ้นใหม่เป็นขั้นบรรได แต่หากถือยาวจะได้กำไรเป็นเด้งได้ไม่ยาก (แต่ก็ขึ้นกับบริบทเวลาด้วย)
- Breakout รับมือได้ดีที่สุดกับบริษัทจำพวกที่กำไรโตตลอดเวลา
-------------------------------
สำหรับเนื้อหาจะมี 2พาร์ทด้วยกัน โดยพาร์ทนี้จะเน้นในเรื่อง Technical อย่างเดียวนะครับ จากนั้นอีกพาร์ทจะเป็นเรื่องของการเงินและธุรกิจล้วนๆ
และโพสนี้ผมแบ่งเป็น 3 ส่วน คือหลักการเลือกหุ้นลงทุน ตามมาด้วยจุดซื้อที่ได้ และสิ่งที่ได้เรียนรู้จากหุ้นนี้/บริษัทนี้
Rightmove เป็นบริษัทที่ทำหน้าที่เป็นนายหน้าซื้อขายบ้าน และมีเว็ปไซต์โปรโมทบ้านเหล่านั้นอยู่ โดยครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 80% ตามมาด้วยอัตราการทำกำไรที่น่าประทับใจอยู่ระดับมากกว่า 30%
นอกจากนี้แล้วบริษัทยังมีการเติบโตต่อรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยสูงกว่าอัตราการเติบโตของประเทศอย่างอังกฤษกว่าที่ 2.xx% กว่ามาก
ต่อมาคือเรื่องของอัตราการทำกำไรต่อส่วนของเจ้าของ(ROE) ที่ทำได้อยู่ในระดับที่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องบอกว่าประทับใจ
ปัจจัยทั้งหลายนี้ ชี้ให้เห็นว่าไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนสายไหนก็ย่อมอยากได้บริษัทนี้เป็นเจ้าของแน่นอนครับ ดังนั้นหากบริษัทไม่มีพื้นฐานเปลี่ยนไปมากนัก อย่างไรก็ต้องมีคนซื้อกลับมาไม่ทางมดก็ทางหนึ่งครับ
ในวีดีโอนี้หลักๆ แล้วหลักกรซื้อที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด คือการ "Breakout" ครับ คือราคาเบรคขึ้นไปเมื่อไรหลายครั้งราคาจะไม่ค่อยกลับมาที่เดิมนัก
และการซื้อตอนย่อราคามาที่เส้นค่าเฉลี่ย 20 สัปดาห์ก็สามารถทำได้ และคุณก็สามารถใช้ประกอบกับ Relative Strength ได้เช่นกัน หากบริษัทแข็งกว่าตลาดจุดนั้นก็อาจเป็นจุกซื้อได้ตลอดได้
นอกจากเรื่องของ Breakout แล้ว เราสามารถมาผสานการใช้กับทรง VCP หรือ Cup with Handle ได้เช่นกันครับ โดยช่วงที่เขาจะ Break High ตรงจุดนี้นับเป็นจุกซื้อที่ทำให้เรารู้นิสัยครับว่าได้ผล
แต่สิ่งที่ต้องกังวลคือบางช่วงมีการพักตัวที่อาจนานเกินไปซึ่งหากท่านไม่ใช่นักลงทุนที่รอรวยนานได้ ตรงนี้อาจทำให้ทุนพี่ๆ เพื่อนๆ จมลงได้ครับ
แต่ก็สามารถแก้ทางได้โดยหาเครื่องไม้เครื่องมืออย่าง Option มาหากระแสเงินสดจากบริษัทนี้ได้เช่นกัน
บริษัทนี้จากที่ผมได้กล่าวแล้วคงไม่พ้นเรื่องหุ้น "แข็งแกร่ง" ตามตำราของคุณปีเตอร์ ลินซ์เลยครับ นั่นคือเป็นหุ้นที่มี Market Share แข็งแกร่ง(เช่นเคสนี้มากกว่า 80%) กอปรด้วยตัวเลขการเงินที่อัศจรรย์ ไม่ว่าใครในตลาดต่างก็อยากเป็นเจ้าของ
ดังนั้นแล้วพอหุ้นขึ้นไป หุ้นมักไปได้ไม่มากครับ นั่นคือขึ้นไปสักราว 1x% แต่แม้จะขึ้นระดับนี้แล้วการจะย่อลงไปจุดต่ำเดิมนั้นไม่ค่อยมีมาก จากการที่กำไรบริษัทแข็งแกร่งไม่มีทีท่าลงมาต่ำกว่าเดิมเลย
แม้ราคาจะเพิ่มขึ้นสั้นๆ แต่หากเราถือนานมากยิ่งขึ้นให้บริษัทได้เฉิดฉายแล้วกำไรที่คุณจะได้ก็สามารถไปได้มากกว่าเด้งได้ไม่ยากเลยครับ
และหากคุณมองว่ากำไรได้น้อยและมีบางช่วงออกข้างนาน การใช้ประโยชน์จาก Option ในการหากระแสเงินสดหรือหาโอกาสจากหุ้นนี้ก็ทำได้เช่นกัน
เนื่องจากบริษัทนี้เป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่เพียงพอจะมีเครื่องมือทางการเงินหลากหลาย
Valueinvesting
[Hybrid Study:John Neff] แก่นการลงทุนหุ้นวงจร เพือถือรันหลายเด้งสวัสดีครับพี่ๆ เพื่อนๆ ทุกท่าน วันนี้ผมจะมาขอ Tribute หลักการลงทุนของคุณ John Neff ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนในสายผสมนี้กันนะครับ
และเนื่องในโอกาสที่วันที่ 19 กันยานี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของคุณ John Neff และคุณ John Neff เองก็เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง นับว่า 1 ในตำนานแห่งโลกการลงทุนของเราได้จากเราแล้วอีกหนึ่งราย แต่ว่าหลักการของคุณ John Neff จะยังคงอยู่ในจิตใจของนักลงทุนสาย Value ทุกท่าน
สำหรับผมแล้ว การระลึกถึงและ"ให้เกียรติ" หลักการของใครก็ตาม คือการใช้หลักการนั้นเป็นพื้นฐานอ้างอิงเพื่อให้หลักการนั้นเป็นที่พูดถึง และขัดเกลาให้ทันต่อโลกมากขึ้น ผมชอบหลักการของคุณ John Neff มาก จึงเป็นเหตุให้เขียนอินดิเคเตอร์ DDM ขึ้นมาด้วย
