ภาพประกอบ
14/01/25 สรุปการวิเคราะห์ USD/THB พร้อมแผนการเทรด บาทกำลังจะกลับมาแข็งค่า หุ้นไทยกำลังจะฟื้นจากท้องคลื่น
**สรุปการวิเคราะห์ USD/THB พร้อมแผนการเทรด**
ในกราฟ USD/THB มีการปรากฏของ **Bearish Gartley Pattern** ซึ่งเป็นรูปแบบที่บ่งชี้ถึงการกลับตัวขาลงจากแนวโน้มขาขึ้นเดิม โดยใช้เครื่องมือ Fibonacci และ TD Sequential ร่วมกัน ระดับราคาสำคัญและกลยุทธ์การเทรดอธิบายได้ดังนี้:
#### **โซนราคา (Price Zones)**
1. **จุดเข้า (Entry Zone):**
- ระหว่าง **34.75 - 34.85** (ใกล้จุดสิ้นสุดของ Bearish Gartley ที่ 78.6% Fibonacci)
2. **เป้าหมายการทำกำไร (Take Profit):**
- เป้าหมายแรก: **34.59** (ระดับ 61.8% Fibonacci retracement)
- เป้าหมายที่สอง: **34.41** (ระดับ 50.0%)
- เป้าหมายสุดท้าย: **34.24** (ระดับ 38.2%)
3. **Stop Loss:**
- ตั้ง Stop Loss เหนือจุดสูงสุดของโครงสร้าง Gartley ที่ระดับ **34.95 - 35.00** เพื่อป้องกันความเสี่ยง
---
### **กลยุทธ์การเทรด**
| จุดสำคัญ | ราคา (THB) | แนวทางการเทรด |
|---------------------|------------|-------------------------------------|
| **จุดเข้า (Sell Zone)** | 34.75 - 34.85 | เปิดคำสั่ง **Sell** |
| **เป้าหมายแรก** | 34.59 | ปิดทำกำไรบางส่วน (หรือทั้งหมด) |
| **เป้าหมายที่สอง** | 34.41 | ปิดทำกำไรเพิ่มเติม |
| **เป้าหมายสุดท้าย** | 34.24 | ปิดทำกำไรเต็มจำนวน |
| **Stop Loss** | 34.95 - 35.00 | ป้องกันขาดทุนหากราคาไม่เป็นไปตามคาด |
---
### **กรณีที่ USD กลับมาแข็งค่า: ผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย**
1. **การแข็งค่าของ USD หมายถึง THB อ่อนค่า**
- ค่าเงินบาทที่อ่อนลงทำให้ต้นทุนในการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อบริษัทที่พึ่งพาการนำเข้า เช่น กลุ่มธุรกิจที่ใช้วัตถุดิบนำเข้าและบริษัทพลังงาน
2. **หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก USD แข็งค่า**
- หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก (Exporters) เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์, อาหาร และยานยนต์ จะได้รับประโยชน์จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นในรูปสกุล USD
3. **ตลาดทุนโดยรวม**
- การอ่อนค่าของ THB อาจสร้างแรงกดดันต่อกระแสเงินทุนไหลออก เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติจะมองหาสกุลเงินที่แข็งค่า ทำให้เกิดการขายสินทรัพย์ไทย เช่น หุ้นและพันธบัตร
---
### **สรุปความเข้าใจ**
- เปิดสถานะขาย (Sell) เมื่อราคายืนยันการกลับตัวในโซน 34.75-34.85 ด้วยเป้าหมายทำกำไรตาม Fibonacci retracement
- ติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และไทยเพื่อประเมินการเคลื่อนไหวของ USD/THB เพิ่มเติม
- หาก USD แข็งค่า อุตสาหกรรมส่งออกในไทยจะได้ประโยชน์ ขณะที่ธุรกิจที่พึ่งพาการนำเข้าและตลาดหุ้นโดยรวมอาจได้รับผลกระทบจากกระแสเงินทุนไหลออก
How To Manage Your Finances วิธีบริหารเงินเดือนแบบให้มีเหลือกิน How To Manage Your Financesวิธีบริหารเงินเดือนแบบให้มีเหลือกิน เหลือเก็บ
👽👽👽 กลับมาพบเจอกันอีกแล้วนะครับ ในปีใหม่นี้เรามีเป้าหมายใหม่ๆในชีวิตกันหรือยังฮะ ถ้ายัง มาอ่านบทความนี้ดูก่อน กับบทความวิธีบริหารเงินเดือนแบบให้มีเหลือกิน เหลือเก็บ เพราะพอเรามีเงิน เราจะเริ่มมีเป้าหมายใหม่ในชีวิตแน่นอน ยิ่งโดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนยิ่งต้องบริหารให้ดีครับ
3 สูตรในการบริหารเงินเดือน
สูตรบริหารเงิน ที่เราสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง ซึ่งจะช่วยให้เราจัดสรรเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเก็บเงินได้แบบอยู่หมัดด้วย
1. สูตร 50/30/20
คือการแบ่งค่าใช้จ่ายออกเป็น 3 ส่วน โดยคำนวณจากรายได้หลังหักภาษีแล้ว ได้แก่
- ค่าใช้จ่ายจำเป็น 50% ของรายได้ เช่น ค่าเช่าบ้าน/คอนโด ค่าอาหาร ค่าสาธารณูปโภค ค่าเดินทาง ค่าประกัน ค่าเลี้ยงดูบุตร ฯลฯ
- ค่าใช้จ่ายสำหรับความบันเทิง 30% ของรายได้ เช่น การท่องเที่ยว รับประทานอาหารนอกบ้าน ชอปปิง ฯลฯ
- เก็บออมหรือชำระหนี้ 20% ของรายได้
*** สูตรนี้เหมาะมากครับสำหรับคนที่เป็นมนุษย์เงินเดือน และมีรายได้- รายจ่ายแบบตายตัว แต่ชอบกินชอบเที่ยวอยู่ เรียกว่าใช้ชีวิตไปและเก็บออมไปด้วย
2. สูตร 80/20
คือแบ่งค่าใช้จ่ายออกเป็น 2 ส่วน โดยคำนวณจากรายได้หลังหักภาษีแล้ว ได้แก่
- ค่าใช้จ่ายทั้งหมด 80% ของรายได้ เช่น ค่าเช่าบ้าน/คอนโด ค่าอาหาร ค่าสาธารณูปโภค ค่าเดินทาง ชอปปิง ค่าใช้จ่ายสำหรับการท่องเที่ยว ฯลฯ
- เก็บออมหรือชำระหนี้ 20% ของรายได้
*** เหมาะสำหรับเจ้าของกิจการและมนุษย์เงินเดือนครับ สามารถเก็บออมได้ง่าย โดยไม่แยกยิบย่อยให้ยุ่งยากต้องลองสูตรนี้ครับ หลักการคิดง่ายๆ เงินเข้า-เงินออก แค่นั้นจบ ไม่ซับซ้อน
3. สูตร 50/15/5
คือแบ่งค่าใช้จ่ายออกเป็น 3 ส่วน โดยคำนวณจากรายได้หลังหักภาษีแล้ว ได้แก่
- ค่าใช้จ่ายจำเป็น 50% ของรายได้ เช่น ค่าเช่าบ้าน/คอนโด ค่าอาหาร ค่าสาธารณูปโภค ค่าเดินทาง ค่าประกัน ค่าเลี้ยงดูบุตร ฯลฯ
- ออมหรือลงทุนเพื่อการเกษียณอายุ 15% ของรายได้
- เก็บออมเป็นเงินสำรองฉุกเฉิน 5% ของรายได้
-เงินเหลือสำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ 30% โดยต้องเป็นเงินที่เราสามารถจัดสรรได้เอง(ใช้ก็ได้ ไม่ใช้ก็ได้) เช่นความบันเทิงต่าง ๆ ท่องเที่ยว ชอปปิง ดูหนัง
***สูตรนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการวางแผนการเงินระยะยาว โดยแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งมาออมหรือลงทุนเพื่อการเกษียณอายุด้วย
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับสูตรในการเก็บออมเงิน ชอบแบบไหนก็ปรับแต่งเองได้ตามใจ ลองเอาไปใช้กันดูฮะ ปีใหม่ เริ่มต้นใหม่ เริ่มสิ่งดีๆในกับตัวเราเอง ขอให้มีความสุข สมหวังในวันปีใหม่และสุขสมใจตลอดทั้งปี เทรดให้กำไร บวกๆๆๆๆๆนะครับ
วิธีจัดการความรู้สึกหลังจาก ขาดทุนหนัก ในการเทรด Forexการเทรด Forex เป็นกิจกรรมที่ท้าทายและต้องอาศัยทั้งความรู้ ความสามารถ และความมีวินัย แต่บางครั้งแม้จะเตรียมตัวมาดีแค่ไหนก็ยังมีโอกาสที่จะเกิดการขาดทุนหนัก ซึ่งเป็นเรื่องปกติในโลกของการลงทุน สิ่งสำคัญคือการจัดการกับความรู้สึกหลังจากขาดทุนอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในอนาคต
1. ยอมรับความจริงและเรียนรู้จากมัน
ความรู้สึกเสียใจหรือผิดหวังหลังจากขาดทุนเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งแรกที่ควรทำคือยอมรับความจริง อย่าปฏิเสธหรือโทษสถานการณ์ สิ่งสำคัญคือการมองย้อนกลับไปวิเคราะห์สิ่งที่ผิดพลาด เช่น การตั้งค่า Stop Loss ไม่เหมาะสม การเสี่ยงเกินกว่าที่ควร หรือการเข้าเทรดโดยไม่มีแผนที่ชัดเจน ใช้โอกาสนี้เรียนรู้และปรับปรุงแผนการเทรดของคุณ
2. หยุดพักและผ่อนคลาย
หลังจากขาดทุนหนัก การเทรดต่อทันทีอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดเนื่องจากอารมณ์เป็นตัวนำ การหยุดพักสักระยะจะช่วยให้คุณมีเวลาเรียกสติกับตัวเอง กลับมาสงบและพร้อมที่จะคิดวิเคราะห์อย่างรอบคอบอีกครั้ง อาจใช้เวลานี้ไปกับกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียด เช่น การออกกำลังกาย การทำสมาธิ หรือใช้เวลาอยู่กับครอบครัว
3. ประเมินสถานการณ์ทางการเงิน
ตรวจสอบสถานะบัญชีเทรดและการเงินโดยรวมของคุณ หากพบว่าการขาดทุนทำให้ทุนลดลงอย่างมาก คุณอาจต้องลดขนาดการเทรดลง หรือปรับกลยุทธ์เพื่อลดความเสี่ยง การเทรดอย่างมีวินัยและการจัดการเงินที่ดีเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณกลับมามีความมั่นคงทางการเงินได้อีกครั้ง
4. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือเพื่อนร่วมวงการ
การพูดคุยกับคนที่มีประสบการณ์หรืออยู่ในวงการเดียวกันสามารถช่วยให้คุณมองเห็นมุมมองใหม่ และได้รับคำแนะนำที่มีประโยชน์ บางครั้งการได้ยินประสบการณ์ของผู้อื่นที่เคยเผชิญสถานการณ์เดียวกันและผ่านพ้นมาได้อาจเป็นแรงบันดาลใจที่ดี
5. วางแผนและตั้งเป้าหมายใหม่
หลังจากที่คุณรู้สึกพร้อมแล้ว ให้เริ่มวางแผนใหม่ เป้าหมายไม่จำเป็นต้องเป็นการทำกำไรทันที แต่ควรเป็นการปรับปรุงตัวเองและการเทรดให้ดีขึ้น เช่น การศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์ใหม่ ๆ การฝึกเทรดในบัญชีเดโม่ หรือการสร้างวินัยในการเทรดมากขึ้น
6. เตือนตัวเองว่าการขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของการเทรด
ไม่มีนักเทรดคนใดที่ไม่เคยขาดทุน การขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้และพัฒนา การมองการขาดทุนเป็นค่าใช้จ่ายในการเรียนรู้จะช่วยให้คุณสามารถก้าวข้ามความรู้สึกด้านลบและมุ่งไปที่การพัฒนาตัวเองต่อไป
สรุป
