Volume Profile ใน TradingView: เครื่องมือวิเคราะห์ตลาดที่สำคัญVolume Profile เป็นหนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์เชิงเทคนิคที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการเทรด โดยเฉพาะในแพลตฟอร์ม TradingView ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์สามารถมองเห็นการกระจายของปริมาณการซื้อขาย (Volume) ในราคาต่าง ๆ และวิเคราะห์จุดแข็งหรือจุดอ่อนของตลาดได้อย่างชัดเจน
Volume Profile คืออะไร?
Volume Profile เป็นเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์ตลาดผ่านการแสดงผลปริมาณการซื้อขาย (Volume) ที่เกิดขึ้นในแต่ละระดับราคา แทนที่จะเป็นการแสดง Volume ในแนวเวลาแบบกราฟทั่วไป มันแสดงในแนวระดับ (ตามแนวแกนราคา) ช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจว่าราคาที่เทรดอยู่ในช่วงไหนมีการซื้อขายมากหรือน้อย ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากในการหาจุดกลับตัว จุดแนวรับ-แนวต้าน และบ่งชี้ระดับที่ตลาดให้ความสนใจ
ประโยชน์ของ Volume Profile
ค้นหาจุดที่มีการซื้อขายสูงสุด (Point of Control – POC): จุด POC เป็นระดับราคาที่มีการซื้อขายมากที่สุดในช่วงเวลาที่กำหนด ช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจว่าราคานั้นมีความสำคัญต่อผู้เข้าร่วมตลาดเป็นพิเศษ การเทรดในระดับใกล้เคียงกับ POC อาจมีความเสี่ยงต่ำลง เนื่องจากตลาดมีความสมดุล
ระบุบริเวณที่มี Volume หนาแน่น (High Volume Nodes – HVN): พื้นที่ HVN คือบริเวณที่มีปริมาณการซื้อขายสูงมาก โดยมักจะบ่งชี้ว่าราคานั้นมีความสนใจจากทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ทำให้พื้นที่นี้มีโอกาสเป็นแนวรับ-แนวต้านที่แข็งแรง
ระบุบริเวณที่มี Volume น้อย (Low Volume Nodes – LVN): พื้นที่ LVN เป็นบริเวณที่มีปริมาณการซื้อขายน้อยกว่า มักบ่งบอกถึงจุดที่ตลาดไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก หรือมีการเทรดที่แคบลง การที่ราคาผ่านบริเวณนี้สามารถเกิดการวิ่งไปในทิศทางที่รวดเร็ว เนื่องจากไม่มีแรงซื้อมากดดัน
ช่วยในการวางแผนการเทรด: Volume Profile ช่วยให้เทรดเดอร์ระบุจุดเข้าและออกที่ดีขึ้น โดยอาศัยข้อมูลจากแนวรับและแนวต้านในช่วงเวลาที่กำหนด การใช้ Volume Profile ยังสามารถช่วยให้เทรดเดอร์ติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดและวางแผนสำหรับการเทรดแบบระยะสั้นหรือระยะยาวได้ดีขึ้น
วิธีการใช้งาน Volume Profile บน TradingView
เปิดกราฟ: เริ่มต้นด้วยการเปิดกราฟสินทรัพย์ที่ต้องการวิเคราะห์ใน TradingView
เพิ่ม Volume Profile: ไปที่เมนู “Indicators” หรือ “เครื่องมือชี้วัด” แล้วพิมพ์ “Volume Profile” จากนั้นเลือกประเภท Volume Profile ที่คุณต้องการ เช่น Visible Range ซึ่งจะวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายในกราฟที่คุณมองเห็นอยู่ หรือ Session Volume ที่แสดงการกระจายของ Volume ตามเซสชันเวลา
ตั้งค่า Volume Profile: คุณสามารถปรับแต่งการแสดงผลได้ตามต้องการ เช่น จำนวนบาร์ ความกว้างของโปรไฟล์ หรือสีของกราฟ เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์การเทรดของคุณ
ข้อสรุป
Volume Profile เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการทำความเข้าใจพฤติกรรมตลาดโดยใช้ปริมาณการซื้อขายเป็นตัวบ่งชี้ การใช้ Volume Profile ช่วยให้เทรดเดอร์ระบุจุดสำคัญในการตัดสินใจเข้าและออกจากตลาดได้แม่นยำยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยในการหาความสมดุลของตลาดและวางแผนการเทรดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
บนแพลตฟอร์ม TradingView Volume Profile เป็นเครื่องมือที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายและปรับแต่งได้ตามความต้องการ ทำให้เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่เทรดเดอร์ทุกคนควรพิจารณาใช้ในกลยุทธ์การเทรดของตนเอง
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
ค่า Swap ในการเทรด Forex คืออะไร? และวิธีคำนวณค่า Swap ในการเทรด Forex: คืออะไรและทำงานอย่างไร
ในโลกของการเทรด Forex มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการเทรดของนักลงทุน หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่นักเทรดควรรู้คือ ค่า Swap ซึ่งอาจส่งผลต่อกำไรหรือขาดทุนของการเทรดได้อย่างมีนัยสำคัญ
ค่า Swap คืออะไร?
ค่า Swap (หรือบางครั้งเรียกว่า ค่า Roll-over) เป็นค่าธรรมเนียมที่คิดเมื่อผู้เทรดยังคงเปิดออเดอร์ข้ามคืน (overnight) โดย Swap จะเกิดขึ้นจากความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงินในคู่เงินที่เราเทรด เช่น หากคุณเทรดคู่เงิน EUR/USD และอัตราดอกเบี้ยของ EUR ต่างจาก USD ความแตกต่างนี้จะส่งผลให้เกิดการจ่ายหรือได้รับค่า Swap ตามเงื่อนไขของตลาดและโบรกเกอร์
ทำไมจึงเกิดค่า Swap?
ในแต่ละสกุลเงิน จะมีอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดโดยธนาคารกลางของประเทศนั้น ๆ เมื่อเราทำการซื้อขายคู่เงิน (Currency Pair) หมายความว่าเรากำลังยืมเงินสกุลหนึ่งเพื่อแลกเปลี่ยนกับอีกสกุลเงินหนึ่ง อัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ยืมและที่ถือครองจึงมีผลในการคำนวณค่า Swap
ตัวอย่างเช่น:
หากคุณซื้อคู่เงิน EUR/USD หมายความว่าคุณซื้อ EUR และขาย USD
หากอัตราดอกเบี้ยของ EUR สูงกว่า USD คุณอาจได้รับค่า Swap เมื่อถือออเดอร์ข้ามคืน
แต่หากอัตราดอกเบี้ยของ EUR ต่ำกว่า USD คุณจะต้องจ่ายค่า Swap
ประเภทของค่า Swap
ค่า Swap มีสองประเภทหลัก:
1.Positive Swap (ค่า Swap บวก) – เป็นการได้รับค่า Swap เมื่ออัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ซื้อสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ขาย
2.Negative Swap (ค่า Swap ลบ) – เป็นการจ่ายค่า Swap เมื่ออัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ขายสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ซื้อ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่า Swap
อัตราดอกเบี้ย – อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางของแต่ละประเทศเป็นตัวกำหนดหลัก
สถานการณ์ตลาด – บางครั้งความผันผวนของตลาดอาจส่งผลต่อค่า Swap
ประเภทบัญชีเทรด – โบรกเกอร์แต่ละแห่งอาจมีนโยบายค่า Swap ที่แตกต่างกัน
ปริมาณการเทรด – ปริมาณที่คุณเปิดออเดอร์อยู่จะมีผลต่อค่า Swap ที่ต้องจ่ายหรือได้รับ
วันที่ Roll-over – บางช่วงเวลา เช่น การปิดตลาดวันหยุด ค่า Swap อาจถูกคำนวณเป็นหลายเท่าของวันปกติ
การคำนวณค่า Swap
การคำนวณค่า Swap ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์ที่คุณใช้งาน โดยทั่วไป โบรกเกอร์จะคำนวณ Swap เป็นจุด (pip) หรือเป็นเปอร์เซ็นต์จากขนาดออเดอร์ที่เปิด โดยสามารถตรวจสอบรายละเอียดจากแพลตฟอร์มการเทรดที่ใช้งานได้
ค่า Swap ในการเทรด Forex: คืออะไรและทำงานอย่างไร
ในโลกของการเทรด Forex มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการเทรดของนักลงทุน หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่นักเทรดควรรู้คือ ค่า Swap ซึ่งอาจส่งผลต่อกำไรหรือขาดทุนของการเทรดได้อย่างมีนัยสำคัญ
ค่า Swap คืออะไร?
ค่า Swap (หรือบางครั้งเรียกว่า ค่า Roll-over) เป็นค่าธรรมเนียมที่คิดเมื่อผู้เทรดยังคงเปิดออเดอร์ข้ามคืน (overnight) โดย Swap จะเกิดขึ้นจากความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงินในคู่เงินที่เราเทรด เช่น หากคุณเทรดคู่เงิน EUR/USD และอัตราดอกเบี้ยของ EUR ต่างจาก USD ความแตกต่างนี้จะส่งผลให้เกิดการจ่ายหรือได้รับค่า Swap ตามเงื่อนไขของตลาดและโบรกเกอร์
ทำไมจึงเกิดค่า Swap?
ในแต่ละสกุลเงิน จะมีอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดโดยธนาคารกลางของประเทศนั้น ๆ เมื่อเราทำการซื้อขายคู่เงิน (Currency Pair) หมายความว่าเรากำลังยืมเงินสกุลหนึ่งเพื่อแลกเปลี่ยนกับอีกสกุลเงินหนึ่ง อัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ยืมและที่ถือครองจึงมีผลในการคำนวณค่า Swap
ตัวอย่างเช่น:
หากคุณซื้อคู่เงิน EUR/USD หมายความว่าคุณซื้อ EUR และขาย USD
หากอัตราดอกเบี้ยของ EUR สูงกว่า USD คุณอาจได้รับค่า Swap เมื่อถือออเดอร์ข้ามคืน
แต่หากอัตราดอกเบี้ยของ EUR ต่ำกว่า USD คุณจะต้องจ่ายค่า Swap
ประเภทของค่า Swap
ค่า Swap มีสองประเภทหลัก:
Positive Swap (ค่า Swap บวก) – เป็นการได้รับค่า Swap เมื่ออัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ซื้อสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ขาย
Negative Swap (ค่า Swap ลบ) – เป็นการจ่ายค่า Swap เมื่ออัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ขายสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ซื้อ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่า Swap
อัตราดอกเบี้ย – อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางของแต่ละประเทศเป็นตัวกำหนดหลัก
สถานการณ์ตลาด – บางครั้งความผันผวนของตลาดอาจส่งผลต่อค่า Swap
ประเภทบัญชีเทรด – โบรกเกอร์แต่ละแห่งอาจมีนโยบายค่า Swap ที่แตกต่างกัน
ปริมาณการเทรด – ปริมาณที่คุณเปิดออเดอร์อยู่จะมีผลต่อค่า Swap ที่ต้องจ่ายหรือได้รับ
วันที่ Roll-over – บางช่วงเวลา เช่น การปิดตลาดวันหยุด ค่า Swap อาจถูกคำนวณเป็นหลายเท่าของวันปกติ
การคำนวณค่า Swap
การคำนวณค่า Swap ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์ที่คุณใช้งาน โดยทั่วไป โบรกเกอร์จะคำนวณ Swap เป็นจุด (pip) หรือเป็นเปอร์เซ็นต์จากขนาดออเดอร์ที่เปิด โดยสามารถตรวจสอบรายละเอียดจากแพลตฟอร์มการเทรดที่ใช้งานได้
ตัวอย่างการคำนวณค่า Swap:
หากคุณเทรดคู่เงิน EUR/USD ขนาด 1 ล็อต (100,000 หน่วย)
อัตราดอกเบี้ย EUR คือ 0.5% และ USD คือ 2.5%
ค่า Swap จะถูกคำนวณจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยคูณกับขนาดออเดอร์ที่ถือครอง
การหลีกเลี่ยงค่า Swap
สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการจ่ายค่า Swap บางโบรกเกอร์มีบัญชีแบบ Swap-free หรือบัญชีที่ไม่มีการคิดค่า Swap ซึ่งบัญชีเหล่านี้มักถูกออกแบบสำหรับนักลงทุนที่มีความเชื่อทางศาสนา (เช่น ชาวมุสลิม) หรือผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงค่า Swap จากการถือออเดอร์ข้ามคืน
ข้อดีและข้อเสียของค่า Swap
ข้อดี:
หากคุณถือออเดอร์ข้ามคืนในสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า คุณอาจได้รับผลประโยชน์จากค่า Swap บวก
ข้อเสีย:
ค่า Swap ลบอาจทำให้คุณเสียเงินเพิ่มเติมหากคุณถือออเดอร์ข้ามคืนในคู่เงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า
สรุป
ค่า Swap เป็นองค์ประกอบสำคัญที่นักเทรดควรคำนึงถึงในการเปิดสถานะข้ามคืน การรู้จักและเข้าใจการคำนวณค่า Swap จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการเทรดและจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Safe Haven ในการลงทุนและการเทรด: แนวคิดและสถานการณ์ปัจจุบันSafe Haven คืออะไร?
