EUR/USD Near 1.1750EUR/USD เคลื่อนไหวใกล้ระดับ 1.1750 จับตาถ้อยแถลงจากเฟด (Fedspeak)
ค่าเงิน EUR/USD ยังคงทรงตัวใกล้ระดับ 1.1750 ในช่วงการซื้อขายของตลาดยุโรปวันศุกร์ หลังจากอ่อนตัวลงเล็กน้อยจากจุดสูงสุดในรอบ 10 สัปดาห์ โดยการปรับฐานถูกจำกัดจากการฟื้นตัวเพียงเล็กน้อยของเงินดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม แรงกดดันด้านขาลงของคู่เงินอาจยังมีจำกัด ท่ามกลางความคาดหวังต่อทิศทางนโยบายการเงินที่แตกต่างกันระหว่างธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ขณะที่ตลาดกำลังรอถ้อยแถลงจากเจ้าหน้าที่เฟด (Fedspeak) เพื่อประเมินแนวโน้มในระยะถัดไป
## มุมมองทางเทคนิค (Technical Overview)
ในเชิงเทคนิค แนวโน้มระยะสั้นของ EUR/USD ยังคงอยู่ในฝั่งขาขึ้น โดยราคาปัจจุบันยืนอยู่สูงกว่าราคาเปิดของวันประมาณ 23 จุด (pips) ขณะที่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบธรรมดา (Simple Moving Average: SMA) ระยะ 20 ช่วง ปรับตัวขึ้นเหนือเส้น SMA ระยะ 100 และ 200 ช่วง และทั้งสามเส้นมีทิศทางขาขึ้น ซึ่งสนับสนุนมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มราคา โดยราคายังคงเคลื่อนไหวเหนือเส้นค่าเฉลี่ยทั้งหมด และเส้น SMA 20 ช่วงบริเวณ 1.1656 ทำหน้าที่เป็นแนวรับเชิงพลวัตในระยะใกล้
ขณะเดียวกัน ตัวชี้วัด Momentum ยังคงเคลื่อนไหวเหนือระดับกึ่งกลางและปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนถึงแรงซื้อที่เริ่มแข็งแกร่งขึ้น ส่วนดัชนี Relative Strength Index (RSI) อยู่ที่ระดับ 69 ซึ่งเข้าใกล้เขตซื้อมากเกินไป (Overbought) ทำให้การปรับขึ้นต่ออาจเริ่มชะลอลงได้ในระยะสั้น แนวรับแรกกระจุกตัวอยู่บริเวณเส้น SMA 20 และ 100 ช่วงที่กำลังปรับตัวขึ้น ระหว่างระดับ 1.1656–1.1603 โดยตราบใดที่ราคายังยืนเหนือโซนดังกล่าว อคติระหว่างวันยังคงเป็นบวก
สำหรับกราฟรายวัน EUR/USD ซื้อขายอยู่เหนือเส้น SMA 20 วันซึ่งมีลักษณะเป็นขาขึ้นที่ระดับ 1.1605 แต่ยังคงอยู่ต่ำกว่าเส้น SMA 100 วันที่ระดับ 1.1642 ซึ่งยังคงมีความลาดเอียงลงเล็กน้อย อย่างไรก็ดี ราคาเคลื่อนไหวเหนือเส้น SMA 200 วันที่กำลังปรับตัวขึ้นที่ระดับ 1.1478 ซึ่งช่วยตอกย้ำภาพรวมแนวโน้มเชิงบวก นอกจากนี้ ตัวชี้วัด Momentum ยังคงขยับขึ้นในแดนบวก ขณะที่ RSI อยู่ในระดับเชิงบวกเช่นกันที่ประมาณ 66
## ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Overview)
คู่เงิน EUR/USD ซื้อขายใกล้จุดสูงสุดใหม่ในรอบสองเดือนที่ระดับ 1.1719 ในวันพฤหัสบดี โดยเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงหลังการประกาศผลการประชุมด้านนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) หลังการประชุมเป็นเวลา 2 วัน เฟดประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 จุดพื้นฐาน (bps) ในวันพุธที่ผ่านมา ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Federal Funds Target Range) อยู่ที่ระดับ 3.50%–3.75% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ของเฟดสะท้อนให้เห็นถึงความเห็นที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนภายในคณะกรรมการกำหนดนโยบาย โดย Stephen Miran สนับสนุนการปรับลดดอกเบี้ยที่มากกว่านี้ถึง 50 จุดพื้นฐาน ขณะที่ประธานเฟดสาขาชิคาโก Austan Goolsbee และประธานเฟดสาขาแคนซัสซิตี Jeffrey Schmid มีความเห็นให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เฟดยังเผยแพร่รายงานประมาณการเศรษฐกิจ (Summary of Economic Projections: SEP) ฉบับใหม่ ซึ่งยังคงมุมมองว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในปี 2026 และอีก 1 ครั้งในปี 2027 ซึ่งถือว่ามีลักษณะค่อนข้างเข้มงวด (Hawkish) มากกว่าที่ตลาดคาดไว้ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าประธานเฟด Jerome Powell จะสิ้นสุดวาระในเดือนพฤษภาคม 2026
จากปัจจัยดังกล่าว ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐผันผวนทั้งในแดนบวกและลบ แต่สุดท้ายอ่อนค่าลง เนื่องจากบรรยากาศการลงทุนเชิงบวกมีน้ำหนักมากกว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เพิ่มแรงกดดันต่อเงินดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนเชิงเก็งกำไรเพิ่มน้ำหนักคาดการณ์ว่าต้นทุนการกู้ยืมจะปรับลดลงในอนาคต
ด้านปฏิทินเศรษฐกิจของยุโรปไม่มีข้อมูลสำคัญที่จะประกาศ ขณะที่สหรัฐจะมีการเผยข้อมูลเศรษฐกิจระดับรอง ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดุลการค้าในภาคสินค้าและบริการ
ดอลล่าร์สหรัฐ
เยนอ่อนต่อเนื่อง จับตา USD/JPY พุ่งแรงรอผลตัวเลขสหรัฐ 🇯🇵 **แรงขายเยนญี่ปุ่นยังต่อเนื่อง – USD/JPY ทำจุดสูงสุดใหม่หลายเดือนจากแรงหนุนของดอลลาร์**
ค่าเงินเยนญี่ปุ่นยังคงอ่อนค่าต่อเนื่องเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแข็งค่ากว่าสกุลเงินหลักโดยรวม ส่งผลให้ USD/JPY ทำระดับสูงสุดใหม่ตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ระหว่างช่วงการซื้อขายเอเช้าวันพฤหัสบดี ความกังวลเกี่ยวกับสถานะการคลังที่อ่อนแอของญี่ปุ่น ภายใต้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ของนายกรัฐมนตรี ซาเนะ ทาคาอิชิ ยังคงเป็นแรงกดดันต่อเยนอย่างต่อเนื่อง
---
# 🧭 **USD/JPY: มุมมองทางเทคนิค**
* **RSI รายวันอยู่ในโซนซื้อมากเกินไป (Overbought)** ทำให้ผู้เล่นตลาดลังเลที่จะเข้าซื้อดอลลาร์เพิ่มในระดับปัจจุบัน
* มองว่าราคาอาจต้องมีการ **พักฐานหรือย่อเล็กน้อย** ก่อนจะมีแรงซื้อรอบใหม่
### 🔽 แนวรับสำคัญ
* 156.65–156.60 : แนวรับแรก หากหลุดอาจเห็นการลงต่อสู่
* 156.00 : แนวรับจุดหมุน (Pivot) ซึ่งหากราคาหลุดต่ำกว่าอย่างยืนยาว อาจกระตุ้นแรงขายทางเทคนิคและทำให้เกิดการปรับลงลึกกว่าเดิม
### 🔼 แนวต้านสำคัญ
* 157.40–157.45 : แนวต้านระยะใกล้
* หากผ่านไปได้ ราคามีโอกาสขึ้นทดสอบ
* **158.00** และโซน **กลาง 158**
* ก่อนเป้าหมายถัดไปที่ **159.00** ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของเดือนมกราคมที่ผ่านมา
---
# 🏛️ **ปัจจัยพื้นฐาน: เศรษฐกิจญี่ปุ่นชะลอ – กดดัน BoJ ให้ชะลอการขึ้นดอกเบี้ย**
ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดเผยว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่น **หดตัวในไตรมาส 3 เป็นครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส**, ซึ่งสร้างแรงกดดันให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ต้องเลื่อนการปรับขึ้นดอกเบี้ยออกไป และเป็นปัจจัยลบต่อค่าเงินเยน
นอกจากนี้
* บรรยากาศการลงทุนแบบ Risk-on ยิ่งทำให้ความต้องการถือเยนลดลง
* ดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าต่อเนื่อง จากความคาดหวังที่ลดลงว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะลดดอกเบี้ยอีกหนึ่งครั้งในเดือนธันวาคม
* การส่งสัญญาณแทรกแซงค่าเงินจากเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นยังไม่สามารถหยุดแรงขายเยนได้
ตลาดกำลังรอรายงาน **Nonfarm Payrolls (NFP)** ที่เลื่อนประกาศออกไป ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อทิศทาง USD/JPY ในช่วงค่ำนี้
---
# 📰 **แรงขายเยนยังไม่หยุด – นโยบายการคลังของทาคาอิชิยังหนุนแนวโน้มเยนอ่อนต่อ**
นายมิโนรุ คิฮาระ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวว่าการเคลื่อนไหวของค่าเงินล่าสุด “รวดเร็วและเอนเอียงมากเกินไป” และรัฐบาลกำลังติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด พร้อมระบุว่าค่าควรเคลื่อนที่อย่างมีเสถียรภาพตามปัจจัยพื้นฐาน
ก่อนหน้านี้หนึ่งวัน
* รัฐมนตรีคลัง ซัทสึกิ คาตายามะ เตือนตลาดอีกรอบและระบุว่ารัฐบาลจับตาการเคลื่อนไหวของค่าเงินอย่างเร่งด่วน
* แม้จะเป็นสัญญาณแทรกแซง แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดการอ่อนค่าของเยนได้
### 💰 นโยบายการคลังของรัฐบาลทาคาอิชิ
* ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา นายโกชิ คาตาโอกะ ระบุว่าญี่ปุ่นจำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่าประมาณ **23 ล้านล้านเยน**
* พร้อมคาดว่า BoJ ไม่น่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยก่อนเดือนมีนาคม เพราะต้องรอผลของมาตรการกระตุ้นก่อน
### 📉 เศรษฐกิจชะลอตัว หนุนแนวโน้มเยนอ่อน
ข้อมูลรัฐบาลยืนยันว่าเศรษฐกิจไตรมาส 3 หดตัว ทำให้คาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยของ BoJ ชะลอตัวลง ซึ่งเป็นปัจจัยดันเยนอ่อนต่อเนื่อง
### 📊 โพล Reuters
* นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่า BoJ จะขึ้นดอกเบี้ยสู่ **0.75% ในเดือนธันวาคม**
* ทั้งหมดเห็นตรงกันว่าจะถึงระดับนี้ไม่เกินไตรมาส 1
* การอ่อนค่าของเยนและเงินเฟ้อนำเข้าเพิ่มความเสี่ยง ขณะที่ค่าจ้างยังมีแนวโน้มเติบโตสูง
---
# 💵 **ดอลลาร์แข็งค่ากลับสู่ระดับสูงสุดตั้งแต่เดือนพฤษภาคม**
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่ากลับขึ้นมาใกล้ระดับสูงสุดในรอบหลายเดือน หลังจากรายงาน FOMC minutes บ่งชี้ว่าสมาชิกมีความเห็นแตกต่างเรื่องเส้นทางลดดอกเบี้ย ทำให้ความคาดหวังการลดดอกเบี้ยเดือนธันวาคมลดลง
ตลาดกำลังรอรายงาน **NFP** เพื่อกำหนดทิศทางดอลลาร์และ USD/JPY เพิ่มเติมในคืนนี้ช่วงตลาดอเมริกา
---
# 📆 **ปฏิทินเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องในวันนี้ (จากภาพที่ส่งมา)**
**เวลาตาม GMT**
* **09:55 EUR – ประมูลพันธบัตร 10 ปีของสเปน**
* **10:00 EUR – ผลผลิตก่อสร้าง (YoY / MoM)**
* **11:00 EUR – รายงานรายเดือนจากธนาคารกลางเยอรมนี (Buba)**
* **13:30 USD – ค่าแรงเฉลี่ยต่อชั่วโมง (YoY)**
* **13:30 USD – ชั่วโมงทำงานเฉลี่ยต่อสัปดาห์**
* **13:30 USD – จำนวนการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP)**
* **13:30 USD – อัตราการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงาน**
* **13:30 CAD – ดัชนีราคาวัตถุดิบ / ราคาสินค้าอุตสาหกรรม**
ทองคำลุ้นทะลุ 4,100 ดอลลาร์ก่อนรายงานประชุม FOMC **การวิเคราะห์แนวโน้มราคาทองคำ**
### **ทองคำไต่ขึ้นสู่โซน 4,100 ดอลลาร์ จับตาทำจุดสูงสุดรายสัปดาห์ก่อนการเผยแพร่รายงานประชุม FOMC**
ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่สอง โดยต่อยอดจากแรงฟื้นตัวของวันก่อนซึ่งดีดกลับจากระดับต่ำสุดรอบหนึ่งสัปดาห์ครึ่ง บริเวณต่ำกว่าแนวจิตวิทยา 4,000 ดอลลาร์เล็กน้อย โมเมนตัมการดีดตัวนี้ช่วยหนุนให้ราคาทองคำไต่ขึ้นสู่กรอบบนของช่วงราคาในรอบสัปดาห์ ขณะที่ฝั่งกระทิงกำลังรอการยืนเหนือโซน 4,100 ดอลลาร์อย่างมั่นคง เพื่อเป็นสัญญาณเปิดทางไปสู่การปรับขึ้นระลอกใหม่ ขณะตลาดยังรอผลรายงานประชุม FOMC อย่างใกล้ชิด
ในทางเทคนิค ทองคำได้รับแรงซื้อกลับเมื่อวันอังคารบริเวณเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล 200 คาบ (200 EMA) บนกราฟ 4 ชั่วโมง อย่างไรก็ดี สัญญาณจากออสซิลเลเตอร์ที่ผสมผสานทั้งบวกและลบยังบ่งชี้ให้ระมัดระวังก่อนเปิดสถานะฝั่งซื้อเพิ่มเติม
ระดับจิตวิทยา 4,100 ดอลลาร์ยังคงเป็นแนวต้านสำคัญ หากราคาทะลุผ่านได้ อาจกระตุ้นแรงปิดสถานะขาย (short-covering) และดันราคาขึ้นสู่แนวต้านถัดไปที่ 4,152–4,155 ดอลลาร์ ก่อนทดสอบโซน 4,200 ดอลลาร์
ในทางกลับกัน พื้นที่ 4,037–4,036 ดอลลาร์คาดว่าจะช่วยประคองการปรับลงระยะสั้น ก่อนถึง 200 EMA บนกราฟ 4 ชั่วโมง ซึ่งขณะนี้อยู่เหนือโซน 4,000 เล็กน้อย หากราคาหลุดต่ำกว่าแนวนี้อย่างชัดเจน ทองคำอาจอ่อนค่าต่อเนื่องสู่แนวรับ 3,931 ดอลลาร์ และมีโอกาสลงไปถึงโซน 3,900 ดอลลาร์ ก่อนจะลงทดสอบจุดต่ำสุดปลายเดือนตุลาคมบริเวณ 3,886 ดอลลาร์
---
## **ภาพรวมปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Overview)**
ตลาดกำลังรอรายงานการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐ (NFP) ซึ่งถูกเลื่อนประกาศไปเป็นวันพฤหัสบดี เพื่อเป็นตัวชี้นำเส้นทางการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อราคาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทน
ในระหว่างนี้ ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐยังคงกดดันดอลลาร์ให้อ่อนค่าลงจากระดับสูงสุดในรอบหนึ่งสัปดาห์ และส่งผลเป็นแรงหนุนต่อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม บริบทพื้นฐานที่ผสมทั้งบวกและลบยังเป็นเหตุผลให้ฝั่งกระทิงต้องเดินหน้าอย่างระมัดระวัง
