ทำกำไรฮิตแนสแด็ก100:ขยายตัวยังคงเหมือนเดิม?ทำกำไรฮิตแนสแด็ก100:ขยายตัวยังคงเหมือนเดิม?
แนสแด็ก100 ขยายแนวการสูญเสียเป็นนักลงทุนให้ทำกำไรในหุ้นเทคโนโลยี
อุปกรณ์ไมโครขั้นสูงและบรอดคอมแต่ละหายไปประมาณ 1% ข่าวกรองลดลงกว่า 7% แอปเปิ้ล,อเมซอน,ตัวอักษรและเทสลายังโพสต์การสูญเสีย ปริมาณการตลาดมักจะตกอยู่ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมซึ่งสามารถนำไปสู่การชิงช้าป่า
ดัชนีได้หักในขณะนี้ด้านล่าง 23,600 และมีการซื้อขายใกล้ 23,300,เครื่องหมายดึงชันตั้งแต่ปลายเดือนมิถุน แนวโน้มระยะสั้นที่เริ่มขึ้นในช่วงกลางเดือนกรกฎาคมยังคงเหมือนเดิมอาจมีเสียงสูงขึ้นแล นลงวันที่แสดงให้เห็นผู้ขายมีการใช้งานซึ่งอาจเสริมสร้างความดันข้อเสียในระยะใกล้
USATEC ไอเดียในการเทรด
Revenge Trading: กับดักอารมณ์ที่นักเทรดต้องระวังในโลกการเทรดที่ผันผวน การขาดทุนเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องเจอ 😔 แต่มีกับดักหนึ่งที่อันตรายกว่า นั่นคือ Revenge Trading หรือ "การเทรดล้างแค้น"
Revenge Trading คืออะไร? 😠
มันคือการที่เราพยายาม "เอาคืน" ตลาด ทันทีหลังจากขาดทุนหนักๆ โดยมีเป้าหมายคืออยากได้เงินที่เสียไปคืนมาอย่างรวดเร็วที่สุด 💸 พฤติกรรมนี้เกิดจากอารมณ์โกรธ หงุดหงิด และไม่ยอมรับความจริง แทนที่จะทำตามแผนที่วางไว้ 📝
สัญญาณเตือนที่ควรรู้ 🚨
สังเกตตัวเองหากมีอาการเหล่านี้:
เพิ่มขนาดเทรด แบบไม่คิดหน้าคิดหลัง 🚀
เทรดถี่ขึ้น และเร็วขึ้น โดยไม่วิเคราะห์ให้ดี 💨
ไม่สนใจ Stop Loss หรือการบริหารความเสี่ยง 🚫
รู้สึกโกรธ อยากเอาคืนตลาดทันที 😡
ขาดความอดทน รอจังหวะไม่ไหว ⏳
ผลเสียที่ตามมา 📉
Revenge Trading มักนำไปสู่:
ขาดทุนหนักกว่าเดิม: เพราะตัดสินใจด้วยอารมณ์ 💸
วินัยเสีย: เลิกทำตามกฎของตัวเอง ⛓️
เครียด: สุขภาพจิตแย่ลง 😓
หมดกำลังใจ: อาจเลิกเทรดไปเลย 😞
รับมืออย่างไรดี? 💡
วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ:
ยอมรับความจริง: การขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของการเทรด 🧘♀️
หยุดพัก: ถ้าอารมณ์ไม่ดี ให้หยุดเทรดทันที ไปทำอย่างอื่น 🚶♂️
ทบทวนแผน: กลับมาดูแผนการเทรด และทำตามอย่างเคร่งครัด 📖
บริหารความเสี่ยง: กำหนดจุด Stop Loss และขนาดเทรดที่เหมาะสมเสมอ 🛡️
จำไว้ว่า การควบคุมอารมณ์เป็นหัวใจสำคัญ ในการเทรด หากคุณจัดการกับมันได้ คุณก็จะหลีกเลี่ยงความเสียหาย และมีโอกาสประสบความสำเร็จในระยะยาวครับ! ✨
QuantDataManager: เครื่องมือจัดการข้อมูลราคาเพื่อการเทรดอัตโนมัต📌 QuantDataManager คืออะไร?
QuantDataManager (QDM) เป็นซอฟต์แวร์ที่พัฒนาโดยทีมงานของ StrategyQuant ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยนักเทรดและนักพัฒนาอัลกอริทึมในการ ดาวน์โหลด, แปลง, วิเคราะห์ และ ส่งออกข้อมูลราคาในอดีต ที่มีคุณภาพสูง สำหรับใช้งานกับแพลตฟอร์มการเทรดยอดนิยม เช่น MetaTrader 4 (MT4), MetaTrader 5 (MT5) และ StrategyQuant X เอง
เครื่องมือนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการความแม่นยำในการทดสอบกลยุทธ์ (Backtesting) และการวิเคราะห์ข้อมูลราคาเพื่อการสร้างระบบเทรดอัตโนมัติ (Algorithmic Trading)
🔍 คุณสมบัติเด่นของ QuantDataManager
✅ 1. ดาวน์โหลดข้อมูลคุณภาพสูงจากหลายแหล่ง
QuantDataManager สามารถเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการข้อมูลราคาชั้นนำ เช่น:
Dukascopy – ข้อมูล Tick และ Minute ที่แม่นยำและย้อนหลังได้ยาวนาน
Yahoo Finance
Binance / Coinbase – สำหรับข้อมูลคริปโต
Darwinex / Bitfinex / Poloniex และอื่น ๆ
✅ 2. วิเคราะห์คุณภาพของข้อมูล
QDM มีระบบ Data Quality Checker ที่ช่วยให้ผู้ใช้ตรวจสอบ:
ช่องว่างของข้อมูล (Missing Bars)
การซ้ำซ้อนของข้อมูล
ความสมบูรณ์ของ Timeframe
✅ 3. แปลงข้อมูลได้หลาย Timeframe
ผู้ใช้สามารถแปลงข้อมูล Tick เป็น Timeframe ที่ต้องการ เช่น:
M1, M5, M15, H1, D1
Custom Timeframe (เช่น M3, M10, H6)
รวมถึงการแปลงแบบ Aggregated หรือ Renko/Range Bar (ผ่าน StrategyQuant)
✅ 4. ส่งออกได้หลายรูปแบบ
QDM รองรับการส่งออกข้อมูลในรูปแบบที่เหมาะสมกับแพลตฟอร์มปลายทาง เช่น:
MetaTrader 4 (.FXT, .HST)
MetaTrader 5
CSV, JSON, SQX สำหรับ StrategyQuant
ใช้ร่วมกับ Tick Data Suite หรือ Tickstory ได้
💡 เหมาะกับใคร?
ผู้ที่ต้องการ Backtest อย่างแม่นยำใน MT4/MT5
นักพัฒนา EA และ AlgoTrader ที่ต้องการข้อมูลคุณภาพสูง
ผู้ใช้ StrategyQuant ที่ต้องการข้อมูลพร้อมใช้ในการสร้างกลยุทธ์
นักวิเคราะห์ที่ต้องการข้อมูลราคาย้อนหลังแบบ Tick หรือ Minute
📝 สรุป
QuantDataManager คือเครื่องมือที่นักพัฒนาและนักเทรดควรมีไว้ใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณให้ความสำคัญกับ คุณภาพของข้อมูลราคา, ความแม่นยำในการ Backtest, และ การจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือเทรดเดอร์ขั้นสูง QDM จะช่วยยกระดับการวิเคราะห์และพัฒนาอัลกอริทึมของคุณได้อย่างแน่นอน
วิธีรับมือเมื่อพลาดโอกาสในการเทรด หรือ ‘ตกรถ’หนึ่งในความรู้สึกที่นักเทรดแทบทุกคนต้องเคยเจอคือ "ความเสียดาย" เมื่อตลาดเคลื่อนไหวไปตามที่วิเคราะห์ไว้ แต่เราไม่ได้เข้าออเดอร์ หรือไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง — เราเรียกสถานการณ์นี้ว่า “ตกรถ” ซึ่งถ้าไม่จัดการอารมณ์ให้ดี ก็อาจนำไปสู่การเทรดแบบไร้แผน ขาดวินัย และท้ายที่สุดคือการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจ และเสนอวิธีรับมือกับความรู้สึกและพฤติกรรมที่มักเกิดขึ้นเมื่อตกรถ
1. ยอมรับว่า "พลาด" เป็นเรื่องปกติ
การพลาดโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของการเทรด ไม่มีใครสามารถจับจังหวะได้ทุกครั้ง แม้แต่มืออาชีพก็ยังพลาด เพราะตลาดเต็มไปด้วยปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ การยอมรับความจริงข้อนี้จะช่วยลดแรงกดดันและความรู้สึกเสียดายได้มาก
2. อย่าพยายาม “ไล่ราคา” (FOMO)
หลังจากตกรถ หลายคนมักกระโจนเข้าเทรดเพราะกลัวจะพลาดอีก (FOMO: Fear of Missing Out) แต่นั่นคือจุดเริ่มต้นของหายนะ การไล่ราคามักทำให้คุณซื้อที่จุดสูงสุด หรือขายที่จุดต่ำสุด โดยไม่มีแผนชัดเจน และมักจบลงด้วยการติดดอย
แนวทาง: ถ้าไม่มั่นใจในจุดเข้า ให้รอรอบใหม่ อย่าฝืนตลาด
3. วิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้น
พิจารณาว่าเพราะเหตุใดคุณถึงพลาดโอกาสนั้น เช่น
มองกราฟไม่ทัน
