กลยุทธ์การเทรดแบบ Grid ในตลาด Forex: เคล็ดลับการทำกำไรและการบริหการเทรดแบบ Grid (กริด) เป็นกลยุทธ์การเทรดในตลาด Forex ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากสามารถใช้เพื่อทำกำไรได้ในหลายสภาวะของตลาด อย่างไรก็ตาม การใช้กลยุทธ์นี้อย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องเข้าใจหลักการและวิธีการอย่างละเอียด รวมถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักการเทรดแบบ Grid อย่างละเอียด และวิธีการใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
1. การเทรดแบบ Grid คืออะไร?
การเทรดแบบ Grid เป็นกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับการตั้งคำสั่งซื้อและขายในรูปแบบของตาราง โดยคำสั่งซื้อขายเหล่านี้จะถูกวางไว้ที่ระยะห่าง (interval) ที่เท่ากันทั้งด้านบนและด้านล่างของราคา ณ จุดเริ่มต้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถทำกำไรได้ไม่ว่าจะเป็นตลาดที่มีแนวโน้มขึ้น (bullish) หรือลง (bearish) หรือแม้แต่ในตลาดที่เคลื่อนไหวในช่วงแคบ (sideways)
2. หลักการของการเทรดแบบ Grid
หลักการพื้นฐานของกลยุทธ์นี้คือการทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคาด้วยการตั้งคำสั่งซื้อและขายที่ระยะห่างคงที่ ตัวอย่างเช่น หากนักเทรดเริ่มต้นที่ราคา 1.1000 และตั้งคำสั่งขายที่ทุกๆ ระยะห่าง 50 จุด เช่น 1.1050, 1.1100 และคำสั่งซื้อที่ 1.0950, 1.0900 เป็นต้น
3. ข้อดีของการเทรดแบบ Grid
ทำกำไรในทุกสภาวะตลาด: ไม่ว่าราคาจะขึ้นหรือลง กลยุทธ์นี้สามารถทำกำไรได้เนื่องจากจะมีคำสั่งซื้อขายพร้อมที่จะดำเนินการเมื่อราคาเคลื่อนไหว
ไม่จำเป็นต้องคาดการณ์ทิศทาง: การเทรดแบบ Grid ไม่จำเป็นต้องเดาทิศทางของตลาด ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบเมื่อเปรียบเทียบกับกลยุทธ์ที่ต้องใช้การวิเคราะห์แนวโน้ม
ลดการพึ่งพาการทำนายตลาด: ด้วยโครงสร้างของคำสั่งที่กระจายทั่วราคาต่างๆ ทำให้นักเทรดมีโอกาสปิดกำไรได้โดยไม่ต้องรอให้เกิดแนวโน้มที่ชัดเจน
4. ข้อเสียและความเสี่ยง
ความเสี่ยงจากการใช้เลเวอเรจสูง: เนื่องจากคำสั่งจำนวนมากถูกเปิดขึ้นพร้อมกัน นักเทรดที่ใช้เลเวอเรจสูงมีโอกาสที่มาร์จิ้นจะไม่เพียงพอเมื่อราคาวิ่งไปในทิศทางที่ขาดทุน
ขาดการควบคุมความเสี่ยง: หากไม่กำหนดขอบเขตความเสี่ยงให้ดี กลยุทธ์นี้อาจทำให้เกิดการขาดทุนจำนวนมาก โดยเฉพาะในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจนที่ต่อต้านคำสั่งของ Grid
5. วิธีการสร้างระบบ Grid อย่างมีประสิทธิภาพ
กำหนดระยะห่างระหว่างคำสั่ง (Grid Size): การตั้งระยะห่างที่เหมาะสมระหว่างคำสั่งสำคัญมาก เพราะจะมีผลต่อความเสี่ยงและโอกาสในการทำกำไร
การบริหารจัดการเงิน (Money Management): ควรใช้ระบบการบริหารความเสี่ยงที่ดี เช่น การกำหนดขนาดล็อตที่เหมาะสมและการติดตั้งคำสั่ง Stop Loss เพื่อป้องกันการสูญเสียครั้งใหญ่
การตั้งค่า Take Profit: การตั้งระดับการทำกำไรที่เหมาะสมสามารถช่วยให้คำสั่งปิดทำกำไรได้บ่อยขึ้นและสร้างความมั่นคงในระบบ
6. ตัวอย่างการใช้งานระบบ Grid ในตลาด Forex
สมมุติว่าคุณเริ่มเทรดด้วยเงินทุน 1,000 ดอลลาร์ โดยใช้ระบบ Grid ในการเทรดคู่สกุลเงิน EUR/USD:
ตั้งระยะห่าง Grid ที่ 20 จุด
ขนาดล็อตเริ่มต้นที่ 0.01
มีคำสั่งซื้อและขายหลายคู่ที่ระยะห่างกันเพื่อกระจายความเสี่ยง
ในการเคลื่อนไหวที่ผันผวนเล็กน้อย เช่น เมื่อราคาเคลื่อนที่ขึ้นและลงเป็นรอบ ระบบจะปิดกำไรเมื่อราคาผ่านจุดที่ตั้งคำสั่งไว้ ช่วยเพิ่มกำไรสะสมได้ต่อเนื่อง
7. สรุป
การเทรดแบบ Grid เป็นกลยุทธ์ที่สามารถทำกำไรได้ในหลายสถานการณ์ของตลาด แต่ต้องใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยง การวางแผนและการทดสอบระบบอย่างละเอียดจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าการเทรดนั้นปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
การนำกลยุทธ์นี้ไปปรับใช้ควรทำอย่างระมัดระวัง โดยการใช้เงินทุนที่สามารถยอมรับการขาดทุนได้ และการติดตามสภาวะตลาดอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์
ภาพประกอบ
Gravestone Doji
Gravestone Doji เป็นรูปแบบที่ตรงข้ามกับ Dragonfly Doji โดยแท่งเทียน Gravestone Doji นั้นมีราคาเปิด ราคา ต่ำสุด และราคาปิดในระดับเดียวกันโดยมี ไส้เทียนด้านบนที่ยาวมาก รูปแบบนี้แสดง ให้เห็นว่าในตอนแรกผู้ซื้อดันราคาให้สูงขึ้น แต่ผู้ขายก็สามารถกดราคาลงสู่ระดับ ราคาเปิดได้ ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นสัญญาณ การกลับตัวเป็นขาลง หากมันปรากฏขึ้น ตรงจุดสิ้นสุดของแนวโน้มขาขึ้น
วิธีหลีกเลี่ยงการ Over tradingวิธีหลีกเลี่ยงการ Over trading
👽👽 เคยเป็นกันบ้างมั้ย กับการเทรดที่มันมากจนเกินไป หรือการเทรดแบบ Over trading การซื้อขายมากเกินไป และนั่นเป็นจุดจบของสายเติมและสายมือเติบ เพราะการเทรดอะไรที่มันเกินตัวย่อมเสียมากกว่าได้เสมอ วันนี้แอดมาแนะนำวิธีการหลีกเลี่ยงการ over trade หรือเอาแบบตรงตัวก็คือการหลีกเลี่ยงการล้างพอร์ตนั่นเอง
เพราะโลกนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบตลอดเวลาฉันใด การเทรดก็ย่อมไม่มีทางที่จะเทรดได้ตลอดไปฉันนั้น มันจะต้องมีเวลาได้ และ เวลาเสียบ้างไม่มากก็น้อย เราต้องยอมรับตรงนี้ให้ได้และปล่อยให้มันเป็นไปตามกลไกของตลาด
Over Trading คืออะไร?
การซื้อขายที่มากเกินไป ไม่ว่าจะเปิดลอทใหญ่ หรือการเปิดออเดอร์หลายๆไม้ที่ทำให้ระดับมาร์จิ้นลดลงต่ำ ถือเหมารวมว่าเป็นการเทรดแบบ Over trading ทั้งสิ้น เพราะผลที่ตามมาส่วนใหญ่ คือล้างพอร์ตล้วน ๆฮะ
แล้วมันสามารถแก้ไขได้จริงๆมั้ย ??? จริงครับ ทุกหนทางย่อมมีทางออกเสมอ มันแก้ไขได้ แน่นอนฮะ ถ้าเราเริ่มรู้จักคำว่าไม่โลภ และไม่รีบ
สิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เมื่ออยากเทรดแบบ Over trading
1. มีเงินทุนมากพอมั้ย และสามารถเติมได้ตลอดหรือเปล่า หรือหมดแล้วหมดเลย !?????
2. มีแผนเทรดหรือยัง??? แล้วเทรดตามแผนจริงๆหรือเปล่า??? สิ่งสำคัญที่สุด ที่ทุกคนต้องคิดให้รอบคอบเมื่อเปิดออเดอร์ทุกครั้ง คือการปฏิบัติตามแผนการซื้อขายแบบเคร่งครัด
3. หลีกเลี่ยงการผันผวนแรงๆ ถ้ารู้ว่าเทรดผิดทางก็แค่ปิดออเดอร์ทิ้งแล้วหยุดฮะ อย่าปล่อยให้โดนลากจนหมดตัว เสียทั้งเวลา เสียทั้งเงิน เสียทั้งความรู้สึก
4.โปรดจำไว้ว่าตลาดไม่ได้เปิดแค่วันเดียว มันเปิดทุกวัน ไม่ต้องรีบเทรด ไม่ต้องรีบรวย ค่อยเป็นค่อยไปเอานะ
5.วันไหนอารมณ์ไม่ดี หรือเก็บกดอารมณ์มาจากที่อื่น ไม่ต้องเทรด เพราะมันจะมีแต่เสียกับเสียอย่างเดียว ไม่มีชนะ ไม่ต้องคิดเข้าข้างตัวเองนะ สติๆๆๆๆๆ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ แอดหวังว่าบทความนี้จะช่วยเตือนสติเทรดเดอร์หลายๆคนที่กำลังบ้าคลั่งจากการดิ่งลงของกราฟทองนะฮะ จำไว้เสมอว่ากราฟมีขึ้นแล้วก็มีลง ไม่ต้องไปเครียดกะมัน เราแค่เดินตามทางที่มันไปก็พอ ลองนำไปปรับใช้และต่อยอดกันดูนะครับ วินัยสำคัญสุดๆ อย่าลองตัวเองไปวันๆก็พอ แอดเอาใจช่วยนะครับ สู้ๆ
Pin Bar: ไม้ตายลับของเทรดเดอร์ในการอ่านแนวโน้มตลาดPin Bar เป็นหนึ่งในรูปแบบแท่งเทียนที่ทรงพลังและได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่เทรดเดอร์ เนื่องจากสามารถบ่งบอกแนวโน้มการกลับตัวของราคาหรือการยืนยันแนวโน้มได้อย่างมีนัยสำคัญ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถตัดสินใจในการเข้าหรือออกจากตลาดได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในสภาวะที่กราฟอยู่ใกล้แนวรับหรือแนวต้านสำคัญ
Pin Bar คืออะไร?