การจัดการความรู้สึกหลังจากขาดทุนหนักในการเทรด Forex เป็นทักษะที่สำคัญไม่แพ้การวิเคราะห์ตลาดหรือการวางกลยุทธ์ การยอมรับความจริง เรียนรู้จากข้อผิดพลาด และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเอง จะช่วยให้คุณสามารถกลับมาเทรดได้อย่างมั่นคงและประสบความสำเร็จในระยะยาว
BTCUSD : ระบบ MACD ตัด 0 (ActionZone) มีสัญญาณ "ขาย" 10/1/2025อธิบาย : ระบบ Action Zone หรือ MACD ตัดศูนย์ คือระบบที่ใช้หลักการดูเส้น MACD ว่า เส้นนี้จะตัดกับเส้นศูนย์เมื่อไหร่ โดย ถ้าตัดขึ้นก็จะเป็นสัญญาณซื้อ ถ้าตัดลงก็จะเป็นสัญญาณขาย ถือเป็นระบบ Trend Following ที่ใช้ได้ดีกับตลาดที่มีเทรนจ๋าๆ เช่น BTC
แต่ระบบนี้ก็จะมีจุดอ่อนอยู่หลายจุดเช่นกัน คือ ในช่วงตลาด sideway ออกข้างเราอาจจะเจอ false sig ทำให้ต้องคืนกำไร คืนทุน กันบ่อยๆ ได้ หรือบางทีถ้าตลาดมีการทุบแรงๆ ก็อาจจะทำให้เจอการคืนกำไรหมดเช่นกัน เพราะระบบจะต้องรอ confirm ของเส้น MACD ก่อน ถึงจะยอมขาย ตอนขึ้น บางทีทำให้มันถือได้นาน ถือได้ทน รันเทรนได้นาน แต่ถ้าลงแรงก็จบกัน 555
ความเห็นของรอบนี้ : เรียบร้อย รอบนี้ มาเร็ว เคลมเร็ว จุกๆ กันไป ใครวางความเสี่ยงไว้ก็เจ็บเท่าที่วางไว้ ใครไม่วางปล่อยไหลรอไปคัทตอนแดงก็จะจุกหน่อย เพราะ loss จริงจะเกินกว่าที่ตั้งไว้ครับ
ตลาดแบบนี้เปิดปีด้วยความแปลก เพราะปกติเวลาเริ่มปีใหม่ก็มักจะขึ้นต่อกันไปเลย แต่ก็นั่นแหละครับ ในการเทรด มันไม่มีอะไรแน่นอน เราจะไปแน่ใจกับภาพในอดีตไม่ได้ว่า ทุกอย่างจะต้องเหมือนเดิม ดังนั้น การคุมความเสี่ยง ถึงสำคัญที่สุดครับ
BTC ActionZone = เขียว ( 7/1/2025 )
------------------
Entry : 102200+-
SL : 94500 ( -7.5% )
Position Size = 13% ของพอร์ต ( Risk1% )
BTC ActionZone = แดง ( 10/1/2025 )
------------------
Entry : 102200+-
Real Stop : 94500 ( -7.5% )
Position Size = 13% ของพอร์ต ( Risk1% )
Actual Loss = -1%
---------------------------
สรุปผลกำไร สะสม ของทุกระบบ ในปี 2025 ได้ดังนี้
* รายการกำไรนี้ เป็นการคำนวณตรงๆ ยังไม่ได้ใส่ค่า fee และ slippage เข้าไปนะครับ ดังนั้น กำไรจริงๆ ของการทำตามระบบ ก็น่าจะต่ำกว่านี้พอสมควรครับ
(1Jan-???) EMA120D = ??%
(7Jan-10Jan) ATR = -1%
(7Jan-10Jan) ActionZone = -1%
Sum กำไรสะสมของปี 2025 = -2% ที่ความเสี่ยง 1% ต่อระบบต่อครั้ง ( Max 4% กำไรหน่วย USD )
"EUR/USD ยังเป็นขาลง! ฝ่ายกระทิงต้องทะลุ 1.04180 ให้ได้"### การวิเคราะห์ EUR/USD สำหรับเดือนมกราคม 2025
**แนวโน้มยังคงเป็นขาลง เว้นแต่ว่าฝ่ายกระทิงจะสามารถทำสิ่งนี้ได้...**
**การวิเคราะห์ EUR/USD: ระดับสำคัญและแนวโน้มราคา**
ฟิวเจอร์สยูโร (EUR/USD) ซื้อขายอยู่ที่ 1.03280 โดยยังคงมีแนวโน้มขาลง เนื่องจากตัวชี้วัดทางเทคนิคในกราฟรายวันส่งสัญญาณแรงขาย บทวิเคราะห์นี้จะเน้นไปที่ระดับแนวรับและแนวต้านที่สำคัญ รวมถึงสถานการณ์การซื้อขายที่อาจเกิดขึ้นสำหรับผู้ซื้อขาย EUR/USD
---
### แนวโน้มขาลงสำหรับ EUR/USD
**20 EMA ทำหน้าที่เป็นแนวต้าน**
- เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 วัน (20 EMA) ที่ลาดลงในกราฟรายวันทำหน้าที่เป็นแนวต้านสำคัญ
- ราคาพยายามทะลุ 20 EMA ในวันที่ 6 และ 7 มกราคม แต่ล้มเหลวทั้งสองครั้ง ตอกย้ำมุมมองขาลง
- ฝ่ายขายยังคงควบคุมตลาด ทำให้ EUR/USD เผชิญแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง
**เป้าหมายขาลงสำหรับ EUR/USD**
หากแนวโน้มขาลงยังคงดำเนินต่อไป ให้จับตาระดับแนวรับเหล่านี้สำหรับการเคลื่อนไหวของราคา:
- **Value Area Low (VAL)** วันที่ 3 มกราคม: 1.03150
- **Point of Control (POC)** วันที่ 1 มกราคม: 1.02835
- **Value Area Low (VAL)** วันที่ 1 มกราคม: 1.02565
ระดับเหล่านี้มาจากประวัติของปริมาณและสภาพคล่อง ทำให้เป็นพื้นที่สำคัญสำหรับการติดตามต่อเนื่องในขาลง
---
### แนวโน้มกระทิงสำหรับการกลับตัวของ EUR/USD
แม้ว่าจะมีแนวโน้มขาลงในปัจจุบัน แต่ก็ไม่สามารถตัดโอกาสการกลับตัวเป็นขาขึ้นได้ทั้งหมด ฝ่ายซื้อจะต้องเอาชนะระดับแนวต้านที่สำคัญเพื่อฟื้นโมเมนตัม:
- **Value Area High (VAH)** วันที่ 1 มกราคม: 1.03555
- **Value Area Low (VAL)** วันที่ 7 มกราคม: 1.03800
- **VWAP** วันที่ 7 มกราคม: 1.04180
**กระทิงไม่สามารถสร้างการกลับตัวครั้งใหญ่ได้ หากไม่สามารถรักษาราคาเหนือ VWAP ของวันที่ 7 มกราคมที่ 1.04180 ได้**
หากราคาปิดรายวันเหนือ 20 EMA และเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องเหนือระดับเหล่านี้ จะส่งสัญญาณการทะลุขาขึ้นที่อาจเกิดขึ้น จนกว่าจะถึงเวลานั้น การพยายามของฝ่ายกระทิงอาจถูกมองว่าเป็นการปรับฐานในแนวโน้มขาลงใหญ่
---
### ช่วงการซื้อขาย EUR/USD และสถานการณ์ที่เป็นไปได้
EUR/USD อาจแกว่งตัวในช่วง 1.0400–1.0250 ก่อนที่จะเกิดการทะลุในทิศทางที่แน่นอน ผู้ซื้อขายควรจับตาระดับต่อไปนี้เพื่อดูทิศทาง:
- **เหนือ 1.04180:** ฝ่ายกระทิงอาจตั้งเป้าหมายระดับสูงกว่า เช่น 1.05385–1.05630
- **ต่ำกว่า 1.02565:** ฝ่ายขายอาจขยายอิทธิพลต่อราคา ดัน EUR/USD สู่ระดับ parity หรือ 1.0000 แต่สิ่งนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในทันทีภายในสิ้นเดือนมกราคม 2025
---
### กลยุทธ์การซื้อขาย EUR/USD
**การพิจารณาความเสี่ยงและผลตอบแทน**
- การเข้าซื้อขายเร็วอาจมีผลตอบแทนสูงกว่า แต่ก็มาพร้อมกับความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น
- การรอให้ราคาปิดรายวันเหนือหรือต่ำกว่าระดับสำคัญ จะให้การยืนยันที่มากกว่า แต่ลดโอกาสกำไร
**ใช้ระดับสำคัญเป็นแนวทาง**
- **แนวรับ:** 1.03150, 1.02835, 1.02565
- **แนวต้าน:** 1.03555, 1.03800, 1.04180
**ซื้อขายด้วยความระมัดระวัง**
- ใช้การบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม และพิจารณาตั้งเป้ากำไรบางส่วนเพื่อลดการขาดทุน
---
### ภาพรวมประสิทธิภาพ EUR/USD
ฟิวเจอร์ส EUR/USD แสดงการลดลงอย่างต่อเนื่องในทุกกรอบเวลา โดยผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ -0.52% และแนวโน้มระยะยาวเผยให้เห็นการลดลงลึกกว่า:
- **1 สัปดาห์:** -0.52%
- **1 เดือน:** -2.13%
- **3 เดือน:** -5.76%
- **6 เดือน:** -5.20%
- **1 ปี:** -5.71%
---
### การวิเคราะห์และจุดเด่นที่สำคัญ
**ความอ่อนแอระยะสั้น**
- การลดลง -0.52% รายสัปดาห์ล่าสุดแสดงให้เห็นว่าฝ่ายขายยังคงควบคุมตลาด โดยไม่มีแรงสนับสนุนที่สำคัญจากฝ่ายซื้อ สิ่งนี้สอดคล้องกับโมเมนตัมขาลงที่เห็นในกราฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความล้มเหลวในการรักษาราคาเหนือระดับแนวต้าน เช่น 20 EMA
**แนวโน้มขาลงอย่างมั่นคง**
- การลดลงในช่วง 3 เดือน (-5.76%) และ 6 เดือน (-5.20%) บ่งชี้ถึงแรงกดดันการขายอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงการขาดความสนใจจากฝ่ายกระทิง แม้จะมีการปรับตัวขึ้นเป็นระยะ
**บริบทที่กว้างขึ้น**
- การลดลง 1 ปีที่ -5.71% ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายของยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สาเหตุจากปัจจัยมหภาค เช่น นโยบายการเงินที่แตกต่าง ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจที่แตกต่างระหว่างยูโรโซนและสหรัฐฯ
**ผลกระทบที่สำคัญ**
- การลดลงอย่างต่อเนื่องในทุกช่วงเวลาแสดงให้เห็นว่า EUR/USD ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาลงที่ชัดเจน โดยไม่มีตัวเร่งสำคัญที่ช่วยฝ่ายกระทิง ระดับแนวรับอาจทำหน้าที่เป็นจุดพักชั่วคราว แทนที่จะเป็นจุดกลับตัว
---
### สรุปการวิเคราะห์ EUR/USD
ฟิวเจอร์ส EUR/USD ยังคงมีแนวโน้มขาลง โดยฝ่ายขายตั้งเป้าระดับ 1.03150 เป็นแนวรับสำคัญ ฝ่ายกระทิงต้องเคลียร์ 20 EMA และทะลุ 1.04180 เพื่อเปลี่ยนโมเมนตัม ในระยะสั้น อาจเกิดการแกว่งตัวในช่วง 1.0400–1.0250 ขณะที่ตลาดค้นหาทิศทาง
ผู้ซื้อขายควรจับตาดูระดับสำคัญเหล่านี้อย่างใกล้ชิดและปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์
---
**ทำไมต้องติดตามการวิเคราะห์ EUR/USD?**
การวิเคราะห์ทางเทคนิคนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่นำไปปฏิบัติได้เกี่ยวกับระดับราคาสำคัญ พลวัตของปริมาณ และโมเมนตัมของตลาด ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ซื้อขายรายวันหรือผู้ซื้อขายระยะสั้น การเข้าใจสัญญาณทางเทคนิคเหล่านี้จะช่วยให้คุณรับมือกับการเคลื่อนไหวของราคายูโรได้อย่างมั่นใจ
#EURUSD #วิเคราะห์ตลาด #การซื้อขาย
ทองคำยืนเหนือจุดสำคัญ! แนวโน้มจะไปทางไหนต่อ?**🔥 ทองคำยืนเหนือจุดเทคนิคสำคัญ! จะไปต่อหรือไม่? รู้คำตอบที่นี่! 🔥**
🌟 **ทองคำยังคงยืนเหนือจุดสำคัญทางเทคนิคในช่วงเริ่มต้นสัปดาห์**
✨ ทองคำยังคงยืนอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 วันได้
💼 เริ่มต้นปีใหม่ด้วยความหลากหลายสำหรับทองคำ แต่การลดลงเมื่อวานนี้ไม่ได้รุนแรงนักเมื่อมองภาพรวม 📉 ทองคำลดลงเนื่องจากดอลลาร์ฟื้นตัว 💵 และพันธบัตรปรับตัวเพิ่มขึ้น 📊 หลังจากที่ทรัมป์ปฏิเสธว่าจะผ่อนปรนในเรื่องภาษี 🏛️ อย่างไรก็ตาม ข่าวดีสำหรับผู้ซื้อทองคำคือในเชิงเทคนิค การลดลงครั้งนี้ไม่ได้ทะลุเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 วัน (🔴 เส้นสีแดง)
