SET ปิดหลุด 1400 จุด วิกฤต หรือ โอกาส ซานต้าจะมาไหมปีนี้SET ปิดหลุด 1400 จุด วิกฤต หรือ โอกาส ซานต้าจะมาไหมปีนี้
ภาพนี้แสดงกราฟราคาดัชนี **SET (ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)** แบบรายวัน โดยมีการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ละเอียด ซึ่งสามารถแบ่งเป็นส่วนต่าง ๆ ได้ดังนี้:
วิเคราะห์โซนราคา
### 1. **รูปแบบกราฟ Head and Shoulders (H&S)**
รูปแบบนี้เป็น **สัญญาณการกลับตัวจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง** ซึ่งประกอบไปด้วย:
- **L**: **Left Shoulder** (ไหล่ซ้าย) - เป็นจุดสูงแรกที่เกิดขึ้น
- **H**: **Head** (หัว) - จุดสูงสุดที่เกิดขึ้นสูงกว่าไหล่ซ้าย
- **R**: **Right Shoulder** (ไหล่ขวา) - จุดสูงที่เกิดขึ้น แต่ต่ำกว่าหัว และใกล้เคียงกับไหล่ซ้าย
- เส้น **Neckline** (เส้นน้ำเงินเฉียง) - เส้นที่ลากเชื่อมระหว่างจุดต่ำสุดระหว่างไหล่ซ้าย, หัว และไหล่ขวา เมื่อราคาหลุดเส้นนี้ลงมา จะถือว่าเป็นสัญญาณขายที่ชัดเจน
**สรุป**: การเกิดรูปแบบ H&S นี้แสดงว่ามีโอกาสสูงที่ราคาดัชนี SET จะปรับตัวลดลงต่อไป
---
### 2. **การ Retest (ทดสอบแนวต้าน)**
คำว่า **RETEST** สีแดงหมายถึง ราคาได้กลับขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่เคยเป็น **เส้น Neckline** เดิม แต่ไม่สามารถผ่านขึ้นไปได้ ทำให้ราคาปรับตัวลงต่อ
---
### 3. **Fibonacci Retracement**
เส้น Fibonacci Retracement ถูกใช้เพื่อวัดระดับการปรับฐานของราคาหลังจากขาขึ้นใหญ่ โดยแบ่งเป็นระดับสำคัญ:
- **38.20%** ที่ **1,447.72** (แนวต้านแรก)
- **50.00%** ที่ **1,429.47** (แนวต้านถัดไป)
- **61.80%** ที่ **1,411.21**
- **78.60%** ที่ **1,385.22**
- **88.60%** ที่ **1,369.75**
ระดับเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้าน หากราคาปรับตัวลงต่ำกว่าแต่ละระดับ จะมีโอกาสปรับลงไปที่ระดับถัดไป
---
### 4. **แนวโน้มและเป้าหมายในอนาคต**
- **วันที่ 20/12/2024** (ตัวอักษรสีแดง) น่าจะเป็นการคาดการณ์ช่วงเวลาที่ราคาจะเคลื่อนไหวไปถึงเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่ง เช่น จุดแนวรับหรือแนวต้านสำคัญ
- จากกราฟ การเคลื่อนไหวราคามีลักษณะเป็นขาลง (Downtrend) โดยมีการยืนยันจาก
- **การหลุดเส้น Neckline**
- ราคาล่าสุดอยู่ต่ำกว่า **1,395.57** จุด
---
### 5. **ข้อมูลเพิ่มเติมจากกราฟ**
- **ระดับราคาปิดล่าสุด**:
- ปัจจุบันปิดที่ **1,395.57** จุด (ตัวเลขสีแดง)
- ระดับนี้ต่ำกว่าระดับ Fibonacci 61.80% แต่ยังสูงกว่าแนวรับ Fibonacci ที่ 78.60%
- **เป้าหมายระยะสั้น**:
- หากราคาหลุดต่ำกว่า 1,385.22 (78.60%) จะมีแนวโน้มลงไปทดสอบแนวรับถัดไปที่ **1,369.75 (88.60%)**
---
### 6. **การตีความทางเทคนิค**
- รูปแบบ **Head and Shoulders** บ่งบอกถึงแนวโน้มขาลงที่ชัดเจน
- การ Retest เส้น Neckline แล้วย่อตัวลงต่อ เป็นการยืนยันว่าขาลงยังคงอยู่
- Fibonacci แสดงแนวรับและแนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง
- วันที่ **20/12/2024** เป็นช่วงเวลาคาดการณ์สำหรับทิศทางราคาที่ชัดเจนขึ้น
---
### **สรุปภาพรวม**
กราฟนี้บ่งชี้ถึงโอกาสที่ดัชนี SET จะปรับตัวลดลงตามรูปแบบ **Head and Shoulders** โดยมีแนวรับสำคัญตาม Fibonacci ที่ระดับ 1,385.22 และ 1,369.75 เป็นเป้าหมายลำดับถัดไป หากราคาหลุดลงต่ำกว่าแนวรับเหล่านี้ นักลงทุนควรระมัดระวังการลงต่อเนื่อง.
วิเคราะห์โซนเวลา
ในภาพนี้ มีการใช้ **Fibonacci Time-Based Lines** (เส้นแนวตั้งสีขาว) ซึ่งเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ช่วยคาดการณ์ **ช่วงเวลา** ที่ราคามีโอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญ เช่น การกลับตัวหรือการเร่งตัวของราคา โดยไม่สนใจทิศทางขึ้นหรือลง เน้นเฉพาะ **จังหวะเวลา** เท่านั้น
---
### วิธีการอ่าน Fibonacci Time-Based Lines
1. **หลักการวางเส้น**
- เส้นแนวตั้งจะถูกวางตามลำดับตัวเลข Fibonacci เช่น **0.618**, **1**, **1.272**, **1.618**, **2**, **2.618** และอื่น ๆ
- จุดเริ่มต้นของ Fibonacci Time-Based Lines มักจะวางไว้ที่ **จุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวราคา** (เช่น จุดต่ำสุดหรือสูงสุดหลักในอดีต)
2. **ความหมายของแต่ละเส้น**
- **เส้นแนวตั้ง** แสดงช่วงเวลาที่มีโอกาสเกิดเหตุการณ์สำคัญ เช่น การกลับตัวของราคา, การเร่งตัวขึ้นหรือลง, หรือการเปลี่ยนทิศทางแนวโน้ม
- ตัวเลขเช่น **1.0** และ **1.618** แสดงถึงระยะเวลาที่สัมพันธ์กับจุดเริ่มต้น โดยคิดตามสัดส่วน Fibonacci
3. **การใช้งานในกราฟนี้**
- เส้น **0.618**, **1.0**, **1.272**, **1.618**, **2.0**, และ **2.618** ถูกวางไว้เป็นช่วงเวลาแนวตั้ง
- แต่ละเส้นถูกคาดหมายว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของราคา เช่น:
- **0.618**: อาจเป็นจุดที่ราคาชะลอตัวหรือเปลี่ยนทิศทาง
- **1.0**: ช่วงที่ราคามีแนวโน้มเกิดการเคลื่อนไหวสำคัญ
- **1.618**: อาจบ่งบอกถึงจุดเร่งตัวครั้งใหม่หรือตลาดเปลี่ยนทิศทาง
---
### ตัวอย่างในกราฟ
- ในภาพนี้ Fibonacci Time-Based Lines ถูกลากจากจุดเริ่มต้น (ช่วงที่ราคาพุ่งขึ้น)
- เส้นต่าง ๆ เช่น **1.0**, **1.272**, และ **1.618** บ่งบอกถึงช่วงเวลาที่ราคามีโอกาสเกิดความเคลื่อนไหว เช่น
- การปรับฐานใหญ่ (ขาลง)
- การกลับตัว (อาจกลับขึ้น หรือย่อลงไปต่อ)
**ตัวอย่างวันที่ 20/12/2024**
- เส้นนี้ถูกกำหนดให้เป็นช่วงเวลา **1.272** หรือ **1.618** ซึ่งเป็นช่วงที่นักวิเคราะห์คาดว่า ราคามีโอกาสเกิดการเคลื่อนไหวสำคัญ
- เป็นการบ่งชี้ว่าในช่วงนี้ราคาจะมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการย่อตัวลงไปหาแนวรับใหม่หรือกลับตัวขึ้น
---
### วิธีการใช้งานควบคู่
1. **จับตาดูการเคลื่อนไหวของราคาใกล้เส้นแนวตั้ง**
- ถ้าราคาเกิดสัญญาณเทคนิคอื่น ๆ ใกล้เส้น เช่น การหลุดแนวรับ หรือเกิดรูปแบบแท่งเทียนกลับตัว ก็อาจยืนยันการเปลี่ยนทิศทางของราคา
2. **ผสมกับเครื่องมืออื่น ๆ**
- เช่น Fibonacci Retracement, เส้นแนวโน้ม (Trendline), หรือสัญญาณจากอินดิเคเตอร์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
---
### **สรุปการอ่าน Fibonacci Time-Based Lines**
- เส้นแนวตั้งสีขาวแสดง **จังหวะเวลา** ที่ราคามีโอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญ
- แต่ละเส้นสัมพันธ์กับเลขสัดส่วน Fibonacci เช่น 1.0, 1.618
- ในกราฟนี้ วันที่ **20/12/2024** คือจุดเวลาที่น่าจับตามอง เพราะมีโอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญของราคา
- ใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ราคาและแนวโน้มอื่น ๆ เพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวได้แม่นยำยิ่งขึ้น
ไอเดียชุมชน
ทุก 1 ปีหรือ 1.5 ปี หลัง Halving มักจะมีการร่วงลงของราคาบิทคอยผู้เขียนขอเกริ่นนำก่อนที่จะเริ่มบทวิเคราะห์นี้ โดยการขอเกริ่นนำคร่าวๆ ว่า Bitcoin halving และการขุดเหรียญ Bitcoin ขึ้นมาคืออะไร คืออะไร อาจจะไม่ถูกเป้ะๆ แต่เพื่อความง่าย ขออธิบายประมาณนี้ครับ
เรามาเริ่มกันเลย!