ในโลกของการลงทุนและการเทรด “Safe Haven” หมายถึงสินทรัพย์ที่นักลงทุนมักหันไปหายามเกิดความไม่แน่นอนหรือความผันผวนในตลาด โดยสินทรัพย์ Safe Haven มีคุณสมบัติที่คงค่าหรือมีความเสี่ยงต่ำเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ ที่อาจเสี่ยงต่อการสูญเสียมูลค่าระหว่างช่วงวิกฤตทางเศรษฐกิจหรือความผันผวนทางการเงิน
ตัวอย่างของ Safe Haven ที่ได้รับความนิยม ได้แก่:
1.ทองคำ – ถือเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงและเป็น Safe Haven ที่นักลงทุนหันไปหาเมื่อตลาดการเงินมีความผันผวน
2.เงินสด – โดยเฉพาะในสกุลเงินที่แข็งแกร่งอย่างดอลลาร์สหรัฐและเยนญี่ปุ่น ซึ่งมีความมั่นคงและความเชื่อมั่นสูงในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน
3.พันธบัตรรัฐบาล – พันธบัตรจากรัฐบาลที่มั่นคง เช่น พันธบัตรของสหรัฐ ถือว่ามีความปลอดภัยสูงเนื่องจากมีโอกาสเสี่ยงต่ำที่รัฐบาลจะไม่สามารถชำระหนี้ได้
4.อสังหาริมทรัพย์ – แม้ว่าจะไม่ถือว่าเป็น Safe Haven ในทุกสถานการณ์ แต่บางครั้งอสังหาริมทรัพย์ในทำเลที่ดีอาจเป็นตัวเลือกที่ดีในยามที่ตลาดการเงินมีความผันผวน
ทำไม Safe Haven จึงสำคัญ?
Safe Haven มีความสำคัญเพราะมันช่วยปกป้องพอร์ตการลงทุนจากความผันผวนที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตทางเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่ตลาดหุ้นร่วงลงอย่างรวดเร็ว นักลงทุนอาจสูญเสียมูลค่าของพอร์ตการลงทุนไปมาก แต่หากมีการลงทุนในสินทรัพย์ Safe Haven จะช่วยลดความเสี่ยงและรักษามูลค่าของพอร์ตไว้ได้
สถานการณ์ปัจจุบันของ Safe Haven ในปี 2024
ปัจจุบันตลาดการเงินทั่วโลกยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น:
อัตราเงินเฟ้อ ที่สูงขึ้นในหลายประเทศ ส่งผลให้ธนาคารกลางหลายแห่งต้องดำเนินนโยบายดอกเบี้ยที่เข้มงวด ทำให้สภาพคล่องในตลาดลดลง
ความตึงเครียดทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินโลก
ราคาน้ำมันและพลังงาน ที่ผันผวนจากการปรับตัวของเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนในตะวันออกกลาง
ในปี 2024 ทองคำยังคงเป็น Safe Haven ที่ได้รับความนิยม โดยราคาทองคำมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกและการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง นอกจากนี้ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐยังเป็นที่ต้องการสูงจากนักลงทุนที่มองหาความปลอดภัยจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังสูง
สำหรับเงินสด โดยเฉพาะดอลลาร์สหรัฐ ก็ยังคงเป็นสกุลเงินที่มีความปลอดภัยสูง แม้ว่าค่าเงินดอลลาร์อาจผันผวนในบางช่วงเวลา แต่ยังคงเป็นที่พึ่งในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตทางการเงิน
การจัดพอร์ตการลงทุนโดยใช้ Safe Haven
การกระจายพอร์ตการลงทุนให้มีสินทรัพย์ Safe Haven เป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนหลายคนนำมาใช้เพื่อจัดการความเสี่ยงในระยะยาว การมีทองคำหรือพันธบัตรในพอร์ตการลงทุนจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นคงในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวน
สรุป การ Safe Haven เป็นอีกหนึ่งปัจจัย สำคัญในการมองตลาดและคาดการ์ณ การเข้ามาของเงินใดแต่ละประเทศ เป็นต้น ทำให้เราปลอดภัยมากขึ้น
Fed ลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี 0.5%: ผลกระทบต่อทองคำและบิตคอยนการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ลดดอกเบี้ย 0.5% สู่ระดับ 4.75%-5% ครั้งแรกในรอบ 4 ปี มีผลกระทบทั้งต่อทองคำและบิตคอยน์อย่างมีนัยสำคัญ
ผลกระทบต่อทองคำ
ทองคำมักจะได้รับประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย เนื่องจากการลดต้นทุนการกู้ยืมทำให้นักลงทุนสนใจสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนแบบดอกเบี้ยอย่างทองคำมากขึ้น ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนตัวลง
ผลกระทบต่อบิตคอยน์
บิตคอยน์และคริปโตเคอเรนซีอื่นๆ อาจได้รับประโยชน์จากความผันผวนของเศรษฐกิจและนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น การลดดอกเบี้ยทำให้สภาพคล่องในระบบการเงินสูงขึ้น ซึ่งสามารถส่งผลให้เกิดความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงเช่นบิตคอยน์เพิ่มขึ้น
โอกาสที่ Fed จะลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง
แม้ว่า Fed จะลดดอกเบี้ยในการประชุมล่าสุด นักเศรษฐศาสตร์หลายคนยังมองว่า Fed อาจยังคงระมัดระวังในการปรับลดดอกเบี้ยต่อไป เพราะเศรษฐกิจยังคงมีความไม่แน่นอน หากการเติบโตยังไม่ชัดเจน Fed อาจเลือกที่จะลดดอกเบี้ยต่อไป แต่หากอัตราเงินเฟ้อเริ่มกลับมาเร่งตัวขึ้น Fed อาจชะลอการปรับลดดอกเบี้ย.
การเลือก Time Frame ในการเทรด Forex ให้เหมาะสมกับแต่ละคนในการเทรด Forex นอกจากการทำความเข้าใจตลาด การวิเคราะห์กราฟ และการจัดการความเสี่ยงแล้ว การเลือก Time Frame หรือช่วงเวลาของกราฟที่เหมาะสมถือเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สามารถส่งผลต่อความสำเร็จในการเทรดได้อย่างมาก การเลือก Time Frame ไม่ได้มีผลเพียงแค่รูปแบบของกราฟที่นักเทรดเห็น แต่ยังส่งผลถึงความถนัดและความสะดวกในการจัดการเวลาของแต่ละคนด้วย
Time Frame คืออะไร?