และสิ่งที่ผมได้ทำในวันนี้ก็คือการทำให้หลักการของคุณ John Neff ยังคงมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยก็ปรับประยุกต์ใช้ในรูปแบบกราฟผ่าน Trading View ซึ่งโค้ดอินดิเคเตอร์นี้ผมได้รับแรงบันดาลใจมาจากคุณ John Neff อย่างแท้จริง
หลักการลงทุนนี้ผมใช้กับการอาศัยซื้อหุ้น(โดยเฉพาะหมวดวงจร : Commodities) ในจุดที่ PE ต่ำอย่างสวนตลาด แต่หลักการที่เราจะได้มาที่ PE ต่ำนั้น ย่อมเกิดจากการปรับ ตัว E หรือ EPS จากสมมการ PE = Price / EPS , โดยผมจะ Predict ค่า EPS ผ่านตัวรายได้ในแบบที่ควรจะเป็น
และนำรายได้นั้นมาจับคุณด้วยอัตราส่วน Net Margin ในระดับ Base Case-Best Case ซึ่งค่าตัวเลขของ Net Margin นี้เราจะได้มาจากการทำ Research หุ้นในหมวด Commodities ย้อนหลังนะครับ
และจะตั้งตัวเลขพวกนี้เสมือนเป็นตุ๊กตาเฉยๆ เพื่อให้เราหาค่า EPS ให้ได้
ในการตั้งค่า Net Margin นี้ ผมจะมีการตั้งเป็นหลายค่ามากๆ และค่าที่ต่ำที่สุดก็คือ 1% มาจากสมมติฐานที่ว่าปกติหุ้น Commodities ตอนจะจบรอบราคาเขาจะลงมาแรงมากๆ จากราคาสินค้าอ้างอิงตกต่ำไม่ว่าจะเหล็ก น้ำมัน เคมี แร่ธาตุต่างๆ
เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้แล้วส่วนมากบริษัทจะมีผลขาดทุนจากสต็อกสินค้าก็ดี หรือจากรายได้จากการขายสินค้าลดลง จนแบกรับต้นทุนคงที่ไม่ได้ ทั้งหลายนี้เองจึงทำให้ตัว PE ของบริษัท “ติดลบ” หรือก็คือคำนวณไม่ได้ หรือแม้แต่ PE พุ่งสูงขึ้นเป็นหลัก “ร้อยเท่า” จากการที่ EPS นั้นแกร่งนั่นเอง
การที่ผมตั้ง Net Margin ที่ 1% นี้ก็เพื่อเป็น “บาร์อย่างต่ำๆ” ที่บริษัทสมควรทำได้ เมื่อเราได้ NPM ที่ 1% มาได้แล้ว เราก็จับ 1% มาคูณกับตัวเลขรายได้ครับ(ตรงส่วนนี้บางคนอาจใช้รายได้เมื่อปีที่แล้ว หรือว่ารายได้เฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง แล้วแต่สไตล์แต่ละคนเลยครับ)
เมื่อนำ Revenue * NPM แล้วเราก็จะได้ “กำไรสุทธิ” จากนั้นก็นำมาหารด้วยจำนวนหุ้น ทีนี้เราก็ได้ EPS อันเป็นพระเอกของเราแล้ว
จากนั้นเราก็นำ EPS มาเพื่อที่จับคูณด้วย PE อย่างที่ควรจะเป็น โดยเคสนี้ผมจะให้ที่ PE = 6-8 ตรงส่วนนี้หากใคร Conservative มากๆ อาจใช้ที่ PE 5 ไปเลยก็ได้ โดยมีการตั้งสมมติฐานว่า “ใครกันล่ะ จะไม่อยากได้หุ้น PE 5 เท่า หรือหุ้นที่จ่ายเงินปันผลหลัก 10% ต่อปี ณ ระดับราคาฐานต่ำนี้”
ในตอนนี้เราก็ได้ราคาหุ้นแล้ว ผมก็ให้แสดงค่าเป็นเหมือนเส้นแนวรับแนวต้านที่จะอัพเดตทุกๆ ปีนะครับ จากการที่ข้อมูลการเงินจะมีอัพเดตใหม่ทุกปี ตรงเส้นแนวรับ/แนวต้าน พวกนี้เสมือนกับเป็น “แนวรับเชิงพื้นฐาน” นั่นเองครับ
หุ้นใดก็ตามที่ลงมาเทสที่เส้นนี้ และมีการทำแท่งเทียนกลับตัว หรือมีการพักตัวตรงนี้เราอาจพิจารณาเอาเขามาใส่ลิสเพื่อรอวันให้เกิด Catalyst ให้ราคาขึ้นไปกันนะครับ จากนั้นก็รับเทรนไปเรื่อยๆ
หรือหากท่านใดเป็นสายHardcore อาจนำหุ้นนั้นไปวางหลักทรัพย์ค้ำประดันในการขอบัญชี Margin มาต่อเงินอีกรอบก็แล้วแต่สไตล์ท่านเลยครับ
หวังว่าแนวทางนี้จะมีประโยชน์กับท่านผู้อ่านผู้ฟังทุกคนนะครับ โชคดี รักษาสุขภาพ Stay Healthy Stay Wealthy นะครับผม
[Deep Value Scanner] หาหุ้นโคตรปลอดภัย ไม่เสี่ยงล้มละลายและดักVI แสกนหาหุ้น Deep Value โคตรปลอดภัย ไม่เสี่ยงล้มละลาย
สำหรับหลักการนี้ต้องขอขอบคุณ คุณเบนจามิน เกรแฮม ผู้เขียนตำรา Security Analysis และหนังสือ The Intelligent Investor และเป็นผู้ริเริ่มการลงทุนแบบ Value Investing แบบ Cigarette Butt ด้วยนะครับ
เทคนิคของ Deep Value กับเทคนิคหุ้นการลงทุนแบบ Cigarette Butt นี้ไม่ต่างกันมากเลย นั่นคือการซื้อหุ้นในมูลค่าที่น้อยกว่าทรัพย์สินส่วนของทุนบริษัท
ก่อนอื่นขอแนะนำตัวเลข 2 ตัวในการแสกนก่อนนะครับ เพื่อที่ทุกคนจะได้เข้าใจหลักการแสกนนี้ นั่นคือ
1 . Net Debt ซึ่งมีสูตรคือ Cash – (Short Term Debt + Long Term Debt)
2. Enterprise Value มีสูตรคือ (Market Cap + Debt )- Cash