### **ทองคำยังได้รับแรงหนุนจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยและการอ่อนค่าของดอลลาร์**
บรรดานักลงทุนยังกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจจากภาวะชัตดาวน์รัฐบาลสหรัฐที่ยืดเยื้อที่สุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งกดดัน sentiment ของตลาดและกระตุ้นการถือครองทองคำในช่วงการซื้อขายเอเชียวันพุธ
สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ยังคงตึงเครียด เมื่อยูเครนระบุว่าสามารถโจมตีเป้าหมายทางทหารในรัสเซียด้วยขีปนาวุธ ATACMS ที่ได้รับจากสหรัฐ ขณะที่ประธานาธิบดียูเครน วลาดิเมียร์ เซเลนสกี เตรียมเดินทางไปตุรกีเพื่อรื้อฟื้นการเจรจาสันติภาพ โดยมีผู้แทนพิเศษของสหรัฐ สตีฟ วิตคอฟ เข้าร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม โฆษกเครมลินประกาศว่า รัสเซียจะไม่ส่งผู้แทนเข้าร่วม ซึ่งช่วยรักษาความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และหนุนราคาทองคำต่อเนื่อง
ด้านสกุลเงินดอลลาร์ยังขาดแรงซื้อที่ชัดเจน แม้อยู่ใกล้ระดับสูงสุดรอบหนึ่งสัปดาห์ จากความคาดหวังที่ลดลงว่า Fed จะผ่อนคลายนโยบายเร็วเกินไป เจ้าหน้าที่หลายรายส่งสัญญาณให้ดำเนินนโยบายด้วยความระมัดระวัง โดยรองประธาน Fed ฟิลลิป เจฟเฟอร์สัน ระบุว่า Fed ควรดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่ผู้ว่าการ คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ยังคงสนับสนุนการลดดอกเบี้ยเพิ่มจากความกังวลต่อตลาดแรงงาน
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนผู้รับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องเพิ่มขึ้นสู่ 1.957 ล้านคน ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 18 ตุลาคม สะท้อนอัตราว่างงานที่ยังอยู่ในระดับสูง
ด้วยเหตุนี้ รายงาน NFP เดือนกันยายนที่เลื่อนประกาศไปวันพฤหัสบดี รวมถึงรายงานประชุม FOMC ที่จะเผยแพร่ในวันนี้ จะเป็นปัจจัยหลักที่ตลาดจับตาเพื่อประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของ Fed และจะส่งผลต่อทิศทางของดอลลาร์และคู่เงิน XAU/USD
ยูโรแข็งค่า ดอลลาร์อ่อน หุ้นทั่วโลกระสับรอเฟดตัดดอกเบี้ยค่าเงินยูโรเทียบดอลลาร์ (EUR/USD) ยังคงปรับตัวขึ้นเล็กน้อย และยังมีพื้นที่ให้ทดสอบช่วง 1.1700-1.1735 ก่อนที่จะเผชิญแรงปรับฐานในระยะกลาง ขณะที่ดัชนีดอลลาร์อ่อนตัวลงต่ำกว่า 99.45 และมีโอกาสปรับลงต่อสู่โซน 99-98 อีกทั้งคู่เงิน EUR/INR ยังคงมีทิศทางแข็งแกร่งเหนือระดับ 102.50 และมีแนวโน้มขยับขึ้นสู่บริเวณ 104.5 ส่วนค่าเงินยูโรเทียบเยน (EUR/JPY) กำลังทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 180 หากไม่สามารถผ่านขึ้นไปได้ มีโอกาสปรับตัวกลับลงสู่ช่วง 178-176 แต่หากสามารถทะลุผ่านระดับดังกล่าวได้อย่างยั่งยืน อาจเปิดทางให้ปรับขึ้นต่อไปยังบริเวณ 182-184 ในขณะเดียวกัน ดอลลาร์เทียบเยน (USD/JPY) เคลื่อนไหวในกรอบแคบระหว่าง 155-154 และการหลุดกรอบดังกล่าวไม่ว่าด้านใดด้านหนึ่งอาจนำไปสู่การเคลื่อนไหวที่ชัดเจนขึ้นสู่โซน 156-158 หรืออ่อนลงสู่ระดับ 152 ด้าน USD/CNY ยังคงทรงตัวเหนือแนวรับบริเวณ 7.0950 พร้อมความเป็นไปได้ที่จะดีดตัวขึ้น ส่วนค่าเงินออสซี่ถูกกดดันจากแนวต้านบริเวณ 0.6580 และยังเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด ขณะที่เงินปอนด์ยังมีความเสี่ยงอ่อนค่าลงสู่โซน 1.30 ตราบใดที่ยังไม่สามารถผ่าน 1.3250 ได้ สำหรับค่าเงินบาทอินเดีย (USD/INR) ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ 88.50-88.85 และมีโอกาสอ่อนค่าต่อเมื่อหลุดต่ำกว่า 88.50 เท่านั้น
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องและเข้าใกล้กรอบบนของช่วงการเคลื่อนไหวเดิม ทำให้ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าการเบรกขึ้นที่เคยคาดการณ์ไว้จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ในยุโรป อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีดีดตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วและอยู่เพียงเล็กน้อยก่อนถึงแนวต้านสำคัญ ซึ่งหากสามารถทะลุขึ้นไปได้จะเป็นการลบล้างมุมมองเชิงลบก่อนหน้านี้ ด้านพันธบัตรรัฐบาลอินเดียอายุ 10 ปี (10Yr GoI) ยังคงยืนเหนือแนวรับได้ดีและมีโอกาสปรับขึ้นต่อ
ในตลาดหุ้น ดัชนีส่วนใหญ่ปรับตัวลงหลังการยุติการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยาวนานที่สุด โดยบรรยากาศการลงทุนกลับมาให้ความสนใจกับการตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคม 2025 ดัชนีดาวโจนส์และดัชนี DAX ของเยอรมนีมีแนวโน้มอ่อนตัวลงเพื่อลงไปทดสอบระดับ 47,000 และช่วง 24,000-23,500 ตามลำดับ ก่อนมีโอกาสฟื้นตัวในระยะกลาง ส่วน Nifty ปิดบวกในวันก่อนและมีโอกาสขึ้นไปทดสอบระดับ 26,000 ก่อนจะเผชิญแรงขายทำกำไร หลังจากนั้น ดัชนี Nikkei และ Shanghai ปรับตัวลดลง โดย Nikkei มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 49,000-52,000 ในระยะสั้น ขณะที่ดัชนี Shanghai คาดว่าจะทรงตัวในกรอบ 3,950-4,050
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวดีดขึ้นสวนความคาดหมายหลังรัฐบาลสหรัฐฯ กลับมาเปิดทำการ ซึ่งช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นของตลาด แต่ราคาน้ำมันดิบ Brent ยังมีความเปราะบางตราบใดที่ยังอยู่ต่ำกว่า 65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และ WTI ต่ำกว่า 62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้ภาพรวมยังมีแนวโน้มอ่อนตัวลงต่อสู่โซน 60 และ 56 ดอลลาร์ ราคาทองคำยังคงทรงตัวแข็งแกร่งหลังจากทดสอบบริเวณ 4,250 ดอลลาร์ และมีโอกาสขยับขึ้นต่อสู่ช่วง 4,300-4,350 ดอลลาร์ ขณะที่ downside ดูจำกัดอยู่ใกล้ 4,000 ดอลลาร์ ด้านราคาโลหะเงินจำเป็นต้องทะลุขึ้นเหนือระดับ 54 ดอลลาร์อย่างมั่นคงเพื่อเปิดโอกาสขึ้นสู่ 55-56 ดอลลาร์ มิฉะนั้นมีความเสี่ยงที่จะปรับลงกลับสู่ระดับ 51-50 ดอลลาร์ ราคาทองแดงมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 5.20-4.90 ดอลลาร์ และก๊าซธรรมชาติยังคงปรับตัวขึ้นตามคาดการณ์ โดยยังมีพื้นที่ให้ขยับสูงขึ้นสู่ช่วง 4.70-4.80 ดอลลาร์
AUD/JPY พุ่งแตะสูงสุดรอบปีหลังตลาดแรงงานออสซี่แข็งแกร่ง**AUD/JPY กลับไปทดสอบระดับสูงสุดของปีใกล้ 101.60 หลังข้อมูลการจ้างงานออสเตรเลียออกมาดีเกินคาด**
คู่เงิน **AUD/JPY กระโดดขึ้นใกล้ระดับ 101.60** หลังการเปิดเผยข้อมูลตลาดแรงงานของออสเตรเลียที่แข็งแกร่งกว่าคาดการณ์
ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) มีแนวโน้มที่จะ **ไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย** เนื่องจากภาวะการจ้างงานยังคงแข็งแกร่งและแรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังคงเร่งตัวขึ้น
นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ทะไคจิ สนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับเป้าหมายเศรษฐกิจ
ในช่วงการซื้อขายปลายเซสชั่นเอเชียวันพฤหัสบดี ค่าเงิน **AUD/JPY กลับไปทดสอบระดับสูงสุดของปีบริเวณ 101.60** โดยคู่เงินแข็งค่าขึ้นเมื่อดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) ทำผลงานได้ดีกว่าสกุลเงินหลักอื่น ๆ หลังจากการเผยแพร่ข้อมูลตลาดแรงงานออสเตรเลียประจำเดือนตุลาคม
สำนักงานสถิติออสเตรเลียรายงานว่า เศรษฐกิจได้เพิ่มการจ้างงานใหม่ **42.2K ตำแหน่ง** มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 20K และสูงกว่าตัวเลขก่อนหน้า 12.8K (ปรับลดจาก 14.9K) นอกจากนี้ อัตราการว่างงานยังลดลงสู่ระดับ **4.3%** ดีกว่าคาดการณ์ที่ 4.4% และตัวเลขรายงานก่อนหน้าที่ 4.5%
สัญญาณของสภาวะตลาดแรงงานที่ดีขึ้นมักทำให้เทรดเดอร์ลดความคาดหวังต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) ในระยะสั้น
ก่อนหน้านี้ เทรดเดอร์ก็เริ่มลังเลที่จะคาดหวังว่า RBA จะลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม เนื่องจากแรงกดดันเงินเฟ้อในออสเตรเลียยังคงอยู่ในระดับสูง โดยในไตรมาสที่สาม **ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้น 1.3%** สูงกว่าไตรมาสสองที่ขยายตัวเพียง 0.7%
ในอีกด้านหนึ่ง ค่าเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) เคลื่อนไหวด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) มีแนวโน้ม **ไม่เข้มงวดนโยบายการเงินในเร็ว ๆ นี้** ความคาดหวังเชิงเข้มงวดต่อ BoJ ลดลงหลังจากนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนใหม่ **ซะนาเอะ ทะไคจิ** แสดงท่าทีสนับสนุนนโยบายการคลังแบบขยายตัว
เมื่อวันพุธ นายกฯ ทะไคจิกล่าวหลังการประชุมสภานโยบายการคลังและเศรษฐกิจว่า
“นโยบายการเงินจำเป็นต้องสอดคล้องกับเป้าหมายของเศรษฐกิจและเสถียรภาพด้านราคา”
ปอนด์อ่อนค่า นักลงทุนคาด BoE ลดดอกเบี้ยเดือนธันวาคมปอนด์ร่วงแตะ 1.3140! ตลาดลุ้น BoE ลดดอกเบี้ยเดือนธันวาคม กดดันค่าเงินต่อเนื่อง
**การวิเคราะห์สถานการณ์ค่าเงิน GBP/USD**
**การเคลื่อนไหวของค่าเงิน**
ค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ (GBP/USD) อ่อนค่าลงต่ำกว่า 1.3150 เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม โดยคู่สกุลเงินนี้ร่วงต่อเนื่องเป็นวันที่สองติดต่อกัน และซื้อขายอยู่บริเวณระดับ 1.3140 ในช่วงการซื้อขายของภูมิภาคเอเชียเมื่อวันพุธที่ผ่านมา การอ่อนค่าของปอนด์มีสาเหตุจากแรงกดดันของกระแสคาดการณ์การลดดอกเบี้ย ซึ่งนักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley, Citigroup และ UBS Global Research ต่างปรับมุมมองคาดว่า BoE จะลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 จุดพื้นฐาน สู่ระดับ 3.75%
**มุมมองจากผู้กำหนดนโยบายของ BoE**
เมแกน กรีน (Megan Greene) หนึ่งในคณะกรรมการนโยบายการเงินของ BoE แสดงความเห็นเมื่อวันอังคารว่า เธอยังไม่มั่นใจว่านโยบายการเงินของสหราชอาณาจักรในปัจจุบันเข้มงวดเพียงพอ เธอกล่าวว่าข้อมูลการปรับค่าจ้างที่คาดการณ์ไว้สำหรับปีหน้ามีระดับสูงกว่าที่ต้องการ และแสดงความกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงยืดเยื้อในสหราชอาณาจักร ซึ่งบ่งชี้ว่านโยบายการเงินอาจจำเป็นต้องเข้มงวดกว่านี้ นอกจากนี้ กรีนยังเน้นว่าการบริหารความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อควรมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายของ BoE ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์
**ปัจจัยจากสหรัฐฯ และการแข็งค่าของดอลลาร์**
ในอีกด้านหนึ่ง ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นจากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับกระบวนการเปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ อีกครั้ง หลังจากที่วุฒิสภาผ่านร่างกฎหมายเพื่อยุติภาวะชัตดาวน์ โดยสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจะลงมติในวันพุธ ก่อนส่งให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนาม ซึ่งจะเป็นการเปิดหน่วยงานของรัฐ ส่งผลให้ข้าราชการได้รับเงินเดือน และสามารถเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจที่ถูกชะลอได้ตามปกติ
**ข้อมูลแรงงานและท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐ**
ข้อมูลการจ้างงานจากสถาบัน ADP ที่ประกาศเมื่อวันอังคารออกมาต่ำกว่าคาด ซึ่งยิ่งหนุนให้ตลาดคาดหวังการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ในเดือนธันวาคม โดยข้อมูลระบุว่านายจ้างเอกชนลดจำนวนพนักงานเฉลี่ย 11,250 ตำแหน่งต่อสัปดาห์ในช่วงสี่สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 25 ตุลาคม ลดลงจากค่าเฉลี่ยก่อนหน้าที่ 14,250 ตำแหน่ง เครื่องมือ CME FedWatch แสดงให้เห็นว่าตลาดให้น้ำหนักถึง 68% ที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 จุดพื้นฐานในเดือนธันวาคม
**สรุปภาพรวม**
โดยรวมแล้ว ปัจจัยกดดันต่อค่าเงินปอนด์มาจากความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของ BoE และความไม่มั่นใจในภาวะเงินเฟ้อของสหราชอาณาจักร ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ได้รับแรงหนุนจากสถานการณ์การเมืองในประเทศสหรัฐฯ และความคาดการณ์เรื่องนโยบายการเงินของ Fed ที่อาจเปลี่ยนแปลงในระยะสั้น ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลให้ GBP/USD เคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่าต่อเนื่องในช่วงกลางสัปดาห์.