ไม่มีแผนชัดเจน
ขาดความมั่นใจ
ติดภารกิจอื่น
เมื่อรู้เหตุผล จะสามารถปรับกลยุทธ์ให้ดีขึ้นในอนาคต เช่น ตั้ง Alert ไว้ หรือวางแผนล่วงหน้าในกรณีที่กราฟถึงจุดที่น่าสนใจ
4. จดบันทึกการตกรถใน Trading Journal
หลายคนจดแค่การเข้าออกออเดอร์ แต่การ “ไม่เข้า” ก็มีคุณค่าในการเรียนรู้เช่นกัน ลองเขียนว่าเกิดอะไรขึ้น ความรู้สึกขณะนั้นคืออะไร และคุณจะรับมืออย่างไรครั้งหน้า การจดบันทึกจะช่วยให้คุณพัฒนาทั้งด้านจิตวิทยาและกลยุทธ์
5. โฟกัสที่ "โอกาสหน้า" ไม่ใช่ "โอกาสที่พลาด"
ตลาดไม่เคยหยุดเคลื่อนไหว โอกาสใหม่เกิดขึ้นเสมอ การจมอยู่กับอดีตไม่ช่วยอะไร สิ่งสำคัญคือการเตรียมตัวให้พร้อมเมื่อโอกาสใหม่มาถึง
6. ฝึกใจให้นิ่ง ผ่านการฝึกวินัย
การควบคุมอารมณ์เป็นหัวใจของการเทรด ฝึกให้ตัวเองตัดสินใจตามแผน ไม่ตามอารมณ์ เช่น กำหนดเงื่อนไขชัดเจนว่าจะเข้าออเดอร์เมื่อไหร่ เท่านั้น ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นนอกเหนือจากนั้นก็ "ปล่อยผ่าน"
สรุป
การตกรถอาจทำให้รู้สึกเสียดาย แต่ไม่ใช่จุดจบของเส้นทางเทรด การมีสติ วิเคราะห์เหตุผล และปรับกลยุทธ์จะทำให้คุณเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในฐานะเทรดเดอร์ จงจำไว้ว่าตลาดมีโอกาสใหม่เสมอ ขอเพียงคุณ "พร้อม" เมื่อโอกาสมาถึง
PC Or Phone is better forTradingเทรดในคอมหรือในมือถือดีกว่า PC Or Mobile Phone is better for Trading
เทรดในคอมหรือในมือถือดีกว่ากัน
👰 กลับมากันอีกแล้วกับบทความดีๆและเทคนิคการเทรดในหลายๆรูปแบบมาฝากกัน รอบนี้เรามาหยิบยกประเด็นและข้อถกเถียงต่างๆนาๆ สำหรับช่องทางแพลตฟอร์ในการเทรด ระหว่าง คอม PC และ มือถือ 1 เครื่องกันฮะ ดูสิว่าเทรดแบบไหนมันเทรดดีกว่ากัน มาครับ ตามมาอ่านกันเลยดีกว่า จะได้ข้อสรุปแบบไหนบ้างน๊า บทความนี้มีคำตอบครับ ตามมาอ่านกันได้เลย
👾 ทุกคนเคยคิดกันมั้ยครับ เรื่องช่องทางการเทรดเพื่อหาเงิน บางคนเทรดในมือถือกำไรดี๊ดี แต่พอมาเทรดในคอม อ้าวพัง ! แต่กลับกัน บางคนกลับเทรดในคอมกำไรดี๊ดี แต่พอไปเทรดในมือถือ ก็พังไม่เป็นท่าเหมือนกัน สรุปว่า มันต้องมีอะไรผิดพลาดตรงไหน ไม่เข้าใจเลยสักครั้ง ไอ้ที่เขาทำฉันนั้นก็ทำ แต่ทำและไม่เคยสมหวัง หรืออาจเป็นเพราะพื้นดวงหรือเปล่า หรือเป็นที่ราศีของดวงดาว!!!!!
👾 วกกลับเข้ามาต่อ เกือบหลุดไปกับเพลง เอาหล่ะสิ แล้วแบบนี้ ใครดีกว่ากันหล่ะ เราจะมาวิเคราะห์ความแตกต่างนี้กันฮะ ว่าแบบไหนดีกว่ากัน แล้วลองเอาไปพิจารณากันดู แล้วเทรดกันให้ถูกกับพฤติกรรมของเรากันดีกว่าเนาะ
การเปรียบเทียบเทรดผ่าน คอมพิวเตอร์ (PC/Laptop)และมือถือ
✅ ข้อดี-ข้อเสีย
คอมพิวเตอร์
✅ หน้าจอใหญ่ เหมาะกับการดูหลายกราฟพร้อมกัน
✅ ใช้งานเครื่องมือวิเคราะห์ได้เต็มที่ เหมาะกับการวิเคราะห์เชิงลึก, เทรดระยะกลาง-ยาว
✅ พิมพ์คำสั่งได้แม่นยำ
✅ ใช้เครื่องมือช่วยเทรดได้หลากหลาย เช่น EA, script, multiple monitors
❌ ต้องอยู่กับที่ ไม่สะดวกพกพา
มือถือ
✅ คล่องตัว สะดวก พกพาง่าย ใช้ได้ทุกที่
✅ เหมาะกับการเข้าออกออเดอร์สั้น ๆ หรือดูพอร์ตระหว่างวัน
❌ หน้าจอเล็ก มองกราฟหรือข้อมูลเชิงลึกได้ยาก
❌ จำกัดการเปิดหลายหน้าจอหรือหลายกราฟพร้อมกัน
❌ไม่เหมาะกับการวิเคราะห์กราฟลึก ๆ
❌ ข้อผิดพลาดในการพิมพ์หรือวางคำสั่งเทรดสูงกว่า
สรุป
👉 รูปแบบการใช้งาน
👉มือถือ แนะนำให้ใช้ การเทรดแบบ Day Trade, Scalping
สำหรับความคล่องตัว
👉คอมพิวเตอร์ วิเคราะห์กราฟเชิงลึก, Swing trade, เทรดตามระบบ
👉 เทรดแบบผสม ใช้คอมในการวางแผน และใช้มือถือในการติดตามออเดอร์ระหว่างวัน
ข้อแนะนำ:
การเทรดผ่าน คอมพิวเตอร์ (PC/Laptop) และ มือถือ (Smartphone/Tablet) มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน ความต้องการ และไลฟ์สไตล์ของเทรดเดอร์แต่ละคน เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ที่จริงจังกับการทำกำไร มักวิเคราะห์และวางแผนบนคอมพิวเตอร์ แล้วใช้มือถือเพื่อติดตามสถานะหรือเข้าตลาดอย่างรวดเร็วเมื่อจำเป็น
👿👿👿 เป็นอย่างไรกันบ้างครับ พอจะได้ข้อสรุปกันบ้างแล้วหรือยังฮะ แอดแนะนำว่า ใครถนัดแบบไหน ใช้แบบนั้นดีกว่าฮะ เพราะต่างคนก็ต่างมุมมอง แต่ที่แน่ๆและสำคัญสุดๆก็คือ การหมั่นฝึกฝนและเรียนรู้การเทรดให้เข้าใจมากขึ้นจะดีกว่า อย่าลืมการใช้ระบบเทรดที่มีวนัย และการคำนวน MM เพื่อบริหารเงินในพอร์ตด้วยนะครับ แอดเอาใจช่วย แอดเชื่อว่าทุกคนทำได้ แค่เริ่มลงมือทำ สู้ๆฮะ
Scalping trading strategy เทรดสั้นยังไงให้ได้กำไรScalping trading strategy
เทรดสั้นยังไงให้ได้กำไร
👰 กลับมากันอีกแล้วกับบทความดีๆและเทคนิคการเทรดสั้นยังไงให้ได้กำไร เพราะการเทรดสั้นนั้นสามารถทำกำไรได้เร็วนั่นเอง มาครับ มาดูกันว่ารอบนี้เราจะใช้สูตรการเทรดสั้นแบบไหนกันบ้าง ตามมาอ่านกันได้เลย
👾 คนส่วนใหญ่มักนิยมการเทรดสั้นเพราะว่ามันเร็ว และใช้เวลาไม่นาน แต่ในความเร็วนั้นแฝงไปด้วยกำไรและขาดทุนแบบเต็มๆ แล้วต้องเทรดยังไงให้ได้กำไรมากกว่าขาดทุนหล่ะ บทความนี้มีคำตอบ
👴 สิ่งที่ต้องรู้ ก่อนเริ่ม Scalping trading strategy
👿 กลยุทธ์ Scalping เราจะใช้เทคนิคการเทรดในระยะสั้นมากๆ โดยที่ราคาไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เรียกสั้นๆว่า "เก็งกำไร"
👿 Scalping มักจะมุ่งเน้นไปที่ตลาดที่มีสภาพคล่องสูงและมีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะทำให้ การซื้อขาย เปิด ปิด ตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วในทันทีที่ตลาดเคลื่อนไหว
👿 เราจะได้กำไรเล็กน้อยจากการซื้อขายในแต่ละครั้ง โดยคาดหวังการเก็บเล็กผสมน้อยนั่นเอง การเทรดแบบนี้จะทำให้เราได้กำไรน้อย แต่มีโอกาสทำกำไรได้หลายครั้ง
👿 เมื่อกำไรน้อย ความเสี่ยงย่อมน้อยตาม กำไรเล็กน้อยทั้งหมดจะสะสมไว้ ในพอร์ตของเรา เพื่อเป็นทุนในการเทรดต่อไป
👿 การเทรดสั้น Scalping จำเป็นต้องมีวินัยอย่างเคร่งครัด
👿 สภาพแวดล้อมและจิตใจก็สำคัญมากอันดับหนึ่ง หากเราเลือกเส้นทางการเทรดนี้ เพราะราคาขยับเพียงเล็กน้อย ก็ได้กำไรหรือขาดทุนแล้ว ดังนั้นอารมณ์จึงสำคัญอย่างยิ่ง
กลยุทธ์การซื้อขายจะประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก
1. การวางแผน
2. การวางคำสั่งซื้อขาย
3.การดำเนินการซื้อขาย
กลยุทธ์การซื้อขายส่วนใหญ่จะอิงตามปัจจัยทางเทคนิคหรือปัจจัยพื้นฐาน โดยใช้ข้อมูลเชิงปริมาณที่สามารถทดสอบย้อนหลังเพื่อกำหนดความแม่นยำได้
💂ตัวอย่างอินดิเคเตอร์และเครื่องมือที่ใช้
1. เส้น EMA หรือ MA 5 , 20 , 100
2. RSI
3. Stohastic
4. MACD ฯลฯ