โดยทั้งสองตัวเลขนี้ หากมีค่าติดลบก็หมายความว่าผ่านเกณฑ์แล้วครับ หลักการคือเราจะซื้อบริษัท ณ “ราคา” ที่น้อยกว่าเงินสดสุทธิหักลบหนี้สินของบริษัทนั่นเองครับ
สำหรับข้อดีข้อเสียของหลักการนี้มีดังนี้ครับ
ข้อดี
- เราสามารถซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีได้
- สามารถ Unlock Value ได้ ผ่านการเข้าไปถือหุ้น แล้วใช้สิทธิโหวตกดดันให้ผู้บริหารขายทอดกิจการ เพื่อนำเงินสดมาจ่ายสู่ผู้ถือหุ้นได้
- หากมูลค่าทางบัญชีสะท้อนความเป็นจริงแล้ว เหมือนกับการที่เราซื้อหุ้นโดยมีส่วนลด มีความสมเหตุสมผลในการลงทุนในเชิงทฤษฎี
(มีหลักยึดในการลงทุนชัดเจน)
- สิ่งที่เราต้องทำ มีเพียงอย่างเดียวคือการรอให้มูลค่าปลดล็อค สายกราฟคือหาจุดเข้าซื้อที่ได้เปรียบ
เช่นมีการสะสมพอสมควรแล้ว รวมถึงทำท่า Breakout อาจพิจารณาวางกลยุทธ์ได้
ข้อเสียและจุดอ่อน
- หากบัญชีมีการตกแต่งขึ้น อาจเป็นอุปสรรคได้ในการรับรู้มูลค่าที่แท้จริง
- ราคามักไม่ค่อยมีการขึ้นลงมาก หากไม่มีปัจจัยมาขับมูลค่า
เช่น การ Take Over , การขายสินทรัพย์ , การจ่ายเงินปันผลออกมา (ในกรณีที่บริษัทมีแต่เงินสดพร้อมจ่าย)
- ราคาหุ้นถูก ณ ตอนนี้ ไม่การันตีว่าจะราคาถูกตลอดไป
เช่นกรณีผู้บริหารใช้กลฉ้อฉล อย่างการนำเงินสดไปลงทุนในบริษัทอื่นๆ ซึ่งบริษัทอื่นๆ ที่ว่านี้อาจเป็น Shell Company ที่ผู้บริหารคนนั้นถือหุ้น
แล้วตั้งใจทำให้เกิดผลขาดทุน จนต้อง Whiteout ธุรกิจออกไปเกิดความสูญเสียทางบัญชีบริษัทเป็นต้น
[ดักรายใหญ่VI]สร้างแนวรับ/ต้านทางพื้นฐาน ด้วย PE และเงินปันผลวันนี้ผมจะมาพูดถึงที่มาของสูตรที่ได้ใช้ในอินดิเคเตอร์ใน Trading View กันนะครับ
(โดยอินดิเคเตอร์นี้ชื่อว่า DDM เพื่อแสดงแนวรับแนวต้านสำหรับสายพื้นฐานนะครับ สามารถดูสคริปสูตรได้ที่ด้านล่างคำอธิบายนี้ได้เลยครับ)
หลักๆ คือเพื่อต้องการประเมินมูลค่าหุ้นอย่างง่ายไว้ดูว่าแนวที่ควรซื้อแบบสวนกระแสอย่าง VI ควรซื้อประมาณโซนสะสมบริเวณไหนดี และใช้ประกอบการดูโซนการทำ Price Pattern ด้วย
หลักการคือเราจะใช้การกำหนดค่า PE ผ่านการตั้งค่า Dividend Payout ไว้คงที่(ที่ 40%) และปรับตัวเลข % Dividend Yield ตามที่เราต้องการ (2,3,4,6 เท่าไรก็ได้ตามที่เราอยากตั้งครับ)
ดั่งแนวรับและแนวต้าน โดยจะเป็นการประเมินมูลค่าหุ้นแบบ DDM นั่นเองครับ
สูตรมูลฐานที่เราจูดคือ Dividend Yield% = DPS / Price
และจะปรับมาเป็น PE = %Dividend Payout/%dividend Yield กันนะครับ
โดยท่านสามารถฟังการอธิบายเต็มๆ ได้ผ่านทางวีดีโอนี้นะครับ และมีตัวอย่างประกอบด้วย หวังว่าจะเป็นประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อยสำหรับการลงทุนโดยใช้อินดิเคเตอร์ต้นทางนะครับ
สำหรับวิธีการดักทางรายใหญ่ VI เราก็อาศัยดูเงินปันผลได้เลยครับ ว่าระดับไหนตามแบบ Price Pattern ที่จะจูงใจรายใหญ่ให้ซื้อหุ้นตัวนี้หรือตัวนั้น โดยอาจจะดูแนวโน้มเส้นแนวรับแนวต้านนี้ครั้นอดีตย้อนหลังก็ได้ครับ ว่าเขาเคยมีแนวที่แข็งๆ ตรงไหนเป็นต้นครับ
ทั้งนี้ท่านใดสนใจเกี่ยวกับการลงทุนแบบสวนกระแส สามารถหาอ่านได้ในหนังสือ ลงทุนหุ้นแบบจอห์น เนฟฟ์ ได้นะครับผม
[DRT] หุ้นโคตร Value เงินปันผลพอใช้ได้ ความสามารถทำกำไรก็เยี่ยมDRT นับว่าเป็นบริษัทที่เป็นตัวอย่างที่ดีในการนิยามคำว่า หุ้นแบบเน้นคุณค่าหรือแบบ VI มากครับ เนื่องจากหากมองงบดูดีๆ แล้ว นับว่าเป็นหุ้นที่ยอดขายเขาเข้าสู่จุดอิ่มตัวแล้วกอปรกับอัตราเงินปันผลที่จ่ายได้สมน้ำสมเนื้อ เหมาะแก่นักลงทุนที่ต้องการเซฟๆ เลยครับ
กอปรกับปัจจุบันนี้เขาได้พักฐานมานานแสนนานแล้ว และทำท่าว่าจะเบรคโซนที่เขาพักตัวด้วยเลยขอมาแนะนำเพื่อนๆ ณ ที่นี้
จุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อหลายปีที่แล้วหุ้นตัวนี้เคยเทรดที่ระดับเส้น Dividend Valuation โดยเทรดอยู่ในระดับเส้นสีเหลือง ซึ่งตอนนี้ราคา Market Cap ปัจจุบันเขายังมีการเทรดต่ำกว่าระดับเส้นสีเหลืองอีกด้วย
ทั้งหลายนี้นับว่าเป็นจุดที่ไม่เลวครับ หากใครต้องการลงทุนหรือเก็งกำไร อาจเป็นตัวเลือกที่ผมว่าใช้ได้อยู่ครับ
ยาวหน่อย แต่ถ้าคุณชอบ ผมก็ดีใจนะครับ
[SAWAD]ภายใต้พื้นฐานกำไรที่เติบโต มีเรื่องน่ากังวลอะไรหรือไม่?!!