USD/JPY: การปรับตัวขึ้นต่อไปไม่น่าจะถึงแนวต้านหลักที่ 155.00**USD/JPY: การปรับตัวขึ้นต่อไปไม่น่าจะถึงแนวต้านหลักที่ 155.00**
ดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) อาจทดสอบระดับ 154.45 เมื่อเทียบกับเงินเยนญี่ปุ่น (JPY); อย่างไรก็ตาม การปรับตัวขึ้นต่อไปไม่น่าจะถึงแนวต้านหลักที่ 155.00 ในระยะยาว ดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 153.10 ถึง 155.00 ตามการวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์อัตราแลกเปลี่ยนจากกลุ่ม UOB คือ **Quek Ser Leang** และ **Peter Chia**
---
### **ดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบระยะนี้**
**มุมมองระยะ 24 ชั่วโมง:**
“เราสังเกตได้ตั้งแต่ช่วงต้นการซื้อขายในเอเชียเมื่อวานนี้ ขณะที่ USD อยู่ที่ระดับ 153.70 ว่ามี ‘การเริ่มก่อตัวของแรงส่งขาขึ้นอย่างระมัดระวัง’ แม้เราจะระบุว่า USD ‘อาจทดสอบระดับ 154.10’ แต่เราก็ชี้ว่า ‘จากแรงส่งในขณะนี้ ดูเหมือนไม่น่าจะทะลุขึ้นไปเหนือระดับนี้อย่างชัดเจนได้’ เราคาดการณ์ถูกในประเด็นแรกแต่ไม่ถูกในประเด็นที่สอง เนื่องจาก USD ปรับขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 154.25
แรงส่งขาขึ้นเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่มากนัก วันนี้ USD อาจทดสอบระดับ 154.45 การปรับตัวขึ้นเหนือระดับนี้ต่อไปไม่น่าจะถึงแนวต้านหลักที่ 155.00 ขณะที่แนวรับอยู่ที่ 153.90 และถัดไปที่ 153.60”
---
**มุมมองระยะ 1–3 สัปดาห์:**
“เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (7 พฤศจิกายน ขณะที่ราคาอยู่ที่ 153.00) เราระบุว่า USD ‘มีแนวโน้มจะเคลื่อนไหวด้วยอคติขาลง’ หลังจาก USD ดีดกลับขึ้นมา เราได้กล่าวเมื่อวานนี้ (10 พฤศจิกายน ขณะที่ราคาอยู่ที่ 153.70) ว่า ‘หาก USD ทะลุระดับ 154.10 ซึ่งเป็นแนวต้านแข็งแกร่ง จะบ่งชี้ว่า USD มีแนวโน้มจะเคลื่อนไหวในกรอบมากกว่าจะมีอคติขาลง’ จากนั้น USD ก็ปรับขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 154.25
ดังที่ได้กล่าวไว้ ดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในกรอบในตอนนี้ โดยคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 153.10 ถึง 155.00”
---
**สรุปโดยรวม:**
แนวโน้มในระยะสั้นของ USD/JPY ยังเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบ โดยแรงส่งขาขึ้นเริ่มชัดเจนแต่ยังไม่แข็งแรงพอที่จะทะลุแนวต้านใหญ่ที่ 155.00 ได้ ขณะที่แนวรับสำคัญอยู่ในช่วง 153.60–153.90 ซึ่งหากหลุดระดับดังกล่าวอาจเปิดโอกาสให้มีแรงขายเพิ่มขึ้นอีกครั้งในระยะต่อไป.
EUR/USD ร่วงใกล้หลุด 1.1500 ส่อขาลงลึกต่อเนื่อง**การคาดการณ์ราคา EUR/USD: การปรับตัวลงลึกกว่านี้อาจเกิดขึ้น หากระดับ 1.1500 ถูกทะลวงลงไป**
EUR/USD ยังคงขยายการปรับฐานลงต่อเนื่อง เผชิญกับแนวรับสำคัญที่ระดับ 1.1500
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง แตะระดับสูงสุดในรอบสามเดือน
ดัชนี ISM Manufacturing PMI ของสหรัฐฯ ในเดือนตุลาคมออกมาต่ำกว่าคาดการณ์
EUR/USD ยังคงมีแนวโน้มขาลงในช่วงต้นสัปดาห์ เคลื่อนตัวลงใกล้แนวรับสำคัญบริเวณ 1.1500 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบสามเดือน โดยราคาปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นวันที่สี่ติดต่อกัน
แรงขับเคลื่อนของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) ยังไม่ลดลง การแข็งค่าต่อเนื่องของดอลลาร์ส่งผลให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) แตะระดับสูงสุดในรอบสามเดือน เคลื่อนไหวอยู่ต่ำกว่าระดับจิตวิทยา 100.00 เล็กน้อย ความแข็งแกร่งนี้ได้รับแรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นทั่วทั้งเส้นอัตราผลตอบแทน
---
### ความขัดแย้งเรื่องการปิดหน่วยงานรัฐบาลเริ่มส่งผลกระทบ
การปิดหน่วยงานรัฐบาลในวอชิงตันยังคงดำเนินต่อไป และเริ่มส่งผลเสียอย่างเห็นได้ชัด หลังจากผ่านไปเกือบหนึ่งเดือน สมาชิกสภายังไม่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ ตลอดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เรียกร้องให้วุฒิสภายกเลิกกฎการลงมติ 60 เสียง (filibuster) ที่เปิดโอกาสให้ฝ่ายเสียงข้างน้อยสามารถขัดขวางร่างกฎหมายส่วนใหญ่ เพื่อให้พรรครีพับลิกันสามารถผ่านงบประมาณได้โดยไม่ต้องพึ่งการสนับสนุนจากพรรคเดโมแครต
ผลกระทบทางเศรษฐกิจเริ่มชัดเจนขึ้น พนักงานของรัฐบาลกลางหลายแสนคนยังไม่ได้รับค่าจ้าง บริการสาธารณะเริ่มชะลอตัว และความเชื่อมั่นทางธุรกิจได้รับผลกระทบ สัญญาณการชะลอตัวเริ่มปรากฏในข้อมูลการจ้างงานและ GDP ซึ่งต่างส่งสัญญาณเตือน
การปิดหน่วยงานยาวนานถึง 34 วันทำให้กลายเป็นครั้งที่สองที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ หากยืดเยื้อเกินวันที่ 5 พฤศจิกายน จะกลายเป็นสถิติใหม่ทันที
---
### การเจรจาการค้าผ่อนคลาย ความหวังเริ่มกลับมา
หลังจากหลายสัปดาห์แห่งความตึงเครียด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้พบกันที่เกาหลีใต้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และได้ผลลัพธ์ที่ตลาดคาดหวังไว้ — การหยุดชั่วคราวอีกครั้งของสงครามการค้า
หลังจากการหารือเกือบสองชั่วโมง ทรัมป์กล่าวว่าสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงในเบื้องต้น สหรัฐฯ จะลดภาษีบางส่วนต่อสินค้าจีน ขณะที่จีนจะกลับมาซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ต่อเนื่อง ส่งออกแร่หายากตามปกติ และเพิ่มความพยายามในการปราบปรามการลักลอบค้ายาเฟนทานิล
กระทรวงพาณิชย์ของจีนยืนยันในภายหลังว่าทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะขยายข้อตกลงหยุดพักสงครามการค้าออกไปอีกหนึ่งปี โดยอิงจากความคืบหน้าที่เกิดขึ้นจากการเจรจาระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสในมาเลเซียเมื่อสัปดาห์ก่อน
---
### เฟดยังคงระมัดระวังในการดำเนินนโยบาย
ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ได้ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม และประกาศแผนกลับมาซื้อพันธบัตรรัฐบาลในปริมาณเล็กน้อย เพื่อบรรเทาความตึงตัวในตลาดเงิน ซึ่งเป็นสัญญาณว่าสภาพคล่องตึงกว่าที่ผู้กำหนดนโยบายคาดไว้
การลงมติ 10–2 เห็นชอบให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 3.75%–4.00% ถือว่าไม่เหนือความคาดหมาย โดยเฟดระบุว่าการลดครั้งนี้เป็น “ประกันความเสี่ยง” ต่อภาวะตลาดแรงงานที่เริ่มชะลอตัว
ในการแถลงข่าว ประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ ยอมรับว่ามีความเห็นแตกต่างภายในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) พร้อมเตือนนักลงทุนว่าอย่าคาดหวังว่าจะมีการลดดอกเบี้ยอีกในเดือนธันวาคม ตลาดในขณะนี้คาดว่าจะมีการผ่อนคลายเพิ่มเติมราว 17 จุดพื้นฐานภายในสิ้นปีนี้ และรวมประมาณ 83 จุดพื้นฐานภายในสิ้นปี 2026
---
### ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงอัตราดอกเบี้ย
ข้ามฝั่งมายุโรป ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 2% เป็นครั้งที่สามติดต่อกัน และไม่ได้ให้สัญญาณแนวโน้มในอนาคตมากนัก ผู้กำหนดนโยบายดูเหมือนจะพอใจกับภาวะเงินเฟ้อต่ำและการเติบโตที่มั่นคง แม้ความเสี่ยงจากการค้าระดับโลกยังคงอยู่
หลังจากลดอัตราดอกเบี้ยไป 2% ในช่วงปีถึงเดือนมิถุนายน ECB ก็เข้าสู่ช่วง “พักการปรับนโยบาย” โดยที่เงินเฟ้อกลับมาสู่เป้าหมายได้สำเร็จ ซึ่งแตกต่างจากเฟด ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ที่ยังทำไม่ได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องเร่งดำเนินการเพิ่มเติม
คริสตีน ลาการ์ด ประธาน ECB กล่าวในงานแถลงข่าวว่า ความเสี่ยงระดับโลกบางส่วนเริ่มคลี่คลาย โดยยกตัวอย่างข้อตกลงการค้าใหม่ ๆ และการลดภาษีของสหรัฐฯ ภายหลังการพบกันระหว่างทรัมป์–สี อย่างไรก็ตาม เธอย้ำว่ายังมีความไม่แน่นอนสูง และ ECB จะไม่รีบเปลี่ยนแนวทางในเร็ว ๆ นี้
ตลาดในปัจจุบันคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพียงราว 10 จุดพื้นฐานภายในสิ้นปี 2026 ซึ่งสนับสนุนมุมมองว่า วัฏจักรการผ่อนคลายของ ECB น่าจะสิ้นสุดลงแล้วในขณะนี้
---
### มุมเทคนิค (Tech Corner)
แนวโน้มระยะสั้นของ EUR/USD ยังคงอ่อนแอลง การหลุดระดับแนวรับ 1.1500 อาจเปิดทางให้ราคาปรับตัวลงลึกกว่านี้ โดยเป้าหมายแรกอยู่ที่บริเวณ 1.1400
หากราคาร่วงต่อ เป้าหมายถัดไปจะอยู่ที่ฐานเดือนพฤศจิกายนบริเวณ 1.1505 (วันที่ 3 พฤศจิกายน) และหากระดับนี้ถูกทะลุลง จะไม่มีแนวรับสำคัญจนกว่าจะถึงฐานเดือนสิงหาคมที่ 1.1391 (วันที่ 1 สิงหาคม) ก่อนถึงเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน ที่ 1.1322 ต่ำลงไปอีกจะพบระดับต่ำสุดรายสัปดาห์ที่ 1.1210 (วันที่ 29 พฤษภาคม)
ในทางกลับกัน ระดับสูงสุดรายสัปดาห์ที่ 1.1728 (วันที่ 17 ตุลาคม) เป็นแนวต้านระยะสั้น ก่อนถึงระดับสูงสุดของเดือนตุลาคมที่ 1.1778 (วันที่ 1 ตุลาคม) หากทะลุขึ้นไปได้ เป้าหมายถัดไปอยู่ที่ระดับสูงสุดของปี 2025 ที่ 1.1918 (วันที่ 17 กันยายน) ก่อนถึงระดับจิตวิทยา 1.2000
ขณะเดียวกัน ตัวชี้วัดโมเมนตัมเริ่มสูญเสียแรงส่ง ดัชนี RSI ลดลงใกล้ระดับ 36 ซึ่งบ่งชี้ถึงความเสี่ยงขาลงเพิ่มเติม ส่วนดัชนี ADX ที่เพิ่มขึ้นใกล้ระดับ 17 แสดงให้เห็นว่าแนวโน้มขาลงปัจจุบันกำลังเริ่มแข็งแรงขึ้น
ดอลลาร์ออสซี่แข็งค่าเหนือ 0.6550 รับแรงขายดอลลาร์สหรัฐ **AUD/USD ปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 0.6550 จากแรงขายดอลลาร์สหรัฐรอบใหม่**
คู่เงิน AUD/USD ปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 0.6550 ในช่วงเช้าวันอังคาร โดยได้รับแรงหนุนจากความหวังเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีน และการอ่อนค่าทั่วกระดานของดอลลาร์สหรัฐ ความคาดหวังเกี่ยวกับความแตกต่างของนโยบายระหว่างธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) และธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังคงช่วยหนุนค่าเงินออสซี่ไว้ได้ แม้ตลาดจะอยู่ในภาวะระมัดระวังก่อนการประชุมเฟดที่กินเวลาสองวันก็ตาม
---
### **ภาพรวมทางเทคนิคของ AUD/USD**
แนวโน้มขาขึ้นของ AUD/USD ยังคงมีโอกาสดำเนินต่อ ตราบใดที่ราคายังคงเคลื่อนไหวเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน (200-day SMA) ที่บริเวณ 0.6430
หากแรงฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้น จุดราคาปัจจุบันอาจทดสอบระดับสูงสุดของเดือนตุลาคมที่ 0.6629 (วันที่ 1 ตุลาคม) ก่อนจะมุ่งสู่ระดับแนวต้านของปี 2025 ที่ 0.6707 (วันที่ 17 กันยายน) และหากทะลุขึ้นไปได้อีก ก็จะพบกับจุดสูงสุดของปี 2024 ที่ 0.6942 (วันที่ 30 กันยายน) ก่อนถึงแนวหลักที่ 0.7000
ในทางกลับกัน ฝั่งผู้ขายจะเจอแนวรับแรกที่เส้น 200-day SMA บริเวณ 0.6435 ตามด้วยฐานของเดือนสิงหาคมที่ 0.6414 (วันที่ 21 สิงหาคม) การร่วงต่ำกว่าจุดต่ำสุดของเดือนมิถุนายนที่ 0.6372 (วันที่ 23 มิถุนายน) จะเปิดทางไปสู่ระดับแนวรับจิตวิทยาที่ 0.6000 ก่อนถึงหุบเหวของปี 2025 ที่ 0.5913 (วันที่ 9 เมษายน)
ตัวชี้วัดโมเมนตัมเริ่มมีสัญญาณดีขึ้น ดัชนี RSI เร่งตัวขึ้นเหนือระดับ 53 บ่งชี้ถึงแรงกระตุ้นเชิงบวกเริ่มต้น ขณะที่ดัชนี ADX เหนือระดับ 20 สะท้อนว่าทิศทางของแนวโน้มเริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
---
### **รอปัจจัยกระตุ้นใหม่**
ณ ตอนนี้ AUD/USD ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ 0.6400–0.6700 และรอปัจจัยใหม่ที่จะทำให้ราคาทะลุกรอบ การฟื้นตัวของข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่แข็งแกร่งขึ้น ความประหลาดใจเชิงผ่อนคลายจากเฟด หรือท่าทีระมัดระวังมากขึ้นจาก RBA อาจเป็นตัวจุดประกายให้คู่เงินนี้เคลื่อนไหวชัดเจนมากขึ้น
---
### **ภาพรวมปัจจัยพื้นฐาน**
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) เริ่มต้นสัปดาห์ได้อย่างแข็งแกร่ง ฟื้นตัวจากการอ่อนค่าช่วงวันศุกร์ และดันคู่เงิน AUD/USD ขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบสามสัปดาห์ที่ประมาณ 0.6560
แรงดีดกลับนี้เกิดขึ้นเนื่องจากดอลลาร์สหรัฐ (USD) อ่อนแรงลง โดยได้รับผลจากสัญญาณบรรเทาความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีน ความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นต่อการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐในสัปดาห์นี้ และการพูดคุยใหม่ ๆ เกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการ “ชัตดาวน์รัฐบาล” สหรัฐฯ