💂วิธีการหาจุดเข้าในการเทรด Scalping trading strategy
👿 หลักๆ ต้องเลือกแนวโน้มเทรนด์ใหญ่เป็นหลัก แล้วหาจุดเข้า ทั้งขาบายและขาเซลดังนี้
ขา BUY เข้าทำกำไรตามเทรนด์ใหญเป็นหลัก แต่เก็บกำไรสั้นๆ เข้าเร็วออกเร็ว
ขา SELL เน้นเข้าทำกำไรช่วงราคาย่อลง ตามคลื่นรอบเล็ก เก็บกำไรสั้นๆ เข้าเร็วออกเร็ว
👿👿👿 แม้ว่าระบบการเทรดจะง่ายขนาดไหน แต่หากเราไม่หมั่นฝึกฝนและพยายามหรือแม้แต่การลงมือปฏิบัติจริง ผลลัพธ์ย่อมไม่เกิดขึ้นนะครับ ที่สำคัญสภาพอารมณ์และจิตใจสำคัญมากๆในการเทรดสั้นแบบนี้ อย่าลืม เตรียมเงิน เตรียมใจ และเตรียมแผนการเทรดให้ดีครับ แอดเอาใจช่วย แอดเชื่อว่าทุกคนทำได้ แค่เริ่มลงมือทำ สู้ๆฮะ
ระบบเทรด EOD สำหรับคนชอบเทรดกราฟเดย์ TF DAYระบบเทรด EOD
สำหรับคนชอบเทรดกราฟเดย์ TF DAY
👰 กลับมากันอีกแล้วกับบทความดีๆและความรู้ใหม่ๆแน่นๆให้เหล่าชาวเทรดเดอร์ วันนี้แอดเาใจมือใหม่หัดเทรดกันครับด้วยระบบเทรดแบบง่ายๆและเบสิคสุดๆ อ่านจบเทรดเป็นได้เลย มาครับ มาตามอ่านกันดีกว่า
👾ระบบการเทรด EOD ย่อมาจาก End of Day เป็นการนำข้อมูลทางเทคนิคมาวิเคราะห์หลังตลาดปิดทำการหรือจบวัน จบแท่งเดย์นั่นเอง เพื่อวางแผนการเทรดในวันต่อไป
👾โดยทั่วไปแล้วระบบการเทรด EOD จะใช้กับไทม์เฟรม Daily อย่างเดียว เพราะว่าง่ายต่อการดูทิศทางของตลาด แต่เราสามารถใช้กับไทม์เฟรมอื่น ๆ ได้ เพื่อมาวิเคราะห์ ตลาดในแต่ละ Session ในการเข้าทำกำไร
👾 รูปแบบการเทรดนี้จะทำให้เราไม่ต้องสู้กับความผันผวนในตลาดที่น่าหวาดเสียว และไม่ต้องเฝ้าจอนานๆ ไม่เครียดด้วย เหมาะกับเพื่อนๆ ที่ไม่ชอบเทรดความเสี่ยงสูง
💂หลักการเทรดเบื้องต้นของระบบเทรด EOD
ใช้ลักษณะของแท่งเทียนและแนวโน้มของเทรนด์เป็นหลัก ผ่านอินดิเคเตอร์ตัวเบสิค และทำการเข้าเทรดเมื่อราคามาถึงจุดย่อของแท่งเทียนเดิม และมีการใช้เส้น ค่าเฉลี่ย ATR เป็นตัวช่วยในการปิดออเดอร์หรือเก็บกำไร และที่สำคัญมากๆ คือ เป็นระบบเทรดระยะกลางจนถึงการเทรดระยะยาว การทำกำไรจะได้ผลดีในการเทรดเพียงครั้งเดียวต่อรอบ และต้องใช้เงินทุนสูงนิดนึงนะฮะ
💂สิ่งที่จำเป็นต้องรู้ในการเทรดระบบ EOD
1. ลักษณะของแท่งเทียน candlesticks แบบเบสิคที่เราสามารถเห็นได้บ่อย
2. รูปแบบ Chart Pattern ใช้แบบทั่วไปได้เลยไม่เยอะ
3. ช่องว่างระหว่างราคา (Gap)ในบางครั้งอาจมีมาบ้าง
แท่งเทียนวันก่อนหน้าเป็นสิ่งสำคัญมากของระบบนี้ จดจำและดูทิศทางของแท่งเทียนวันก่อนหน้าก่อน ว่าเป็นแบบ Bullish หรือ Bearlish ก่อนที่จะเปิดออเดอร์ในการเทรด
💂การตั้งค่าอินดิเคเตอร์เครื่องมือที่ใช้
1. CCI และ Stochastic
CCI ใช้ค่า Length: 40 และ Source: HLC3 ตีเส้นแนวนอนที่ 0
Stochastic ใช้ค่า %K: 5 %D: 3 Slowing -2 Price Field: Low/High
💂วิธีการเทรดและการอ่านอินดิเคเตอร์
💂1. การอ่านค่า CCI
CCI อยู่เหนือเส้นกึ่งกลาง เป็นเทรนด์ขาขึ้น
CCI อยู่ใต้เส้นกึ่งกลาง เป็นเทรนด์ขาลง
💂 2. การอ่านค่า Stochastic
STO อยู่โซน Oversold ราคามีโอกาสกลับตัวขึ้น
STO อยู่โซน Overbought ราคามีโอกาสกลับตัวลง
ข้อดีและข้อเสียของการเทรดระบบ EOD
ข้อดี
1. เป็นระบบที่เข้าใจง่าย
2.เพราะเทรดไทม์เฟรมใหญ่ทำให้เจอสัญญาณหลอกน้อย
3. เป็นกลยุทธ์การเทรดตามเทรนด์ ได้กำไรสูง
4. เหมาะกับคนไม่มีเวลาเฝ้ากราฟ
ข้อเสีย
1. มักจะพลาดโอกาสในการทำกำไรในระหว่างวัน และอาจต้องรอนานหลายวัน กว่าจะถึงเป้าหมาย TP
2. หากราคาตลาดเป็นไซด์เวย์นกรอบรายวัน เราจะเสียเวลานานกว่าเดิมเป็นอาทิตย์ หรือเป็นเดือนได้เลย คนที่ชอบเราแล้วรอได้นานเท่านั้นถึงจะอบระบบนี้ฮะ
3. ไม่เหมาะกับคนใจร้อนที่ไม่สามารถถือออร์เดอร์ข้ามวันได้
4. จำนวนการเทรดน้อยจนถึงน้อยมาก
💂คำแนะนำเพิ่มเติม
1. สามารถปรับ Risk Reward ให้เหมาะสมกับการวิ่งของราคาได้
2..ให้ลองเทรดหลายๆคู่เงิน จะช่วยเพิ่มการทำกำไรได้ และการพลาดโอกาสการเทรดระหว่างวัน
3.อย่าลืม Back Test ก่อนใช้งานจริงฮะ
👿👿👿 แม้ว่าระบบการเทรดจะง่ายขนาดไหน แต่หากเราไม่หมั่นฝึกฝนและพยายามหรือแม้แต่การลงมือปฏิบัติจริง ผลลัพธ์ย่อมไม่เกิดขึ้นนะครับ แอดอยากให้เราชาวเทรดเดอร์มือใหม่ ได้ลองพยายามและหมั่นฝึกฝน ลงมือทำ เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ไม่มากก็น้อย สู้ๆนะครับ แอดเอาใจช่วย
How To Setting EA วิธีติดตั้ง EA Robot Forex บน MT4, MT5How To Setting EA
วิธีติดตั้ง EA Robot Forex บน MT4, MT5
👰 กลับจากบทความที่แล้ว แอดพาทุกคนไปรู้จัก กับ EA robot กันแล้ว มารอบนี้เราไปดูกันต่อฮะกับวิธีการติดตั้ง EA robot แบบง่ายๆที่ไม่ยุ่งยาก มาครับ ตามไปอ่านพร้อมๆกันเลยกับบทความนี้มีคำตอบ
วิธีติดตั้ง EA Robot Forex บน MT4
ขั้นตอนที่ 1 ดาวน์โหลดไฟล์ EA ที่ต้องการจะติดตั้ง หาโหลดฟรีได้ทั่วไปเลยครับ
ขั้นตอนที่ 2 Extract ไฟล์ EA และ Copy ข้อมูล
👉คลิกขวาที่ไฟล์ EA
👉เลือก Extract to
👉คลิกขวาที่ไฟล์ (.ex4 หรือ .mq4) เพื่อ Copy
ขั้นตอนที่ 3 เปิดโปรแกรม MT4 และเริ่มติดตั้ง
👉ไปที่ File
👉เลือก Open Data Folder
👉กดเข้าไปที่ โฟลเดอร์ MQL4
👉คลิกเข้าไปที่ Experts
👉นำ EA ที่เรา Copy ในขั้นตอนที่ 2 มาวางในโฟลเดอร์ Expert
ขั้นตอนที่ 4 รีเฟรชโปรแกรม MT4 อีกครั้ง
👉คลิกขวาที่ Expert Advisors บนแถบด้านซ้ายหน้า MT4
👉เลือก Refresh
วิธีติดตั้ง EA Forex บน MT5 มีขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ดาวน์โหลดไฟล์ EA ที่ต้องการ โดยอยู่ในรูปแบบ EX5 หรือ MQ5
ขั้นตอนที่ 2 เปิดโปรแกรม MT5 และติดตั้ง
👉ไปที่ File บนแถบเมนูด้านบน
👉คลิกที่ Open Data Folder
👉คลิกที่ MQL5 จากนั้นคลิกที่ Experts
👉คัดลอกและวางไฟล์ EA ลงในโฟลเดอร์
ขั้นตอนที่ 3 กลับไปที่แพลตฟอร์ม MT5
ขั้นตอนที่ 4 รีเฟรชโปรแกรม MT5 อีกครั้ง
👉คลิกขวาที่ Expert Advisors บนแถบด้านซ้ายหน้า MT5
👉เลือก Refresh จากนั้น EA ที่ติดตั้งจะปรากฏขึ้นในรายการ
👉👉👉 เป็นอย่างไรกันบ้างฮะ ง่ายใช่มั้ยหล่ะ แต่สิ่งสำคัญที่เราควรต้องคำนึงเป็นอันดับแรกๆก็คือการเลือก EA ที่ดีสักตัว เพราะมันจะช่วยเพิ่มโอกาสการทำกำไรและลดความเสี่ยงได้อีกนะดับ แอดแถมให้อีกนิดนะฮะ
1. เลือก EA ที่มีการแสดง Back Test ให้เราติดตาม และควรเลือกระยะเวลาย้อนหลังอย่างน้อย 1 ปี เพื่อให้เห็นโอกาสการทำกำไรของการใช้ EA ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
2. ทดสอบ A/B Test เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพก่อน เพื่อเป็นการเปรียบเทียบว่า EA ตัวไหนสามารถทำกำไรได้จริง และดีกว่ากัน