สำหรับ SAWAD นับว่าเป็นหุ้นตัวหนึ่งที่ผมมักอารมณ์องุ่นเปรี้ยวทุกครั้งเลยครับ เวลาเห็นเขาทำราคาที่สูงขึ้น กอปรกับความกลัวเรื่องของ NPL ผมเลยกลัวอย่างบอกไม่ถูกเลยครับ จรพบกับความผิดพลาดที่ไม่ได้ลงทุนในตัวพวกเขา
แต่ตอนนี้ถ้าเราลบอคติฝังตาลง เราพบอะไรบ้างจากอินดิเคเตอร์ที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างกำไรสุทธิกับราคาหุ้นกัน โดยผ่านอินดิเคเตอรตัวเดิมของผมอย่าง Yield Valuation นี้ครับ
SAWAD นับว่าเป็นหุ้นที่อยู่ในหมวดของ Growth อย่างแท้จริงครับ จากการดูการเติบโตของสินทรัพย์(เส้นส้ม) ของเขา จากหนังสือพ่อรวยสอนลูกก็อย่างที่ว่าครับ สินทรัพย์คือสิ่งที่ช่วยสร้างรายได้ให้เรา การมีสินทรัพย์มากขึ้นก็เสมือนกับการเพิ่มที่มาของรายได้แบบนี้นั่นเองครับ
แต่กระนั้นแล้วสินทรัพย์ที่เพิ่มมขึ้นของ SAWAD นี้ เขาเพิ่มขึ้นในหมวดของหนี้สินนั่นเอง ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องปกติครับ เพราะว่า SAWAD ทำธุรกิจการเงิน หนี้สินของหมวดนี้ก็คือปริมาณเงินที่เราปล่อยสินเชื่อไปแน่นอนครับ
ว่ากันตามตรงในความเห็นของผมเอง ประเทศไทยเรามีระบบการเงินที่ Conservative มากนะครับ จากการที่แบงก์ของเราไม่มีการแข่งขันเท่าที่ควรจนมาถึงการไม่กล้าปล่อยสินเชื่อจนเรามีทุนสำรองของประเทศเราอยู่สูงมาก การไม่กล้าทำอะไรแบบนี้ทำให้ประเทศเรามี Opportunity Cost สูงมาก สังเกตได้จากการที่นายกพูดเลยครับ ที่ว่าทำไม่เราถึงแพ้เวียดนาม ทั้งที่เรามีทุนสำรอง(งบดุลของประเทศ) ที่แข็งแกร่งมาก พูดง่ายๆ คือเราอาจจะล้มได้ยากนั่นเองครับ
กลับมาที่เรื่องของ SAWAD ด้วยความที่ธุรกิจการธนาคารของเราไม่ค่อยได้ปล่อยสินเชื่อให้รายย่อย นั่นเลยเป็นช่องทางให้กับธุรกิจ Nonbank อย่างพวก SAWAD และ MTC ได้มาทำหน้าที่นี้แทนพวกเขา เมื่อ Demand(ผู้ต้องการเงินรายย่อย) มีอยู่อย่างมหาศาล การเติบโตก็มหาศาลอีก และ Supply ที่กล้าทำตอนนั้นเองก็มีอยู่ไม่มาก Supply น้อย (MTC SAWAD) ดังนั้นแล้วหุ้นทังสองตัวนี้เลยโตเอาๆ จากความกลัว ความกังวลของหุ้นกลุ่มธนาคารนั่นเอง แต่เอาเถิดท่านอย่าเศร้ากับอุตสาหกรรมการเงินไทยเลย เพราะปัจจุบันนี้ภาครัฐก็ได้ส่งแบงก์ออมสินมาสู้ๆ พวกธุรกิจนี้แล้วครับ
การมาของออมสินเอง ทำให้เราอาจต้องกังวลมากขึ้นกับการลงทุนหุ้น SAWAD ครับ ว่าเขาจะมีโอกาสไปต่อได้หรือไม่ การแข่งขันนั้นดีตรงที่เราอาจจะได้พบนวัตกรรมใหม่ๆ และทางออกให้ผู้บริโภคที่สร้างสรรค์มากขึ้นจากการแย่งชิงตลาด แต่กระนั้นแล้วการลงทุนอย่างนักลงทุนเราคงต้องทำการบ้านหนักขึ้นครับ
แล้ว SAWAD ตอนนี้มีอะไร เรามาดูเส้น Yield Valuation ที่โปรแกรมสังเคราะห์มาครับ ว่าหากอนาคตคน "ให้ค่า" แก่ตัว SAWAD มากกว่าสมัยก่อน การที่เขาจะก้าวไกลเข้าสู่เส้นสีแดงนั้นก็อาจเป็นไปได้นั่นเองครับ เพราะว่ากำไรของเขาเติบโตตลอดเวลาเลย ตรงส่วนนี้ก็อยู่กับความคิดเห็นของรายย่อยอย่างเราแล้วครับ ว่าในฐานะผู้ถือหุ้นท่านจะเป็นลมใต้ปีกให้แก่ผู้บริหาร หรือทางผู้บริหารเขาจะทำอะไรได้บ้าง (ผมก็เพิ่งรู้ว่าที่ต่างประเทศนักลงทุนรายย่อยอย่างเราก็สามารถเสนอแผนธุรกิจให้แก่บริษัทได้เหมือนกันครับ หากเราเห็นศักยภาพของเขา)
ยาวหน่อย แต่ถ้าคุณชอบผมก็ดีใจนะครับ
[CK] ณ ระดับแนวรับที่สำคัญ ภายใต้ราคานี้เขามีอะไรอยู่กันนะ!!???หุ้น CK นับว่าเป็น 1 ในหุ้นที่ทำรับเหมาก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดของไทยซึ่งมีรายหลักๆ อยู่ 3 ราย อันได้แก่ STEC ITD CK
โดยหากมองแบบลึกๆ แล้ว หุ้นหมวดนี้เขามีวัฎจักรรายได้ที่ล้อตามการลงทุนของภาครัฐเลยครับ หากภาครัฐมีการลงทุนใหญ่ๆ สำคัญๆ คงไม่พ้นทั้ง 3 ตัวนี้ที่จะได้หน้าเหนือเค๊กเป็นแน่แท้ กอปรกับอาจมีการแข่งขันจากประเทศมหามิตรอย่างจีนในการที่เขามาเข้าประมูลควบคู่กับกลุ่ม CP ด้วยครับ
นอกจาก CK จะทำหน้าที่หลักเป็นรับเหมาก่อสร้างแล้ว เราก็ต้องไม่ลืมเลย ว่า CK ก็ได้ทำหน้าที่เป็นคุณแม่ที่ให้กำเนิดลูกๆ ที่สำคัญทั้งสิ้น 3 คนอันได้แก่ CKP TTW BEM ด้วย ซึ่งทั้ง 3 หุ้นนี้สังกัดอยู่ในหุ้นหมวด SET100 ด้วยกันทั้งสิ้นครับ