ด้าน Quality data และ Quantity data
การขุดบิทคอยคืออะไร ถ้าจะให้เปรียบง่ายๆ ปริมาณเหรียญ BTC มีทั้งโลกประมาณ 21 ล้านเหรียญ ถ้าเทียบกับทองในโลก การขุดทอง ก็เหมือนกับการขุดบิทคอย เรายังขุดบิทคอยยังไม่ครบ 21 ล้านเหรียญ และปัจจุบันก็ยังมีการขุดต่อเรื่อยๆ เราขุดทองโดยการสร้างเหมืองขุด แต่การขุดบิทคอยคือการเปิดคอมพิวเตอร์ให้ระบบคอมแก้สมการไปเรื่อยๆ จนถอดรหัสออกมาได้ เราก็จะได้บิทคอยมาเป็นรางวัลของการขุดแบบนั้นๆ
ทีนี้ BTC halving คือเหตุการณ์หนึ่ง ที่จะเกิดขึ้นทุก 4 ปี ตามระบบของมัน ส่งผลทำให้การขุดบิทคอยยากขึ้น แล้วทำให้ปริมาณบิทคอยที่ขุดขึ้นมาหลังจากนั้นจะน้อยลง และเมื่อ Supply น้อยลง หากไม่มีปัจจัย Demand ที่เปลี่ยนแปลง ก็อาจจะทำให้ราคาบิทคอยพุ่งสูงขึ้นตามหลัก supply & demand
เมื่อ halving เกิดขึ้น ก็จะทำให้ขุดเหรียญได้ยากขึ้น ก็จะทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้น (หาก demand ยังเหมือนเดิม)
งั้นเรามาดูเหตุการณ์ halving ที่ผ่านมาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับราคาหลังจาก Halving
1. Halving ครั้งแรก เมื่อ 28 พ.ย. 2012 หลังจากนั้น 1 ปี มีการพุ่งสูงขึ้นของราคาบิทคอย ก่อนที่จะย่อตัวลง
2. Halving ครั้งที่ 2 เมื่อ 9 ก.ค. 2016 หลังจากนั้น 1.5 ปี มีการพุ่งสูงขึ้นของราคาบิทคอย ก่อนที่จะย่อตัวลง
3. Halving ครั้งที่ 3 เมื่อ 11 พ.ค. 2020 หลังจากนั้น 1 ปีได้มีการย่อตัวลง 1 รอบ ก่อนที่จะทะยานตัวกลับไป และหลังจาก halving ครบ 1.5 ปี มีการพุ่งสูงขึ้นของราคาบิทคอย ก่อนที่จะย่อตัวลง
4. Halving ครั้งที่ 4 เมื่อ 19 เม.ย. 2024 ที่ผ่านมา หลังจากนั้น จะเป็นอย่างไร ไม่มีใครทราบ !
แต่หากจะประเมินตามสถิติ ก็คงจะราวๆ เมษา 2025 หรือ พฤศจิกา 2025 คงจะมีการร่วงลงของบิทคอย
เป็นไปได้มั้ยว่า หากมีคนมองเห็นภาพนี้ก่อนจะชิงขายก่อน ก็ไม่มีใครทราบได้
อีก 1 layer ของการวิเคราะห์ที่นอกเหนือจากเรื่องสถิติ ผมขอวิเคราะห์ด้าน Technical analysis เพิ่มเติม
ด้าน Technical analysis
ส่วนตัวผมค่อนข้างเข้าใจ Elliott wave และ Dow's theory มากกว่าทฤษฏีอื่นๆ ผมขออนุญาตใช้ทฤษฏีดังกล่าวประกอบการวิเคราะห์แล้วกันนะครับ
Wave 1 จากกราฟจะเห็นว่า หากมองภาพใหญ่ๆ การที่ราคาทะยานตัวมาถึง 68000$ เมื่อปี 21
อาจเทียบเท่าได้ว่าเกิด wave 1 (ซึ่งมี sub wave ครบ 5 wave และมี alternation rule ของ subwave 2 และ 4) ซึ่งการทะยานตัวของราคาดังกล่าว ทำให้เป็นช่วงที่คนส่วนหนึ่งเริ่มรู้จักบิทคอยและเข้าซื้อตาม
Wave 2 จากกราฟจะเห็นว่ามีการเทขายลงมาเหลือราวๆ 15000$ (เทียบ Fibo ราวๆ 78.6) ในปี 22 ปัจจัยแวดล้อมช่วงนั้นก็จะเป็นการทำ Quantitative Tightening จาก Federal reserve และสงครามส่งผลให้คนเทขายสินทรัพย์เสี่ยง (ในมุมมองของนักลงทุนเวลานั้น) และเกิด Panic sell ระดับใหญ่ ผู้คนที่เคยเข้าซื้อ ออกจากตลาดกันค่อนข้างเยอะ และเริ่มมองภาพลบต่อบิทคอย
Wave 3 นั่นคือช่วงเวลาปัจจุบันนี้ หากลองเทียบ Fibonacci ratio ส่วนมาก wave 3 มักจะราคาพุ่งสูงขึ้นเมื่อเทียบกับ wave 1 ราวๆ 123.6%-161.8% หรือบางตำราอาจจะไปถึง 200-300%
ส่วนตัวผู้เขียนประเมินคร่าวๆ ว่าราคาอาจจะไปถึงช่วง ราวๆ 100000-130000$ ก็น่าจะเต็มกลืนแล้ว
ประกอบกับเส้นประสีเขียว ที่แตะเมื่อไหร่มักจะมีการร่วงลงของราคา จึงประเมินว่า Risk ของขาลงเริ่มเพิ่มมากขึ้น สวนทางกับข่าวสารปัจจุบันที่อาจจะมองบิทคอยในแง่ดี
ทั้งนี้การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้เขียนไม่ประสงค์ชี้แนะแนวทางการลงทุนใดๆ การลงทุนของผู้ลงทุนควรจะต้องเกิดจากความเข้าใจในตัวสินทรัพย์นั้นๆ และเหตุการณ์เศรษฐกิจโลก รวมถึงมีการประเมินความเสี่ยงอย่างครบถ้วน สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่านโชคดีในโลกของการลงทุนครับ ขอบคุณครับ
ดอลลาร์ผันผวนรอรายงาน NFP วันนี้ ตลาดจับตาข้อมูล NFP คืนนี้ ซึ่งอาจชี้ทิศทางดอลลาร์สหรัฐ หลังตัวเลข ADP และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานส่งสัญญาณว่า NFP อาจต่ำกว่าคาดการณ์ หากต่ำกว่าคาด ดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าและเพิ่มโอกาสการลดดอกเบี้ยของ Fed แต่หากตัวเลขออกมาดีกว่าคาด อาจลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยและช่วยดันดอลลาร์ให้แข็งค่า
ด้านเทคนิค DXY ชะลอตัวที่ 107.25 หากยืนเหนือ 105.97 ได้ มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ แต่หากหลุด เป้าหมายถัดไปคือ 104.05
BREADTH SET50 DASHBOARDภาพรวม ตลาด SET50 ยังไม่ค่อยจะดีนัก แต่ก็เริ่มมี DATA ระยะสั้นบางตัว เริ่มส่งสัญญาณ Divergence ออกมาให้เห็นบ้างแล้ว
หุ้นหลายๆตัว เริ่ม กลับมายืนเหนือ ma22 กันมากขึ้น ในขณะที่ SET50 INDEX ยังไม่ขึ้น
อาทิตย์นี้น่าสนใจ ถ้า ตลาดมีการรีบาวขึ้นมาได้ โอกาส data ระยะยาว กลับตัวได้ อาจจะส่งสัญญาณดี เทรน เดือน ธันวาคม อาจจะกลับขึ้นได้อีกรอบ
โครงสร้างของ Three Hills and a Mountain**Three Hills and a Mountain Pattern** เป็นรูปแบบกราฟราคาที่ใช้ใน **การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)** โดยส่วนใหญ่มักปรากฏในตลาดที่มีความผันผวนสูง เช่น ตลาดคริปโต (Cryptocurrency) ซึ่งสามารถใช้ระบุจุดกลับตัวหรือแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นได้ รูปแบบนี้ประกอบด้วย:
### โครงสร้างของ Three Hills and a Mountain
1. **Three Hills (เนินสามลูก)**
- กราฟแสดงการขึ้นและลงของราคาที่มีลักษณะเป็นยอดเขาสามลูกติดกัน
- เนินเหล่านี้อาจมีระดับสูงที่ใกล้เคียงกันหรือค่อยๆ ลดลง/เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
- แต่ละยอดอาจเกิดจากแรงขายหรือแรงซื้อที่ลดลงอย่างช้าๆ
2. **A Mountain (ภูเขาใหญ่)**
- ราคาทำการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมักเป็นภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในรูปแบบ
- หลังจากนี้จะเกิดการกลับตัวของราคา (reversal)
### ตัวอย่างการตีความ
- ในแง่ **ขาขึ้น**: รูปแบบนี้อาจสะท้อนแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเมื่อถึงภูเขาใหญ่ จะมีแรงขายออกมาในปริมาณมาก
- ในแง่ **ขาลง**: หากภูเขาใหญ่เกิดหลังจากขาลง และราคากลับตัวไปทางขึ้น อาจแสดงถึงการสิ้นสุดของแนวโน้มขาลง
---
### ตัวอย่างในกราฟเหรียญ ETH
สมมติว่า ETH มีราคาต่อเนื่องดังนี้:
1. **ช่วงต้น (Three Hills):**
- Hill 1: ราคาขึ้นไปแตะ $1,900 แล้วปรับลงมา $1,850
- Hill 2: ราคาขึ้นไปแตะ $1,910 แต่ปรับลงมา $1,860
- Hill 3: ราคาขึ้นไปแตะ $1,920 แล้วลงมาที่ $1,870
2. **ช่วงภูเขาใหญ่ (The Mountain):**
- ราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วไปแตะ $2,000
- หลังจากนั้นปรับฐานลงมาที่ $1,850
---
### การวิเคราะห์
1. **กรณี Bullish (แนวโน้มขึ้น):**