3. อ่านรีวิว EA Forex จากผู้ใช้งานจริง จะทำให้เราตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น และบางทีอาจจะถูกกับจริตของเราด้วย
4. ทดสอบ EA Forex ในตลาดจริงก่อนเริ่มใช้งาน ด้วยการลองใช้ในบัญชี Demo เพื่อความสมจริงฮะ แม้จะไม่เหมือนพอร์ตจริงแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ไม่หนีกันมากนัก
5. เลือกโบรกเกอร์ที่มีใบอนุญาตและมีความน่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันความเสี่ยง
👉👉👉แม้ว่า EA Robot จะเป็นที่นิยม เพื่อใช้ในการเทรดที่ต้องการลดการทำงานของมนุษย์ หรือเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดในตลาดที่มีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากการตั้งค่าหรือกลยุทธ์ที่ไม่เหมาะสมด้วยเช่นกัน อย่าลืมเผื่อใจและใช้เวลาในการเลือกสักหน่อยนะครับ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ EA Robot สมัยนี้มันต้องเพิ่งเทคโนโลยีด้วยกันแล้วจริงๆนะ แต่ทั้งนี้ทั้นนั้น EA Robot ก็มีทั้งด้านดี และด้านเสีย เราจะเอาใจไปลงที่ EA robot แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้นะครับ มันเสี่ยงเกินไป และที่สำคัญ เมื่อได้มันมาแล้ว แอดแนะนำให้ลอง back test ย้อนดูไปนานๆก่อนฮะ และทดลองใช้กับพอร์ตเดโม่3-6 เดือนด้วยยิ่งดี เราจะได้ไม่ขาดทุนครับ
EA Robot คืออะไร กำไรได้จริงหรือเปล่านะEA Robot คือะไร กำไรได้จริงหรือเปล่านะ
👰 กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับบทความๆดีๆที่มีให้อ่านกันไม่รู้จักเบื่อ มาครับวันนี้แอดพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ EA robot กัน ด้วยยุคสมัยที่เติบโตไปเรื่อยๆแบบนี้ แน่นอนว่าไม่มีใครอยากหยุดอยู่ที่เดิมแน่นอน การเอา EA เข้ามาช่วยจึงเป็นบทบาทสำคัญอีกหนึ่งอันที่เราชาวเทรดเดอร์นิยมใช้กัน มาครับ วันนี้แอดพาทุกท่านไปรู้จักกับ EA robot กันครับ
ในโลกการเทรด Forex ที่เต็มไปด้วยความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงของราคาที่เกิดขึ้นได้วินาทีต่อวินาที การมองหาเครื่องมือที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในการเทรดคือ จุดกำเนิดของ EA Robot โปรแกรมเทรดอัตโนมัติที่ออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนโดยเฉพาะ
EA Forex หรือชื่อเต็มว่า Expert Advisor Forex คือ โปรแกรมที่ใช้ในตลาด Forex ซึ่งทำงานโดยอัตโนมัติในการซื้อขายหรือเทรดในตลาดตามที่ได้ตั้งค่าหรือโปรแกรมไว้ล่วงหน้า โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้งานทำการซื้อขายด้วยตนเอง
EA Forex ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยใช้ภาษาโปรแกรม MQL (MetaQuotes Language) ซึ่งใช้สำหรับการพัฒนาอินดิเคเตอร์, สคริปต์, และ Expert Advisors บนแพลตฟอร์ม MetaTrader 4 หรือ MetaTrader 5 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการเทรดที่นิยม
การทำงานของ EA Forex มีลักษณะดังนี้
1. การซื้อขายอัตโนมัติ: EA จะทำกาวิเคราะห์ตลาดและเปิด/ปิดคำสั่งซื้อขายตามกลยุทธ์ที่ได้ตั้งค่าไว้ โดยอัตโนมัติ
2. ลดความผิดพลาดจากอารมณ์: เนื่องจาก EA ทำงานตามกฎที่ตั้งไว้จึงไม่ถูกรบกวนจากอารมณ์ของผู้เทรด
3. การตั้งค่ากลยุทธ์: ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่ากลยุทธ์การเทรดเอง เช่น การวิเคราะห์ทางเทคนิค, การกำหนดสัญญาณซื้อ/ขาย, การตั้ง Stop Loss และ Take Profit
4. สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง: เนื่องจาก EA ทำงานอัตโนมัติ มันสามารถทำงานตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน โดยไม่ต้องพัก
EA Robot มีกี่ประเภท
1. EA Forex ประเภท News เป็น EA ที่เทรดโดยอาศัยช่วงข่าว หรือเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวต่างๆ ในช่วงที่กราฟมีความผันผวนรุนแรงมากๆ
2. EA Robot ประเภท Breakout เป็นการเทรดโดยอาศัยการใช้แนวรับ – แนวต้านที่สำคัญ และจะทำการซื้อ – ขาย เมื่อราคาทะลุแนวรับแนวต้านที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า
3. EA Robot ประเภท Martingale เป็นรูปแบบการทำงานของ Martingale คือ จะมีการเพิ่มขนาดการลงทุนในการซื้อ – ขายเป็น 2 เท่าทุกครั้งที่ขาดทุน เพื่อทดแทนเงินส่วนที่ขาดทุนไปก่อนหน้านี้ และทำซ้ำไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้กำไร EA ประเภทนี้ จัดว่ามีความเสี่ยงสูงมากและต้องมีทุนมากเช่นกัน
4. EA Robot ประเภท Hedging เป็น EA ที่เน้นการเทรดโดยป้อกันความเสี่ยงเป็นหลัก หลักการทำงานที่สำคัญของ EA รูปแบบนี้ คือ การเปิดออเดอร์ซื้อ – ขายในทิศทางที่ตรงข้ามกันในคู่สกุลเงินที่มีความสัมพันธ์และใกล้เคียงกัน เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากความผันผวนของตลาด
5. EA Robot ประเภท Scalping EA ประเภทนี้จะเน้นการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงระยะสั้น ๆ และจะมีการเปิด – ปิดออเดอร์การซื้อขายหลายครั้งในหนึ่งวัน ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดเป็นหลัก
แม้ว่า EA Robot จะเป็นที่นิยม เพื่อใช้ในการเทรดที่ต้องการลดการทำงานของมนุษย์ หรือเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดในตลาดที่มีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากการตั้งค่าหรือกลยุทธ์ที่ไม่เหมาะสมด้วยเช่นกัน อย่าลืมเผื่อใจและใช้เวลาในการเลือกสักหน่อยนะครับ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ EA Robot สมัยนี้มันต้องเพิ่งเทคโนโลยีด้วยกันแล้วจริงๆนะ แต่ทั้งนี้ทั้นนั้น EA Robot ก็มีทั้งด้านดี และด้านเสีย เราจะเอาใจไปลงที่ EA robot แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้นะครับ มันเสี่ยงเกินไป และที่สำคัญ เมื่อได้มันมาแล้ว แอดแนะนำให้ลอง back test ย้อนดูไปนานๆก่อนฮะ และทดลองใช้กับพอร์ตเดโม่3-6 เดือนด้วยยิ่งดี เราจะได้ไม่ขาดทุนครับ
อัตราภาษีความเสี่ยงกลับในขณะนี้เป็นส่วนหนึ่งของการค้าเมื่อวานนี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ประกาศกลยุทธ์ภาษี"วันปลดปล่อย"ของเขาแนะนำอัตราภาษี 10%สากลในการนำเข้าทั้งหมดที่มีอัตราที่สูงขึ้นสำหรับประเทศที่เฉพาะเจาะจง
แม้จะมีการเรียกร้องเลขานุการพาณิชย์โฮเวิร์ดลัทนิคที่ประธานาธิบดีทรัมป์"จะไม่กลับปิด,"แรงกดดันหลายอย่างยังคงสามารถบังคับให้กลับก่อนที่ 9 เมษายนของพวกเขาดำเนินการ.
ตลาดมีปฏิกิริยาแล้วในเชิงลบ,และคู่ค้ากำลังส่งสัญญาณว่าพวกเขาอาจตอบโต้.