---
### **ข้อมูลเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงทรงตัว**
เศรษฐกิจออสเตรเลียยังคงแสดงความแข็งแกร่ง แม้ไม่ได้เติบโตอย่างร้อนแรงแต่ก็ทรงตัวได้ดี ข้อมูล PMI เบื้องต้นเดือนตุลาคมออกมาคละกัน ภาคการผลิตลดลงเล็กน้อยสู่ 49.7 (จาก 51.4) ขณะที่ภาคบริการเพิ่มขึ้นสู่ 53.1 (จาก 52.4)
นอกจากนี้ ยอดค้าปลีกเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 1.2% ส่วนดุลการค้าเดือนสิงหาคมลดลงเพียงเล็กน้อยอยู่ที่ 1.825 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย การลงทุนภาคธุรกิจเติบโตในไตรมาส 2 ขณะที่ GDP ขยายตัว 0.6% เมื่อเทียบรายไตรมาส และ 1.8% เมื่อเทียบรายปี ถือว่าไม่โดดเด่นแต่แข็งแรงพอสมควร
อย่างไรก็ตาม ตลาดแรงงานเริ่มส่งสัญญาณเย็นลง อัตราว่างงานเดือนกันยายนขยับขึ้นเป็น 4.5% จาก 4.3% โดยจำนวนผู้มีงานเพิ่มขึ้นเพียง 14.9K แม้ไม่ถึงขั้นน่ากังวล แต่ก็สะท้อนว่ากระแสการจ้างงานเริ่มชะลอลงเล็กน้อย
---
### **RBA ยังคงระมัดระวัง**
ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) ยังคงให้ความสำคัญสูงสุดกับอัตราเงินเฟ้อและตลาดแรงงาน ดัชนี CPI รายเดือนของเดือนสิงหาคม (ค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก) เพิ่มขึ้นเป็น 3.0% จาก 2.8% ขณะที่ CPI ไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบรายไตรมาส และ 2.1% เมื่อเทียบรายปี ขณะเดียวกัน ผลสำรวจของสถาบันเมลเบิร์นชี้ว่าความคาดหวังเงินเฟ้อผู้บริโภคพุ่งขึ้นเป็น 4.8% ในเดือนตุลาคม
ตัวชี้วัดหลักที่ RBA ใช้ติดตามคือ CPI เฉลี่ยตัดสุดโต่ง (Trimmed Mean CPI) อยู่ที่ระดับ 2.7% แบบปีต่อปี ซึ่งอยู่ในกรอบเป้าหมาย 2–3% อย่างสบาย
ในการประชุมเดือนกันยายน RBA คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (OCR) ไว้ที่ 3.60% ตามที่ตลาดคาด แต่ท่าทีของคณะกรรมการระมัดระวังมากขึ้น โดยระบุว่าการชะลอตัวของเงินเฟ้ออาจเริ่มสะดุดหลังจากตัวเลข CPI ล่าสุด และคาดว่าเงินเฟ้อไตรมาส 3 อาจออกมาสูงกว่าที่คาดไว้เล็กน้อย
ผู้ว่าการ Michele Bullock ย้ำชัดว่าการตัดสินใจจะอิงตามข้อมูล “การประชุมต่อการประชุม” เธอไม่ได้ปฏิเสธการลดดอกเบี้ย แต่ก็เน้นว่าธนาคารต้องการเห็นหลักฐานเพิ่มเติมว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและอุปสงค์ลดลงจริงก่อนจะปรับนโยบาย
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา Bullock กล่าวว่าข้อมูลเงินเฟ้อที่จะออกมาในสัปดาห์หน้าจะมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจนโยบายครั้งต่อไป หากเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) เพิ่มขึ้น 0.9% ในไตรมาส 3 ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ของ RBA ที่ประมาณ 0.6% เธอกล่าวว่านั่นจะเป็น “ความคลาดเคลื่อนที่มีนัยสำคัญ” ซึ่งคณะกรรมการไม่อาจมองข้ามได้
เธอยังลดความสำคัญของการเพิ่มขึ้นของอัตราว่างงาน โดยระบุว่าข้อมูลรายเดือนมีความผันผวน และการเปลี่ยนแปลงครั้งล่าสุดไม่ได้ต่างจากที่ RBA คาดการณ์ไว้มากนัก กล่าวโดยสรุป เธอส่งสัญญาณว่าข้อมูลแรงงานที่อ่อนลงอาจไม่ทำให้ธนาคารกังวลนัก แต่หากเงินเฟ้อออกมาแข็งแรงกว่าคาด ก็จะยากที่จะหาข้ออ้างในการลดดอกเบี้ย
ตลาดขณะนี้คาดการณ์ว่ามีโอกาสประมาณ 62% ที่ RBA จะลดดอกเบี้ย 0.25 จุดในการประชุมวันที่ 4 พฤศจิกายน และอาจลดดอกเบี้ยรวมราว 16 จุดพื้นฐานภายในสิ้นปี
---
### **จีนยังเป็นปัจจัยชี้นำหลัก**
แนวโน้มเศรษฐกิจของออสเตรเลียยังคงขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนเป็นหลัก GDP ของจีนเติบโต 4.8% เมื่อเทียบรายปีในไตรมาส 3 สูงกว่าที่คาดไว้ ขณะที่ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 3.0% เมื่อเทียบรายปีในเดือนกันยายน อย่างไรก็ตาม ตัวเลข PMI ยังออกมาคละกัน ภาคการผลิตอยู่ต่ำกว่า 50 ที่ระดับ 49.8 และภาคบริการทรงตัวที่ระดับเส้นแบ่ง 50
ดุลการค้าของจีนแคบลงจาก 103.33 พันล้านดอลลาร์ เหลือ 90.45 พันล้านดอลลาร์ในเดือนกันยายน และดัชนีราคาผู้บริโภคยังคงอยู่ในภาวะเงินฝืด โดยลดลง 0.3% จากปีก่อนหน้า
เมื่อต้นเดือนนี้ ธนาคารกลางจีน (PBoC) คงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR ทั้งระยะ 1 ปีและ 5 ปีไว้ที่ 3.00% และ 3.50% ตามลำดับ ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้
ดอลลาร์สหรัฐผันผวน เฟดจ่อหั่นดอกเบี้ยท่ามกลางความไม่แน่นอน🔹 การคาดการณ์รายสัปดาห์ของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ: ดินแดนแห่งความสับสน
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยขยับขึ้นเล็กน้อยในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ถูกคาดการณ์อย่างกว้างขวางว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25%
อัตราเงินเฟ้อสหรัฐในเดือนกันยายนต่ำกว่าที่คาดไว้ แต่ยังคงอยู่เหนือเป้าหมาย
---
## 📅 สรุปเหตุการณ์สำคัญของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) เปิดสัปดาห์ด้วยท่าทีแข็งแกร่ง แม้โมเมนตัมจะอ่อนตัวลงเมื่อเข้าสู่กลางสัปดาห์ แต่ **ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY)** ยังสามารถปิดบวกได้เล็กน้อยใกล้ระดับ **99.00 จุด** เพียงพอที่จะลบการอ่อนค่าของสัปดาห์ก่อนหน้าและรักษาการฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดกลางเดือนกันยายน 2025 ได้
แรงหนุนของดอลลาร์กลับมาอีกครั้งหลังจาก **ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐ–จีน** ถึงทางตัน ทำให้ตลาดคาดการณ์ถึงความคืบหน้าทางการทูต หลังจากประธานาธิบดี **โดนัลด์ ทรัมป์** ส่งสัญญาณเตรียมพบกับ **สี จิ้นผิง** ในสัปดาห์หน้า
ในขณะเดียวกัน นักลงทุนยังจับตาความไม่แน่นอนในวอชิงตัน เนื่องจาก **ความเสี่ยงของการปิดหน่วยงานรัฐบาลกลาง (shutdown)** ที่ยืดเยื้อยังคงกดดันความเชื่อมั่นของตลาด ด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย–ยูเครนยังคงอยู่ในพื้นหลัง เช่นเดียวกับการพบปะระหว่างทรัมป์–ปูตินที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง
ในตลาดพันธบัตร อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเริ่มชะลอการปรับตัวลง และขยับสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของสัปดาห์ บ่งชี้ถึงการพักตัวของแนวโน้มขาลงที่ดำเนินมาในช่วงเดือนก่อนหน้า
---
## 🏦 ท่าทีผ่อนคลายของเฟด (The Fed’s Dovish Tilt)
นักลงทุนเพิ่มเดิมพันว่า **เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องหลายครั้ง** หลังจากข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุดแสดงให้เห็นแรงกดดันด้านราคาที่ลดลงเล็กน้อยในเดือนกันยายน
ข้อมูลจาก **สำนักงานสถิติแรงงาน (BLS)** ชี้ว่า **ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)** เพิ่มขึ้น 3.0% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (YoY) สูงกว่าระดับ 2.9% ของเดือนสิงหาคมเล็กน้อย แต่ยังต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ การอ่านค่าที่อ่อนลงนี้ยืนยันมุมมองว่าเงินเฟ้อกำลังชะลอลง ซึ่งเปิดโอกาสให้เฟดสามารถผ่อนคลายนโยบายการเงินได้มากขึ้น
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อิงอัตราดอกเบี้ยของเฟดบ่งชี้เกือบแน่นอนว่าเจ้าหน้าที่เฟดจะ **ลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานลงสู่ช่วง 3.75%–4.00%** ในการประชุมวันที่ **29 ตุลาคม**
นอกจากนี้ ตลาดยังให้โอกาสกว่า 95% ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธันวาคม และมีความเป็นไปได้ประมาณ 55% ที่จะมีการลดอีกครั้งในเดือนมกราคม
แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนความมั่นใจเพิ่มขึ้นว่า **เฟดกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนนโยบายที่ผ่อนคลายมากขึ้น** ขณะที่เงินเฟ้อค่อย ๆ เคลื่อนเข้าใกล้เป้าหมาย 2%
---
## 🏛️ วิกฤติการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐเข้าสู่สัปดาห์ที่ 4
วิกฤติ **รัฐบาลสหรัฐปิดทำการ (shutdown)** ยืดเยื้อมาจนเข้าสู่วันที่ 24 โดยยังไม่มีสัญญาณของการประนีประนอมระหว่างพรรคการเมือง ทั้งสภาคองเกรสและวุฒิสภายังอยู่ในภาวะชะงักงัน การลงมติครั้งต่อไปถูกเลื่อนออกไปถึงวันอังคาร ซึ่งหลายฝ่ายไม่คาดว่าจะได้ข้อสรุป
นี่คือ **การปิดรัฐบาลครั้งที่ยาวนานเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์สหรัฐ** และหากยืดไปถึงวันที่ **5 พฤศจิกายน** จะกลายเป็นการปิดรัฐบาลที่ยาวที่สุดเป็นประวัติการณ์ แซงหน้าสถิติเดิม 35 วันในปี 2018–2019
ผลกระทบเริ่มชัดเจนมากขึ้น — **เจ้าหน้าที่รัฐบาลหลายแสนคนขาดรายได้**, **บริการสาธารณะดำเนินงานอย่างจำกัด**, และ **ความเชื่อมั่นทางธุรกิจเริ่มสั่นคลอน** นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าการปิดแต่ละสัปดาห์อาจทำให้ GDP ไตรมาสนั้นหดตัวลงเป็นทศนิยม และกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการจ้างงาน
เมื่อวันศุกร์ ความขัดแย้งในวุฒิสภาปะทุขึ้นอีกครั้ง เมื่อพรรคเดโมแครตปฏิเสธข้อเสนอของรีพับลิกันที่จะจ่ายเงินเฉพาะให้ “พนักงานจำเป็น” ขณะที่รีพับลิกันก็ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายที่ครอบคลุมพนักงานที่ถูกพักงานด้วย ผลลัพธ์คือทุกฝ่ายยังไม่ได้รับค่าจ้าง เพิ่มแรงกดดันต่อสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่มีทางออก
---
## 🇺🇸–🇨🇳 ภาษีศุลกากร: ชัยชนะเชิงยุทธวิธีแต่เสี่ยงในระยะยาว
**ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์** เตรียมพบกับ **ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง** ระหว่างการเดินทางเยือนเอเชียในสัปดาห์หน้า ซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
การพบกันครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อลดความตึงเครียดทางการค้าและรื้อฟื้นการเจรจาที่หยุดชะงักไปก่อนหน้านี้ โดยจะเป็น **การพบกันแบบตัวต่อตัวครั้งแรกตั้งแต่ทรัมป์กลับเข้าทำเนียบขาวในเดือนมกราคม** และเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2019
ช่วงเวลานี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะ **ข้อตกลงหยุดยิงทางการค้า (truce)** จะหมดอายุในวันที่ **10 พฤศจิกายน** หากทั้งสองฝ่ายไม่ต่ออายุ และทรัมป์ได้กำหนดเส้นตายวันที่ **1 พฤศจิกายน** สำหรับการขึ้นภาษีรอบใหม่ 100%
มาตรการตอบโต้กันระหว่างสองประเทศยังดำเนินต่อไป เช่น **ค่าธรรมเนียมท่าเรือที่สูงขึ้น**, **การควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีและแร่หายาก**, รวมถึง **ข้อพิพาทด้านการค้าเกษตร**
นอกเหนือจากเศรษฐกิจแล้ว ประเด็นการเจรจายังครอบคลุมถึง **ไต้หวัน**, **การลักลอบค้ายาเฟนทานิล**, และ **การแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาคแปซิฟิก** ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการพบปะครั้งนี้มีเดิมพันมากกว่าแค่เรื่องการค้า
ในด้านเศรษฐกิจ มาตรการภาษีอาจให้ผลทางการเมืองระยะสั้น แต่ในระยะยาวอาจสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อและชะลอการเติบโต แม้บางฝ่ายในรัฐบาลทรัมป์จะมองว่าค่าเงินดอลลาร์อ่อนสามารถช่วยภาคส่งออกได้ แต่ **การย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ (reshoring)** ไม่ใช่เรื่องง่ายหรือประหยัด และภาษีเพียงอย่างเดียวไม่อาจบรรลุเป้าหมายดังกล่าว
---
## 💵 แนวโน้มต่อไปของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
การปิดรัฐบาลยังคงสร้าง “ภาพเศรษฐกิจที่พร่ามัว” เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายชุดถูกเลื่อนออกไป ส่งผลให้ตลาดขาดแนวทางชัดเจนเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจจริง
ดังนั้น **การประชุมคณะกรรมการ FOMC สัปดาห์หน้า** และ **การแถลงของประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์** จะเป็นเหตุการณ์สำคัญที่นักลงทุนทั่วโลกจับตา นอกจากนี้ รายงาน **ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence)** ของ Conference Board จะเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดที่ตลาดให้ความสนใจ