Pin Bar คือแท่งเทียนที่มีลักษณะเฉพาะ คือมีลำตัวเล็กและมีไส้ยาวมากกว่าลำตัว โดยไส้ของ Pin Bar เป็นการบ่งบอกถึงแรงซื้อหรือแรงขายที่แข็งแกร่งภายในช่วงเวลานั้น ๆ ซึ่งทำให้เกิดการกลับตัวของราคา ลักษณะสำคัญของ Pin Bar ที่ควรสังเกตคือ
ไส้ของ Pin Bar ต้องยาวกว่าลำตัวอย่างเห็นได้ชัด
ตำแหน่งของ Pin Bar ควรอยู่ในบริเวณแนวรับหรือแนวต้านที่ชัดเจน เพราะมักบ่งบอกถึงการกลับตัวหรือแนวโน้มที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง
Pin Bar สามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ Bullish Pin Bar (ขาขึ้น) และ Bearish Pin Bar (ขาลง) ซึ่งบ่งบอกถึงการกลับตัวของราคาตามแนวโน้มที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น
ประเภทของ Pin Bar
1.Bullish Pin Bar (ขาขึ้น)
Bullish Pin Bar คือแท่งเทียนที่มีลำตัวอยู่ด้านบนและไส้ยาวอยู่ด้านล่าง บ่งบอกว่าในช่วงเวลานั้นตลาดมีแรงขายอย่างหนัก แต่ในที่สุดแรงซื้อเข้ามาผลักดันราคาให้ขึ้นไปในระดับที่สูงกว่าเปิดตัว เหมาะกับการหาจังหวะซื้อหากเกิดในบริเวณแนวรับหรือบริเวณที่คาดว่าจะเกิดการกลับตัวขึ้น
2. Bearish Pin Bar (ขาลง)
Bearish Pin Bar คือแท่งเทียนที่มีลำตัวอยู่ด้านล่างและไส้ยาวอยู่ด้านบน บ่งบอกถึงแรงซื้อที่เข้ามาในช่วงแรก แต่กลับถูกแรงขายผลักดันราคาลงมา ทำให้ราคาปิดต่ำกว่าเปิด เหมาะกับการหาจังหวะขายหากเกิดในบริเวณแนวต้านหรือบริเวณที่คาดว่าจะเกิดการกลับตัวลง
การใช้ Pin Bar ในการเทรด
การนำ Pin Bar ไปใช้เทรดให้มีประสิทธิภาพนั้น เทรดเดอร์ควรพิจารณาร่วมกับการวิเคราะห์แนวรับแนวต้าน และใช้ร่วมกับเทคนิคการอ่านกราฟ Price Action อื่น ๆ เช่น การดูแนวโน้มของตลาด การวิเคราะห์ความแข็งแกร่งของแท่งเทียน และความถี่ของการเกิด Pin Bar บนกราฟ ตัวอย่างการใช้งานเช่น
การดู Pin Bar ในบริเวณแนวรับแนวต้าน
หากเกิด Bullish Pin Bar ในบริเวณแนวรับสำคัญ อาจหมายถึงการกลับตัวและเหมาะกับการเปิดคำสั่งซื้อ (Buy) ในขณะที่ Bearish Pin Bar ที่เกิดขึ้นในแนวต้านมักบ่งบอกถึงโอกาสในการขาย (Sell)
การใช้ Pin Bar ร่วมกับการดูแนวโน้มตลาด
การเทรดตามแนวโน้มเป็นอีกวิธีการที่ได้ผล การใช้ Pin Bar ที่เกิดขึ้นตามแนวโน้มตลาดหลัก จะมีความแม่นยำสูงกว่าการใช้ในการเทรดสวนทางกับแนวโน้มตลาด เช่น หากตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ควรมองหา Bullish Pin Bar ที่บ่งบอกถึงโอกาสการเข้าซื้อในราคาที่ต่ำ
ข้อดีของการใช้ Pin Bar ในการเทรด
ความง่ายในการวิเคราะห์
Pin Bar มีลักษณะที่ชัดเจนและง่ายต่อการมองเห็น โดยเฉพาะหากเกิดในบริเวณแนวรับหรือแนวต้านสำคัญ ซึ่งทำให้เทรดเดอร์สามารถวิเคราะห์และตัดสินใจได้รวดเร็ว
ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเทรด
เนื่องจาก Pin Bar บ่งบอกถึงแรงซื้อหรือแรงขายที่เข้มข้น การใช้ Pin Bar ร่วมกับการวิเคราะห์แนวรับแนวต้านช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าเทรดในจังหวะที่เหมาะสมและมีโอกาสสูงที่จะทำกำไร
เครื่องมือที่ประยุกต์ได้กับหลายตลาด
ไม่ว่าจะเป็น Forex, หุ้น, Cryptocurrency หรือแม้แต่น้ำมัน การใช้ Pin Bar ก็สามารถช่วยให้เทรดเดอร์มองเห็นจังหวะการกลับตัวและทำกำไรได้เช่นกัน
สรุป
Pin Bar เป็นเครื่องมือสำคัญที่เทรดเดอร์ควรศึกษาและฝึกฝน เพราะช่วยให้เรามองเห็นสัญญาณการกลับตัวในตลาดได้อย่างแม่นยำและใช้งานง่าย หากฝึกฝนจนเข้าใจ สามารถช่วยเสริมสร้างกลยุทธ์เทรดให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
Guerrilla Marketing การตลาดแบบกองโจรGuerrilla Marketing การตลาดแบบกองโจร
👽👽 ปัจจุบันเทรนด์และไวรัลใหม่ ๆ วนเวียนมาให้เราเห็นกันได้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็น ติ๊กต่อก ไอจี เฟสบุ๊ค บางคนก็ทำโฆษณาแบบเดิม ๆ อาจไม่ดึงดูดใจลูกค้ามากพอ แต่บางคนก็ทำสะดังในชั่วข้ามคืน วันนี้ แอด พามารู้จักกลยุทธ์การตลาดแบบจู่โจม
👽👽 วันนี้แอดมีบทความดีๆสำหรบคนที่อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ หรือคนที่กำลังมองหารายได้เสริม มาฝากกันไม่แน่ว่า บทความนี้อาจช่วยให้คนต่อยอดความคิดและต่อยอดดีๆ ในการหารายได้เสริมก็เป็นได้ มาครับมันดีแบบไหน และเป็นอย่างไร มาตามอ่านกันดีกว่า
Guerrilla Marketing
คือกลยุทธ์การตลาดแบบกองโจร ที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการโจมตีกลุ่มเป้าหมายแบบฉับไว ดึงดูดความสนใจได้ทันที เหมือนกับความไวของโจร เพื่อให้เกิดการบอกต่อแบบปากต่อปาก และยังเป็นกลยุทธ์ที่ใช้งบประมาณต่ำกว่าการโฆษณารูปแบบอื่น ๆ
Guerrilla Marketing คืออะไร?
ต้องย้อนกลับไปช่วงยุค 80’s ปลาย ๆ 90’s ต้น ๆ เริ่มมีโฆษณาทางเคบิลทีวีมากขึ้น แต่เป็นโฆษณาที่น่าเบื่อ เน้นขายของมากกว่ามอบประสบการณ์ให้ผู้ชม ทำให้นักการตลาดหัวใส Jay Conrad Levinson ปรับกลยุทธ์ของวงการโฆษณาและคิดค้นศัพท์ใหม่อย่าง “Guerrilla Marketing”
เคล็ดลับการทำการตลาดแบบ Guerrilla Marketing ให้เป็นไวรัลในโซเชียล!
1. ไอเดียโฆษณาต้องแตกต่าง ไม่ซ้ำใคร
2. แสดงโฆษณาให้ถูกที่ ถูกเวลา
กระแสไหนกำลังมาแรง ประเด็นไหนกำลังฮอต นั่นแหละคือโอกาสทองของตลาดกองโจร
3. รู้สึกเซอร์ไพรส์จนต้องแชร์ต่อ
ข้อดี VS ข้อเสียของการตลาดแบบกองโจร
ข้อดีของ Guerrilla Marketing
การตลาดแบบกองโจรสามารถช่วยกระตุ้นยอดขายสินค้าที่ซบเซา รวมถึงระบายสินค้าค้างสต๊อกได้ เพราะตัวโฆษณาช่วยสร้างกระแสไวรัลบนโซเชียลมีเดีย เข้ากลุ่มเป้าหมายในวงกว้างมากขึ้น และยังใช้ต้นทุนน้อย สามารถนำงบประมาณที่เหลือไปลงทุนกับส่วนอื่นได้
ข้อเสียของ Guerrilla Marketing
แม้จะสร้างกระแสไวรัลในชั่วข้ามคืนได้ แต่ก็เป็นเพียงกระแสระยะสั้นที่ทำให้คนมาสนใจได้ไม่นาน เพราะเดี๋ยวหลังจากนั้นก็จะมีเทรนด์ใหม่ ๆ ผุดขึ้นมาอีกเรื่อย ๆ และหากแบรนด์เลือกที่จะใช้กลยุทธ์การตลาดกองโจรบ่อย ๆ แทนที่จะสร้างความสนใจอาจเปลี่ยนเป็นความเบื่อหน่ายแทน
ตัวอย่างการทำ Guerrilla Marketing จากแบรนด์ชั้นนำทั่วโลก
ว่าแล้วเราก็ไปดูตัวอย่างการทำแคมเปญการตลาดแบบกองโจรจากแบรนด์ชั้นนำต่าง ๆ ทั่วโลกกันดีกว่าว่า แต่ละแบรนด์มีลูกเล่นและการนำเสนอสินค้าอย่างไรกันบ้าง
ตัวอย่าง FRONTLINE
เป็นผลิตภัณฑ์กำจัดเห็บหมัดสำหรับสุนัขและแมว ทางแบรนด์ได้ใช้ลูกเล่นด้วยการนำโฆษณาไว้ที่พื้นและหากมองลงมาจากชั้นบน คนที่เดินไปมาก็จะเหมือนกับเห็บหมัดบนตัวสุนัข ดังนั้น คำโฆษณาที่ใช้ก็คือ “Get them off your dog” หรือเอาพวกเขาออกไปจากตัวสุนัขของคุณ ด้วยการซื้อสินค้าของ FRONTLINE นั่นเอง
ตัวอย่าง KitKat
ต่อมาเป็นการทำ Guerrilla Marketing ที่ฉลาดมาก ๆ ของ KitKat แบรนด์ขนบขบเคี้ยวชื่อดัง ด้วยการสกรีนลายขนม KitKat ลงไปบนม้านั่งสำหรับนั่งพักตามสถานที่ต่าง ๆ เพราะสโลแกนของ KitKat ก็คือ “คิดจะพัก คิดถึงคิทแคท” นั่นเอง
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ การตลาดแบบกองโจรก็เป็นอีกสีสันในวงการโฆษณา หากแบรนด์ไหนต้องการทำแคมเปญโฆษณาแบบระยะสั้นก็สามารถนำกลยุทธ์ Guerrilla Marketing ไปปรับใช้กันได้เลยนะฮะ แต่ต้องอย่าลืมใส่ความเป็นตัวตนแบรนด์ลงไปด้วยนะ มิเช่นนั้น คนอาจจะจำได้แค่โฆษณา แต่ไม่รู้ว่าเป็นของแบรนด์อะไร เป็นแนวทางในการสร้างรายได้ได้ดีทีเดียวเชียว ลองนำไปปรับใช้และต่อยอดกันดูครับ
Volume Profile ใน TradingView: เครื่องมือวิเคราะห์ตลาดที่สำคัญVolume Profile เป็นหนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์เชิงเทคนิคที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการเทรด โดยเฉพาะในแพลตฟอร์ม TradingView ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์สามารถมองเห็นการกระจายของปริมาณการซื้อขาย (Volume) ในราคาต่าง ๆ และวิเคราะห์จุดแข็งหรือจุดอ่อนของตลาดได้อย่างชัดเจน
Volume Profile คืออะไร?