- หากหลังจากปรับฐานลงมาที่ $1,850 แล้วราคากลับตัวขึ้นใหม่ เช่น ทะลุ $2,000 อาจแสดงถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่ง
2. **กรณี Bearish (แนวโน้มลง):**
- หากราคาปรับตัวต่ำกว่า $1,850 ต่อเนื่อง อาจเป็นสัญญาณว่าผู้ขายเริ่มควบคุมตลาด
---
### เคล็ดลับในการใช้:
1. ยืนยันด้วย **อินดิเคเตอร์** อื่นๆ เช่น RSI, MACD หรือ Volume เพื่อดูว่าการกลับตัวนั้นแข็งแรงหรือไม่
2. ใช้การตั้ง Stop-loss เพื่อจัดการความเสี่ยง เนื่องจากตลาดคริปโตมีความผันผวนสูง
**Three Hills and a Mountain Pattern** ร่วมกับ **Fibonacci Retracement** สามารถวิเคราะห์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ Fibonacci เพื่อระบุจุดเข้าและออกจากตลาดอย่างแม่นยำ เราจะพิจารณาโครงสร้างและแนวทางตามทฤษฎีดังนี้:
---
### **โครงสร้างตามทฤษฎี Three Hills and a Mountain**
1. **Three Hills**
- กราฟสร้างยอด 3 ลูก โดยอาจมีระดับสูงที่ใกล้เคียงกันหรือปรับขึ้นลงเล็กน้อย
- มักแสดงถึงการปรับฐานระหว่างแนวโน้ม
2. **The Mountain**
- ราคาพุ่งขึ้น (หรือร่วงลง) อย่างรวดเร็ว เป็นยอดใหญ่ที่สุด
- หลังจากนั้นจะเกิดการปรับฐานอย่างมีนัยสำคัญ
---
### **การใช้งาน Fibonacci กับ Three Hills and a Mountain**
1. **ระบุจุดสำคัญ:**
- ใช้ Fibonacci Retracement จากจุดต่ำสุดของเทรนด์ก่อนหน้า (Swing Low) ไปยังจุดสูงสุดของภูเขาใหญ่ (Swing High)
- ระดับ Fibonacci สำคัญที่ต้องจับตา:
- **0.236 (23.6%)**: การพักฐานเล็กน้อย
- **0.382 (38.2%) และ 0.5 (50%)**: จุดปรับฐานปานกลาง
- **0.618 (61.8%)**: จุดปรับฐานสำคัญที่มักเป็นโซนกลับตัว
- **0.786 (78.6%)**: สัญญาณแนวโน้มเปลี่ยน
2. **จุดเข้า (Entry Point):**
- หากราคาแตะระดับ **0.618** หรือใกล้เคียง พร้อมมีสัญญาณยืนยัน (เช่น RSI Oversold หรือ Divergence)
- เข้าเมื่อราคากลับขึ้นเหนือระดับ 0.618 หรือ 0.786
3. **จุดออก (Exit Point):**
- ใช้ Fibonacci Extension เพื่อคาดการณ์เป้าหมาย:
- **1.618 (161.8%)** หรือ **2.0 (200%)** มักเป็นจุดทำกำไรในขาขึ้น
- หากราคาไม่สามารถทะลุระดับ 1.0 เดิมได้ อาจเลือกปิดส่วนหนึ่งที่ระดับ 0.618
---
### **ตัวอย่างกราฟ ETH ตาม Fibonacci**
1. **ช่วง Three Hills:**
- Hill 1: ราคาแตะ $1,900
- Hill 2: ราคาแตะ $1,910
- Hill 3: ราคาแตะ $1,920
- Swing Low: $1,850
2. **The Mountain:**
- ราคาเด้งขึ้นไปแตะ $2,050 (Swing High)
3. **การปรับฐาน:**
- ราคาเริ่มปรับลง: ใช้ Fibonacci Retracement จาก $1,850 ถึง $2,050
- ระดับที่พบ:
- **0.382 (38.2%)**: $1,960
- **0.618 (61.8%)**: $1,920
4. **กลยุทธ์การเข้าออก:**
- หากราคาปรับตัวลงใกล้ $1,920 (0.618) และ RSI แสดง Oversold → **จุดเข้า Buy**
- เป้าหมายการทำกำไรที่ $2,100 (1.618) หรือ $2,200 (2.0)
---
### **สรุปจุดเข้าและออก**
- **จุดเข้า:** เมื่อราคากลับขึ้นเหนือระดับ 0.618 ($1,920)
- **จุดออกระยะสั้น:** $2,050 (ระดับเดิม)
- **จุดออกระยะยาว:** $2,100 (Fibo 1.618) หรือ $2,200 (Fibo 2.0)
Block Trade คืออะไร?Block Trade คืออะไร เทรดอย่างไร ?
👯👯👯 สำหรับใคร ที่ชื่นชอบความท้าทาย และต้องการมีรายได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในหุ้น ให้รีบมาอ่านบทความนี้ เพราะหากเราลองเปรียบเทียบ การลงทุนในหุ้นด้วยจำนวนเงินที่เท่าๆกัน แต่เราสามารถสร้างผลตอบแทนและกำไรได้มากกว่าหลายเท่าตัวด้วย Block trade จะดีกว่ามั้ย มาครับมาตามอ่านกัน
Block Trade คืออะไร?
Block Trade เป็นหนึ่งในบริการที่บริษัทหลักทรัพย์จัดทำให้กับลูกค้าที่มีความต้องการลงทุนใน Single Stock Future (SSF) ซึ่งมีวิธีการซื้อขายแบบจับคู่ซื้อขาย (SSF) ที่ราคา และจำนวนสัญญาที่ตกลงกันไว้ เพื่อช่วยเรื่องสภาพคล่องที่ไม่เพียงพอ
Single Stock Futures (SSF) แรกเริ่มเดิมที คือ การซื้อขายสัญญา Futures ของหุ้นอ้างอิงที่เราสนใจนั่นเอง โดยมากแล้วหุ้นอ้างอิงเหล่านี้มักจะเป็นสมาชิกของ SET50 ซะเป็นส่วนใหญ่ แล้วบวกเพิ่มเข้าไปกับหุ้น SET100 อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเมื่อรวมกันแล้ว ปัจจุบันมีทั้งหมด 69 หุ้นอ้างอิงที่เราสามารถเลือกซื้อขาย Long-Short โดยใช้ Single Stock Futures เป็นตัวช่วยในการเพิ่มอัตราทดให้พอร์ตการลงทุนของเราได้
แต่การซื้อขาย SSF กลับไม่ราบรื่นเท่าที่ควร เหตุก็เพราะว่าผู้เล่นในสนามนี้โดยมากแล้วจะเป็นนักลงทุนทั่วไป ที่มาตั้งซื้อ-ขายกันเอง ทำให้ “สภาพคล่อง” ของสินค้าชนิดนี้น้อย เป็นผลให้นักลงทุนไม่สามารถซื้อขายกันได้อย่างสะดวก ด้วยเหตุนี้เองทำให้ SSF ได้รับความนิยมน้อย และนักลงทุนไม่ให้ความสนใจมากนักเนื่องจากปัญหาสภาพคล่องที่ต่ำ
จนกระทั่งเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นผู้เพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาด SSF วิธีการคือบริษัทหลักทรัพย์เหล่านี้จะทำตัวเป็นคู่สัญญาให้กับผู้ซื้อทุกคน โดยมีเงื่อนไขว่า ผู้ซื้อจะต้องซื้อจำนวนสัญญา SSF เป็นจำนวนขั้นต่ำตามเกณฑ์ที่มีกำหนดขึ้นมาจากตลาดหลักทรัพย์
การจับคู่สัญญาของผู้ซื้อ และบริษัทหลักทรัพย์นี้เองที่เรียกว่า “BLOCK TRADE”
โดยที่หากผู้เล่นต้องการเปิด สถานะ LONG บริษัทหลักทรัพย์ก็จะมารับเป็นคู่สัญญาเปิด สถานะ SHORT ทำให้ออเดอร์ทั้งสองฝั่งแมทช์กันได้
ดังนั้น ในกรณีที่ราคาหุ้นขยับขึ้นไป ผู้เล่นก็จะมีกำไร และทางบริษัทหลักทรัพย์คู่สัญญาตรงข้ามก็จะต้องรับขาดทุนไปด้วย แต่บริษัทหลักทรัพย์ไม่ต้องการเปิดความเสี่ยงตรงนี้จุดนี้ จึงใช้วิธีป้องกันความเสี่ยง โดยการเข้าไปซื้อ “หุ้นจริงบนกระดาน” เอาไว้เท่ากับจำนวนที่เป็นคู่สัญญาให้กับผู้เล่น เพราะฉะนั้นแล้วบริษัทหลักทรัพย์ก็จะ “ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย” จากการเป็นคู่สัญญากับนักลงทุน เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้นักลงทุนสามารถใช้ประโยชน์จากอัตราทดของสินค้านี้ได้
ตัวอย่างขั้นตอนการทำ Block Trade (ตัวเลขสมมติ)
- ผู้เล่นติดต่อมาร์เกตติ้งส่วนตัวเพื่อขอทำ Block Trade หุ้น CBG 1 แสนหุ้น
- มาร์เกตติ้งส่งคำสั่งเปิด long CBG 100 สัญญา ถึงบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นคู่สัญญา
- บริษัทหลักทรัพย์ทำการซื้อหุ้น CBG 100,000 หุ้นจากบนกระดานหลักเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงตามที่ได้กล่าวไปด้านบน
- ลูกค้ามีสถานะ long CBG 100 สัญญา หรือเทียบเท่ากับมีหุ้น CBG 100,000 หุ้น
*** เหตุการณ์ทั้งหมดใช้เวลาเพียง 1-2 นาทีเท่านั้น ***
หลังจากที่มีโบรคเกอร์เข้ามาเป็นตัวกลางในการทำธุรกรรมนี้แล้ว ปริมาณการเทรด SSF จึงโตขึ้นถึง 10 เท่าตัว จากเดิมที่มีการซื้อขาย SSF เฉลี่ย 10,000 สัญญา ต่อวัน เขยิบขึ้นมาที่ราวๆ 80,000 สัญญาต่อวัน ซึ่งในวันที่มีการเทรดกันคึกคักสุดๆ จำนวนสัญญาเคยขึ้นไปสูงถึง 150,000 สัญญาต่อวันเลยทีเดียว
ทำไมผู้เล่นถึงเข้ามาเทรด Block Trade กันมากมายขนาดนี้ !!?