Time Frame ในการเทรด Forex หมายถึงช่วงระยะเวลาของแท่งกราฟแต่ละแท่งที่ปรากฏอยู่บนชาร์ต เช่น หากคุณเลือก Time Frame 1 ชั่วโมง หมายความว่าแท่งกราฟแต่ละแท่งจะแสดงการเคลื่อนไหวของราคาในระยะเวลา 1 ชั่วโมง
ในตลาด Forex มี Time Frame ให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่กราฟระยะสั้น (M1 หรือ 1 นาที) จนถึงกราฟระยะยาว (MN หรือ 1 เดือน) นักเทรดสามารถเลือกดูกราฟในช่วงเวลาที่ต่างกันได้ ซึ่ง Time Frame แต่ละช่วงจะให้มุมมองที่ต่างกันในการวิเคราะห์
ประเภทของนักเทรดและ Time Frame ที่เหมาะสม
นักเทรดแต่ละคนมีสไตล์การเทรดและความสะดวกในการจัดการเวลาที่แตกต่างกัน การเลือก Time Frame ที่เหมาะสมจึงควรสอดคล้องกับลักษณะการเทรดของแต่ละคน
1.Scalper (เทรดระยะสั้นมาก)
นักเทรดประเภท Scalper คือผู้ที่ชอบการทำกำไรในระยะเวลาสั้น ๆ ภายในไม่กี่นาที การเทรดสไตล์นี้ต้องการความรวดเร็วและมีการเข้าและออกจากตลาดบ่อยครั้ง Time Frame ที่เหมาะสมสำหรับ Scalper คือกราฟระยะสั้น เช่น M1 (1 นาที) หรือ M5 (5 นาที) ซึ่งจะทำให้นักเทรดสามารถจับการเคลื่อนไหวของราคาได้อย่างรวดเร็ว
เหมาะสำหรับ:
ผู้ที่ชอบการเทรดบ่อยครั้งในระยะเวลาสั้น
ผู้ที่สามารถติดตามตลาดและมีเวลามากในการดูกราฟ
ผู้ที่ชอบความรวดเร็วในการทำกำไรและทนความเครียดจากความผันผวนได้ดี
2.Day Trader (เทรดระยะวัน)
Day Trader คือผู้ที่มักจะเปิดและปิดออเดอร์ภายในวันเดียวกัน การเทรดประเภทนี้มักจะเน้นการทำกำไรในช่วงระหว่างวันและไม่เปิดออเดอร์ข้ามคืน Time Frame ที่เหมาะสมคือ M15 (15 นาที), M30 (30 นาที) หรือ H1 (1 ชั่วโมง) ซึ่งจะช่วยให้นักเทรดสามารถติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดในระยะเวลาสั้นถึงปานกลาง
เหมาะสำหรับ:
ผู้ที่ต้องการทำกำไรภายในวันเดียวโดยไม่ต้องถือออเดอร์ข้ามคืน
ผู้ที่มีเวลาติดตามตลาดตลอดทั้งวันแต่ไม่มากพอสำหรับ Scalping
ผู้ที่ต้องการความสมดุลระหว่างความเร็วในการเทรดและการวิเคราะห์เชิงลึก
3.Swing Trader (เทรดระยะกลาง)
นักเทรดสไตล์ Swing Trader จะเปิดออเดอร์และถือครองตำแหน่งนานกว่า Day Trader บางครั้งอาจถือข้ามคืนหรือข้ามหลายวัน การเทรดแบบนี้ต้องการการวิเคราะห์ภาพรวมในระยะยาวมากขึ้น Time Frame ที่เหมาะสมสำหรับ Swing Trader คือ H4 (4 ชั่วโมง), D1 (1 วัน) ซึ่งให้ภาพรวมของตลาดในช่วงเวลาที่ยาวขึ้น ช่วยให้การตัดสินใจเทรดแม่นยำขึ้น
เหมาะสำหรับ:
ผู้ที่ต้องการถือออเดอร์ในระยะเวลานานหลายวันหรือนานเป็นสัปดาห์
ผู้ที่ชอบวิเคราะห์แนวโน้มใหญ่ของตลาด
ผู้ที่มีเวลาจำกัดในการเฝ้าตลาดแต่ยังต้องการทำกำไรในระยะกลาง
4.Position Trader (เทรดระยะยาว)
Position Trader มักจะเปิดออเดอร์และถือครองตำแหน่งเป็นเวลานาน อาจเป็นสัปดาห์หรือเดือน ซึ่งนักเทรดประเภทนี้เน้นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจมากกว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิค Time Frame ที่เหมาะสมคือ W1 (1 สัปดาห์) หรือ MN (1 เดือน) ซึ่งจะช่วยให้นักเทรดสามารถวิเคราะห์แนวโน้มใหญ่ของตลาดในระยะยาว
เหมาะสำหรับ:
ผู้ที่ไม่ต้องการเทรดบ่อยแต่ต้องการวิเคราะห์ตลาดในระยะยาว
ผู้ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและแนวโน้มใหญ่ของตลาด
ผู้ที่ไม่ต้องการเฝ้าติดตามตลาดบ่อยครั้งและยอมรับการถือออเดอร์นาน
ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือก Time Frame
ลักษณะการเทรดของตัวเอง: นักเทรดควรถามตัวเองว่าชอบการเทรดแบบใด เช่น ถ้าชอบการเข้าออกตลาดบ่อยครั้ง ควรเลือก Time Frame สั้น แต่ถ้าชอบการวิเคราะห์แนวโน้มใหญ่ ควรเลือก Time Frame ที่ยาวขึ้น
ระยะเวลาที่ใช้ในการเฝ้าตลาด: หากคุณมีเวลาจำกัดในแต่ละวันในการเทรด Time Frame สั้นอาจไม่เหมาะสม แต่ถ้าคุณสามารถเฝ้าตลาดตลอดเวลา Time Frame สั้นอาจช่วยให้คุณทำกำไรได้เร็วกว่า
ความชำนาญ: นักเทรดมือใหม่มักจะเหมาะกับ Time Frame ที่ยาวขึ้น เช่น H4 หรือ D1 เพราะตลาดมีความเคลื่อนไหวที่ไม่รวดเร็วเกินไป ทำให้สามารถวิเคราะห์และตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
สรุป
การเลือก Time Frame ในการเทรด Forex ควรพิจารณาจากสไตล์การเทรด ลักษณะการใช้ชีวิต และความสามารถในการวิเคราะห์ของนักเทรดแต่ละคน ไม่มี Time Frame ที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน แต่การเลือก Time Frame ที่เหมาะสมกับตัวเองจะช่วยให้การเทรดมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
การบริหารความเสี่ยงในตลาด Forex: กุญแจสู่ความสำเร็จในการเทรดการเทรดในตลาด Forex เป็นการลงทุนที่ให้โอกาสในการทำกำไรสูง แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน ดังนั้นการบริหารความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เทรดเดอร์ทุกคนควรให้ความสำคัญ เพื่อรักษาทุนและลดโอกาสในการขาดทุนให้เหลือน้อยที่สุด
1. การใช้ Stop Loss และ Take Profit
หนึ่งในเครื่องมือพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการบริหารความเสี่ยงคือการตั้ง Stop Loss (จุดตัดขาดทุน) และ Take Profit (จุดทำกำไร)
Stop Loss เป็นการกำหนดล่วงหน้าว่าเรายอมขาดทุนได้มากที่สุดเท่าไหร่ในแต่ละการเทรด หากราคาของคู่เงินเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ไม่เป็นไปตามคาด การตั้งจุด Stop Loss จะช่วยหยุดความเสี่ยงไม่ให้บานปลาย
Take Profit คือการกำหนดจุดที่เราพอใจกับกำไร และระบบจะปิดออเดอร์โดยอัตโนมัติเมื่อราคาถึงจุดนี้ ซึ่งเป็นวิธีที่ดีในการล็อกกำไรและป้องกันไม่ให้ราคาย้อนกลับจนสูญเสียกำไรที่ทำไว้
2. การกำหนดขนาดของ Lot Size
การเลือกขนาดการเทรด (Lot Size) ที่เหมาะสมกับขนาดพอร์ตเป็นอีกวิธีหนึ่งในการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ควรเทรดด้วยขนาด Lot ที่ใหญ่เกินไปเมื่อเทียบกับขนาดของพอร์ต เพราะอาจทำให้เกิดการขาดทุนครั้งใหญ่ การใช้ Lot Size ที่เหมาะสมจะช่วยลดแรงกดดันจากการขาดทุนและให้ความมั่นใจในการเทรดมากขึ้น
3. การใช้ Leverage อย่างระมัดระวัง
Leverage คือการยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อเพิ่มขนาดการลงทุน ซึ่งสามารถเพิ่มกำไรได้อย่างมหาศาลในกรณีที่ทิศทางการเทรดถูกต้อง แต่ในขณะเดียวกันก็นำมาซึ่งความเสี่ยงที่สูงมากหากทิศทางไม่เป็นไปตามคาด การเลือกใช้ Leverage จึงต้องระมัดระวัง ควรใช้ในระดับที่เรายอมรับความเสี่ยงได้โดยไม่กระทบกับทุนหลัก
4. การบริหารเงิน (Money Management)
การบริหารเงินเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารความเสี่ยง ควรกำหนดอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-to-Reward Ratio) ให้เหมาะสม เช่น กำหนดให้ความเสี่ยงในการขาดทุนต่อการเทรดแต่ละครั้งไม่เกิน 2-3% ของพอร์ต เพื่อให้สามารถรับมือกับการขาดทุนได้โดยไม่ทำให้พอร์ตเสียหายหนัก
5. การกระจายความเสี่ยง
การกระจายความเสี่ยงเป็นอีกวิธีที่สามารถลดความเสี่ยงในการเทรด Forex ได้ ไม่ควรวางเงินทั้งหมดในคู่เงินคู่เดียวหรือใช้กลยุทธ์เดียวในการเทรด ควรศึกษาและเลือกเทรดในหลายคู่เงินที่ไม่สัมพันธ์กัน เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนในตลาด
6. การควบคุมอารมณ์
ความเสี่ยงอีกประเภทที่มักถูกมองข้ามคือ ความเสี่ยงทางอารมณ์ การเทรดที่ถูกขับเคลื่อนด้วยความกลัวหรือความโลภมักนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด การตั้งกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนและยึดมั่นในการปฏิบัติตามแผนที่วางไว้จะช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากการเทรดด้วยอารมณ์
บทสรุป
การบริหารความเสี่ยงในตลาด Forex เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เทรดเดอร์สามารถอยู่รอดและเติบโตในระยะยาว การใช้ Stop Loss และ Take Profit อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกขนาด Lot Size ที่เหมาะสม และการควบคุมอารมณ์ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการขาดทุน การบริหารความเสี่ยงที่ดีไม่เพียงแต่จะช่วยปกป้องทุน แต่ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในตลาด Forex
เลือก Leverage Forex เท่าไหร่ดี? คำแนะนำสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่1. ความเข้าใจพื้นฐานของ Leverage
Leverage หมายถึงการใช้เงินกู้จากโบรกเกอร์ในการเปิดตำแหน่งที่มีมูลค่าสูงกว่าทุนที่คุณมี Leverage แสดงในรูปแบบของสัดส่วน เช่น 1:100 หมายความว่าคุณสามารถควบคุมตำแหน่งที่มีมูลค่าสูงกว่าทุนจริง 100 เท่า ซึ่งช่วยให้คุณสามารถเพิ่มศักยภาพในการทำกำไรได้จากการเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อย
2. ความเสี่ยงของการใช้ Leverage สูง
การใช้ Leverage สูงมากเกินไปสามารถนำไปสู่การขาดทุนที่สูงมากได้ แม้เพียงการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่มากพอ เพราะ Leverage ขยายทั้งกำไรและขาดทุน หากราคาตลาดเคลื่อนที่สวนทางกับการคาดการณ์ของคุณเพียงเล็กน้อย คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดภายในระยะเวลาอันสั้น
3. การเลือก Leverage ที่เหมาะสม
สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ การเลือก Leverage ในระดับที่ต่ำ เช่น 1:10 หรือ 1:20 เป็นการเริ่มต้นที่ดี เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงในการขาดทุนมากเกินไปในช่วงที่คุณยังไม่มีประสบการณ์มากพอ เมื่อคุณมีความชำนาญและความมั่นใจมากขึ้น คุณสามารถเพิ่ม Leverage ตามความเหมาะสม
4. การจัดการความเสี่ยง
นอกจากการเลือก Leverage ที่เหมาะสมแล้ว การจัดการความเสี่ยงก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน คุณควรใช้ Stop Loss และ Take Profit ในการเทรดทุกครั้ง เพื่อป้องกันการสูญเสียเงินทุนในระดับที่เกินกว่าที่คุณสามารถรับได้