Volume Profile เป็นเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์ตลาดผ่านการแสดงผลปริมาณการซื้อขาย (Volume) ที่เกิดขึ้นในแต่ละระดับราคา แทนที่จะเป็นการแสดง Volume ในแนวเวลาแบบกราฟทั่วไป มันแสดงในแนวระดับ (ตามแนวแกนราคา) ช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจว่าราคาที่เทรดอยู่ในช่วงไหนมีการซื้อขายมากหรือน้อย ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากในการหาจุดกลับตัว จุดแนวรับ-แนวต้าน และบ่งชี้ระดับที่ตลาดให้ความสนใจ
ประโยชน์ของ Volume Profile
ค้นหาจุดที่มีการซื้อขายสูงสุด (Point of Control – POC): จุด POC เป็นระดับราคาที่มีการซื้อขายมากที่สุดในช่วงเวลาที่กำหนด ช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจว่าราคานั้นมีความสำคัญต่อผู้เข้าร่วมตลาดเป็นพิเศษ การเทรดในระดับใกล้เคียงกับ POC อาจมีความเสี่ยงต่ำลง เนื่องจากตลาดมีความสมดุล
ระบุบริเวณที่มี Volume หนาแน่น (High Volume Nodes – HVN): พื้นที่ HVN คือบริเวณที่มีปริมาณการซื้อขายสูงมาก โดยมักจะบ่งชี้ว่าราคานั้นมีความสนใจจากทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ทำให้พื้นที่นี้มีโอกาสเป็นแนวรับ-แนวต้านที่แข็งแรง
ระบุบริเวณที่มี Volume น้อย (Low Volume Nodes – LVN): พื้นที่ LVN เป็นบริเวณที่มีปริมาณการซื้อขายน้อยกว่า มักบ่งบอกถึงจุดที่ตลาดไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก หรือมีการเทรดที่แคบลง การที่ราคาผ่านบริเวณนี้สามารถเกิดการวิ่งไปในทิศทางที่รวดเร็ว เนื่องจากไม่มีแรงซื้อมากดดัน
ช่วยในการวางแผนการเทรด: Volume Profile ช่วยให้เทรดเดอร์ระบุจุดเข้าและออกที่ดีขึ้น โดยอาศัยข้อมูลจากแนวรับและแนวต้านในช่วงเวลาที่กำหนด การใช้ Volume Profile ยังสามารถช่วยให้เทรดเดอร์ติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดและวางแผนสำหรับการเทรดแบบระยะสั้นหรือระยะยาวได้ดีขึ้น
วิธีการใช้งาน Volume Profile บน TradingView
เปิดกราฟ: เริ่มต้นด้วยการเปิดกราฟสินทรัพย์ที่ต้องการวิเคราะห์ใน TradingView
เพิ่ม Volume Profile: ไปที่เมนู “Indicators” หรือ “เครื่องมือชี้วัด” แล้วพิมพ์ “Volume Profile” จากนั้นเลือกประเภท Volume Profile ที่คุณต้องการ เช่น Visible Range ซึ่งจะวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายในกราฟที่คุณมองเห็นอยู่ หรือ Session Volume ที่แสดงการกระจายของ Volume ตามเซสชันเวลา
ตั้งค่า Volume Profile: คุณสามารถปรับแต่งการแสดงผลได้ตามต้องการ เช่น จำนวนบาร์ ความกว้างของโปรไฟล์ หรือสีของกราฟ เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์การเทรดของคุณ
ข้อสรุป
Volume Profile เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการทำความเข้าใจพฤติกรรมตลาดโดยใช้ปริมาณการซื้อขายเป็นตัวบ่งชี้ การใช้ Volume Profile ช่วยให้เทรดเดอร์ระบุจุดสำคัญในการตัดสินใจเข้าและออกจากตลาดได้แม่นยำยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยในการหาความสมดุลของตลาดและวางแผนการเทรดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
บนแพลตฟอร์ม TradingView Volume Profile เป็นเครื่องมือที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายและปรับแต่งได้ตามความต้องการ ทำให้เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่เทรดเดอร์ทุกคนควรพิจารณาใช้ในกลยุทธ์การเทรดของตนเอง
Fibonacci Extension ในการเทรด Forex และวิธีใช้งานในการเทรด Forex นักเทรดมักจะใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มของราคา หนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมมากคือ Fibonacci Extension ซึ่งช่วยในการคาดการณ์ระดับราคาที่เป็นไปได้ของแนวโน้ม โดยใช้ทฤษฎีเลข Fibonacci ที่มีความเกี่ยวข้องกับธรรมชาติและคณิตศาสตร์ การใช้งาน Fibonacci Extension ในการเทรด Forex สามารถช่วยให้นักเทรดคาดการณ์แนวต้านและแนวรับที่เป็นไปได้หลังจากที่ราคามีการเบรคจากแนวโน้มเดิม
Fibonacci Extension คืออะไร?
Fibonacci Extension คือเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้คาดการณ์ระดับราคาในอนาคต โดยอิงจากการเคลื่อนไหวของราคาก่อนหน้า และใช้ตัวเลขอัตราส่วน Fibonacci เช่น 127.2%, 161.8%, และ 261.8% ตัวเลขเหล่านี้ถูกใช้เพื่อคาดการณ์แนวรับและแนวต้านของการเคลื่อนไหวของราคา เมื่อราคามีการขยับไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
ตัวเลข Fibonacci เกิดจากลำดับ Fibonacci ซึ่งเป็นลำดับตัวเลขที่แต่ละตัวเลขจะเท่ากับผลบวกของสองตัวเลขก่อนหน้า (เช่น 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13 เป็นต้น) เมื่อเราหาอัตราส่วนระหว่างตัวเลขในลำดับ Fibonacci ก็จะได้ค่าเช่น 0.618, 1.618, และอื่น ๆ ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่มักใช้ในการคาดการณ์แนวโน้มของตลาด
วิธีใช้งาน Fibonacci Extension
ในการเทรด Forex
ในการใช้งาน Fibonacci Extension นักเทรดจะต้องทำตามขั้นตอนเหล่านี้:
เลือกแนวโน้มหลัก: เริ่มต้นด้วยการหาจุดที่เป็นแนวโน้มหลัก โดยมองหาการเคลื่อนไหวของราคาที่ชัดเจนว่ามีการปรับตัวขึ้นหรือลงจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่ราคามีการปรับตัวขึ้น ให้หา “Swing Low” (จุดต่ำสุด) และ “Swing High” (จุดสูงสุด) ของแนวโน้ม
วาด Fibonacci Extension: ใช้เครื่องมือ Fibonacci Extension จากแพลตฟอร์มการเทรด (เช่น MetaTrader หรือ TradingView) โดยลากจากจุด Swing Low ไปยังจุด Swing High หลังจากนั้น ให้ลากไปยังจุด Swing Low ที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ (จุดพักตัวของราคาหลังจากแนวโน้มเดิม)
สังเกตระดับ Fibonacci: ระบบจะคำนวณระดับ Fibonacci Extension เช่น 127.2%, 161.8%, และ 261.8% ซึ่งเป็นจุดที่ราคาอาจไปถึงเมื่อแนวโน้มมีการขยายตัวต่อไป ข้อมูลนี้สามารถใช้ในการคาดการณ์จุดออกหรือวางแผนกลยุทธ์การเทรด เช่น การตั้งจุด Take Profit
ตรวจสอบสัญญาณยืนยัน: แม้ว่า Fibonacci Extension จะช่วยในการคาดการณ์ระดับราคาในอนาคต แต่ก็ควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อยืนยัน เช่น Moving Average หรือ MACD เพื่อช่วยในการตัดสินใจอย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
การประยุกต์ใช้ในกลยุทธ์การเทรด
การตั้งเป้าหมายกำไร: Fibonacci Extension ใช้เพื่อคาดการณ์ระดับราคาที่ราคาอาจไปถึงในอนาคต ทำให้นักเทรดสามารถตั้งเป้าหมายกำไรได้จากระดับต่าง ๆ เช่น 127.2% หรือ 161.8%
การใช้ร่วมกับการ Breakout: เมื่อราคาทะลุแนวต้านหรือแนวรับสำคัญ Fibonacci Extension สามารถใช้เพื่อคาดการณ์แนวต้านถัดไปของราคา นักเทรดสามารถใช้ระดับต่าง ๆ ของ Fibonacci Extension เพื่อหาจุดที่เหมาะสมในการเปิดและปิดคำสั่งซื้อขาย
การยืนยันทิศทางตลาด: หากราคามีการปรับตัวถึงระดับ Fibonacci Extension ที่สำคัญ เช่น 161.8% และยังคงมีการเคลื่อนไหวต่อไป อาจเป็นสัญญาณว่าตลาดมีแนวโน้มที่แข็งแรง ซึ่งสามารถใช้เพื่อยืนยันการเข้าสู่ตลาดหรือการถือสถานะต่อไป
ข้อควรระวังในการใช้ Fibonacci Extension
ไม่ควรใช้เดี่ยวๆ: Fibonacci Extension ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่น ๆ เพื่อให้การคาดการณ์แม่นยำยิ่งขึ้น
การคาดการณ์ไม่แม่นยำเสมอไป: แม้ Fibonacci Extension จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวางแผนการเทรด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องเสมอไป ราคามักมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะในตลาด Forex
ควรทดลองในบัญชีจำลองก่อน: สำหรับนักเทรดมือใหม่ ควรลองใช้ Fibonacci Extension ในบัญชีจำลองเพื่อทำความเข้าใจและทดสอบก่อนนำไปใช้ในการเทรดจริง
สรุป
Fibonacci Extension เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการคาดการณ์ระดับราคาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตของตลาด Forex โดยอิงจากทฤษฎีของเลข Fibonacci การใช้เครื่องมือนี้อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้นักเทรดสามารถวางแผนการเทรดได้อย่างชาญฉลาดขึ้น แต่การใช้งานควรทำร่วมกับเครื่องมือทางเทคนิคอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์
Bill Combo ระบบเทรดตามเทรนด์ในระยะยาว Trend FollowingBill Combo ระบบเทรดตามเทรนด์ในระยะยาว Trend Following
👽👽👽 กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง กับเทคนิคการเทรดในแบบต่างๆ วันนี้แอดมานำเสนอระบบเทรดดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านกันอีกแล้ว ใครที่ยังไม่มีระบบเทรดเป็นของตัวเอง หรืออยากเปลี่ยนระบบเทรด ลองมาอ่านมาตำกันดูครับ
ระบบเทรด Bill Combo
เป็นระบบเทรดที่เทรดโดยใช้เวลานาน แต่เราสามารถนำมาประยุกต์เก็บสั้นได้อีกด้วย โดยใช้หลักกราฟ TF ใหญ่เป็นหลักในการอ่านแนวโน้ม และการอ่านการเทรด แบบ Trend Following
หลักๆ เราจะใช้อินดิเคเตอร์ทั้งหมด 3 ตัว เพื่อใช้ในการบอกสัญญาณยืนยันการเทรด
1. Awesome Oscillator ใช้ค่าดั้งเดิม
2. Gator Oscillator ใช้ค่าดั้งเดิม
3. MACD ใช้ค่า 20,40,5 เพื่อยืนยันสัญญาณเทรด
แอดบอกเลยนะว่ามันเหมาะมาก ๆ สำหรับ เทรดเดอร์ที่ไม่ชอบเฝ้ากราฟบ่อยๆ นานๆดูที โดย TimeFrame ที่แนะนำ จะเป็น 4H ขึ้นไป และถือออเดอร์กินระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ( แอดบอกแล้ว มันสามารถพลิกแพลงเล่นให้สั้นลงได้ โดยเก็บกำไรรายวันก็ได้ ถ้าเข้าใจระบบ )
ข้อดีคือลดปัญหาด้านจิตใจจากการเฝ้าหน้าจอ แต่ต้องระวังเรื่อง Swap จากการถือ ออเดอร์นานข้ามคืนหรือหลายๆวัน
เงื่อนไขการเข้าเทรด
