ตั้งเป้าหมายปีใหม่ในการเทรด (New Year Trading Goals)ปีใหม่มักเป็นช่วงเวลาที่หลายคนใช้เพื่อเริ่มต้นใหม่และตั้งเป้าหมายใหม่ในชีวิต รวมถึงในโลกของการเทรดด้วย การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและเหมาะสมสำหรับปีใหม่สามารถช่วยให้คุณพัฒนาทักษะการเทรดและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จได้ นี่คือคำแนะนำสำหรับการตั้งเป้าหมายปีใหม่ในการเทรด:
1. ทบทวนผลงานการเทรดในปีที่ผ่านมา
ก่อนจะตั้งเป้าหมายใหม่ คุณควรเริ่มต้นด้วยการประเมินผลการเทรดในปีที่ผ่านมา วิเคราะห์ว่าคุณทำอะไรได้ดีและควรปรับปรุงในส่วนใดบ้าง เช่น การจัดการความเสี่ยง ความสามารถในการปฏิบัติตามแผน หรือการวิเคราะห์ตลาด
2. กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้
เป้าหมายที่ดีควรมีความชัดเจนและสามารถวัดผลได้ เช่น "เพิ่มกำไรสุทธิ 10% จากปีที่แล้ว" หรือ "ลดการขาดทุนสูงสุดต่อครั้งไม่เกิน 2% ของทุน" การตั้งเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมจะช่วยให้คุณมีทิศทางที่ชัดเจนและสามารถติดตามความก้าวหน้าได้
3. ปรับปรุงแผนการเทรด (Trading Plan)
หากคุณยังไม่มีแผนการเทรดที่ชัดเจน ปีใหม่นี้คือเวลาที่ดีที่จะเริ่มสร้างขึ้นมา หรือหากมีแล้ว คุณอาจต้องปรับปรุงให้เหมาะสมกับเป้าหมายใหม่ เพิ่มกฎเกี่ยวกับการเข้าและออกจากตลาด การจัดการความเสี่ยง และการวางกลยุทธ์
4. ศึกษาและพัฒนาทักษะการเทรด
การลงทุนในการพัฒนาทักษะของตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญ คุณอาจตั้งเป้าหมายที่จะเรียนรู้กลยุทธ์ใหม่ ๆ หรือศึกษาการวิเคราะห์ตลาดในเชิงลึกมากขึ้น เช่น การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค หรือการติดตามข่าวเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อตลาด
5. บริหารจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
การเทรดไม่ควรกลายเป็นภาระที่กินเวลาชีวิตส่วนตัว ตั้งเป้าหมายในการบริหารเวลาให้เหมาะสม เช่น การกำหนดชั่วโมงการเทรด หรือการจัดเวลาให้กับการพักผ่อนและกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อรักษาสมดุลชีวิต
6. สร้างระบบตรวจสอบและปรับปรุงตัวเอง
ตั้งเป้าหมายในการบันทึกการเทรดและวิเคราะห์ผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอ เช่น การบันทึกเหตุผลในการเข้าและออกจากตลาด หรือผลกำไร/ขาดทุนในแต่ละการเทรด ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมและสามารถปรับปรุงได้อย่างต่อเนื่อง
7. ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตและกาย
สุขภาพที่ดีช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพในการตัดสินใจ ตั้งเป้าหมายในการดูแลสุขภาพ เช่น การออกกำลังกายเป็นประจำ การนอนหลับให้เพียงพอ และการทำสมาธิเพื่อลดความเครียดที่อาจเกิดจากการเทรด
8. เตรียมรับมือกับความเสี่ยงและความผิดพลาด
ตั้งเป้าหมายที่จะมีแผนรับมือกับความเสี่ยง เช่น การใช้ Stop Loss การกระจายความเสี่ยง หรือการจำกัดการเทรดในวันที่ตลาดไม่แน่นอน และอย่าลืมเรียนรู้จากความผิดพลาดเพื่อพัฒนาตัวเองในระยะยาว
9. สร้างเครือข่ายกับนักเทรดคนอื่น
การพูดคุยหรือแลกเปลี่ยนความรู้กับนักเทรดคนอื่น ๆ สามารถช่วยเสริมสร้างมุมมองใหม่ ๆ และสร้างแรงบันดาลใจ ลองเข้าร่วมกลุ่มหรือฟอรัมที่เกี่ยวกับการเทรดเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์
ภาพประกอบ
USD/JPY พุ่งต่อเนื่อง! ลุ้นแตะ 160 ระวัง BoJ แทรกแซง!### 💹🔥 แนวโน้ม USD/JPY: ขาขึ้นยังคงควบคุมตลาด! มีโอกาสแตะจุดสูงสุดใหม่ แต่ระวัง BoJ อาจแทรกแซง! 🚨💰
**💵 USD/JPY**
USDJPY – 📈 การเคลื่อนไหวในระยะสั้นยังคงแกว่งตัวในกรอบข้างใต้ระดับสูงสุดใหม่ในรอบหลายสัปดาห์ (158.07) และกำลังอยู่ในช่วงพักฐานหลังจากปรับตัวขึ้น 5% ในเดือนธันวาคม 📊
📉 การปรับฐานที่จำกัด (ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 10 วัน) ชี้ให้เห็นว่ากลุ่มขาขึ้นหลักยังคงมีอิทธิพลอยู่ และมีแนวโน้มที่จะกลับมาปรับตัวขึ้นอีกครั้งหลังจากช่วงพักฐาน 💪💹
💵 ค่าเงินดอลลาร์ยังคงได้รับแรงสนับสนุนจาก:
- มุมมองของ Fed ที่ปรับเป็นเชิงเข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย 📈
- ความแตกต่างระหว่างนโยบายของ Fed และธนาคารกลางหลักอื่นๆ 🌍
- ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่แน่นอน 🌐🔒
📊 ปัจจัยทางเทคนิคที่เป็นบวกสนับสนุนมุมมองของการเร่งตัวครั้งสุดท้ายไปยังแนวต้านทางจิตวิทยาที่ระดับ 160 และมีโอกาสทดสอบระดับสูงสุดของปี 2024 ที่ 161.95 (ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ) 🚀 อย่างไรก็ตาม ⚠️ ควรพิจารณาความเสี่ยงของการแทรกแซงจาก BoJ ในโซนนี้ด้วย 🏦🇯🇵
#USDJPY 💴 #การเงิน 📈 #เศรษฐกิจ 🌍 #ลงทุน 💰 #ข่าวด่วน 🚨
BTCUSD : ระบบ MACD ตัด 0 (ActionZone) มีสัญญาณ "ขาย" 30/12/2024อธิบาย : ระบบ Action Zone หรือ MACD ตัดศูนย์ คือระบบที่ใช้หลักการดูเส้น MACD ว่า เส้นนี้จะตัดกับเส้นศูนย์เมื่อไหร่ โดย ถ้าตัดขึ้นก็จะเป็นสัญญาณซื้อ ถ้าตัดลงก็จะเป็นสัญญาณขาย ถือเป็นระบบ Trend Following ที่ใช้ได้ดีกับตลาดที่มีเทรนจ๋าๆ เช่น BTC
แต่ระบบนี้ก็จะมีจุดอ่อนอยู่หลายจุดเช่นกัน คือ ในช่วงตลาด sideway ออกข้างเราอาจจะเจอ false sig ทำให้ต้องคืนกำไร คืนทุน กันบ่อยๆ ได้ หรือบางทีถ้าตลาดมีการทุบแรงๆ ก็อาจจะทำให้เจอการคืนกำไรหมดเช่นกัน เพราะระบบจะต้องรอ confirm ของเส้น MACD ก่อน ถึงจะยอมขาย ตอนขึ้น บางทีทำให้มันถือได้นาน ถือได้ทน รันเทรนได้นาน แต่ถ้าลงแรงก็จบกัน 555
ความเห็นของผม :
ตอนระบบนี้เขียวเมื่อวันที่ 19/9/2024 ที่ผ่านมา ผมก็เขียนความเห็นไว้ว่า ยังไงถึงแม้ก่อนหน้าเราจะโดนหลอกมาบ่อยจนท้อ แต่ เราก็ไม่ควรท้อ เพราะว่า ถ้าเกิดว่าเราท้อแล้วไม่ได้เข้า ถ้ามันไปจริงเราก็จะต้องมาเซ็งทีหลังกันอีก
สรุปว่า รอบนี้มันก็ไปจริง ใครที่ท้อ ไม่ได้เข้าตั้งแต่เขียวแรกในวันนั้น ก็อาจจะต้องไปเข้าช้า หรือไปไล่ราคาทีหลัง ทำให้แทนที่จะได้เข้าตั้งแต่ต้นรอบ ก็ตกรถกันไปซะงั้น 555 ใครที่ตกรถรอบนี้ก็ขอให้ได้บทเรียนเพื่อไปปรับปรุงตัวเองกันไปนะครับ
และแน่นอน เมื่อมีสัญญาณซื้อ ก็ต้องมีสัญญาณขาย และ... ใครไม่เชื่อสัญญาณขาย ถ้าหากว่า มันลงต่อหนัก หรือไปซื้อที่ยอดแล้วไม่มีแผนขาย ท่านก็อาจจะคืนกำไรหมด หรือขาดทุนหนักก็ได้เช่นกันครับ
รอบนี้ผมเริ่มเห็นหลายๆ คนมีความเห็นว่า เดี๋ยว BTC ก็น่าจะมี rally ต้นปีเหมือนทุกๆ ปีที่ผ่านมา แล้วจะไปจบรอบอีกทีตอนเดือนมีนา-เมษา แต่ส่วนตัวก็มองว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้สำหรับตลาดนี้ มันอาจจะไม่เป็นไปตามอดีตก็ได้นะครับ วิธีรับมือก็คือ สำหรับพอร์ตระบบก็ไม่ควรไปวัดดวง ทำตามระบบไปก่อนดีกว่า จะวัดดวงก็ไปรอวัดกับพอร์ตระยะยาวแทนครับ
ส่วนตัวก็อยากให้มันขึ้นไปต่อนะ แต่ว่า ในเมื่อระบบแดงเรียบแล้วแบบนี้ ผมก็ขอออกมามือว่างถือเงินสดรอดูทิศทางลมก่อนดีกว่าครับ
BTC Action Zone = เขียว ( 19/9/2024 )
------------------
Entry : 61760+-
SL : 56400 (-8.6%)
Position Size = 10% ของพอร์ต ( Risk1% )*
* ปัดเศษเพื่อความง่ายต่อการคำนวณ
BTC Action Zone = แดง ( 30/12/2024 )
------------------
Entry : 61760+-
TP : 93738 (+51.77)
Position Size = 10% ของพอร์ต ( Risk1% )*
Actual Profit = 10% * 51.77% = 5.18%
เพื่อความง่ายต่อการคำนวณ ผมจะ cut off กำไร 2024 ของระบบสุดท้ายที่ยังเขียวอยู่ไปด้วยเลย ตามด้านล่างนะครับ
BTC CloseAboveEMA120D = เขียว ( 19/9/2024 ) - TP Cut off 2024 ( 30/12/2024 )
------------------
Entry : 61760+-
TP : 93738 (+51.77)
Position Size = 10% ของพอร์ต ( Risk1% )*
Actual Profit = 10% * 51.77% = 5.18%
---------------------------
สรุปผลกำไร สะสม ของทุกระบบ ในปี 2024 ได้ดังนี้
* รายการกำไรนี้ เป็นการคำนวณตรงๆ ยังไม่ได้ใส่ค่า fee และ slippage เข้าไปนะครับ ดังนั้น กำไรจริงๆ ของการทำตามระบบ ก็น่าจะต่ำกว่านี้พอสมควรครับ
(8Feb-17Mar) ATR = +6.61% ที่ความเสี่ยง 1% ( 6.61R )
(9Apr-14Apr) ATR = -1.06% ที่ความเสี่ยง 1% (-1.06R )
(10Feb-14Apr) BreakHigh = +4.94% ( 4.94R )
(2Feb-17Apr) ActionZone = +9.6% ( 9.6R )
(16May-15Jun) ATR = -0.023%
(19May-18Jun) ActionZone = -0.059%
(1Jan-25Jun) EMA120DCross = +5.95% ( 5.95R )
(16Jul-3Aug) ATR = -0.5%
(16Jul-3Aug) EMA120DCross = -0.5%
(20Jul-5Aug) ActionZone = -0.9%
(24Aug-27Aug) EMA120DCross = -0.7%
(26Aug-30Aug) ActionZone = -0.75%
(24Aug-2Sep) ATR = -1.04%
(14Sep-2Oct) ATR = +0.05%
(19Sep-2Oct) EMA120DCross = -0.155%
(25Sep-2Oct) BreakHigh = -0.538%
(15Oct-23Dec) ATR = 5.74%