📍 **ระดับสำคัญอยู่ที่ $2,626 ในขณะนี้** โดยมีแนวรับระยะสั้นเพิ่มเติมใกล้เคียง $2,600
📅 โดยทั่วไปแล้ว เดือนมกราคมมักจะเป็นเดือนที่ยอดเยี่ยมสำหรับทองคำ ✨ อันที่จริงแล้ว เดือนมกราคมเป็นเดือนที่ทองคำมีผลตอบแทนดีที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา 🥇
📊 อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาภาพรวมก่อนเดือนมกราคมปีนี้ ทองคำเพิ่มขึ้นถึง **27% ในปี 2024** 🚀 แม้ว่าจะมีการลดลงเล็กน้อยในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมก็ตาม ราคาทองคำใช้เวลากว่าหนึ่งปีในการปรับตัวต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 วัน 📈 และแม้กระทั่งในตอนนั้น การลดลงก็ไม่ได้ยืดเยื้อนาน ⏳
💡 **สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ซื้อในช่วงราคาลดลงยังคงมีความมั่นใจสูงอย่างน้อยในตอนนี้**
⚠️ **ข้อควรระวังสำหรับทองคำในตอนนี้**
ดอลลาร์ยังคงอยู่ในสถานะทรงตัวตั้งแต่เดือนที่แล้ว 💵 ขณะที่ทรัมป์ยังคงผลักดันนโยบายภาษี 📜 และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐยังคงสนับสนุนแนวคิดที่ว่าเฟดจะหยุดการลดดอกเบี้ย 📉 ทำให้แรงซื้อเชิงป้องกันของผู้ซื้อทองคำอาจค่อยๆ ลดลง โดยเฉพาะหากตลาดพันธบัตรยังคงให้การสนับสนุนในทิศทางเดียวกัน 📊
📣 กล่าวอีกนัยหนึ่ง แนวโน้มทองคำในเดือนมกราคมอาจไม่เป็นไปตามเดิมเหมือนในอดีต 🕰️ ทดสอบแรกจะเป็นรายงานการจ้างงานของสหรัฐและข้อมูลที่เกี่ยวข้องซึ่งจะออกในสัปดาห์นี้ 📆
📉 **หากราคาทะลุต่ำกว่า $2,600 อย่างมีนัยสำคัญ** อาจกระตุ้นให้เกิดแรงขายอย่างรวดเร็วในทองคำ ⚡ หากเป็นเช่นนั้น การร่วงลงอย่างรวดเร็วเพื่อทดสอบเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน (🔵 เส้นสีน้ำเงิน) ใกล้ $2,500 ก็อาจเกิดขึ้นได้ 🌀
⏳ สำหรับตอนนี้ ต้องรอดูว่าข้อมูลจะเป็นอย่างไรในช่วงเวลาถัดไป 📊
#️⃣ **#ราคาทองคำ #ทองคำวันนี้ #แนวโน้มทองคำ #การลงทุน #ข่าวเศรษฐกิจ #ดอลลาร์ #ทองคำโลก #ลงทุนปลอดภัย**
BTCUSD : ระบบ MACD ตัด 0 (ActionZone) มีสัญญาณ "ซื้อ" 7/1/2025อธิบาย : ระบบ Action Zone หรือ MACD ตัดศูนย์ คือระบบที่ใช้หลักการดูเส้น MACD ว่า เส้นนี้จะตัดกับเส้นศูนย์เมื่อไหร่ โดย ถ้าตัดขึ้นก็จะเป็นสัญญาณซื้อ ถ้าตัดลงก็จะเป็นสัญญาณขาย ถือเป็นระบบ Trend Following ที่ใช้ได้ดีกับตลาดที่มีเทรนจ๋าๆ เช่น BTC
แต่ระบบนี้ก็จะมีจุดอ่อนอยู่หลายจุดเช่นกัน คือ ในช่วงตลาด sideway ออกข้างเราอาจจะเจอ false sig ทำให้ต้องคืนกำไร คืนทุน กันบ่อยๆ ได้ หรือบางทีถ้าตลาดมีการทุบแรงๆ ก็อาจจะทำให้เจอการคืนกำไรหมดเช่นกัน เพราะระบบจะต้องรอ confirm ของเส้น MACD ก่อน ถึงจะยอมขาย ตอนขึ้น บางทีทำให้มันถือได้นาน ถือได้ทน รันเทรนได้นาน แต่ถ้าลงแรงก็จบกัน 555
ความเห็นของรอบนี้ : ปกติแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา เวลาขึ้นปีใหม่ BTC ก็จะชอบไปต่อได้อีกสักหน่อย ก่อนจะจบรอบขาขึ้นประมาณเดือน มีนา-เมษา ของทุกปี ก็มาลุ้นกันว่า ระบบเขียวรอบนี้ แล้วมันจะไปต่อได้เหมือนทุกปีหรือเปล่า หรือปีนี้จะไม่เหมือนปีก่อนๆ แล้วเป็นการสับขาหลอก ดีดเพื่อลงต่อแทน ... อนาคต ไม่มีใครรู้ เรารู้แต่เพียงว่า ถ้าระบบเขียว แล้วเราดันไม่ยอมเชื่อระบบ แล้วไม่ได้เข้า ... แล้วมันดันไปต่อ เราก็จะต้องมานั่งเซ็งเองทีหลัง ดังนั้น ก็หลับตาข้างนึงแล้วแหย่ๆ เข้าไปเถอะ ถ้ามันไม่ไปต่อ ระบบแดง เราก็แค่คัทออกมานั่งดูเฉยๆ แค่นั้นเอง
BTC ActionZone = เขียว ( 7/1/2025 )
------------------
Entry : 102200+-
SL : 94500 ( -7.5% )
Position Size = 13% ของพอร์ต ( Risk1% )
---------------------------
สรุปผลกำไร สะสม ของทุกระบบ ในปี 2025 ได้ดังนี้
* รายการกำไรนี้ เป็นการคำนวณตรงๆ ยังไม่ได้ใส่ค่า fee และ slippage เข้าไปนะครับ ดังนั้น กำไรจริงๆ ของการทำตามระบบ ก็น่าจะต่ำกว่านี้พอสมควรครับ
(1Jan-???) EMA120D = ??%
(7Jan-???) ATR = ??%
(7Jan-???) ActionZone = ??%
Sum กำไรสะสมของปี 2025 = ??% ที่ความเสี่ยง 1% ต่อระบบต่อครั้ง ( Max 4% กำไรหน่วย USD )
S50H25 ซึ่งแสดงรูปแบบ **Harmonic Bullish Crab บน (M30)06/01/25 ตลาดเทลงมา แต่ทว่าจากภาพ S50H25 ซึ่งแสดงรูปแบบ **Harmonic Bullish Crab** บนกราฟ **S50H25 (M30)**
เราะทำการวิเคราะห์โดยละเอียดสำหรับรูปแบบนี้และแนะนำแนวทางการเทรดให้ชัดเจนขึ้น:
---
### **หลักการของ Harmonic Bullish Crab**
1. จุด **X** คือจุดเริ่มต้นของขา XA
2. จุด **A** คือจุดสูงสุดแรกหลังจากขา XA
3. จุด **B** เป็นการ **retracement ของ XA** ในช่วง **38.2% ถึง 61.8%**
4. จุด **C** เป็นการ **retracement ของ AB** ในช่วง **38.2% ถึง 88.6%**
5. จุด **D** คือ **Fibonacci extension ของ XA** ซึ่งโดยทั่วไปอยู่ที่ **161.8% ของ XA (ตำแหน่งกลับตัวหลัก)
---
### **วิเคราะห์โครงสร้างในภาพ**
#### **จุดที่ระบุในภาพ**
- **X = จุดต่ำสุดแรก** (ต้นขา XA)
- **A = จุดสูงสุดของขาขึ้นหลังจาก X**
- **B = จุดต่ำสุดที่ retracement ของ XA**
- **C = จุดสูงสุดของ retracement ของ AB**
- **D = จุดต่ำสุดที่ Fibonacci extension ของ XA คาดการณ์จุดกลับตัว**
#### **ขั้นตอนการคำนวณ**
1. **ขา XA**:
- จากภาพ จุด X และ A ถูกระบุไว้อย่างชัดเจน
- ระยะห่าง XA = A − X
2. **จุด B**:
- จุด B retraces ในช่วง **38.2% ถึง 61.8%** ของ XA
- ตรวจสอบว่าจุด B อยู่ในช่วงนี้เพื่อยืนยันรูปแบบ
3. **จุด C**:
- C retraces ในช่วง **38.2% ถึง 88.6% ของ AB**
- ตรวจสอบว่าสอดคล้องกับเกณฑ์นี้
4. **จุด D**:
- จุด D ใช้ **161.8% extension ของ XA**
- ระดับที่น่าสนใจคือช่วงนี้เพื่อตัดสินใจเปิดสถานะ
---
### **พิจารณาจุดกลับตัว D**
จากภาพ กราฟได้แตะจุดแนวรับบริเวณต่ำกว่าแนว Fibonacci 161.8% และใกล้กับโซน **882.5** ซึ่งเป็นระดับที่แสดงการกลับตัวตาม **Bullish Crab**:
1. จุด **D** คาดการณ์ไว้ใกล้ **ระดับ 882.5 (จากการคำนวณในภาพก่อนหน้า)
2. ในภาพนี้ ราคากลับตัวใกล้ **882.5** และมีสัญญาณการปรับตัวขึ้น
3. **สัญญาณ MACD** เริ่มแสดงการชะลอตัวของแรงขาย (เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียว)
---
### **แนวทางการเทรด**
- เปิดสถานะ **LONG** ใกล้กับแนวรับปัจจุบันที่ **882 ถึง 885** หากราคายืนยันการกลับตัว
- วาง **Stop Loss ต่ำกว่า 880** หรือใกล้โซน 876 เพื่อป้องกันความเสี่ยง
- ตั้งเป้าหมายทำกำไรใกล้แนวต้านที่ 888, **Pivot Day (891.2)** หรือระดับถัดไปที่ 895 และ 902
---
### **สรุป**
1. รูปแบบ Bullish Crab ในภาพนี้มีจุด D ใกล้บริเวณแนวรับสำคัญ
2. จุดเข้าซื้อ (LONG) คือช่วง 882.5 ถึง 885 พร้อม Stop Loss ที่เหมาะสม
3. MACD และโครงสร้าง Fibonacci สนับสนุนสัญญาณกลับตัว
5 กฎเหล็กในการเทรด Scalping 5 กฎเหล็กในการเทรด Scalping
👺👺👺 กลับมาพบเจอกันอีกแล้วกับบทความดีๆ รวมไปถึงทริคและเทคนิคการเทรดดีๆ ที่แอดพร้อมมาแชร์ให้ได้รู้กัน โดยวันนี้เอาใจสายScalping ที่ชอบเก็บกำไรสั้นๆ การเทรดที่มาพร้อมกฎเห็กในการทำกำไร มาครับมาตามอ่านกันได้เลย
ในยุคสมัยที่โลกหมุนไวไปไวนี่เอง การเทรดก็ย่อมมาเร็วเคลมเร็วไม่ต่างกัน หากเราชื่นชอบการเทรด Scalping เราก็ควรต้องมีกฎเหล็กในการเข้าทำกำไรด้วย เพราะความเสี่ยงในการเทรดรูปแบบนี้จัดว่ามีความเสี่ยงค่อนข้างสูงมากครับ การวางแผนการเทรดที่ดีจึงช่วยให้เรามีกำไรที่สม่ำเสมอและชนะได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
5 กฎในการเทรด Scalping
1. ยิ่งแพ้ยิ่งเป็นประสบการณ์
เพราะการเทรดไม่ได้มีคำว่าชนะอย่างเดียว เราจะมีแพ้ชนะ สลับกันไป แต่ที่ต้องจำให้ขึ้นใจคือ แพ้น้อยกว่าชนะได้ แต่กำไรต้องมากกว่า ไม้ที่แพ้เสมอ
2. ห้ามยอมแพ้เด็ดขาด
คุณต้องอยู่ในตลาดให้ได้นานมากที่สุด แม้ว่าออเดอร์ที่เข้าไปจะแพ้ก็ตาม ให้ยืนดูอยู่ข้างตลาดเอาไว้ก่อน แล้วมองหาโอกาสในการเทรดใหม่ (ที่ยืนอยู่บน Mindsetที่ดีด้วยนะ) เพราะโอกาสที่ดี มักมาในช่วงที่คนส่วนใหญ่เริ่มยอมแพ้กันหมดแล้ว
3.เริ่มจากทุนน้อยๆไปหาทุนมากๆ
อย่าเพิ่งเริ่มต้นด้วยทุนก้อนโต การค่อยเป็นค่อยไปช่วยให้เราคุ้นชินและมีประสบการณ์ที่ดีและไม่ดีร่วมกัน และทำให้เราแก้ปัญหา และหลบเลี่ยงเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ดียิ่งขึ้น
4. หมั่นตรวจสอบกลยุทธ์และประเมินผลลัพธ์บ่อยๆ
คล้ายกับการติดตามผลลัพธ์การเทรดนั่นแหละครับ แต่เราทำมากกว่านั้นด้วยการประเมินและวิเคราะห์กลยุทธ์ของเราตลอดเวลา อาจจะเป็นทุก3 เดือน 6 เดือน หรือปีละครั้ง ครับ
5. อย่าแหกกฎของตัวเอง