หลังการประชุม นักลงทุนจะวิเคราะห์ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดอย่างละเอียด เพื่อหาสัญญาณเกี่ยวกับ “จุดสมดุล” ระหว่างการชะลอตัวของเงินเฟ้อและตลาดแรงงานที่เย็นลง และผลต่อทิศทางการปรับอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
---
## 📊 มุมมองทางเทคนิค
หากการฟื้นตัวของดอลลาร์ยังต่อเนื่อง **ดัชนี DXY** มีแนวต้านถัดไปที่ระดับ **99.56 (9 ต.ค.)** ก่อนจะเจอกับแนวต้านใหญ่ที่ **100.26 (1 ส.ค.)** หากทะลุผ่านได้ อาจกลับไปทดสอบระดับสูงสุดของเดือนพฤษภาคมที่ **100.54–101.97**
ด้านแนวรับสำคัญอยู่ที่ **98.03 (17 ต.ค.)** หากหลุดระดับนี้ มีโอกาสอ่อนต่อถึง **96.21 (17 ก.ย. 2025)** และฐานเดิมในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ที่ **95.13** หรือแม้แต่จุดต่ำสุดของปี 2022 ที่ **94.62**
ขณะนี้ดัชนีซื้อขายอยู่ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาวทั้ง 200 วัน (100.72) และ 200 สัปดาห์ (103.26) ซึ่งยังคงรักษาแนวโน้มขาลงโดยรวมไว้
อย่างไรก็ตาม **สัญญาณโมเมนตัมเริ่มเป็นบวก** โดยค่า RSI อยู่เหนือระดับ 57 แสดงถึงแรงซื้อที่ยังคงอยู่ ส่วนค่า ADX ที่ระดับ 19 บ่งชี้ว่ากำลังเข้าสู่ช่วงฟื้นตัวอย่างช้า ๆ
---
## ⚖️ บทสรุป
แนวโน้มระยะสั้นของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงไม่ชัดเจน แม้เฟดจะเผชิญแรงกดดันทางการเมืองลดลง แต่ตลาดยังคงเดิมพันต่อไปว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม ท่ามกลางปัจจัยลบหลายด้าน เช่น ความเสี่ยงจากภาษี การขยายตัวของหนี้ภาครัฐ ความตึงเครียดทางการค้า และการปิดรัฐบาลที่ยืดเยื้อ
แม้ดอลลาร์จะสามารถดีดกลับได้เป็นช่วง ๆ แต่ก็มักไม่สามารถรักษาแรงหนุนไว้ได้ยาวนาน
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงมองว่าแนวโน้มหลักเป็นขาลงต่อไป — ไม่ใช่การร่วงแรงทันที แต่เป็นการค่อย ๆ อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง
GBP/USD อ่อนค่าต่อเนื่องก่อนข้อมูลเงินเฟ้ออังกฤษเผย**GBP/USD ยังคงต่ำกว่า 1.3400 ก่อนการประกาศข้อมูลเงินเฟ้อของสหราชอาณาจักร**
คู่เงิน GBP/USD ยังคงอ่อนค่าติดต่อกันเป็นวันที่สี่ โดยซื้อขายอยู่บริเวณระดับ 1.3380 ในช่วงเวลาการซื้อขายเอเชียของวันพุธ ทั้งนี้ คู่เงินดังกล่าวเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนก่อนการประกาศข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาขายปลีก (RPI) ของเดือนกันยายนจากสหราชอาณาจักร
---
### 🔹 การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Overview)
จากมุมมองทางเทคนิค การทะลุขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย 100 ช่วงเวลา (100-period SMA) บนกราฟ 4 ชั่วโมงเมื่อคืนที่ผ่านมา และการเคลื่อนไหวต่อเนื่องเหนือระดับ Fibonacci retracement ที่ 38.2% จากการย่อตัวครั้งล่าสุด (ซึ่งเกิดหลังจากราคาทำจุดสูงสุดในรอบกว่า 2 เดือนเมื่อเดือนกันยายน) เป็นสัญญาณบวกต่อแรงซื้อ (bullish momentum) ของคู่เงินนี้
นอกจากนี้ เครื่องมือ oscillator บนกราฟ 4 ชั่วโมงยังแสดงแรงส่งเชิงบวก (positive traction) ซึ่งสนับสนุนแนวโน้มการปรับขึ้นต่อไปของ GBP/USD
ดังนั้น การขยับขึ้นต่อเนื่องไปยังระดับ Fibonacci retracement 50% บริเวณ 1.3480–1.3485 จึงมีความเป็นไปได้สูง หากราคาทะลุแนวต้านจิตวิทยาที่ 1.3500 ได้อย่างมั่นคง จะกลายเป็นสัญญาณกระตุ้นรอบใหม่สำหรับฝั่งซื้อ (bullish traders) และอาจเปิดทางให้ราคาปรับขึ้นต่อไปสู่แนวต้านถัดไปบริเวณ 1.3545–1.3550 หรือระดับ Fibonacci retracement 61.8%
ในทางกลับกัน หากเกิดการปรับฐานลง แนวรับระยะสั้นคาดว่าจะอยู่ที่บริเวณ 1.3400 ขณะที่แนวรับถัดไปอยู่ที่โซน 1.3355 (ระดับ Fibonacci 23.6%) หากราคาหลุดต่ำกว่านี้ มีโอกาสที่แรงขายจะเพิ่มขึ้นและผลักดันราคาให้ลงไปทดสอบแนวจิตวิทยาที่ 1.3300 และอาจต่อเนื่องไปยังจุดต่ำสุดในรอบสองเดือนครึ่งบริเวณ 1.3250–1.3245 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดที่เกิดขึ้นเมื่อวันอังคาร
---
### 🔹 การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Overview)
ข้อมูลการจ้างงานของสหราชอาณาจักรที่อ่อนแอกว่าคาดในวันอังคาร ส่งผลให้เกิดการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) อาจเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป
นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการคลังของสหราชอาณาจักร ก่อนการประกาศงบประมาณฤดูใบไม้ร่วง (Autumn Budget) ในเดือนพฤศจิกายน ยังกดดันให้ตลาดมีท่าทีระมัดระวัง ไม่กล้าเปิดสถานะซื้อปอนด์สเตอร์ลิง (GBP) ในเชิงรุกมากนัก ส่งผลให้แรงหนุนของ GBP/USD ถูกจำกัดและกลายเป็นปัจจัยถ่วงทิศทางของคู่เงินนี้ในระยะสั้น
---
**สรุปภาพรวม:**
แม้สัญญาณทางเทคนิคชี้ว่ามีโอกาสฟื้นตัวระยะสั้น แต่แรงกดดันจากปัจจัยพื้นฐาน โดยเฉพาะทิศทางนโยบายการเงินของ BoE และความไม่แน่นอนทางการคลัง ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการปรับขึ้นของ GBP/USD ในช่วงนี้
ยูโรอ่อนค่าหนัก หลังนายกฯ ฝรั่งเศสลาออกฉับพลัน**การคาดการณ์ค่าเงิน EUR/USD: ผู้ขายยูโรเริ่มเคลื่อนไหวเมื่อประเด็นการเมืองฝรั่งเศสกลับมาปรากฏอีกครั้ง**
EUR/USD ซื้อขายในแดนลบลึกต่ำกว่า 1.1700 ในวันจันทร์
นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ลากอร์นู ลาออกหลังจากเข้ารับตำแหน่งเพียงไม่กี่สัปดาห์
มุมมองทางเทคนิคบ่งชี้ถึงแรงกดดันฝั่งขาลงที่กำลังก่อตัวในระยะสั้น
ในช่วงการซื้อขายยุโรปวันจันทร์ EUR/USD อยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักและซื้อขายต่ำกว่า 1.1700 โดยในขณะที่ไม่มีการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ นักลงทุนจึงคาดว่าจะให้ความสนใจกับความเคลื่อนไหวทางการเมืองในสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศสเป็นหลัก
ข่าวการลาออกของนายเซบาสเตียง เลอกอร์นู นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ซึ่งเพิ่งรับตำแหน่งได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ ได้กระตุ้นให้เกิดแรงเทขายเงินยูโร (EUR) ในช่วงการซื้อขายยุโรปวันจันทร์ ดัชนี CAC 40 ของฝรั่งเศสปรับตัวลดลงประมาณ 2% หลังจากมีรายงานข่าวนี้ เนื่องจากตลาดเริ่มวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตทางการเมืองที่ลุกลามมากขึ้นในประเทศฝรั่งเศส
ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ เลอกอร์นูถูกกดดันอย่างหนักจากฝ่ายนิติบัญญัติฝ่ายซ้ายในเรื่องแผนงบประมาณของเขา
ขณะเดียวกัน ฝ่ายรัฐบาลสหรัฐยังคงประสบกับภาวะ “ชัตดาวน์” โดยไม่มีความคืบหน้าในการบรรลุข้อตกลงด้านงบประมาณ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นายเควิน แฮสเส็ตต์ ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติของทำเนียบขาว กล่าวว่าการปลดพนักงานอาจเกิดขึ้นหากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เห็นว่าการเจรจา “ไม่คืบหน้าเลยอย่างสิ้นเชิง”
เนื่องจากไม่มีข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่กระทบตลาด นักลงทุนอาจหลีกเลี่ยงการเข้าซื้อเพื่อคาดหวังการฟื้นตัวของยูโร เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในฝรั่งเศส
ในช่วงค่ำของการซื้อขายฝั่งอเมริกา ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) นางคริสติน ลาการ์ด จะกล่าวถ้อยแถลงต่อคณะกรรมาธิการด้านเศรษฐกิจและการเงินของรัฐสภายุโรป
---
### **การวิเคราะห์ทางเทคนิคของ EUR/USD**
ดัชนี Relative Strength Index (RSI) บนกราฟ 4 ชั่วโมงลดลงต่ำกว่า 40 และคู่เงิน EUR/USD ทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบง่าย 200 ช่วงเวลา (200-period SMA) ลงมา ซึ่งสะท้อนถึงแรงโมเมนตัมขาลงที่กำลังเพิ่มขึ้น
ในด้านแนวรับ ระดับ 1.1640 (ระดับการปรับฐาน Fibonacci 50% ของแนวโน้มขาขึ้นล่าสุด) ทำหน้าที่เป็นแนวรับแรกของ EUR/USD ก่อนที่แนวรับถัดไปจะอยู่ที่ 1.1580 (Fibonacci 61.8%) และ 1.1500 (ระดับจิตวิทยา, Fibonacci 78.6%)
ในทางกลับกัน แนวต้านอยู่ที่บริเวณ 1.1700–1.1715 (Fibonacci 38.2% และเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 ช่วงเวลา) และบริเวณ 1.1750–1.1760 (เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 ช่วงเวลา และ Fibonacci 23.6%)
EUR/USD ขยับขึ้นใกล้ 1.1750 รอผล ISM Services PMI สหรัฐฯEUR/USD ขยับขึ้นใกล้ระดับ 1.1750 ก่อนการประกาศดัชนี ISM Services PMI ของสหรัฐฯ**
EUR/USD ขยับสูงขึ้นใกล้ระดับ 1.1750 ในช่วงการซื้อขายยุโรปวันศุกร์ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทรงตัวเพื่อสะสมการขาดทุนรายสัปดาห์ ท่ามกลางการหยุดชะงักของข้อมูลจากการปิดหน่วยงานรัฐบาล (shutdown) และความหวังเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยนักลงทุนกำลังรอคอยผลการประกาศดัชนี PMI ของสหรัฐฯ และการกล่าวสุนทรพจน์จากเจ้าหน้าที่ ECB และเฟดเพื่อหาแนวทางใหม่
---
### ภาพรวมทางเทคนิคของ EUR/USD
ดัชนี Relative Strength Index (RSI) บนกราฟ 4 ชั่วโมงเคลื่อนไหวในแนวด้านข้างใกล้ระดับ 50 และ EUR/USD แกว่งตัวระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 วัน (20-day SMA) และ 50 วัน (50-day SMA) ซึ่งสะท้อนมุมมองที่เป็นกลางในระยะสั้น
* **แนวต้าน (Upside):**
โซน 1.1750–1.1770 ถือเป็นแนวต้านสำคัญ ซึ่งเป็นจุดที่ Fibonacci Retracement 23.6% ของแนวโน้มขาขึ้นล่าสุด บรรจบกับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 รอบ (100-period SMA) และ 20 วัน (20-day SMA) หาก EUR/USD สามารถทะลุแนวต้านนี้ได้ ระดับถัดไปคือ 1.1820 (ระดับนิ่ง) ก่อนถึง 1.1900 (ระดับนิ่งและเป็นระดับกลม)
* **แนวรับ (Downside):**
พื้นที่แนวรับแรกอยู่ที่ 1.1710–1.1690 (ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 รอบ, Fibonacci Retracement 38.2%, ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน) ก่อนจะถึง 1.1640 (Fibonacci Retracement 50%)
ดัชนี ISM Services PMI คาดว่าจะปรับลดลงเล็กน้อยสู่ระดับ 51.7 ในเดือนกันยายน จาก 52 ในเดือนสิงหาคม เนื่องจากไม่มีการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP) นักลงทุนอาจหันไปจับตาส่วนประกอบ **ดัชนีการจ้างงาน (Employment Index)** เป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากตัวเลข PMI หลักออกมาตามที่ตลาดคาด หากดัชนีการจ้างงานฟื้นตัวเหนือระดับ 50 และสะท้อนการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานในภาคบริการ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อาจกลับมาแข็งค่าขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์และกดดันให้ EUR/USD ปรับตัวลง ในทางกลับกัน หากตัวเลขออกมาต่ำกว่าค่าของเดือนสิงหาคมที่ 46.5 คู่เงิน EUR/USD อาจได้แรงหนุนเชิงบวกในช่วงการซื้อขายสหรัฐฯ
---
### ภาพรวมปัจจัยพื้นฐาน
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวเมื่อวันพุธว่า เขาจะเข้าพบกับ Russ Vought ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและงบประมาณ (OMB) เพื่อพิจารณาว่าโครงการของรัฐบาลกลางใดบ้างที่จะถูกตัดงบประมาณ นอกจากนี้ รัฐบาลทรัมป์ยังประกาศแช่แข็งงบประมาณมูลค่า 26 พันล้านดอลลาร์สำหรับรัฐที่เอนเอียงไปทางพรรคเดโมแครต
ตลาดอาจมองในแง่บวกว่าการปิดหน่วยงานรัฐบาลอาจสิ้นสุดลงในไม่ช้า หากพรรคเดโมแครตพยายามหาทางออกตรงกลางในร่างกฎหมายการใช้จ่าย ท่ามกลางความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินทุนสนับสนุนสำหรับโครงการของตน
อย่างไรก็ตาม รายงานการจ้างงานเดือนกันยายน ซึ่งประกอบด้วยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls), อัตราการว่างงาน และตัวเลขเงินเฟ้อค่าจ้าง จะ **ไม่ได้ถูกเผยแพร่ในภายหลังของวันนี้**
EUR/USD ทรงตัวใกล้ 1.1800 รอถ้อยแถลงพาวเวลล์EUR/USD ทรงตัวใกล้ระดับ 1.1800 หลังข้อมูล PMI สหรัฐฯ ความสนใจหันไปที่คำกล่าวของพาวเวลล์
EUR/USD ยังคงพยายามรักษากำไรจากวันจันทร์ไว้ได้ แต่เคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ แถวระดับ 1.1800 ข้อมูล PMI จากสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมทางธุรกิจของภาคเอกชนยังคงขยายตัวในอัตราที่แข็งแกร่งในช่วงต้นเดือนกันยายน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงหลีกเลี่ยงการเข้าถือสถานะใหญ่ ๆ ก่อนที่จะได้ฟังคำกล่าวของประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์