ซึ่งก็เข้ามาสู่ประเด็นที่ผมผูกไว้ที่หัวข้อเรื่องกันนะครับ ว่าที่ราคา 15 บาทแนวสำคัญนี้ มันมีอะไรแฝงอยู่กันแน่ นั่นคือเรื่องของเงินลงทุนในบริษัทลูกนั่นเองครับ ซึ่งที่ราคานี้นั้น Market Cap เทียบเท่ากับเงินลงทุนในบริษัทลูกเลย เรียกได้ว่าได้ซื้อธุรกิจรับเหมาที่ใหญ่ที่สุดแล้วก็ได้ของแถมเป็นลูกๆ ที่ทำกิจการเงินสดนั่นเองครับ (ไม่ว่าจะรับเงินค่าไฟจาก กฟผ เอย รับเงินค่าประปาเอย รับเงินจากคนที่สัญจรทางด่วนเอย)
ยาวหน่อยแต่ถ้าคุณชอบ ผมก็ดีใจนะครับ
[APCO] หุ้น Value จ๋า พร้อมงบอันแข็งแกร่งที่ไม่ยอมลง แม้ราคาแพง?สวัสดีปีใหม่มิตรสหายทาง Trading View ทุกท่านนะครับ
พอดีช่วงปีใหม่นี้ผมเองก็ว่างไม่ได้ออกไปไหนเนื่องจากเรื่องของไวรัสโควิดตามที่ท่านได้พบเจอกัน ผมเลยได้มาสอดส่องดูหุ้นรับปีใหม่ถือเป็นการวางแผนประจำปีไปด้วยนั่นเองครับ
แล้วทีนี้ผมก็เจอหุ้นตัวนึงเข้าที่มีความเป็น Value จ๋าๆ มีงบที่แข็งแกร่งมาก และมีกิจการที่ทำนุบำรุงซ่อมแซมเครื่องจักรทางการเงินของบริษัทได้ดีเสมอ มีอัตราการทำกำไรที่สูงมาก แต่อนิจจาที่เขาอาจหมดสิ้นสภาพความเป็นหุ้นเติบโตไปแล้ว
เป็นภาพสะท้อนกรายๆ ว่าหุ้นที่เคย Growth แล้วเป็นหุ้น Value เดี่ยวๆ มันเป็นแบบนี้นี่เอง
วันนี้ผมเลยอยากทำวีดีโอสั้นๆ มาอธิบายเกี่ยวกับหุ้น Value จ๋าๆ งบการเงินแข็งๆ นั้นเป็นอย่างไรให้ชมกันครับ โดยจะอธิบายอย่างกระชับไม่กินเวลาท่านมาก พอเป็นกระษัย ขนาดท่านจิบกาแฟแก้วหนึ่งแล้วยังอุ่นๆ อยู่ก็ได้สาระพอดี
หวังว่า Case Study ของ APCO นี้ จะช่วยเป็นไอเดียในการเลือกสรรค์หุ้นเข้าพอร์ตในอนาคตของใครไม่มากก็น้อยนะครับ ที่สำคัญคือขอให้ทุกคนมีวิจารณญาณในการลงทุนเสมอนะครับ
หวังว่าทุกท่านจะชอบใจไม่มากก็น้อย สามารถส่ง Feed Back หรือ Comment มาได้เสมอนะครับ ผมตามอ่านและนำมาปรับปรุงเสมอ
สวัสดีปีใหม่ครับ
[THANI] ความสวยงามของหุ้นที่กำไรโตแบบตามธรรมชาติ (Organic)
วันนี้ผมมีไอเดียการผนวกนำเอาเรื่องผลประกอบการ ผลกำไรสุทธิมาทำ Valuation เพื่อให้แสดงค่าราคาในการเข้าซื้อขายหุ้นให้ดูกันครับ
จากรูปนี้เส้นสีเขียว สีเหลือง และสีแดง แสดงค่าการนำตัวเลขผลประกอบการหรือ EPS มาคูณด้วย ค่าอัตราการจ่ายปันผล แล้วหารด้วยอัตราการจ่ายปันผลอีกที (Price = EPS * Dividend_Payout/Dividend_Yield)
ซึ่งราคาหุ้นที่จะได้นี้ จะกำหนดได้จากเปอร์เซ็นเงินปันผลที่ท่านต้องการเลย ซึ่งในที่นี้ผมตั้งค่าเงินปันผลไว้ที่ 5% ส่วน Payout ผมตั้งคงที่ไว้ท่ 40% ครับ
จากนั้นก็ปล่อยให้โค้ดของเราแสดงค่ากันไป
สิ่งที่น่าวิเศษใจ คือการที่เส้นเขียวของเราขึ้นไปเป็นขั้นบันไดแบบคงที่เรื่อยๆ นั่นเอง เสมือนว่าราคาเขาขึ้นไปตามพื้นฐานด้วยตัวของเขาเอง
ผมเชื่อว่าภาพนี้คงเป็นตัวบอกได้ดีเลย ว่าเหตุใดราคาหุ้นจึงมีขึ้นมีลง เหตุผลที่แจ่มแจ้งแน่ชัดก็เพราะว่า หุ้นตัวนั้นมีการเติบโตด้วยตัวของเขาเอง เขาสร้างคุณค่าตัวของเขาด้วยตัวเองนั่นเองครับ
สำหรับจุดเข้าซื้อ ผมแนะนำให้ผนวกเอาศาสตร์ด้าน Technical ในส่วนของ Price Pattern เข้ามาเสริมด้วยจะดีมากครับ หากราคามาแตะแนวรับทางพื้นฐานปุ๊ปจุดนั้นนับว่าเป็นจุดที่ไม่เลวเลยในการซื้อ แถมเราจะได้ราคา ณ ตำแหน่งเงินปันผลที่เราต้องการด้วย เป็นการรับรู้ความเสี่ยงและผลรางวัลที่เราจะได้รับในแต่ละครั้งเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ท่านอาจใช้แนวรับทางพื้นฐานนี้เป็นจุดเข้าซื้อในจุดที่คนอื่นกลัวได้ ดั่งคำของบัฟเฟตต์ที่ว่า "จงกลัวเมื่อคนอื่นกล้า จงกล้าเมื่อคนอื่นกลัว"
บทความประกอบนี้อาจจะยาวเสียหน่อย เพราะผมเพิ่งได้สมัครสมาชิก Trading View รายไป พอเห็นความงดงามของโค้ดที่เราเขียนแล้วอดนำมาเล่ามาแชร์สู่กันฟังไม่ได้เลยครับ
ยาวหน่อย แต่ถ้าคุณชอบ ผมก็ดีใจนะ ขอบคุณครับ
[BFIT] หุ้น PE ต่ำ Free Float ต่ำ ปันผลสูง ROE ก็สูง อัตรากำไรก็ในช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังปรับตัวเข้าใกล้ 1400 จุด ผมมองว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ไม่เลวเลยครับ ในการหาหุ้นคุณค่าพร้อมกับการทำทรงกราฟที่น่าสนใจ