(15Oct-28Dec) BreakHigh = 5.57%
(19Sep-30Dec) ActionZone = 5.18%
(15Oct-30Dec) EMA120D *cut off 2024 * = 5.18%
เทรดทั้งหมด 20 ครั้ง
เทรดที่มีกำไร = 9 ครั้ง
เทรดที่ขาดทุน = 11 ครั้ง
เปอร์เซ็นของกำไร (win rate) = 45%
Sum กำไรสะสมของปี 2024 = 32.23% + 5.18% + 5.18% = 42.59% ที่ความเสี่ยง 1% ต่อระบบต่อครั้ง ( Max 4% กำไรหน่วย USD )
ดังนั้น กำไรตามระบบเป๊ะๆ ของปีนี้ ถ้าวัดกันตามความเสี่ยง ก็จะได้ประมาณ 10R นั่นเองครับ และก็น่าจะเป็นกำไรที่สูงที่สุดตั้งแต่ช่วงขาขึ้นปี 2021 มาเลยครับ
ส่วนกำไรที่ได้จริง ในส่วนตัวที่ผมได้ ก็จะน้อยกว่านี้พอสมควร โดยได้ประมาณ 30% เพราะว่า ได้มีการทยอยแบ่งไม้ขายไปบ้าง ยังไม่นับค่า fee อีก รวมถึงอาจจะมีไป ซื้อ-ขายด้วยอารมณ์ระหว่างทางบ้าง บางไม้ หรือแม้แต่ค่าเงินบาทที่แข็งจัดจนทำให้ กำไรจริงที่ realised เป็น THB น้อยกว่ากำไร benchmark ตัวนี้นั่นเองครับ
Improve your Strategy วิธีปรับปรุงกลยุทธ์การซื้อขายในตลาด ForexImprove your Strategy
วิธีปรับปรุงกลยุทธ์การซื้อขายในตลาด Forex
👯👯👯 กลับมาพบเจอกันอีกแล้ว กับบทความเทคนิคดีๆในการเทรด วันนี้แอดพาพวกเราไปทำการบ้านกันครับ การบ้านในการเทรดก็คือการปรับปรุง ปรับแต่ง และการพัฒนากลยุทธ์ในการเทรดนั่นเอง มาครับไปดูกันว่าเราควรเริ่มจากอะไรได้บ้าง
💁 เพราะตลาดฟอเร็กซ์เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก การซื้อขายสกุลเงินถือเป็นธุรกิจที่ทำได้ง่าย และรวยเร็ว และจนเร็วได้ด้วยเช่นกัน การปรับปรุงกลยุทธ์การเทรด Forex ให้ประสบความสำเร็จนั้นก็ต้องใช้เวลา และความพยายาม และความเข้าใจในตลาดอย่างลึกซึ้ง
💁การปรับปรุงกลยุทธ์หรือเปลี่ยนกลยุทธ์ในการเทรด จึงถือเป็นเคล็ดลับที่เราควรต้องทำ อย่างน้อยปีละครั้งครับ
💁เพราะตลาดการเงินในตอนนี้ส่วนใหญ่แล้ว AI โรบอทเข้ามามีบทบาทสำคัญมากในตลาด ไอ่เจ้าพวกนี้แหละที่คอยจับตาและสร้าสถิติการเลียนแบบการเทรด รวมไปถึงพฤติกรรมการเทรดของเรา ให้เราชนะได้ยากขึ้น และแพ้มากขึ้นนั่นเอง
1.การเลือกโบรกเกอร์และประเภทบัญชีที่เหมาะสม
เพราะโบรกเกอร์นั้นมีเยอะและหลากหลาย แต่ประสิทธิภาพไม่ได้เหมือนกันทุกโบรก
- บางโบรกข่าวมาก็ค้างบ่อย
- บางโบรกมีเก็บค่า swap บางโบรกไม่มี
- ค่าสเปรดสูง-ต่ำ ไม่เท่ากัน ฯลฯ
การเลือกโบรกจึงค่อนข้างสำคัญฮะ เพราะความหลากหลายตรงนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทำกำไร เราต้องวางแผนให้ดี ว่าการเทรดของเรา เป็นไปในลักษณะไหน ถ้าชอบถือนานๆเป็นอาทิตย์เป็นเดือน ก็ไม่ควรเลือกโบรกที่มีค่า swap แล้วหันไปเลือกโบรกที่ไม่มีค่าswap แทน เป็นต้น
2. Leverage เลเวอเรจ เป็นได้ทั้งปืนและดาบสองคม
ยิ่งซื้อมาก(Overtrade) ยิ่งล้างง่าย คำนี้จำให้ขึ้นใจ เพราะเลเวอเรจไม่ต่างจากการยืมเงินคนอื่นมาใช้ หากชักหน้าไม่ถึงหลัง ก็เตรียมหงายการ์ดล้มละลายได้เลย แต่หากใช้ให้ถูกทาง ถูกหลักและแบบแผนในการเทรดเราแล้วหละก็ มีแต่กำไรแน่นอนครับ
เราต้องเลือกเลเวอเรจ ที่ไม่มากจนเกินไป และไม่น้อยจนเกินไป เพราะอัตราส่วนเลเวอเรจเป็นตัวกำหนดความเสี่ยงและความเหมาะสมในการเทรดของแต่ละคนครับ คำนวณดีๆยังไงเราก็ชนะแน่นอน
3. ปรับเปลี่ยนเปอร์เซ็นต์ผลกำไรและการขาดทุน
เพราะค่าเฉลี่ยความผันผวนการวิ่งในตลาดนั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เป้าหมายการทำกำไร และการกำหนดจุดหรือเปอร์เซ็นต์การเทรดจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนตาม
เช่น เราเคยทำกำไรจากตลาดทองคำ เราจะรู้ว่าเมื่อก่อนนี้หรือปีที่ผ่านๆมา ทองจะวิ่งแต่ละครั้งไม่เกิน 10-15$ หรือคิดเป็น 10,000 - 15,000 จุด แต่ในปีนี้ และปีถัดไป มันไม่ใช่แล้ว ทองสามารถวิ่งสวิงในแต่ละรอบ อยู่ที่ 50 -100$ ในแต่ละวัน เอ๊า! คิดดูเอาเองแล้วกัน ถ้าเรายังต้องการกำไร-ขาดทุนที่ 10 เปอร์เซ็นต์เหมือนเดิม เราจะเทรดขาดทุนตลอดเวลา ด้วยสัดส่วนที่มันกว้างมากขึ้นนี่เอง
4. จดบันทึกยังคงสำคัญเสมอ
อดีตมักสอนเราเกี่ยวกับอนาคต ดังนั้นการจดสถิติการเทรดของตัวเอง การติดตามการซื้อขายของเราเองจึงช่วยทำให้เราเห็นจุดอ่อนและจุดแข็ง อย่าปล่อยให้ AI โรบอทมาล้วงความลับของเราแค่ฝ่ายเดียว
การวิเคราะห์ข้อมูลของตัวเอง ช่วยให้เราเห็นจุดบอด และทำให้เราแก้ไขได้ตรงจุดด้วยนะ รวมไปถึงการอัพเกรดให้มันมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น
5. จิตวิทยาและ mindset ก็สำคัญไม่แพ้กัน
อย่าปล่อยปะละเลยกับความสุขที่แท้จริงในชีวิต การไม่มีอะไรและการไม่คิดอะไรเลยคือความสุขที่ถาวร ปรับเปลี่ยนความคิดของเราให้ไม่ยึดติดมากเกินไปในการเทรด สิ่งนี้แหละจะช่วยทำให้เราชนะตลาดได้มากขึ้น พยายามฝึกจิต ควบคุมอารมณ์ และปล่อยวาง ไม่จดจ่ออยู่ที่ผลกำไรมากเกินไป แล้วความสุขจะมาหาเราเองครับ
👽👽👽 เป็นอย่างไรกันบ้างครับพอจะได้ทริคดีๆในการปรับปรุงกลยุทธ์การเทรดกันแล้วใช่มั้ยครับ อย่าลืมเอาไปลองใช้กันดูนะครับ มันดีจริงๆแอดคอนเฟริมเลย
แล้วที่สำคัญ หมั่นฝึกฝนการเทรดให้ได้ทุกวัน ยิ่งเราเทรดบ่อยๆเราจะเก่งขึ้นเองครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM และสร้างแผนการเทรดที่ดีด้วยนะครับ จะช่วยทำให้เราแกร่งมากยิ่่งขึ้น และเจ็บน้อยลง แอดเอาใจช่วยนะครับ
27/12/24 วิเคราะห์ S50H25 ตามหลักการของ "Tom Joseph" Type I Buy27/12/24 วิเคราะห์ S50H25 ตามหลักการของ "Tom Joseph" ผู้สร้างโปรแกรม Advanced GET ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยนักลงทุนวิเคราะห์แนวโน้มและคลื่น Elliott Wave อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือคำอธิบายและการวิเคราะห์ภาพ S50H25: ในที่นี่เราจะใช้้ TradingView วิเคราะห์แทน Advanced GET
---
## **การวิเคราะห์ภาพ S50H25**
### **1. ความเข้าใจพื้นฐาน (Elliott Wave และ Fibonacci Integration)**
- โครงสร้างในกราฟนี้ถูกวิเคราะห์โดยใช้ **Elliott Wave** เพื่อระบุคลื่นย่อย (subwaves) และคลื่นใหญ่ (primary waves)
- คลื่นปัจจุบันอยู่ใน **Wave 4 Correction** ที่จบลงในรูปแบบ Zigzag (ABC) และราคามีการเด้งกลับจาก **จุดต่ำสุดของ Wave C**
- การใช้ Fibonacci Retracement และ Extension ช่วยกำหนดแนวต้านและเป้าหมายการฟื้นตัว
---
### **2. จุดสำคัญในภาพ**
- **Wave C Completion:**
จุดต่ำสุดของ Wave C อยู่ที่ระดับ **874 (วันที่ 20/12/24)** ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่นักลงทุนควรเริ่มมองหาการกลับตัว
- **Type One Buy Setup:**
รูปแบบนี้แนะนำว่าโอกาสการเข้าซื้อเกิดขึ้นในโซนนี้ เนื่องจากราคากำลังฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด และมีความน่าจะเป็น (Win Rate) สูงถึง **80%** ตามข้อมูลในภาพ
- **Profit Taking Index (PTI):**
ค่า **PTI = 72** แสดงว่ามีโอกาสสูงที่ราคาจะเคลื่อนไปยัง **เป้าหมาย Wave 5** ตามโครงสร้างคลื่น Elliott Wave
---
### **3. การวิเคราะห์เป้าหมาย (Target Zones)**
- **Wave 5 Target:**
การใช้ Fibonacci Extension ช่วยกำหนดเป้าหมายของ Wave 5:
- เป้าหมายแรก: **0.618 (926 7/8)**
- เป้าหมายต่อไป: **1.000 (959 1/2)**
- เป้าหมายขยาย: **1.272 (982 3/4)** หรือ **1.618 (1012 3/8)** หากโมเมนตัมยังแข็งแกร่ง
- **แนวรับและแนวต้านที่สำคัญ:**
ระดับ Fibonacci Retracement:
- แนวรับแรก: **886 1/2 (0.146 Fibonacci)**
- แนวต้าน: **894 (0.236), 906 (0.382), 916 (0.500)**
---
### **4. การตัดสินใจซื้อ (Type One Buy)**
- **จุดเข้า (Entry):**
เมื่อราคายืนยันการกลับตัวจาก Wave C (ประมาณ 890–902)
- **จุดตัดขาดทุน (Stop Loss):**
ต่ำกว่าจุดต่ำสุดของ Wave C ที่ **874**
- **กลยุทธ์ Take Profit:**
ใช้ระดับเป้าหมายตาม Fibonacci Extension (เป้าหมาย Wave 5)
---
### **5. การจัดการความเสี่ยง**
- **Risk-to-Reward Ratio:**
วางแผนให้ความเสี่ยงต่อผลตอบแทนอยู่ที่ **1:2 หรือ 1:3**
- **Trailing Stop:**
ขยับ Stop Loss ตามการเคลื่อนที่ของราคาเมื่อถึงเป้าหมายกำไรระดับแรก
---
### **สรุปมุมมอง Tom Joseph**
- **กราฟ S50H25 แสดงโอกาสเข้าซื้อที่เหมาะสม (Type I Buy)** จากจุดต่ำสุดของ Wave C (874)
- การฟื้นตัวไปสู่ Wave 5 มีโอกาสสูง ด้วยค่า PTI = 72 และ Fibonacci Level ที่บ่งบอกการสนับสนุน
- ใช้เทคนิค Elliott Wave ร่วมกับ Fibonacci และการจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม เพื่อวางแผนการซื้อขายที่มีประสิทธิภาพ
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องมืออื่นใน Advanced GET เช่น **XTL**, **Divergence**, หรือ **Oscillator**, แจ้งมาได้ครับ!
Day Trading Strategy กลยุทธ์การเทรดรายวันมีอะไรบ้างนะ?Day Trading Strategy
กลยุทธ์การเทรดรายวันมีอะไรบ้างนะ?