---
### ภาพรวมทางเทคนิค EUR/USD
กราฟรายวันของคู่เงิน EUR/USD แสดงให้เห็นว่าราคายังคงถูกจำกัดอยู่ในกรอบแคบภายในวัน โดยเคลื่อนไหวใกล้ระดับราคาเปิด ความเสี่ยงยังคงโน้มเอียงไปทางขาขึ้น แม้ว่าจะเริ่มสูญเสียแรงส่งไปบ้างแล้วก็ตาม ตัวชี้วัดทางเทคนิคหันลงเล็กน้อย แต่ยังคงอยู่ในโซนบวก ซึ่งช่วยลดโอกาสที่จะเกิดการร่วงลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน EUR/USD ยังคงยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (SMA) ที่มีแนวโน้มขาขึ้นเล็กน้อย ซึ่งทำหน้าที่เป็นแนวรับแบบไดนามิกบริเวณ 1.1730 นอกจากนี้ เส้นค่าเฉลี่ย 100 และ 200 SMA ยังคงชี้ขึ้นอยู่ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยที่สั้นกว่า สอดคล้องกับความต้องการดอลลาร์สหรัฐที่ยังคงจำกัด
ในระยะสั้น ภาพรวมค่อนข้างเป็นกลาง กราฟ 4 ชั่วโมงแสดงให้เห็นว่า ตัวชี้วัดโมเมนตัมเคลื่อนไหวไร้ทิศทางเล็กน้อยเหนือเส้นค่า 100 ขณะที่ดัชนี Relative Strength Index (RSI) หันลงเล็กน้อยและอยู่บริเวณ 53 สุดท้าย คู่เงิน EUR/USD ยังคงเคลื่อนไหวเหนือเส้นค่าเฉลี่ยทั้งหมด โดยมีเส้นค่าเฉลี่ย 20 SMA ที่แบนราบทำหน้าที่เป็นแนวรับระหว่างวันบริเวณ 1.1770
**แนวรับ:** 1.1770 1.1730 1.1690
**แนวต้าน:** 1.1820 1.1855 1.1890
---
### ภาพรวมปัจจัยพื้นฐาน
คู่เงิน EUR/USD ซื้อขายอยู่ต่ำกว่าระดับ 1.1800 เล็กน้อย ยังคงถูกจำกัดอยู่ในระดับคุ้นเคย ขณะที่ผู้เข้าร่วมตลาดรอเบาะแสใหม่ ๆ เกี่ยวกับพัฒนาการทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ รวมถึงคำกล่าวจากประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์
ตลาดการเงินยังคงเคลื่อนไหวอยู่รอบ ๆ การตัดสินใจล่าสุดของเฟดในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและการส่งสัญญาณว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอนาคตอันใกล้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) ยังคงเผชิญแรงกดดัน แม้ว่ากระแสขาลงที่เด่นชัดเริ่มชะลอตัวลงแล้วหลังจากที่ตลาดมีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงิน
ตลอดทั้งวัน นักลงทุนยังคงตอบสนองต่อข้อมูลเศรษฐกิจยุโรปที่ผสมผสานกัน โดยธนาคารพาณิชย์ฮัมบวร์ก (HBOC) ได้เผยประมาณการเบื้องต้นของดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เดือนกันยายน ข้อมูลจากสหภาพยุโรปออกมาแบบคละกัน โดยผลผลิตภาคการผลิตปรับตัวลงเล็กน้อย แต่ดัชนีภาคบริการออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ดัชนี Composite PMI อยู่ที่ 51.2 สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 51.1 และสูงกว่าค่าก่อนหน้าที่ 51 เล็กน้อย
ต่อไปจะเป็นการประกาศดัชนี PMI ของสหรัฐฯ โดย S\&P Global ซึ่งคาดว่าผลผลิตทั้งภาคการผลิตและภาคบริการจะยังคงขยายตัวอย่างมั่นคง โดยดัชนี Composite PMI คาดว่าจะออกมาที่ 54.6 เท่ากับตัวเลขเดือนสิงหาคม นอกจากนี้ ประธานเฟด พาวเวลล์ มีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจในการประชุม Greater Providence Chamber of Commerce Economic Outlook Luncheon ที่โรดไอแลนด์ นักลงทุนเชิงเก็งกำไรจะจับตาดูข้อมูลและคำกล่าวของพาวเวลล์เพื่อหาสัญญาณยืนยันความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่กำลังดำเนินอยู่
ทองคำร่วงจากจุดสูงสุด ดอลลาร์ฟื้นก่อนเฟดตัดสินใจ ราคาทองคำถอยจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ดอลลาร์ฟื้นตัวก่อนการตัดสินใจของเฟด
ราคาทองคำปรับฐานจากระดับสูงสุดที่ทำได้เมื่อวันอังคาร ท่ามกลางการฟื้นตัวเล็กน้อยของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) ความคาดหวังต่อท่าทีแบบผ่อนคลายของเฟด (Dovish Fed) อาจจำกัดการแข็งค่าของดอลลาร์และสนับสนุนสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนดอกเบี้ยอย่างทองคำ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นอาจช่วยจำกัดการขาดทุนก่อนการตัดสินใจของเฟด
---
## ภาพรวมทางเทคนิคของ XAU/USD
กราฟรายวันชี้ให้เห็นว่าผู้ซื้อทองคำเริ่มมีอาการเหนื่อยล้า สะท้อนจากการปรับตัวลงล่าสุดของดัชนี Relative Strength Index (RSI) ระยะ 14 วัน ที่ยังคงอยู่ในโซนซื้อมากเกินไป (Overbought) จากระดับ 80 ลงมาที่ 77
หากผลการประชุมเฟดออกมาเป็นไปในทิศทางผ่อนคลายอย่างชัดเจน (Dovish) ราคาทองคำอาจกลับไปทดสอบระดับสูงสุดที่ 3,703 ดอลลาร์ โดยหากทะลุขึ้นไปได้ ประตูจะเปิดไปสู่โซน 3,750 ดอลลาร์
แต่หากเฟดมีท่าทีผ่อนคลายน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ราคาทองคำอาจเผชิญแรงขายรุนแรง โดยมีเป้าหมายแนวรับแรกที่ระดับต่ำสุดของสัปดาห์นี้ที่ 3,627 ดอลลาร์
ถัดลงมา ระดับจิตวิทยาที่ 3,600 ดอลลาร์จะถูกทดสอบ
หากแรงขายยังไม่หยุด ราคาทองคำอาจร่วงลงต่อไปสู่ระดับต่ำสุดของสัปดาห์ก่อนที่ 3,578 ดอลลาร์
---
## ภาพรวมปัจจัยพื้นฐาน
การปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 จุดเบสิส (bps) โดยเฟดนั้นถือว่าได้ถูกรวมราคาไปแล้วในตลาด สายตาทั้งหมดจึงจับจ้องไปที่ **รายงานคาดการณ์เศรษฐกิจ (SEP)**, แผนภาพจุด (Dot Plot) และถ้อยแถลงของประธานเจอโรม พาวเวลล์ เพื่อตีความว่าเฟดจะสามารถปรับลดดอกเบี้ยได้มากกว่าสองครั้งในปีนี้หรือไม่
เสียงเรียกร้องให้เฟดผ่อนคลายเชิงรุกเพิ่มขึ้นภายหลังข้อมูลการจ้างงานอ่อนแอในเดือนสิงหาคมและเงินเฟ้อที่ยังดื้อด้าน ซึ่งกระตุ้นความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยพร้อมเงินเฟ้อ (Stagflation) ในเศรษฐกิจสหรัฐ
ตลาดกำลังคาดการณ์การปรับลดดอกเบี้ยรวม 67.9 จุดเบสิสภายในสิ้นปีนี้ ตามข้อมูลความน่าจะเป็นของอัตราดอกเบี้ยจาก Refinitiv
ทองคำซึ่งไม่ให้ดอกเบี้ยมีแนวโน้มเผชิญความผันผวนรุนแรงจากการประกาศนโยบายของเฟด โดยอาจสร้างสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง หากเฟดยืนยันความคาดหวังเชิงผ่อนคลายล่าสุดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ย 3 ครั้งภายในสิ้นปี
แต่หากแผนภาพ Dot Plot แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่เฟดยังคงมุมมองปรับลดเพียง 2 ครั้ง หรือหากพาวเวลล์มีท่าทีผ่อนคลายน้อยลง ดอลลาร์สหรัฐจะกลับมาฟื้นตัว และส่งผลให้ราคาทองคำปรับฐานลงอีกครั้ง
---
## สรุป
ชะตากรรมของราคาทองคำขึ้นอยู่กับคำตัดสินของเฟดและเส้นทางดอกเบี้ยในอนาคต ในระหว่างนี้ นักลงทุนยังคงทยอยขายทำกำไรจากสถานะซื้อทองคำ แต่แรงซื้อเก็บสะสมอาจเกิดขึ้นอีกเมื่อราคาลงมาที่ระดับต่ำกว่า
อังกฤษเตรียมเผย GDP เดือนส.ค. จับตาผลต่อ GBP/USDเมื่อไรที่สหราชอาณาจักรจะประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ และจะส่งผลต่อ GBP/USD อย่างไร?
สหราชอาณาจักรจะประกาศตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) รายเดือนโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติในวันศุกร์ พร้อมกับดุลการค้าและการผลิตภาคอุตสาหกรรม ทั้งหมดจะเผยแพร่เวลา 06:00 GMT การประกาศข้อมูลเศรษฐกิจมหภาควันนี้อาจถูกบดบังด้วยความคาดหวังของนักลงทุนเกี่ยวกับความแตกต่างด้านนโยบายระหว่างธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) และธนาคารกลางหลักอื่น ๆ
---
### ภาพรวมทางเทคนิคของ GBP/USD
ตัวชี้วัด Relative Strength Index (RSI) ในกราฟ 4 ชั่วโมงลดลงต่ำกว่า 50 และ GBP/USD ปิดแท่ง 4 ชั่วโมงล่าสุด 3 แท่งต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบง่าย 20 ช่วงเวลา (SMA) ซึ่งสะท้อนถึงแรงกดดันขาลงในมุมมองระยะสั้น
ด้านแนวรับ 1.3470-1.3460 (ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 วัน, ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน, การปรับฐานฟีโบนัชชี 50% ของขาลงล่าสุด) ถือเป็นระดับสำคัญ ก่อนถึง 1.3445 (ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 ช่วงเวลา) และ 1.3390-1.3400 (การปรับฐานฟีโบนัชชี 38.2%, ระดับคงที่)
ด้านแนวต้าน สามารถมองเห็นได้ที่ 1.3540 (การปรับฐานฟีโบนัชชี 61.8%) และ 1.3590-1.3600 (ระดับคงที่, เลขกลม)
---
### ภาพรวมปัจจัยพื้นฐาน
แม้ว่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) จะเผชิญแรงกดดันขาลงทันทีหลังจากข้อมูลดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนสิงหาคมออกมาต่ำกว่าคาดในวันพุธ แต่ท่าทีที่ระมัดระวังของตลาดช่วยหนุนค่าเงินและทำให้ GBP/USD เคลื่อนไหวได้ยากขึ้น
ระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันพุธ ราเชล รีฟส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของอังกฤษกล่าวว่ารัฐบาลมุ่งเน้นที่จะสนับสนุนธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) เพื่อลดอัตราเงินเฟ้อ ควบคุมการใช้จ่ายภาครัฐ และขับเคลื่อนการเติบโต สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างโฆษกทำเนียบดาวน์นิง สตรีท อย่างไรก็ตาม ข่าวนี้ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาตลาดที่ชัดเจน
ในช่วงครึ่งหลังของวัน สำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐ (BLS) จะประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนสิงหาคม โดยคาดว่าดัชนี CPI พื้นฐานรายเดือน (ซึ่งไม่รวมอาหารและพลังงานที่มีความผันผวน) จะเพิ่มขึ้น 0.3%
ตามเครื่องมือ CME FedWatch ตลาดได้ประเมินเต็มที่แล้วถึงความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 จุดพื้นฐาน (bps) ในเดือนกันยายน แม้ว่าข้อมูลเงินเฟ้อจะไม่น่าจะเปลี่ยนการคาดการณ์ของตลาดต่อการตัดสินใจนโยบายสัปดาห์หน้า แต่ก็อาจมีผลต่อการประเมินค่าเงินดอลลาร์และการเคลื่อนไหวของคู่เงินในระยะสั้น
หากดัชนี CPI พื้นฐานรายเดือนออกมาต่ำกว่าคาด อาจกดดันค่าเงินดอลลาร์และช่วยให้ GBP/USD ฟื้นตัวขึ้นได้ ในทางกลับกัน หากตัวเลขเพิ่มขึ้น 0.5% หรือสูงกว่า อาจถ่วงการเคลื่อนไหวของคู่เงินนี้ลงได้
EUR/USD ทรงตัวใกล้ 1.1700 หลัง PPI สหรัฐต่ำคาด EUR/USD ทรงตัวรอบ 1.1700 หลังตัวเลข PPI สหรัฐฯ
EUR/USD เคลื่อนไหวแบบลังเลและลอยอยู่ใกล้ระดับ 1.1700 ท่ามกลางการเคลื่อนไหวที่ไม่ชัดเจนของดอลลาร์สหรัฐเมื่อวันพุธ ขณะเดียวกันคู่เงินยังคงนิ่งเฉยเป็นส่วนใหญ่หลังจากดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนสิงหาคม
### ภาพรวมทางเทคนิคของ EUR/USD
กราฟรายวันแสดงให้เห็นว่าคู่เงินซื้อขายใกล้กับราคาเปิด โดยมีแรงซื้อเกิดขึ้นบริเวณเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบง่าย 20 วัน (SMA) ที่ค่อนข้างราบอยู่ที่ระดับ 1.1670 กราฟเดียวกันยังแสดงให้เห็นว่าเส้นค่าเฉลี่ย 100 และ 200 วันอยู่ต่ำกว่ามาก แต่กำลังสูญเสียแรงส่งขาขึ้น เส้นค่าเฉลี่ย 100 วันเคลื่อนไหวแบบไร้ทิศทางที่บริเวณ 1.1530 สะท้อนถึงการขาดแรงขับเคลื่อนของแนวโน้ม สุดท้าย ตัวชี้วัดทางเทคนิคยังอยู่เหนือกึ่งกลาง แต่ขาดโมเมนตัม โดยรวมแล้ว EUR/USD ดูเป็นกลาง นักลงทุนรอปัจจัยกระตุ้นใหม่
การอ่านค่าทางเทคนิคในกราฟ 4 ชั่วโมงเอียงไปทางความเสี่ยงขาลง EUR/USD ซื้อขายต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 20 วันซึ่งยังคงมีแนวโน้มขาขึ้น โดยจำกัดการฟื้นตัวที่บริเวณ 1.1725 ส่วนเส้นค่าเฉลี่ย 100 และ 200 วันยังคงเคลื่อนไหวไร้ทิศทางต่ำกว่าระดับปัจจุบัน สุดท้าย ตัวชี้วัดทางเทคนิคค่อย ๆ ลดลงต่ำกว่ากึ่งกลาง แต่แรงกดดันขาลงยังจำกัด
**แนวรับ:** 1.1670 1.1630 1.1590
**แนวต้าน:** 1.1725 1.1770 1.1825
### ปัจจัยพื้นฐานและข่าวสาร
EUR/USD ทะลุระดับ 1.1700 ในวันพุธ เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐยังคงมีโทนเชิงบวกในช่วงครึ่งวันแรก แม้จะระมัดระวังเพราะนักลงทุนรอข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐ
ขณะเดียวกัน ความไม่สงบในตะวันออกกลางยิ่งเพิ่มความระมัดระวังของตลาด หลังอิสราเอลโจมตีประเทศเพื่อนบ้านโดยมีเป้าหมายผู้นำฮามาส ประชาคมระหว่างประเทศออกมาประณามการตัดสินใจนี้ แม้กระทั่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐก็ออกมาวิจารณ์
ในเวลาเดียวกัน ศาลสหรัฐอนุญาตให้ Lisa Cook แห่งธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการต่อไป แม้ทรัมป์จะประกาศเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนว่าจะปลดเธอ และ Cook ได้อุทธรณ์คำตัดสินดังกล่าว