1. หุ้นที่สามารถทำ Block Trade ได้นั้น โดยมากจะเป็นหุ้นใน SET50 และ SET100
2. เลือกทิศทางได้ทั้งในฝั่ง LONG และ SHORT เพราะฉะนั้น ไม่ว่าตลาดจะเป็นขาขึ้น,ขาลง หรือแม้แต่ไซด์เวย์ ก็มีโอกาสให้กับผู้เล่นอยู่เสมอ
3. การทำ Block Trade ใช้เงินน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการซื้อหุ้นในตลาด
👽👽👽 เป็นอย่างไรกันบ้างครับพอจะเริ่มเป็นแนวทางในการหาเงินหรือกำไรเพิ่มขึ้นมั้ยครับ แอดว่ามันเข้าท่าดีนะครับ สำหรับคนที่มีเงินทุนน้อย และชอบเทรดในตลาดหุ้นที่มีทั้ง short และ long บอกเลยว่ามันได้ฟิลดีเหมือนกันนะเออ
แล้วอย่าลืม หมั่นฝึกฝนการเทรดให้ได้ทุกวัน ยิ่งเราเทรดบ่อยๆเราจะเก่งขึ้นเองครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM และสร้างแผนการเทรดที่ดีด้วยนะครับ จะช่วยทำให้เราแกร่งมากยิ่่งขึ้น และเจ็บน้อยลง แอดเอาใจช่วยนะครับ
Market Cycle รู้ไว้จะได้ไม่ดอยกับวัฏจักรตลาดMarket Cycle รู้ไว้จะได้ไม่ดอยกับวัฏจักรตลาด
👯👯👯 เพราะตลาดมีทั้งขึ้นและก็ลง มีใครเจ็บตัวจากการดิ่งลงของทองช่วงนี้มั้ย ยกมือขึ้น วันนี้แอดพาไปรู้จักกับกลไกวัฏจักรของตลาดการเงินกันครับ เผื่อว่าคนที่ดอยหรือล้างพอร์ตบ่อยๆจะได้ปลงและ มองเห็นความเป็นจริงที่มากขึ้น มาครับตามมาอ่านกันดีกว่า ว่ามันเป็นยังไง
เพราะตลาดมีทั้งขึ้นมีทั้งลง เคยสังเกตุไหม???? เพื่อนเราเทรดทอง เราเองก็เทรดทอง คนนึงบาย BUY คนนึงเซล SELL แต่เอ๊ะ ทำไมมันก็กำไรทั้งคู่นะ ไม่มีใครเทรดเสีย หรือบางทีก็เทรดเสียด้วยกันทั้งคู่ ทั้งคน BUY และคน SELL ตลาดเขาแรงจริงๆ ว่ามั้ย
Market Cycle จึงเป็นเหมือนเครื่องเตือนสติใจ ให้เราไม่วู่วามและเผชิญหน้ากับความจริงที่เป็นสิ่งไม่ตายนั่นเอง และเราก็ใช้สิ่งนี้แหละเป็นตัวตัดสินใจในการลงทุน และวางแผนการลงทุนได้อย่างมีระบบ
วัฎจักรตลาด (Market Cycle)
คือธรรมชาติของการซื้อขายบนความคาดหวัง เช่น บางคนคิดว่าราคาจะพุ่งขึ้นในตลาดขาขึ้นก็ซื้อหุ้นไว้ แต่พอเวลาผ่านไป ราคาขึ้นไปจนสุดแรง ก็อาจเกิดการรีบาว์นหรือกลับตัว เป็นตลาดขาลง ซึ่งเรามักใช้ปัจจัยอื่นๆประกอบในการวิเคราะห์เชิงเทคนิค และข่าวสารที่ส่งผลต่อหุ้นนั้นๆ
ทฤษฎีที่หลายคนนิยมใช้กันมีอยู่ 2 ทฤษฎี คือ
1. ทฤษฎีดาว (Dow Theory)
มีอยู่ด้วยกัน 4 ช่วงที่สำคัญคือ
- ช่วงเก็บของ (The accumulation phase)
เมื่อราคาหุ้นตกลงมากๆ ติดต่อกันนาน ๆ มูลค่าการซื้อ-ขาย จะน้อยลง จะเป็นช่วงรายใหญ่เก็บของในช่วงนี้และราคาจะไม่ขึ้นจนกว่าจะเก็บของเสร็จ
- ช่วงราคาพุ่งขึ้น/ผู้คนเริ่มรับรู้ตลาดขาขึ้น (Uptrend)
หุ้นในช่วงนี้นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มสนใจ เพราะเห็นว่ามันมีแนวโน้มที่ชัดเจน ข่าวที่ส่งผลต่อราคาอาจยังออกมาไม่มากนัก
- ช่วงเลิกเล่น (The distribution phase)
ช่วงที่หุ้นขึ้นมาอย่างร้อนแรง จนนักลงทุนส่วนใหญ่กระโดดเข้าไปตาม แต่มักจะเป็นช่วงที่ตลาดขึ้นไปสุดแล้ว และเป็นจุดเริ่มต้นของขาลงในคลื่นลูกใหม่
- ช่วงราคาร่วงหนัก/ผู้คนเริ่มรับรู้ตลาดขาลง (Downtrend)
หุ้นในช่วงนี้นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มตกใจและหดหู่จากตลาดร่วงอย่างหนัก เพราะเห็นว่ามันมีแนวโน้มที่ชัดเจนว่าราคาจะทำท่าลงต่อ
2. ทฤษฎี Wyckoff (Wyckoff Logic)
ทั้งสองทฤษฎีนี้มีความคล้ายคลึงกันอยู่ แต่แตกต่างกันตรงที่การแบ่งแยกช่วงต่างๆของวัฏจักร โดยหลักการ Wyckoff สามารถคาดการณ์ และ ดูทิศทางการเคลื่อนไหว ภายในกรอบซื้อขาย (Trading Range) และอาศัยความเป็นเหตุเป็นผลที่จับต้องได้ และเกิดซ้ำ ๆ จนเป็นวัฏจักรตลาด Wyckoff Logic มีทั้งหมด 4 ช่วงที่สำคัญคือ
- ระยะสะสม (Accumulation)
ในระยะสะสมจะมีการแบ่งช่วงย่อยเป็น Phase มีด้วยกัน 5 Phase หรือมองภาพให้ง่ายๆคือกรอบคลื่นย่อยๆค้ายคลื่นอีเลียตในกรอบย่อยนั่นเองเพื่อพักตัวและเลือกทางการไปต่ออีกครั้ง
- ระยะไล่ราคา (Mark Up / Uptrend)
ราคาจะมีทิศทางขาขึ้นค่อนข้างชัดเจน มีการไล่ราคากันอยู่เรื่อย ๆ สลับกับทยอยขายทำกำไร แต่เมื่อใดที่ราคาเคลื่อนไหว Sideway นาน ๆ หรือมีสัญญาณที่แนวโน้มขาขึ้นจะเปลี่ยนเป็นขาลง จุดนี้อาจเป็นจุดสูงสุดของขาขึ้น
- ระยะแจกจ่าย (Distribution)
ในระยะสะสมจะมีการแบ่งช่วงย่อยเป็น Phase มีด้วยกัน 5 Phase หรือมองภาพให้ง่ายๆคือกรอบคลื่นย่อยๆค้ายคลื่นอีเลียตในกรอบย่อยนั่นเอง แต่เป็นแบบกรอบพักตัวแล้วไต่ขึ้นหรือลงต่อ
- ระยะดิ่งเหว (Mark Down / Downtrend)
หลังจากผ่านช่วงแจกจ่ายไปแล้ว ตลาดก็เข้าสู่ขาลง ในช่วงนี้เราอาจจะเจอการเด้งกลับของราคาอยู่เป็นช่วงๆ หรือที่เรียกว่า “Rebound” ซึ่งในตลาดขาลงนี้ จะสามารถทำกำไรได้ในระยะสั้นๆ แต่ก็มีความเสี่ยงสูงมากหากเข้าซื้อ-ขายออกช้าเกินไป และหลังจากที่ระยะนี้จบลง ก็จะเริ่มเข้าสู่ระยะสะสม วนเป็นวัฏจักรแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