👽👽 กลับมาพบเจออกันอีกแล้ว กับเทคนิคการทำกำไร ทริคดีๆทริคเด็ดๆ ที่แอดเอามาฝากกันเช่นเคย บทความนี้เอาใจสายเทรดที่ชอบเก็บกำไรทุกวันครับ มาครับมา ใครชื่นชอบหรือเสพติดการเทรดแบบรายวันต้องอ่านแล้วน๊า
การเทรดรายวัน (Day Trading) คือการซื้อและขายสินค้าหรือสินทรัพย์ทางการเงินให้จบภายในวันเดียวกัน โดยมีจุดมุ่งหมายในการทำกำไรจากความผันผวนของราคาในตลาด โดยการเปิดและปิดจบในวันเดียว ไม่มีแช่ หรือข้ามวันนั่นเอง
กลยุทธ์ Day Trading มีอะไรบ้าง
1. การเทรดแบบ Scalping
กลยุทธ์นี้ใช้กรอบเวลาตั้งแต่ 1นาทีขึ้นไป จนถึง 30 นาที ทำกำไรได้น้อย แต่บ่อยครั้ง
2. กลยุทธ์ Range trading
กลยุทธ์นี้ส่วนใหญ่จะใช้ระดับแนวรับและแนวต้านเป็นหลัก เพื่อกำหนดจุดในการเข้า หรือเรียกว่า Swing Trading โดยจะเข้าทำกำไรและถือนานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน แต่ไม่ข้ามวัน
3. กลยุทธ์ News-based trading
กลยุทธ์นี้จะทำการซื้อขายจากความผันผวน เหตุการณ์ข่าวและพาดหัวข่าว เพราะกราฟค่อนข้างวิ่งเร็วและแรง ส่วนใหญ่นิยมเทรดหลังจากข่าวออกตั้งแต่วินาทีแรก จนถึง15 นาที แรก และ เทรดอีกครั้ง หลังข่าวออกไปแล้วอีก 15 นาที เรียกว่าเก็บรอบกำไรได้หลายทางแล้วแต่ความถนัดและความชำนาญ
4. กลยุทธ์ Reversal
กลยุทธ์นี้จะทำการซื้อขายจากการกลับตัวของเทรนในระยะสั้นและระยะยาวได้หมด ขึ้นอยู่กับแพทเทรินก่อนหน้าที่เป็นตัวบอกเทรนด์
เทคนิคการเทรดรายวัน
1. การวิเคราะห์เทคนิค (Technical Analysis) พวกกราฟแท่งเทียนเป็นต้น
2. การวิเคราะห์ข่าวสารและเหตุการณ์ (Fundamental Analysis) อ่านข่าวให้เยอะเข้าไว้
3. การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ (Indicators) สำคัญมากเลือกให้ตรงกับใจเราคือใช้แล้วชอบใช้แล้วดีนั่นเอง
4. การกำหนดเป้าหมายและวางแผนการเทรด เราจะได้เทรดตามแผนเป้าหมายได้ง่ายขึ้น
5. การควบคุมการเสี่ยง ตัวนี้สำคัญ รู้แพ้ รู้ชนะ ยังไงเราก็กำไรฮะ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ได้ทริคดีๆในการทำกำไรเพิ่มกันแล้วใช่มั้ยครับ อย่าลืมเอาไปลองใช้กันดูนะฮะ ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นเทคนิคการทำกำไรที่ดีของเราเลยก็ว่าได้ แอดหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เราอ่านกราฟได้ดี อ่านกราฟได้เก่งมากขึ้นนะครับ จำไว้เสมอว่ากราฟมีขึ้นแล้วก็มีลง ไม่ต้องไปเครียดกะมันหมั่น ฝึกฝนและเพิ่มเติมความรู้อย่างสม่ำเสมอ รับรอง เทรดยังไงก็รอดครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM กันด้วยนะครับ วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่งแน่นอนครับ แอดเอาใจช่วยสู้ๆ
การหาเทรนด์ด้วย EMA ในการเทรด Forexการหาเทรนด์ (Trend) เป็นหนึ่งในเทคนิคที่สำคัญที่สุดสำหรับนักเทรด Forex เพราะช่วยให้เราสามารถวางกลยุทธ์การซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหนึ่งในเครื่องมือยอดนิยมที่ใช้ในการหาเทรนด์คือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล (Exponential Moving Average หรือ EMA)
EMA คืออะไร?
EMA คือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลราคาล่าสุดมากกว่าข้อมูลในอดีต ทำให้เส้น EMA ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาได้รวดเร็วกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบธรรมดา (Simple Moving Average หรือ SMA) ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการวิเคราะห์ตลาดที่มีความผันผวนสูง เช่น ตลาด Forex
การใช้ EMA ในการหาเทรนด์
การใช้ EMA เพื่อหาเทรนด์สามารถทำได้โดยการวิเคราะห์ตำแหน่งของราคาและการเปรียบเทียบ EMA หลายเส้นดังนี้:
การวิเคราะห์ตำแหน่งของราคา
หากราคาปัจจุบันอยู่เหนือเส้น EMA แสดงว่าแนวโน้มตลาดกำลังเป็นขาขึ้น (Uptrend)
หากราคาปัจจุบันอยู่ต่ำกว่าเส้น EMA แสดงว่าแนวโน้มตลาดกำลังเป็นขาลง (Downtrend)
การใช้ EMA หลายเส้น
การใช้ EMA หลายเส้น เช่น EMA 30, EMA 50 และ EMA 100 ช่วยให้สามารถวิเคราะห์แนวโน้มระยะสั้นและระยะยาวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ตัวอย่างการหาเทรนด์:
หาก EMA 30 > EMA 50 > EMA 100 หมายถึงตลาดอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น
หาก EMA 30 < EMA 50 < EMA 100 หมายถึงตลาดอยู่ในเทรนด์ขาลง
ตัวอย่างกลยุทธ์การเทรดด้วย EMA
กลยุทธ์ Cross Over
เมื่อเส้น EMA ระยะสั้น (เช่น EMA 30) ตัดขึ้นเหนือเส้น EMA ระยะยาว (เช่น EMA 50) เป็นสัญญาณซื้อ (Buy Signal)
เมื่อเส้น EMA ระยะสั้นตัดลงใต้เส้น EMA ระยะยาว เป็นสัญญาณขาย (Sell Signal)
การใช้ EMA ร่วมกับแนวรับแนวต้าน
หากราคาปรับตัวลงมาทดสอบเส้น EMA ที่ทำหน้าที่เป็นแนวรับ และเด้งกลับขึ้นไป อาจเป็นจุดเข้าเทรด Buy
หากราคาปรับตัวขึ้นมาทดสอบเส้น EMA ที่ทำหน้าที่เป็นแนวต้าน และปรับตัวลง อาจเป็นจุดเข้าเทรด Sell
การวัดความแข็งแกร่งของเทรนด์
หากระยะห่างระหว่างเส้น EMA หลายเส้นกว้างขึ้น แสดงว่าเทรนด์มีความแข็งแกร่ง
หากเส้น EMA เริ่มเข้ามาใกล้กัน อาจบ่งบอกถึงการสิ้นสุดของเทรนด์หรือการเข้าสู่ช่วงไซด์เวย์ (Sideway)
ข้อควรระวังในการใช้ EMA
EMA ตอบสนองต่อราคาที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจทำให้เกิดสัญญาณหลอก (False Signal) ได้ในตลาดที่ไม่มีแนวโน้มชัดเจน
ควรใช้ EMA ร่วมกับเครื่องมืออื่น เช่น RSI, MACD หรือ Fibonacci เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
สรุป
การใช้ EMA ในการหาเทรนด์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและเข้าใจง่าย เหมาะสำหรับนักเทรดทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมืออาชีพ อย่างไรก็ตาม ควรทำการทดสอบกลยุทธ์ (Backtest) และฝึกฝนการใช้งานในบัญชีทดลองก่อนนำไปใช้ในบัญชีจริง เพื่อให้มั่นใจว่ากลยุทธ์เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณ
Moving Average Guide เส้นไหนโดนใจที่สุดMoving Average Guide เส้นไหนโดนใจที่สุด
👯👯👯 กลับมาพบเจอกันอีกแล้ว กับบทวามเทคนิคดีๆในการเทรด วันนี้เอาใจเทรดเดอร์ที่ชื่นชอบเส้น EMA แต่เอ๊ะ EMA ทำไมมีหลายเส้นจัง มาครับ บทความนี้มีคำตอบ
Moving Average คืออะไร??
Moving Average (MA) หรือที่เราเรียกว่า เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ เป็น Indicators ที่ใช้ง่ายถึงง่ายที่สุดและถูกนำไปใช้งานบ่อยและเป็นที่นิยมมากในตลาดการเงินและะตลาดหุ้น
แต่เคยสังเกตุมั้ยทำไมเส้น Moving Average ถึงมีให้เลือกใช้งานมากมายหลากหลายประเภทจัง ในหัวข้อนี้แอดจะเน้นไปที่เส้น Exponential Moving Average (EMA) เพราะเป็นค่ามาตรฐานที่ค่อนข้างละเอียด และเป็นที่นิยมกันมาก
ส่วนใหญ่ เส้น EMA ก็จะมีการคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลังไปครับ ไม่ว่าจะเป็นเส้นย้อนหลังไป 5 วัน หรือ 10 วัน 100 วัน หรือมากกว่า ทีนี้เรามาดูกันดีกว่า ว่าเส้น EMA ย้อนหลัง เส้นแบบไหนที่เหมาะกับเราบ้าง
1. หากเราชื่นชอบการเทรดสั้นๆเน้นเข้าเร็วออกเร็ว เหมาะกับการเทรดแบบ Day Trading และ Scalping ปิดจบในวัน แอดแนะนำให้ใช้เส้น 5 หรือ 9 หรือ 10 โดยที่เราต้องมีเส้นตัดบอกทิศทาง 1-2 เส้นขึ้นไปร่วมด้วย เพื่อบอกแนวรับแนวต้าน ส่วนใหญ่จะใช้เส้น 20 , 100 เป็นเส้นหลักในการรตัดกัน
2. หากเราชื่นชอบการเทรดระยะกลางๆปิดจบรายวัน ตั้งแต่ H1 ขึ้นไปจนรายวัน และเหมาะกับการเทรดตามเทรนด์ หรือ Trend Following แอดแนะนำให้ใช้เส้น 25 หรือ 50 หรือ 75 โดยที่เราต้องมีเส้นตัดบอกทิศทาง 1-2 เส้นขึ้นไปร่วมด้วย เพื่อบอกแนวรับแนวต้าน ส่วนใหญ่จะใช้เส้น 20 , 100 เป็นเส้นหลักในการรตัดกัน
3. หากเราชื่นชอบการเทรดระยะยาว ตั้งแต่รายวันจนถึงรายวีคและรายเดือนขึ้นไป เหมาะกับการเทรดตามเทรนด์ หรือ Trend Following แอดแนะนำให้ใช้เส้น 20 ร่วมกับเส้น 100 และ 200 ขึ้นไป โดยที่เราต้องมีเส้นตัดบอกทิศทาง 1-2 เส้นขึ้นไปร่วมด้วย เพื่อบอกแนวรับแนวต้าน
เส้น EMA ที่นิยมใช้
เส้น EMA5 = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 วันทำการ หรือ 1 สัปดาห์
เส้น EMA10 = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 วันทำการ หรือ 2 สัปดาห์ หรือ ประมาณครึ่งเดือน
เส้น EMA20 = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 20 วันทำการ หรือ 4 สัปดาห์ หรือ เกือบๆ 1 เดือน
เส้น EMA25 = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 25 วันทำการ หรือ ประมาณ 1 เดือน
เส้น EMA40 = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 40 วันทำการ หรือ 8 สัปดาห์ หรือ เกือบๆ 2 เดือน
เส้น EMA50 = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 50 วันทำการ หรือ ประมาณ 2 เดือน
เส้น EMA75 = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 75 วันทำการ หรือ ประมาณ 3 เดือน หรือ 1 ไตรมาส
เส้น EMA200 = การคำนวณค่าเฉลี่ยเป็นตัวเลขกลม ๆ ของจำนวนวันประมาณ 3 ไตรมาส
👽👽👽 เป็นอย่างไรกันบ้างครับพอจะได้ทริคดีๆในการใช้เส้น EMA กันบ้างแล้วใช่มั้ยครับ แอดว่ามันเรียบง่ายและใช้ง่ายที่สุดแล้วครับ แต่อย่าใส่เส้น EMAเยอะเกินไปจนลายตานะครับ ไม่งั้นนอกจากจะดูกราฟไม่รู้เรื่องแล้วเผลอๆจะเข้าออเดอร์ผิดๆถูกๆไปอีก
แล้วที่สำคัญ หมั่นฝึกฝนการเทรดให้ได้ทุกวัน ยิ่งเราเทรดบ่อยๆเราจะเก่งขึ้นเองครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM และสร้างแผนการเทรดที่ดีด้วยนะครับ จะช่วยทำให้เราแกร่งมากยิ่่งขึ้น และเจ็บน้อยลง แอดเอาใจช่วยนะครับ
ความยากในการเป็น Full-Time Traderการเป็น Full-Time Trader คือความฝันของใครหลายคนที่ต้องการอิสรภาพทางการเงินและเวลา แต่ในความเป็นจริงนั้น ความยากลำบากและความท้าทายที่ซ่อนอยู่มักไม่ได้รับการพูดถึงอย่างชัดเจน บทความนี้จะพาคุณสำรวจปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้การเป็น Full-Time Trader ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่หลายคนคิด
1. ความกดดันทางการเงิน
Full-Time Trader ต้องพึ่งพารายได้จากการเทรดเป็นหลัก หากผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง อาจทำให้เกิดความเครียดสะสม อีกทั้งยังต้องเผชิญกับภาระค่าใช้จ่ายประจำ เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่น ๆ การไม่มีรายได้ที่มั่นคงเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ
2. ความไม่แน่นอนของตลาด
ตลาดการเงินมีความผันผวนสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่นักเทรดต้องเผชิญในทุกวัน การคาดการณ์ทิศทางของตลาดไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ว่าคุณจะมีประสบการณ์หรือใช้เครื่องมือทางเทคนิคที่ยอดเยี่ยมก็ตาม การขาดทุนอย่างต่อเนื่องอาจทำให้ขาดความมั่นใจและส่งผลต่อจิตใจ
3. การบริหารความเสี่ยง
หนึ่งในทักษะที่สำคัญที่สุดของ Full-Time Trader คือการบริหารความเสี่ยง หากไม่มีการวางแผนที่ดีหรือการควบคุมความเสี่ยงที่เหมาะสม อาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ในระยะเวลาอันสั้น การรักษาเงินทุนเป็นสิ่งที่ยากและต้องอาศัยความมีวินัยอย่างสูง
4. ความรู้และทักษะที่จำเป็น
Full-Time Trader ไม่ได้อาศัยแค่โชคหรือการคาดเดา แต่ต้องมีความรู้เกี่ยวกับตลาด การวิเคราะห์เทคนิค และการวางกลยุทธ์อย่างแม่นยำ การพัฒนาทักษะเหล่านี้ต้องใช้เวลา การฝึกฝน และการลงทุนในการศึกษาอยู่ตลอดเวลา
5. ผลกระทบต่อสุขภาพจิต
ความกดดันจากการขาดทุน ความกลัวที่จะพลาดโอกาส (FOMO) หรือแม้กระทั่งการติดตามตลาดตลอดเวลา สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตได้อย่างมาก Full-Time Trader ต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งและสามารถจัดการอารมณ์ของตนเองได้ดี
6. การจัดการเวลา
แม้ว่าการเป็น Full-Time Trader จะดูเหมือนมีอิสระในการจัดการเวลา แต่ในความเป็นจริง การติดตามตลาด วิเคราะห์กราฟ และวางแผนการเทรดอาจใช้เวลามากกว่าการทำงานประจำเสียอีก การไม่มีตารางเวลาที่ชัดเจนอาจนำไปสู่ความเหนื่อยล้าและลดประสิทธิภาพในการเทรด
7. การปรับตัวกับเทคโนโลยี
ในยุคปัจจุบัน การเทรดต้องอาศัยเทคโนโลยี เช่น การใช้โปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูล การตั้งค่า EA (Expert Advisor) หรือการใช้ API เพื่อการเทรดอัตโนมัติ Full-Time Trader ต้องมีความเข้าใจในเทคโนโลยีเหล่านี้และพร้อมที่จะปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลง
วิธีเตรียมตัวรับมือกับความยากลำบาก
การวางแผนทางการเงิน: ควรมีเงินสำรองอย่างน้อย 6-12 เดือนเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายในกรณีที่เทรดไม่มีกำไร
การเรียนรู้และพัฒนา: หมั่นศึกษาและปรับปรุงกลยุทธ์การเทรดของตนเองอยู่เสมอ
การสร้างเครือข่าย: การพูดคุยและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเทรดเดอร์คนอื่นสามารถช่วยให้คุณเห็นมุมมองใหม่ ๆ
การดูแลสุขภาพ: นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย และฝึกสมาธิเพื่อลดความเครียด
บทสรุป
การเป็น Full-Time Trader ไม่ใช่เพียงแค่การซื้อขายในตลาดการเงิน แต่ยังต้องมีวินัย ความรู้ และความสามารถในการจัดการอารมณ์ของตนเอง แม้ว่าจะมีความยากลำบาก แต่หากเตรียมตัวและปรับตัวอย่างเหมาะสม คุณอาจสามารถก้าวข้ามความท้าทายและประสบความสำเร็จในสายอาชีพนี้ได้
How To Hold Swing Trades สวิงเทรดแบบไหนให้ได้กำไรHow To Hold Swing Trades สวิงเทรดแบบไหนให้ได้กำไร
👽👽 กลับมาพบเจออกันอีกแล้ว กับเทคนิคการทำกำไร ทริคดีๆทริคเด็ดๆ ที่แอดเอามาฝากกันเช่นเคย วันนี้เอาใจสายเทคนิคอลอีกแล้ว ใครที่ชื่นชอบการเทรดสวิงเทรนรีบมาอ่านกันในโพสนี้
Swing Trades การเทรดแบบสวิงเทรดจัดเป็นกลยุทธิ์การเทรดที่ทำกำไรได้ดีทีเดียวด้วย win rate 60-70% จัดว่าเด็ดไม่เบาทีเดียวเชียว กลยุทธิ์นี้ไม่เหมาะกับคนที่มือหนักใจหนักนะฮะ รักจะเทรดแนวนี้ต้องตอดเล็กตอดน้อยฮะ เล็กสั้น ขยันซอย ว่าซั่น
Swing Trades เทรดอย่างไร??