คู่เงินเคลื่อนไหวใกล้ระดับดังกล่าวก่อนการประกาศดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐ ตัวเลขเดือนสิงหาคมเผยว่าอัตราเงินเฟ้อรายปีในระดับผู้ผลิตเพิ่มขึ้น 2.6% ลดลงจาก 3.3% ในเดือนกรกฎาคม ตัวเลขพื้นฐานรายปีอยู่ที่ 2.8% ลดลงจาก 3.4% ที่ปรับทบทวนก่อนหน้า ในรายเดือน PPI ลดลง 0.1% ทั้งหมดต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ สะท้อนแรงกดดันด้านราคาที่ผ่อนคลายลงก่อนตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่จะประกาศวันพฤหัสบดี และก่อนการตัดสินใจของ Fed ในสัปดาห์หน้า ส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐเผชิญแรงขาย โดย EUR/USD ร่วงต่ำกว่า 1.1700 แต่ก็รีบาวด์กลับได้อย่างรวดเร็ว
XAUUSD 08/09 | สังเกตค่าเงิน JPY & USD | ฝั่ง BUY ยังได้เปรียบ GOLD 08/09 | Captain Vincent ⚓
🔎 Captain’s Log – สถานการณ์ข่าวสาร
เช้าวันนี้ไม่มีข่าวสำคัญเพิ่มเติม
รอบตลาดสหรัฐคืนนี้ (08/09) ก็ไม่มีการประกาศข้อมูลใหญ่
ปัจจัยล่าสุดที่กระทบตลาดคือ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น S. Ishiba ลาออก กดดันให้ JPY อ่อนค่า และทำให้ Dollar แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ทองคำ เพียงแค่ปรับฐานเล็กน้อยแล้วก็ยังคงยืนราคาได้แข็งแรง
➡️ Captain’s Summary : Dollar และ JPY ตอนนี้มีเพียงผลกระทบทางอ้อม ไม่เพียงพอที่จะกดราคาทองคำลงลึก แนวโน้มหลักยังคงได้รับแรงหนุนให้กลับสู่ขาขึ้น
📈 Captain’s Chart – การวิเคราะห์ทางเทคนิค
Captain’s Shield (แนวรับหลัก) :
Golden Harbor OB: 3542 – 3549
Buy Zone หลัก: 3549 – 3551
Liquidity Dock: 3573 – 3575
Storm Breaker (แนวต้าน) :
Quick Boarding: 3602 – 3604 (Sell scalp ระยะสั้น)
Storm Breaker Peak: 3632 – 3634 (Sell zone – อาจสร้าง ATH ใหม่)
⏩ โครงสร้างราคายังคงรักษาแนวโน้มขาขึ้น (มี BOS ต่อเนื่อง) การปรับฐานส่วนใหญ่เป็นเพียงการดึงสภาพคล่องก่อนที่จะพุ่งขึ้นสู่แนวต้านที่สูงกว่า
🎯 Captain’s Map – แผนการเทรด
✅ Golden Harbor (BUY – แนะนำ)
Buy Zone: 3549 – 3551 | SL: 3542 | TP: 3553 → 3557 → 3560 → 3563 → 35xx
Liquidity Dock : 3573 – 3575 | SL: 3565 | TP: 3578 → 3581 → 3583 → 35xx
⚡ Quick Boarding (SELL Scalp – ระยะสั้น)
Entry: 3602 – 3604
SL: 3610
TP: 3600 → 3597 → 3594 → 3591 → 3588 → 35xx
🌊 Storm Breaker (SELL Zone – ATH ใหม่)
Entry: 3632 – 3634
SL: 3640
TP: 3629 → 3625 → 3623 → 3619 → 361x
บันทึกของกัปตัน ⚓
“เรือทองคำยังคงแล่นได้มั่นคง เมื่อเช้าวันนี้ท้องทะเลสงบ ไม่มีคลื่นข่าวสารใหญ่ Golden Harbor 🏝️ (3549 – 3551) และ OB แถว 3542 เป็นท่าจอดที่ปลอดภัยสำหรับนักเดินเรือตามกระแสขาขึ้น Liquidity Dock ⚓ (3573 – 3575) เป็นเพียงสมอชั่วคราวก่อนที่ลม bullish จะพัดพาเรือไปไกลกว่า Quick Boarding 🚤 (3602 – 3604) เหมาะสำหรับผู้ที่อยากเก็งกำไรระยะสั้น และหากเรือแตะ Storm Breaker 🌊 (3632 – 3634) อาจเป็นยอดคลื่นใหม่ – แต่เส้นทางใหญ่ยังคงมุ่งสู่ทิศเหนือไปกับใบเรือ bullish ที่เต็มแรงลม”
ทองคำพักฐานใกล้จุดสูงสุด ดอลลาร์ฟื้นกดดันขาขึ้นราคาทองคำทรงตัวใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะดอลลาร์ฟื้นตัวและบรรยากาศการลงทุนเป็นบวกกดดัน
* ราคาทองคำเคลื่อนไหวทรงตัวหลังจากพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงทำสถิติสูงสุดในสัปดาห์ก่อน
* การฟื้นตัวเล็กน้อยของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) และบรรยากาศการลงทุนที่เป็นบวก กดดันไม่ให้ราคาทองปรับขึ้นต่อ
* การคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อาจปรับลดดอกเบี้ย มีแนวโน้มจำกัดการแข็งค่าของดอลลาร์ และช่วยหนุนทองคำที่ไม่ให้ผลตอบแทนดอกเบี้ย
ราคาทองคำ (XAU/USD) เข้าสู่ช่วงการปรับฐานในทิศทางขาขึ้นเมื่อต้นสัปดาห์ใหม่ โดยเคลื่อนไหวในกรอบต่ำกว่าระดับ 3,600 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดตลอดกาลที่แตะเมื่อวันศุกร์ การดีดตัวเล็กน้อยของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจากระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม อันเป็นผลมาจากตัวเลขการจ้างงานรายเดือนที่น่าผิดหวัง กลายเป็นแรงกดดันสำคัญต่อราคาทองคำ นอกจากนี้ บรรยากาศเชิงบวกในตลาดหุ้นโดยรวมยังช่วยจำกัดความต้องการในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยของทองคำ
อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของดอลลาร์อย่างมีนัยสำคัญยังเป็นไปได้ยาก เนื่องจากตลาดคาดการณ์มากขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐจะผ่อนคลายนโยบายอย่างเชิงรุกจากตัวเลขการจ้างงานที่อ่อนแอกว่าคาด อีกทั้งธนาคารกลางหลายแห่งยังคงเข้าซื้อทองคำสุทธิ แม้ในระดับราคาปัจจุบัน ซึ่งช่วยหนุนราคาทองคำต่อไป แต่สัญญาณภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) อาจทำให้นักลงทุนชะลอการเข้าซื้อก่อนที่จะมีการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐในสัปดาห์นี้
---
## สรุปสถานการณ์ตลาด: กระทิงทองคำพักตัว ท่ามกลางการฟื้นตัวเล็กน้อยของดอลลาร์และความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่ลดลง
รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) ของสหรัฐเมื่อวันศุกร์เผยว่า เศรษฐกิจเพิ่มการจ้างงานเพียง 22,000 ตำแหน่งในเดือนสิงหาคม ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์อย่างมาก อีกทั้งการทบทวนตัวเลขย้อนหลังพบว่า เศรษฐกิจสหรัฐสูญเสียงาน 13,000 ตำแหน่งในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นการลดลงรายเดือนครั้งแรกตั้งแต่เดือนธันวาคม 2020 บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานอ่อนแอลง
รายละเอียดเพิ่มเติมระบุว่า อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 4.3% จาก 4.2% ในเดือนกรกฎาคม ตามที่ตลาดคาด ขณะที่อัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานขยับขึ้นเป็น 62.3% จาก 62.2% นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมงรายปีลดลงมาอยู่ที่ 3.7% ในเดือนสิงหาคม จาก 3.9% ในเดือนก่อนหน้า
นักลงทุนตอบสนองอย่างรวดเร็ว และกำลังคำนวณโอกาสที่เฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยครั้งใหญ่ในเดือนกันยายน อีกทั้งตลาดยังมองว่ามีโอกาสสูงที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 3 ครั้งภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งช่วยดันราคาทองคำขึ้นไปแตะ 3,600 ดอลลาร์ ทำสถิติสูงสุดใหม่ในวันศุกร์
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเริ่มต้นสัปดาห์ใหม่ในทิศทางบวก ฟื้นตัวบางส่วนจากการร่วงลงหลังตัวเลข NFP ไปแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่าหนึ่งเดือน ขณะที่บรรยากาศการลงทุนที่สดใสกลายเป็นแรงกดดันต่อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย นักลงทุนกำลังจับตาการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐในสัปดาห์นี้เพื่อหาปัจจัยขับเคลื่อนใหม่
---
## ทองคำจำเป็นต้องปรับฐานก่อนขึ้นต่อ ท่ามกลางสัญญาณ RSI อยู่ในเขตซื้อมากเกินไป
ดัชนี Relative Strength Index (RSI) อยู่เหนือระดับ 70 อย่างชัดเจนบนกราฟรายวัน สะท้อนภาวะซื้อมากเกินไป ซึ่งบ่งชี้ว่าควรรอการปรับฐานระยะสั้นหรือการย่อตัวเล็กน้อย ก่อนที่นักลงทุนฝั่งกระทิง (XAU/USD Bulls) จะเข้ามาเสริมแรงเพื่อขยายโมเมนตัมขาขึ้นต่อ
อย่างไรก็ตาม การย่อตัวใด ๆ มีแนวโน้มดึงดูดแรงซื้อใหม่บริเวณ 3,545 ดอลลาร์ ซึ่งช่วยจำกัด downside ไว้แถว 3,510–3,500 ดอลลาร์ หากหลุดต่ำกว่าระดับดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ราคาทองจะถอยไปยังบริเวณ 3,440 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นแนวต้านเดิมของกรอบการซื้อขาย และจะทำหน้าที่เป็นฐานรองรับระยะสั้นที่แข็งแกร่ง
ทองคำร่วงต่อเนื่อง รอพาวเวลล์ชี้ทิศดอกเบี้ยเฟด ราคาทองคำร่วงลง เนื่องจากการคาดการณ์การลดดอกเบี้ยเฟดที่ลดลงหนุนค่าเงินดอลลาร์ ก่อนสุนทรพจน์ของพาวเวลล์ที่แจ็กสันโฮล
ราคาทองคำอ่อนค่าลงติดต่อกันเป็นวันที่สอง เนื่องจากการคาดการณ์การปรับลดดอกเบี้ยเฟดที่ลดลงช่วยหนุนค่าเงินดอลลาร์ บรรยากาศการลงทุนที่ระมัดระวังไม่ได้ช่วยพยุงทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย นักลงทุนรอคอยสุนทรพจน์ของประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ อย่างใกล้ชิด เพื่อหาสัญญาณการปรับลดดอกเบี้ยและแรงกระตุ้นสำคัญ
---
### ภาพรวมทางเทคนิคของ XAU/USD
กราฟรายวันบ่งชี้ว่าความเสี่ยงยังคงโน้มเอียงไปทางขาลงสำหรับทองคำ เนื่องจากดัชนี Relative Strength Index (RSI) 14 วัน ลดต่ำกว่าระดับ 50
สัญญาณ **Bear Cross** ยังคงรักษามุมมองเชิงลบไว้ โดยเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (SMA) 21 วัน ปิดต่ำกว่าเส้น SMA 50 วันเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ยืนยันสัญญาณการตัดลงของขาลง
ผู้ขายจำเป็นต้องยืนต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 วัน ที่ระดับ 3,314 ดอลลาร์ เพื่อยืนยันแนวโน้มขาลงที่ยั่งยืน
หากปรับตัวลงต่อไป ระดับต่ำสุดของวันที่ 31 กรกฎาคมที่ 3,274 ดอลลาร์ จะถูกทดสอบ โดยมีแนวรับถัดไปที่ระดับต่ำสุดของวันที่ 30 กรกฎาคมที่ 3,268 ดอลลาร์ ก่อนจะลงสู่แนวจิตวิทยาที่ 3,250 ดอลลาร์
ในทางกลับกัน ผู้ซื้อทองคำจำเป็นต้องผ่านแนวต้านแข็งแกร่งบริเวณ 3,350 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นบริเวณที่เส้น SMA 21 วัน และ SMA 50 วัน มาบรรจบกัน เพื่อปฏิเสธแนวโน้มขาลงในระยะสั้น
เป้าหมายขาขึ้นถัดไปคือระดับสูงสุดของสัปดาห์ก่อนที่ 3,375 ดอลลาร์ และระดับ 3,400 ดอลลาร์
---
### ภาพรวมปัจจัยพื้นฐาน
ดอลลาร์สหรัฐ (USD) กำลังปรับฐานและทรงตัวใกล้ระดับสูงสุดในรอบสองสัปดาห์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่น ๆ ซึ่งยังคงกดดันต่อความน่าสนใจของทองคำ
ค่าเงินดอลลาร์ยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่องจากโอกาสที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในเดือนหน้าที่ลดลง การเปลี่ยนแปลงเชิงเข้มงวดในความคาดหวังของตลาดนี้ มาจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่งล่าสุด ทั้งในภาคที่อยู่อาศัยและกิจกรรมทางธุรกิจ
ยอดขายบ้านมือสองเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นแตะ 4.01 ล้านหลัง เทียบกับที่คาดการณ์ไว้ 3.92 ล้านหลัง ฟื้นตัวขึ้น 2.0% ต่อเดือน หลังจากที่ลดลง 2.7% ในเดือนมิถุนายน
ในขณะเดียวกัน ดัชนี S\&P Global US PMI Composite Output ปรับขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือนที่ 55.4 ในเดือนสิงหาคม จาก 55.1 ในเดือนกรกฎาคม โดยทั้ง PMI ภาคการผลิตและภาคบริการออกมาดีกว่าคาด อยู่ที่ 53.3 และ 55.4 ตามลำดับ
ตลาดลดการคาดการณ์การปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนกันยายนลงเหลือ 75% หลังการเปิดเผยข้อมูล PMI สหรัฐ จากประมาณ 85% ก่อนการประกาศ ตามข้อมูลจาก CME Group’s FedWatch Tool
นอกจากนี้ การปรับตัวลงต่อเนื่องของดัชนีหุ้นสหรัฐ จากความกังวลเกี่ยวกับการลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เพิ่มขึ้น กดดันความเชื่อมั่นของนักลงทุน และหนุนค่าเงินดอลลาร์ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
ขณะเดียวกัน ตลาดคาดว่าประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ จะยังคงยึดท่าทีระมัดระวังเกี่ยวกับการผ่อนคลายเพิ่มเติม ในการกล่าวเปิดงานที่ **Jackson Hole Symposium** ซึ่งจะมีขึ้นในวันนี้
นิค ทิมิราออส จาก *Wall Street Journal (WSJ)* ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็น "ผู้กระซิบของเฟด" กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า พาวเวลล์อาจ “ย้อนกลับสองนโยบายหลักจากยุคปี 2020 ได้แก่ การเฉลี่ยเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น และความโน้มเอียงไปสู่การรักษาการว่างงานในระดับต่ำ”
คำกล่าวของพาวเวลล์จะมีอิทธิพลอย่างมากต่อความคาดหวังการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด และในที่สุดจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของดอลลาร์ รวมถึงสร้างความผันผวนรุนแรงรอบตลาดทองคำ