👽👽👽 เป็นอย่างไรกันบ้างครับพอจะเริ่มเข้าใจกลไกวัฏจักรของตลาดการเงินกันบ้างแล้วมั้ยครับ แอดบอกเลยว่ามันดีจริงๆนะ ทำให้เราไม่เครียดและหาทางออกในการแก้ไม้ของเราได้ดีเลยเชียวหละ ลองเอาไปปรับใช้กันดูครับ แอดเชื่อว่าไม่มากก็น้อย กำไรแน่นอน อยู่ที่ว่าเราเลือกชอบแบบไหน และเทรดให้ได้กำไรที่สุด
แล้วอย่าลืม หมั่นฝึกฝนการเทรดให้ได้ทุกวัน ยิ่งเราเทรดบ่อยๆเราจะเก่งขึ้นเองครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM และสร้างแผนการเทรดที่ดีด้วยนะครับ จะช่วยทำให้เราแกร่งมากยิ่่งขึ้น และเจ็บน้อยลง แอดเอาใจช่วยนะครับ
XAUUSD: ท้าทาย EMA 89, โอกาสหรือความเสี่ยง?XAUUSD กำลังฟื้นตัวอย่างน่าทึ่ง โดยซื้อขายที่ระดับ 2,644 USD หลังจากทะลุกรอบขาลงก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม การเดินทางขึ้นของราคาทองคำกำลังเผชิญกับ "กำแพงเหล็ก" คือเส้น EMA 89 ที่ระดับ 2,657 USD ซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญที่อาจลดแรงขาขึ้นในปัจจุบัน
กรณีเชิงบวก: หากราคาทะลุผ่านโซน 2,644-2,650 USD แรงซื้อที่แข็งแกร่งอาจผลักดัน XAUUSD ไปถึงระดับ 2,657 USD ซึ่งเป็นจุดที่นักเทรดหลายคนกำลังรอคอย
กรณีเชิงลบ: หากไม่สามารถทะลุได้ ราคาทองคำอาจย้อนกลับลงไปที่ระดับแนวรับสำคัญ 2,580 USD ซึ่งเป็นจุดชี้ขาดว่าทิศทางขาขึ้นยังคงมั่นคงหรือไม่
ปัจจุบัน "กระแสลม" จากตลาดเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังส่งผลกระทบเล็กน้อยต่อราคาทองคำ เนื่องจากข้อมูลเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาบ่งชี้ว่าดอลลาร์สหรัฐสูญเสียข้อได้เปรียบบางส่วน อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อมูลเงินเฟ้อ PCE ที่กำลังจะมาถึง ทุกสถานการณ์อาจเกิดขึ้นได้ นักลงทุนควรเตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนที่ไม่คาดคิด
ย้ำเตือน ตลาดหุ้นไทยลงในกรอบ 1447.72-1429.46-1411.21 ตามลำดับย้ำเตือน ตลาดหุ้นไทยลงในกรอบ 1447.72-1429.46-1411.21 ตามลำดับ
หลักการของ **Joe DiNapoli** เกี่ยวกับการใช้งาน **Fibonacci Retracements** นั้นมีจุดเด่นในการวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดและหาจุดกลับตัวของราคาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการใช้งานเส้น **38.2%** และ **61.8%** ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สำคัญในกลยุทธ์ของเขา
### พื้นฐานของ Fibonacci Retracements
Fibonacci Retracements เป็นเครื่องมือที่นักวิเคราะห์ใช้ในการหาจุดที่ราคามีโอกาสจะเกิดการปรับฐานหรือลดลงในทิศทางตรงข้ามกับแนวโน้มเดิม โดยสัดส่วนยอดนิยมคือ:
- **38.2%**: มักถูกใช้ในการบอกถึงการปรับฐานเบาๆ ของราคา
- **61.8%**: เป็นระดับสำคัญที่ถือว่าเป็นแนวรับ/แนวต้านที่มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวหรือเคลื่อนที่ในทิศทางใหม่
### หลักการของ Joe DiNapoli
Joe DiNapoli ได้พัฒนาแนวทางการใช้งาน Fibonacci Retracements ด้วยการเน้นการวิเคราะห์แบบเจาะลึกและใช้ควบคู่กับเครื่องมืออื่น เช่น **DiNapoli Levels** เพื่อให้ได้ผลการวิเคราะห์ที่แม่นยำยิ่งขึ้น หลักการสำคัญที่เขาใช้กับ Fibonacci 38.2% และ 61.8% ได้แก่:
1. **การระบุจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของแนวโน้ม**:
- DiNapoli จะเริ่มจากการระบุจุดสูงสุด (High) และจุดต่ำสุด (Low) ของการเคลื่อนไหวของราคาที่เห็นได้ชัดเจน จากนั้นจึงใช้ Fibonacci Retracements ในการกำหนดระดับการปรับฐาน
2. **ระดับ 38.2%**:
- เป็นจุดที่ราคามักปรับฐานแบบตื้น หากราคายืนเหนือระดับนี้ได้แสดงว่าแนวโน้มหลักยังคงแข็งแรง และมักใช้ในการตัดสินใจสำหรับการเข้าซื้อ (Buy) หรือขาย (Sell) ตามแนวโน้มเดิม
3. **ระดับ 61.8%**:
- เป็นระดับที่สำคัญมากสำหรับ DiNapoli เพราะถือว่าเป็น "Golden Ratio" ที่มีโอกาสสูงที่จะเกิดการกลับตัวของราคา การยืนเหนือหรือต่ำกว่าระดับนี้จะเป็นตัวชี้วัดถึงแนวโน้มที่อาจเปลี่ยนทิศทาง
4. **การใช้งานร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ**:
- DiNapoli มักแนะนำให้ใช้ Fibonacci ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ เช่น **Moving Averages** หรือ **Oscillators** เพื่อยืนยันการวิเคราะห์ เช่น หากระดับ Fibonacci 61.8% ตรงกับ Moving Average ที่สำคัญ มันจะยิ่งเพิ่มความแข็งแกร่งในการใช้เป็นแนวรับหรือแนวต้าน
### ตัวอย่างการใช้งาน
สมมติว่าราคาของสินทรัพย์หนึ่งมีแนวโน้มขาขึ้นและกำลังปรับฐาน หากราคาลดลงมาถึงระดับ 38.2% และเริ่มฟื้นตัว นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าราคาจะเดินหน้าต่อไปในทิศทางเดิม แต่หากราคาลดลงมาถึงระดับ 61.8% และเริ่มกลับตัวขึ้น ก็เป็นจุดที่น่าสนใจมากในการพิจารณาว่าราคาจะเกิดการกลับตัวที่สำคัญ
หลักการของ Joe DiNapoli จึงเน้นการใช้ Fibonacci อย่างรอบคอบและพิจารณาแนวโน้มในภาพรวมเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจเทรด.