สรุป
การเลือก Leverage ที่เหมาะสมเป็นขั้นตอนสำคัญในการสร้างเส้นทางการเทรดที่ยั่งยืนในตลาด Forex โดยเฉพาะสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ เลือก Leverage ที่ต่ำเพื่อจำกัดความเสี่ยงและค่อยๆ เพิ่มขึ้นเมื่อคุณมีประสบการณ์และความมั่นใจมากขึ้น การจัดการความเสี่ยงและการใช้เครื่องมือการเทรดอย่างมีวินัยจะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในระยะยาว
รูปแบบกราฟค้างคาว Bat Patternรูปแบบกราฟค้างคาว Bat Pattern
👽👽👽 กลับมากันอีกแล้วกับบทความดีๆ และเทคนิคการวิเคราะห์รูปแบบต่างๆในการเทรด วันนี้เราอยู่กันที่กราฟค้างคาวคับ หลายคนยังไม่คุ้นหู แต่บางคนน่าจะรู้จักกันบ้างแล้ว มาครับเราไปทำความรู้จักกราฟค้างคาวกันให้มากขึ้นกันดีกว่า
เป็นรูปแบบที่ได้มาจากทฤษฎี Harmonic Pattern ซึ่งจัดว่ามีความแม่นยำสูง โอกาสชนะมีถึง 80% เนื่องจากมีลักษณะการวิ่งและทิศทางภาพรวมที่ออกมา คล้ายกับค้างคาว เราจึงเรียกว่ากราฟค้างคาว กราฟค้างคาว Bat Pattern เกิดจากอะไร
รูปแบบแพทเทิร์นตามทฤษฎี Harmonic ล้วนเป็นแพทเทิร์นที่มาจากวิธีที่เจ้ารายใหญ่ใช้เอาชนะตลาด ที่ผ่านการไล่ล่า Stop Loss จากกลุ่มเม่ารายย่อย จึงเป็นที่มาของชื่อต่างๆ ซึ่งสามารถวิเคราะห์และทำซ้ำได้ตลอดเวลา
การฟอร์มขึ้นของรูปแบบกราฟค้างคาว
หลักๆส่วนใหญ่จะมาจากแพทเทริน ABC เป็นฐานหลัก และแตกต่างกันตรงองศา
การสร้างรูปแบบ Bullish Bat
Bullish Bat เป็นสัญญาณในการเข้า Buy จุดที่ควรเข้ากราฟเซทอัพ คือจุด D
Trade Setup ด้วย Bullish Bat
แม้จะมีความแม่นยำมาก แต่มันก็ไม่ 100% ดังตัวอย่างในภาพ กราฟมีการกลับตัวขึ้นตามระบบ แต่ไปถึงเป้ากำไรไแค่เพียง TP1 เท่านั้น ก่อนที่ราคาจะย้อนกลับลงมา การล๊อคกำไรหรือมีแนวทางารจัดการที่ดีจะทำให้เราไม่ขาดทุนนะฮะ
การสร้างรูปแบบ Bearish Bat
Bearish Bat เป็นสัญญาณในการเข้า Sell จุดที่ควรเข้ากราฟเซทอัพ คือจุด D
ทริคและการเข้าเทรดแบบย่อๆ
1. แพทเทิร์นนี้จะทำกำไรได้สั้นหรือยาว อยู่ที่ TF เป็นหลัก ยิ่ง TF ใหญ่ กำไรก็จะยิ่งมากและยาวมากขึ้น
2.แพทเทรินนี้ เรามักจะทำกำไรจากสัญญาณกลับตัวระยะสั้น โดยเป้าหมายกำไรมักเป็นจุดกึ่งกลางลำตัวของค้างคาวนั่นคือจุด B
3. ใช้ควบคู่กับระบบหรือสัญญาณ แท่งเทียน ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มความแม่นยำให้กับระบบ
4. ใช้ Fibonacci ในการตรวจเช็คสัดส่วน ว่าเป็นไปตามทฤษฎีหรือไม่ ก่อนที่จะทำการวางแผนการเทรดจริง
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ได้ทริคการเทรดใหม่ๆกันไปแล้วก็อย่าลืมเอาไปลองใช้กันดูบ้างนะครับ ไม่แน่นะว่าอาจจะถูกจริตกับเราบ้างก็เป็นได้สำหรับสายชอบเทรดสวน ดีนักแล แอดฟันธงเลย และที่สำคัญอย่าลืม MM และสร้างแผนการเทรดที่ดีด้วยนะครับ จะช่วยทำให้เราแกร่งมากยิ่่งขึ้น และเจ็บน้อยลง แอดเอาใจช่วยนะครับ
All Time High คืออะไร? และแนวทางการเทรดอย่างไร?All Time High (ATH) หรือจุดสูงสุดตลอดกาล หมายถึงราคาของสินทรัพย์หนึ่งๆ ที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของสินทรัพย์นั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น คริปโตเคอร์เรนซี หรือสินทรัพย์อื่นๆ การที่สินทรัพย์หนึ่งทำ All Time
แนวทางการเทรด All Time High
การเทรด All Time High นั้นมีความเสี่ยงสูง แต่ก็มีโอกาสทำกำไรได้สูงเช่นกัน ดังนั้นควรศึกษาและวางแผนการลงทุนอย่างรอบคอบ ก่อนตัดสินใจลงทุน
แนวทางการเทรดที่เป็นไปได้:
ซื้อตาม: เมื่อสินทรัพย์ทำ All Time High แล้ว นักลงทุนบางส่วนอาจตัดสินใจเข้าซื้อตามทันที โดยหวังว่าราคาจะขึ้นไปต่อ แต่ควรระวังความเสี่ยงที่จะติดดอย หรือซื้อไปแล้วราคาปรับตัวลดลง
รอทดสอบแนวต้าน: รอให้ราคาปรับตัวลงมาเล็กน้อย แล้วค่อยเข้าซื้อ โดยมองหาจุดที่ราคาได้รับการสนับสนุน และมีโอกาสที่จะดีดตัวขึ้นไปใหม่
ใช้เครื่องมือทางเทคนิค: ใช้เครื่องมือทางเทคนิค เช่น การวิเคราะห์กราฟ หรือตัวชี้วัดทางเทคนิค เพื่อช่วยในการตัดสินใจซื้อขาย
ตั้ง Stop-Loss: กำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop-Loss) เพื่อจำกัดความเสียหายหากราคาเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับที่คาดการณ์ไว้
กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์เพียงตัวเดียว ควรกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์อื่นๆ หรือลงทุนในกองทุนรวม
ข้อควรระวัง:
ความเสี่ยงสูง: การเทรด All Time High มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะราคาอาจปรับตัวลดลงได้อย่างรวดเร็ว
ข่าวสาร: ควรติดตามข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์นั้นๆ อย่างใกล้ชิด เพราะข่าวสารอาจส่งผลกระทบต่อราคาได้
อารมณ์: อย่าปล่อยให้อารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจลงทุน ควรใช้เหตุผลในการตัดสินใจ
สรุป
All Time High เป็นสัญญาณที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน แต่การเทรด All Time High นั้นมีความเสี่ยงสูง ดังนั้นนักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับสินทรัพย์นั้นๆ อย่างละเอียด รวมถึงวางแผนการลงทุนอย่างรอบคอบ ก่อนตัดสินใจลงทุน
การเทรดแบบ Manual vs EA: ความแตกต่าง ข้อดี ข้อเสีย และเหมาะกับใคการเทรดในตลาดการเงินมีหลากหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือการเลือกใช้เครื่องมือในการเทรด ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลักๆ คือ การเทรดแบบ Manual (เทรดเอง) และการใช้ Expert Advisor (EA)
การใช้ Expert Advisor (EA)
ความหมาย: EA คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกตั้งโปรแกรมให้ทำการซื้อขายอัตโนมัติตามกลยุทธ์ที่กำหนดไว้
ข้อดี:
ประหยัดเวลา: EA สามารถเทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ลดความผิดพลาดจากอารมณ์: EA ทำงานตามโปรแกรมที่ตั้งไว้
สามารถทดสอบกลยุทธ์ย้อนหลังได้: ช่วยให้นักเทรดประเมินผลการทำงานของกลยุทธ์ก่อนนำไปใช้งานจริง
ข้อเสีย:
ขาดความยืดหยุ่น: การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ต้องอาศัยการแก้ไขโปรแกรม
อาจเกิดความผิดพลาดจากโปรแกรม: หากโปรแกรมมีข้อผิดพลาด อาจส่งผลต่อการเทรด
ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม: หากต้องการสร้าง EA เอง
การเทรดแบบ Manual (เทรดเอง)
ความหมาย: การเทรดแบบ Manual คือการที่นักเทรดตัดสินใจซื้อขายเองทั้งหมด โดยอาศัยการวิเคราะห์กราฟ การใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิค หรือปัจจัยพื้นฐานต่างๆ
ข้อดี:
ความยืดหยุ่น: นักเทรดสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ตลอดเวลาตามสถานการณ์ตลาด
ความเข้าใจตลาดลึกซึ้ง: การเทรดเองจะทำให้นักเทรดเข้าใจกลไกของตลาดได้ดีขึ้น
ควบคุมความเสี่ยงได้ดี: นักเทรดสามารถตั้ง Stop-loss และ Take-profit ได้เอง
ข้อเสีย:
ต้องใช้เวลาและความพยายาม: ต้องติดตามตลาดอย่างต่อเนื่อง และใช้เวลาในการวิเคราะห์
มีความผิดพลาดได้: การตัดสินใจของมนุษย์อาจได้รับอิทธิพลจากอารมณ์
จำกัดเวลา: ไม่สามารถเทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง
เหมาะกับใคร?
การเทรดแบบ Manual: เหมาะสำหรับนักเทรดที่ชอบวิเคราะห์ตลาด ชื่นชอบความท้าทาย และต้องการควบคุมการเทรดทุกขั้นตอน
การใช้ EA: เหมาะสำหรับนักเทรดที่ต้องการประหยัดเวลา มีวินัยในการเทรด และต้องการลดความเสี่ยงจากอารมณ์
สรุป
การเลือกใช้การเทรดแบบใดขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความถนัดของแต่ละบุคคล นักเทรดบางคนอาจเลือกใช้ทั้งสองรูปแบบควบคู่กันไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรด อย่างไรก็ตาม การเทรดทุกประเภทมีความเสี่ยง ดังนั้นควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
เลือก Leverage แบบไหนดี
👺👺👺 มาครับวันนี้เอาใจมือใหม่หัดเทรดกันบ้าง กับการเลือกเลเวอเรจให้ถูกกับจริตของตัวเอง เพราะการจะเทรดให้ได้กำไรจำเป็นต้องมีปัจจัยเล็กๆและองค์ประกอบอื่นๆมาเป็นตัวผลักดัน หนทางสร้างกำไรจึงจำเป็นต้องมีแบบแผนตั้งแต่เริ่มแรก ดังนั้น ไอ่เจ้าเลเวอเรจนี่แหละครับที่จัดว่าสำคัญทีเดียวเชียว มาครับ ตามมาอ่านกันต่อได้เลย
เลือก leverage แบบไหนดี ?
Leverage คืออะไร ?
หากเราตัดสินใจที่จะเดินเข้าสู่วงการ การเทรดค่าเงินในตลาด Forex แล้วหล่ะก็ สิ่งหนึ่งที่ต้องเลือกเป็นอันดับแรกเลยก็คือ เลเวอร์เลจ
หากให้เปรียบเทียบคำว่า เลเวอร์เลจ คำนี้จะมีความคล้ายคลึงันกับเงินเดิมพัน และเงินยืม เลเวอร์เลจ ช่วยให้เรามีอำนาจในการซื้อขายในตลาดได้มากยิ่งขึ้นแบบทวีคูณ โดยยกตัวอย่างง่ายๆ
จากเดิมๆที่เราต้องมีเงินลงทุนประมาณ $100,000 ดอลลาร์ เราถึงจะสามารถเปิดออร์เดอร์ขนาด 1 lot ได้
แต่หากว่าเราเลือกเทรดแบบมี เลเวอร์เลจ ในการเทรด โดยเลือกเลเวอเรจที่ 1:100 เราจะใช้เงินลงทุนเพียง $1,000 ก็สามารถเปิดออร์เดอร์ 1 lot ได้แล้ว หรือจะเลือก เลเวอร์เลจ 1:1,000 เราจะใช้เงินลงทุนเพียง $100 ก็สามารถเปิดออร์เดอร์ 1 lot ได้
ตัวอย่างเลเวอเรจ
เลเวอร์เลจ 1:1 มีทุน $1,000 สามารถซื้อหุ้นได้ $1,000
เลเวอร์เลจ 1:100 มีทุน $1,000 สามารถซื้อหุ้นได้ $100,000
เลเวอร์เลจ 1:1,000 มีทุน $1,000 สามารถซื้อหุ้นได้ $1,000,000
จากตัวอย่าง เราจะเห็นได้ว่า เลเวอเรจ ยิ่งสูงเท่าไหร่ ยิ่งสามารถทำให้มีอำนาจในการซื้อมากยิ่งขึ้น เสมือนว่าเรายืมเงินจากเปอร์เซ็นต์ต้นทุนของเขาเอามาทำกำไรก่อนนั่นเอง แต่ต้องอย่าลืมนะครับว่า การลงทุนมักมาพร้อมกับความเสี่ยงเสมอ ยิ่งเราซื้อมากเท่าไหร่ความเสี่ยงยิ่งมากตาม แต่หากเรามีกำไร กำไรมันก็มากตามเช่นกัน
นั่นทำให้การใช้เลเวอเรจไม่ได้สวยหรูแค่ด้านเดียว ที่สำคัญสุดๆเลยนั่นก็คือการ Stop Out เรียกง่ายๆว่าล้างพอร์ตนั่นแหละครับ ยังไง??