ระบบเทรด Bill Combo นี้เป็นระบบเทรดแบบ Trend Following ดังนั้นการเทรดจึงมีระบบเป็นการเทรดแบบ 2 เงื่อนไข
1. เทรดช่วงที่มีเทรนด์ โดยเราจะใช้ MACD ในการเข้าเทรด โดยมีเงื่อนไปสำหรับออเดอร์ Buy และ Sell ดังต่อไปนี้
2. งดเทรดช่วงไม่มีเทรนด์ รวมไปถึงตลาดไซด์เวย์ด้วยนะฮะ
เงื่อนไขในการเข้า Buy
- Awesome Oscillator อยู่ด้านล่าง และกลับตัวจากสีแดงเป็นสีเขียว
- MACD ยืนยันสัญญาณโดย historgram สูงกว่า แท่งก่อนหน้า
- Gator สีเขียวอยู่ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน
- ขนาดของแท่ง histogram จะต้องเป็นแท่งภูเขากลับด้านที่ยาวด้านล่างเท่านั้น
เงื่อนไขในการเข้า Sell
- Awesome Oscillator อยู่ด้านบนมากกว่าเส้นศูนย์ และกลับตัวจากสีเขียวเป็นสีแดง
- MACD ยืนยันสัญญาณโดย Histogram ต่ำกว่าแท่งก่อนหน้า
- Gator สีเขียวอยู่สูงกว่าราคาปัจจุบัน
- ขนาดของแท่ง Histogram จะต้องเป็นผู้เขาที่สูงด้านบนเท่านั้น
เงื่อนไขทั้ง 2 สำหรับการ Buy และ Sell จะมีการใช้ histogram ของ MACD ที่เป็นรูปลักษณะภูเขาเพื่อยืนยันสัญญาณเทรนด์ โดยในช่วงไม่มีเทรนด์ MACD แท่งจะไม่สูงมากนัก ซึ่งช่วงนั้นเราไม่ควรเข้าเทรดเลยรวมทั้งกราฟ sideway ด้วย
โดยตัวอย่างการซื้อขายในภาพ
- วงกลมสีเหลืองคือสัญญาณ Buy
- วงกลมสีแดง คือ สัญญาณ SELL
- วงกลมสีฟ้า คือ ตัวอย่างสัญญาณ Take Profit
อย่างไรก็ตามเทรดเดอร์สามารถ Modify สัญญาณเข้าออกเหล่านี้ได้ตามต้องการเพื่อความเหมาะสม
เงื่อนไขการปิดออเดอร์
สำหรับเงื่อนไขการปิดออดเดอร์การเทรด มี 2 แบบคือ การตัดขาดทุน และการทำกำไร
1. การตัดขาดทุน สามารถทำได้โดยการตั้ง Stop loss เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เนื่องจากระบบเทรนด์ Following เราจะไม่ทำการตั้ง Take Profit เพราะว่า เราต้องการเก็บกำไรไปเรื่อยๆในระยะยาว ตามหลักการ Let Profit Run
ดังนั้นจุดทำกำไรมีเพียงรูปแบบเดียวก็คือ การเปลี่ยนสีของ Awesome Oscillator สำหรับขาขึ้นเป็นสีแดง ให้ออกจากการเทรด และการเปลี่ยนสีจากสีแดงเป็นสีเขียวของ Awesome Oscillator ถือว่าเป็นการเปลี่ยนสัญญาณ โดยไม่ต้องสนใจหรือรอสัญญาณยืนยันจาก indicator ตัวอื่น
จุดแข็งของระบบ
ข้อดีของระบบนี้ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ เรื่องของสภาพจิตใจที่จะไม่เสพติดการเทรด เพราะไม่ต้องนั่งเฝ้ากราฟและไม่ต้องดูกราฟบ่อยๆ จิตใจก็เลยปลอดโปร่ง สดชื่นฮะ
จุดอ่อนของระบบ
ระบบเทรดนี้มีข้อเเสียอย่างเดียวคือ การถือข้ามวันและข้ามคืน เผลอๆหลายวันและหลายคืน ให้มองหาโบรกที่ไม่มี Swap นะครับ ช่วยได้เยอะ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ระบบการเทรดนี้จัดว่าดีอยู่นะ ไม่ต้องง้องอนกับกราฟบ่อยๆ แถมไม่หัวเสียอีก ทีนี้ก็เลิกล้างพอร์ตและหัวเสียแน่นอนเลยแหละ ใครชอบแนวนี้และกำลังมองหาการเทรดที่ไม่ต้องเครียดและเฝ้ากราฟนานๆ แอดบอกว่าเด็ดฮะตัวนี้ เทรดชิลๆไป สบายๆเดี๋ยวก็กำไรเองแหละเนอะ
และที่สำคัญอย่าลืม MM และสร้างแผนการเทรดที่ดีด้วยนะครับ จะช่วยทำให้เราแกร่งมากยิ่่งขึ้น และเจ็บน้อยลง แอดเอาใจช่วยนะครับ
เครื่องมือวัดความผันผวนค่าเงินสำหรับสาย Scalping : ATR 👽👽👽 กลับมาพบกนในบทความดีๆ สำหรับสายเทคนิคคอล โดยวันนี้แอดพาไปทำความเข้าใจและวิธีการใช้งานสำหรับสาย Scalping กันครับ ไอ่เจ้าตัวนี้จัดว่าเด็ดและไม่แพ้อินดิเคเตอร์ตัวอื่นเลยน๊า มาครับมาตามอ่านกันดีกว่า
ATR (Average True Range)
เป็นอินดิเคเตอร์ที่วัดความผันผวนของค่าเงินในตลาด Forex ได้อย่างแม่นยำและสามารถช่วยระบุช่วงเวลาที่ราคาแกว่งตัวมากที่สุด เหมาะสำหรับการเทรดในกรอบเวลาสั้น ๆ หรือ Scalping นั่นเอง เน้นเข้าเร็วออกเร็ว
ATR คือ Indicator ที่สามารถวัดความผันผวน หรือ Volatility ของค่าเงินในตลาด Forex ได้ ซึ่ง ATR นั้นย่อมาจากคำว่า Average True Range และเจ้า Range พวกนี้แหละทำให้เรารู้ว่าเราควรเทรดเวลาไหนที่ราคาจะแกว่งตัวมากที่สุดนั่นเอง ต้องดูเวลาดีๆนะครับ
อย่างไรก็ตาม เจ้า ATR ใช้บอกความผันผวนได้ แต่ไม่ได้บอกความเป็นเทรนด์ หรือ บอกทิศทางของตลาดแต่อย่างใด
ดังนั้น เราจึงควรใช้ ATR ควบคู่กับ Indicator ตัวอื่นๆด้วยนะฮะ หรือใช้คู่กับ Price Action อื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น Price Action หรือ Stochastic
จากตัวอย่างเราจะใช้กับเครื่องมือวิเคราะห์จุดแกว่งตัวอย่าง Stochastic โดยใช้Time Frame H1 เป็นต้นไป
อะอะ บอกไว้ก่อนนะ เจ้า ATR ตัวนี้ไม่สามารถบอกได้ว่า เป็นเทรนด์ขาขึ้นหรือขาลงนะ เแค่ตามสัญญาณในการเข้าออเดอร์ระยะสั้นๆ เท่านั้นเอง
การวิเคราะห์ ATR จะมีความผันผวนสูงสุดคือ เมื่อ ATR อยู่จุดต่ำสุดและกำลังขึ้น (วงกลมสีแดง) ซึ่งเมื่อเกิดวงกลมสีแดงจะตามมาด้วยความเคลื่อนไหวของราคาอย่างรุนแรง ซึ่งเราจะอาศัยช่วงที่มันมีความผันผวนต่ำ และส่งคำสั่งก่อน
ดูว่า Stochastic ในช่วงนั้นอยู่ในสัญญาณ Overbought หรือว่า Oversold ถ้าหากเป็นสัญญาณ Oversold ก็ให้ Buy และ ถ้าหากเป็นสํญญาณ Overbought ก็ให้ Sell ดังภาพ
อย่างไรก็ตามจะเห็นว่า มีบางจังหวะที่เป็นสัญญาณ Oversold ซึ่งควรต้อง Buy แต่ราคาก็พลิกผันและไม่สามารถทำกำไรได้
การประยุกต์ใช้ ATR ในการตั้ง Stop Loss
หลาย ๆ คนคงทราบกันอยู่แล้วว่าการเทรดนั้น เราจำเป็นที่จะต้องตั้ง Stop Loss (SL) เกือบทุกครั้ง เพื่อทำให้เราขาดทุนน้อยที่สุดในกรณีที่เราเทรดผิดทาง แต่การตั้ง SL แบบทั่วไปอาจจะไม่ได้เหมาะสมกับทุกโอกาส ดังนั้นจึงมีแนวคิดที่ว่า ควรตั้ง SL ให้มีการเคลื่อนไหว หรือที่เราเรียกกันว่า “Dynamic SL” นั่นเอง
Dynamic SL คือ การประยุกต์เอาความสามารถในการวัดความผันผวนของราคาจาก indicator ATR เข้ามาคำนวณเพื่อตั้ง SL เมื่อราคามีความผันผวนมากเราก็จะได้ SL ที่กว้างมากขึ้น การทำแบบนี้เราจะไม่ถูกความผันผวนของราคาเล่นงานได้ง่าย ๆ ซึ่งมันเหมาะมาก ๆ สำหรับคนที่เทรดแบบสวิงเทรนไซด์เวย์
ปกติแล้วเทรดเดอร์มักจะตั้ง Dynamic SL เอาไว้ที่ 2 – 2.5 เท่าของ ATR ใน Time Frame ใหญ่ ๆ โดยวิธีการนำมาใช้นั้นจะมีตัวคูณที่แตกต่างกันไปในแต่ละคู่เงิน ซึ่งเราต้องแปลงค่า ATR ให้กลายเป็น Point เสียก่อน
ยกตัวอย่าง เช่น
คู่เงิน EUR/USD นั้นค่า ATR จะมีจุดทศนิยมอยู่ 4 ตำแหน่ง เราจึงจำเป็นต้องนำเลขทศนิยม 4 ตำแหน่งมาหารเสียก่อน จากนั้นให้เราเอามาคูณกับ 2 หรือ 2.5 ขึ้นอยู่กับเทคนิคของเทรดเดอร์แต่ละคน
(ATR_value / ATR_adjust) × ATR_Multiply = Dynamic SL
จะได้
(0.0008 / 0.0001) × 2.5 = 20 point
สรุป
การใช้ ATR นั้นเหมาะสำหรับการบอกความผันผวนของราคา โดยสามารถใช้มันร่วมกับเครื่องมืออื่น ๆ ซึ่งส่วนมากต้องเป็นเครื่องมือที่เทรดในระยะสั้น เช่น Stochastic หรือ RSI ถึงจะมีความเหมาะสม แต่อย่างไรก็ตามบางจังหวะก็ไม่ได้มีความแม่นยำมากนัก ซึ่งทำให้มันต้องใช้เครื่องมืออื่นในการควบคุมความเสี่ยง เช่น Stop loss หรือการจัดการ Lot เข้ามาเกี่ยวข้อง
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ได้ทริคการเทรดใหม่ๆกันไปแล้วก็อย่าลืมเอาไปลองใช้กันดูบ้างนะครับ สายเทรดสั้นชอบสวิงเทรน หรือสายออปชั่น แอดบอกเลยว่า จัดว่าเด็ดดีจริงๆเชียว หากใครรักใครชอบก็ลองเอาไปใช้เทรดกันดูฮะ และที่สำคัญอย่าลืม MM และสร้างแผนการเทรดที่ดีด้วยนะครับ จะช่วยทำให้เราแกร่งมากยิ่่งขึ้น และเจ็บน้อยลงแอดเอาใจช่วยนะครับ
Eaw_Neowave อัพเดท xau TF Daily ประจำวันที่ 13 ตุลาคม 2567อัพเดทกราฟทองคำ รูปแบบ Large X-Wave Double Three Combination (Running) ชื่อเต็มว่า Complex Correction With Large X-Wave(s) ที่ชื่อ Large X-Wave หนังสือ mastering elliott wave บอกว่ารูปแบบนี้สับสนที่สุดและนับยากที่สุด เพราะคล้ายกับหลายๆรูปแบบทำให้นับผิดกันมากที่สุด รูปแบบนี้นีโอเวฟเอามาจากอีเลียต EWP ในคลาสลิกจะมีการใช้การลาเบลเป็น W, Y และ Z แต่ในนีโอเวฟไม่มี และใน EWP จะมีรูปแบบ zigzag เข้ามาในการสลับรูปแบบทั้งก่อนแและหลัง แต่ในนีโอเวฟไม่มีรูปแบบ zigzagเข้ามาเกี่ยวข้อง จะเห็นว่านีโอเวฟใช้หลักการเดิมแต่จะมีข้อแตกต่างบ้างเพียงเล็กน้อยรูปแบบนี้เป็น Correction (: 3 ) ดังนั้นจะเกิดในช่วง sideways เท่านั้น หากมีรูปแบบ correction สองชุดจะเรียกว่า double three แต่ถ้าสามชุดจะเรียกว่า triple three และถ้าชุดสุดท้ายเป็นสามเหลี่ยมก็จะเรียกว่า Combinations และจะต้องเป็น Contracting Triangle เท่านั้น !!!)
จากการวิเคราะห์ที่กล่าวมาคลื่นสี่อาจจะปรับฐานเป็นรูปแบบ Double Three Combination (Running)
ทำให้คลื่นที่ห้าอาจจะยังไม่จบรูปแบบก็เป็นได้ แต่ก็มีข้อขัดแย้งในหนังสือ mastering elliott wave ที่บอกว่า Large X-Wave รูปแบบนี้ควรเกิดแต่ในคลื่นสองเท่านั้น และบอกอีกว่าหลังจากจบรูปแบบแล้วเทรนจะตามมาจะต้องเป็นอิมพาวเวฟเท่านั้นจะต้องยาวมากกว่า 161.8% ของคลื่นก่อนหน้า และอาจจะยาวได้ถึง 261.8% ก็พบได้บ่อยๆ อันนี้ต้องรอหลังการเช็ครูปแบบจบแล้วถึงจะได้ข้อสรุปอีกที
ค่า Swap ในการเทรด Forex คืออะไร? และวิธีคำนวณค่า Swap ในการเทรด Forex: คืออะไรและทำงานอย่างไร
ในโลกของการเทรด Forex มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการเทรดของนักลงทุน หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่นักเทรดควรรู้คือ ค่า Swap ซึ่งอาจส่งผลต่อกำไรหรือขาดทุนของการเทรดได้อย่างมีนัยสำคัญ
ค่า Swap คืออะไร?
ค่า Swap (หรือบางครั้งเรียกว่า ค่า Roll-over) เป็นค่าธรรมเนียมที่คิดเมื่อผู้เทรดยังคงเปิดออเดอร์ข้ามคืน (overnight) โดย Swap จะเกิดขึ้นจากความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงินในคู่เงินที่เราเทรด เช่น หากคุณเทรดคู่เงิน EUR/USD และอัตราดอกเบี้ยของ EUR ต่างจาก USD ความแตกต่างนี้จะส่งผลให้เกิดการจ่ายหรือได้รับค่า Swap ตามเงื่อนไขของตลาดและโบรกเกอร์
ทำไมจึงเกิดค่า Swap?