วันนี้ผมเลยมาแนะนำหุ้น BFIT หุ้นที่มี PE ต่ำ ปันผลสูง ROE สูง แถมใครเป็นสายโมเมนตั้ม Technical หุ้นตัวนี้ก็มี Free Float ที่ต่ำเหมาะแก่การที่จะถูกเป่าขึ้นไปเมื่อไรก็ได้
เมื่อเทียบกับ ROE ของตลาดหลักทรัพย์จากที่ผมทำข้อมูลแล้ว ผมมองว่าหุ้นตัวนี้ให้อัตรา ROE ที่สุดยอดกว่าตลาดเกือบ 90% เลย นั่นคือตลาดให้ผลตอบแทนราวๆ 10% แต่หุ้นตัวนี้กลับให้สูงถึง 19% แถมยังมีโอกาสเติบโตจากการที่ธุรกิจบริษัทแม่หาฐานเงินทุนอีกด้วยครับ
ผมเลยมองว่าจุดที่เข้า ณ ช่วงนี้นับเป็นช่วงที่ไม่เลวเลยหากมีการวาง Risk to Reward ดีๆ และเป็นการได้หุ้นที่ดีในการถือยาว ณ จุดที่ได้ผลตอบตอบแทนจากเงินปันผลถึง 8% ซึ่งผมคิดว่ามันช่วยลดความเครียกจากการ Day Trade วันต่อวันด้วยครับจากการมีหุ้นไว้ถือยาว
สำหรับรายละเอียดปลีกย่อยจะเป็นอย่างไรมารับฟังกันได้เลยครับ
ยาวหน่อย แต่ถ้าคุณชอบ ผมก็ดีใจนะ
[CPALL] หุ้นโคตร Defensive ณ ราคาดัชนี 1200 จุด ดีไหม มาดููกันสำหรับ CPALL ผมมองว่าตอนนี้หุ้นตัวนี้เริ่มมี Valuation ที่น่าสนใจไม่เลวเลย
จากการที่ธุรกิจของเขานั้น ล้อตามตัว C ในสมการของ GDP (GDP = "C" +I+G+X-M)
ซึ่งตัว C ที่ว่าก็คือกำลังซื้อของผู้บริโภคนั่นเองครับ กล่างคือ หากว่ากำลังซื้อของคนกลับมาหุ้นตัวนี้ก็อาจได้รับอานิสงฆ์นั้นก็เป็นได้เลย
สำหรับหุ้นตัวนี้ที่อาจมีการเติบโตอื่นๆ เข้ามา จากการมีฐานทุนที่ใหญ่ขึ้น ก็ไม่เลวเลยที่เราจะมาลองทำการบ้านสำหรับตัวนี้ดูกันครับ รายละเอียดเป็นอย่างไร มารับชมกันครับ
PS. รายละเอียดนอกคลิป สำหรับ CPALL หุ้นตัวนี้ มี ROE หรืออัตราการทำกำไรต่อผู้ถือหุ้นอยู่ที่ราวๆ 20%++ ซึ่งนับว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับ ROE ของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะมีค่าอยู่ที่ราวๆ 9-11% เท่านั้น แล้วแต่ราคาน้ำมัน (ว่ากันมาตรง ตลาดบ้านเราพึ่งพิงอุตสาหกรรมเก่า อย่างน้ำมันมาก ถึงมากเลยครับ)
ซึ่งการมีระดับ ROE เท่านี้ เราเลยไม่แปลกใจเลยที่เขาให้มูลค่าเทรดที่ Market Cap. เหนือกว่า Asset ของบริษัทเสียอีก เราอาจมองได้ว่า หุ้นตัวนี้ถูกหวังกับการเติบโตในอนาคตก็ไม่ผิดเลยครับ
ซึ่งตรงส่วนนี้เราอาจจะเอาจุดที่ Market Cap <= Total Asset เป็นจุด Stop Loss คงอาจจะดูโหดร้ายไป (คนไม่เห็นอนาคต หมดฝันแล้ว)
ดังนั้นแล้วตรงส่วนนี้ท่านอาจจะใช้จุดซื้อแบบ Technical ในการเข้าซื้อก็ได้ครับ แล้วก็เอาไปบอกลูกหลานท่านว่าท่านเป็นเจ้าของ 7-11 คงคูลไม่น้อยเลย ฮาา
ปล. ทั้งหมดก็มีราวๆ นี้นะครับ หากมีอะไรเพิ่มเติมผมจะมาแจ้งครับ ยาวหน่อย แต่ถ้าคุณชอบ ผมก็ดีใจนะ
PLANB หุ้นสื่อนอกบ้านที่กำลังทำ Sideway และน่ามองขึ้นมากPLANB ตอนนี้เขากำลังเทรดอยู่ในกรอบ Sideway อยู่ในโซนที่น่าเก็บของไว้ขายข้างบน จากการใช้เครื่องมือ VWAP ของผมนี้เราจะเห็นได้ว่า ณ จุดนี้ เป็นจุดที่เหมาะกับการเก็บของไม่เลวเลยครับ
สำหรับด้านงบดุแล้ว หุ้นตัวนี้มีความแข็งแกร่งในด้านการมีเงินสดที่เพียงพอไม่มีปัญหาเรื่องหนี้สินแน่นอนครับ เผลอๆ อาจจะสามารถขอเครดิตเงินกู้ทำ Finance ในการขยายธุรกิจเพิ่ม ขยาย Topline ให้โตกว่านี้ได้ด้วยครับ
ด้าน มุมมองเรื่องเงินปันผลแล้วหุ้นตัวนี้นับว่ามี Premium พอสมควรเลยครับ จากการที่เขาเทรดที่ราคา Market Cap. เหนือราคา Asset รวม
จากการที่ผมมองว่าหุ้นตัวนี้เป็น Side Way อยู่ผมว่าตอนนี้เหมาะกับการเก็บ Position ของหุ้นในอนาคตอาจจะเพื่อปันผลหรือ Capital Gain ก็ได้ ครับ โดยการวาง RR เพื่อให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด
ผมมี Entry Point ที่ 5.75 Stoploss ที่ 5.35 และ Take Profit ที่ 7.10 บาทครับ
อีกประเด็นหนึ่งที่ผมตั้งจุด Take Profit ไว้ที่ 6.10 บาท นี้ก็เพราะว่าบริเวณนี้เป็นบริเวณที่หุ้นเคยเทรดที่ Valuation นี้มาก่อนครับ ผมมีความเชื่อว่าหากอะไรเริ่มเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น ผ่านพ้นวิกฤติไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเขาน่าจะกลับมาได้แน่ๆ ดังนั้น Valuation ที่ราคานี้เลยมีโอกาสที่จะได้เห็นแน่นอนครับ