เพราะยิ่งเราใช้เลเวอเรจมากที่สุดในการเทรด ไม่ว่าจะเป็น 1:1,000 , 1:2,000 , 1:5,000 หรือมากว่านี้ เราจะยิ่งเสี่ยงในการล้างพอร์ตง่ายเช่นกันจากการเทรดหนัก
เพราะการใส่ออเดอร์ได้มาก ยิ่งทำให้เราโลภมากยิ่งขึ้น ไอ่ความโลภนี่แหละที่ทำให้เราเทรด แบบ Over trade ใส่ลอตใหญ่มากเกินไป หากกราฟวิ่งผิดทางระยะวงสวิง ที่ติดลบก็พาล้มละลายได้เลยฮะ ฉะนั้นพึงระวัง และค่อยๆเทรดดีกว่านะครับ ไม่มากไปและไม่น้อยเกินไป ไม่งั้นเดี๋ยวจะเทรดไม่พอค่าไฟกันพอดี……เนาะ
แถมสูตรคำนวณ Lot Size ให้อีกนิดนะครับ ทุน / 10,000 เราจะได้ Lot ที่ใช้ในการเทรด
ตัวอย่างคำนวณ ทุน 100$ หาร 10,000 = 0.01 นี่คือ ลอตในการออกไม้นะครับ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ มือใหม่หัดเทรด สิ่งเล็กๆน้อยๆที่เราจำเป็นต้องรู้นะฮะก่อนที่จะเริ่มเทรด แอดว่ามันดีและเบสิคมากเลย การเตรียมการและใส่ใจแบบแผนการเทรดเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆเลยนะฮะ วางแผนดี มีชัยไปกว่าครึ่ง ว่างแล้วก็ลองกลับไปเช็ค Leverage ของเราดูกันนะฮะ จะได้คำนวณ Lot size ได้ถูก และเทรดแบบไม่ต้องลุ้นล้างพอร์ตอีกต่อไป ต้องลองนะฮะ
และที่สำคัญ ฝึกฝนการเทรดให้ได้ทุกวัน รับรองว่ากำไรไม่ไกลเกินฝันแน่นอนฮะ แอดเอาใจช่วย แล้วอย่าลืม MM กันด้วยนะ ชีวิตการเทรดของเราจะยืนยาวและมั่นคง แอดฟันธงให้เลย
MARKET STRUCTURE เทรดเดอร์ต้องรู้ก่อนเทรดจริงMARKET STRUCTURE
เทรดเดอร์ต้องรู้ก่อนเทรดจริง
👯👯👯กลับมาพบเจอกันอีกเช่นเคยกับบทความที่เกี่ยวข้องกับเทคนิคการเทรดโดยตรงเลยฮะ ยิ่งโดยเฉพาะสำหรับมือใหม่หัดเทรดนี่ จัดว่าสำคัญมากๆเลย เพราะมันคือสิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้ และทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ มาครับ มาทำความรู้จักกับ MARKET STRUCTURE กันดีกว่า ว่ามันสำคัญอย่างไร
Market Structure โครงสร้างตลาด
โครงสร้างตลาดในการเทรด คือการทำความเข้าใจในเรื่อง หลักการการเชื่อมโยงกราฟใน Timeframe แต่ละ Timeframe ว่ามีความสัมพันธ์ุกันอย่างไร ไอ่เจ้าตัวนี้แหละที่ทำให้เราสามารถอ่านกราฟออก และทำให้การเทรดนั้นดูง่ายขึ้นเยอะเเลย
อันดับแรกต้องเข้าใจก่อนว่า กราฟแท่งเทียนนั้นมีคลื่นเวฟ และมีเทรนด์ในตัวของมันเอง อ้างอิงตามทฤษฎีดาว ( Dow Theory ) ซึ่งเป็นทฤษฎีอมตะ ทฤษฎีต้นแบบในการอ่านคลื่นกราฟ โดยสามารถจำแนกแบ่ง เทรนด์ในการเทรดคร่าวๆดังนี้
1. Primary Trend คือแนวโน้มเทรนด์หลัก เทรนด์ใหญ่ ซึ่งทำให้เราแยกกราฟออกได้ว่าเป็นแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง
2. Secondary Trend แนวโน้มรอง ส่วนใหญ่เทรนด์แนวโน้มรองมักจะเป็นเทรนด์ในกรอบระยะสั้น รวมไปถึงการพักตัวหรือสวิงเทรนด์ไซด์เวย์ และมีโอกาสที่ราคาจะไปต่อหรือกลับตัวได้เช่นกัน
3. Minor Trend แนวโน้มย่อย ส่วนใหญ่กรอบเทรนด์แนวโน้มย่อยมักจะอยู่ในกรอบ TF เล็กๆ วิ่งในระยะสั้นๆ และเป็นการย่อลงเพื่อไปต่อตามเทรนด์ในแนวโน้มใหญ่
แท่งเทียนของราคา ใน TF ต่างๆจึงมีความสัมพันธ์กันกับ Market structure
เปรียบเทียบการแบ่งแยก Timeframe เล็ก และใหญ่ ในกราฟคู่เงินเดียวกัน
การอ่านเทรนด์ออกจาก Timeframe (TF) หลายTimeframe จากใหญ่ ไป เล็ก จะทำให้เราอ่านกราฟออกและแบ่งแยกการเทรดได้ ว่าจะ Buy หรือ Sell และทำให้เราเห็นจุด โลว์ และ จุด ไฮ ( HH , HL, LL ) ที่ใกล้ที่สุด และโอกาสในการชนะก็ค่อนข้างได้เปรียบมากขึ้นอีกด้วย
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ง่ายๆเบสิค และทำให้หลายๆคนมองเห็นจุดเข้าที่ได้เปรียบได้มากขึ้น จากสัญญาณที่แตกต่างกันในหลาย TF แบบนี้เราก็จะเทรดได้ง่ายแถมกำไรดีขึ้นด้วยนี่สิ ว่าแล้วก็อย่าลืมเอาคู่การเทรดและ การอ่านสัญญาณจากแท่งเทียนมาฝึกกันดูนะครับ แอดบอกเลยว่า กำไรเพิ่มขึ้นแน่นอน แล้วอย่าลืม หมั่นฝึกฝนการเทรดให้ได้ทุกวัน ยิ่งเราเทรดบ่อยๆเราจะเก่งขึ้นเองครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM และสร้างแผนการเทรดที่ดีด้วยนะครับ จะช่วยทำให้เราแกร่งมากยิ่่งขึ้น และเจ็บน้อยลง แอดเอาใจช่วยนะครับ
อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการเทรดอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk Reward Ratio) เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการบริหารจัดการความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในการเทรด Forex โดยอัตราส่วนนี้จะเปรียบเทียบระหว่างจำนวนเงินที่คุณอาจจะเสียไป (ความเสี่ยง) กับจำนวนเงินที่คุณคาดหวังว่าจะได้รับ (ผลตอบแทน) จากการเทรดแต่ละครั้ง
ทำความเข้าใจอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน
อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk Reward Ratio) เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการบริหารจัดการความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในการเทรด Forex โดยอัตราส่วนนี้จะเปรียบเทียบระหว่างจำนวนเงินที่คุณอาจจะเสียไป (ความเสี่ยง) กับจำนวนเงินที่คุณคาดหวังว่าจะได้รับ (ผลตอบแทน) จากการเทรดแต่ละครั้ง
ทำไมอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนถึงสำคัญ?
การควบคุมความเสี่ยง: ช่วยให้นักเทรดกำหนดวงเงินขาดทุนสูงสุดที่ยอมรับได้ และป้องกันไม่ให้ขาดทุนสะสมมากเกินไป
เพิ่มโอกาสในการทำกำไร: เมื่ออัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนอยู่ในระดับที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณทำกำไรได้มากกว่าขาดทุนในระยะยาว
สร้างวินัยในการเทรด: การตั้งเป้าหมายอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนจะช่วยให้นักเทรดมีวินัยในการปฏิบัติตามแผนการเทรด
วิธีคำนวณอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน
อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนคำนวณได้โดยการหารระยะทางจากจุดเข้าซื้อไปยังจุด Stop Loss ด้วยระยะทางจากจุดเข้าซื้อไปยังจุด Take Profit
ตัวอย่าง: สมมติว่าคุณซื้อสกุลเงินคู่ EUR/USD ที่ราคา 1.1000
Stop Loss: คุณตั้ง Stop Loss ไว้ที่ 1.0900 (ความเสี่ยง = 100 pips)
Take Profit: คุณตั้ง Take Profit ไว้ที่ 1.1100 (ผลตอบแทน = 100 pips)
อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: 100 pips / 100 pips = 1:1
อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่ดีคือเท่าไหร่?
โดยทั่วไปแล้ว อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่มากกว่า 1:1 ถือว่าดี เนื่องจากหมายความว่าคุณมีโอกาสที่จะทำกำไรได้มากกว่าที่คุณจะเสียไป อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลและขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การเทรดของแต่ละคน
ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการตั้งค่าอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน
ความผันผวนของตลาด: ในตลาดที่ผันผวนสูง อาจเหมาะที่จะตั้งอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่สูงขึ้น
จำนวนครั้งในการเทรด: หากคุณเทรดบ่อยครั้ง อาจเหมาะที่จะตั้งอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่ต่ำลงเพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดทุนหลายครั้งติดต่อกัน
เป้าหมายในการเทรด: หากเป้าหมายของคุณคือการทำกำไรระยะยาว อาจเหมาะที่จะตั้งอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่สูงขึ้นเล็กน้อย
สรุป
อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการบริหารจัดการความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในการเทรด Forex การทำความเข้าใจและนำไปใช้กับการเทรดของคุณอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณเป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จได้มากยิ่งขึ้น
Cup and Handle Pattern ถ้วยกาแฟ คืออะไร?Cup and Handle Pattern
ถ้วยกาแฟ คืออะไร?
👯👯👯กลับมาพบเจอกันอีกเช่นเคยกับบทความที่เกรี่ยวกับเทคนิคการเทรดดีๆ แพทเทรินแจ่มๆที่มักมาให้เราได้พบได้เจอบ่อยๆ และ Cup and Handle Pattern หรือที่เรามักเรียกกันว่าถ้วยกาแฟก็ยังไม่จกเทนด์นะ เพราะมันออกมาห้เราได้เห็นกันอีกแล้ว
วันนี้เแอดพาทุกท่านไปรำลึกและหวนคืนการรื้อฟื้นรูปแบบถ้วยกาแฟมาให้ได้อ่านกัน สำหรับสายเทรดทอง ที่กำลังติดดอยกันอยู่ในตอนนี้ เพราะ เขามาอีกแล้วฮะ ไหน มาแล้วหรอ มาตอนไหน แล้วตอนนี้ถึงตรงไหนแล้ว บทความนี้มาช่วยวิเคราะห์ให้ได้อ่านกันครับ
Cup and Handle Pattern ถ้วยกาแฟ คืออะไร?