1. ปกติแล้วการเทรดแบบ Swing Trade มักจะเทรดบ่อยๆไม่เน้นการถือออเดอร์ข้ามวันฮะ แต่บางทีอาจต้องถือออเดอร์นานหลายวัน ทำไมหล่ะ ?? ถ้าพูดภาษาง่ายๆบ้านๆ คือใช้ออเดอร์ไม้ล่อ เป็นหินถามทางนั่นเอง
2. เมื่อมีออเดอร์ไม้ล่อให้ดูแล้ว เราจะรู้จุดเข้าออกได้ไม่ยาก ในการทำกำไร และสามารถคำนวณกำไร ขาดทุนได้ง่ายกว่าเดิม เทรนด์ส่วนใหญ่มักมี 2 รูปแบบ คือ Sideway up ค่อยๆไต่ขึ้น และ sideway down ค่อยๆไต่ลง
3. ฟังดูง่ายแต่ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นต้องอาศัยเทคนิคเฉพาะตัวในการเทรดมานานๆ และอินดิเคเตอร์คู่ใจสัก 2-3 ตัวไว้ช่วยตัดสินใจการเข้าเทรดฮะ ส่วนมากจะนิยมใช้ใน Time Frame 30M และ 4H และส่วนใหญ่ให้น้ำหนักจากกราฟแท่งเทียนเป็นสัญญาณในการเข้าออเดอร์
4. การ Swing Trade มักใช้ Risk Reward ประเมินจุดเข้า (Entry),จุดทำกำไร (Exit) และจุดตัดขาดทุน (Stoploss) จึงได้รับความนิยมในฐานะที่ใช้ควบคุมและจัดการความเสี่ยงได้อย่างดี
หลักในการเทรด Swing Trades
1. เก็บเล็กผสมน้อย
เน้นการเข้าเร็วออกเร็ว โดยอาศัยจังหวะการเด้งขึ้นเด้งลงตามกรอบไซด์เวย์ ที่เป็นแนวรับแนวต้าน
2. เข้าเร็วออกเร็ว
การเทรดลักษณะนี้ใช้เวลาไม่นานในการเฝ้าจอ หรือบางทีไม่ต้องเฝ้าจอก็ได้ เพราะราคามักเด้งขึ้นเด้งลงในกรอบ และขยับไม่มากค่าเฉลี่ยระยะการวิ่งในการทำกำไรจึงอยู่ที่ 100-200 จุด ขึ้นอยู่กับคู่สกุลเงินด้วยอีกทาง
3. ย่อแล้วไปต่อ
เน้นการทำกำไรจากการลงไปทดสอบแนวรับหรือต้านเดิมแล้วไม่ผ่าน จากกรอบไซด์เวย์นั้นๆ เพื่อย่อแล้วไปต่อ
4. สั้นก็ได้ ยาวก็ดี
สามารถเทรดพลิกแพลงให้เก็บกำไรในระยะยาวได้ด้วยนะเออ หากเรามีไม้ล่อและมีทุนมากพอในการเทรดแบบต่อเนื่อง เช่นกลยุทธิ์การเทรดแบบมาร์ติงเกลที่หวังผลในระยะยาวในการทบต้นทบดอกแต่ถ้าเงินทุนไม่มากพอ ไม่แนะนำให้ลองนะฮะ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ได้ทริคดีๆในการทำกำไรเพิ่มกันแล้วใช่มั้ยครับ อย่าลืมเอาไปลองใช้กันดูนะฮะ ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นเทคนิคการทำกำไรเบอร์ต้นๆของเราเลยก็ว่าได้ แอดหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เราอ่านกราฟได้ดี อ่านกราฟได้เก่งมากขึ้นนะครับ จำไว้เสมอว่ากราฟมีขึ้นแล้วก็มีลง ไม่ต้องไปเครียดกะมันหมั่น ฝึกฝนและเพิ่มเติมความรู้อย่างสม่ำเสมอ รับรอง เทรดยังไงก็รอดครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM กันด้วยนะครับ วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่งแน่นอนครับ แอดเอาใจช่วยสู้ๆ
High Net Worth คือใคร : ความหมายและวิธีการใช้ประโยชน์ในโลกของการลงทุนและการเทรด บุคคลที่มีความมั่งคั่งระดับสูง หรือ High Net Worth Individuals (HNWIs) ถือเป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในตลาดการเงิน ด้วยสินทรัพย์ที่มากพอสำหรับการลงทุน พวกเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นกลุ่มลูกค้าพิเศษที่มีสิทธิพิเศษเหนือกว่านักลงทุนทั่วไป ไม่เพียงแต่พวกเขาสามารถเข้าถึงโอกาสการลงทุนที่หลากหลายเท่านั้น แต่ยังมีทรัพยากรและเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรอีกด้วย
ในบทความนี้ เราจะอธิบายความหมายของ High Net Worth และวิธีที่เราสามารถใช้ประโยชน์จากสถานะ HNW ในการเทรดและการลงทุนได้
High Net Worth คืออะไร?
High Net Worth หมายถึงบุคคลที่มีทรัพย์สินทางการเงินพร้อมลงทุนในระดับที่สูง ซึ่งมักกำหนดเกณฑ์เริ่มต้นที่ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 35 ล้านบาท) ขึ้นไป โดยไม่รวมมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย
บุคคล HNW มักถูกจัดกลุ่มตามระดับความมั่งคั่งเพิ่มเติม เช่น:
High Net Worth Individuals (HNWIs): ทรัพย์สิน 1-5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Very High Net Worth Individuals (VHNWI): ทรัพย์สิน 5-30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Ultra High Net Worth Individuals (UHNWIs): ทรัพย์สินมากกว่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
High Net Worth ในการเทรด: บทบาทและสิทธิพิเศษ
กลุ่ม HNW มีอิทธิพลสำคัญในตลาดการเงิน เนื่องจากความสามารถในการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงและกลยุทธ์การลงทุนที่ซับซ้อน สิทธิพิเศษที่มักมอบให้กลุ่ม HNW ได้แก่:
บัญชีพรีเมียมสำหรับการเทรด (Premium Trading Accounts)
-โบรกเกอร์หลายแห่งเสนอ บัญชี VIP สำหรับ HNW ซึ่งมาพร้อมเงื่อนไขที่ดีกว่า เช่น:
-ค่าธรรมเนียมต่ำกว่า
-เลเวอเรจที่สูงขึ้น
-รายงานการวิเคราะห์เชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ
-การเข้าถึงสินทรัพย์เฉพาะกลุ่ม
-HNW สามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความพิเศษ เช่น:
กองทุนเฮดจ์ฟันด์ (Hedge Funds)
ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives)
สินทรัพย์ทางเลือก เช่น คริปโตเคอร์เรนซี หรืออสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียม
การสนับสนุนและคำแนะนำส่วนบุคคล
ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินมักจัดทำแผนการลงทุนเฉพาะตัวสำหรับลูกค้า HNW เพื่อช่วยให้พวกเขาบรรลุ
เป้าหมายทางการเงิน
การเข้าถึงตลาดพิเศษ
นักลงทุน HNW มีสิทธิ์เข้าถึง IPO (Initial Public Offering) หรือโอกาสการลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพก่อนนักลงทุนทั่วไป
Divergence analysis สัญญาณไดเวอร์เจ้นท์บอกอะไรได้บ้าง??Divergence analysis สัญญาณไดเวอร์เจ้นท์บอกอะไรได้บ้าง??
👽👽 กลับมาพบเจออกันอีกแล้ว กับเทคนิคการทำกำไร ทริคดีๆทริคเด็ดๆ ที่แอดเอามาฝากกันเช่นเคย วันนี้เอาใจสายเทคนิคอลอีกแล้ว ใครที่ชื่นชอบกราฟเปล่า และอินดิเคเตอร์น้อยๆ ต้องมาลองครับ กับสัญญาณไดเวอร์เจ้นท์ ที่จัดว่าแม่นเว่อร์เหมือนจับวาง มันใช้กันอย่างไร ตามมาอ่านกันได้เลยครับ
Divergence คืออะไร
Divergence คือสัญญาณการขัดแย้งระหว่างราคาและอินดิเคเตอร์ (Indicators) คือราคาเคลื่อนที่ไปยังทิศทางหนึ่ง ส่วนอินดิเคเตอร์เคลื่อนที่ไปอีกทิศทางหนึ่ง เรียกว่าวิ่งกันไปคนละทาง
รูปแบบแพทเทรินของ สัญญาณ Divergence
สัญญาณ Divergence หาได้จากอินดิเคเตอร์ตัวไหนบ้าง ?