ในแต่ละสกุลเงิน จะมีอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดโดยธนาคารกลางของประเทศนั้น ๆ เมื่อเราทำการซื้อขายคู่เงิน (Currency Pair) หมายความว่าเรากำลังยืมเงินสกุลหนึ่งเพื่อแลกเปลี่ยนกับอีกสกุลเงินหนึ่ง อัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ยืมและที่ถือครองจึงมีผลในการคำนวณค่า Swap
ตัวอย่างเช่น:
หากคุณซื้อคู่เงิน EUR/USD หมายความว่าคุณซื้อ EUR และขาย USD
หากอัตราดอกเบี้ยของ EUR สูงกว่า USD คุณอาจได้รับค่า Swap เมื่อถือออเดอร์ข้ามคืน
แต่หากอัตราดอกเบี้ยของ EUR ต่ำกว่า USD คุณจะต้องจ่ายค่า Swap
ประเภทของค่า Swap
ค่า Swap มีสองประเภทหลัก:
1.Positive Swap (ค่า Swap บวก) – เป็นการได้รับค่า Swap เมื่ออัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ซื้อสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ขาย
2.Negative Swap (ค่า Swap ลบ) – เป็นการจ่ายค่า Swap เมื่ออัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ขายสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ซื้อ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่า Swap
อัตราดอกเบี้ย – อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางของแต่ละประเทศเป็นตัวกำหนดหลัก
สถานการณ์ตลาด – บางครั้งความผันผวนของตลาดอาจส่งผลต่อค่า Swap
ประเภทบัญชีเทรด – โบรกเกอร์แต่ละแห่งอาจมีนโยบายค่า Swap ที่แตกต่างกัน
ปริมาณการเทรด – ปริมาณที่คุณเปิดออเดอร์อยู่จะมีผลต่อค่า Swap ที่ต้องจ่ายหรือได้รับ
วันที่ Roll-over – บางช่วงเวลา เช่น การปิดตลาดวันหยุด ค่า Swap อาจถูกคำนวณเป็นหลายเท่าของวันปกติ
การคำนวณค่า Swap
การคำนวณค่า Swap ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์ที่คุณใช้งาน โดยทั่วไป โบรกเกอร์จะคำนวณ Swap เป็นจุด (pip) หรือเป็นเปอร์เซ็นต์จากขนาดออเดอร์ที่เปิด โดยสามารถตรวจสอบรายละเอียดจากแพลตฟอร์มการเทรดที่ใช้งานได้
ค่า Swap ในการเทรด Forex: คืออะไรและทำงานอย่างไร
ในโลกของการเทรด Forex มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการเทรดของนักลงทุน หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่นักเทรดควรรู้คือ ค่า Swap ซึ่งอาจส่งผลต่อกำไรหรือขาดทุนของการเทรดได้อย่างมีนัยสำคัญ
ค่า Swap คืออะไร?
ค่า Swap (หรือบางครั้งเรียกว่า ค่า Roll-over) เป็นค่าธรรมเนียมที่คิดเมื่อผู้เทรดยังคงเปิดออเดอร์ข้ามคืน (overnight) โดย Swap จะเกิดขึ้นจากความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงินในคู่เงินที่เราเทรด เช่น หากคุณเทรดคู่เงิน EUR/USD และอัตราดอกเบี้ยของ EUR ต่างจาก USD ความแตกต่างนี้จะส่งผลให้เกิดการจ่ายหรือได้รับค่า Swap ตามเงื่อนไขของตลาดและโบรกเกอร์
ทำไมจึงเกิดค่า Swap?
ในแต่ละสกุลเงิน จะมีอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดโดยธนาคารกลางของประเทศนั้น ๆ เมื่อเราทำการซื้อขายคู่เงิน (Currency Pair) หมายความว่าเรากำลังยืมเงินสกุลหนึ่งเพื่อแลกเปลี่ยนกับอีกสกุลเงินหนึ่ง อัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ยืมและที่ถือครองจึงมีผลในการคำนวณค่า Swap
ตัวอย่างเช่น:
หากคุณซื้อคู่เงิน EUR/USD หมายความว่าคุณซื้อ EUR และขาย USD
หากอัตราดอกเบี้ยของ EUR สูงกว่า USD คุณอาจได้รับค่า Swap เมื่อถือออเดอร์ข้ามคืน
แต่หากอัตราดอกเบี้ยของ EUR ต่ำกว่า USD คุณจะต้องจ่ายค่า Swap
ประเภทของค่า Swap
ค่า Swap มีสองประเภทหลัก:
Positive Swap (ค่า Swap บวก) – เป็นการได้รับค่า Swap เมื่ออัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ซื้อสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ขาย
Negative Swap (ค่า Swap ลบ) – เป็นการจ่ายค่า Swap เมื่ออัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ขายสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่ซื้อ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่า Swap
อัตราดอกเบี้ย – อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางของแต่ละประเทศเป็นตัวกำหนดหลัก
สถานการณ์ตลาด – บางครั้งความผันผวนของตลาดอาจส่งผลต่อค่า Swap
ประเภทบัญชีเทรด – โบรกเกอร์แต่ละแห่งอาจมีนโยบายค่า Swap ที่แตกต่างกัน
ปริมาณการเทรด – ปริมาณที่คุณเปิดออเดอร์อยู่จะมีผลต่อค่า Swap ที่ต้องจ่ายหรือได้รับ
วันที่ Roll-over – บางช่วงเวลา เช่น การปิดตลาดวันหยุด ค่า Swap อาจถูกคำนวณเป็นหลายเท่าของวันปกติ
การคำนวณค่า Swap
การคำนวณค่า Swap ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์ที่คุณใช้งาน โดยทั่วไป โบรกเกอร์จะคำนวณ Swap เป็นจุด (pip) หรือเป็นเปอร์เซ็นต์จากขนาดออเดอร์ที่เปิด โดยสามารถตรวจสอบรายละเอียดจากแพลตฟอร์มการเทรดที่ใช้งานได้
ตัวอย่างการคำนวณค่า Swap:
หากคุณเทรดคู่เงิน EUR/USD ขนาด 1 ล็อต (100,000 หน่วย)
อัตราดอกเบี้ย EUR คือ 0.5% และ USD คือ 2.5%
ค่า Swap จะถูกคำนวณจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยคูณกับขนาดออเดอร์ที่ถือครอง
การหลีกเลี่ยงค่า Swap
สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการจ่ายค่า Swap บางโบรกเกอร์มีบัญชีแบบ Swap-free หรือบัญชีที่ไม่มีการคิดค่า Swap ซึ่งบัญชีเหล่านี้มักถูกออกแบบสำหรับนักลงทุนที่มีความเชื่อทางศาสนา (เช่น ชาวมุสลิม) หรือผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงค่า Swap จากการถือออเดอร์ข้ามคืน
ข้อดีและข้อเสียของค่า Swap
ข้อดี:
หากคุณถือออเดอร์ข้ามคืนในสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า คุณอาจได้รับผลประโยชน์จากค่า Swap บวก
ข้อเสีย:
ค่า Swap ลบอาจทำให้คุณเสียเงินเพิ่มเติมหากคุณถือออเดอร์ข้ามคืนในคู่เงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า
สรุป
ค่า Swap เป็นองค์ประกอบสำคัญที่นักเทรดควรคำนึงถึงในการเปิดสถานะข้ามคืน การรู้จักและเข้าใจการคำนวณค่า Swap จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการเทรดและจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Safe Haven ในการลงทุนและการเทรด: แนวคิดและสถานการณ์ปัจจุบันSafe Haven คืออะไร?
ในโลกของการลงทุนและการเทรด “Safe Haven” หมายถึงสินทรัพย์ที่นักลงทุนมักหันไปหายามเกิดความไม่แน่นอนหรือความผันผวนในตลาด โดยสินทรัพย์ Safe Haven มีคุณสมบัติที่คงค่าหรือมีความเสี่ยงต่ำเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ ที่อาจเสี่ยงต่อการสูญเสียมูลค่าระหว่างช่วงวิกฤตทางเศรษฐกิจหรือความผันผวนทางการเงิน
ตัวอย่างของ Safe Haven ที่ได้รับความนิยม ได้แก่:
1.ทองคำ – ถือเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงและเป็น Safe Haven ที่นักลงทุนหันไปหาเมื่อตลาดการเงินมีความผันผวน
2.เงินสด – โดยเฉพาะในสกุลเงินที่แข็งแกร่งอย่างดอลลาร์สหรัฐและเยนญี่ปุ่น ซึ่งมีความมั่นคงและความเชื่อมั่นสูงในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน
3.พันธบัตรรัฐบาล – พันธบัตรจากรัฐบาลที่มั่นคง เช่น พันธบัตรของสหรัฐ ถือว่ามีความปลอดภัยสูงเนื่องจากมีโอกาสเสี่ยงต่ำที่รัฐบาลจะไม่สามารถชำระหนี้ได้
4.อสังหาริมทรัพย์ – แม้ว่าจะไม่ถือว่าเป็น Safe Haven ในทุกสถานการณ์ แต่บางครั้งอสังหาริมทรัพย์ในทำเลที่ดีอาจเป็นตัวเลือกที่ดีในยามที่ตลาดการเงินมีความผันผวน
ทำไม Safe Haven จึงสำคัญ?
Safe Haven มีความสำคัญเพราะมันช่วยปกป้องพอร์ตการลงทุนจากความผันผวนที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตทางเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่ตลาดหุ้นร่วงลงอย่างรวดเร็ว นักลงทุนอาจสูญเสียมูลค่าของพอร์ตการลงทุนไปมาก แต่หากมีการลงทุนในสินทรัพย์ Safe Haven จะช่วยลดความเสี่ยงและรักษามูลค่าของพอร์ตไว้ได้
สถานการณ์ปัจจุบันของ Safe Haven ในปี 2024
ปัจจุบันตลาดการเงินทั่วโลกยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น:
อัตราเงินเฟ้อ ที่สูงขึ้นในหลายประเทศ ส่งผลให้ธนาคารกลางหลายแห่งต้องดำเนินนโยบายดอกเบี้ยที่เข้มงวด ทำให้สภาพคล่องในตลาดลดลง
ความตึงเครียดทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินโลก
ราคาน้ำมันและพลังงาน ที่ผันผวนจากการปรับตัวของเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนในตะวันออกกลาง
ในปี 2024 ทองคำยังคงเป็น Safe Haven ที่ได้รับความนิยม โดยราคาทองคำมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกและการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง นอกจากนี้ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐยังเป็นที่ต้องการสูงจากนักลงทุนที่มองหาความปลอดภัยจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังสูง
สำหรับเงินสด โดยเฉพาะดอลลาร์สหรัฐ ก็ยังคงเป็นสกุลเงินที่มีความปลอดภัยสูง แม้ว่าค่าเงินดอลลาร์อาจผันผวนในบางช่วงเวลา แต่ยังคงเป็นที่พึ่งในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตทางการเงิน
การจัดพอร์ตการลงทุนโดยใช้ Safe Haven
การกระจายพอร์ตการลงทุนให้มีสินทรัพย์ Safe Haven เป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนหลายคนนำมาใช้เพื่อจัดการความเสี่ยงในระยะยาว การมีทองคำหรือพันธบัตรในพอร์ตการลงทุนจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นคงในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวน
สรุป การ Safe Haven เป็นอีกหนึ่งปัจจัย สำคัญในการมองตลาดและคาดการ์ณ การเข้ามาของเงินใดแต่ละประเทศ เป็นต้น ทำให้เราปลอดภัยมากขึ้น
2024 10 04 GOLD GOLD GOLD วิเคราะห์: #วันนี้มีข่าว โปรดติดตามข่าว และระมัดระวังการออกคำสั่งซื้อ/ขาย
- แนวโน้มตลาด (Trend Analysis): TF15 นาทีแสดงการกลับตัวของราคาจากขาลงก่อนหน้านี้ ตอนนี้ราคาเริ่มปรับตัวขึ้นและเคลื่อนไหวอยู่เหนือแนวต้านเดิมที่ 2,660 USD โดยมีการเบรกทะลุขึ้นไป ซึ่งแสดงถึงความเป็นไปได้ที่ราคาจะเข้าสู่ช่วงขาขึ้น.