รูปแบบกราฟถ้วยกาแฟเป็นสัญญาณในตลาดกระทิง หรือแนวโน้มขาขึ้นระยะยาวฮะ
องค์ประกอบของรูปแบบนี้ก็มี2 อย่างเเท่านั้น คือ ถ้วย และหูถ้วย
1. ขนาดของถ้วยกาแฟ มักมีหลายขนาดและหลายรูปทรง และทีเรามักจะเห็นกันบ่อยๆ ก็มักจะเป็นรูปตัวยู U นั่นก็คือ
- ราคามีแรงซื้อเข้ามา แล้วเกิดแรงเทขายอย่างหนัก จนเกิดการพักตัวที่ฐานล่างเป็นเวลานาน จนเกิดเป็นสวิงเทรนไซด์เวย์
- หลังจากนั้น ราคาก็จะมีแรงซื้อเข้ามาอีกรอบ เป็นอันเสร็จ การทำถ้วยรูปตัว U
2. แต่มันจะไม่จบเพียงเท่านี้ หลังจากที่หลอกล่อเม่ามาได้ระดับนึงแล้ว กราฟจะยังหลอกเม่าต่อไปอีก ด้วยการทำหูถ้วยกาแฟ ซึ่งมีรูปแบบการวิ่งคล้ายถ้วยกาแฟเลย ต่างกันตรงที่ เล็กกว่า น้อยกว่า แคบกว่า
-ซึ่งมาถึงหูตรงนี้แล้ว รูปทรงของหูกาแฟ ก็สามารถเป็นได้ทั้งตัว U และตัว V
เราควรเริ่มเทรดที่ไหนดี
1. หากคุณเป็นสายเทรดเทรนด์ระยะยาว ถือว่าคุณโชคดีมาก ตรงที่เราจะได้จุดเข้าสวยๆ และเก็บกำไรได้เพิ่มอีก หากราคาลงมาใหม่ และขึ้นไปใหม่
2. แต่หากคุณเป็นนักเทรดระยะสั้น ๆ แนะนำให้มองหาหูกาแฟเป็นหลัก เพราะเป็นไปได้สูงมากที่ราคาจะเบรคเอ๊าท์ทะลุแนวต้านเก่าขึ้นไป ทำไฮใหม่ ซึ่งจัดว่าสูงและไกลมาก เผลอๆระยะการทำ take profit อาจจะมีระยะที่ยาวและสูงพอๆกะรูปทรงของถ้วยกาแฟเลย ( วัดระยะได้จากก้นถ้วยกาแฟจนถึงปากถ้วยกาแฟ)
จุดทำกำไรก็ง่ายๆเลยด้วยการวัดระยะของถ้วยกาแฟตั้งแต่ก้อถ้วย จนถึงปากถ้วยกาแฟว่ามีระยะวิ่งประมาณเท่าไหร่ สดส่วนตรงนี้แหละจะเป็นระยะทำกำไรในอนาคตของเรา ที่มีความน่าจะเป็นค่อนข้างสูง แต่อาจต้องใช้เวลานานนิดนึงนะฮะ
ต้องฝึกการรอหน่อย แต่ถ้าไม่ชอบรอ ก็ฝึกการทำกำไรระยะสั้น โดยยึดหลัก ย่อแล้วเข้า Buy เป็นหลัก เพื่อหวังผลกำไรในการไต่ขึ้นไปนั่นเอง
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ง่ายๆเบสิค แต่หลายๆคนมักมองจะมาเห็นสัญญาณในช่วงท้ายๆหรือตรงหูไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะทำกำไรไม่ได้นี่นา หลักสำคัญที่เราต้องทำเลยก็คือการรอ และหาจังหวะสวยๆครับ ฝึกฝนบ่อยๆเราจะอ่านกราฟออกเอง และบางทีการฝึกใจเย็นก็ทำให้เราได้กำไรเพิ่มมากขึ้นด้วยนะ แอดคอนเฟริม
หมั่นฝึกฝนให้ได้ทุกวัน และเทรดบ่อยๆเราจะเก่งขึ้นเองครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM และสร้างแผนการเทรดที่ดีด้วยนะครับ จะช่วยทำให้เราแกร่งมากยิ่่งขึ้น และเจ็บน้อยลง แอดเอาใจช่วยนะครับ
Log Return คืออะไร?Log Return เป็นการวัดการเปลี่ยนแปลงเปอร์เซ็นต์ของราคาสินทรัพย์ในช่วงเวลาหนึ่ง โดยใช้อัตราการเปลี่ยนแปลงแบบต่อเนื่อง (continuous rate of change) ซึ่งคำนวณโดยใช้ฟังก์ชันลอการิทึมธรรมชาติ (natural logarithm)
ทำไมต้องใช้ Log Return?
สมบัติที่ดีในการวิเคราะห์อนุกรมเวลา: Log Return มีคุณสมบัติที่ดีในการวิเคราะห์อนุกรมเวลาทางการเงิน เนื่องจากมีการกระจายตัวแบบปกติ (normal distribution) มากกว่าผลตอบแทนแบบง่าย (simple return) ทำให้สามารถนำไปใช้ในการสร้างแบบจำลองทางสถิติได้ง่ายขึ้น
สะดวกในการคำนวณผลตอบแทนสะสม: เมื่อต้องการคำนวณผลตอบแทนสะสม (cumulative return) ของหลายช่วงเวลา การใช้ Log Return จะสะดวกกว่า เพราะสามารถบวกผลตอบแทนในแต่ละช่วงเวลาเข้าด้วยกันได้โดยตรง
เหมาะสมกับการวิเคราะห์ความผันผวน: Log Return สามารถใช้ในการวัดความผันผวนของราคาสินทรัพย์ได้อย่างแม่นยำ โดยใช้ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) ของ Log Return
การคำนวณ Log Return
สูตรในการคำนวณ Log Return คือ:
Log Return = ln(Pt / Pt-1)
โดยที่:
Pt = ราคาปิดของสินทรัพย์ในช่วงเวลา t
Pt-1 = ราคาปิดของสินทรัพย์ในช่วงเวลา t-1
ln = ธรรมชาติลอการิทึม (natural logarithm)
ตัวอย่างการคำนวณ
สมมติว่าราคาของคู่สกุลเงิน EUR/USD ในวันจันทร์ปิดที่ 1.10 และในวันอังคารปิดที่ 1.12 Log Return ในช่วงเวลานี้จะคำนวณได้ดังนี้:
Log Return = ln(1.12 / 1.10) ≈ 0.0182
ข้อดีของ Log Return เมื่อเทียบกับ Simple Return
ไม่ขึ้นกับจุดเริ่มต้น: Log Return ไม่ขึ้นอยู่กับจุดเริ่มต้นของราคา ทำให้สามารถเปรียบเทียบผลตอบแทนของสินทรัพย์ต่างๆ ได้อย่างเป็นธรรม
สามารถนำไปใช้กับอัตราดอกเบี้ย: Log Return สามารถนำไปใช้กับอัตราดอกเบี้ยได้โดยตรง
เหมาะสมสำหรับการสร้างพอร์ตโฟลิโอ: Log Return สามารถใช้ในการสร้างพอร์ตโฟลิโอและวัดผลตอบแทนของพอร์ตโฟลิโอได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สรุป
Log Return เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการวัดผลตอบแทนในตลาด Forex โดยมีข้อดีหลายประการเมื่อเทียบกับ Simple Return การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Log Return จะช่วยให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์ผลการลงทุนของตนเองได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และสามารถตัดสินใจในการลงทุนได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้น
Profit Gap ของ Mark Douglas กำไรจากช่องว่างราคาสไตล์ มารค์ ดักลาส
👋หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว สำหรับวิธีการเทรดในหลายรูปแบบ รวมถึง การทำกำไรจาก ช่องว่างของกำไร Profit Gap แต่บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดีอย่างไร
วันนี้แอดจะมาแนะนำให้รู้จักกับ Profit Gap การทำกำไรจากช่องว่างของราคา (Gap)ให้ได้รู้กัน ตามมาครับ
👋บุคคลที่เป็นต้นแบบ วิธีการเติมเต็ม Profit Gap จากช่องว่างของกำไร ก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลครับนั่นก็คือ มาร์ค ดักลาส (Mark Douglas) ผู้เขียนหนังสือขายดี Trading in the Zone นั่นเอง
👋ซึ่งในหนังสือเล่มนี้แหละ เขาได้บอกแนวทางและวิธีในการทำกำไรจากช่องว่างของราคาเอาไว้ด้วย ซึ่งบางคนหากได้อ่านแล้วจะต้องงุนงง และแปลกใจ เพราะ Profit Gap ของ มาร์ค ดักลาส (Mark Douglas) นั้นค่อนข้างแตกต่างออกไป ซึ่งไอ่เจ้านี่แหละ เป็นสิ่งที่เทรดเดอร์ทุกคนที่อยากประสบความสำเร็จ ต้องเติมเต็มมันให้ได้ ช่องว่างของกำไร ความหมายก็คือ ผลต่างระหว่างกำไรที่ควรจะได้ในการเทรด กับผลกำไรที่เกิดขึ้นจริงในการเทรดนั้น
ยกตัวอย่างเช่น
👋👋เราเจอสัญญาณซื้อในหุ้น PTT ที่ราคา 45 บาท และจุดขายออกนั้นควรจะอยู่ที่ 50 บาท กำไรที่ควรจะได้ในการเทรดครั้งนี้จึงอยู่ที่ 5 บาท แต่เมื่อเราเทรดจริง เราได้ซื้อหุ้น PTT ที่ราคาหุ้นละ 45.50 บาท และรีบร้อนขายไปก่อนที่ราคา 46.50 บาท กำไรที่เกิดขึ้นจริงคือ 1 บาท ส่วนต่างระหว่าง 5 บาทและ 1 บาทนี้เองที่เป็น Profit Gap
แล้วมันสำคัญยังไง???