เรามักจะใช้อินดิเคเตอร์เพื่อหาสัญญาณ Divergence ประเภท Oscillator ลักษณะอินดิเคเตอร์ที่วิ่งอยู่ในกรอบ เช่น RSI, MACD และ Stochastic Oscillator เป็นต้น
Divergence แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ
1. Bullish Divergence ขาขึ้น
2. Bearish Divergence ขาลง
หลักการหาจุดเข้าจากสัญญาณไดเวอร์เจ้นท์
1. กราฟเปล่า + MACD
อินดิเคเตอร์ตัวนี้จัดเป็นตัวยอดนิยมอันดับหนึ่งในการใช้หาสัญญาณไดเวอร์เจ้นท์แต่มักให้สัญญาณที่ค่อนข้างช้า แต่ชัวร์ โดยจะนิยมใช้ใน Time Frame 1H และ 4H
- เมื่อราคาแท่งเทียนเกิดสัญญาณในทิศทางตรงกันข้ามกันแล้ว ให้เราใช้สัญญาณ MACD เป็นสัญญาณหลักในการเข้าออเดอร์
**** ตัวอย่างจากรูป MACD มีคลื่นที่ต่ำลง ในขณะที่แท่งเทียนทำยอดสูงขึ้น ให้เรามองหาจุดเข้า SELL เพื่อทำกำไร
2. กราฟเปล่า + Stochastic Oscillator
อินดิเคเตอร์ตัวนี้มักให้สัญญาณที่ค่อนข้างไว ทำให้เราสามารถพบ Divergence ได้ค่อนข้างบ่อย และอาจเจอสัญญาณหลอกได้อีก โดยจะนิยมใช้ใน Time Frame 30M และ 4H และส่วนใหญ่ให้น้ำหนักจากกราฟแท่งเทียนเป็นสัญญาณในการเข้าออเดอร์
3. กราฟเปล่า + RSI
RSI ย่อมาจากคำว่า Relative Strength Index โดย RSI เป็นอินดิเคเตอร์ตัวหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในตลาด แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนักในการหาสัญญาณไดเวอร์เจ้นท์ เนื่องจาก ค่อนข้างเกิดขึ้นยากมากๆ และใช้เวลานาน แต่ก็เกิดขึ้นได้และแม่นด้วย โดยจะนิยมใช้ใน Time Frame 1H และ 4H การหาจุดเข้าออเดอร์มักให้น้ำหนักไปทางตัว RSI เป็นหลัก
👽👽👽 เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ได้ทริคดีๆในการทำกำไรเพิ่มกันแล้วใช่มั้ยครับ อย่าลืมเอาไปลองใช้กันดูนะฮะ ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นเทคนิคการทำกำไรเบอร์ต้นๆของเราเลยก็ว่าได้ แอดหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เราอ่านกราฟได้ดี อ่านกราฟได้เก่งมากขึ้นนะครับ จำไว้เสมอว่ากราฟมีขึ้นแล้วก็มีลง ไม่ต้องไปเครียดกะมันหมั่น ฝึกฝนและเพิ่มเติมความรู้อย่างสม่ำเสมอ รับรอง เทรดยังไงก็รอดครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM กันด้วยนะครับ วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่งแน่นอนครับ แอดเอาใจช่วยสู้ๆ
ปัจจัยที่จะทำให้ Bitcoin (BTC) ไปถึง $100,000Bitcoin (BTC) ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลชั้นนำของโลก มักได้รับการคาดการณ์ถึงศักยภาพในการพุ่งสูงขึ้นถึง $100,000 ต่อ 1 BTC แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวนักสำหรับนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญในแวดวงการเงินดิจิทัล เนื่องจากมีปัจจัยหลายประการที่สามารถผลักดันให้ราคา BTC ขึ้นไปแตะระดับนี้ได้
1. อุปสงค์และอุปทาน (Demand and Supply)
BTC มีจำนวนจำกัดอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ทำให้มันแตกต่างจากเงินตราปกติที่สามารถพิมพ์เพิ่มได้ไม่จำกัด เมื่อมีความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นจากนักลงทุนหรือบริษัทต่าง ๆ ในขณะที่อุปทานยังคงเดิม ราคาของ BTC จึงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น การ Halving ซึ่งเกิดขึ้นทุก 4 ปี ช่วยลดจำนวน BTC ใหม่ที่เข้าสู่ตลาด ส่งผลให้ราคามักพุ่งสูงในระยะยาว
2. การยอมรับจากสถาบันการเงิน (Institutional Adoption)
สถาบันการเงินและบริษัทขนาดใหญ่ เช่น Tesla, MicroStrategy, และ Grayscale มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับ BTC การที่บริษัทเหล่านี้ถือ BTC เป็นสินทรัพย์สำรอง หรือแม้แต่การใช้ BTC ในการชำระเงิน จะช่วยสร้างความต้องการในระดับมหภาค
นอกจากนี้ สถาบันการเงินเช่น BlackRock และ Fidelity ยังมีแผนเปิดตัว Bitcoin ETF ซึ่งสามารถดึงดูดนักลงทุนรายใหญ่เข้าสู่ตลาดได้มากขึ้น
3. สภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ (Economic Conditions and Inflation)
ในช่วงที่เงินเฟ้อสูงและความเชื่อมั่นในระบบการเงินแบบดั้งเดิมลดลง BTC มักถูกมองว่าเป็น "ทองคำดิจิทัล" ที่สามารถรักษามูลค่าได้ นักลงทุนจำนวนมากจึงเลือกถือ BTC เป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยง
4. การพัฒนาเทคโนโลยีและเครือข่าย (Technological Advancements)
Bitcoin Lightning Network และโซลูชัน Layer 2 ช่วยลดค่าธรรมเนียมและเพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรม ซึ่งช่วยให้ BTC ใช้งานได้ง่ายขึ้น การพัฒนาเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้เกิดการใช้งานจริงในวงกว้างและเพิ่มมูลค่าของ BTC
5. การสนับสนุนจากรัฐบาลและการออกกฎหมาย (Government Support and Regulation)
แม้ว่ากฎระเบียบเกี่ยวกับคริปโตเคอเรนซีจะยังมีความไม่แน่นอนในหลายประเทศ แต่การสนับสนุนในเชิงบวกจากรัฐบาลบางแห่ง เช่น เอลซัลวาดอร์ ที่ประกาศใช้ BTC เป็นสกุลเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย อาจกระตุ้นให้ประเทศอื่น ๆ ทำตาม
ในทางกลับกัน หากมีการออกกฎหมายที่ชัดเจนและสนับสนุนการใช้คริปโตเคอเรนซีในตลาดการเงิน กระแสการลงทุนใน BTC อาจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
6. พฤติกรรมของนักลงทุนและจิตวิทยาตลาด (Investor Behavior and Market Psychology)
BTC มีความผันผวนสูง และมักได้รับแรงกระตุ้นจากกระแสข่าวและความเชื่อมั่นของนักลงทุน หากมีข่าวบวกเกี่ยวกับ BTC อย่างต่อเนื่อง เช่น การเพิ่มการยอมรับในวงกว้าง หรือการคาดการณ์ราคาที่ทะลุเพดานใหม่ จะช่วยสร้างแรงซื้ออย่างมหาศาลและผลักดันให้ราคาพุ่งขึ้น
สรุป
ปัจจัยข้างต้นล้วนมีส่วนสำคัญในการผลักดัน BTC ไปสู่เป้าหมาย $100,000 อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรตระหนักว่า ตลาดคริปโตเคอเรนซีมีความเสี่ยงสูงและอาจมีการปรับตัวลงในระยะสั้น การลงทุนใน BTC หรือสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ ควรพิจารณาจากข้อมูลที่รอบคอบและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ
BTC มีศักยภาพสูงในการเป็นสินทรัพย์แห่งอนาคต แต่ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการสนับสนุนและการยอมรับในระดับโลกที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
โครงสร้างของ Three Hills and a Mountain**Three Hills and a Mountain Pattern** เป็นรูปแบบกราฟราคาที่ใช้ใน **การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)** โดยส่วนใหญ่มักปรากฏในตลาดที่มีความผันผวนสูง เช่น ตลาดคริปโต (Cryptocurrency) ซึ่งสามารถใช้ระบุจุดกลับตัวหรือแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นได้ รูปแบบนี้ประกอบด้วย:
### โครงสร้างของ Three Hills and a Mountain
1. **Three Hills (เนินสามลูก)**
- กราฟแสดงการขึ้นและลงของราคาที่มีลักษณะเป็นยอดเขาสามลูกติดกัน
- เนินเหล่านี้อาจมีระดับสูงที่ใกล้เคียงกันหรือค่อยๆ ลดลง/เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
- แต่ละยอดอาจเกิดจากแรงขายหรือแรงซื้อที่ลดลงอย่างช้าๆ
2. **A Mountain (ภูเขาใหญ่)**
- ราคาทำการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมักเป็นภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในรูปแบบ
- หลังจากนี้จะเกิดการกลับตัวของราคา (reversal)
### ตัวอย่างการตีความ
- ในแง่ **ขาขึ้น**: รูปแบบนี้อาจสะท้อนแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเมื่อถึงภูเขาใหญ่ จะมีแรงขายออกมาในปริมาณมาก
- ในแง่ **ขาลง**: หากภูเขาใหญ่เกิดหลังจากขาลง และราคากลับตัวไปทางขึ้น อาจแสดงถึงการสิ้นสุดของแนวโน้มขาลง
---
### ตัวอย่างในกราฟเหรียญ ETH
สมมติว่า ETH มีราคาต่อเนื่องดังนี้:
1. **ช่วงต้น (Three Hills):**
- Hill 1: ราคาขึ้นไปแตะ $1,900 แล้วปรับลงมา $1,850
- Hill 2: ราคาขึ้นไปแตะ $1,910 แต่ปรับลงมา $1,860
- Hill 3: ราคาขึ้นไปแตะ $1,920 แล้วลงมาที่ $1,870
2. **ช่วงภูเขาใหญ่ (The Mountain):**
- ราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วไปแตะ $2,000
- หลังจากนั้นปรับฐานลงมาที่ $1,850
---
### การวิเคราะห์
1. **กรณี Bullish (แนวโน้มขึ้น):**
- หากหลังจากปรับฐานลงมาที่ $1,850 แล้วราคากลับตัวขึ้นใหม่ เช่น ทะลุ $2,000 อาจแสดงถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่ง
2. **กรณี Bearish (แนวโน้มลง):**
- หากราคาปรับตัวต่ำกว่า $1,850 ต่อเนื่อง อาจเป็นสัญญาณว่าผู้ขายเริ่มควบคุมตลาด
---
### เคล็ดลับในการใช้:
1. ยืนยันด้วย **อินดิเคเตอร์** อื่นๆ เช่น RSI, MACD หรือ Volume เพื่อดูว่าการกลับตัวนั้นแข็งแรงหรือไม่
2. ใช้การตั้ง Stop-loss เพื่อจัดการความเสี่ยง เนื่องจากตลาดคริปโตมีความผันผวนสูง
**Three Hills and a Mountain Pattern** ร่วมกับ **Fibonacci Retracement** สามารถวิเคราะห์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ Fibonacci เพื่อระบุจุดเข้าและออกจากตลาดอย่างแม่นยำ เราจะพิจารณาโครงสร้างและแนวทางตามทฤษฎีดังนี้:
---
### **โครงสร้างตามทฤษฎี Three Hills and a Mountain**
1. **Three Hills**
- กราฟสร้างยอด 3 ลูก โดยอาจมีระดับสูงที่ใกล้เคียงกันหรือปรับขึ้นลงเล็กน้อย
- มักแสดงถึงการปรับฐานระหว่างแนวโน้ม
2. **The Mountain**
- ราคาพุ่งขึ้น (หรือร่วงลง) อย่างรวดเร็ว เป็นยอดใหญ่ที่สุด
- หลังจากนั้นจะเกิดการปรับฐานอย่างมีนัยสำคัญ
---
### **การใช้งาน Fibonacci กับ Three Hills and a Mountain**
1. **ระบุจุดสำคัญ:**
- ใช้ Fibonacci Retracement จากจุดต่ำสุดของเทรนด์ก่อนหน้า (Swing Low) ไปยังจุดสูงสุดของภูเขาใหญ่ (Swing High)
- ระดับ Fibonacci สำคัญที่ต้องจับตา:
- **0.236 (23.6%)**: การพักฐานเล็กน้อย
- **0.382 (38.2%) และ 0.5 (50%)**: จุดปรับฐานปานกลาง
- **0.618 (61.8%)**: จุดปรับฐานสำคัญที่มักเป็นโซนกลับตัว
- **0.786 (78.6%)**: สัญญาณแนวโน้มเปลี่ยน
2. **จุดเข้า (Entry Point):**
- หากราคาแตะระดับ **0.618** หรือใกล้เคียง พร้อมมีสัญญาณยืนยัน (เช่น RSI Oversold หรือ Divergence)
- เข้าเมื่อราคากลับขึ้นเหนือระดับ 0.618 หรือ 0.786
3. **จุดออก (Exit Point):**
- ใช้ Fibonacci Extension เพื่อคาดการณ์เป้าหมาย:
- **1.618 (161.8%)** หรือ **2.0 (200%)** มักเป็นจุดทำกำไรในขาขึ้น
- หากราคาไม่สามารถทะลุระดับ 1.0 เดิมได้ อาจเลือกปิดส่วนหนึ่งที่ระดับ 0.618
---
### **ตัวอย่างกราฟ ETH ตาม Fibonacci**
1. **ช่วง Three Hills:**
- Hill 1: ราคาแตะ $1,900
- Hill 2: ราคาแตะ $1,910
- Hill 3: ราคาแตะ $1,920
- Swing Low: $1,850
2. **The Mountain:**
- ราคาเด้งขึ้นไปแตะ $2,050 (Swing High)
3. **การปรับฐาน:**
- ราคาเริ่มปรับลง: ใช้ Fibonacci Retracement จาก $1,850 ถึง $2,050
- ระดับที่พบ:
- **0.382 (38.2%)**: $1,960
- **0.618 (61.8%)**: $1,920
4. **กลยุทธ์การเข้าออก:**
- หากราคาปรับตัวลงใกล้ $1,920 (0.618) และ RSI แสดง Oversold → **จุดเข้า Buy**
- เป้าหมายการทำกำไรที่ $2,100 (1.618) หรือ $2,200 (2.0)
---
### **สรุปจุดเข้าและออก**
- **จุดเข้า:** เมื่อราคากลับขึ้นเหนือระดับ 0.618 ($1,920)
- **จุดออกระยะสั้น:** $2,050 (ระดับเดิม)
- **จุดออกระยะยาว:** $2,100 (Fibo 1.618) หรือ $2,200 (Fibo 2.0)
Block Trade คืออะไร?Block Trade คืออะไร เทรดอย่างไร ?
👯👯👯 สำหรับใคร ที่ชื่นชอบความท้าทาย และต้องการมีรายได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในหุ้น ให้รีบมาอ่านบทความนี้ เพราะหากเราลองเปรียบเทียบ การลงทุนในหุ้นด้วยจำนวนเงินที่เท่าๆกัน แต่เราสามารถสร้างผลตอบแทนและกำไรได้มากกว่าหลายเท่าตัวด้วย Block trade จะดีกว่ามั้ย มาครับมาตามอ่านกัน
Block Trade คืออะไร?