เชื่อว่าข้อสุดท้ายนี้ใครๆก็พูดได้แต่ทำยากมากที่สุด แต่จำไว้เถอะฮะ ถ้าคุณทำตามกฎการเทรดของตัวเองได้ เรื่องยากๆในชีวิตนี้จะดูง่ายขึ้นเยอะเลย จริงๆ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ หมั่นสำรวจและลองผิดลองถูกในกลยุทธ์ของตัวเอง แล้วพยายามสร้างกฎการเทรดให้ตัวเองที่ไม่ยากจนเกินไปจะทำให้เราไม่เครียด และทำตามกฎได้ง่ายขึ้น นะฮะ ว่าแล้วก็ลองไปลองเริ่มทำกันดูฮะ วางแผนดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
และที่สำคัญ ฝึกฝนการเทรดให้ได้ทุกวัน รับรองว่ากำไรไม่ไกลเกินฝันแน่นอนฮะ แอดเอาใจช่วย แล้วอย่าลืม MM กันด้วยนะ ชีวิตการเทรดของเราจะยืนยาวและมั่นคง แอดฟันธงให้เลย
ตั้งเป้าหมายปีใหม่ในการเทรด (New Year Trading Goals)ปีใหม่มักเป็นช่วงเวลาที่หลายคนใช้เพื่อเริ่มต้นใหม่และตั้งเป้าหมายใหม่ในชีวิต รวมถึงในโลกของการเทรดด้วย การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและเหมาะสมสำหรับปีใหม่สามารถช่วยให้คุณพัฒนาทักษะการเทรดและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จได้ นี่คือคำแนะนำสำหรับการตั้งเป้าหมายปีใหม่ในการเทรด:
1. ทบทวนผลงานการเทรดในปีที่ผ่านมา
ก่อนจะตั้งเป้าหมายใหม่ คุณควรเริ่มต้นด้วยการประเมินผลการเทรดในปีที่ผ่านมา วิเคราะห์ว่าคุณทำอะไรได้ดีและควรปรับปรุงในส่วนใดบ้าง เช่น การจัดการความเสี่ยง ความสามารถในการปฏิบัติตามแผน หรือการวิเคราะห์ตลาด
2. กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้
เป้าหมายที่ดีควรมีความชัดเจนและสามารถวัดผลได้ เช่น "เพิ่มกำไรสุทธิ 10% จากปีที่แล้ว" หรือ "ลดการขาดทุนสูงสุดต่อครั้งไม่เกิน 2% ของทุน" การตั้งเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมจะช่วยให้คุณมีทิศทางที่ชัดเจนและสามารถติดตามความก้าวหน้าได้
3. ปรับปรุงแผนการเทรด (Trading Plan)
หากคุณยังไม่มีแผนการเทรดที่ชัดเจน ปีใหม่นี้คือเวลาที่ดีที่จะเริ่มสร้างขึ้นมา หรือหากมีแล้ว คุณอาจต้องปรับปรุงให้เหมาะสมกับเป้าหมายใหม่ เพิ่มกฎเกี่ยวกับการเข้าและออกจากตลาด การจัดการความเสี่ยง และการวางกลยุทธ์
4. ศึกษาและพัฒนาทักษะการเทรด
การลงทุนในการพัฒนาทักษะของตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญ คุณอาจตั้งเป้าหมายที่จะเรียนรู้กลยุทธ์ใหม่ ๆ หรือศึกษาการวิเคราะห์ตลาดในเชิงลึกมากขึ้น เช่น การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค หรือการติดตามข่าวเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อตลาด
5. บริหารจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
การเทรดไม่ควรกลายเป็นภาระที่กินเวลาชีวิตส่วนตัว ตั้งเป้าหมายในการบริหารเวลาให้เหมาะสม เช่น การกำหนดชั่วโมงการเทรด หรือการจัดเวลาให้กับการพักผ่อนและกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อรักษาสมดุลชีวิต
6. สร้างระบบตรวจสอบและปรับปรุงตัวเอง
ตั้งเป้าหมายในการบันทึกการเทรดและวิเคราะห์ผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอ เช่น การบันทึกเหตุผลในการเข้าและออกจากตลาด หรือผลกำไร/ขาดทุนในแต่ละการเทรด ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมและสามารถปรับปรุงได้อย่างต่อเนื่อง
7. ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตและกาย
สุขภาพที่ดีช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพในการตัดสินใจ ตั้งเป้าหมายในการดูแลสุขภาพ เช่น การออกกำลังกายเป็นประจำ การนอนหลับให้เพียงพอ และการทำสมาธิเพื่อลดความเครียดที่อาจเกิดจากการเทรด
8. เตรียมรับมือกับความเสี่ยงและความผิดพลาด
ตั้งเป้าหมายที่จะมีแผนรับมือกับความเสี่ยง เช่น การใช้ Stop Loss การกระจายความเสี่ยง หรือการจำกัดการเทรดในวันที่ตลาดไม่แน่นอน และอย่าลืมเรียนรู้จากความผิดพลาดเพื่อพัฒนาตัวเองในระยะยาว
9. สร้างเครือข่ายกับนักเทรดคนอื่น
การพูดคุยหรือแลกเปลี่ยนความรู้กับนักเทรดคนอื่น ๆ สามารถช่วยเสริมสร้างมุมมองใหม่ ๆ และสร้างแรงบันดาลใจ ลองเข้าร่วมกลุ่มหรือฟอรัมที่เกี่ยวกับการเทรดเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์
USD/JPY พุ่งต่อเนื่อง! ลุ้นแตะ 160 ระวัง BoJ แทรกแซง!### 💹🔥 แนวโน้ม USD/JPY: ขาขึ้นยังคงควบคุมตลาด! มีโอกาสแตะจุดสูงสุดใหม่ แต่ระวัง BoJ อาจแทรกแซง! 🚨💰
**💵 USD/JPY**
USDJPY – 📈 การเคลื่อนไหวในระยะสั้นยังคงแกว่งตัวในกรอบข้างใต้ระดับสูงสุดใหม่ในรอบหลายสัปดาห์ (158.07) และกำลังอยู่ในช่วงพักฐานหลังจากปรับตัวขึ้น 5% ในเดือนธันวาคม 📊
📉 การปรับฐานที่จำกัด (ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 10 วัน) ชี้ให้เห็นว่ากลุ่มขาขึ้นหลักยังคงมีอิทธิพลอยู่ และมีแนวโน้มที่จะกลับมาปรับตัวขึ้นอีกครั้งหลังจากช่วงพักฐาน 💪💹
💵 ค่าเงินดอลลาร์ยังคงได้รับแรงสนับสนุนจาก:
- มุมมองของ Fed ที่ปรับเป็นเชิงเข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย 📈
- ความแตกต่างระหว่างนโยบายของ Fed และธนาคารกลางหลักอื่นๆ 🌍
- ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่แน่นอน 🌐🔒
📊 ปัจจัยทางเทคนิคที่เป็นบวกสนับสนุนมุมมองของการเร่งตัวครั้งสุดท้ายไปยังแนวต้านทางจิตวิทยาที่ระดับ 160 และมีโอกาสทดสอบระดับสูงสุดของปี 2024 ที่ 161.95 (ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ) 🚀 อย่างไรก็ตาม ⚠️ ควรพิจารณาความเสี่ยงของการแทรกแซงจาก BoJ ในโซนนี้ด้วย 🏦🇯🇵
#USDJPY 💴 #การเงิน 📈 #เศรษฐกิจ 🌍 #ลงทุน 💰 #ข่าวด่วน 🚨
BTCUSD : ระบบ MACD ตัด 0 (ActionZone) มีสัญญาณ "ขาย" 30/12/2024อธิบาย : ระบบ Action Zone หรือ MACD ตัดศูนย์ คือระบบที่ใช้หลักการดูเส้น MACD ว่า เส้นนี้จะตัดกับเส้นศูนย์เมื่อไหร่ โดย ถ้าตัดขึ้นก็จะเป็นสัญญาณซื้อ ถ้าตัดลงก็จะเป็นสัญญาณขาย ถือเป็นระบบ Trend Following ที่ใช้ได้ดีกับตลาดที่มีเทรนจ๋าๆ เช่น BTC
แต่ระบบนี้ก็จะมีจุดอ่อนอยู่หลายจุดเช่นกัน คือ ในช่วงตลาด sideway ออกข้างเราอาจจะเจอ false sig ทำให้ต้องคืนกำไร คืนทุน กันบ่อยๆ ได้ หรือบางทีถ้าตลาดมีการทุบแรงๆ ก็อาจจะทำให้เจอการคืนกำไรหมดเช่นกัน เพราะระบบจะต้องรอ confirm ของเส้น MACD ก่อน ถึงจะยอมขาย ตอนขึ้น บางทีทำให้มันถือได้นาน ถือได้ทน รันเทรนได้นาน แต่ถ้าลงแรงก็จบกัน 555
ความเห็นของผม :
ตอนระบบนี้เขียวเมื่อวันที่ 19/9/2024 ที่ผ่านมา ผมก็เขียนความเห็นไว้ว่า ยังไงถึงแม้ก่อนหน้าเราจะโดนหลอกมาบ่อยจนท้อ แต่ เราก็ไม่ควรท้อ เพราะว่า ถ้าเกิดว่าเราท้อแล้วไม่ได้เข้า ถ้ามันไปจริงเราก็จะต้องมาเซ็งทีหลังกันอีก
สรุปว่า รอบนี้มันก็ไปจริง ใครที่ท้อ ไม่ได้เข้าตั้งแต่เขียวแรกในวันนั้น ก็อาจจะต้องไปเข้าช้า หรือไปไล่ราคาทีหลัง ทำให้แทนที่จะได้เข้าตั้งแต่ต้นรอบ ก็ตกรถกันไปซะงั้น 555 ใครที่ตกรถรอบนี้ก็ขอให้ได้บทเรียนเพื่อไปปรับปรุงตัวเองกันไปนะครับ
และแน่นอน เมื่อมีสัญญาณซื้อ ก็ต้องมีสัญญาณขาย และ... ใครไม่เชื่อสัญญาณขาย ถ้าหากว่า มันลงต่อหนัก หรือไปซื้อที่ยอดแล้วไม่มีแผนขาย ท่านก็อาจจะคืนกำไรหมด หรือขาดทุนหนักก็ได้เช่นกันครับ
รอบนี้ผมเริ่มเห็นหลายๆ คนมีความเห็นว่า เดี๋ยว BTC ก็น่าจะมี rally ต้นปีเหมือนทุกๆ ปีที่ผ่านมา แล้วจะไปจบรอบอีกทีตอนเดือนมีนา-เมษา แต่ส่วนตัวก็มองว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้สำหรับตลาดนี้ มันอาจจะไม่เป็นไปตามอดีตก็ได้นะครับ วิธีรับมือก็คือ สำหรับพอร์ตระบบก็ไม่ควรไปวัดดวง ทำตามระบบไปก่อนดีกว่า จะวัดดวงก็ไปรอวัดกับพอร์ตระยะยาวแทนครับ
ส่วนตัวก็อยากให้มันขึ้นไปต่อนะ แต่ว่า ในเมื่อระบบแดงเรียบแล้วแบบนี้ ผมก็ขอออกมามือว่างถือเงินสดรอดูทิศทางลมก่อนดีกว่าครับ
BTC Action Zone = เขียว ( 19/9/2024 )
------------------
Entry : 61760+-
SL : 56400 (-8.6%)
Position Size = 10% ของพอร์ต ( Risk1% )*
* ปัดเศษเพื่อความง่ายต่อการคำนวณ
BTC Action Zone = แดง ( 30/12/2024 )
------------------
Entry : 61760+-
TP : 93738 (+51.77)
Position Size = 10% ของพอร์ต ( Risk1% )*
Actual Profit = 10% * 51.77% = 5.18%
เพื่อความง่ายต่อการคำนวณ ผมจะ cut off กำไร 2024 ของระบบสุดท้ายที่ยังเขียวอยู่ไปด้วยเลย ตามด้านล่างนะครับ
BTC CloseAboveEMA120D = เขียว ( 19/9/2024 ) - TP Cut off 2024 ( 30/12/2024 )
------------------
Entry : 61760+-
TP : 93738 (+51.77)
Position Size = 10% ของพอร์ต ( Risk1% )*
Actual Profit = 10% * 51.77% = 5.18%
---------------------------
สรุปผลกำไร สะสม ของทุกระบบ ในปี 2024 ได้ดังนี้
* รายการกำไรนี้ เป็นการคำนวณตรงๆ ยังไม่ได้ใส่ค่า fee และ slippage เข้าไปนะครับ ดังนั้น กำไรจริงๆ ของการทำตามระบบ ก็น่าจะต่ำกว่านี้พอสมควรครับ
(8Feb-17Mar) ATR = +6.61% ที่ความเสี่ยง 1% ( 6.61R )
(9Apr-14Apr) ATR = -1.06% ที่ความเสี่ยง 1% (-1.06R )
(10Feb-14Apr) BreakHigh = +4.94% ( 4.94R )
(2Feb-17Apr) ActionZone = +9.6% ( 9.6R )
(16May-15Jun) ATR = -0.023%
(19May-18Jun) ActionZone = -0.059%
(1Jan-25Jun) EMA120DCross = +5.95% ( 5.95R )
(16Jul-3Aug) ATR = -0.5%
(16Jul-3Aug) EMA120DCross = -0.5%