ขอให้มิตรสหายเทรดเดอร์ชาวไทยรักษาสุขภาพกนด้วยนะครับ หวังว่าไอเดียด้านพื้นฐานเทคนิคแบบ Hybrid นี้จะช่วยท่านได้ไม่มากก็น้อย
ยาวหน่อย แต่ถ้าคุณชอบ ผมก็ดีใจนะครับ ขอบคุณมากครับ
มีความเห็นอย่างไรคอมเม้นมาได้เลยนะครับผมอ่านทุกคอมเม้นเลยครับ :)
[TH]AEONTS Sideway อยู่ข้างล่างเริ่มเบรกกรอบขึ้นแล้วสำหรับหุ้น Aeonts ตัวนี้ ผมชอบในความที่เขาเป็นบัตรเครดิตจากญี่ปุ่นที่ IPO ในไทย แต่มีฐานลูกค้าในเขตพม่า ลาว ไทย 3 ประเทศเลย(แถบลุ่มแม่น้ำโขง) ผมเลยมองว่าในอนาคตหากผ่านพ้นวิกฤติไปแล้ว กำลังซื้อกลับมา บัตรเครดิตก็อาจกลับมาได้ครับ
ในคลิปวีดีโอนี้ผมได้ให้ไอเดียทั้งทางด้านเทคนิค และพื้นฐานอย่างครบถ้วนในมุมมองของผมพอตัวเลย
ซึ่งวีดีโออาจยาวหน่อย แต่ถ้าพวกคุณชอบผมก็ดีใจนะครับ
[TH]CPALL Test เส้น MA แล้วดีดกลับทันทีสำหรับ CPALL ตอนนี้เขาได้ทำไส้เทียน Test เส้น Volume Weight Moving Average ระดับ 35 วัน แล้ว เขาก็กลับตัวเป็นแท่งเขียวทันที
ผมมองว่า ณ จุดนี้เป็นนิมิตรหมายที่ไม่เลวเลยครับ ที่เราอาจจะลองเริ่มลงทุนในหุ้น Growth ตัวนี้ แม้ว่า Market Cap. ของเขาจะสูงระดับแสนล้านแล้ว แต่หากเก็บบางส่วนไว้ลงทุนระยะยาว และบางส่วนไว้เล่นสั้น คงได้กระแสเงินสดมาสร้างพอร์ตไม่น้อยเลย
สำหรับมุมมองทางด้าน Fundamental ที่ผมนำมาประยุคใช้ในกราฟนี้นะครับ จะเป็นเส้น ที่แสดงเงินปันผลที่ระดับ 1.12% 1.25% และ 1.38% ซึ่งตอนนี้เขาสามารถยืนได้ที่เส้นระดับเงินปันผลที่ 1.38% เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากท่านได้ย้อนกลับไปดูในอดีต ท่านจะเห็นทันที ว่าหุ้นตัวนี้เทรดที่ระดับค่าที่ 3 เส้นนี่แหละครับ
หากอนาคตเขากลับมาทำได้ดี แก้ไขปัญหาคนไม่ซื้อของโดยไม่ใส่ถุงได้ ผมว่าราคาเขากลับมาได้แน่นอนครับ
ยาวหน่อย แต่หากคุณชอบ ผมก็ดีใจนะ
[TH]SPVI กำลังทำทรง ascending triangleจากภาพและคำบรรยาย จะเห็นว่าหุ้น SPVI กำลังทำทรง ascending triangle หรือทรงสามเหลี่ยมที่มีการยก Low เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยมี High อยู่ที่บริเวณเดิม พร้อมกับมี Volume เข้ามาประกอบ จึงเป็นเหตุให้หุ้นตัวนี้ปรับขึ้นได้ในอนาคต
แถมประกอบกับอินดิเคเตอร์ Relative Strength นี้ ได้แสดงค่าที่เหนือ 0 แสดงให้เห็นว่าตัวหุ้นตัวนี้มีความแข็งแกร่งกว่าตลาดมาก ในรอบ 60 วัน
ในแง่พื้นฐานแล้วหุ้นตัวนี้นับว่าเป็น Growth Stock ที่เทรด ณ ระดับเงินปันผลที่อยู่ระหว่าง 2-4% แถมมีการเทรดที่ Market Cap. เหนือ Asset ของเขาด้วย นับว่าตลาดให้ค่ากับอนาคตมาก
ทั้งหลายนี้ผมเลยมองว่าตลาดมีการให้ค่ากับอนาคตพอสมควร โอกาสที่จะขึ้นไปพร้อมรับรู้ผลประกอบการยังมีอยู่มากเลยครับ
ยาวหน่อย แต่ถ้าคุณชอบ ผมก็ดีใจนะ
ขอบคุณครับ
[TH]EPG เทรดที่ Market Cap. เทียบเท่า Asset กำลังทำทรงหูและถ้วยปัจจัยด้านพื้นฐานที่น่าจับตา
- ปกติแล้วหุ้น EPG ท่าที่ผมสังเกตมา เขามักเทรดที่เหนือ Asset ของเขาตลอดเลยครับ (เส้น Asset Line คือเส้นสีส้มเป็นแนวนอน หาได้จากการนำ Asset รวม / จำนวนหุ้นในตลาดทั้งหมด) ชี้เป็นนัยๆ ถึงการที่ว่าตลาดให้ค่า Premium กับหุ้นตัวนี้มาก
- การที่หุ้นใดๆ ซื้อขายเหนือราคาสินทรัพย์รวมของบริษัทแล้ว มันเหมือนกับการที่เขาหวังสินทรัพย์ที่ใช้หารายได้นี้ให้มากยิ่งๆ ขึ้นไป
- และด้วยผลกระทบจากช่วง COVID-19 ส่งผลให้หุ้นตัวนี้เทรดต่ำกว่า Asset Line นี้มาก จนตอนนี้เทรดอยู่ที่ปริ่มๆ ค่านี้
- และด้วยเกณฑ์นี้ จึงนำไปสู่ปัจจัยทางเทคนิคที่ผมอยากกล่าวเป็นลำดับถัดไป
ปัจจัยด้านเทคนิค
- จากที่สังเกต หุ้นตัวนี้หลังจากที่เขาแสดงตัวว่าไม่เป็น Down Trend แล้ว เขาก็ทำทรง Sideway Up ตลอดเลย
- ทำให้ผมแอบนึกถึงทรง Cup with Handle อย่างบอกไม่ถูกเลยครับ ณ แนวบริเวณที่ดูมีนัยยะอย่างที่ Asset Line
- ถือว่าน่าจับตามองดูน่าชม
- หากไม่ติดอะไร ผมลองเทียบ RR ของตัวนี้ ถ้าหากทำทรงหูถ้วยจริงๆ ก็ถือว่าคุ้มค่ากับ RR 1:3 ไม่น้อยเลยครับ หากตั้งเป็นแบบ SL : Entry : TP ;
4.62 :4.88 :5.75
ยาวหน่อย แต่หากคุณชอบ ผมก็ดีใจนะครับ