ประธานาธิบดีฝรั่งเศสเอมมานูเอลมาครอนได้เรียกร้องให้บริษัทในยุโรปที่จะระงับการลงทุนในสหรัฐอเมริกาในแคนาดานายกรัฐมนตรีมาร์คคาร์นีย์กล่าวว่าเขากำลังวางแผนที่จะหมุนไปยังคู่ค้าที่น่าเชื่อถือมากขึ้นเช่นออสเตรเลียสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส
กลับรถโดยการบริหารทรัมป์มีแนวโน้มที่จะถูกกรอบเป็นชัยชนะเชิงกลยุทธ์มากกว่าการทำนโยบายที่ไม่สอดคล้องกัน-แต่สำหรับผู้ค้า,ความผันผวนอาจยังคงคงที่ต้อนรับจากการบริหารนี้.
Divergence ดาบสองคม ที่มือใหม่ต้องระวังDivergence ดาบ 2 คม ที่มือใหม่ต้องระวัง
👰 กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับบทความๆดีๆที่มีให้อ่านกันไม่รู้จักเบื่อ มาครับวันนี้แอดพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ Divergence ที่ใครๆก็บกว่าดีนักดีหนา กำไรอย่างเยอะ แล้วทำไมมันกลายเป็นดาบสองคมได้หล่ะ มาครับบทความนี้มีคำตอบครับ
👰 Divergence เป็นหนึ่งในแนวคิดที่สำคัญในเทคนิคการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) โดยเฉพาะในการเทรดฟอเร็กซ์ มันเกิดขึ้นเมื่อการเคลื่อนไหวของราคาของสินทรัพย์ ขัดแย้งกับการเคลื่อนไหวของตัวชี้วัดทางเทคนิค (Indicators) เช่น RSI (Relative Strength Index) หรือ MACD (Moving Average Convergence Divergence)
ประเภทของ Divergence
1. Regular Divergence:
- การเกิดขึ้นเมื่อราคามีแนวโน้มลดลง แต่ตัวชี้วัดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สัญญาณนี้อาจบ่งบอกถึงการกลับตัวขึ้น (Bullish Reversal)
- การเกิดขึ้นเมื่อราคามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ตัวชี้วัดมีแนวโน้มลดลง สัญญาณนี้อาจบ่งบอกถึงการกลับตัวลง (Bearish Reversal)
2. Hidden Divergence:
- Bullish : เกิดขึ้นเมื่อราคาสร้างจุดต่ำใหม่ แต่ตัวชี้วัดสร้างจุดต่ำที่สูงกว่า ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการดำเนินการในแนวโน้มขึ้น
- Bearish : เกิดขึ้นเมื่อราคาสร้างจุดสูงใหม่ แต่ตัวชี้วัดสร้างจุดสูงที่ต่ำกว่า ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการดำเนินการในแนวโน้มลง
👰 สัญญาณ Divergence เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากในการวิเคราะห์ทางเทคนิค
👰 แต่.......ก็มีความเสี่ยงหากเราแยกแยะความแตกต่างระหว่างสัญญาณที่ดีและสัญญาณที่หลอกไม่ได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ความสำเร็จหรือความล้มเหลวได้เช่นกันจุดสังเกตุและวิธีแก้คือ
1.สัญญาณหลอก (False Signal)
Divergence สามารถให้สัญญาณจริงและสัญาณหลอกได้ ซึ่งหมายความว่าอินดิเคเตอร์อาจจะบ่งบอกถึงการกลับตัว แต่ราคาจริงอาจจะยังคงวิ่งไปในทิศทางเดิม ไม่ควรเชื่อร้อยเปอร์ซ็นต์ ให้แบ่งไม้หรือซอยไม้ในการทำกำไรหรือเข้าออเดอร์
2. ควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ
Divergence เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ การใช้อินดิเคเตอร์อื่นๆ มาร่วมด้วยจะทำให้เราตัดสินใจได้แม่นยำกว่า เช่น แนวรับแนวต้าน (Support and Resistance) หรือปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis) EMA, MACD, RSI, STO, BB, CCI ,ETC เราสามารถนำมาใช้ได้หมดแล้วแต่จะเลือก
3. หมั่นตรวจสอบสัญญาณจาก Timeframe ที่เหมาะสม
Timeframe ที่ใหญ่ขึ้นมักจะให้สัญญาณที่แม่นยำมากกว่า Timeframe เล็กๆ เช่น H4 , Day หรือ weekly
สรุป Divergence เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากในการคาดการณ์การกลับตัวของราคา แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นดาบสองคมที่เทรดเดอร์มือใหม่ต้องระวัง การเรียนรู้และเข้าใจวิธีการใช้งานอย่างถูกต้อง พร้อมกับการทดสอบและฝึกฝนจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงจากการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ Divergence ไม่ได้มีดีแค่ด้านเดียวนะ แต่ยังมีด้านไม่ดีซ่อนอยู่ด้วย แถมเวลาเราโดนสัญญาณหลอกเราก็มักจะไม่รู้ตัวกันอีก ต้องหมั่นทบททวนราคาและเช็คสัญญาณในแต่ละ Timeframe ให้ดีๆนะครับ แล้วเราจะชนะอย่างไม่ต้องสงสัย ลองเอาไปปรับใช้กันดูนะฮะ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ฝึกการเทรดไว้เยอะๆแล้วเราจะเก่งเอง แอดเอาใจช่วยทุกท่านให้เทรดได้กำไรกันเยอะๆครับ
NDX ลุ้นทำรูปแบบ Flag NDX
ลุ้นทำรูปแบบ Flag
ขึ้นต่อเนื่องหากผ่านแนวต้าน 19955.44 ได้
จะมีเป้าแนวต้านถัดไปคือ 20679 และ ย่อตัวได้แถว 20350
ก่อนที่จะขึ้นต่อและจะมีเป้าแนวต้านถัดไปคือ 21200
Disclaimer คำเตือน
1.โพสต์นี้เป็นการแชร์มุมมองเพื่อการศึกษาและเรียนรู้พฤติกรรมการทำราคาของกราฟเทคนิคคอลเท่านั้น (For Educational purposes only) และ ผู้เขียนไม่ใช่ (Financial advisor nor a CPA)
2.ทางเพจไม่ได้มีเจตนาชี้แนะหรือชี้ชวนการลงทุนแต่อย่างใด (I am sharing my opinion with no guarantee of investment gains or losses.)
3.ผู้ลงทุนควรศึกษาผลิตภัณฑ์การลงทุนก่อน และตัดสินใจการลงทุนเอง ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นผู้ลงทุนต้องยอมรับความเสี่ยงด้วยตนเอง (Investing of any kind involves risk. While it is possible to minimize risk, your investments are solely your responsibility. You must conduct your own research.)
4. ผลตอบแทนในอดีตที่ผ่านมา ไม่สามารถวัดหรือการันตีผลตอบแทนในอนาคตได้ว่าจะดีเหมือนในอดีตหรือไม่ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องเข้าใจหลักและวิธีการเงื่อนไขการลงทุน และผลตอบแทน ความเสี่ยงที่ได้รับก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
อ่านกราฟไม่เก่งก็กำไร ด้วยสูตร Money Management อ่านกราฟไม่เก่งก็กำไร ด้วยสูตร
Money Management
👰 กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับบทความๆดีๆที่มีให้อ่านกันไม่รู้จักเบื่อ มาครับวันนี้แอดพาทุกท่านไปคำนวนตัวเลขเพื่อใช้ในการเทรดกันฮะ ไม่สับสนวุ่นวาย ไม่ยากเกินไปแน่นอน รับรองได้ มาครับตามมาดูมาอ่านกันดีกว่า ว่ามันใช้ยังไง และดีอย่างไร บทความนี้มีคำตอบครับ
👯💆 ส่วนใหญ่แล้ว เทรดเดอร์หน้าใหม่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับ การวางแผนคำนวนทุนกำไรเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเทรดแค่ได้กำไรก็จบ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันยากมาก เพราะการเทรดมีทั้งได้กำไรและขาดทุน การคำนวน MM (Money Management) จึงจัดว่าสำคัญ
👯💆เพราะเราไม่สามารถ เทรดแล้วทำกำไรได้ทุกครั้ง เราจะต้องมองการเทรดให้เป็นเกมในระยะยาว การรักษาเงินทุนของเราจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เราต้องเลือกเข้าเทรดในจุดที่ใช่และมีการบริหารความเสี่ยงที่ถูกต้อง และสิ่งที่ต้องรู้ในการบริหารความเสี่ยงในการลงทุน มีดังนี้
ขั้นตอนในการทำ Money Management
1. การอ่านและวิเคราะห์กราฟจากเครื่องมืออินดิเคเตอร์ เพื่อดูทิศทางในการเข้าออเดอร์ เช่น ดู EMA ,BB FIBO, CHANNEL เป็นต้น
2. คำนวนน R:R (Reward to Risk Ratio) คือความคุ้มค่าในการลงทุนแต่ละครั้ง เป็นการคำนวณเปรียบเทียบระหว่างกำไรที่เราจะได้รับมา หารกับผลขาดทุนที่จะสามารถเกิดขึ้นได้ถ้าไม้นั้นออกมาแพ้ การคำนวณค่า R:R คือเอาระยะกำไรหรือ TP มาหารด้วยระยะขาดทุนหรือระยะ SL
โดยทั่วไป R:R ควรจะต้องมากกว่า 2 ขึ้นไปถึงจะถือว่าคุ้มค่า แต่ว่าค่านี้ก็ไม่ใช่สูตรสำเร็จ เพราะถ้าหากเราที่ใช้กลยุทธ์ที่มี %Win Ratio สูง ๆ ค่า R:R ของเราก็อาจจะปรับลดลงได้
3. Win Rate เปอร์เซ็นโอกาสในการชนะของแผนการลงทุน ค่า Win rate จะได้มาจากการเก็บสถิติของคุณด้วยเทคนิคใดเทคนิคหนึ่งที่คุณใช้อยู่ ซึ่งคำนวณจากจำนวนครั้งที่คุณชนะหารด้วยจำนวนการเทรดทุกไม้ของคุณ
- เพราะโดยทั่วไป % Win Rate ของคนที่ใช้กลยุทธ์เทรดตามแนวโน้ม (Trend Following) จะอยู่ประมาณ 40% +/- เท่านั้น (เทรด 10 ครั้ง = ชนะ 4 ครั้ง / แพ้ 6 ครั้ง)