Retest Trading แบบไหนให้ได้กำไรRetest Trading แบบไหนให้ได้กำไร
👽👽 เคยเป็นกันบ้างมั้ยกับการอ่านกราฟทางเทคนิคแล้วโดนกราฟหลอก ไปทางไหนก็ผิดทาง รีเทสแล้ว รีเทสอีก ก็ยังผิดทาง หรือเราจะอ่านกราฟผิดกันนะ มาครับ บทความนี้แอดมีคำตอบให้
กลไกของกลยุทธ์การ Retest
กลไกของกลยุทธ์ Retest มักมาควบคู่กันพร้อมกับ Breakout เสมอ หลักและใจความสำคัญ ที่จำเป็นในการเทรดก็คือการอ่านแนวรับแนวต้านให้ออก และจำเป็นต้องใช้เครื่องมือตัวบ่งชี้ทางเทคนิคช่วยด้วยอีกทางหนึ่ง
สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงก็คือ
1. เมื่อกราฟราคาพุ่งขึ้นสูงสุดหรือลงต่ำสุด และทะลุแนวรับหรือแนวต้าน โดยมีปริมาณ Volumn การซื้อขายที่สูงหรือต่ำตามมาติดๆ
- การ Breakout ในแนวรับหรือแนวต้าน จะเกิดขึ้นเป็นอันดับแรก
- อันดับต่อมาที่ต้องเฝ้าระวังคือ การย่อ..........หรือการเปลี่ยนทิศทางกระทันหันเพื่อหลอกล่อเม่าน้อยๆให้มาติดกับ
- ถัดจากการล่อเม่าเสร็จสิ้น ราคาจึงจะวิ่งกลับไป Retest ณ จุด จุด เดิมอีกครั้ง
- จุดนี้แหละ ที่เราต้องเฝ้าระวัง เพื่อหาจุดเข้าสวยๆเข้าฮะ
รูปแบบแท่งเทียนที่พบได้บ่อยที่สุดในกลยุทธ์ Break and Retest ได้แก่
1. Wedge Pattern แสดงถึงเส้นแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงภายในช่วงราคาที่แคบลงเรื่อยๆ
2. Consolidation Pattern บ่งบอกถึงช่วงราคาในแนวนอน หรือกราฟไซด์เวย์ สำหรับการเล่นสั้น ทั้งขาขึ้น และขาลง ซึ่งยังหาแนวโน้มที่ชัดเจนไม่ได้แต่คันมือ จัดเบาๆไปก่อน
3.Triangles Pattern รูปแบบสามเหลี่ยม คือการทะลุกรอบสามเหลี่ยมออกไป เป็นไปได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
4. The Channel Patterns แสดงถึงเส้นแนวโน้มเส้นขนาน ซึ่งเป็นไปได้ทั้งไซด์เวย์สลับฟันปลา และไซด์เวย์อัพ ไซด์เวย์ดาว์น โดยราคาจะวิ่งไต่กรอบเส้นเทรนไลน์ไปเรื่อยๆ เป็นเส้นคู่ขนาน
**** นอกจากรูปแบบแท่งเทียนแล้ว อินดิเคเตอร์ที่จัดว่าเด็ดและช่วยในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้แก่ MACD หรือ RSI เพื่อช่วยยืนยันทิศทางของแนวโน้มที่เราคาดการณ์ไว้
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ แอดหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เราอ่านกราฟได้ดี อ่านกราฟได้เก่งมากขึ้นนะครับ จำไว้เสมอว่ากราฟมีขึ้นแล้วก็มีลง ไม่ต้องไปเครียดกะมันหมั่นึกฝนและเพิ่มเติมความรู้อย่างสม่ำเสมอ รับรอง เทรดยังไงก็รอดครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM กันด้วยนะครับ วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่งแน่นอนครับ แอดเอาใจช่วยสู้ๆ
แผนการเทรด XAU/USD [ SMC ]📌อัพเดท XAU/USD 🏆
ยังอยู่ในแผนเดิมของเมื่อวานครับราคาได้ปิดต่ำกว่าเส้น ChoCh แล้ว เป็นการบ่งบอกว่าราคาได้กลับเข้าสู่เทรนขาลง เราจึงโฟกัส หา Setup Sell 🔻
📌 แผนของเราในตอนนี้คือรอให้ราคาเดินทางไปถึง Supply ด้านบนแล้วรอการยืนยันใน LTF เพื่อ Sell ลงมาตามเทรนของ LTF ครับ
หากไม่มีการยืนยันใน LTF เมื่อราคามาถึง Sz. เราจะไม่เข้าเทรดอีกเช่นเดิม และหากราคาขึ้นไปทำลาย Sz. ได้ ให้อัพเดทโซนใหม่ครับ
📌 ระหว่างนี้สามารถมองหา Setup ใน LTF เพื่อ Buy ขึ้นไปหา Sz. ด้านบนได้
“ เดี๋ยวมาอัพเดทหน้างานจริงกันอีกทีครับ “ 🫡🏆
เงินปอนด์แข็งค่า รับการเลือกตั้งสหรัฐฯ และ BoE ลดดอกเบี้ยเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นก่อนการเลือกตั้งสหรัฐฯ และการตัดสินใจของ Fed-BoE 💷💪
* เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ (USD) ขณะที่ใกล้เข้ามาถึงการเลือกตั้งสหรัฐฯ 🗳️ นักลงทุนคาดหวังว่า Fed และ BoE จะลดดอกเบี้ยลง 25 จุดในวันพฤหัสบดีนี้ 📉
* ผู้เข้าร่วมตลาดยังประเมินผลกระทบของการประกาศงบประมาณของสหราชอาณาจักรที่อาจส่งผลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อของประเทศ 🏦
เงินปอนด์ (GBP) ยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับคู่ค้าหลัก โดยนักลงทุนจับตามองการประชุมของธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ (BoE) ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ยลง 25 จุด มาอยู่ที่ 4.75% 📉 นับเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งที่สองของปีนี้ โดยคาดว่ากรรมการ MPC เจ็ดคนจะลงมติสนับสนุนให้ผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติม ขณะที่อีกสองคนคาดว่าจะสนับสนุนให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เดิม 📊
#เลือกตั้งสหรัฐ #การเงิน #การลงทุน #BoE #GBPUSD
สมาชิกภายนอกของ BoE, Catherine Mann คาดว่าจะเป็นหนึ่งในสองคนที่โหวตให้คงอัตราดอกเบี้ยเดิม 📈 ในการอภิปรายที่จัดขึ้นในระหว่างการประชุม IMF เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม Mann ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนสายเหยี่ยวที่ชัดเจน ชื่นชมการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อที่อ่อนตัวลง แต่เน้นถึงความจำเป็นในการชะลอตัวมากขึ้น 📉 เธอกล่าวว่า "เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% ด้านบริการ (เงินเฟ้อ) ยังต้องลดลงอีกมาก" เมื่อถามถึงจุดยืนเรื่องอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน Mann ระบุว่าการลดดอกเบี้ยยังเร็วเกินไปในขณะนี้ 📊
นอกจากการตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ย นักลงทุนยังคาดหวังความเห็นจาก BoE เกี่ยวกับผลกระทบจากคำแถลงฤดูใบไม้ร่วงของสหราชอาณาจักร ซึ่งเปิดเผยโดยรัฐมนตรีการคลัง Rachel Reeves เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา 📈 หลังการประกาศงบประมาณ สำนักงานความรับผิดชอบทางธุรกิจ (OBR) ระบุว่ามาตรการทางการคลังที่ประกาศออกมามีลักษณะสนับสนุนการเติบโตและอาจสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อ 📊
#เงินปอนด์ #การเงินอังกฤษ #ดอกเบี้ย #เงินเฟ้อ #OBR
สรุปเหตุการณ์ประจำวันที่ส่งผลต่อตลาด: เงินปอนด์จะได้รับอิทธิพลจากเหตุการณ์หลายอย่าง 💹
* เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยใกล้ระดับ 1.2980 เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ (USD) ในช่วงการซื้อขายที่ลอนดอนเมื่อวันอังคาร ก่อนเริ่มการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงเช้าของทวีปอเมริกาเหนือ 📊 ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ซึ่งวัดค่าเงินดอลลาร์เทียบกับสกุลเงินหลักหกสกุล ลดลงเล็กน้อยใกล้ระดับ 103.80 📉
* ดอลลาร์สหรัฐได้ประสบกับการลดการถือครองสัญญายาวอย่างมาก หลังจากผลสำรวจของ Des Moines Register/Mediacom ระบุว่ารองประธานาธิบดี Kamala Harris นำหน้าอดีตประธานาธิบดี Donald Trump สามคะแนนในรัฐไอโอวา รัฐที่ Trump เคยชนะอย่างชัดเจนในปี 2016 และ 2020 📉
* Trump สัญญาจะเก็บภาษีอัตรารวม 10% กับเศรษฐกิจทั้งหมด ยกเว้นจีนซึ่งคาดว่าจะเผชิญภาษีที่สูงกว่า รวมถึงสัญญาลดภาษีนิติบุคคลที่อาจส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อสูง 📈
#การเลือกตั้งสหรัฐ #ดอลลาร์สหรัฐ #นโยบายการค้า #USD
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นเหตุการณ์สำคัญในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังให้ความสนใจกับการตัดสินใจนโยบายการเงินของ Federal Reserve (Fed) ซึ่งจะประกาศในวันพฤหัสบดี 🏦 ตามข้อมูลจาก CME FedWatch Fed คาดว่าจะลดดอกเบี้ยลง 25 จุด มาที่ 4.50%-4.75% นับเป็นการลดครั้งที่สองต่อเนื่อง โดยขนาดของการลดครั้งนี้จะน้อยกว่าเดือนกันยายนที่ลดลง 50 จุด 📉
#Fed #อัตราดอกเบี้ย #การลงทุน
การวิเคราะห์ทางเทคนิค: เงินปอนด์พยายามขยับสูงกว่าระดับ 1.3000 💹
เงินปอนด์ปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐมาใกล้ระดับ 1.2980 โดยคู่ GBP/USD เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบของวันจันทร์ก่อนการเปิดให้ลงคะแนนเสียงในสหรัฐฯ 📈 แนวโน้มระยะสั้นของคู่ GBP/USD ยังคงเป็นขาลงเนื่องจากยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วันที่ 1.3060 แต่ได้รับแรงสนับสนุนใกล้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วันที่ระดับ 1.2850 📉
ตัวชี้วัด RSI 14 วันยังคงอยู่เหนือระดับ 40.00 แสดงถึงความสนใจในการซื้อเมื่อราคาต่ำลง 📊 โดยแนวรับสำคัญที่ 1.2800 จะเป็นจุดที่สำคัญสำหรับนักเก็งกำไรฝั่งขาขึ้น ขณะที่แนวต้านจะอยู่ที่ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วันที่ 1.3060 🔼
#การวิเคราะห์ทางเทคนิค #เงินปอนด์ #GBPUSD #ดอลลาร์
EURUSD Daily Analysis 1/11/2024 by TraderTanTrading note: EURUSD
นายนิฮัด อัล-ชาวิช หัวหน้าคณะกรรมการฝ่ายบริการของสำนักงานบรรเทาทุกข์และการทำงานของสหประชาชาติเพื่อผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ในตะวันออกใกล้ (UNRWA) กล่าวว่า กองทัพอิสราเอลได้ทำการรื้อทำลายสำนักงานของ UNRWA ในค่ายนูร์ชามส์ทางตะวันออกของเมืองตูลคราม ทางเหนือของเขตเวสต์แบงก์
ทั้งนี้ ค่ายนูร์ชามส์ได้รวมถึงโรงเรียน 2 แห่งของ UNRWA ซึ่งให้การศึกษาแก่เด็กชาวปาเลสไตน์มากกว่า 1,500 คน
นายอัล-ชาวิชกล่าวว่า อิสราเอลได้ใช้รถบูลโดเซอร์ทำลายสำนักงานของ UNRWA ซึ่งตั้งอยู่ในตอนกลางของค่ายนูร์ชามส์
การทำลายสำนักงานของ UNRWA มีขึ้น หลังจากที่รัฐสภาอิสราเอลออกกฎหมายแบนการดำเนินงานของ UNRWA ในเยรูซาเลมตะวันออก, กาซา และเขตเวสต์แบงก์ภายในเวลา 90 วัน
BUY : 1. 08795
TP : 1. 09258
SL : 1. 08430
เหตุผลในการเข้าเทรด:
Trendline
จากกราฟแท่งเทียนในกรอบTF H4
ราคาราคายังคงไต่ขึ้นเรื่อๆ ตามกรอบเส้นเทรนไลน์ขาขึ้น โดยลำดับต่อไปอาจเป็นการขึ้นไปททดสอบเส้น EMA200 จึงทำการเข้า BUY โดยเน้นรูปแบบการทำกำไรแบบ scalping ในระยะสั้นๆ
จุดเข้า - จุดออก เป้าหมายการทำกำไร
ใช้สัญญาณการกลับตัวขึ้นจากแท่งเทียน และการไต่ขึ้นตามสเต๊ปไต่เส้น EMA20 เพื่อไปหาเส้นแนวต้าน โดยราคาอาจขึ้นไปทดสอบเส้น EMA200 และ EMA100 ตามลำดับ โดยตั้งเป้าหมายกำไร 200 จุดขึ้นไป และตั้ง TSL เมื่อกำไรเริ่มบวกแล้ว 100 จุด
RSI : เป็นกลางในขาขึ้น เน้นทำกำไรตามกรอบแนวรับแนวต้าน ซึ่งเป็นตัวกำหนดจุดกำไร และตั้ง SL ระยะห่างไม่ไกลมากเพื่อป้องกันความเสี่ยง เน้นจบปิดกำไรรายวัน และอาจปิดเร็วขึ้น หากกำไรเป็นที่พอรับได้ โดยมีตั้งกำไร TP และตั้ง SL ไม่ไกลจากแนวรับแนวต้านเดิม ทั้งใน TF1H และ 4H และจะทำการล๊อคกำไรจาก TSL ด้วยระดับหนึ่ง
ประสบการณ์: เน้นการถืออออเดอร์โดยปิดจบรายวัน เพื่อเป็นการเพิ่มกระแสเงินสด แคชโฟร์ ในพอร์ต อาจมีการแบ่งปิดกำไรจากออเดอร์ที่กำไรในระดับหนึ่งแล้ว อาจมีการตั้ง TSL เพื่อเป็นการล๊อคกำไรได้ในอีกทางหนึ่งด้วย
เพื่อนๆคิดว่าตลาดตอนนี้ป็นขาขึ้น ( Bullish)หรือขาลง (Bearish)ครับ คอมเม้นท์ด้านล่างไว้ได้เลย !!!