Gunkul มองขึ้น จากการยก Low และมีการทำ Breakout ระยะสั้นSET:GUNKUL
จากที่ท่านเห็นนี้ กราฟเริ่มมีการฟอร์มตัวเป็นขาขึ้น
-ประกอบกับอินดิเคเตอร์ Relative Strength เริ่มฟอร์มตัวเป็นขาขึ้น (ใช้ตัวเลขอ้างอิงจากราคาหุ้นเทียบกับเัชนี SET Index 200 วัน ย้อนหลัง)
-ปัจจัยด้าน Fundamental สอดรับที่หุ้นเทรดที่ -1 SD จากค่า Price per Book Value คุ้มค่าที่จะ Bet กับอนาคตของเขา
- ตัว Model ธุรกิจของ Gunkul เรียกว่าไม่น่าจะกระทบจาก Covid-19 มากนะผมว่า แผมกำไรช่วงหลังมาจากการข่ายไฟฟ้าซึ่งแทบจะเป็น Recurring Income ด้วย ดังนั้นแล้ว หากไม่มีอะไรผิดพลาด กำไรของเขาน่าจะเป็นบวกอยู่ในปีนี้ และราคาก็น่าจะตามผลกำไรที่จะเติบโตด้วย
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ผมเลยมองว่า Gunkul จะเป็นบวก น่าลงทุนนั่นเองครับ
ATP30 มี Volume Sprinter จากตรงส่วนนี้น่าจะอยู่ในกรอบสะสมไม่นานSET:ATP30
จากภาพที่ท่านได้เห็นอยู่ จะพบว่าหุ้น ATP30 เริ่มการยก Low เดิม และกำลัง Test สร้าง Low ใหม่ของเขาอยู่
เมื่อก่อนหน้านี้ไม่นาน เริ่มมีแรงซื้อมหาศาลเข้ามามาก ทำให้ราคาดีดตัวขึ้นไปสูง ก่อนที่จะมีการย่อตัวลงมาอีกครั้ง
หากเราใช้จุดที่ย่อลงมา และจุด Stoploss ซึ่งเป็นจุด Low ก่อนหน้านี้ กำหนด RR ตามรูป และจุด Take Profit เป็นเส้นส้ม เราจะได้ RR ออกมาที่ประมาณ 3.6 คุ้มค่าต่อการเทรด
เส้นส้มที่ใช้นั้น เป็นเส้นที่ได้จากการนำ Asset ทั้งหมดของบริษัทนี้ มาหารด้วยจำนวนหุ้นที่จดทะเบียนของบริษัท ได้ออกมาเป็นเส้นส้ม ซึ่งโดยปกติแล้ว หุ้น ATP30 นี้ เทรดเหนือเส้นส้มมาโดยตลอด หากท่านได้ย้อนกราฟกลับไปดู
การที่บริษัทเทรดเหนือเส้นส้มนี้ แสดงออกกรายๆ ว่าตัวหุ้นนั้นมีพรีเมี่ยม คนให้ค่ากับอนาคต ผมมองว่าหากอนาคตหุ้นตัวนี้กลับมาสเใสเหมือนเดิม การลงทุนก็จะกลับมา
แถมว่ากันตามตรง ตัวหุ้น ATP30 แต่เดิมเป็นธุรกิจบริหารรถขนส่งลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร เนื่องด้วยการมี COVID-19 ส่งผลให้เกิดการจ้างงานน้อยลงด้วย อาจทำให้การบริการลดน้อยลง ซึ่งด้วยเหตุนี้คนเลยอาจไม่ให้ความเชื่อมั่นในอนาคตเลยทำให้คนไม่ค่อยให้ค่ากับหุ้นตัวนี้ แม้ว่าในส่วนของผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะมี Strategic Shareholder อย่างบริษัทในเครือ อมตะ อยู่แล้วก็ตาม
แต่หากเหตุการณ์คลี่คลายแล้วเล่า? ท่านคิดว่าหุ้นจะกลับมาเทรดที่ราคาตามปกติเหนือ Premium ไหม? ผมอยากให้ท่านลองเก็บไปคิดดูครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มุมมองด้านพื้นฐาน นอกจากเส้น Asset Line แล้ว ผมพบว่าหุ้นตัวนี้กำลังเทรดที่ Valuation ระดับเงินปันผลที่ราวๆ น้อยกว่า 3.25% เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยอ้างอิงจากการใช้ Dividend Policy ที่ 40% ท่านอาจใช้ 3.25% นี้เป็นจุดStoploss หรือการแบ่งไม้ซื้อก็ได้ครับ
ยาวหน่อย แต่ถ้าหากคุณชอบ ผมก็ดีใจนะ
Alla หุ้นที่กำลังพักตัวและปรับตัวเป็นขาขึ้นจากที่ท่านได้เห็นในรูปที่ผมแนบไปนี้
-เจ้าหุ้น Alla นี้ กำลังเทรดอยู่ภายใต้เส้น VWAP สีแดง ซึ่งแสดงถึงว่ากำลังเทรดอยู่ใต่ VWAP TF Week ทุนที่อยู่ข้างใต้นี้ผมนับว่าน่าสนใจมาก
-ราคากำลังผ่าน Trendline ขากดสีเขียว ที่ผมได้ตีไว้
-หากสังเกตดีๆ ราคาหุ้น ณ วันนี้กำลังเทรดอยู่บนเส้นสีเทา ซึ่งแสดงถึง VWAP ที่กำลัง Lagging (ตั้ง Offset VWAP ที่ถอยหลังจากปัจจุบันไป 5 วัน) สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าตัวหุ้นไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่ เมื่อเทียบกับ 5 วันที่ผ่านมา
ปัจจัยด้านพื้นฐานของหุ้นตัวนี้ คือการที่เขาเทรด ณ ที่ระดับเงินปันผลระดับ 6% จากการที่ท่านจะเห็นได้จากเส้นสีน้ำเงินแนวนอนยาว จากโค้ดที่ผมเขียนเอง
โดยใช้การประเมินมูลค่าที่คำนึงถึงเงินปันผล โดยใช้ Dividend Payout Raio ที่ระดับ 40% เป็น Margin of Safety
ทั้งนี้ทั้งนั้น โดยสรุปแล้ว ผมมองหุ้นตัวนี้ขึ้น จากการที่ Price Pattern แสดงรูปร่างหน้าตาแบบนี้ครับ ขอบคุณครับ
SET:ALLA