4. Correlation การกระจายความเสี่ยง เราจะไม่เทรดในคู่เงินที่มีแนวโน้มหรือทิศทางไปในทางเดียวกันหลายๆคู่ ยกตัวอย่างการเทรด คู่ EUR และ GBP ซึ่ง 2 สกุลเงินนี้อยู่ในตลาดยุโรปทั้งคู่ ถ้าเราเทรดชนะเราก็จะได้กำไร 2 เท่า แต่ถ้าเราเทรดแพ้เราก็จะขาดทุนเป็น 2 เท่าเช่นเดียวกัน
5. Position sizing การออก lot ให้เหมาะสมกับเงินทุน การคำนวณ Position sizing นี้มีอยู่หลากหลายวิธีด้วยกัน
- fixed fractional หรือว่าการออกไม้ด้วยเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงที่เท่ากันทุกไม้ ข้อดีก็คือถ้าเกิดเราแพ้ติดต่อกันหลายๆไม้ จำนวนเงินที่เราจะออกไม้จะค่อยๆน้อยลงแต่ในขณะเดียวกันถ้าเผื่อเราชนะติดต่อกันหลายๆไม้ เราจะสามารถออก lot ด้วยขนาดใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆทำให้เราได้กำไรทบต้นขึ้นไปอีก
- Fixed sizing คือการออก lot โดยการใช้จำนวนเงินหรือว่าระยะ TP SL เท่ากันทุกไม้ไม่ว่าพอร์ตเราจะโตขึ้นหรือว่าเล็กลง ข้อดีของการใช้วิธีนี้คืออัตราการเติบโตของพอร์ตเราจะมีแรงเหวี่ยงที่น้อยกว่า แต่ข้อเสียของวิธีนี้ก็คือว่าเราจะมี draw down ที่สูงกว่าถ้าเผื่อเรา SL ติดกันหลายๆไม้
- Fixed fractional sizing โดยวิธีนี้จะทำการออก lot ในจำนวนไม้เท่าๆกัน มีการปรับเปลี่ยนการออกไม้ของเราเมื่อพอร์ตเราโตขึ้นหรือว่าเล็กลงถึงค่าที่เรากำหนดไว้เป็นขั้นบันได
6. Expectancy คือค่ากำไรที่เราคาดหวังจากระบบเทรด ซึ่งค่านี้จะบ่งบอกว่าระบบเทรดของคุณที่ใช้อยู่ปัจจุบันมีโอกาสได้กำไรหรือขาดทุนมากกว่ากัน โดยเราจะต้องเก็บข้อมูลจากสถิติที่เราเทรดจริงหรือว่าจากที่เรา Back Test ก็ได้ในจำนวนที่มากพอเพื่อมาคำนวณหาค่าค่านี้
7. Recovery Rate คือโอกาสที่จะกู้พอร์ตให้กลับมาเท่าทุน ซึ่งถ้าเกิดว่าเราเทรดแพ้หลายๆไม้ติดต่อกัน โอกาสที่เราจะสามารถนำเงินกลับมาเท่าทุน จะเริ่มยากขึ้นไปเรื่อยๆ
8. Capital Management คือการจัดสรรเงินทุนให้เหมาะสมและถูกต้อง ข้อนี้สำคัญมากเพราะถ้าเราไม่รู้หรือคำนวณไม่เป็น สุดท้ายเมื่อเรามีเงินทุนไม่พอเราก็จะมีโอกาสที่จะล้างพอร์ตได้ในระยะยา การคำนวณคือ เราจะต้องเอา minimum ในการออกไม้ อยู่ที่ 0.01 เอาค่านี้มาคูณกับระยะ SL ที่เราจะเข้า
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับ Money Management แม้ว่าจะต้องเสียเวลานิดๆหน่อยๆในการคำนวน แต่เชื่อเถอะครับ มันดีจริงๆ แถมมันยังช่วยให้เราตัดสินใจในการเทรดได้มากขึ้นอีกด้วย เทรดครั้งนึงคุ้มไม่คุ้มอยู่ตรงนี้แหละ ใครบ้างจะอยากขาดทุน แต่ถ้าขาดทุนแล้วต้องกู้กำไรกลับคืนมา นี่ต่างหากที่สำคัญสุดๆ ลองเอาไปปรับใช้กันดูนะฮะ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ฝึกการเทรดไว้เยอะๆแล้วเราจะเก่งเอง แอดเอาใจช่วยทุกท่านให้เทรดได้เงินสะสมเยอะๆครับ
ICT Kill zone in Forex คืออะไร?ICT Kill zone in Forex คืออะไร?
👰 กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับบทความๆดีๆที่มีให้อ่านกันไม่รู้จักเบื่อ หลังจากเราทำความรู้จัก KZM Killer Zone กันไปแล้ว วันนี้แอดพามาทำความรู้จักตลาด ICT Killzone กันบ้าง มาครับตามมาดูมาอ่านกันดีกว่า ว่ามันใช้ยังไง และดีกว่าอย่างไร บทความนี้มีคำตอบครับ
หากเราชื่นชอบการเทรดตามกรอบเวลาในแต่ละประเทศตามตลาดต่างๆ ในแต่ละประเทศ เราอาจชอบรูปแบบการเทรดนี้ และแอดเชื่อว่าเทรดเดอร์ส่วนใหญ่และหลายๆคนอาจจะเกิน 70% ชื่นชอบการเทรดตามตลาดต่างๆในแต่ละสกุลเงินที่แตกต่างกันไป
ICT Kill Zone หรือชื่อเต็มๆก็คือ Inner Circle Trader Kill Zone เป็นช่วงเวลาเปิดตลาดที่สำคัญของแต่ละตลาด และมีระยะคาบห่างการเปิดตลาดที่ใกล้เคียงและต่อเนื่องกัน นั่นเป็นเหตุผลที่ตลาด FOREX มันเปิดตลอด 24 ชั่วโมงนั่นเอง
ICT Killzones Times สำหรับการเทรดรายวันแบบ Intraday Trading
เวลาในตลาดหลักๆที่เราควรจะเทรดจะมีด้วยกัน 3 ช่วง 3 ตลาด
1. ICT London Killzone time ในตลาดลอนดอน
- 19:00 pm – 22.00 pm ตามเวลาบ้านเรา
- คู่เงินที่ควรเทรดและยอดนิยม EUR/USD และ GBP/USD
2. ICT New York Killzone time ในตลาดนิวยอร์ก
- 19:30 pm – 22.30 pm ตามเวลาบ้านเรา
- ดีที่สุดสำหรับการเทรด Nasdaq100 and S&P500
- ช่วงเวลาที่สำคัญและดีที่สุดคือช่วง 8:30 pm ตามเวลาบ้านเรา
- คู่เงินที่ควรเทรดและยอดนิยม EUR/USD และ GBP/USD
3. ICT Asian Killzone time ในตลาดเอเชีย
- ส่วนใหญ่เทรดเดอร์มักเทรดช่วงเวลาเดียวกับ New York timezone.คือ 7.00 pm -9.00 pm ตามเวลาบ้านเรา
- และคู่เงินที่นิยมเทรดคือ JPY, NZD, และ AUD
👌และแน่นอนว่า ตลาดลอนดอน London Session ย่อมเป็นตลาดที่ได้รับความนิยมสูงสุดไม่แพ้สกุลเงินอื่นๆเลย แม้แต่ทองด้วย ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุดในรอบวัน ส่งผลให้ตลาดมีความผันผวนสูงและมีโอกาสเยอะมากในการเข้าเทรดเพื่อทำกำไร แอดจึงยกตัวอย่างและวธีการสรุปสั้นๆในการเทรดตลาดลอนดอนมาให้ดูกัน
จุดสังเกตุในการเทรดตามตลาด London Session
1. เมื่อเข้าสู่ London Session ราคาเริ่มปรับตัวขึ้นไปทดสอบ High หลังจากนั้นราคาก็มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง (Market Structure Shift) กลับลงมาทางด้านล่าง
2. ราคาเริ่มย้อนกลับขึ้นมายัง Optimal Trade Entry (OTE) ที่ระดับ Fibonacci 0.5 ซึ่งเป็นจุดที่น่าสนใจในการเปิดออเดอร์ Sell
3. เมื่อราคาสามารถทะลุ Low ของเซสชั่นลงมาได้ แสดงว่ามีโอกาสที่ราคาจะร่วงลงต่อไป
4. เป้าหมายของออเดอร์ Sell คือ Low ของเซสชั่นก่อนหน้า
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับระบบเทรด ICT Kill zone แม้ว่าจะต้องนับเวาและคำนวนเวลานิดหน่อย แต่มันคุ้มค่ากับคำว่ารอมากเลยนะฮะ ใครว่าเราไม่สามารถชนะตลาดได้ ไม่จริงฮะ แค่เทรดให้เป็นระบบ มีวินัย ไม่โลภ เราสามารถชนะได้แน่นอน ลองเอาไปปรับใช้กันดูนะฮะ
ที่สำคัญคือบริหารเงินในหน้าตักเราให้เป็นและรัดกุมมากที่สุดครับคือสิ่งสำคัญ ฝึกไว้เยอะๆแล้วเราจะเก่งเอง แอดเอาใจช่วยทุกท่านให้เทรดได้เงินสะสมเยอะๆครับ
KZM ระบบเทรด killer zone ใช้ยังไงทำไมกำไรบวกเกิน 80%KZM ระบบเทรด killer zone
ใช้ยังไงทำไมกำไรบวกเกิน 80%
👰 กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับบทความๆดีๆที่มีให้อ่านกันไม่รู้จักเบื่อ หากใครกำลังมองหาระบบเทรดดีๆสักตัว มาครับแอดช่วยได้ ระบบเทรดที่สามารถทำกำไรได้80% ขึ้นไปจนถึงหลัก ร้อยและหลักพัน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ มาครับตามมาดูมาอ่านกันดีกว่าว่ามันใช้ยังไง บทความนี้มีคำตอบครับ
Killer Zone Model หรือ ชื่อย่อก็คือ KZM
KZM เป็นแนวคิดในการครอบครองพื้นที่ (โซน) ในการเทรดหรือการวางกรอบการเทรดนั่นแหละ ซึ่งสามารถสร้างกำไรจากการเทรดได้อย่างสม่ำเสมอ โดย KZM เชื่อว่าราคาในการสวิงในตลาดไม่มีทางสูงหรือต่ำตลอดไปและราคาไม่มีทางเป็น 0
ระบบการเทรดนี้มีลักษณะเหมือนและคล้ายระบบปิด (Close system) โดยจะไม่มีการเติมเงินเข้าไปในระบบอีกเลย ย้ำนะฮะ เราเป็นสายแช่ สายรอฮะ ไม่เน้นเติม
โดยการนำกำไรหรือ Cash Flow ที่ได้จากการเทรด มาปรับเพิ่มออเดอร์ เพื่อสร้างกำไรเพิ่มเติมภายในพอร์ต ซึ่งหมายความว่าก่อนจะทำการเทรด เราต้องสร้างแผนการเทรดแล้วเทรดตามระบบ
ต้องมีการคำนวนไว้เรียบร้อยแล้ว ว่าระบบที่เราจะใช้เทรดนั้นต้องใช้เงินประมาณเท่าไหร่ กำไรเท่าไหร่ ใช้เวลายาวนานประมาเท่าใด ระบบนี้เน้นเรื่องการอยู่รอดในตลาดได้นานๆ ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ เก็บสะสม Cash Flow (CF) นะครับไม่เน้นฝาก และไม่เน้นถอนด้วย เน้นสร้างกำไรแบบเติบโตจริงๆ
หลักการทำงานของ KZM
1. กำหนดโซนในการเข้าเทรด และแบ่งเงินออกเป็นกองๆ สำหรับซื้อขายในโซนนั้นๆ เช่น โซนราคา $10 - $30
2. ต้องมีการคำนวนราคาและลอทที่ออกในทุกๆ ออเดอร์ที่ซื้อขาย โดยคำนวณทุนที่ใช้ในแต่ละ Position
3. ระบบนี้ไม่มีการตั้ง Stop Loss ไม่ว่ากราฟจะลงหรือขึ้น และไม่ว่าจะติดลบแค่ไหน ก็จะเปิดออเดอร์ Buy ไปเรื่อยๆ และไม่ Take Profit จนกว่าจะถึงจุดที่พอใจ ระบบนี้จึงใช้ทุนหนาพอสมควรนะฮะ
KZM ทำกำไรอย่างไร ?