(20Jul-5Aug) ActionZone = -0.9%
(24Aug-27Aug) EMA120DCross = -0.7%
(26Aug-30Aug) ActionZone = -0.75%
(24Aug-2Sep) ATR = -1.04%
(14Sep-2Oct) ATR = +0.05%
(19Sep-2Oct) EMA120DCross = -0.155%
(25Sep-2Oct) BreakHigh = -0.538%
(15Oct-23Dec) ATR = 5.74%
(15Oct-28Dec) BreakHigh = 5.57%
(19Sep-30Dec) ActionZone = 5.18%
(15Oct-30Dec) EMA120D *cut off 2024 * = 5.18%
เทรดทั้งหมด 20 ครั้ง
เทรดที่มีกำไร = 9 ครั้ง
เทรดที่ขาดทุน = 11 ครั้ง
เปอร์เซ็นของกำไร (win rate) = 45%
Sum กำไรสะสมของปี 2024 = 32.23% + 5.18% + 5.18% = 42.59% ที่ความเสี่ยง 1% ต่อระบบต่อครั้ง ( Max 4% กำไรหน่วย USD )
ดังนั้น กำไรตามระบบเป๊ะๆ ของปีนี้ ถ้าวัดกันตามความเสี่ยง ก็จะได้ประมาณ 10R นั่นเองครับ และก็น่าจะเป็นกำไรที่สูงที่สุดตั้งแต่ช่วงขาขึ้นปี 2021 มาเลยครับ
ส่วนกำไรที่ได้จริง ในส่วนตัวที่ผมได้ ก็จะน้อยกว่านี้พอสมควร โดยได้ประมาณ 30% เพราะว่า ได้มีการทยอยแบ่งไม้ขายไปบ้าง ยังไม่นับค่า fee อีก รวมถึงอาจจะมีไป ซื้อ-ขายด้วยอารมณ์ระหว่างทางบ้าง บางไม้ หรือแม้แต่ค่าเงินบาทที่แข็งจัดจนทำให้ กำไรจริงที่ realised เป็น THB น้อยกว่ากำไร benchmark ตัวนี้นั่นเองครับ
Improve your Strategy วิธีปรับปรุงกลยุทธ์การซื้อขายในตลาด ForexImprove your Strategy
วิธีปรับปรุงกลยุทธ์การซื้อขายในตลาด Forex
👯👯👯 กลับมาพบเจอกันอีกแล้ว กับบทความเทคนิคดีๆในการเทรด วันนี้แอดพาพวกเราไปทำการบ้านกันครับ การบ้านในการเทรดก็คือการปรับปรุง ปรับแต่ง และการพัฒนากลยุทธ์ในการเทรดนั่นเอง มาครับไปดูกันว่าเราควรเริ่มจากอะไรได้บ้าง
💁 เพราะตลาดฟอเร็กซ์เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก การซื้อขายสกุลเงินถือเป็นธุรกิจที่ทำได้ง่าย และรวยเร็ว และจนเร็วได้ด้วยเช่นกัน การปรับปรุงกลยุทธ์การเทรด Forex ให้ประสบความสำเร็จนั้นก็ต้องใช้เวลา และความพยายาม และความเข้าใจในตลาดอย่างลึกซึ้ง
💁การปรับปรุงกลยุทธ์หรือเปลี่ยนกลยุทธ์ในการเทรด จึงถือเป็นเคล็ดลับที่เราควรต้องทำ อย่างน้อยปีละครั้งครับ
💁เพราะตลาดการเงินในตอนนี้ส่วนใหญ่แล้ว AI โรบอทเข้ามามีบทบาทสำคัญมากในตลาด ไอ่เจ้าพวกนี้แหละที่คอยจับตาและสร้าสถิติการเลียนแบบการเทรด รวมไปถึงพฤติกรรมการเทรดของเรา ให้เราชนะได้ยากขึ้น และแพ้มากขึ้นนั่นเอง
1.การเลือกโบรกเกอร์และประเภทบัญชีที่เหมาะสม
เพราะโบรกเกอร์นั้นมีเยอะและหลากหลาย แต่ประสิทธิภาพไม่ได้เหมือนกันทุกโบรก
- บางโบรกข่าวมาก็ค้างบ่อย
- บางโบรกมีเก็บค่า swap บางโบรกไม่มี
- ค่าสเปรดสูง-ต่ำ ไม่เท่ากัน ฯลฯ
การเลือกโบรกจึงค่อนข้างสำคัญฮะ เพราะความหลากหลายตรงนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทำกำไร เราต้องวางแผนให้ดี ว่าการเทรดของเรา เป็นไปในลักษณะไหน ถ้าชอบถือนานๆเป็นอาทิตย์เป็นเดือน ก็ไม่ควรเลือกโบรกที่มีค่า swap แล้วหันไปเลือกโบรกที่ไม่มีค่าswap แทน เป็นต้น
2. Leverage เลเวอเรจ เป็นได้ทั้งปืนและดาบสองคม
ยิ่งซื้อมาก(Overtrade) ยิ่งล้างง่าย คำนี้จำให้ขึ้นใจ เพราะเลเวอเรจไม่ต่างจากการยืมเงินคนอื่นมาใช้ หากชักหน้าไม่ถึงหลัง ก็เตรียมหงายการ์ดล้มละลายได้เลย แต่หากใช้ให้ถูกทาง ถูกหลักและแบบแผนในการเทรดเราแล้วหละก็ มีแต่กำไรแน่นอนครับ
เราต้องเลือกเลเวอเรจ ที่ไม่มากจนเกินไป และไม่น้อยจนเกินไป เพราะอัตราส่วนเลเวอเรจเป็นตัวกำหนดความเสี่ยงและความเหมาะสมในการเทรดของแต่ละคนครับ คำนวณดีๆยังไงเราก็ชนะแน่นอน
3. ปรับเปลี่ยนเปอร์เซ็นต์ผลกำไรและการขาดทุน
เพราะค่าเฉลี่ยความผันผวนการวิ่งในตลาดนั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เป้าหมายการทำกำไร และการกำหนดจุดหรือเปอร์เซ็นต์การเทรดจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนตาม
เช่น เราเคยทำกำไรจากตลาดทองคำ เราจะรู้ว่าเมื่อก่อนนี้หรือปีที่ผ่านๆมา ทองจะวิ่งแต่ละครั้งไม่เกิน 10-15$ หรือคิดเป็น 10,000 - 15,000 จุด แต่ในปีนี้ และปีถัดไป มันไม่ใช่แล้ว ทองสามารถวิ่งสวิงในแต่ละรอบ อยู่ที่ 50 -100$ ในแต่ละวัน เอ๊า! คิดดูเอาเองแล้วกัน ถ้าเรายังต้องการกำไร-ขาดทุนที่ 10 เปอร์เซ็นต์เหมือนเดิม เราจะเทรดขาดทุนตลอดเวลา ด้วยสัดส่วนที่มันกว้างมากขึ้นนี่เอง
4. จดบันทึกยังคงสำคัญเสมอ
อดีตมักสอนเราเกี่ยวกับอนาคต ดังนั้นการจดสถิติการเทรดของตัวเอง การติดตามการซื้อขายของเราเองจึงช่วยทำให้เราเห็นจุดอ่อนและจุดแข็ง อย่าปล่อยให้ AI โรบอทมาล้วงความลับของเราแค่ฝ่ายเดียว
การวิเคราะห์ข้อมูลของตัวเอง ช่วยให้เราเห็นจุดบอด และทำให้เราแก้ไขได้ตรงจุดด้วยนะ รวมไปถึงการอัพเกรดให้มันมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น
5. จิตวิทยาและ mindset ก็สำคัญไม่แพ้กัน
อย่าปล่อยปะละเลยกับความสุขที่แท้จริงในชีวิต การไม่มีอะไรและการไม่คิดอะไรเลยคือความสุขที่ถาวร ปรับเปลี่ยนความคิดของเราให้ไม่ยึดติดมากเกินไปในการเทรด สิ่งนี้แหละจะช่วยทำให้เราชนะตลาดได้มากขึ้น พยายามฝึกจิต ควบคุมอารมณ์ และปล่อยวาง ไม่จดจ่ออยู่ที่ผลกำไรมากเกินไป แล้วความสุขจะมาหาเราเองครับ
👽👽👽 เป็นอย่างไรกันบ้างครับพอจะได้ทริคดีๆในการปรับปรุงกลยุทธ์การเทรดกันแล้วใช่มั้ยครับ อย่าลืมเอาไปลองใช้กันดูนะครับ มันดีจริงๆแอดคอนเฟริมเลย
แล้วที่สำคัญ หมั่นฝึกฝนการเทรดให้ได้ทุกวัน ยิ่งเราเทรดบ่อยๆเราจะเก่งขึ้นเองครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM และสร้างแผนการเทรดที่ดีด้วยนะครับ จะช่วยทำให้เราแกร่งมากยิ่่งขึ้น และเจ็บน้อยลง แอดเอาใจช่วยนะครับ
27/12/24 วิเคราะห์ S50H25 ตามหลักการของ "Tom Joseph" Type I Buy27/12/24 วิเคราะห์ S50H25 ตามหลักการของ "Tom Joseph" ผู้สร้างโปรแกรม Advanced GET ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยนักลงทุนวิเคราะห์แนวโน้มและคลื่น Elliott Wave อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือคำอธิบายและการวิเคราะห์ภาพ S50H25: ในที่นี่เราจะใช้้ TradingView วิเคราะห์แทน Advanced GET
---
## **การวิเคราะห์ภาพ S50H25**
### **1. ความเข้าใจพื้นฐาน (Elliott Wave และ Fibonacci Integration)**
- โครงสร้างในกราฟนี้ถูกวิเคราะห์โดยใช้ **Elliott Wave** เพื่อระบุคลื่นย่อย (subwaves) และคลื่นใหญ่ (primary waves)
- คลื่นปัจจุบันอยู่ใน **Wave 4 Correction** ที่จบลงในรูปแบบ Zigzag (ABC) และราคามีการเด้งกลับจาก **จุดต่ำสุดของ Wave C**
- การใช้ Fibonacci Retracement และ Extension ช่วยกำหนดแนวต้านและเป้าหมายการฟื้นตัว
---
### **2. จุดสำคัญในภาพ**
- **Wave C Completion:**
จุดต่ำสุดของ Wave C อยู่ที่ระดับ **874 (วันที่ 20/12/24)** ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่นักลงทุนควรเริ่มมองหาการกลับตัว
- **Type One Buy Setup:**
รูปแบบนี้แนะนำว่าโอกาสการเข้าซื้อเกิดขึ้นในโซนนี้ เนื่องจากราคากำลังฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด และมีความน่าจะเป็น (Win Rate) สูงถึง **80%** ตามข้อมูลในภาพ
- **Profit Taking Index (PTI):**
ค่า **PTI = 72** แสดงว่ามีโอกาสสูงที่ราคาจะเคลื่อนไปยัง **เป้าหมาย Wave 5** ตามโครงสร้างคลื่น Elliott Wave
---
### **3. การวิเคราะห์เป้าหมาย (Target Zones)**
- **Wave 5 Target:**
การใช้ Fibonacci Extension ช่วยกำหนดเป้าหมายของ Wave 5:
- เป้าหมายแรก: **0.618 (926 7/8)**
- เป้าหมายต่อไป: **1.000 (959 1/2)**
- เป้าหมายขยาย: **1.272 (982 3/4)** หรือ **1.618 (1012 3/8)** หากโมเมนตัมยังแข็งแกร่ง
- **แนวรับและแนวต้านที่สำคัญ:**
ระดับ Fibonacci Retracement:
- แนวรับแรก: **886 1/2 (0.146 Fibonacci)**
- แนวต้าน: **894 (0.236), 906 (0.382), 916 (0.500)**
---
### **4. การตัดสินใจซื้อ (Type One Buy)**
- **จุดเข้า (Entry):**
เมื่อราคายืนยันการกลับตัวจาก Wave C (ประมาณ 890–902)
- **จุดตัดขาดทุน (Stop Loss):**
ต่ำกว่าจุดต่ำสุดของ Wave C ที่ **874**
- **กลยุทธ์ Take Profit:**
ใช้ระดับเป้าหมายตาม Fibonacci Extension (เป้าหมาย Wave 5)
---
### **5. การจัดการความเสี่ยง**
- **Risk-to-Reward Ratio:**
วางแผนให้ความเสี่ยงต่อผลตอบแทนอยู่ที่ **1:2 หรือ 1:3**
- **Trailing Stop:**
ขยับ Stop Loss ตามการเคลื่อนที่ของราคาเมื่อถึงเป้าหมายกำไรระดับแรก
---
### **สรุปมุมมอง Tom Joseph**
- **กราฟ S50H25 แสดงโอกาสเข้าซื้อที่เหมาะสม (Type I Buy)** จากจุดต่ำสุดของ Wave C (874)
- การฟื้นตัวไปสู่ Wave 5 มีโอกาสสูง ด้วยค่า PTI = 72 และ Fibonacci Level ที่บ่งบอกการสนับสนุน
- ใช้เทคนิค Elliott Wave ร่วมกับ Fibonacci และการจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม เพื่อวางแผนการซื้อขายที่มีประสิทธิภาพ
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องมืออื่นใน Advanced GET เช่น **XTL**, **Divergence**, หรือ **Oscillator**, แจ้งมาได้ครับ!