Block Trade เป็นหนึ่งในบริการที่บริษัทหลักทรัพย์จัดทำให้กับลูกค้าที่มีความต้องการลงทุนใน Single Stock Future (SSF) ซึ่งมีวิธีการซื้อขายแบบจับคู่ซื้อขาย (SSF) ที่ราคา และจำนวนสัญญาที่ตกลงกันไว้ เพื่อช่วยเรื่องสภาพคล่องที่ไม่เพียงพอ
Single Stock Futures (SSF) แรกเริ่มเดิมที คือ การซื้อขายสัญญา Futures ของหุ้นอ้างอิงที่เราสนใจนั่นเอง โดยมากแล้วหุ้นอ้างอิงเหล่านี้มักจะเป็นสมาชิกของ SET50 ซะเป็นส่วนใหญ่ แล้วบวกเพิ่มเข้าไปกับหุ้น SET100 อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเมื่อรวมกันแล้ว ปัจจุบันมีทั้งหมด 69 หุ้นอ้างอิงที่เราสามารถเลือกซื้อขาย Long-Short โดยใช้ Single Stock Futures เป็นตัวช่วยในการเพิ่มอัตราทดให้พอร์ตการลงทุนของเราได้
แต่การซื้อขาย SSF กลับไม่ราบรื่นเท่าที่ควร เหตุก็เพราะว่าผู้เล่นในสนามนี้โดยมากแล้วจะเป็นนักลงทุนทั่วไป ที่มาตั้งซื้อ-ขายกันเอง ทำให้ “สภาพคล่อง” ของสินค้าชนิดนี้น้อย เป็นผลให้นักลงทุนไม่สามารถซื้อขายกันได้อย่างสะดวก ด้วยเหตุนี้เองทำให้ SSF ได้รับความนิยมน้อย และนักลงทุนไม่ให้ความสนใจมากนักเนื่องจากปัญหาสภาพคล่องที่ต่ำ
จนกระทั่งเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นผู้เพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาด SSF วิธีการคือบริษัทหลักทรัพย์เหล่านี้จะทำตัวเป็นคู่สัญญาให้กับผู้ซื้อทุกคน โดยมีเงื่อนไขว่า ผู้ซื้อจะต้องซื้อจำนวนสัญญา SSF เป็นจำนวนขั้นต่ำตามเกณฑ์ที่มีกำหนดขึ้นมาจากตลาดหลักทรัพย์
การจับคู่สัญญาของผู้ซื้อ และบริษัทหลักทรัพย์นี้เองที่เรียกว่า “BLOCK TRADE”
โดยที่หากผู้เล่นต้องการเปิด สถานะ LONG บริษัทหลักทรัพย์ก็จะมารับเป็นคู่สัญญาเปิด สถานะ SHORT ทำให้ออเดอร์ทั้งสองฝั่งแมทช์กันได้
ดังนั้น ในกรณีที่ราคาหุ้นขยับขึ้นไป ผู้เล่นก็จะมีกำไร และทางบริษัทหลักทรัพย์คู่สัญญาตรงข้ามก็จะต้องรับขาดทุนไปด้วย แต่บริษัทหลักทรัพย์ไม่ต้องการเปิดความเสี่ยงตรงนี้จุดนี้ จึงใช้วิธีป้องกันความเสี่ยง โดยการเข้าไปซื้อ “หุ้นจริงบนกระดาน” เอาไว้เท่ากับจำนวนที่เป็นคู่สัญญาให้กับผู้เล่น เพราะฉะนั้นแล้วบริษัทหลักทรัพย์ก็จะ “ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย” จากการเป็นคู่สัญญากับนักลงทุน เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้นักลงทุนสามารถใช้ประโยชน์จากอัตราทดของสินค้านี้ได้
ตัวอย่างขั้นตอนการทำ Block Trade (ตัวเลขสมมติ)
- ผู้เล่นติดต่อมาร์เกตติ้งส่วนตัวเพื่อขอทำ Block Trade หุ้น CBG 1 แสนหุ้น
- มาร์เกตติ้งส่งคำสั่งเปิด long CBG 100 สัญญา ถึงบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นคู่สัญญา
- บริษัทหลักทรัพย์ทำการซื้อหุ้น CBG 100,000 หุ้นจากบนกระดานหลักเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงตามที่ได้กล่าวไปด้านบน
- ลูกค้ามีสถานะ long CBG 100 สัญญา หรือเทียบเท่ากับมีหุ้น CBG 100,000 หุ้น
*** เหตุการณ์ทั้งหมดใช้เวลาเพียง 1-2 นาทีเท่านั้น ***
หลังจากที่มีโบรคเกอร์เข้ามาเป็นตัวกลางในการทำธุรกรรมนี้แล้ว ปริมาณการเทรด SSF จึงโตขึ้นถึง 10 เท่าตัว จากเดิมที่มีการซื้อขาย SSF เฉลี่ย 10,000 สัญญา ต่อวัน เขยิบขึ้นมาที่ราวๆ 80,000 สัญญาต่อวัน ซึ่งในวันที่มีการเทรดกันคึกคักสุดๆ จำนวนสัญญาเคยขึ้นไปสูงถึง 150,000 สัญญาต่อวันเลยทีเดียว
ทำไมผู้เล่นถึงเข้ามาเทรด Block Trade กันมากมายขนาดนี้ !!?
1. หุ้นที่สามารถทำ Block Trade ได้นั้น โดยมากจะเป็นหุ้นใน SET50 และ SET100
2. เลือกทิศทางได้ทั้งในฝั่ง LONG และ SHORT เพราะฉะนั้น ไม่ว่าตลาดจะเป็นขาขึ้น,ขาลง หรือแม้แต่ไซด์เวย์ ก็มีโอกาสให้กับผู้เล่นอยู่เสมอ
3. การทำ Block Trade ใช้เงินน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการซื้อหุ้นในตลาด
👽👽👽 เป็นอย่างไรกันบ้างครับพอจะเริ่มเป็นแนวทางในการหาเงินหรือกำไรเพิ่มขึ้นมั้ยครับ แอดว่ามันเข้าท่าดีนะครับ สำหรับคนที่มีเงินทุนน้อย และชอบเทรดในตลาดหุ้นที่มีทั้ง short และ long บอกเลยว่ามันได้ฟิลดีเหมือนกันนะเออ
แล้วอย่าลืม หมั่นฝึกฝนการเทรดให้ได้ทุกวัน ยิ่งเราเทรดบ่อยๆเราจะเก่งขึ้นเองครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM และสร้างแผนการเทรดที่ดีด้วยนะครับ จะช่วยทำให้เราแกร่งมากยิ่่งขึ้น และเจ็บน้อยลง แอดเอาใจช่วยนะครับ
Open Interest: ปัจจัยสำคัญในการวิเคราะห์ตลาดทองคำOpen Interest คืออะไร?
Open Interest (OI) คือจำนวนสัญญาซื้อขายที่ยังเปิดอยู่ในตลาดฟิวเจอร์สหรือออปชัน โดยไม่รวมสัญญาที่ปิดแล้ว ซึ่งหมายถึงจำนวนสัญญาที่ทั้งสองฝ่าย (ผู้ซื้อและผู้ขาย) ตกลงกันและยังไม่มีการปิดสถานะ สถิตินี้สามารถช่วยให้นักเทรดและนักลงทุนวิเคราะห์สภาพตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนอย่างทองคำ
บทบาทของ Open Interest ในตลาดทองคำ
ตลาดทองคำมีความซับซ้อนและได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น อัตราดอกเบี้ย ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์ ดังนั้น Open Interest จึงเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการประเมินความสนใจของนักลงทุนในสินทรัพย์นี้
การบ่งชี้แนวโน้มของตลาด
หาก Open Interest เพิ่มขึ้นในขณะที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น อาจบ่งชี้ว่ามีแรงซื้อใหม่เข้ามาในตลาด ซึ่งสามารถสนับสนุนแนวโน้มขาขึ้นได้
ในทางกลับกัน หาก Open Interest ลดลงในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น อาจแสดงว่าการเพิ่มขึ้นของราคามาจากการปิดสถานะ Short มากกว่าการเปิดสถานะใหม่
การยืนยันหรือกลับตัวของราคา
เมื่อราคาทองคำเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของ Open Interest อาจบ่งชี้ว่าราคาอยู่ในแนวโน้มที่แข็งแรง
หาก Open Interest ลดลงในช่วงที่ราคาเคลื่อนไหว อาจเป็นสัญญาณของการกลับตัวหรือสิ้นสุดแนวโน้ม
วิธีการวิเคราะห์ Open Interest ร่วมกับข้อมูลอื่น
Volume (ปริมาณการซื้อขาย):
Open Interest ควรใช้ควบคู่กับปริมาณการซื้อขาย เพราะ Volume บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของการเคลื่อนไหวในช่วงเวลาหนึ่ง
หาก Volume และ Open Interest เพิ่มขึ้นพร้อมกัน ตลาดมีแนวโน้มว่ากำลังสร้างความแข็งแกร่ง
COT Report (Commitments of Traders):
รายงาน COT ซึ่งเผยแพร่โดย CFTC (Commodity Futures Trading Commission) เป็นข้อมูลเสริมที่ดีในการวิเคราะห์ Open Interest
ช่วยให้เห็นภาพรวมของตำแหน่งซื้อขายของกลุ่มนักลงทุน เช่น ผู้จัดการกองทุนหรือผู้ป้องกันความเสี่ยง
ข้อควรระวังในการใช้งาน Open Interest
Open Interest เพียงอย่างเดียวไม่สามารถบอกทิศทางตลาดได้ จึงควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น ๆ เช่น กราฟเทคนิคหรือปัจจัยพื้นฐาน
ความผันผวนของตลาดทองคำสามารถเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การแถลงการณ์ของธนาคารกลาง
การดูข้อมูล Open Interest สำหรับทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ สามารถทำได้จากหลายเว็บไซต์ โดยแต่ละที่อาจมีจุดเด่นต่างกันตามความละเอียดและการนำเสนอข้อมูล ต่อไปนี้คือเว็บไซต์ที่นิยมใช้:
CME Group (Chicago Mercantile Exchange) , Investing.com,Barchart,TradingView
สรุป
Open Interest เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับนักเทรดทองคำในการวิเคราะห์แนวโน้มและความแข็งแกร่งของตลาด อย่างไรก็ตาม การใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพควรมาควบคู่กับการศึกษาปัจจัยอื่น ๆ เพื่อการตัดสินใจที่มั่นคงในตลาดที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอย่างตลาดทองคำ
Market Cycle รู้ไว้จะได้ไม่ดอยกับวัฏจักรตลาดMarket Cycle รู้ไว้จะได้ไม่ดอยกับวัฏจักรตลาด
👯👯👯 เพราะตลาดมีทั้งขึ้นและก็ลง มีใครเจ็บตัวจากการดิ่งลงของทองช่วงนี้มั้ย ยกมือขึ้น วันนี้แอดพาไปรู้จักกับกลไกวัฏจักรของตลาดการเงินกันครับ เผื่อว่าคนที่ดอยหรือล้างพอร์ตบ่อยๆจะได้ปลงและ มองเห็นความเป็นจริงที่มากขึ้น มาครับตามมาอ่านกันดีกว่า ว่ามันเป็นยังไง
เพราะตลาดมีทั้งขึ้นมีทั้งลง เคยสังเกตุไหม???? เพื่อนเราเทรดทอง เราเองก็เทรดทอง คนนึงบาย BUY คนนึงเซล SELL แต่เอ๊ะ ทำไมมันก็กำไรทั้งคู่นะ ไม่มีใครเทรดเสีย หรือบางทีก็เทรดเสียด้วยกันทั้งคู่ ทั้งคน BUY และคน SELL ตลาดเขาแรงจริงๆ ว่ามั้ย
Market Cycle จึงเป็นเหมือนเครื่องเตือนสติใจ ให้เราไม่วู่วามและเผชิญหน้ากับความจริงที่เป็นสิ่งไม่ตายนั่นเอง และเราก็ใช้สิ่งนี้แหละเป็นตัวตัดสินใจในการลงทุน และวางแผนการลงทุนได้อย่างมีระบบ
วัฎจักรตลาด (Market Cycle)
คือธรรมชาติของการซื้อขายบนความคาดหวัง เช่น บางคนคิดว่าราคาจะพุ่งขึ้นในตลาดขาขึ้นก็ซื้อหุ้นไว้ แต่พอเวลาผ่านไป ราคาขึ้นไปจนสุดแรง ก็อาจเกิดการรีบาว์นหรือกลับตัว เป็นตลาดขาลง ซึ่งเรามักใช้ปัจจัยอื่นๆประกอบในการวิเคราะห์เชิงเทคนิค และข่าวสารที่ส่งผลต่อหุ้นนั้นๆ
ทฤษฎีที่หลายคนนิยมใช้กันมีอยู่ 2 ทฤษฎี คือ
1. ทฤษฎีดาว (Dow Theory)
มีอยู่ด้วยกัน 4 ช่วงที่สำคัญคือ
- ช่วงเก็บของ (The accumulation phase)