เป็นระบบที่เชื่อว่าราคาจะไม่มีวันเป็น 0 โดยเราจะทำการเปิดออดอร์ Buy ไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าตลาดจะเป็นช่วงขาลง เราก็ยังทยอยเข้าซื้อไปเรื่อยๆ เช่นซื้อทอง ที่ราคา 2900 และราคาดิ่งลงฮวบๆแต่เราก็ยังทยอยซื้อเพิ่มอยู่ดี เมื่อเทรนด์ในตลาดเป็นเทรนด์ขาขึ้นกลับมา และถึงจุดที่เราพึ่งพอใจ จึงค่อย Take profit
ความเสี่ยงที่นักเทรดต้องแบกรับให้ได้เมื่อใช้ KZM คือ
การที่เราจะต้องทนติดลบในปริมาณมากๆ เมื่อตลาดกลายเป็นเทรนด์ขาลง การเทรดส่วนใหญ่จึงมักลงทุนใน Position ที่น้อยๆเป็นหลัก แต่ทุนหนามาก
ข้อดี KZM
1. ไม่ต้องเติมเงินบ่อย สามารถทำกำไรได้ในระยะยาว
2. ทำกำไรได้ในระยะยาว จากการ Take profit เมื่อถึงจุดที่เราพอใจ ก็นำเงินไปขยายในทรัพย์สินอื่นๆได้อีกต่อ
3.ระบบ KZM ช่วยให้เราได้ฝึกคำนวณทุนที่ใช้ต่อ 1 Position อีกทั้งยังได้ฝึกบริหารจัดการเงินในการลงทุน (Money Management) อีกด้วย
ข้อเสีย KZM
1.ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทำกำไรในระยะสั้นๆ
2.ไม่เหมาะสำหรับคนที่รีบใช้เงิน เพราะเงินร้อน ใจร้อน ย่อมทำให้ขาดทุนได้ง่าย
3. ออเดอร์อาจจะเยอะ จนตาลาย ลายตาไปหมดฮะ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับระบบเทรด KZM แม้ว่าระบบการเทรดนี้จะเน้นการเทรดในระยะยาว แต่เราไม่จำเป็นต้องเทรดกันเป็นปีๆก็ได้ครับ สามารถเอามาปรับใช้ให้สั้นลงได้เช่นกันเช่น 2-3 เดือนก็ว่ากันไปแล้วแต่ความชอบส่วนตัว
ที่สำคัญคือบริหารเงินในหน้าตักเราให้เป็นและรัดกุมมากที่สุดครับคือสิ่งสำคัญ ฝึกไว้เยอะๆแล้วเราจะเก่งเอง แอดเอาใจช่วยทุกท่านให้เทรดได้เงินสะสมเยอะๆครับ
Position Trading ลงทุนระยะสั้นหรือระยะยาวอันไหนดีกว่ากันPosition Trading ลงทุนระยะสั้นหรือระยะยาวอันไหนดีกว่ากัน
👰 กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับการเทรดวิเคราะห์กราฟและการแชร์เทคนิคคอลแจ่มๆที่ใช้ดีและบอกต่อ วันนี้แอดมาไขข้อข้องใจระหว่างเทรดสั้นกับเทรดยาว มันต่างกันยังไง แล้วอันไหนดีกว่ากัน มาครับ บทความนี้มีคำตอบ
การเทรดแบบ Position Trading คือการถือตำแหน่งในการเข้าออเดอร์ มีหลายแบบ แบบถือเป็นเดือนหรือปีในระยะยาว และ การถือออเดอร์แบบระยะสั้นๆเทรดแบบรายวัน ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับสไตล์การลงทุน เป้าหมาย และความพร้อมของแต่ละคน ย้ำว่าแต่ะคนไม่เหมือนกันจริงๆ ข้อนี้สำคัญมาก ในการเลือกรูปแบบการเทรด
Position Trading มีไว้ใช้เพื่ออะไร?
1. เพื่อเป็นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและทางเทคนิคด้วย Position Trade และการวิเคราะห์ทางเทคนิคช่วยในการจับจังหวะการเข้าออเดอร์และออกออเดอร์
2. Position Trade ให้ความสำคัญกับกรอบเวลาใหญ่ เช่น กราฟรายสัปดาห์ รายเดือน หรือรายไตรมาส เพื่อให้มองเห็นภาพรวมของราคาและแนวโน้มหลัก แต่ในปัจจุบันเราปรับแต่งให้ Position Trade มีทั้งแบบระยะยาว และแบบระยะสั้น เพื่อสร้างความหลากหลายและกลยุทธิ์ที่มากขึ้น นั่นเอง
3. เพื่อช่วยให้มีการบริหารความเสี่ยงและเงินทุนอย่างมีวินัย โดยเริ่มจากการกำหนดสัดส่วนเงินลงทุนที่เหมาะสมในแต่ละสินทรัพย์ และเพื่อป้องกันการขาดทุนที่เกินกว่าระดับที่ยอมรับได้ รวมถึงตั้งเป้าหมายที่จะทำกำไร
Position Trading มีเทคนิคการทำอย่างไรบ้าง
1.Trend Following
การตามติดแนวโน้มหลักของราคา โดยใช้วิธีการต่างๆ ในการระบุแนวโน้ม เช่น การวิเคราะห์ทิศทางของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) หรือ ADX เพื่อประเมินความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
2. Breakout Trading
มุ่งเน้นการรอคอยจังหวะที่ราคาผ่านแนวต้านหรือแนวรับสำคัญ ซึ่งบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์อุปทานและการเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่ ในกรอบเวลารายวันรายเดือนหรือรายสัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ร่วมกันทางเทคนิค เช่น Pivot Point
3. Value Investing
เป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงอย่างมีนัยสำคัญ เช่น การคำนวณมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดคิดลด (DCF) แล้วถือครองไปจนกว่าตลาดจะตระหนักถึงมูลค่าที่แท้จริงและราคาปรับตัวให้สะท้อนโอกาสในระยะยาว
สรุป: อันไหนดีกว่ากัน?