“หากบทวิเคราะห์นี้ดี…มีประโยชน์กับเพื่อนๆนักเทรดทุกท่าน
กรุณากดติดตามและสนับสนุนพวกเราด้วยนะครับ…ขอบคุณครับผม”
Adaptive ไอเดียเทรด สู่ Indicator Very easy Simple.จากการ Adaptive ไอเดียรูปแบบเทรดต่างๆแบบง่ายๆที่ผ่านมา สู่ Indicator Very easy Simple. ครับ
***ใช่แล้วครับอ่านไม่ผิด** Indicator Very easy Simple.
ตัวชี้วัดเรียบๆง่ายๆ ง่ายมากๆ เป็นไอเดียที่ปรับตัวได้ไปตามความคิดสร้างสรรไอเดียเทรดไม่มีที่สิ้นสุด
***คำแปลอย่าเท่ย์*** 55555
จากภาพโพสต์และภาพนี้
เราจะเห็นว่า Indicator ตัวชี้วัดทำงานได้สมบูรณ์ 1000% (ขออภัยครับนี่ไม่ใช่การอวดอ้างเพียงแต่ตื่นเต้นกับเครื่องมือเท่านั้นเอง 55555)
ไอเดียคือมาจาก Adaptive MA Lines ในตอนที่ผ่านมาครับต่อจากนี้เราจะวิเคราะห์เรียบๆง่ายๆแบบง่ายมากๆจากเครื่องมือเราครับเท่านั้นง่ายๆมาทำเป็นตัวชี้วัด
Adaptive technical analysis ได้ดังนี้
ราคาเคลื่อนตัวอยู่ด้านล่างเส้น base ตลอดได้อย่างต่อเนื่องราคาจึงมีความเป็นไปได้ที่จะลงมากกว่าการขึ้นจาก ณ.ปัจจุบัน ราคาเคลื่อนตัวอยู่ด้านบนเส้น base ตลอดได้อย่างต่อเนื่องราคาจึงมีความเป็นไปได้ที่จะขึ้นมากกว่าการลง (วิเคราะห์ง่ายๆแบบนี้แหละครับ55555)
เมื่อเอามาวิเคราะห์ร่วมกับ price pattern พื้นฐานเอง i.pinimg.com
ขอบคุณภาพจากคุณ r/Daytrading
เราก็จะมีเงื่อนไขในการประกอบการตัดสินใจได้แม่นยำยิ่งขึ้นนั้นเอง
ณ.ปัจจุบัน ราคาเคลื่อนตัวอยู่ด้านบนเส้น base ตลอดได้อย่างต่อเนื่องราคาจึงมีความเป็นไปได้ที่จะขึ้นมากกว่าการลง
เทรนด์ทองคำ 28/10 - จับแนวต้านสำคัญสัปดาห์นี้ 2750ราคาทองคำแตะเป้าหมาย S-T ของเราที่ 2750 ในสัปดาห์ที่แล้ว โดยแตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 2758 อย่างไรก็ตาม โมเมนตัมขาขึ้นไม่สามารถคงอยู่ได้ และราคาไม่สามารถยืนเหนือ 2750 ได้ โดยกลับไปสู่ระดับต่ำสุดประจำสัปดาห์ที่ 2708 เข้าสู่จุดสิ้นสุด ประจำสัปดาห์ ตลาดทองคำได้กำหนดราคาอีกครั้งในรูปแบบพรีเมียมความเสี่ยงก่อนความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ในช่วงสุดสัปดาห์ โดยดันราคากลับไปที่ 2,750 และปิดสัปดาห์ที่ 2,747
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐหลายคนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ 'แนวทางการลดอัตราดอกเบี้ยอย่างระมัดระวัง' ซึ่งทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และสร้างแรงกดดันต่อราคาทองคำ ในทางกลับกัน ตลาดกำลังต่อสู้กับการดำเนินการตอบโต้ที่อาจเกิดขึ้นจากอิสราเอลต่ออิหร่านในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งในที่สุดก็เป็นรูปธรรมในช่วงสุดสัปดาห์ การโจมตีดังกล่าวค่อนข้างจำกัด โดยมุ่งเน้นไปที่สถานที่ทางทหารในอิหร่านเท่านั้น และหลีกเลี่ยงโรงงานน้ำมันและนิวเคลียร์ จนถึงขณะนี้ เตหะรานยังไม่ได้ออกคำตอบในทันที เนื่องจากไม่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์จึงผ่อนคลายลงเมื่อตลาดเปิดทำการในวันจันทร์ น้ำมัน NYMEX ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงมากที่สุด เปิด Gap ลดลง 4% และราคาทองคำก็เปิดลดลง 10 ดอลลาร์เช่นกัน
สัปดาห์นี้จะมีการเผยแพร่ข้อมูลสำคัญๆ ของสหรัฐฯ บางส่วนตั้งแต่วันอังคารถึงวันศุกร์ ซึ่งรวมถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภค, GDP ไตรมาสสาม, อัตราเงินเฟ้อ PCE หลัก, การจ้างงานนอกภาคเกษตร และอัตราการว่างงาน สัปดาห์นี้เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนมากมาย แต่... เมื่อพิจารณาจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ที่เผยแพร่ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาค่อนข้างแข็งแกร่ง เราจึงสามารถคาดการณ์แรงกดดันขาลงของราคาทองคำได้ก่อนที่จะทราบผลลัพธ์ของตัวเลขเหล่านี้ ในขณะที่การเลือกตั้งสหรัฐฯ เข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร มีความเป็นไปได้สูงที่ช่องว่างระหว่างผู้สมัครทั้งสองจะลดลงก่อนวันเลือกตั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่เงินทุนที่ปลอดภัยที่ไหลเข้าสู่ตลาดทองคำเพื่อพยุงราคา โดยชดเชย แรงกดดันขาลงจากข้อมูลที่แข็งแกร่ง
กราฟ 1 ชั่วโมง (ด้านบน) > ราคาไม่สามารถยืนเหนือ 2,750 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้แนวโน้ม S-T ทะลุต่ำกว่าเส้นแนวรับขาขึ้น (1) โมเมนตัมขาขึ้นเริ่มชะลอตัวลง แนวรับได้เปลี่ยนจากแนวรับกลางสัปดาห์ (2) ไปเป็นก้าวที่ช้าลง (2.1) ก่อนสุดสัปดาห์ แนวต้านสำคัญขณะนี้อยู่ที่ระดับสูงสุดในสัปดาห์ที่แล้วที่ 2750-2758 (4) หากข้อมูลสหรัฐฯ ขาดตลาดในสัปดาห์นี้ ราคาทองคำอาจทะลุแนวต้านนี้ ทำให้เกิดความ
กราฟรายวัน > รูปแบบโดยรวมไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยมีแนวต้านสำคัญที่ 2750 (5) และช่องขาขึ้น (6) ยังคงแข็งแกร่ง
หากคุณชอบไอเดียของเรา โปรดให้ 🚀 !