👋สำคัญครับ มันสำคัญตรงที่ มันเป็นการวัดความแตกต่างระหว่าง "สิ่งที่ควรจะเป็น" กับ "สิ่งที่เป็นจริงๆ" ยิ่งเรามี Profit Gap ที่ห่างและบ่อยเท่าไหร่ นั่นแปลว่าเรามีการเทรดออกนอกแผนบ่อยครั้งมากขึ้น ใช้อารมณ์มากขึ้น และลดเหตุผลในการเทรดลง ก็คือใช้อารมณ์ ซึ่งผลร้ายของการที่มี Profit Gap มากๆ เข้าก็คือ เราจะกลายเป็นเทรดเดอร์ที่เทรดแบบไร้วินัย จนยากที่จะทำเงินจากตลาดได้ในระยะยาว เริ่มถึงบางอ้อกันแล้วใช่มั้ย
วิธีการเติมเต็ม Profit Gap
👋มาร์ค ดักลาส (Mark Douglas) แนะนำว่า สำหรับนักลงทุนที่ต้องการอยู่รอดในตลาดได้ยาวนาน ควรหาทางเติมเต็ม Profit Gap ของตนเองให้ได้มากที่สุด พูดอีกอย่างก็คือ ควรทำตามแผนหรือวิธีการลงทุนด้วยสติ ไม่ใช่ใช้อารมณ์ชักนำจนทำให้แผนเราเสีย
เมื่อทำตามแผนได้อย่างดีแล้ว เราจะสามารถนำผลลัพธ์จากการเทรดมาวิเคราะห์ได้ง่ายขึ้น หากเรามีผลการเทรดที่แย่ ก็เพียงแค่ปรับปรุงวิธีการใหม่ หากมีผลการเทรดที่ดี เราก็พัฒนามันให้ดีกว่าเดิมได้
👋👋👋 เห็นมั้ยครับว่าวิธีการคิดก่อนเริ่มจะเทรดนั้นสำคัญอย่างไร อย่าสักแต่ว่าอยากเทรดก็เทรดเลย ต้องดูแผนและรอเวลาก่อนในการทำ Profit Gap ก็เช่นกัน หมั่นฝึกฝนและเรียนรู้วิธีการเทรดให้มากๆ แต่อย่าพยายามทำกำไร แบบ Profit Gap กันมาก หากเราต้องเป็นนักเทรดเก็งกำไรระยะยาว สวัสดีครับ
เทคนิคการเทรด Forex แบบมือโปร: วิเคราะห์ Demand & Supply Zoneบทความนี้ จะพาทุกท่านไปรู้จักกับ "Demand & Supply Zone" เทคนิคการวิเคราะห์กราฟราคาที่ช่วยให้เข้าใจกลไกตลาด หาจุด "เข้าซื้อ-ขาย" ที่ดี และเพิ่มโอกาสในการ "ทำกำไร" ในตลาด Forex
Demand & Supply Zone (D&S Zone) หรือ โซนอุปสงค์อุปทาน เป็นเทคนิคการวิเคราะห์กราฟราคา Forex ที่ใช้หลักการง่ายๆ ของกลไกตลาด เมื่อราคาสินค้ามี “ผู้ซื้อ” มากกว่า “ผู้ขาย” ราคามีแนวโน้มที่จะ “ขึ้น”
ในทางกลับกัน เมื่อ “ผู้ขาย” มีมากกว่า “ผู้ซื้อ” ราคามีแนวโน้มที่จะ “ลง”
D&S Zone ใน Forex จึงหมายถึง ช่วงราคา ที่ในอดีตเคยเกิด “การซื้อขาย” อย่างหนาแน่น แสดงถึง “แรงซื้อ” หรือ “แรงขาย” ที่อาจส่งผลต่อทิศทางราคาในอนาคต
ประเภทของ D&S Zone
Demand Zone (โซนอุปสงค์): โซนที่ราคามีแนวโน้มที่จะ “ดีดตัวขึ้น” เมื่อราคาลงมาทดสอบ
Supply Zone (โซนอุปทาน): โซนที่ราคามีแนวโน้มที่จะ “ถูกกดลง” เมื่อราคาขึ้นไปทดสอบ
วิธีการหา D&S Zone
มีหลายวิธีในการหา D&S Zone แต่ที่นิยมใช้กันมาก ได้แก่
การวิเคราะห์จากปริมาณการซื้อขาย: ดูจากแท่งเทียนที่มีปริมาณการซื้อขายสูงๆ
การวิเคราะห์จากแนวรับแนวต้าน: แนวรับแนวต้านที่เกิดจากแรงซื้อแรงขายในอดีต
การวิเคราะห์จากรูปแบบกราฟ: รูปแบบกราฟที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนทิศทางของราคา เช่น หัวไหล่กลับ หัวไหล่คว่ำ
ตัวอย่างการใช้ D&S Zone ในการเทรด Forex
การเทรดแบบ Buy: เมื่อราคาลงมาทดสอบ Demand Zone รอให้เกิดสัญญาณการกลับตัว เช่น แท่งเทียนกลับตัว ซื้อเข้าเพื่อหวังว่าราคาจะ “ดีดตัวขึ้น”
การเทรดแบบ Sell: เมื่อราคาขึ้นไปทดสอบ Supply Zone รอให้เกิดสัญญาณการกลับตัว เช่น แท่งเทียนกลับตัว ขายออกเพื่อหวังว่าราคาจะ “ถูกกดลง”
ข้อดีของการใช้ D&S Zone
ช่วยให้เข้าใจ “กลไกตลาด”
หาจุด “เข้าซื้อ-ขาย” ที่ดี
เพิ่มโอกาสในการ “ทำกำไร”
ข้อเสียของการใช้ D&S Zone
“สัญญาณไม่ชัดเจน”: D&S Zone ไม่ได้บอกเราเสมอไปว่าราคาจะ “ดีดตัว” หรือ “ถูกกด”
“ตีกรอบผิด”: การตีกรอบ D&S Zone ผิด จะทำให้จุด “เข้าซื้อ-ขาย” ผิดพลาด
“ตลาดเปลี่ยนแปลง”: กลไกตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ D&S Zone ที่เคยใช้ได้ อาจจะใช้ไม่ได้ในอนาคต
Risk of Ruin หรือ ความเสี่ยงของการหมดตัวRisk of Ruin หรือ ความเสี่ยงของการหมดตัว เป็นแนวคิดทางคณิตศาสตร์ที่ใช้ประเมินโอกาสที่นักลงทุนหรือผู้เล่นพนันจะสูญเสียเงินทุนทั้งหมด แนวคิดนี้มีประโยชน์ในการวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุนและการพนัน ช่วยให้นักลงทุนและผู้เล่นพนันตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด
สูตรคำนวณ Risk of Ruin
สูตร Risk of Ruin ทั่วไปมีดังนี้:
R = (1 - f) ^ (b / (a - f))
โดยที่:
R คือ ความเสี่ยงของการหมดตัว
f คือ อัตราส่วนความสำเร็จ (โอกาสชนะ)
a คือ อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อการเดิมพันที่ชนะ
b คือ อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อการเดิมพันที่แพ้
จากสูตรนี้ เราสามารถเห็นได้ว่า:
ความเสี่ยงของการหมดตัวจะลดลงเมื่ออัตราส่วนความสำเร็จ (f) เพิ่มขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง โอกาสสูญเสียเงินทุนทั้งหมดจะลดลงเมื่อโอกาสชนะเดิมพันเพิ่มขึ้น
ความเสี่ยงของการหมดตัวจะลดลงเมื่ออัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อการเดิมพันที่ชนะ (a) เพิ่มขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง โอกาสสูญเสียเงินทุนทั้งหมดจะลดลงเมื่อผลตอบแทนจากการชนะเดิมพันเพิ่มขึ้น
ความเสี่ยงของการหมดตัวจะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อการเดิมพันที่แพ้ (b) เพิ่มขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง โอกาสสูญเสียเงินทุนทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นเมื่อผลตอบแทนจากการแพ้เดิมพันเพิ่มขึ้น
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้
นักลงทุนต้องการประเมินความเสี่ยงของการหมดตัวจากกลยุทธ์การลงทุนใหม่ กลยุทธ์นี้มีอัตราส่วนความสำเร็จ 55% (f = 0.55) อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อการลงทุนที่ชนะ 10% (a = 0.10) และอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อการลงทุนที่แพ้ -5% (b = -0.05)
โดยใช้สูตร Risk of Ruin:
R = (1 - 0.55) ^ (0.05 / (0.10 - 0.55)) ≈ 0.202
จากผลลัพธ์นี้ นักลงทุนมี ความเสี่ยงของการหมดตัว ประมาณ 20.2% หมายความว่า มีโอกาส 20.2% ที่นักลงทุนจะสูญเสียเงินทุนทั้งหมดจากกลยุทธ์นี้
สรุป
Risk of Ruin เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับนักลงทุนและผู้เล่นพนัน ช่วยให้นักลงทุนและผู้เล่นพนันประเมินความเสี่ยงของกลยุทธ์และตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด
ข้อควรระวัง
สูตร Risk of Ruin เป็นเพียงโมเดลทางคณิตศาสตร์ ไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อความเสี่ยงของการหมดตัว เช่น จิตวิทยาของนักลงทุนหรือผู้เล่นพนัน สภาพตลาด และเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
Forex Slippage: พลังแอบแฝงนี้ที่ทำให้ล้างพอร์ตในโลกของการเทรด forex กำไรและขาดทุน ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่กับ กลยุทธ์ การวิเคราะห์ และ โชค เท่านั้น แต่ยังมี ค่าธรรมเนียมแอบแฝง ที่อาจส่งผลต่อผลลัพธ์ของคุณ หนึ่งในค่าธรรมเนียม ที่สำคัญ คือ Forex Slippage หรือ ค่าธรรมเนียมสลิป
Forex slippage หรือ ค่าธรรมเนียมสลิป คือ ความแตกต่างระหว่างราคาที่คุณคาดหวังจะซื้อหรือขายสินทรัพย์ กับราคาที่คุณทำการซื้อขายจริงในตลาด
กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันคือ ค่าใช้จ่ายแอบแฝง ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเทรด forex ซึ่งอาจส่งผลต่อผลกำไรหรือขาดทุนของคุณ
สาเหตุของ slippage
มีหลายปัจจัยที่อาจทำให้เกิด slippage ได้แก่:
สภาพคล่องของตลาด: ตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำ หมายความว่ามีผู้ซื้อและผู้ขายน้อย ซึ่งอาจทำให้ราคาเสนอซื้อและเสนอขาย (bid-ask spread) กว้างขึ้น เพิ่มโอกาสของ slippage
ความผันผวนของตลาด: ตลาดที่มีความผันผวนสูง ราคาอาจเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทำให้ยากต่อการเติมเต็มคำสั่งซื้อขายของคุณในราคาที่ต้องการ
ความเร็วในการดำเนินการ: หากคุณใช้แพลตฟอร์มการเทรดที่ช้า หรือมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ไม่เสถียร คำสั่งซื้อขายของคุณอาจถูกเติมเต็มในราคาที่แตกต่างจากที่คุณคาดหวัง
ประเภทของ slippage
มีสองประเภทหลักของ slippage:
Positive slippage: เกิดขึ้นเมื่อคุณซื้อสินทรัพย์ในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่คุณร้องขอ หรือขายสินทรัพย์ในราคาที่สูงกว่าราคาที่คุณร้องขอ slippage ประเภทนี้เป็นประโยชน์ต่อเทรดเดอร์
Negative slippage: เกิดขึ้นเมื่อคุณซื้อสินทรัพย์ในราคาที่สูงกว่าราคาที่คุณร้องขอ หรือขายสินทรัพย์ในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่คุณร้องขอ slippage ประเภทนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อเทรดเดอร์
วิธีหลีกเลี่ยง slippage
มีหลายวิธีที่คุณสามารถหลีกเลี่ยงหรือลด slippage ได้:
เทรดในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง: ตลาดที่มีสภาพคล่องสูง มักจะมี bid-ask spread แคบลง และโอกาสของ slippage น้อยลง
ใช้คำสั่งซื้อขายแบบจำกัด: คำสั่งซื้อขายแบบจำกัด จะสั่งให้โบรกเกอร์ของคุณซื้อหรือขายสินทรัพย์เมื่อราคาถึงระดับที่ระบุไว้ ช่วยให้คุณควบคุมราคาที่คุณจะซื้อขายได้
ใช้บัญชี ECN: บัญชี ECN เสนอการเข้าถึงตลาด forex โดยตรง โดยไม่มีการแทรกแซงจากโบรกเกอร์ ซึ่งอาจช่วยลด slippage ได้
เลือกโบรกเกอร์ที่มีชื่อเสียง: โบรกเกอร์ที่มีชื่อเสียง มักจะมีระบบการเติมเต็มคำสั่งซื้อขายที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจช่วยลด slippage ได้
Divergence: สัญญาณกลับตัวที่แม่นยำในมือคุณไดเวอร์เจนท์ (Divergence) เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่เปรียบเสมือนสัญญาณเตือนภัยก่อนการกลับตัวของราคา หลายคนอาจมองข้ามหรือใช้งานผิดพลาด ส่งผลต่อประสิทธิภาพการเทรด บทความนี้จะมาไขข้อสงสัยและบอกเทคนิคง่ายๆ ในการใช้ไดเวอร์เจนท์ให้แม่นยำยิ่งขึ้น
ไดเวอร์เจนท์คืออะไร?