Position Trading เหมาะกับคนที่:
ไม่มีเวลาเทรดตลอดวัน
ชอบการลงทุนแบบเน้นความมั่นคง
สามารถรอผลตอบแทนในระยะยาวได้
ไม่ชอบความเสี่ยงสูง
การเทรดระยะสั้น เหมาะกับคนที่:
มีเวลาและความพร้อมในการติดตามตลาด
ชอบความท้าทายและรับความเสี่ยงได้
มีทักษะการวิเคราะห์ตลาดที่ดี
ต้องการทำกำไรในเวลาสั้น ๆ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ พยายามถามตัวเองให้ได้คำตอบก่อนว่าชอบเล่นแบบไหน แล้วเรามีความสามารถในการทำกำไรแบบไหนกนแน่ พร้อมมากน้อยเพียงใด ทีนี้ก็เทรดไม่ยากแล้วครับ และที่สำคัญต้องหมั่นฝึกฝนและทดสอบระบบเทรดและกลยุทธ์อย่างสม่ำเสมอนะ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดข้อผิดพลาดในการเทรดเสมอ แล้วเราจะเก่งและกำไรเรื่อยๆครับ
การแบ่งปิดกำไร (Partial Profit): ข้อดีและข้อเสียการแบ่งปิดกำไร หรือที่เรียกกันว่า Partial Profit เป็นกลยุทธ์การเทรดที่นักเทรดปิดบางส่วนของออเดอร์เพื่อรับกำไร ณ จุดที่กำหนดไว้ล่วงหน้า และปล่อยส่วนที่เหลือให้ทำงานต่อไปจนถึงเป้าหมายที่ใหญ่กว่า วิธีนี้เป็นที่นิยมในหมู่นักเทรดที่ต้องการลดความเสี่ยงและจัดการอารมณ์ในตลาดที่มีความผันผวนสูง แต่เช่นเดียวกับทุกกลยุทธ์ การแบ่งปิดกำไรก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ
ข้อดีของการแบ่งปิดกำไร
1.ลดความเสี่ยงและล็อกกำไรบางส่วน
การแบ่งปิดกำไรช่วยให้นักเทรดสามารถรับผลกำไรบางส่วนได้เมื่อราคามาถึงจุดที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งช่วยลดความกังวลหากราคาย้อนกลับ
2.สร้างความมั่นคงทางจิตวิทยา
การได้รับกำไรบางส่วนช่วยเสริมความมั่นใจและลดความเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดผันผวน
3.เหมาะสำหรับตลาดที่ไม่แน่นอน
ในสถานการณ์ที่ราคามีโอกาสกลับตัว การแบ่งปิดกำไรช่วยให้นักเทรดสามารถทำกำไรได้แม้ในสภาพตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย
4.เพิ่มความยืดหยุ่นในการเทรด
นักเทรดสามารถเลื่อน Stop Loss ไปยังจุดคุ้มทุน (Breakeven) หลังการแบ่งปิดกำไร ทำให้ความเสี่ยงลดลงเหลือศูนย์สำหรับออเดอร์ที่เหลือ
ข้อเสียของการแบ่งปิดกำไร
1.ลดอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (RR)
การแบ่งปิดกำไรทำให้กำไรโดยรวมลดลงเมื่อเทียบกับการถือออเดอร์เต็มจำนวนจนถึงเป้าหมายใหญ่ เช่น RR อาจลดจาก 3.0 เหลือ 1.8 หรือ 2.0 ขึ้นอยู่กับจุดแบ่งปิด
2.พลาดโอกาสทำกำไรสูงสุด
หากตลาดวิ่งต่อในทิศทางที่คาดไว้ การแบ่งปิดกำไรอาจทำให้นักเทรดพลาดโอกาสทำกำไรสูงสุดจากการถือออเดอร์เต็มจำนวน
3.ซับซ้อนและต้องวางแผนมากขึ้น
การแบ่งปิดกำไรต้องการการวางแผนที่ดี รวมถึงการตั้งค่าระดับราคาหรือเป้าหมายสำหรับการแบ่งปิด ซึ่งอาจทำให้ยุ่งยากสำหรับนักเทรดมือใหม่
4.อาจสร้างนิสัยการปิดกำไรก่อนเวลา
หากนักเทรดแบ่งปิดกำไรบ่อยเกินไป อาจเกิดนิสัยในการปิดออเดอร์ก่อนเวลา ทำให้ไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ควรจะเป็น
การใช้งานการแบ่งปิดกำไรในสถานการณ์ต่างๆ
ตลาดผันผวนสูง
1.ในตลาดที่ราคามักวิ่งขึ้น-ลง การแบ่งปิดกำไรที่ระดับ Fibonacci เช่น 1.272 หรือ 1.618 ช่วยให้นักเทรดรับกำไรบางส่วนก่อนที่ราคาจะย้อนกลับ
2.เทรนด์ใหญ่
เมื่อตลาดอยู่ในเทรนด์ที่ชัดเจน การแบ่งปิดกำไรบางส่วนที่ระดับแนวต้านหรือแนวรับสำคัญ และปล่อยส่วนที่เหลือให้วิ่งตามเทรนด์อาจเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ
3.การเทรดตามข่าว
ในกรณีที่มีการประกาศข่าวสำคัญและตลาดเคลื่อนไหวเร็ว การแบ่งปิดกำไรช่วยให้นักเทรดลดความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดอาจเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน
ตัวอย่างการแบ่งปิดกำไร
สมมติฐาน:
ออเดอร์: Buy XAUUSD
ขนาดล็อต: 0.10 lot
Stop Loss: 1,000 จุด (10 USD)
เป้าหมายกำไรที่ 1: ระดับ 1.272 (RR = 1.5)
เป้าหมายกำไรที่ 2: ระดับ 1.618 (RR = 2.5)
กลยุทธ์การแบ่งปิด:
เมื่อราคามาถึงระดับ 1.272:
ปิดออเดอร์ 50% (0.05 lot)
กำไรจากส่วนนี้ = 7.5 USD
เลื่อน Stop Loss ของออเดอร์ที่เหลือ (0.05 lot) ไปที่จุดคุ้มทุน
เมื่อราคามาถึงระดับ 1.618:
ปิดออเดอร์ที่เหลือ (0.05 lot)
กำไรจากส่วนนี้ = 12.5 USD
เปรียบเทียบกำไร:
หากไม่แบ่งปิดกำไรและถือจนถึงระดับ 1.618:
กำไรรวม = 25 USD
หากแบ่งปิดกำไร:
กำไรรวม = 7.5 + 12.5 = 20 USD
ข้อสรุป:
การแบ่งปิดกำไรทำให้กำไรลดลง 20% แต่ช่วยลดความเสี่ยงและล็อกกำไรบางส่วนในตลาดที่อาจย้อนกลับ
หุ้นเทคสหรัฐฯ ฟื้นตัวจากการร่วงครั้งประวัติศาสตร์หุ้นเทคฟื้นตัว แต่ยังเสี่ยงผันผวน
NASDAQ ดีดตัวกว่า 2% หลังร่วงหนักจากข่าว DeepSeek AI โดยมี Nvidia หนุนการฟื้นตัวหลังสูญเสียมูลค่าตลาด 593 พันล้านดอลลาร์ ในวันเดียว อย่างไรก็ตาม ตลาดยังอ่อนไหวต่อข่าว AI จากจีน ซึ่งอาจกระทบหุ้นกลุ่มนี้อีก
มุมมองทางเทคนิค: ดัชนียังคงแกว่งตัวระหว่างแนวรับ 20,668 และแนวต้าน 22,132 หากยืนเหนือได้ มีโอกาสเบรกขึ้นต่อ แต่หากหลุดลง แนวรับถัดไปอยู่ที่ 19,955
US100 (NASDAQ)เห็นยังไง วิเคราะห์ไปแบบนั้น
ไม่ยึดติดทฤษฏี มองถึงความได้เปรียบของรูปทรงกราฟที่เกิดขึ้น
นำไปสู่ผลลัพธ์ที่สร้างผลตอบแทน !!
แต่ถ้าอยากรู้เหตุผลอย่างอื่นเพิ่มเติม
เข้ามารับชมได้ที่เพจ Order Concept
หรือพิมพ์ค้นหาที่ FacebooK : @OrderConceptFX ได้เลย
ไลฟ์วิเคราะห์ทุกวันอังคาร และวันพฤหัสบดี
(เวลา 14:00 น.) เป็นต้นไป สามารถดูย้อนหลังได้ตลอด
ที่นี้เราจะไม่พูดถึงแค่เรื่องกราฟแบบมือใหม่
แต่เราจะพาไปเจาะลึกถึง Macroeconomics (เศรษฐศาสตร์มหภาค)
(Trade ตาม Trend) NASDAQ 100 Swing BuyTrade ตามเทรนด์
NASDAQ 100 Swing Buy
ราคาเป็น Up Trend แข็งแรง
ใช้ EMA และแนวสำคัญ เป็นจุดรับย่อซื้อ
ราคาได้เทสกึ่งกลางของ Fair Value Gap ไปแล้ว 1 ครั้ง
ซึ่งอยู่บริเวณ EMA21 หากราคาย่อเข้าโซน 1 และ 2 จะเป็นจุดรับ BUY (22000-21900)
และถ้าหากหลุดไปจนถึง FVG ตรงนี้ควรจะรอการกลับตัวก่อน และไม่ควรหลุด Low ล่าสุด (21900)
หากหลุดลงไปจะเป็นจุด Stop Loss
ราคาเป็น All Time High ไม่มีแนวต้าน
ใช้ Fibonacci เป็นจุดล็อคกำไรที่
161.8 (22300)
NDX กำลังลงมาทดสอบแนวรับสำคัญNDX กำลังลงมาทดสอบแนวรับสำคัญ บริเวณ 21152 และ 21000 ซึ่งมีโอกาสดีดแรงๆได้ 1 ที
โดยจะมีเป้าแนวต้านคือ 21635 และ 21950 กับ 22410 โดยประมาณ
วางคัทหากหลุดแนว 21000
Disclaimer คำเตือน
1.โพสต์นี้เป็นการแชร์มุมมองเพื่อการศึกษาและเรียนรู้พฤติกรรมการทำราคาของกราฟเทคนิคคอลเท่านั้น (For Educational purposes only) และ ผู้เขียนไม่ใช่ (Financial advisor nor a CPA)
2.ทางเพจไม่ได้มีเจตนาชี้แนะหรือชี้ชวนการลงทุนแต่อย่างใด (I am sharing my opinion with no guarantee of investment gains or losses.)
3.ผู้ลงทุนควรศึกษาผลิตภัณฑ์การลงทุนก่อน และตัดสินใจการลงทุนเอง ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นผู้ลงทุนต้องยอมรับความเสี่ยงด้วยตนเอง (Investing of any kind involves risk. While it is possible to minimize risk, your investments are solely your responsibility. You must conduct your own research.)