P.To
XAUUSD : ถ้ายังไซด์เวย์แบบนี้ ATH ก็ปลายปีเถอะจ้าXAUUSD หรือทองคำ หลังจากปรับตัวสูงขึ้นและทิ้งตัวลงตามบทวิเคราะห์ก่อนหน้า :
ราคาทองยังคงอยู่ในชุดปรับตัวของขาขึ้นในรอบใหญ่อยู่
มองว่าปัจจุบัน ราคาทองคำ กำลังทำแพทเทิร์น อยู่ในการปรับตัวคลื่น 4 ซึ่งมีความน่าจะเป็นดังนี้
Regular Flat, Expanded Flat , Triangle , Running flat/triangle
เงื่อนของ Correction แต่ละแบบมีดังนี้
1. Regular Flat คือ ราคาขึ้นไปถึงบริเวณ 78.6 แต่ไม่เกิน 100 ของ A และมีการ Rejection กลับลงมา จะมีเป้าการลงคือ New low ที่ต่ำกว่า A
2. Expanded Flat คือ ราคาขึ้นไปสูงกว่า 100% ของ A แต่ไม่เกิน 161.8 ของ A และมีการ Rejection กลับลงมา จะมีเป้าการลงคือ New low ที่ต่ำกว่า A
3. Triangle คือ ราคาจะไม่ขึ้นไปเกิน 100% ของ A และไม่ลงไปต่ำกว่า A โดยจะปรับตัวออกข้างในลักษณะ Converging
4. Running flat / triangle คือ ราคาขึ้นไปสูงกว่า 100% ของ A แต่ไม่เกิน 161.8 ของ A แต่เป้าการลงจะไม่ทำ New Low ที่ต่ำกว่า A และดีดตัวขึ้นทำ New high เลย
อย่างไรก็ดี ราคาทองคำจะยังไม่ขึ้น All time high ในเร็วๆนี้ตามแง่ของเทคนิคที่มองว่าจะชะลอตัวลงก่อนที่จะขึ้นไปได้ หากเป็นตามนี้ ราคาจะมีการปรับตัวออกข้างสักระยะหนึ่งก่อนขึ้น ATH อีกครั้งในช่วงปลายปี
BTCUSD : Correction after DiagonalBTCUSD กำลังอยู่ในชุดขาขึ้นรอบใหม่แล้ว แต่ต้องระมัดระวังการชะลอตัว
จากช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา การปรับตัวขึ้นของ BTC ไม่ได้ขึ้นอย่างหวือหวามากนักและมีแรงขายออกมาอยู่เนืองๆ
มองว่าปัจจุบัน BTC กำลังอยู่ในรูปแบบคลื่น 5 ของ Leading Diagonal
ระวังการชะลอตัวในเร็วๆนี้เนื่องจากสัญญานทางเทคนิค ดังนี้
1. ราคาชนเส้นเทรนด์ไลน์ขาลงในภาพใหญ่
2. ราคามีการชะลอตัวหลังจากชน FVG ใน TF H4
3. AO มีการทำ Divergence ให้เห็นตั้งแต่ TF ย่อยขึ้นมาจนถึง H4
หากเกิดการชะลอตัวจริงอาจจะลงไปถึงแนว Fibo 50 หรือ 78.6 ที่เป็นเป้าของ Diagonal ได้
note : กรอบราคาคือบริเวณที่มีนัยสำคัญต่อการเคลื่อนที่ของราคาเท่านั้น
linear regression แนวต้านที่บริเวณสูงสุด (LH) และยอดที่ 3 และ 5: กราฟอยู่ในช่วงที่ราคาเคยชนแนวต้านที่สูงสุด (LH) ในบริเวณนี้และเริ่มย่อตัวลงมา ซึ่งอาจเป็นสัญญาณที่ดีในการเปิดสถานะ Short โดยเฉพาะหากมีการทะลุกรอบลงต่อไป
RSI: ระดับ RSI ในหลายๆ timeframe ยังอยู่ในโซน Neutral (42-68%) ซึ่งบ่งบอกว่าตลาดยังไม่ได้อยู่ในภาวะ Overbought หรือ Oversold อย่างชัดเจน จึงยังไม่มีสัญญาณยืนยันแน่ชัดในการกลับตัว แต่ควรติดตาม RSI ใน timeframe รายวันที่เริ่มอยู่สูงที่ 68% ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการเริ่มต้นของ Overbought ได้เช่นกัน
BOS (Break of Structure) และ CHOCH (Change of Character): มีจุด Break ของโครงสร้างในทิศทางลงที่ BOS บ่งชี้ว่าตลาดอาจมีแรงขายเข้ามาเพิ่มเติม ขณะที่ CHOCH ก็แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มในบริเวณบางจุด ดังนั้นหากราคาไม่สามารถทะลุแนวรับที่ใกล้ๆ ได้ก็มีโอกาสที่จะย่อตัวลงมากขึ้น
แนวโน้ม (Trend): หากเส้น Linear Regression ยังคงชี้ขึ้น จะบ่งบอกถึงแนวโน้มขาขึ้นในระยะยาว แม้ว่าจะมีการย่อตัวระยะสั้น ซึ่งในกราฟปัจจุบันที่เห็น การเคลื่อนไหวของราคามีความผันผวนค่อนข้างมาก ดังนั้นหาก Linear Regression แสดงแนวโน้มขาลง คุณอาจพิจารณาเปิด Short เพิ่มเติมได้
จุดที่ราคายังอยู่เหนือหรือใต้เส้น:
ถ้าราคาเคลื่อนตัวอยู่ ต่ำกว่าเส้น Linear Regression เป็นสัญญาณว่าแนวโน้มอาจกำลังกลับตัวลง (Bearish) คุณอาจพิจารณาเปิดสถานะ Short ได้ตามแผน
ในทางตรงข้าม ถ้าราคาเคลื่อนตัวอยู่ เหนือเส้น Linear Regression ในช่วงนี้ อาจบ่งชี้ถึงการกลับตัวเป็นขาขึ้น (Bullish) ทำให้การเปิดสถานะ Short อาจมีความเสี่ยง
การยืนยันเพิ่มเติม: หากมีการ ทะลุเส้น Linear Regression ลงไป พร้อมกับสัญญาณอื่นๆ อย่าง Break of Structure (BOS) หรือ RSI ที่เริ่มแสดงความเป็น Overbought ก็จะยิ่งช่วยยืนยันว่าราคามีแนวโน้มที่จะย่อตัวลงต่อได้
วิเคราะห์ทิศทางราคาของ Bitcoin (BTCUSDT)
1. รูปแบบราคา (Price Action):
มีการทำ Higher Lows (HL) และ Lower Highs (LH) ซึ่งบ่งบอกถึงการเคลื่อนไหวในกรอบ (consolidation) หรืออาจจะเป็น sideway ได้
จุดสูงสุด (Highs) ที่สูงขึ้นและจุดต่ำสุด (Lows) ที่ต่ำลงบางจุดบ่งชี้ว่าตลาดยังไม่ชัดเจนว่าจะเลือกฝั่งใด โดยการ Breakout ของเส้นแนวต้านหรือแนวรับสำคัญจะเป็นตัวชี้ขาด
2. RSI (Relative Strength Index):
RSI ในช่วง Timeframes ต่าง ๆ ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ใน neutral zone ยกเว้นกราฟ 4 ชั่วโมง ที่ RSI อยู่ในโซน Overbought (73.50%) ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีแรงซื้อมากเกินไปในช่วงเวลานี้ อาจมีการปรับฐาน (correction) ในระยะสั้นได้
RSI 1 วันและ 1 สัปดาห์ยังเป็น Neutral ซึ่งบ่งบอกว่าราคายังไม่ถึงระดับที่เป็นการซื้อหรือขายเกินไป
3. จุดสำคัญอื่น ๆ:
การเคลื่อนไหวผ่านเส้น BOS (Break of Structure) และ CHoCH (Change of Character) ในบางจุด บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางในบางช่วง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับนักเทรดในการจับทิศทางต่อไป
หากราคาสามารถ breakout ผ่านจุด LH (Lower High) ล่าสุด อาจเป็นสัญญาณของขาขึ้น
หากราคาหลุดระดับ HL (Higher Low) ที่มีการทำจุดต่ำสุดลง (LL) ราคามีแนวโน้มจะลงต่อได้
4. แนวรับและแนวต้าน (Support & Resistance):
แนวต้านที่แข็งแรงอยู่ที่ประมาณ 66,000 USDT (ใกล้กับระดับ LH) หากราคาสามารถทะลุขึ้นไปได้ อาจส่งสัญญาณการขึ้นต่อ
แนวรับสำคัญอยู่ที่ 63,379.5 USDT หากราคาหลุดต่ำกว่าแนวรับนี้ อาจเป็นสัญญาณของการกลับตัวเป็นขาลง
สรุป: ในระยะสั้น ราคามีโอกาสปรับตัวลงเนื่องจาก RSI บางช่วงเวลาแสดงว่าอยู่ในภาวะซื้อเกินไป (Overbought) แต่ในระยะยาวหากราคาสามารถทะลุแนวต้านหลักและทำ Higher Highs ต่อเนื่องได้ อาจส่งสัญญาณขาขึ้น
ดูเหมือนว่าราคากำลังอยู่ในลักษณะของ Rising Wedge เนื่องจากมีการทำ Higher Lows ต่อเนื่อง แต่การเคลื่อนไหวของราคามีการบีบตัวเข้าแคบลง หากราคาทะลุลงจากแนวรับของ Wedge อาจบ่งบอกถึงการกลับตัวเป็นขาลง
จุดที่น่าสนใจคือถ้าราคาหลุดออกจากแนวรับที่ระดับประมาณ 63,379 USDT (จากข้อมูลที่แสดง) อาจเป็นสัญญาณยืนยันของการปรับตัวลงตาม Rising Wedge Pattern นี้
สรุปเกี่ยวกับ Wedge Pattern: ในกราฟนี้ ดูเหมือนจะมีลักษณะของ Rising Wedge ซึ่งมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงหากราคาไม่สามารถทะลุแนวต้านได้และหลุดออกจากแนวรับ