- MACD (Histogram): Histogram ของ MACD อยู่ในโซนบวกและมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น บ่งชี้ถึงแรงซื้อที่แข็งแรงขึ้น.
- RSI (Relative Strength Index): RSI อยู่ในระดับใกล้ 60 ซึ่งยังคงอยู่ในพื้นที่ที่แสดงถึงแนวโน้มเชิงบวก แต่ยังมีที่ว่างในการปรับตัวขึ้นอีก.
แนวรับและแนวต้าน (Support & Resistance):
- แนวรับสำคัญ:
แนวรับที่ 2,660 USD ซึ่งตอนนี้กลายเป็นแนวรับสำคัญ หากราคาปรับตัวลงมาต่ำกว่านี้อาจกลับไปสู่กรอบขาลงอีกครั้ง.
- แนวต้านสำคัญ:
แนวต้านอยู่ที่ 2,668 USD ซึ่งเป็นจุดเป้าหมายสำหรับการเทรดขาขึ้น หากราคาทะลุแนวนี้ได้ อาจมีการเคลื่อนไหวไปที่แนวต้านถัดไปบริเวณ 2,670 USD.
แผนการเทรด:
- ถ้าต้องการ Buy: สามารถพิจารณาเปิดสถานะ BUY หากราคาสามารถยืนเหนือแนวรับที่ 2,660 USD ได้ โดยตั้งเป้าหมายที่แนวต้านบริเวณ 2,668 USD หรือ 2,670 USD พร้อมตั้ง stop loss ไว้ต่ำกว่า 2,660 USD.
- ถ้าต้องการ Sell: หากราคาปรับตัวลงมาต่ำกว่า 2,660 USD ควรรอดูสัญญาณเพิ่มเติม หรือพิจารณาเปิด SELL เมื่อราคาหลุดแนวรับหลักที่ 2,656 USD โดยตั้งเป้าหมายแนวรับถัดไปที่ 2,652 USD.
สรุป:
ควรเน้นติดตามการเคลื่อนไหวของราคาที่ระดับ 2,660 USD หากราคายืนเหนือระดับนี้ได้ ให้เน้นการเปิดสถานะซื้อ และถ้าราคาปรับตัวลงต่ำกว่าระดับนี้ ควรระวังการกลับตัวลง.
#ถ้าต้องการซัพพอร์ตผมทักข้อความมาได้ครับ
#ถ้าต้องการซัพพอร์ตผมโดยตรง >> พร้อมเพย์ 0877709817
#เข้าร่วมกลุ่มไลน์กับเราได้ครับ
#อย่าลืมตั้ง SL
#กำหนดพื้นที่การเทรดให้ชัดเจน ถ้าผิดทางต้องปล่อยไปนะครับ
#เปิดพอร์ตกับ XM โปรดกรอกรหัส M8TMG
รูปแบบกราฟปู Crab Pattern สายตั้ง SL ต้องดักยาวๆรูปแบบกราฟปู (Crab Pattern)
สายตั้ง SL ต้องดักยาวๆ
👽👽👽 กลับมากันอีกแล้วกับบทความดีๆ และเทคนิคการวิเคราะห์รูปแบบต่างๆในการเทรดจากบทความที่แล้วเราได้รู้จักกับรูปแบบกราฟ harmonic ประเภทต่างๆกันไปแล้ว แต่มันยังไม่หมดครับ มาต่อกันที่รูปแบบปู กันบ้างดีกว่า รูปแบบนี้ทำกำไรเด็ดไม่แพ้กราฟตัวอื่นๆกันเลยทีเดียวเชียว
รูปแบบกราฟปู (Crab Pattern)
Crab Pattern หรือรูปแบบปู เป็นหนึ่งในรูปแบบ Harmonic Pattern ที่พัฒนามาจากรูปแบบ Gartley ความพิเศษของมันคือความยาวในการสวิงตัวของ XA และ CD ซึ่งจุด D จะอยู่ไกลมาก และยาวมาก ทำให้ Crab มีความแตกต่างจากรูปแบบ Harmonic อื่นๆ
จุดเด่นของ Crab Pattern
เป็นรูปแบบที่มีสี่คลื่นและห้าจุด (XABCD) ที่ประกอบด้วยคลื่นซีดีแบบยาว ขาซีดีแบบยาวแสดงถึงการเคลื่อนไหวที่เฉียบคม ซึ่งมันจะคอยตามล่าจุด SL ของผู้ค้าปลีกแล้วย้อนกลับไปยังทิศทางหลักอีกครั้ง
Trade Setup ด้วย Crab Pattern
- จุด B อยู่ที่จุกพักตัวระดับ 38.2-61.8% ของ XA
- จุด C สามารถอยู่ที่จุดพักตัวระดับ 38.2% -88.6% ของ AB
- จุด D สามารถพบได้ที่ส่วนขยายของ AB ที่ระดับ 224% -316% หรือที่ส่วนขยายของ XA ที่ระดับ 161.8% ยิ่งจุด D เข้าใกล้ส่วนขยายของ X ที่ 161.8% มากเท่าไหร่ สัญญาณของรูปแบบนี้ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น
วิธีการเทรด
จุดเข้าอยู่ที่จุด D. ต้องรอให้ตลาดเกิดการกลับตัวจาก CD ก่อนเปิดออเดอร์เสมอ
Take Profit อาจอยู่ที่ระดับ 61.8% ของ CD (TP1) และ 127.2% ของ CD (TP2) ใส่ Stop Loss ให้สอดคล้องกับกฎการบริหารความเสี่ยงของคุณ
มาดูลักษณะของรูปแบบปูที่อยู่บนแผนภูมิ จุด B อยู่ที่จุดพักตัวระดับ 61.8% ของ XA ส่วนจุด D อยู่ใกล้กับส่วนขยายระดับ 161.8% ของ XA
ทริคและการเข้าเทรดแบบย่อๆ
1. แพทเทิร์นในรูปแบบนี้ การกลับตัวจะอยู่ลึกถึงระดับฟีโบนักชีที่ 88.6 เสมอ
2.แพทเทรินนี้ ไม่เหมาะสำหรับสายตั้ง SL สั้นๆ เพราะอาจโดนรวบกินหมดสะก่อน ก่อนที่จะกลับตัว
3. ใช้ควบคู่กับระบบหรือสัญญาณ แท่งเทียน ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มความแม่นยำให้กับระบบ
4. ใช้ Fibonacci ในการตรวจเช็คสัดส่วน ว่าเป็นไปตามทฤษฎีหรือไม่ ก่อนที่จะทำการวางแผนการเทรดจริง
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ได้ทริคการเทรดใหม่ๆกันไปแล้วก็อย่าลืมเอาไปลองใช้กันดูบ้างนะครับ รูปแบบปูนี้ไม่เหมาะกับเทรดเดอร์สาย SL สั้นๆนะฮะ ไม่งั้นหมดตัวแน่นอน หากใครชอบก็ลองเอาไปใช้เทรดกันดูฮะ เหมาะกับการเทรดทองมากๆ
และที่สำคัญอย่าลืม MM และสร้างแผนการเทรดที่ดีด้วยนะครับ จะช่วยทำให้เราแกร่งมากยิ่่งขึ้น และเจ็บน้อยลง แอดเอาใจช่วยนะครับ
Fed ลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี 0.5%: ผลกระทบต่อทองคำและบิตคอยนการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ลดดอกเบี้ย 0.5% สู่ระดับ 4.75%-5% ครั้งแรกในรอบ 4 ปี มีผลกระทบทั้งต่อทองคำและบิตคอยน์อย่างมีนัยสำคัญ
ผลกระทบต่อทองคำ
ทองคำมักจะได้รับประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย เนื่องจากการลดต้นทุนการกู้ยืมทำให้นักลงทุนสนใจสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนแบบดอกเบี้ยอย่างทองคำมากขึ้น ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนตัวลง
ผลกระทบต่อบิตคอยน์
บิตคอยน์และคริปโตเคอเรนซีอื่นๆ อาจได้รับประโยชน์จากความผันผวนของเศรษฐกิจและนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น การลดดอกเบี้ยทำให้สภาพคล่องในระบบการเงินสูงขึ้น ซึ่งสามารถส่งผลให้เกิดความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงเช่นบิตคอยน์เพิ่มขึ้น
โอกาสที่ Fed จะลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง
แม้ว่า Fed จะลดดอกเบี้ยในการประชุมล่าสุด นักเศรษฐศาสตร์หลายคนยังมองว่า Fed อาจยังคงระมัดระวังในการปรับลดดอกเบี้ยต่อไป เพราะเศรษฐกิจยังคงมีความไม่แน่นอน หากการเติบโตยังไม่ชัดเจน Fed อาจเลือกที่จะลดดอกเบี้ยต่อไป แต่หากอัตราเงินเฟ้อเริ่มกลับมาเร่งตัวขึ้น Fed อาจชะลอการปรับลดดอกเบี้ย.
Three Drive Pattern เทรดต่อเนื่องด้วยจุดกลับตัวของเทรนด์
👯👯👯 ยังคงอยู่กันต่อกับ ทฤษฎี Harmonic pattern บทความดีๆที่แนะนำเทคนิคการเทรดในรูปแบบต่างๆ หากใครเป็นสายเทคนิคอลแล้วหละก็ บอกเลยมันมีประโยชน์สุดๆ แถมยังฝึกไหวพริบที่ดีได้อีกด้วยนะ วันนี้แอดพาทุกท่านไปรู้จักกับThree Drive Pattern อยากรู้มันเป็นอย่งไร ใช้แบบไหน ตามมาอ่านกันได้เลย
Three Drive Pattern
เป็นอีกหนึ่งในรูปแบบตามทฤษฎีของ Harmonic Pattern ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับรูปแบบ ABCD แต่มี 5 ขา ถ้าให้พูดกันแบบง่ายๆก็คือ Three Drive Pattern เป็นรูปแบบต่อเนื่องของ ABCD ที่เราสามารถทำกำไรได้หลายรอบนั่นเอง รูปแบบนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบเทรดยาวๆและรอจังหวะของการเทรดกลับตัว
วิธีการเทรดและการสังเกตุ
เมื่อราคาเซ๊ทอัพ ABCD รูปแบบที่เราเห็นจะมีลักษณะคล้าย ตัว M และ W นั่นเอง แต่มันจะต่อเนื่องจาก ABCD เกิดเป็นคลื่น3 ลูก นั่นเรียกว่า Three Drive Pattern
ให้เริ่มมองหาจุด LH และ LL หรือตำแหน่ง 1-2-3 เมื่อราคาทำเซ๊ทอัพครบ เราสามารถเข้าออเดอร์ได้และสามารถเก็บกำไรได้หลายรอบ จากการเบรคเอ๊าทฺอีกที
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับเทคนิคการเทรดแบบต่อเนื่องและการหาจุดกลับตัว ได้กำไรหลายต่อจริงๆนะ ใครรักใครชอบแบบไหนก็ลองเอาไปปรับและเลือกใช้กันดูนะฮะ แอเชื่อว่าไม่มากก็น้อย กำไรแน่นอน อยู่ที่ว่าเราเลือกชอบแบบไหน และเทรดให้ได้กำไรที่สุด
แล้วอย่าลืม หมั่นฝึกฝนการเทรดให้ได้ทุกวัน ยิ่งเราเทรดบ่อยๆเราจะเก่งขึ้นเองครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM และสร้างแผนการเทรดที่ดีด้วยนะครับ จะช่วยทำให้เราแกร่งมากยิ่่งขึ้น และเจ็บน้อยลง แอดเอาใจช่วยนะครับ
การเลือก Time Frame ในการเทรด Forex ให้เหมาะสมกับแต่ละคนในการเทรด Forex นอกจากการทำความเข้าใจตลาด การวิเคราะห์กราฟ และการจัดการความเสี่ยงแล้ว การเลือก Time Frame หรือช่วงเวลาของกราฟที่เหมาะสมถือเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สามารถส่งผลต่อความสำเร็จในการเทรดได้อย่างมาก การเลือก Time Frame ไม่ได้มีผลเพียงแค่รูปแบบของกราฟที่นักเทรดเห็น แต่ยังส่งผลถึงความถนัดและความสะดวกในการจัดการเวลาของแต่ละคนด้วย
Time Frame คืออะไร?