เมื่อราคาหุ้นตกลงมากๆ ติดต่อกันนาน ๆ มูลค่าการซื้อ-ขาย จะน้อยลง จะเป็นช่วงรายใหญ่เก็บของในช่วงนี้และราคาจะไม่ขึ้นจนกว่าจะเก็บของเสร็จ
- ช่วงราคาพุ่งขึ้น/ผู้คนเริ่มรับรู้ตลาดขาขึ้น (Uptrend)
หุ้นในช่วงนี้นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มสนใจ เพราะเห็นว่ามันมีแนวโน้มที่ชัดเจน ข่าวที่ส่งผลต่อราคาอาจยังออกมาไม่มากนัก
- ช่วงเลิกเล่น (The distribution phase)
ช่วงที่หุ้นขึ้นมาอย่างร้อนแรง จนนักลงทุนส่วนใหญ่กระโดดเข้าไปตาม แต่มักจะเป็นช่วงที่ตลาดขึ้นไปสุดแล้ว และเป็นจุดเริ่มต้นของขาลงในคลื่นลูกใหม่
- ช่วงราคาร่วงหนัก/ผู้คนเริ่มรับรู้ตลาดขาลง (Downtrend)
หุ้นในช่วงนี้นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มตกใจและหดหู่จากตลาดร่วงอย่างหนัก เพราะเห็นว่ามันมีแนวโน้มที่ชัดเจนว่าราคาจะทำท่าลงต่อ
2. ทฤษฎี Wyckoff (Wyckoff Logic)
ทั้งสองทฤษฎีนี้มีความคล้ายคลึงกันอยู่ แต่แตกต่างกันตรงที่การแบ่งแยกช่วงต่างๆของวัฏจักร โดยหลักการ Wyckoff สามารถคาดการณ์ และ ดูทิศทางการเคลื่อนไหว ภายในกรอบซื้อขาย (Trading Range) และอาศัยความเป็นเหตุเป็นผลที่จับต้องได้ และเกิดซ้ำ ๆ จนเป็นวัฏจักรตลาด Wyckoff Logic มีทั้งหมด 4 ช่วงที่สำคัญคือ
- ระยะสะสม (Accumulation)
ในระยะสะสมจะมีการแบ่งช่วงย่อยเป็น Phase มีด้วยกัน 5 Phase หรือมองภาพให้ง่ายๆคือกรอบคลื่นย่อยๆค้ายคลื่นอีเลียตในกรอบย่อยนั่นเองเพื่อพักตัวและเลือกทางการไปต่ออีกครั้ง
- ระยะไล่ราคา (Mark Up / Uptrend)
ราคาจะมีทิศทางขาขึ้นค่อนข้างชัดเจน มีการไล่ราคากันอยู่เรื่อย ๆ สลับกับทยอยขายทำกำไร แต่เมื่อใดที่ราคาเคลื่อนไหว Sideway นาน ๆ หรือมีสัญญาณที่แนวโน้มขาขึ้นจะเปลี่ยนเป็นขาลง จุดนี้อาจเป็นจุดสูงสุดของขาขึ้น
- ระยะแจกจ่าย (Distribution)
ในระยะสะสมจะมีการแบ่งช่วงย่อยเป็น Phase มีด้วยกัน 5 Phase หรือมองภาพให้ง่ายๆคือกรอบคลื่นย่อยๆค้ายคลื่นอีเลียตในกรอบย่อยนั่นเอง แต่เป็นแบบกรอบพักตัวแล้วไต่ขึ้นหรือลงต่อ
- ระยะดิ่งเหว (Mark Down / Downtrend)
หลังจากผ่านช่วงแจกจ่ายไปแล้ว ตลาดก็เข้าสู่ขาลง ในช่วงนี้เราอาจจะเจอการเด้งกลับของราคาอยู่เป็นช่วงๆ หรือที่เรียกว่า “Rebound” ซึ่งในตลาดขาลงนี้ จะสามารถทำกำไรได้ในระยะสั้นๆ แต่ก็มีความเสี่ยงสูงมากหากเข้าซื้อ-ขายออกช้าเกินไป และหลังจากที่ระยะนี้จบลง ก็จะเริ่มเข้าสู่ระยะสะสม วนเป็นวัฏจักรแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
👽👽👽 เป็นอย่างไรกันบ้างครับพอจะเริ่มเข้าใจกลไกวัฏจักรของตลาดการเงินกันบ้างแล้วมั้ยครับ แอดบอกเลยว่ามันดีจริงๆนะ ทำให้เราไม่เครียดและหาทางออกในการแก้ไม้ของเราได้ดีเลยเชียวหละ ลองเอาไปปรับใช้กันดูครับ แอดเชื่อว่าไม่มากก็น้อย กำไรแน่นอน อยู่ที่ว่าเราเลือกชอบแบบไหน และเทรดให้ได้กำไรที่สุด
แล้วอย่าลืม หมั่นฝึกฝนการเทรดให้ได้ทุกวัน ยิ่งเราเทรดบ่อยๆเราจะเก่งขึ้นเองครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM และสร้างแผนการเทรดที่ดีด้วยนะครับ จะช่วยทำให้เราแกร่งมากยิ่่งขึ้น และเจ็บน้อยลง แอดเอาใจช่วยนะครับ
7 ความยากของการเป็นเทรดเดอร์การเป็นเทรดเดอร์ (Trader) หรือผู้ที่ทำการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดการเงินนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนที่หลายคนอาจคิด การมองการเทรดเป็นแค่การกดปุ่มซื้อและขายตามสัญญาณหรือการคาดเดาราคาก็อาจทำให้หลายคนมองข้ามความซับซ้อนของการเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพ บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจความยากของการเป็นเทรดเดอร์ที่ไม่ใช่แค่การวิเคราะห์กราฟหรือหาจังหวะในการเปิดออร์เดอร์ แต่ยังรวมไปถึงความท้าทายทางจิตใจและการจัดการกับความเสี่ยงที่มีอยู่เสมอ
1. การจัดการอารมณ์ (Emotional Control)
หนึ่งในความยากที่สำคัญที่สุดในการเป็นเทรดเดอร์คือการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความตื่นเต้นเมื่อทำกำไร หรือความวิตกกังวลเมื่อขาดทุน การตัดสินใจทางการเงินมักเกิดขึ้นจากการคาดเดาและสัญชาตญาณ ซึ่งสามารถถูกกระทบโดยอารมณ์ที่ผันผวน เมื่อเทรดเดอร์ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่รอบคอบ เช่น การตัดสินใจทำการเทรดในเวลาที่ไม่เหมาะสมหรือการเพิ่มความเสี่ยงเมื่อสูญเสียไปแล้ว
2. การจัดการความเสี่ยง (Risk Management)
การเข้าใจและจัดการความเสี่ยงเป็นส่วนสำคัญในการเทรด หากไม่สามารถคำนวณหรือจัดการกับความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็อาจทำให้เกิดการขาดทุนที่ยั่งยืน การตั้ง Stop Loss หรือการใช้กลยุทธ์ในการจัดการเงิน (Money Management) เป็นสิ่งที่ทุกเทรดเดอร์ต้องเรียนรู้และฝึกฝน ความยากของมันคือการตัดสินใจว่าเมื่อไหร่ควรยอมรับการขาดทุนและเมื่อไหร่ควรเสี่ยงเพิ่มขึ้นเพื่อทำกำไร
3. การวิเคราะห์ตลาด (Market Analysis)
การวิเคราะห์ตลาดเป็นอีกหนึ่งทักษะที่ต้องการการเรียนรู้และประสบการณ์มากมาย ในโลกของการเทรด มีเครื่องมือหลายตัวที่สามารถใช้ในการวิเคราะห์ เช่น การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) และการวิเคราะห์ทางพื้นฐาน (Fundamental Analysis) แต่การเลือกใช้เครื่องมือเหล่านี้อย่างถูกต้องในเวลาที่เหมาะสมก็เป็นความยากอีกประการหนึ่ง เทรดเดอร์ต้องพัฒนาเทคนิคของตัวเองเพื่อสามารถวิเคราะห์ข้อมูลในสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้
4. ความไม่แน่นอนของตลาด
ตลาดการเงินไม่เคยมีความแน่นอน การคาดเดาทิศทางของราคาในอนาคตย่อมมีความเสี่ยง ทุกเทรดเดอร์ต้องเข้าใจว่าแม้จะมีการวิเคราะห์และใช้กลยุทธ์ที่ดี แต่การเทรดก็ยังต้องพึ่งพาความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก เช่น เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ ข่าวสาร หรือการตัดสินใจของธนาคารกลาง สิ่งเหล่านี้อาจมีผลกระทบต่อราคาในทันทีทันใด ซึ่งทำให้การวางแผนกลยุทธ์ในระยะยาวเป็นเรื่องที่ยากลำบาก
Retest Trading แบบไหนให้ได้กำไรRetest Trading แบบไหนให้ได้กำไร
👽👽 เคยเป็นกันบ้างมั้ยกับการอ่านกราฟทางเทคนิคแล้วโดนกราฟหลอก ไปทางไหนก็ผิดทาง รีเทสแล้ว รีเทสอีก ก็ยังผิดทาง หรือเราจะอ่านกราฟผิดกันนะ มาครับ บทความนี้แอดมีคำตอบให้
กลไกของกลยุทธ์การ Retest
กลไกของกลยุทธ์ Retest มักมาควบคู่กันพร้อมกับ Breakout เสมอ หลักและใจความสำคัญ ที่จำเป็นในการเทรดก็คือการอ่านแนวรับแนวต้านให้ออก และจำเป็นต้องใช้เครื่องมือตัวบ่งชี้ทางเทคนิคช่วยด้วยอีกทางหนึ่ง
สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงก็คือ
1. เมื่อกราฟราคาพุ่งขึ้นสูงสุดหรือลงต่ำสุด และทะลุแนวรับหรือแนวต้าน โดยมีปริมาณ Volumn การซื้อขายที่สูงหรือต่ำตามมาติดๆ
- การ Breakout ในแนวรับหรือแนวต้าน จะเกิดขึ้นเป็นอันดับแรก
- อันดับต่อมาที่ต้องเฝ้าระวังคือ การย่อ..........หรือการเปลี่ยนทิศทางกระทันหันเพื่อหลอกล่อเม่าน้อยๆให้มาติดกับ
- ถัดจากการล่อเม่าเสร็จสิ้น ราคาจึงจะวิ่งกลับไป Retest ณ จุด จุด เดิมอีกครั้ง
- จุดนี้แหละ ที่เราต้องเฝ้าระวัง เพื่อหาจุดเข้าสวยๆเข้าฮะ
รูปแบบแท่งเทียนที่พบได้บ่อยที่สุดในกลยุทธ์ Break and Retest ได้แก่
1. Wedge Pattern แสดงถึงเส้นแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงภายในช่วงราคาที่แคบลงเรื่อยๆ
2. Consolidation Pattern บ่งบอกถึงช่วงราคาในแนวนอน หรือกราฟไซด์เวย์ สำหรับการเล่นสั้น ทั้งขาขึ้น และขาลง ซึ่งยังหาแนวโน้มที่ชัดเจนไม่ได้แต่คันมือ จัดเบาๆไปก่อน
3.Triangles Pattern รูปแบบสามเหลี่ยม คือการทะลุกรอบสามเหลี่ยมออกไป เป็นไปได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
4. The Channel Patterns แสดงถึงเส้นแนวโน้มเส้นขนาน ซึ่งเป็นไปได้ทั้งไซด์เวย์สลับฟันปลา และไซด์เวย์อัพ ไซด์เวย์ดาว์น โดยราคาจะวิ่งไต่กรอบเส้นเทรนไลน์ไปเรื่อยๆ เป็นเส้นคู่ขนาน
**** นอกจากรูปแบบแท่งเทียนแล้ว อินดิเคเตอร์ที่จัดว่าเด็ดและช่วยในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้แก่ MACD หรือ RSI เพื่อช่วยยืนยันทิศทางของแนวโน้มที่เราคาดการณ์ไว้
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ แอดหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เราอ่านกราฟได้ดี อ่านกราฟได้เก่งมากขึ้นนะครับ จำไว้เสมอว่ากราฟมีขึ้นแล้วก็มีลง ไม่ต้องไปเครียดกะมันหมั่นึกฝนและเพิ่มเติมความรู้อย่างสม่ำเสมอ รับรอง เทรดยังไงก็รอดครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM กันด้วยนะครับ วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่งแน่นอนครับ แอดเอาใจช่วยสู้ๆ
กลยุทธ์การเทรดแบบ Grid ในตลาด Forex: เคล็ดลับการทำกำไรและการบริหการเทรดแบบ Grid (กริด) เป็นกลยุทธ์การเทรดในตลาด Forex ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากสามารถใช้เพื่อทำกำไรได้ในหลายสภาวะของตลาด อย่างไรก็ตาม การใช้กลยุทธ์นี้อย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องเข้าใจหลักการและวิธีการอย่างละเอียด รวมถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักการเทรดแบบ Grid อย่างละเอียด และวิธีการใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
1. การเทรดแบบ Grid คืออะไร?