Day Trading Strategy กลยุทธ์การเทรดรายวันมีอะไรบ้างนะ?Day Trading Strategy
กลยุทธ์การเทรดรายวันมีอะไรบ้างนะ?
👽👽 กลับมาพบเจออกันอีกแล้ว กับเทคนิคการทำกำไร ทริคดีๆทริคเด็ดๆ ที่แอดเอามาฝากกันเช่นเคย บทความนี้เอาใจสายเทรดที่ชอบเก็บกำไรทุกวันครับ มาครับมา ใครชื่นชอบหรือเสพติดการเทรดแบบรายวันต้องอ่านแล้วน๊า
การเทรดรายวัน (Day Trading) คือการซื้อและขายสินค้าหรือสินทรัพย์ทางการเงินให้จบภายในวันเดียวกัน โดยมีจุดมุ่งหมายในการทำกำไรจากความผันผวนของราคาในตลาด โดยการเปิดและปิดจบในวันเดียว ไม่มีแช่ หรือข้ามวันนั่นเอง
กลยุทธ์ Day Trading มีอะไรบ้าง
1. การเทรดแบบ Scalping
กลยุทธ์นี้ใช้กรอบเวลาตั้งแต่ 1นาทีขึ้นไป จนถึง 30 นาที ทำกำไรได้น้อย แต่บ่อยครั้ง
2. กลยุทธ์ Range trading
กลยุทธ์นี้ส่วนใหญ่จะใช้ระดับแนวรับและแนวต้านเป็นหลัก เพื่อกำหนดจุดในการเข้า หรือเรียกว่า Swing Trading โดยจะเข้าทำกำไรและถือนานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน แต่ไม่ข้ามวัน
3. กลยุทธ์ News-based trading
กลยุทธ์นี้จะทำการซื้อขายจากความผันผวน เหตุการณ์ข่าวและพาดหัวข่าว เพราะกราฟค่อนข้างวิ่งเร็วและแรง ส่วนใหญ่นิยมเทรดหลังจากข่าวออกตั้งแต่วินาทีแรก จนถึง15 นาที แรก และ เทรดอีกครั้ง หลังข่าวออกไปแล้วอีก 15 นาที เรียกว่าเก็บรอบกำไรได้หลายทางแล้วแต่ความถนัดและความชำนาญ
4. กลยุทธ์ Reversal
กลยุทธ์นี้จะทำการซื้อขายจากการกลับตัวของเทรนในระยะสั้นและระยะยาวได้หมด ขึ้นอยู่กับแพทเทรินก่อนหน้าที่เป็นตัวบอกเทรนด์
เทคนิคการเทรดรายวัน
1. การวิเคราะห์เทคนิค (Technical Analysis) พวกกราฟแท่งเทียนเป็นต้น
2. การวิเคราะห์ข่าวสารและเหตุการณ์ (Fundamental Analysis) อ่านข่าวให้เยอะเข้าไว้
3. การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ (Indicators) สำคัญมากเลือกให้ตรงกับใจเราคือใช้แล้วชอบใช้แล้วดีนั่นเอง
4. การกำหนดเป้าหมายและวางแผนการเทรด เราจะได้เทรดตามแผนเป้าหมายได้ง่ายขึ้น
5. การควบคุมการเสี่ยง ตัวนี้สำคัญ รู้แพ้ รู้ชนะ ยังไงเราก็กำไรฮะ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ได้ทริคดีๆในการทำกำไรเพิ่มกันแล้วใช่มั้ยครับ อย่าลืมเอาไปลองใช้กันดูนะฮะ ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นเทคนิคการทำกำไรที่ดีของเราเลยก็ว่าได้ แอดหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เราอ่านกราฟได้ดี อ่านกราฟได้เก่งมากขึ้นนะครับ จำไว้เสมอว่ากราฟมีขึ้นแล้วก็มีลง ไม่ต้องไปเครียดกะมันหมั่น ฝึกฝนและเพิ่มเติมความรู้อย่างสม่ำเสมอ รับรอง เทรดยังไงก็รอดครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM กันด้วยนะครับ วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่งแน่นอนครับ แอดเอาใจช่วยสู้ๆ
การหาเทรนด์ด้วย EMA ในการเทรด Forexการหาเทรนด์ (Trend) เป็นหนึ่งในเทคนิคที่สำคัญที่สุดสำหรับนักเทรด Forex เพราะช่วยให้เราสามารถวางกลยุทธ์การซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหนึ่งในเครื่องมือยอดนิยมที่ใช้ในการหาเทรนด์คือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล (Exponential Moving Average หรือ EMA)
EMA คืออะไร?
EMA คือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลราคาล่าสุดมากกว่าข้อมูลในอดีต ทำให้เส้น EMA ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาได้รวดเร็วกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบธรรมดา (Simple Moving Average หรือ SMA) ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการวิเคราะห์ตลาดที่มีความผันผวนสูง เช่น ตลาด Forex
การใช้ EMA ในการหาเทรนด์
การใช้ EMA เพื่อหาเทรนด์สามารถทำได้โดยการวิเคราะห์ตำแหน่งของราคาและการเปรียบเทียบ EMA หลายเส้นดังนี้:
การวิเคราะห์ตำแหน่งของราคา
หากราคาปัจจุบันอยู่เหนือเส้น EMA แสดงว่าแนวโน้มตลาดกำลังเป็นขาขึ้น (Uptrend)
หากราคาปัจจุบันอยู่ต่ำกว่าเส้น EMA แสดงว่าแนวโน้มตลาดกำลังเป็นขาลง (Downtrend)
การใช้ EMA หลายเส้น
การใช้ EMA หลายเส้น เช่น EMA 30, EMA 50 และ EMA 100 ช่วยให้สามารถวิเคราะห์แนวโน้มระยะสั้นและระยะยาวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ตัวอย่างการหาเทรนด์:
หาก EMA 30 > EMA 50 > EMA 100 หมายถึงตลาดอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น
หาก EMA 30 < EMA 50 < EMA 100 หมายถึงตลาดอยู่ในเทรนด์ขาลง
ตัวอย่างกลยุทธ์การเทรดด้วย EMA
กลยุทธ์ Cross Over
เมื่อเส้น EMA ระยะสั้น (เช่น EMA 30) ตัดขึ้นเหนือเส้น EMA ระยะยาว (เช่น EMA 50) เป็นสัญญาณซื้อ (Buy Signal)
เมื่อเส้น EMA ระยะสั้นตัดลงใต้เส้น EMA ระยะยาว เป็นสัญญาณขาย (Sell Signal)
การใช้ EMA ร่วมกับแนวรับแนวต้าน
หากราคาปรับตัวลงมาทดสอบเส้น EMA ที่ทำหน้าที่เป็นแนวรับ และเด้งกลับขึ้นไป อาจเป็นจุดเข้าเทรด Buy
หากราคาปรับตัวขึ้นมาทดสอบเส้น EMA ที่ทำหน้าที่เป็นแนวต้าน และปรับตัวลง อาจเป็นจุดเข้าเทรด Sell
การวัดความแข็งแกร่งของเทรนด์
หากระยะห่างระหว่างเส้น EMA หลายเส้นกว้างขึ้น แสดงว่าเทรนด์มีความแข็งแกร่ง
หากเส้น EMA เริ่มเข้ามาใกล้กัน อาจบ่งบอกถึงการสิ้นสุดของเทรนด์หรือการเข้าสู่ช่วงไซด์เวย์ (Sideway)
ข้อควรระวังในการใช้ EMA
EMA ตอบสนองต่อราคาที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจทำให้เกิดสัญญาณหลอก (False Signal) ได้ในตลาดที่ไม่มีแนวโน้มชัดเจน
ควรใช้ EMA ร่วมกับเครื่องมืออื่น เช่น RSI, MACD หรือ Fibonacci เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
สรุป
การใช้ EMA ในการหาเทรนด์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและเข้าใจง่าย เหมาะสำหรับนักเทรดทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมืออาชีพ อย่างไรก็ตาม ควรทำการทดสอบกลยุทธ์ (Backtest) และฝึกฝนการใช้งานในบัญชีทดลองก่อนนำไปใช้ในบัญชีจริง เพื่อให้มั่นใจว่ากลยุทธ์เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณ
Moving Average Guide เส้นไหนโดนใจที่สุดMoving Average Guide เส้นไหนโดนใจที่สุด
👯👯👯 กลับมาพบเจอกันอีกแล้ว กับบทวามเทคนิคดีๆในการเทรด วันนี้เอาใจเทรดเดอร์ที่ชื่นชอบเส้น EMA แต่เอ๊ะ EMA ทำไมมีหลายเส้นจัง มาครับ บทความนี้มีคำตอบ
Moving Average คืออะไร??