Time Frame ในการเทรด Forex หมายถึงช่วงระยะเวลาของแท่งกราฟแต่ละแท่งที่ปรากฏอยู่บนชาร์ต เช่น หากคุณเลือก Time Frame 1 ชั่วโมง หมายความว่าแท่งกราฟแต่ละแท่งจะแสดงการเคลื่อนไหวของราคาในระยะเวลา 1 ชั่วโมง
ในตลาด Forex มี Time Frame ให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่กราฟระยะสั้น (M1 หรือ 1 นาที) จนถึงกราฟระยะยาว (MN หรือ 1 เดือน) นักเทรดสามารถเลือกดูกราฟในช่วงเวลาที่ต่างกันได้ ซึ่ง Time Frame แต่ละช่วงจะให้มุมมองที่ต่างกันในการวิเคราะห์
ประเภทของนักเทรดและ Time Frame ที่เหมาะสม
นักเทรดแต่ละคนมีสไตล์การเทรดและความสะดวกในการจัดการเวลาที่แตกต่างกัน การเลือก Time Frame ที่เหมาะสมจึงควรสอดคล้องกับลักษณะการเทรดของแต่ละคน
1.Scalper (เทรดระยะสั้นมาก)
นักเทรดประเภท Scalper คือผู้ที่ชอบการทำกำไรในระยะเวลาสั้น ๆ ภายในไม่กี่นาที การเทรดสไตล์นี้ต้องการความรวดเร็วและมีการเข้าและออกจากตลาดบ่อยครั้ง Time Frame ที่เหมาะสมสำหรับ Scalper คือกราฟระยะสั้น เช่น M1 (1 นาที) หรือ M5 (5 นาที) ซึ่งจะทำให้นักเทรดสามารถจับการเคลื่อนไหวของราคาได้อย่างรวดเร็ว
เหมาะสำหรับ:
ผู้ที่ชอบการเทรดบ่อยครั้งในระยะเวลาสั้น
ผู้ที่สามารถติดตามตลาดและมีเวลามากในการดูกราฟ
ผู้ที่ชอบความรวดเร็วในการทำกำไรและทนความเครียดจากความผันผวนได้ดี
2.Day Trader (เทรดระยะวัน)
Day Trader คือผู้ที่มักจะเปิดและปิดออเดอร์ภายในวันเดียวกัน การเทรดประเภทนี้มักจะเน้นการทำกำไรในช่วงระหว่างวันและไม่เปิดออเดอร์ข้ามคืน Time Frame ที่เหมาะสมคือ M15 (15 นาที), M30 (30 นาที) หรือ H1 (1 ชั่วโมง) ซึ่งจะช่วยให้นักเทรดสามารถติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดในระยะเวลาสั้นถึงปานกลาง
เหมาะสำหรับ:
ผู้ที่ต้องการทำกำไรภายในวันเดียวโดยไม่ต้องถือออเดอร์ข้ามคืน
ผู้ที่มีเวลาติดตามตลาดตลอดทั้งวันแต่ไม่มากพอสำหรับ Scalping
ผู้ที่ต้องการความสมดุลระหว่างความเร็วในการเทรดและการวิเคราะห์เชิงลึก
3.Swing Trader (เทรดระยะกลาง)
นักเทรดสไตล์ Swing Trader จะเปิดออเดอร์และถือครองตำแหน่งนานกว่า Day Trader บางครั้งอาจถือข้ามคืนหรือข้ามหลายวัน การเทรดแบบนี้ต้องการการวิเคราะห์ภาพรวมในระยะยาวมากขึ้น Time Frame ที่เหมาะสมสำหรับ Swing Trader คือ H4 (4 ชั่วโมง), D1 (1 วัน) ซึ่งให้ภาพรวมของตลาดในช่วงเวลาที่ยาวขึ้น ช่วยให้การตัดสินใจเทรดแม่นยำขึ้น
เหมาะสำหรับ:
ผู้ที่ต้องการถือออเดอร์ในระยะเวลานานหลายวันหรือนานเป็นสัปดาห์
ผู้ที่ชอบวิเคราะห์แนวโน้มใหญ่ของตลาด
ผู้ที่มีเวลาจำกัดในการเฝ้าตลาดแต่ยังต้องการทำกำไรในระยะกลาง
4.Position Trader (เทรดระยะยาว)
Position Trader มักจะเปิดออเดอร์และถือครองตำแหน่งเป็นเวลานาน อาจเป็นสัปดาห์หรือเดือน ซึ่งนักเทรดประเภทนี้เน้นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจมากกว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิค Time Frame ที่เหมาะสมคือ W1 (1 สัปดาห์) หรือ MN (1 เดือน) ซึ่งจะช่วยให้นักเทรดสามารถวิเคราะห์แนวโน้มใหญ่ของตลาดในระยะยาว
เหมาะสำหรับ:
ผู้ที่ไม่ต้องการเทรดบ่อยแต่ต้องการวิเคราะห์ตลาดในระยะยาว
ผู้ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและแนวโน้มใหญ่ของตลาด
ผู้ที่ไม่ต้องการเฝ้าติดตามตลาดบ่อยครั้งและยอมรับการถือออเดอร์นาน
ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือก Time Frame
ลักษณะการเทรดของตัวเอง: นักเทรดควรถามตัวเองว่าชอบการเทรดแบบใด เช่น ถ้าชอบการเข้าออกตลาดบ่อยครั้ง ควรเลือก Time Frame สั้น แต่ถ้าชอบการวิเคราะห์แนวโน้มใหญ่ ควรเลือก Time Frame ที่ยาวขึ้น
ระยะเวลาที่ใช้ในการเฝ้าตลาด: หากคุณมีเวลาจำกัดในแต่ละวันในการเทรด Time Frame สั้นอาจไม่เหมาะสม แต่ถ้าคุณสามารถเฝ้าตลาดตลอดเวลา Time Frame สั้นอาจช่วยให้คุณทำกำไรได้เร็วกว่า
ความชำนาญ: นักเทรดมือใหม่มักจะเหมาะกับ Time Frame ที่ยาวขึ้น เช่น H4 หรือ D1 เพราะตลาดมีความเคลื่อนไหวที่ไม่รวดเร็วเกินไป ทำให้สามารถวิเคราะห์และตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
สรุป
การเลือก Time Frame ในการเทรด Forex ควรพิจารณาจากสไตล์การเทรด ลักษณะการใช้ชีวิต และความสามารถในการวิเคราะห์ของนักเทรดแต่ละคน ไม่มี Time Frame ที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน แต่การเลือก Time Frame ที่เหมาะสมกับตัวเองจะช่วยให้การเทรดมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
BTCUSD : ระบบ MACD ตัด 0 (ActionZone) มีสัญญาณ "ซื้อ" 19/9/2024อธิบาย : ระบบ Action Zone หรือ MACD ตัดศูนย์ คือระบบที่ใช้หลักการดูเส้น MACD ว่า เส้นนี้จะตัดกับเส้นศูนย์เมื่อไหร่ โดย ถ้าตัดขึ้นก็จะเป็นสัญญาณซื้อ ถ้าตัดลงก็จะเป็นสัญญาณขาย ถือเป็นระบบ Trend Following ที่ใช้ได้ดีกับตลาดที่มีเทรนจ๋าๆ เช่น BTC
แต่ระบบนี้ก็จะมีจุดอ่อนอยู่หลายจุดเช่นกัน คือ ในช่วงตลาด sideway ออกข้างเราอาจจะเจอ false sig ทำให้ต้องคืนกำไร คืนทุน กันบ่อยๆ ได้ หรือบางทีถ้าตลาดมีการทุบแรงๆ ก็อาจจะทำให้เจอการคืนกำไรหมดเช่นกัน เพราะระบบจะต้องรอ confirm ของเส้น MACD ก่อน ถึงจะยอมขาย ตอนขึ้น บางทีทำให้มันถือได้นาน ถือได้ทน รันเทรนได้นาน แต่ถ้าลงแรงก็จบกัน 555
ความเห็นของรอบนี้ : มาพบกันอีกแล้ว สำหรับสัญญาณซื้อรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของปีนี้ 555 หลายๆ คนที่มาเทรดตามระบบนี้ ก็น่าจะเจอ false sig ช่วงกลางปีไปจนหลอน ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร เพราะส่วนใหญ่ที่มาลองใช้ ก็มักจะมาลองหลังจากที่ระบบเห็นกำไรเยอะ + ตลาดพีคไปแล้ว สื่อลงไปแล้ว กันทั้งนั้น ทำให้มือใหม่ก็ต้องโดนรับน้อง กันเป็นเรื่องปกติครับ
ขอเน้นย้ำอีกครั้งว่า การทำตามระบบ Trend Following นี้ ( หรือไม่ว่าระบบไหนๆ ก็ตามแต่ ) position sizing สำคัญมาก เราจะต้องวางความเสี่ยงที่เหมาะสม และคำนวณ positoin size ให้ถูกกับความเสี่ยงที่เรารับได้เสมอ ถ้าคิดอะไรไม่ออก ผมก็คงแนะนำให้ใช้ความเสี่ยงที่ 10% ต่อไม้ ต่อระบบ เช่น ระบบนี้ เขียว มีเงิน 100 บาท ก็ซื้อแค่ 10 บาทพอ อย่าโลภ
เพราะถ้าคุณโลภ หรือขี้เกียจเรียนรู้ ขี้เกียจแบ่งไม้ เวลาที่เจอ false sig รัวๆ เหมือนกลางปีที่ผ่านมา คุณก็จะขาดทุนหนักจนท้อไปซะก่อน และพอท้อ เลิกทำตามระบบไปเมื่อไหร่... หลังจากนั้น มันก็มักจะไปจริงกันซะด้วยสิ 555
BTC Action Zone = เขียว ( 19/9/2024 )
------------------
Entry : 61760+-
SL : 56400 (-8.6%)
Position Size = 10% ของพอร์ต ( Risk1% )*
* ปัดเศษเพื่อความง่ายต่อการคำนวณ
---------------------------
สรุปผลกำไร สะสม ของทุกระบบ ในปี 2024 ได้ดังนี้
* รายการกำไรนี้ เป็นการคำนวณตรงๆ ยังไม่ได้ใส่ค่า fee และ slippage เข้าไปนะครับ ดังนั้น กำไรจริงๆ ของการทำตามระบบ ก็น่าจะต่ำกว่านี้พอสมควรครับ
(8Feb-17Mar) ATR = +6.61% ที่ความเสี่ยง 1% ( 6.61R )
(9Apr-14Apr) ATR = -1.06% ที่ความเสี่ยง 1% (-1.06R )
(10Feb-14Apr) BreakHigh = +4.94% ( 4.94R )
(2Feb-17Apr) ActionZone = +9.6% ( 9.6R )
(16May-15Jun) ATR = -0.023%
(19May-18Jun) ActionZone = -0.059%
(1Jan-25Jun) EMA120DCross = +5.95% ( 5.95R )
(16Jul-3Aug) ATR = -0.5%
(16Jul-3Aug) EMA120DCross = -0.5%
(20Jul-5Aug) ActionZone = -0.9%
(24Aug-27Aug) EMA120DCross = -0.7%
(26Aug-30Aug) ActionZone = -0.75%
(24Aug-2Sep) ATR = -1.04%
(14Sep-???) ATR = ?%
(19Sep-???) ActionZone = ?%
(19Sep-???) EMA120DCross = ?%
Sum = 21.56% ที่ความเสี่ยง 1% ต่อระบบต่อครั้ง
รูปแบบกราฟ Cypher Patternรูปแบบกราฟ Cypher Pattern
👽👽👽 มากันอีกแล้ว กลับมากันอีกแล้วกับบทความดีๆ และเทคนิคการวิเคราะห์รูปแบบกราฟจากแพทเทรินต่างๆ เพื่อให้เราเทรดกันได้ง่ายขึ้น วันนี้เรามาทำความรู้จักกันกับ Cypher Pattern แพทเทรินที่มาเร็วเคลมเร็ว เหมาะกับสายสไนเปอร์ และสาย Scalping สุดๆ ตามมาอ่านกันต่อได้เลยครับ
รูปแบบกราฟ Cypher Pattern
เป็นรูปแบบที่ได้มาจากทฤษฎี Harmonic Pattern ที่เกิดบ่อยในช่วงตลาดผันผวน เหมาะมากครับกับเทรดเดอร์สายทองคำ ที่ชื่นชอบการเทรด Scalping หรือ สไนเปอร์ เทรดสั้น เข้าเร็วออกเร็ว ด้วยเทคนิคการเทรดของรูปแบบนี้ ทำให้ผลลัพธ์ RR สูงถึง 2-3 เท่า เหมาะกับพอร์ตที่ต้องการการเติบโตแบบรวดเร็ว
เป็นรูปแบบการเทรดที่เหมาะกับตลาดที่มีการเหวี่ยงแรง ๆ เช่น Forex ทอง น้ำมัน ใช้ได้ทั้งขาขึ้นและขาลง โดยกราฟมีลักษณะการเคลื่อนที่ไปตามแนวโน้ม แต่มีราคาผลักให้เหวียงกลับจนกระทั่งหลุดแนวรับหรือแนวต้านอย่างรุนแรง จุดนี้แหละฮะ ที่เราควรเข้าทำกำไรกัน
