ReutersReuters

USA:นักลงทุนหุ้นสหรัฐจับตาผลประกอบการบริษัทขนาดยักษ์สัปดาห์นี้

นิวยอร์ค--22 เม.ย.--รอยเตอร์

  • นักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐรอดูผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงบริษัทเทสลาที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่จะรายงานผลประกอบการออกมาในวันที่ 23 เม.ย., บริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ที่จะรายงานออกมาในวันที่ 24 เม.ย. และบริษัทไมโครซอฟท์กับบริษัทแอลฟาเบทที่จะรายงานผลประกอบการออกมาในวันที่ 25 เม.ย. โดยบริษัททั้ง 4 แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทกลุ่ม "Magnificent 7" หรือบริษัทขนาดยักษ์ 7 แห่งของสหรัฐ และบริษัท 7 แห่งนี้เคยมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้น 24% ในปี 2023 อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐชะลอการพุ่งขึ้นในช่วงนี้โดยได้รับแรงกดดันจากการที่นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทั้งนี้ ในส่วนของบริษัทที่เหลืออีก 3 แห่งในกลุ่ม Magnificent 7 นั้น บริษัทแอปเปิลกับบริษัทอะเมซอนดอทคอมจะรายงานผลประกอบการออกมาในสัปดาห์หน้า และบริษัทเอ็นวิเดียจะรายงานผลประกอบการออกมาในวันที่ 22 พ.ค. ในขณะที่หุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นมาแล้ว 70% จากช่วงต้นปีนี้

  • นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุวว่า ผลประกอบการของบริษัทกลุ่มนี้อาจจะถือเป็นบททดสอบที่สำคัญสำหรับการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐ เนื่องจากบริษัทกลุ่มนี้ครองน้ำหนักมากในดัชนี และหุ้นกลุ่มนี้ครองส่วนแบ่งสำคัญในพอร์ตลงทุน ถึงแม้ว่าการพุ่งขึ้นของหุ้นในตลาดสหรัฐขยายวงกว้างออกไปแล้วในปีนี้ก็ตาม โดยผู้จัดการกองทุนในผลสำรวจของแบงก์ ออฟ อเมริกา โกลบัล รีเสิร์ชระบุว่า หุ้นบริษัทขนาดยักษ์กลุ่มนี้ยังคงครองตำแหน่งการลงทุนที่มีการกระจุกตัวมากที่สุดในตลาด ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 เคยพุ่งขึ้นราว 10% จากช่วงต้นปีนี้ ก่อนจะลดช่วงบวกลงครึ่งหนึ่งสู่ 5% ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐยังคงลดลงได้ยาก และปัจจัยนี้ส่งผลให้นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยในตอนนี้นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกันไม่ถึง 0.40% ในปีนี้ หลังจากที่เคยคาดการณ์ในช่วงต้นปี 2024 ว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกัน 1.50% ในปี 2024

  • นักลงทุนจะรอดูดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์ที่ 26 เม.ย.ด้วย ในขณะที่เฟดมักใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ โดยนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์คาดว่า ดัชนี PCE อาจปรับขึ้น 0.3% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับขึ้น 0.3% ในเดือนก.พ. และตัวเลขนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อการประชุมกำหนดนโยบายของเฟดในวันที่ 30 เม.ย.-1 พ.ค.

  • หุ้นกลุ่ม Magnificent 7 ปรับตัวในทิศทางที่แตกต่างกันไปในปี 2024 หลังจากที่เคยพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในปี 2023 โดยหุ้นเทสลาดิ่งลงมาแล้วราว 40% จากช่วงต้นปีนี้ เนื่องจากนักลงทุนกังวลกับธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าของเทสลา แต่หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 40% ในปี 2024, หุ้นแอลฟาเบททะยานขึ้นมาแล้วราว 12% จากช่วงต้นปีนี้ และหุ้นไมโครซอฟท์บวกขึ้นมาแล้ว 7.5% จากช่วงต้นปีนี้ ทางด้านนักยุทธศาสตร์การลงทุนของธนาคารยูบีเอสคาดการณ์ไว้ในวันที่ 8 เม.ย.ว่า บริษัท 6 แห่งในกลุ่ม Magnificent 7 ยกเว้นบริษัทเทสลา อาจจะมีผลกำไรพุ่งขึ้นรวมกัน 42.1% ในไตรมาสแรก ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนระบุว่า ถ้าหากไม่รวมหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 แล้ว ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 ก็ปรับลดลงเมื่อเทียบรายปีในช่วง 4 ไตรมาสที่ผ่านมา ดังนั้นบริษัทกลุ่มนี้จึงมีความสำคัญต่อตลาดหุ้นสหรัฐเป็นอย่างมาก

  • บริษัทกว่า 300 แห่งในดัชนี S&P 500 จะรายงานผลประกอบการในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า โดยมีการคาดการณ์กันว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจพุ่งขึ้น 9% ในปี 2024 ทั้งนี้ ค่าพีอีเรโชล่วงหน้าสำหรับบริษัทในดัชนี S&P 500 ยังคงอยู่ที่ระดับราว 20 เท่าของคาดการณ์ผลกำไรในปัจจุบัน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 15.7 เท่าเป็นอย่างมาก--จบ--

Eikon source text

(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)

((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;

เข้าสู่ระบบหรือสร้างบัญชีฟรีถาวรเพื่ออ่านข่าวนี้