Moving Average (MA) หรือที่เราเรียกว่า เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ เป็น Indicators ที่ใช้ง่ายถึงง่ายที่สุดและถูกนำไปใช้งานบ่อยและเป็นที่นิยมมากในตลาดการเงินและะตลาดหุ้น
แต่เคยสังเกตุมั้ยทำไมเส้น Moving Average ถึงมีให้เลือกใช้งานมากมายหลากหลายประเภทจัง ในหัวข้อนี้แอดจะเน้นไปที่เส้น Exponential Moving Average (EMA) เพราะเป็นค่ามาตรฐานที่ค่อนข้างละเอียด และเป็นที่นิยมกันมาก
ส่วนใหญ่ เส้น EMA ก็จะมีการคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลังไปครับ ไม่ว่าจะเป็นเส้นย้อนหลังไป 5 วัน หรือ 10 วัน 100 วัน หรือมากกว่า ทีนี้เรามาดูกันดีกว่า ว่าเส้น EMA ย้อนหลัง เส้นแบบไหนที่เหมาะกับเราบ้าง
1. หากเราชื่นชอบการเทรดสั้นๆเน้นเข้าเร็วออกเร็ว เหมาะกับการเทรดแบบ Day Trading และ Scalping ปิดจบในวัน แอดแนะนำให้ใช้เส้น 5 หรือ 9 หรือ 10 โดยที่เราต้องมีเส้นตัดบอกทิศทาง 1-2 เส้นขึ้นไปร่วมด้วย เพื่อบอกแนวรับแนวต้าน ส่วนใหญ่จะใช้เส้น 20 , 100 เป็นเส้นหลักในการรตัดกัน
2. หากเราชื่นชอบการเทรดระยะกลางๆปิดจบรายวัน ตั้งแต่ H1 ขึ้นไปจนรายวัน และเหมาะกับการเทรดตามเทรนด์ หรือ Trend Following แอดแนะนำให้ใช้เส้น 25 หรือ 50 หรือ 75 โดยที่เราต้องมีเส้นตัดบอกทิศทาง 1-2 เส้นขึ้นไปร่วมด้วย เพื่อบอกแนวรับแนวต้าน ส่วนใหญ่จะใช้เส้น 20 , 100 เป็นเส้นหลักในการรตัดกัน
3. หากเราชื่นชอบการเทรดระยะยาว ตั้งแต่รายวันจนถึงรายวีคและรายเดือนขึ้นไป เหมาะกับการเทรดตามเทรนด์ หรือ Trend Following แอดแนะนำให้ใช้เส้น 20 ร่วมกับเส้น 100 และ 200 ขึ้นไป โดยที่เราต้องมีเส้นตัดบอกทิศทาง 1-2 เส้นขึ้นไปร่วมด้วย เพื่อบอกแนวรับแนวต้าน
เส้น EMA ที่นิยมใช้
เส้น EMA5 = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 วันทำการ หรือ 1 สัปดาห์
เส้น EMA10 = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 วันทำการ หรือ 2 สัปดาห์ หรือ ประมาณครึ่งเดือน
เส้น EMA20 = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 20 วันทำการ หรือ 4 สัปดาห์ หรือ เกือบๆ 1 เดือน
เส้น EMA25 = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 25 วันทำการ หรือ ประมาณ 1 เดือน
เส้น EMA40 = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 40 วันทำการ หรือ 8 สัปดาห์ หรือ เกือบๆ 2 เดือน
เส้น EMA50 = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 50 วันทำการ หรือ ประมาณ 2 เดือน
เส้น EMA75 = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 75 วันทำการ หรือ ประมาณ 3 เดือน หรือ 1 ไตรมาส
เส้น EMA200 = การคำนวณค่าเฉลี่ยเป็นตัวเลขกลม ๆ ของจำนวนวันประมาณ 3 ไตรมาส
👽👽👽 เป็นอย่างไรกันบ้างครับพอจะได้ทริคดีๆในการใช้เส้น EMA กันบ้างแล้วใช่มั้ยครับ แอดว่ามันเรียบง่ายและใช้ง่ายที่สุดแล้วครับ แต่อย่าใส่เส้น EMAเยอะเกินไปจนลายตานะครับ ไม่งั้นนอกจากจะดูกราฟไม่รู้เรื่องแล้วเผลอๆจะเข้าออเดอร์ผิดๆถูกๆไปอีก
แล้วที่สำคัญ หมั่นฝึกฝนการเทรดให้ได้ทุกวัน ยิ่งเราเทรดบ่อยๆเราจะเก่งขึ้นเองครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM และสร้างแผนการเทรดที่ดีด้วยนะครับ จะช่วยทำให้เราแกร่งมากยิ่่งขึ้น และเจ็บน้อยลง แอดเอาใจช่วยนะครับ
ความยากในการเป็น Full-Time Traderการเป็น Full-Time Trader คือความฝันของใครหลายคนที่ต้องการอิสรภาพทางการเงินและเวลา แต่ในความเป็นจริงนั้น ความยากลำบากและความท้าทายที่ซ่อนอยู่มักไม่ได้รับการพูดถึงอย่างชัดเจน บทความนี้จะพาคุณสำรวจปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้การเป็น Full-Time Trader ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่หลายคนคิด
1. ความกดดันทางการเงิน
Full-Time Trader ต้องพึ่งพารายได้จากการเทรดเป็นหลัก หากผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง อาจทำให้เกิดความเครียดสะสม อีกทั้งยังต้องเผชิญกับภาระค่าใช้จ่ายประจำ เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่น ๆ การไม่มีรายได้ที่มั่นคงเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ
2. ความไม่แน่นอนของตลาด
ตลาดการเงินมีความผันผวนสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่นักเทรดต้องเผชิญในทุกวัน การคาดการณ์ทิศทางของตลาดไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ว่าคุณจะมีประสบการณ์หรือใช้เครื่องมือทางเทคนิคที่ยอดเยี่ยมก็ตาม การขาดทุนอย่างต่อเนื่องอาจทำให้ขาดความมั่นใจและส่งผลต่อจิตใจ
3. การบริหารความเสี่ยง
หนึ่งในทักษะที่สำคัญที่สุดของ Full-Time Trader คือการบริหารความเสี่ยง หากไม่มีการวางแผนที่ดีหรือการควบคุมความเสี่ยงที่เหมาะสม อาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ในระยะเวลาอันสั้น การรักษาเงินทุนเป็นสิ่งที่ยากและต้องอาศัยความมีวินัยอย่างสูง
4. ความรู้และทักษะที่จำเป็น
Full-Time Trader ไม่ได้อาศัยแค่โชคหรือการคาดเดา แต่ต้องมีความรู้เกี่ยวกับตลาด การวิเคราะห์เทคนิค และการวางกลยุทธ์อย่างแม่นยำ การพัฒนาทักษะเหล่านี้ต้องใช้เวลา การฝึกฝน และการลงทุนในการศึกษาอยู่ตลอดเวลา
5. ผลกระทบต่อสุขภาพจิต
ความกดดันจากการขาดทุน ความกลัวที่จะพลาดโอกาส (FOMO) หรือแม้กระทั่งการติดตามตลาดตลอดเวลา สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตได้อย่างมาก Full-Time Trader ต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งและสามารถจัดการอารมณ์ของตนเองได้ดี
6. การจัดการเวลา
แม้ว่าการเป็น Full-Time Trader จะดูเหมือนมีอิสระในการจัดการเวลา แต่ในความเป็นจริง การติดตามตลาด วิเคราะห์กราฟ และวางแผนการเทรดอาจใช้เวลามากกว่าการทำงานประจำเสียอีก การไม่มีตารางเวลาที่ชัดเจนอาจนำไปสู่ความเหนื่อยล้าและลดประสิทธิภาพในการเทรด
7. การปรับตัวกับเทคโนโลยี
ในยุคปัจจุบัน การเทรดต้องอาศัยเทคโนโลยี เช่น การใช้โปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูล การตั้งค่า EA (Expert Advisor) หรือการใช้ API เพื่อการเทรดอัตโนมัติ Full-Time Trader ต้องมีความเข้าใจในเทคโนโลยีเหล่านี้และพร้อมที่จะปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลง
วิธีเตรียมตัวรับมือกับความยากลำบาก
การวางแผนทางการเงิน: ควรมีเงินสำรองอย่างน้อย 6-12 เดือนเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายในกรณีที่เทรดไม่มีกำไร
การเรียนรู้และพัฒนา: หมั่นศึกษาและปรับปรุงกลยุทธ์การเทรดของตนเองอยู่เสมอ
การสร้างเครือข่าย: การพูดคุยและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเทรดเดอร์คนอื่นสามารถช่วยให้คุณเห็นมุมมองใหม่ ๆ
การดูแลสุขภาพ: นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย และฝึกสมาธิเพื่อลดความเครียด
บทสรุป
การเป็น Full-Time Trader ไม่ใช่เพียงแค่การซื้อขายในตลาดการเงิน แต่ยังต้องมีวินัย ความรู้ และความสามารถในการจัดการอารมณ์ของตนเอง แม้ว่าจะมีความยากลำบาก แต่หากเตรียมตัวและปรับตัวอย่างเหมาะสม คุณอาจสามารถก้าวข้ามความท้าทายและประสบความสำเร็จในสายอาชีพนี้ได้
How To Hold Swing Trades สวิงเทรดแบบไหนให้ได้กำไรHow To Hold Swing Trades สวิงเทรดแบบไหนให้ได้กำไร
👽👽 กลับมาพบเจออกันอีกแล้ว กับเทคนิคการทำกำไร ทริคดีๆทริคเด็ดๆ ที่แอดเอามาฝากกันเช่นเคย วันนี้เอาใจสายเทคนิคอลอีกแล้ว ใครที่ชื่นชอบการเทรดสวิงเทรนรีบมาอ่านกันในโพสนี้
Swing Trades การเทรดแบบสวิงเทรดจัดเป็นกลยุทธิ์การเทรดที่ทำกำไรได้ดีทีเดียวด้วย win rate 60-70% จัดว่าเด็ดไม่เบาทีเดียวเชียว กลยุทธิ์นี้ไม่เหมาะกับคนที่มือหนักใจหนักนะฮะ รักจะเทรดแนวนี้ต้องตอดเล็กตอดน้อยฮะ เล็กสั้น ขยันซอย ว่าซั่น
Swing Trades เทรดอย่างไร??
1. ปกติแล้วการเทรดแบบ Swing Trade มักจะเทรดบ่อยๆไม่เน้นการถือออเดอร์ข้ามวันฮะ แต่บางทีอาจต้องถือออเดอร์นานหลายวัน ทำไมหล่ะ ?? ถ้าพูดภาษาง่ายๆบ้านๆ คือใช้ออเดอร์ไม้ล่อ เป็นหินถามทางนั่นเอง
2. เมื่อมีออเดอร์ไม้ล่อให้ดูแล้ว เราจะรู้จุดเข้าออกได้ไม่ยาก ในการทำกำไร และสามารถคำนวณกำไร ขาดทุนได้ง่ายกว่าเดิม เทรนด์ส่วนใหญ่มักมี 2 รูปแบบ คือ Sideway up ค่อยๆไต่ขึ้น และ sideway down ค่อยๆไต่ลง
3. ฟังดูง่ายแต่ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นต้องอาศัยเทคนิคเฉพาะตัวในการเทรดมานานๆ และอินดิเคเตอร์คู่ใจสัก 2-3 ตัวไว้ช่วยตัดสินใจการเข้าเทรดฮะ ส่วนมากจะนิยมใช้ใน Time Frame 30M และ 4H และส่วนใหญ่ให้น้ำหนักจากกราฟแท่งเทียนเป็นสัญญาณในการเข้าออเดอร์
4. การ Swing Trade มักใช้ Risk Reward ประเมินจุดเข้า (Entry),จุดทำกำไร (Exit) และจุดตัดขาดทุน (Stoploss) จึงได้รับความนิยมในฐานะที่ใช้ควบคุมและจัดการความเสี่ยงได้อย่างดี
หลักในการเทรด Swing Trades
1. เก็บเล็กผสมน้อย
เน้นการเข้าเร็วออกเร็ว โดยอาศัยจังหวะการเด้งขึ้นเด้งลงตามกรอบไซด์เวย์ ที่เป็นแนวรับแนวต้าน
2. เข้าเร็วออกเร็ว
การเทรดลักษณะนี้ใช้เวลาไม่นานในการเฝ้าจอ หรือบางทีไม่ต้องเฝ้าจอก็ได้ เพราะราคามักเด้งขึ้นเด้งลงในกรอบ และขยับไม่มากค่าเฉลี่ยระยะการวิ่งในการทำกำไรจึงอยู่ที่ 100-200 จุด ขึ้นอยู่กับคู่สกุลเงินด้วยอีกทาง
3. ย่อแล้วไปต่อ
เน้นการทำกำไรจากการลงไปทดสอบแนวรับหรือต้านเดิมแล้วไม่ผ่าน จากกรอบไซด์เวย์นั้นๆ เพื่อย่อแล้วไปต่อ
4. สั้นก็ได้ ยาวก็ดี
สามารถเทรดพลิกแพลงให้เก็บกำไรในระยะยาวได้ด้วยนะเออ หากเรามีไม้ล่อและมีทุนมากพอในการเทรดแบบต่อเนื่อง เช่นกลยุทธิ์การเทรดแบบมาร์ติงเกลที่หวังผลในระยะยาวในการทบต้นทบดอกแต่ถ้าเงินทุนไม่มากพอ ไม่แนะนำให้ลองนะฮะ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ได้ทริคดีๆในการทำกำไรเพิ่มกันแล้วใช่มั้ยครับ อย่าลืมเอาไปลองใช้กันดูนะฮะ ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นเทคนิคการทำกำไรเบอร์ต้นๆของเราเลยก็ว่าได้ แอดหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เราอ่านกราฟได้ดี อ่านกราฟได้เก่งมากขึ้นนะครับ จำไว้เสมอว่ากราฟมีขึ้นแล้วก็มีลง ไม่ต้องไปเครียดกะมันหมั่น ฝึกฝนและเพิ่มเติมความรู้อย่างสม่ำเสมอ รับรอง เทรดยังไงก็รอดครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM กันด้วยนะครับ วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่งแน่นอนครับ แอดเอาใจช่วยสู้ๆ
High Net Worth คือใคร : ความหมายและวิธีการใช้ประโยชน์ในโลกของการลงทุนและการเทรด บุคคลที่มีความมั่งคั่งระดับสูง หรือ High Net Worth Individuals (HNWIs) ถือเป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในตลาดการเงิน ด้วยสินทรัพย์ที่มากพอสำหรับการลงทุน พวกเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นกลุ่มลูกค้าพิเศษที่มีสิทธิพิเศษเหนือกว่านักลงทุนทั่วไป ไม่เพียงแต่พวกเขาสามารถเข้าถึงโอกาสการลงทุนที่หลากหลายเท่านั้น แต่ยังมีทรัพยากรและเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรอีกด้วย
ในบทความนี้ เราจะอธิบายความหมายของ High Net Worth และวิธีที่เราสามารถใช้ประโยชน์จากสถานะ HNW ในการเทรดและการลงทุนได้
High Net Worth คืออะไร?