ลักษณะรูปแบบกราฟ Cypher Pattern
เป็นแพทเทร์นที่มี 4 ขา ดีดเลยหัวแต่หางไม่เลยฐาน คล้ายกับการเคลื่อนที่ตามแนวโน้มปกติ แต่ย่อลึกหลุดแนวรับหรือแนวต้าน มีความแม่นยำสูงถึง 75%
การสร้างรูปแบบ Bullish Cypher
Bullish Cypher สัญญาณในการเข้า Buy
เกิดขึ้นจากการหมดแนวโน้มจากขาลง และกำลังจะกลับตัวเป็นขาขึ้น หรือจะเกิดในช่วงพักตัวของแนวโน้มขาขึ้น กลับตัวจากแนวโน้มย่อยเพื่อที่จะขึ้นต่อ โดยมีโครงสร้างเริ่มต้นจาก X ตามด้วย ABCD
โดย AB จะพักตัว 38.2-61.8% ของ XA และ BC จะยืดออกอยู่ที่ 127-138.2% ของ AB และจุดกลับตัว PRZ จะอยู่ที่ 127-200% ของ BC และ 78.6% ของ XA คือจุด D
👉 จุดเข้า Buy PRZ จะอยู่ที่ 127-200% ของ BC และ 78.6 ของ XA
👉 Stop Loss เลยหัว X ไป 5-10 pip
👉 Target TP1 ที่ 38.2% ของ CD และ TP28% ของ CD
การสร้างรูปแบบ Bearish Cypher Pattern
Barish Cypher สัญญาณในการเข้า Sell
เกิดขึ้นจากการหมดแนวโน้ม จากขาขึ้นและกำลังจะกลับตัวเป็นขาลง หรือจะเกิดในช่วงพักตัวของแนวโน้มขาลง กลับตัวจากแนวโน้มย่อยเพื่อที่จะลงต่อ โดยมีโครงสร้างเริ่มต้นจาก X ตามด้วย ABCD
โดย AB จะพักตัว 38.2-61.8% ของ XA และ BC จะยืดออกอยู่ที่ 127-138.2% ของ AB และจุดกลับตัว PRZ จะอยู่ที่ 127-200% ของ BC และ 78.6% ของ XA คือจุด D
👉 จุดเข้า Sell PRZ จะอยู่ที่ 127-200% ของ BC และ 78.6% ของ XA
👉 Stop Loss เลยหัว X ไป 5-10 pip
👉 Target TP1 ที่ 38.2% ของ CD และ TP28% ของ CD
ทริคและการเข้าเทรดแบบย่อๆ
1. แพทเทิร์นนี้จะทำกำไรได้สั้นหรือยาว อยู่ที่ TF เป็นหลัก ยิ่ง TF ใหญ่ กำไรก็จะยิ่งมากและยาวมากขึ้น
2.แพทเทรินนี้ เหมาะมากครับสำหรับการทำกำไรในตลาด Forex โดยเฉพาะการเทรดทองคำ เพราะมีความแม่นยำสูง และสามารถเก็บ RR ได้สูงเช่นกัน
3. ใช้ควบคู่กับระบบหรือสัญญาณ แท่งเทียน ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มความแม่นยำให้กับระบบ
4. ใช้ Fibonacci ในการตรวจเช็คสัดส่วน ว่าเป็นไปตามทฤษฎีหรือไม่ ก่อนที่จะทำการวางแผนการเทรดจริง
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ได้ทริคการเทรดและแพทเทรินดีๆในการเทรดทองคำกันแล้ว หากใครเป็นสายเทรดทองก็อย่าลืมเอาไปลองใช้กันดูะครับ ไม่แน่นะว่าอาจจะถูกจริตกับเราบ้างก็เป็นได้สำหรับสายเทรดทอง แอดฟันธงเลย
และที่สำคัญอย่าลืม MM และสร้างแผนการเทรดที่ดีด้วยนะครับ จะช่วยทำให้เราแกร่งมากยิ่่งขึ้น และเจ็บน้อยลง แอดเอาใจช่วยนะครับ
การบริหารความเสี่ยงในตลาด Forex: กุญแจสู่ความสำเร็จในการเทรดการเทรดในตลาด Forex เป็นการลงทุนที่ให้โอกาสในการทำกำไรสูง แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน ดังนั้นการบริหารความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เทรดเดอร์ทุกคนควรให้ความสำคัญ เพื่อรักษาทุนและลดโอกาสในการขาดทุนให้เหลือน้อยที่สุด
1. การใช้ Stop Loss และ Take Profit
หนึ่งในเครื่องมือพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการบริหารความเสี่ยงคือการตั้ง Stop Loss (จุดตัดขาดทุน) และ Take Profit (จุดทำกำไร)
Stop Loss เป็นการกำหนดล่วงหน้าว่าเรายอมขาดทุนได้มากที่สุดเท่าไหร่ในแต่ละการเทรด หากราคาของคู่เงินเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ไม่เป็นไปตามคาด การตั้งจุด Stop Loss จะช่วยหยุดความเสี่ยงไม่ให้บานปลาย
Take Profit คือการกำหนดจุดที่เราพอใจกับกำไร และระบบจะปิดออเดอร์โดยอัตโนมัติเมื่อราคาถึงจุดนี้ ซึ่งเป็นวิธีที่ดีในการล็อกกำไรและป้องกันไม่ให้ราคาย้อนกลับจนสูญเสียกำไรที่ทำไว้
2. การกำหนดขนาดของ Lot Size
การเลือกขนาดการเทรด (Lot Size) ที่เหมาะสมกับขนาดพอร์ตเป็นอีกวิธีหนึ่งในการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ควรเทรดด้วยขนาด Lot ที่ใหญ่เกินไปเมื่อเทียบกับขนาดของพอร์ต เพราะอาจทำให้เกิดการขาดทุนครั้งใหญ่ การใช้ Lot Size ที่เหมาะสมจะช่วยลดแรงกดดันจากการขาดทุนและให้ความมั่นใจในการเทรดมากขึ้น
3. การใช้ Leverage อย่างระมัดระวัง
Leverage คือการยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อเพิ่มขนาดการลงทุน ซึ่งสามารถเพิ่มกำไรได้อย่างมหาศาลในกรณีที่ทิศทางการเทรดถูกต้อง แต่ในขณะเดียวกันก็นำมาซึ่งความเสี่ยงที่สูงมากหากทิศทางไม่เป็นไปตามคาด การเลือกใช้ Leverage จึงต้องระมัดระวัง ควรใช้ในระดับที่เรายอมรับความเสี่ยงได้โดยไม่กระทบกับทุนหลัก
4. การบริหารเงิน (Money Management)
การบริหารเงินเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารความเสี่ยง ควรกำหนดอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-to-Reward Ratio) ให้เหมาะสม เช่น กำหนดให้ความเสี่ยงในการขาดทุนต่อการเทรดแต่ละครั้งไม่เกิน 2-3% ของพอร์ต เพื่อให้สามารถรับมือกับการขาดทุนได้โดยไม่ทำให้พอร์ตเสียหายหนัก
5. การกระจายความเสี่ยง
การกระจายความเสี่ยงเป็นอีกวิธีที่สามารถลดความเสี่ยงในการเทรด Forex ได้ ไม่ควรวางเงินทั้งหมดในคู่เงินคู่เดียวหรือใช้กลยุทธ์เดียวในการเทรด ควรศึกษาและเลือกเทรดในหลายคู่เงินที่ไม่สัมพันธ์กัน เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนในตลาด
6. การควบคุมอารมณ์
ความเสี่ยงอีกประเภทที่มักถูกมองข้ามคือ ความเสี่ยงทางอารมณ์ การเทรดที่ถูกขับเคลื่อนด้วยความกลัวหรือความโลภมักนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด การตั้งกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนและยึดมั่นในการปฏิบัติตามแผนที่วางไว้จะช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากการเทรดด้วยอารมณ์
บทสรุป
การบริหารความเสี่ยงในตลาด Forex เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เทรดเดอร์สามารถอยู่รอดและเติบโตในระยะยาว การใช้ Stop Loss และ Take Profit อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกขนาด Lot Size ที่เหมาะสม และการควบคุมอารมณ์ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการขาดทุน การบริหารความเสี่ยงที่ดีไม่เพียงแต่จะช่วยปกป้องทุน แต่ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในตลาด Forex
GDH_System วิเคราะห์ XAUUSD 13/9/67วิเคราะห์ XAUUSD 13/9/67
เมื่อวานราคาขึ้นทำ ATH 2560 หลังราคาสามารถเบรกเอ้าท์ 2532 ขึ้นมาได้ ซึ่งก็เป็นไปตามคาดการณ์ของเรา ทำให้มองว่าราคามีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้อีก
วันนี้ภาพรวมรายวันเป็น Up Trend แล้ว ทรงขาขึ้นกลับมาดูดีมาก เมื่อราคาสามารภเบรกเอ้าท์ 2530 ได้ แบบชัดเจน ภาพใหญ่ยังขึ้นต่อได้อีก แต่ราคาก็จะมีโอกาสย่อลงมาพักตัวก่อน เนื่องจากกราฟในพวก HTF มีสัญญาญของการ Overbought ระวังการย่อลงแบบแรงๆด้วย
กลบุทธ์ก็ยังมองการย่อลงแล้วเปิด POsition Long ตามแนวรับที่ยกฐานขึ้นมา
แนวรับรายวัน
2554-2550/2545-2541/2538-2531/2526-2524/2512
แนวต้านรายวัน
2565-2567/2573/2597/2624
ส่งเมื่อ 3 นาทีที่แล้ว
XAUUSD 12/09/2024จากการคาดการณ์ตอนนี้เรากำลังอยู่ในสถานะคลื่น3ของ(3)ของ((5)) และคิดว่าราคาทองคำมีโอกาสจะไปถึงระดับราคา2745ของคลื่น3สีขาวและคลื่น(3)ของสีแดงมีโอกาสไปถึง2745ซึ่งเป็นระดับราคา200%ซึ่งตรงกับคลื่น3สีขาว และระดับยกเลิกการนับอยู่ที่ 2471
From the forecast, we are now in the state of wave 3 of (3) of ((5)) and think that the gold price has a chance to reach the price level of 2745 of wave 3 white and wave (3) of red. The chance goes to 2745 which is the 200% price level which corresponds to wave 3 white. and the uncounted level is at 2471
GDH _Systam วิเคราะห์. XAUUSD 9/9/67วิเคราะห์. XAUUSD 9/9/67
วันศุกร์ที่ผ่านมาตัวทางเศรษฐกกิจออกมาค่อนข้างเป็นบวกต่อราคาทอง แต่ทางเทคนิคราคารีบาวน์แล้วยังไม่สามารถผ่านต้านแข็ง 2530 ไปได้ จึงส่งผลกดดันราคาทองให้เกิดแรงเทขายออกมาก่อน กดตัวลงทำ Low ที่ 2485 แต่ภาพรวมทางเทคนิค หากราคายังไม่หลุดต่ำกว่า 2475 ยังไม่ให้ทำเทรนด์ขาขึ้นเสียทรงมากนัก
ราคาวันนี้ภาพรวมใหญ่รายวัน เป็น Up Trend ส่วนภาพรายสี่ชัวโมงออกเป็น Sideway วิ่งออกข้าง หากราคายังวิ่งออกข้างแบบลงกรอบล่าง ก็ไม่ควรหลุดต่ำกว่า 2470 ลงมา มองการพักฐานเพื่อขึ้นต่อ โดยเป็นการรอการวิ่งเพื่อทะลุฝั่งใดฝั่งหนึ่ง กรอบราคาแกว่งออกข้าง ในกรอบ 2470-2530 ก่อนเหมือนเดิม ราคาย่อลงพิจารณาการเข้าซื้อตามแนวรับก่อน ในระยะสั้น สัปดาห์นี้ตลาดยังคงรอการประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากเฟด ในช่วงเดือนนี้
แนวรับรายวัน
2495-2489/2485-2480/2475-2472/2451
แนวต้านรายวัน
2500-2505/2509/2515-2520/2525-2530