หากพาวเวลล์แสดงท่าทีคัดค้านการปรับลดดอกเบี้ยอย่างรุนแรง อาจช่วยหนุนให้ดอลลาร์แข็งค่าต่อ และกดราคาทองคำให้กลับลงต่ำกว่า 3,300 ดอลลาร์ ในทางกลับกัน หากพาวเวลล์ส่งสัญญาณผ่อนคลายเกินคาด ดอลลาร์อาจเผชิญแรงขายรอบใหม่ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาทองคำปรับขึ้น
GBP/USD ฟื้นเหนือ 1.3500 จับตาเงินเฟ้ออังกฤษ GBP/USD ดีดกลับเหนือระดับ 1.3500 ความสนใจหันไปที่ข้อมูล CPI ของสหราชอาณาจักร
GBP/USD ได้รับแรงซื้อใหม่ กลับมายืนเหนือระดับ 1.3500 ในการซื้อขายยุโรปเมื่อวันอังคาร ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง เนื่องจากนักลงทุนประเมินผลการเจรจาสันติภาพระหว่างสหรัฐฯ-ยูเครน ก่อนการเปิดเผยรายงานการประชุมเฟดในวันพุธ ค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงปรับเปลี่ยนสถานะการถือครองบางส่วน ขณะที่ความสนใจหันไปที่ข้อมูล CPI ของสหราชอาณาจักร
---
### ภาพรวมทางเทคนิคของ GBP/USD
ตัวชี้วัดดัชนี Relative Strength Index (RSI) บนกราฟ 4 ชั่วโมง อยู่ต่ำกว่า 50 เล็กน้อย บ่งชี้ว่า GBP/USD ยังไม่สามารถสะสมโมเมนตัมเชิงบวกได้ แม้จะมีการฟื้นตัวล่าสุด
**แนวรับ:**
* ระดับ 1.3500 (ระดับคงที่, ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน (SMA), ระดับจิตวิทยา) ทำหน้าที่เป็นแนวรับแรก
* ถัดไปที่ 1.3460 (Fibonacci ย้อนกลับ 50% ของแนวโน้มขาลงล่าสุด, ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 ช่วงเวลา)
* และ 1.3400 (ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 ช่วงเวลา)
**แนวต้าน:**
* ระดับ 1.3540 (Fibonacci ย้อนกลับ 61.8%)
* โซน 1.3590-1.3600 (ระดับคงที่, ระดับจิตวิทยา)
* และ 1.3640 (Fibonacci ย้อนกลับ 78.6%)
---
### ภาพรวมปัจจัยพื้นฐาน
การแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ (USD) ที่เกิดจากบรรยากาศตลาดที่แย่ลง ทำให้ GBP/USD อ่อนตัวลงในช่วงต้นสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ข่าวจากการประชุมระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดียูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกี ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ จำกัดการแข็งค่าของดอลลาร์
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โก รูบิโอ ระบุว่าพวกเขาจะทำงานร่วมกับพันธมิตรยุโรปและนอกยุโรป เพื่อจัดหาหลักประกันด้านความมั่นคงให้กับยูเครน นอกจากนี้ เซเลนสกียังกล่าวว่าพวกเขาพร้อมที่จะพบกับประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน
ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน (Housing Starts) และใบอนุญาตก่อสร้าง (Building Permits) ของสหรัฐฯ จะถูกเผยแพร่ในวันอังคาร ซึ่งมีแนวโน้มที่จะไม่สร้างปฏิกิริยาตลาดที่โดดเด่น
ดังนั้น นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะยังคงให้ความสำคัญกับการรับรู้ความเสี่ยง การเปิดตลาดในฝั่งวอลล์สตรีทแบบแข็งแกร่งอาจช่วยให้ GBP/USD ปรับตัวขึ้นได้
ในเช้าวันพุธตามเวลายุโรป สำนักงานสถิติแห่งชาติสหราชอาณาจักรจะเผยแพร่ข้อมูลเงินเฟ้อประจำเดือนกรกฎาคม โดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.7% เมื่อเทียบรายปี
---
### การคาดการณ์รายสัปดาห์ของ GBP/USD
สนใจการคาดการณ์รายสัปดาห์ของ GBP/USD หรือไม่? ผู้เชี่ยวชาญของเราจะอัปเดตทุกสัปดาห์ เพื่อคาดการณ์ทิศทางที่เป็นไปได้ต่อไปของคู่เงินปอนด์-ดอลลาร์ ที่นี่คุณสามารถค้นหาการคาดการณ์ล่าสุดจากผู้เชี่ยวชาญของเราได้
ยูโรอ่อน ดอลลาร์แข็ง ก่อนสหรัฐเผยตัวเลขเงินเฟ้อ**EUR/USD ลดลงท่ามกลางความระมัดระวังต่อ CPI ขณะที่เงินเฟ้ออิตาลีต่ำกว่าเป้าหมาย ECB**
EUR/USD ปรับตัวลงเล็กน้อยในวันจันทร์ ลดลง 0.26% เนื่องจากนักเทรดเข้าซื้อดอลลาร์สหรัฐก่อนการประกาศรายงานเงินเฟ้อของสหรัฐในวันอังคาร ขณะเดียวกัน อิตาลีเปิดเผยว่าระดับราคาสินค้าและบริการแตะเป้าหมายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งสนับสนุนเหตุผลในการคงอัตราดอกเบี้ยแม้ในที่ประชุมครั้งถัดไป
---
### **ภาพรวมทางเทคนิคของ EUR/USD**
แนวต้านอยู่ที่ระดับสูงสุดรายสัปดาห์ 1.1788 (24 กรกฎาคม) เหนือขึ้นไปคือเพดานปี 2025 ที่ 1.1830 (1 กรกฎาคม) และระดับสูงสุดเดือนกันยายน 2021 ที่ 1.1909 (3 กันยายน) ก่อนจะถึงระดับจิตวิทยา 1.2000
ในทางกลับกัน แนวรับเริ่มที่ระดับต่ำสุดเดือนสิงหาคม 1.1391 (1 สิงหาคม) โดยมีเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 วัน (100-day SMA) หนุนอยู่ ก่อนจะถึงระดับต่ำสุดรายสัปดาห์ 1.1210 (29 พฤษภาคม)
สัญญาณโมเมนตัมผสมกัน: ดัชนี Relative Strength Index (RSI) ลดลงต่ำกว่าเส้น 50 บ่งชี้ความเป็นไปได้ที่จะปรับตัวลดลงต่อ ขณะที่ดัชนี Average Directional Index (ADX) ใกล้ระดับ 17 สะท้อนแนวโน้มที่ยังไม่ชัดเจน
---
### **แนวโน้ม: ภาวะไซด์เวย์**
EUR/USD มีแนวโน้มซื้อขายในกรอบเดิมต่อไป เว้นแต่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะสร้างความประหลาดใจด้วยท่าทีผ่อนคลายกว่าที่คาด หรือความตึงเครียดทางการค้าจะผ่อนคลายลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยบรรยากาศรอบค่าเงินดอลลาร์จะเป็นตัวกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวที่สำคัญถัดไป
---
## **ภาพรวมปัจจัยพื้นฐาน**
**ยูโรอ่อนแรงต่อเนื่อง**
เงินยูโร (EUR) สูญเสียแรงขับเคลื่อนมากขึ้นในช่วงเริ่มต้นสัปดาห์การซื้อขายอย่างติดลบ ทำให้ EUR/USD ร่วงต่ำกว่าแนวรับ 1.1600 แตะระดับต่ำสุดในรอบสามวัน และเคลื่อนไหวใกล้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 55 วัน (55-day SMA) ชั่วคราว
**ดอลลาร์สหรัฐฟื้นตัวแรง**
ในขณะเดียวกัน ดอลลาร์สหรัฐ (USD) ปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ต่อเนื่องจากการฟื้นตัวเมื่อวันศุกร์ เนื่องจากนักลงทุนเตรียมรับข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่จะประกาศในวันอังคาร
นอกจากนี้ เส้นตายการค้าระหว่างสหรัฐ–จีนก็มีกำหนดในวันอังคารเช่นกัน เพิ่มความระมัดระวังในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงโดยรวม
---
### **ความหวังข้อตกลงการค้าหายไปอย่างรวดเร็ว**
ความโล่งใจแรกเริ่มจากการลงนามข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐ–สหภาพยุโรป—ซึ่งลดภาษีส่งออกยุโรปส่วนใหญ่เหลือ 15% จากเดิมที่เคยถูกคุกคามว่าจะขึ้นเป็น 30%—ได้จางหายไปอย่างรวดเร็ว สินค้าอากาศยาน เซมิคอนดักเตอร์ และสินค้าเกษตรหลุดพ้นจากภาษีใหม่ แต่เหล็กและอะลูมิเนียมยังถูกเก็บภาษีอยู่ที่ 50%
ในทางกลับกัน ยุโรปตกลงที่จะซื้อพลังงานจากสหรัฐมูลค่า 750 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มคำสั่งซื้อด้านกลาโหม และอัดฉีดเงินลงทุนในสหรัฐมากกว่า 600 พันล้านดอลลาร์
เบอร์ลินและปารีสออกมาแสดงความสงสัยอย่างรวดเร็ว: นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ฟรีดริช เมิร์ซ เตือนว่าข้อตกลงนี้จะบีบภาคการผลิตที่อ่อนแออยู่แล้ว ขณะที่ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง เรียกวันนี้ว่าเป็น “วันที่มืดมน” ของทวีปยุโรป
---
### **สองจุดปะทุภาษีการค้า**
การเมืองด้านการค้ายังคงเป็นปัจจัยหลักของตลาด เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ประธานาธิบดีทรัมป์ได้บังคับใช้ภาษี “ตอบโต้” ต่อการนำเข้าจาก 69 ประเทศ โดยเพิ่มภาษีระหว่าง 10% ถึง 41% ภายในหนึ่งสัปดาห์ พร้อมขู่ใช้มาตรการที่เข้มงวดกว่านี้ต่อรัสเซียหากความขัดแย้งในยูเครนยังดำเนินต่อ
ภายในวันที่ 12 สิงหาคม เขาต้องตัดสินใจว่าจะขยายการพักรบทางภาษีกับปักกิ่งหรือปล่อยให้ภาษีกลับมาสูงถึงสามหลัก เสี่ยงต่อการกลับมาของสงครามการค้าเต็มรูปแบบ
---
### **ธนาคารกลาง: รักษากระสุนไว้**
ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) คงนโยบายไว้ตามเดิมในการประชุมล่าสุด โดยประธานเจอโรม พาวเวลล์ แสดงท่าทีระมัดระวัง แม้จะมีเสียงคัดค้านจากผู้ว่าการวอลเลอร์และโบว์แมน
ที่แฟรงก์เฟิร์ต คริสติน ลาการ์ด ประธาน ECB กล่าวว่าการเติบโต “แข็งแกร่ง แม้เพียงเล็กน้อย” อย่างไรก็ตาม ตลาดเงินได้เลื่อนความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยครั้งแรกออกไปถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2026
---
### **นักเก็งกำไรลดการถือยูโร**
นักเก็งกำไรลดสถานะซื้อสุทธิ (net long) ลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 สัปดาห์ที่ใกล้ 116,000 สัญญา ขณะที่ผู้เล่นเชิงพาณิชย์ก็ลดสถานะขายสุทธิ (net short) ลงมาอยู่ราว 163,500 สัญญา ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบหลายสัปดาห์เช่นกัน นอกจากนี้ ปริมาณสัญญาที่เปิดอยู่ (open interest) ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 4 สัปดาห์ที่ราว 828,300 สัญญา
GBP/USD ทรงตัวที่ 1.3300 จับตาข้อมูล ISM และการเมืองสหรัฐบทวิเคราะห์ค่าเงิน: GBP/USD ทรงตัวใกล้ระดับ 1.3300 ท่ามกลางแรงกดดันจากการเมืองสหรัฐและนโยบายการเงิน
คู่เงิน GBP/USD ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบจำกัดบริเวณ 1.3300 ในช่วงการซื้อขายของยุโรปเมื่อวันอังคาร ท่ามกลางแรงกดดันสองทางจากความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของทั้งสหรัฐฯ และอังกฤษ โดยตลาดกำลังจับตาข้อมูลดัชนีภาคบริการ ISM ของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิดในคืนนี้
ภาพรวมทางเทคนิค: แนวโน้มขาลงยังไม่สิ้นสุด
ดัชนี RSI บนกราฟ 4 ชั่วโมงยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 และราคายังเคลื่อนไหวภายในแนวโน้มขาลงที่ดำเนินต่อเนื่องมานานกว่าหนึ่งเดือน สะท้อนให้เห็นถึงแรงขายที่ยังไม่หมดไป แม้จะมีแรงดีดกลับในวันศุกร์ที่ผ่านมา
แนวรับใกล้เคียงอยู่ที่บริเวณ 1.3250 (ค่าเฉลี่ย SMA 20 ช่วง) ถัดไปที่ 1.3200 และ 1.3140 ซึ่งเป็นแนวล่างของกรอบแนวโน้มขาลง
แนวต้านระยะสั้นคือ 1.3300 ตามด้วย 1.3330 และ 1.3370 ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ย SMA 50 ช่วง
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ สั่นคลอนความเชื่อมั่นในดอลลาร์
ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) ของสหรัฐฯ เดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้นเพียง 73,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 110,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราว่างงานขยับขึ้นมาอยู่ที่ 4.2% จาก 4.1% นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานยังปรับลดตัวเลขของเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนรวมกันลงอีก 258,000 ตำแหน่ง ยิ่งตอกย้ำภาพรวมตลาดแรงงานที่อ่อนแอกว่าที่คาด
ความผิดหวังนี้ส่งผลให้ความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนกันยายนพุ่งขึ้นจาก 30% เป็นมากกว่า 70% ตามเครื่องมือ CME FedWatch ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงในวงกว้าง หนุนให้ GBP/USD ดีดกลับได้เล็กน้อยหลังจากร่วงต่อเนื่องถึง 6 วัน
ความปั่นป่วนทางการเมืองเพิ่มแรงเสี่ยงต่อค่าเงินดอลลาร์
หลังการเปิดเผยตัวเลขแรงงานที่น่าผิดหวัง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งปลดผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแรงงาน (BLS) Erika McEntarfer โดยกล่าวหาว่าบิดเบือนข้อมูลเพื่อจุดประสงค์ทางการเมือง พร้อมกันนั้น สมาชิกคณะกรรมการ Fed อย่าง Adriana Kugler ได้ประกาศลาออกล่วงหน้า ทั้งที่ยังเหลือวาระจนถึงต้นปี 2026
เหตุการณ์เหล่านี้จุดกระแสความกังวลว่า Fed และ BLS อาจสูญเสียความเป็นอิสระทางนโยบาย ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนลดการถือครองดอลลาร์ในระยะสั้น
แนวโน้มข้างหน้า: GBP ยังถูกกดดันจาก BoE ส่วน USD เสี่ยงผันผวนจากการเมือง
แม้ว่าดอลลาร์จะอ่อนค่า แต่ปอนด์อังกฤษก็ไม่ได้แข็งค่าอย่างมั่นคงนัก เนื่องจากตลาดยังคาดว่า BoE จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้าเช่นกัน ทำให้ทิศทางของ GBP/USD ยังคงถูกครอบงำด้วยแรงต้านจากนโยบายการเงินทั้งสองฝั่ง และปัจจัยทางการเมืองของสหรัฐฯ อาจกลายเป็นตัวเร่งให้ตลาดผันผวนต่อไป






