การเทรดแบบ Grid เป็นกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับการตั้งคำสั่งซื้อและขายในรูปแบบของตาราง โดยคำสั่งซื้อขายเหล่านี้จะถูกวางไว้ที่ระยะห่าง (interval) ที่เท่ากันทั้งด้านบนและด้านล่างของราคา ณ จุดเริ่มต้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถทำกำไรได้ไม่ว่าจะเป็นตลาดที่มีแนวโน้มขึ้น (bullish) หรือลง (bearish) หรือแม้แต่ในตลาดที่เคลื่อนไหวในช่วงแคบ (sideways)
2. หลักการของการเทรดแบบ Grid
หลักการพื้นฐานของกลยุทธ์นี้คือการทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคาด้วยการตั้งคำสั่งซื้อและขายที่ระยะห่างคงที่ ตัวอย่างเช่น หากนักเทรดเริ่มต้นที่ราคา 1.1000 และตั้งคำสั่งขายที่ทุกๆ ระยะห่าง 50 จุด เช่น 1.1050, 1.1100 และคำสั่งซื้อที่ 1.0950, 1.0900 เป็นต้น
3. ข้อดีของการเทรดแบบ Grid
ทำกำไรในทุกสภาวะตลาด: ไม่ว่าราคาจะขึ้นหรือลง กลยุทธ์นี้สามารถทำกำไรได้เนื่องจากจะมีคำสั่งซื้อขายพร้อมที่จะดำเนินการเมื่อราคาเคลื่อนไหว
ไม่จำเป็นต้องคาดการณ์ทิศทาง: การเทรดแบบ Grid ไม่จำเป็นต้องเดาทิศทางของตลาด ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบเมื่อเปรียบเทียบกับกลยุทธ์ที่ต้องใช้การวิเคราะห์แนวโน้ม
ลดการพึ่งพาการทำนายตลาด: ด้วยโครงสร้างของคำสั่งที่กระจายทั่วราคาต่างๆ ทำให้นักเทรดมีโอกาสปิดกำไรได้โดยไม่ต้องรอให้เกิดแนวโน้มที่ชัดเจน
4. ข้อเสียและความเสี่ยง
ความเสี่ยงจากการใช้เลเวอเรจสูง: เนื่องจากคำสั่งจำนวนมากถูกเปิดขึ้นพร้อมกัน นักเทรดที่ใช้เลเวอเรจสูงมีโอกาสที่มาร์จิ้นจะไม่เพียงพอเมื่อราคาวิ่งไปในทิศทางที่ขาดทุน
ขาดการควบคุมความเสี่ยง: หากไม่กำหนดขอบเขตความเสี่ยงให้ดี กลยุทธ์นี้อาจทำให้เกิดการขาดทุนจำนวนมาก โดยเฉพาะในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจนที่ต่อต้านคำสั่งของ Grid
5. วิธีการสร้างระบบ Grid อย่างมีประสิทธิภาพ
กำหนดระยะห่างระหว่างคำสั่ง (Grid Size): การตั้งระยะห่างที่เหมาะสมระหว่างคำสั่งสำคัญมาก เพราะจะมีผลต่อความเสี่ยงและโอกาสในการทำกำไร
การบริหารจัดการเงิน (Money Management): ควรใช้ระบบการบริหารความเสี่ยงที่ดี เช่น การกำหนดขนาดล็อตที่เหมาะสมและการติดตั้งคำสั่ง Stop Loss เพื่อป้องกันการสูญเสียครั้งใหญ่
การตั้งค่า Take Profit: การตั้งระดับการทำกำไรที่เหมาะสมสามารถช่วยให้คำสั่งปิดทำกำไรได้บ่อยขึ้นและสร้างความมั่นคงในระบบ
6. ตัวอย่างการใช้งานระบบ Grid ในตลาด Forex
สมมุติว่าคุณเริ่มเทรดด้วยเงินทุน 1,000 ดอลลาร์ โดยใช้ระบบ Grid ในการเทรดคู่สกุลเงิน EUR/USD:
ตั้งระยะห่าง Grid ที่ 20 จุด
ขนาดล็อตเริ่มต้นที่ 0.01
มีคำสั่งซื้อและขายหลายคู่ที่ระยะห่างกันเพื่อกระจายความเสี่ยง
ในการเคลื่อนไหวที่ผันผวนเล็กน้อย เช่น เมื่อราคาเคลื่อนที่ขึ้นและลงเป็นรอบ ระบบจะปิดกำไรเมื่อราคาผ่านจุดที่ตั้งคำสั่งไว้ ช่วยเพิ่มกำไรสะสมได้ต่อเนื่อง
7. สรุป
การเทรดแบบ Grid เป็นกลยุทธ์ที่สามารถทำกำไรได้ในหลายสถานการณ์ของตลาด แต่ต้องใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยง การวางแผนและการทดสอบระบบอย่างละเอียดจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าการเทรดนั้นปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
การนำกลยุทธ์นี้ไปปรับใช้ควรทำอย่างระมัดระวัง โดยการใช้เงินทุนที่สามารถยอมรับการขาดทุนได้ และการติดตามสภาวะตลาดอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์
Gravestone Doji
Gravestone Doji เป็นรูปแบบที่ตรงข้ามกับ Dragonfly Doji โดยแท่งเทียน Gravestone Doji นั้นมีราคาเปิด ราคา ต่ำสุด และราคาปิดในระดับเดียวกันโดยมี ไส้เทียนด้านบนที่ยาวมาก รูปแบบนี้แสดง ให้เห็นว่าในตอนแรกผู้ซื้อดันราคาให้สูงขึ้น แต่ผู้ขายก็สามารถกดราคาลงสู่ระดับ ราคาเปิดได้ ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นสัญญาณ การกลับตัวเป็นขาลง หากมันปรากฏขึ้น ตรงจุดสิ้นสุดของแนวโน้มขาขึ้น
วิธีหลีกเลี่ยงการ Over tradingวิธีหลีกเลี่ยงการ Over trading
👽👽 เคยเป็นกันบ้างมั้ย กับการเทรดที่มันมากจนเกินไป หรือการเทรดแบบ Over trading การซื้อขายมากเกินไป และนั่นเป็นจุดจบของสายเติมและสายมือเติบ เพราะการเทรดอะไรที่มันเกินตัวย่อมเสียมากกว่าได้เสมอ วันนี้แอดมาแนะนำวิธีการหลีกเลี่ยงการ over trade หรือเอาแบบตรงตัวก็คือการหลีกเลี่ยงการล้างพอร์ตนั่นเอง
เพราะโลกนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบตลอดเวลาฉันใด การเทรดก็ย่อมไม่มีทางที่จะเทรดได้ตลอดไปฉันนั้น มันจะต้องมีเวลาได้ และ เวลาเสียบ้างไม่มากก็น้อย เราต้องยอมรับตรงนี้ให้ได้และปล่อยให้มันเป็นไปตามกลไกของตลาด
Over Trading คืออะไร?
การซื้อขายที่มากเกินไป ไม่ว่าจะเปิดลอทใหญ่ หรือการเปิดออเดอร์หลายๆไม้ที่ทำให้ระดับมาร์จิ้นลดลงต่ำ ถือเหมารวมว่าเป็นการเทรดแบบ Over trading ทั้งสิ้น เพราะผลที่ตามมาส่วนใหญ่ คือล้างพอร์ตล้วน ๆฮะ
แล้วมันสามารถแก้ไขได้จริงๆมั้ย ??? จริงครับ ทุกหนทางย่อมมีทางออกเสมอ มันแก้ไขได้ แน่นอนฮะ ถ้าเราเริ่มรู้จักคำว่าไม่โลภ และไม่รีบ
สิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เมื่ออยากเทรดแบบ Over trading
1. มีเงินทุนมากพอมั้ย และสามารถเติมได้ตลอดหรือเปล่า หรือหมดแล้วหมดเลย !?????
2. มีแผนเทรดหรือยัง??? แล้วเทรดตามแผนจริงๆหรือเปล่า??? สิ่งสำคัญที่สุด ที่ทุกคนต้องคิดให้รอบคอบเมื่อเปิดออเดอร์ทุกครั้ง คือการปฏิบัติตามแผนการซื้อขายแบบเคร่งครัด
3. หลีกเลี่ยงการผันผวนแรงๆ ถ้ารู้ว่าเทรดผิดทางก็แค่ปิดออเดอร์ทิ้งแล้วหยุดฮะ อย่าปล่อยให้โดนลากจนหมดตัว เสียทั้งเวลา เสียทั้งเงิน เสียทั้งความรู้สึก
4.โปรดจำไว้ว่าตลาดไม่ได้เปิดแค่วันเดียว มันเปิดทุกวัน ไม่ต้องรีบเทรด ไม่ต้องรีบรวย ค่อยเป็นค่อยไปเอานะ
5.วันไหนอารมณ์ไม่ดี หรือเก็บกดอารมณ์มาจากที่อื่น ไม่ต้องเทรด เพราะมันจะมีแต่เสียกับเสียอย่างเดียว ไม่มีชนะ ไม่ต้องคิดเข้าข้างตัวเองนะ สติๆๆๆๆๆ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ แอดหวังว่าบทความนี้จะช่วยเตือนสติเทรดเดอร์หลายๆคนที่กำลังบ้าคลั่งจากการดิ่งลงของกราฟทองนะฮะ จำไว้เสมอว่ากราฟมีขึ้นแล้วก็มีลง ไม่ต้องไปเครียดกะมัน เราแค่เดินตามทางที่มันไปก็พอ ลองนำไปปรับใช้และต่อยอดกันดูนะครับ วินัยสำคัญสุดๆ อย่าลองตัวเองไปวันๆก็พอ แอดเอาใจช่วยนะครับ สู้ๆ
Pin Bar: ไม้ตายลับของเทรดเดอร์ในการอ่านแนวโน้มตลาดPin Bar เป็นหนึ่งในรูปแบบแท่งเทียนที่ทรงพลังและได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่เทรดเดอร์ เนื่องจากสามารถบ่งบอกแนวโน้มการกลับตัวของราคาหรือการยืนยันแนวโน้มได้อย่างมีนัยสำคัญ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถตัดสินใจในการเข้าหรือออกจากตลาดได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในสภาวะที่กราฟอยู่ใกล้แนวรับหรือแนวต้านสำคัญ
Pin Bar คืออะไร?
Pin Bar คือแท่งเทียนที่มีลักษณะเฉพาะ คือมีลำตัวเล็กและมีไส้ยาวมากกว่าลำตัว โดยไส้ของ Pin Bar เป็นการบ่งบอกถึงแรงซื้อหรือแรงขายที่แข็งแกร่งภายในช่วงเวลานั้น ๆ ซึ่งทำให้เกิดการกลับตัวของราคา ลักษณะสำคัญของ Pin Bar ที่ควรสังเกตคือ
ไส้ของ Pin Bar ต้องยาวกว่าลำตัวอย่างเห็นได้ชัด
ตำแหน่งของ Pin Bar ควรอยู่ในบริเวณแนวรับหรือแนวต้านที่ชัดเจน เพราะมักบ่งบอกถึงการกลับตัวหรือแนวโน้มที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง
Pin Bar สามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ Bullish Pin Bar (ขาขึ้น) และ Bearish Pin Bar (ขาลง) ซึ่งบ่งบอกถึงการกลับตัวของราคาตามแนวโน้มที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น
ประเภทของ Pin Bar
1.Bullish Pin Bar (ขาขึ้น)
Bullish Pin Bar คือแท่งเทียนที่มีลำตัวอยู่ด้านบนและไส้ยาวอยู่ด้านล่าง บ่งบอกว่าในช่วงเวลานั้นตลาดมีแรงขายอย่างหนัก แต่ในที่สุดแรงซื้อเข้ามาผลักดันราคาให้ขึ้นไปในระดับที่สูงกว่าเปิดตัว เหมาะกับการหาจังหวะซื้อหากเกิดในบริเวณแนวรับหรือบริเวณที่คาดว่าจะเกิดการกลับตัวขึ้น
2. Bearish Pin Bar (ขาลง)
Bearish Pin Bar คือแท่งเทียนที่มีลำตัวอยู่ด้านล่างและไส้ยาวอยู่ด้านบน บ่งบอกถึงแรงซื้อที่เข้ามาในช่วงแรก แต่กลับถูกแรงขายผลักดันราคาลงมา ทำให้ราคาปิดต่ำกว่าเปิด เหมาะกับการหาจังหวะขายหากเกิดในบริเวณแนวต้านหรือบริเวณที่คาดว่าจะเกิดการกลับตัวลง
การใช้ Pin Bar ในการเทรด
การนำ Pin Bar ไปใช้เทรดให้มีประสิทธิภาพนั้น เทรดเดอร์ควรพิจารณาร่วมกับการวิเคราะห์แนวรับแนวต้าน และใช้ร่วมกับเทคนิคการอ่านกราฟ Price Action อื่น ๆ เช่น การดูแนวโน้มของตลาด การวิเคราะห์ความแข็งแกร่งของแท่งเทียน และความถี่ของการเกิด Pin Bar บนกราฟ ตัวอย่างการใช้งานเช่น
การดู Pin Bar ในบริเวณแนวรับแนวต้าน
หากเกิด Bullish Pin Bar ในบริเวณแนวรับสำคัญ อาจหมายถึงการกลับตัวและเหมาะกับการเปิดคำสั่งซื้อ (Buy) ในขณะที่ Bearish Pin Bar ที่เกิดขึ้นในแนวต้านมักบ่งบอกถึงโอกาสในการขาย (Sell)
การใช้ Pin Bar ร่วมกับการดูแนวโน้มตลาด
การเทรดตามแนวโน้มเป็นอีกวิธีการที่ได้ผล การใช้ Pin Bar ที่เกิดขึ้นตามแนวโน้มตลาดหลัก จะมีความแม่นยำสูงกว่าการใช้ในการเทรดสวนทางกับแนวโน้มตลาด เช่น หากตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ควรมองหา Bullish Pin Bar ที่บ่งบอกถึงโอกาสการเข้าซื้อในราคาที่ต่ำ
ข้อดีของการใช้ Pin Bar ในการเทรด
ความง่ายในการวิเคราะห์
Pin Bar มีลักษณะที่ชัดเจนและง่ายต่อการมองเห็น โดยเฉพาะหากเกิดในบริเวณแนวรับหรือแนวต้านสำคัญ ซึ่งทำให้เทรดเดอร์สามารถวิเคราะห์และตัดสินใจได้รวดเร็ว
ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเทรด
เนื่องจาก Pin Bar บ่งบอกถึงแรงซื้อหรือแรงขายที่เข้มข้น การใช้ Pin Bar ร่วมกับการวิเคราะห์แนวรับแนวต้านช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าเทรดในจังหวะที่เหมาะสมและมีโอกาสสูงที่จะทำกำไร
เครื่องมือที่ประยุกต์ได้กับหลายตลาด
ไม่ว่าจะเป็น Forex, หุ้น, Cryptocurrency หรือแม้แต่น้ำมัน การใช้ Pin Bar ก็สามารถช่วยให้เทรดเดอร์มองเห็นจังหวะการกลับตัวและทำกำไรได้เช่นกัน
สรุป
Pin Bar เป็นเครื่องมือสำคัญที่เทรดเดอร์ควรศึกษาและฝึกฝน เพราะช่วยให้เรามองเห็นสัญญาณการกลับตัวในตลาดได้อย่างแม่นยำและใช้งานง่าย หากฝึกฝนจนเข้าใจ สามารถช่วยเสริมสร้างกลยุทธ์เทรดให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น