High Net Worth หมายถึงบุคคลที่มีทรัพย์สินทางการเงินพร้อมลงทุนในระดับที่สูง ซึ่งมักกำหนดเกณฑ์เริ่มต้นที่ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 35 ล้านบาท) ขึ้นไป โดยไม่รวมมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย
บุคคล HNW มักถูกจัดกลุ่มตามระดับความมั่งคั่งเพิ่มเติม เช่น:
High Net Worth Individuals (HNWIs): ทรัพย์สิน 1-5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Very High Net Worth Individuals (VHNWI): ทรัพย์สิน 5-30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Ultra High Net Worth Individuals (UHNWIs): ทรัพย์สินมากกว่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
High Net Worth ในการเทรด: บทบาทและสิทธิพิเศษ
กลุ่ม HNW มีอิทธิพลสำคัญในตลาดการเงิน เนื่องจากความสามารถในการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงและกลยุทธ์การลงทุนที่ซับซ้อน สิทธิพิเศษที่มักมอบให้กลุ่ม HNW ได้แก่:
บัญชีพรีเมียมสำหรับการเทรด (Premium Trading Accounts)
-โบรกเกอร์หลายแห่งเสนอ บัญชี VIP สำหรับ HNW ซึ่งมาพร้อมเงื่อนไขที่ดีกว่า เช่น:
-ค่าธรรมเนียมต่ำกว่า
-เลเวอเรจที่สูงขึ้น
-รายงานการวิเคราะห์เชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ
-การเข้าถึงสินทรัพย์เฉพาะกลุ่ม
-HNW สามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความพิเศษ เช่น:
กองทุนเฮดจ์ฟันด์ (Hedge Funds)
ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives)
สินทรัพย์ทางเลือก เช่น คริปโตเคอร์เรนซี หรืออสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียม
การสนับสนุนและคำแนะนำส่วนบุคคล
ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินมักจัดทำแผนการลงทุนเฉพาะตัวสำหรับลูกค้า HNW เพื่อช่วยให้พวกเขาบรรลุ
เป้าหมายทางการเงิน
การเข้าถึงตลาดพิเศษ
นักลงทุน HNW มีสิทธิ์เข้าถึง IPO (Initial Public Offering) หรือโอกาสการลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพก่อนนักลงทุนทั่วไป
Divergence analysis สัญญาณไดเวอร์เจ้นท์บอกอะไรได้บ้าง??Divergence analysis สัญญาณไดเวอร์เจ้นท์บอกอะไรได้บ้าง??
👽👽 กลับมาพบเจออกันอีกแล้ว กับเทคนิคการทำกำไร ทริคดีๆทริคเด็ดๆ ที่แอดเอามาฝากกันเช่นเคย วันนี้เอาใจสายเทคนิคอลอีกแล้ว ใครที่ชื่นชอบกราฟเปล่า และอินดิเคเตอร์น้อยๆ ต้องมาลองครับ กับสัญญาณไดเวอร์เจ้นท์ ที่จัดว่าแม่นเว่อร์เหมือนจับวาง มันใช้กันอย่างไร ตามมาอ่านกันได้เลยครับ
Divergence คืออะไร
Divergence คือสัญญาณการขัดแย้งระหว่างราคาและอินดิเคเตอร์ (Indicators) คือราคาเคลื่อนที่ไปยังทิศทางหนึ่ง ส่วนอินดิเคเตอร์เคลื่อนที่ไปอีกทิศทางหนึ่ง เรียกว่าวิ่งกันไปคนละทาง
รูปแบบแพทเทรินของ สัญญาณ Divergence
สัญญาณ Divergence หาได้จากอินดิเคเตอร์ตัวไหนบ้าง ?
เรามักจะใช้อินดิเคเตอร์เพื่อหาสัญญาณ Divergence ประเภท Oscillator ลักษณะอินดิเคเตอร์ที่วิ่งอยู่ในกรอบ เช่น RSI, MACD และ Stochastic Oscillator เป็นต้น
Divergence แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ
1. Bullish Divergence ขาขึ้น
2. Bearish Divergence ขาลง
หลักการหาจุดเข้าจากสัญญาณไดเวอร์เจ้นท์
1. กราฟเปล่า + MACD
อินดิเคเตอร์ตัวนี้จัดเป็นตัวยอดนิยมอันดับหนึ่งในการใช้หาสัญญาณไดเวอร์เจ้นท์แต่มักให้สัญญาณที่ค่อนข้างช้า แต่ชัวร์ โดยจะนิยมใช้ใน Time Frame 1H และ 4H
- เมื่อราคาแท่งเทียนเกิดสัญญาณในทิศทางตรงกันข้ามกันแล้ว ให้เราใช้สัญญาณ MACD เป็นสัญญาณหลักในการเข้าออเดอร์
**** ตัวอย่างจากรูป MACD มีคลื่นที่ต่ำลง ในขณะที่แท่งเทียนทำยอดสูงขึ้น ให้เรามองหาจุดเข้า SELL เพื่อทำกำไร
2. กราฟเปล่า + Stochastic Oscillator
อินดิเคเตอร์ตัวนี้มักให้สัญญาณที่ค่อนข้างไว ทำให้เราสามารถพบ Divergence ได้ค่อนข้างบ่อย และอาจเจอสัญญาณหลอกได้อีก โดยจะนิยมใช้ใน Time Frame 30M และ 4H และส่วนใหญ่ให้น้ำหนักจากกราฟแท่งเทียนเป็นสัญญาณในการเข้าออเดอร์
3. กราฟเปล่า + RSI
RSI ย่อมาจากคำว่า Relative Strength Index โดย RSI เป็นอินดิเคเตอร์ตัวหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในตลาด แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนักในการหาสัญญาณไดเวอร์เจ้นท์ เนื่องจาก ค่อนข้างเกิดขึ้นยากมากๆ และใช้เวลานาน แต่ก็เกิดขึ้นได้และแม่นด้วย โดยจะนิยมใช้ใน Time Frame 1H และ 4H การหาจุดเข้าออเดอร์มักให้น้ำหนักไปทางตัว RSI เป็นหลัก
👽👽👽 เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ได้ทริคดีๆในการทำกำไรเพิ่มกันแล้วใช่มั้ยครับ อย่าลืมเอาไปลองใช้กันดูนะฮะ ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นเทคนิคการทำกำไรเบอร์ต้นๆของเราเลยก็ว่าได้ แอดหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เราอ่านกราฟได้ดี อ่านกราฟได้เก่งมากขึ้นนะครับ จำไว้เสมอว่ากราฟมีขึ้นแล้วก็มีลง ไม่ต้องไปเครียดกะมันหมั่น ฝึกฝนและเพิ่มเติมความรู้อย่างสม่ำเสมอ รับรอง เทรดยังไงก็รอดครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM กันด้วยนะครับ วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่งแน่นอนครับ แอดเอาใจช่วยสู้ๆ
ปัจจัยที่จะทำให้ Bitcoin (BTC) ไปถึง $100,000Bitcoin (BTC) ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลชั้นนำของโลก มักได้รับการคาดการณ์ถึงศักยภาพในการพุ่งสูงขึ้นถึง $100,000 ต่อ 1 BTC แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวนักสำหรับนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญในแวดวงการเงินดิจิทัล เนื่องจากมีปัจจัยหลายประการที่สามารถผลักดันให้ราคา BTC ขึ้นไปแตะระดับนี้ได้
1. อุปสงค์และอุปทาน (Demand and Supply)
BTC มีจำนวนจำกัดอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ทำให้มันแตกต่างจากเงินตราปกติที่สามารถพิมพ์เพิ่มได้ไม่จำกัด เมื่อมีความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นจากนักลงทุนหรือบริษัทต่าง ๆ ในขณะที่อุปทานยังคงเดิม ราคาของ BTC จึงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น การ Halving ซึ่งเกิดขึ้นทุก 4 ปี ช่วยลดจำนวน BTC ใหม่ที่เข้าสู่ตลาด ส่งผลให้ราคามักพุ่งสูงในระยะยาว
2. การยอมรับจากสถาบันการเงิน (Institutional Adoption)
สถาบันการเงินและบริษัทขนาดใหญ่ เช่น Tesla, MicroStrategy, และ Grayscale มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับ BTC การที่บริษัทเหล่านี้ถือ BTC เป็นสินทรัพย์สำรอง หรือแม้แต่การใช้ BTC ในการชำระเงิน จะช่วยสร้างความต้องการในระดับมหภาค
นอกจากนี้ สถาบันการเงินเช่น BlackRock และ Fidelity ยังมีแผนเปิดตัว Bitcoin ETF ซึ่งสามารถดึงดูดนักลงทุนรายใหญ่เข้าสู่ตลาดได้มากขึ้น
3. สภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ (Economic Conditions and Inflation)
ในช่วงที่เงินเฟ้อสูงและความเชื่อมั่นในระบบการเงินแบบดั้งเดิมลดลง BTC มักถูกมองว่าเป็น "ทองคำดิจิทัล" ที่สามารถรักษามูลค่าได้ นักลงทุนจำนวนมากจึงเลือกถือ BTC เป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยง
4. การพัฒนาเทคโนโลยีและเครือข่าย (Technological Advancements)
Bitcoin Lightning Network และโซลูชัน Layer 2 ช่วยลดค่าธรรมเนียมและเพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรม ซึ่งช่วยให้ BTC ใช้งานได้ง่ายขึ้น การพัฒนาเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้เกิดการใช้งานจริงในวงกว้างและเพิ่มมูลค่าของ BTC
5. การสนับสนุนจากรัฐบาลและการออกกฎหมาย (Government Support and Regulation)
แม้ว่ากฎระเบียบเกี่ยวกับคริปโตเคอเรนซีจะยังมีความไม่แน่นอนในหลายประเทศ แต่การสนับสนุนในเชิงบวกจากรัฐบาลบางแห่ง เช่น เอลซัลวาดอร์ ที่ประกาศใช้ BTC เป็นสกุลเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย อาจกระตุ้นให้ประเทศอื่น ๆ ทำตาม
ในทางกลับกัน หากมีการออกกฎหมายที่ชัดเจนและสนับสนุนการใช้คริปโตเคอเรนซีในตลาดการเงิน กระแสการลงทุนใน BTC อาจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
6. พฤติกรรมของนักลงทุนและจิตวิทยาตลาด (Investor Behavior and Market Psychology)
BTC มีความผันผวนสูง และมักได้รับแรงกระตุ้นจากกระแสข่าวและความเชื่อมั่นของนักลงทุน หากมีข่าวบวกเกี่ยวกับ BTC อย่างต่อเนื่อง เช่น การเพิ่มการยอมรับในวงกว้าง หรือการคาดการณ์ราคาที่ทะลุเพดานใหม่ จะช่วยสร้างแรงซื้ออย่างมหาศาลและผลักดันให้ราคาพุ่งขึ้น
สรุป
ปัจจัยข้างต้นล้วนมีส่วนสำคัญในการผลักดัน BTC ไปสู่เป้าหมาย $100,000 อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรตระหนักว่า ตลาดคริปโตเคอเรนซีมีความเสี่ยงสูงและอาจมีการปรับตัวลงในระยะสั้น การลงทุนใน BTC หรือสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ ควรพิจารณาจากข้อมูลที่รอบคอบและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ
BTC มีศักยภาพสูงในการเป็นสินทรัพย์แห่งอนาคต แต่ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการสนับสนุนและการยอมรับในระดับโลกที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