ง่ายๆ คือ การที่ราคาเคลื่อนที่ไปทิศทางหนึ่ง แต่ตัวชี้วัด (Indicator) เคลื่อนที่ไปอีกทิศทาง เปรียบเสมือนสัญญาณว่าแรงขับเคลื่อนของราคาเริ่มอ่อนแรง เทรนใหม่กำลังจะเกิดขึ้น
ประเภทของไดเวอร์เจนท์
ไดเวอร์เจนท์ขาขึ้น (Bullish Divergence): ราคาทำจุดต่ำใหม่ แต่ตัวชี้วัดทำจุดสูงใหม่ สัญญาณว่าแรงขายเริ่มอ่อน แนวโน้มอาจกลับเป็นขาขึ้น
ไดเวอร์เจนท์ขาลง (Bearish Divergence): ราคาทำจุดสูงใหม่ แต่ตัวชี้วัดทำจุดต่ำใหม่ สัญญาณว่าแรงซื้อเริ่มอ่อน แนวโน้มอาจกลับเป็นขาลง
เทคนิคการใช้ไดเวอร์เจนท์ให้แม่นยำ
เลือกตัวชี้วัดที่เหมาะสม: อินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator เช่น RSI, MACD, Stochastic เหมาะกับการหาไดเวอร์เจนท์
จุดที่ชัดเจน: ไดเวอร์เจนท์ที่แม่นยำ มักเกิดขึ้นบริเวณจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดที่ชัดเจนของราคา
รอการยืนยัน: ราคาควรยืนยันแนวโน้มใหม่ด้วยการ breakout แนวต้าน/แนวรับ
ใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น: ไดเวอร์เจนท์เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่ง ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ เพิ่มความมั่นใจ
5 สัญญาณไปเกินบริเวณ โซน Overbought กับ OverSold
จะเพิ่มนัยยะในการเข้าให้มีความแม่นยำขึ้น
ปล.ไดเวอร์เจนท์ไม่ใช่สัญญาณที่ตายตัว ควรวิเคราะห์ประกอบกับปัจจัยอื่นๆ และบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ และการตีความ ต้องมั่น ฝึกฝน
Fibonacci fans : เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ทรงพลังบทความนี้จะพาทุกท่านไปรู้จักกับ "แฟนฟิโบนัชชี" เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ทรงพลัง พัฒนาจากลำดับฟิโบนัชชี เรียนรู้วิธีการตีเส้น วิเคราะห์ราคา และค้นพบแนวโน้มการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์
แฟนฟิโบนัชชี : Fibonacci fans
แฟนฟิโบนัชชี (Fibonacci fan) เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ใช้สัดส่วนฟิโบนัชชี (Fibonacci ratios) เพื่อระบุจุดกลับตัวที่อาจเกิดขึ้นของราคาสินทรัพย์ เช่น หุ้น ฟอเร็กซ์ หรือคริปโตเคอเรนซี่
สัดส่วนฟิโบนัชชี คือ ลำดับตัวเลขที่แต่ละตัวเลขเป็นผลรวมของสองตัวเลขก่อนหน้า เริ่มต้นด้วย 0 และ 1 ลำดับนี้มีชื่อเสียงโด่งดังจากการปรากฏตัวในธรรมชาติ เช่น กลีบดอกไม้ กิ่งก้านของต้นไม้ และเปลือกหอย
วิธีการตีเส้นแฟนฟิโบนัชชี
ระบุจุดสูงสุด (swing high) และจุดต่ำสุด (swing low) ล่าสุดสองจุดบนกราฟราคา: จุดเหล่านี้จะเป็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของเส้นแฟนฟิโบนัชชี
วาดเส้นแนวตั้งจากจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด: เส้นเหล่านี้จะแบ่งกราฟออกเป็นสัดส่วนตามอัตราส่วนฟิโบนัชชีที่สำคัญ
วาดเส้นแนวนอนผ่านกราฟที่ระดับอัตราส่วนฟิโบนัชชีที่สำคัญ: อัตราส่วนฟิโบนัชชีที่ใช้ทั่วไป ได้แก่ 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8% และ 78.6%
การตีความแฟนฟิโบนัชชี
จุดกลับตัว: ราคาอาจมีแนวโน้มที่จะกลับตัวในบริเวณของเส้นแฟนฟิโบนัชชี โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณเส้น 38.2%, 50% และ 61.8%
แนวรับและแนวต้าน: เส้นแฟนฟิโบนัชชีสามารถทำหน้าที่เป็นแนวรับและแนวต้าน โดยราคาอาจมีแนวโน้มที่จะเด้งกลับจากเส้นเหล่านี้
การขยายแนวโน้ม: เส้นแฟนฟิโบนัชชีสามารถใช้เพื่อขยายแนวโน้มของราคา โดยคาดการณ์ว่าราคาจะไปต่อในทิศทางเดิมจนถึงระดับอัตราส่วนฟิโบนัชชีที่สำคัญ
ตัวอย่างการใช้งานแฟนฟิโบนัชชี
หาจุดเข้าซื้อ/ขาย: นักลงทุนอาจใช้แฟนฟิโบนัชชีเพื่อหาจุดเข้าซื้อเมื่อราคาเด้งกลับจากแนวรับ หรือหาจุดเข้าขายเมื่อราคาทะลุแนวต้าน
ตั้งจุด Stop-loss และ Take-profit: นักลงทุนอาจใช้แฟนฟิโบนัชชีเพื่อตั้งจุด Stop-loss เหนือแนวรับ หรือใต้แนวต้าน และตั้งจุด Take-profit ที่ระดับอัตราส่วนฟิโบนัชชีที่สำคัญ
Overfitting ภัยเงียบของเทรดเดอร์จากบทความที่แล้ว : โอเวอร์ฟิตติ่ง ในการเทรด หมายถึง การเพิ่มตัวแปรหรือกลยุทธ์การเทรดมากเกินไปลงในระบบ เพื่อหวังผลให้ประสิทธิภาพการเทรดสูงสุด หรือใกล้เคียง 100% เปอร์เซ็นต์ เปรียบเสมือนการพยายามจดจำข้อสอบทุกคำตอบจนแม่นยำ แต่กลับไม่สามารถนำความรู้ไปใช้จริงได้
สมมติว่าเราเริ่มเทรดในตลาดใหม่ ตอนแรกเรารู้จักเครื่องมือเทรดเพียงแค่ EMA ใช้กลยุทธ์ง่ายๆ ซื้อเมื่อ EMA เส้นสั้นตัดขึ้น EMA เส้นยาว บ้างก็กำไร บ้างก็ขาดทุน
เมื่อเรียนรู้เพิ่มเติม เราก็เริ่มรู้จักเครื่องมือและกลยุทธ์ใหม่ๆ จึงนำมาปรับใช้เพิ่ม หวังจะเพิ่ม Winrate
แม้การลด Noise ในตลาดด้วยเงื่อนไขมากขึ้นจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็แลกมาด้วยความยุ่งยากในการเทรด อาจทำให้เราเทรดตามระบบได้ยากขึ้น หรือรอนานจนอดใจรอไม่ไหว ผลลัพธ์คือ ระบบที่ Backtest ได้ Winrate สูง แต่พอเทรดจริงกลับทำตามระบบไม่ได้
แนวทางแก้ไข Overfitting ในการเทรด
เข้าใจเครื่องมือ: ศึกษาการทำงานของเครื่องมือที่เราใช้อย่างถ่องแท้ เข้าใจจุดประสงค์ ข้อจำกัด และผลลัพธ์ที่คาดหวัง
เรียบง่าย: เน้นระบบที่เข้าใจง่าย เทรดสะดวก มีความสุขกับการเทรด
ยอมรับความสูญเสีย: ไม่มีระบบเทรดที่ชนะ 100% มืออาชีพเองก็มีแพ้บ้าง สิ่งสำคัญคือ ผลลัพธ์โดยรวมต้องเป็นกำไร
เน้น RR (Risk Reward Ratio): เทรดเดอร์มืออาชีพอาจมี Winrate เพียง 20-40% แต่พวกเขาอยู่รอดในตลาดและทำกำไรได้ด้วยการใช้ Risk Reward Ratio ที่ดี
สัญญาณหุ้น "เจดีย์" ตอนที่ 1
หุ้น EA หรือ Energy Absolute เคยเป็นหุ้นที่ยอดฮิตของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทย
จากราคา IPO ที่ 5.50 บาท หุ้น EA เคยขึ้นไปทำจุดสูงสุดถึง 105.50 บาท เมื่อช่วงปลายปี 2021 ก่อนที่ราคาจะลดลงอย่างต่อเนื่อง จนล่าสุด EA เทรดอยู่ที่ต่ำกว่า 30 บาท ลดลงจากจุดสูงสุด เกือบ 80%
เกิดอะไรขึ้นกับหุ้น EA?
นักลงทุนที่ติดตามข่าวของ บจ. จะรู้ว่าผลประกอบการของ EA ในช่วงสองปีที่ผ่านมานั้นมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จากรายได้ Adder ของโครงการเก่าๆ ที่ทยอยหมดอายุ รวมถึงแผนที่จะให้ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า และโรงงานแบตเตอรี่ มาเป็น new growth engine ไม่เป็นไปอย่างที่หวัง
แต่ถ้าเราย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 2021 ที่มีสารพัดข่าวดีเกี่ยวกับธุรกิจใหม่ของบริษัท และช่วงที่หุ้น EA ทำราคา All time high จะมีจุดสังเกตไหน ทีเป็นสัญญาณเตือนนักลงทุนว่า ราคาและกำไรของ EA ที่ทำ ATH อาจจะสะท้อนความคาดหวังที่มากเกินไปในหุ้นตัวนี้
1) กำไรเพิ่ม แต่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานลดลง
EA มีส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจแบตเตอรี่เข้ามา แต่ส่วนแบ่งกำไรเหล่านี้เป็นแค่ตัวเลขทางบัญชีที่คิดตามสัดส่วนการถือหุ้นของ EA กำไรที่เพิ่มนี้ไม่ได้ถูกจ่ายปันผลมาให้ EA แต่ EA นั้นต้องมี working capital เพิ่มขึ้น เพื่อให้เครดิตสำหรับการทำธุรกิจกับบริษัทร่วม
2) วงจรเงินสดเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
เป็นผลกระทบต่อเนื่องมาจากข้อ 1
3) EBITDA Margin มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อว
เดิมที ธุรกิจหลักของ EA คือโรงไฟฟ้าเป็นธุรกิจที่มี margin สูงและค่อนข้างสม่ำเสมอ แต่หลังจากที่ EA ขยายธุรกิจเข้ามาสู่ธุรกิจ EV & battery ก็ทำให้ margin โดยรวมของบริษัทลดลง เพราะธุรกิจ EV battery เป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง ต่างจากธุรกิจโรงไฟไฟฟ้าที่เป็นสัมปทานและมี margin ค่อนข้างนิ่ง