Wyckoff
เปรียบเทียบ ทฤษฎี Wyckoff Accumulation Schematic เปรียบเทียบ ทฤษฎี Wyckoff Accumulation Schematic #1 กับ กราฟ BTC/USDT บน Timeframe 4H
ผมขอวิเคราะห์ให้แบบละเอียดด้านล่างเลยครับ:
🔍 Step-by-Step เทียบกับ Wyckoff Accumulation
✅ Phase A – Stopping the Downtrend
✅ มีการลงแรงอย่างชัดเจนก่อนหน้า (Preliminary Support – PS, Selling Climax – SC)
✅ มีการดีดตัวขึ้นแรงหลังลง (Automatic Rally – AR)
✅ และมีการย่อกลับลงมาอีกครั้งแบบไม่หลุดจุดต่ำสุดเดิม (Secondary Test – ST)
ในกราฟ BTC เห็นชัดเจนว่าช่วงประมาณ 23 มี.ค. – 27 มี.ค. มีรูปแบบนี้เกิดขึ้นครบ
✅ Phase B – Building a Cause
✅ กราฟเริ่มแกว่งตัวในกรอบ Sideways โดยมีความผันผวนสูง
✅ มีหลายครั้งที่ราคาทดสอบแนวรับ-แนวต้านซ้ำ
ช่วงนี้กินเวลาตั้งแต่ ประมาณ 27 มี.ค. – 15 เม.ย. เป็นการสะสมพลังตามหลัก Wyckoff
✅ Phase C – Spring และ Test
✅ มีจังหวะที่ราคาหลุดแนวรับช่วงสั้นๆ แล้วดีดกลับแรง (Spring)
✅ ตามมาด้วยการเทสซ้ำในกรอบเดิม (Test)
ในกราฟดูเหมือนเกิด Spring ประมาณ 18 เม.ย. ซึ่งหลุดกรอบแล้วเด้งกลับทันที (ลักษณะพฤติกรรมของแรงซื้อเข้าทันที)
✅ Phase D – Markup เริ่มต้น
✅ ราคาทะลุกรอบบน (Resistance) แบบมี Volume (Sign of Strength – SOS)
✅ ตามมาด้วยการย่อลงทดสอบ (Last Point of Support – LPS)
ประมาณช่วง 21 เม.ย. – 28 เม.ย. BTC ขึ้นแรง ทะลุแนวต้าน และย่อเบาๆ ก่อนจะเริ่มแกว่งตัวบนกรอบใหม่
❓ Phase E – Trend ใหม่เริ่มต้น
⚠️ ตอนนี้กราฟยังอยู่ในช่วงปลาย Phase D → ยังไม่ยืนยันการเริ่มต้นเทรนด์ใหม่อย่างชัดเจน (Phase E)
ต้องรอราคายืนเหนือแนวต้านได้อย่างมั่นคงและมี Volume สนับสนุนอีกหน่อย
🔮 สรุปภาพรวม
✅ กราฟ BTC/USDT ปัจจุบันตรงกับ Wyckoff Accumulation Schematic ค่อนข้างแม่นยำ
ผ่าน Phase A → C อย่างครบถ้วน
กำลังเข้าสู่ปลาย Phase D
ถ้าราคายืนเหนือแนวต้านได้และมี Breakout → Phase E อาจเกิดขึ้นต่อไป
🎯 แนวทางสำหรับเทรดเดอร์
รอดู LPS หรือ BU/LPS ล่าสุด ว่าจะรับอยู่ไหม
ถ้าราคาเบรก High เดิมใน Phase D (บริเวณ ~88K-90K) = สัญญาณเปิด Long เพิ่ม
Stop Loss ควรอยู่ใต้ LPS (ประมาณ ~80K)
เปรียบเทียบ 2 กรณีจากกราฟ BTC ตอนนี้ ที่ดูเหมือนจะอยู่ในช่วงปลาย Phase D ของ Wyckoff Accumulation ซึ่งกำลังใกล้จุดตัดสินใจ ว่าจะไป Phase E (ขาขึ้น) หรือ Fail (ลงซ้ำ)
📈 กรณีที่ 1: ไปต่อ Phase E – เข้าขาขึ้นเต็มตัว
🔹 สัญญาณที่จะยืนยัน:
ราคายืนเหนือแนวต้านเดิมได้ (เช่น FWB:88K –$90K)
มี Volume สนับสนุนขาขึ้น (SOS)
การย่อตัวหลังจากเบรกเป็นเพียงการทดสอบแนวรับใหม่ (BU/LPS)
🔮 คาดการณ์ล่วงหน้า:
เป้าหมายแรกอาจไปทดสอบ High เดิมช่วง $94K– GETTEX:98K
ถ้าแรงดี อาจเห็นราคาทะลุ $100K ในรอบถัดไป
ลักษณะการเคลื่อนไหวจะ “ขึ้น–พัก–ขึ้น” แบบแข็งแรง
✅ กลยุทธ์:
ซื้อเพิ่มเมื่อราคาเบรกแนวต้านสำเร็จ + ย่อมาเทสต์ไม่หลุดแนวรับใหม่
ใช้ Trailing Stop เพื่อรักษากำไรในขาขึ้น
📉 กรณีที่ 2: Fail ขึ้นจริง – กลับตัวลงซ้ำ (Fail of Accumulation)
🔹 สัญญาณที่จะยืนยัน:
ราคาย่อตัวหลุดแนวรับของ LPS หรือ BU/LPS (~$80K)
เกิดการ “Breakdown” พร้อม Volume ขายหนาแน่น
พฤติกรรมเปลี่ยนจากการสะสมเป็น Distribution
🔮 คาดการณ์ล่วงหน้า:
ราคาจะลงกลับไปทดสอบแนวรับเดิมบริเวณ $76K หรือแม้แต่ต่ำกว่า Spring ที่ ~$72K
อาจเข้าสู่ Wyckoff Distribution หรือ Re-Accumulation ใหม่อีกที
⚠️ กลยุทธ์:
Cut loss หากหลุดแนวรับ LPS
หากหลุดแบบมี Volume หนัก = อาจมีโอกาส Short ระยะสั้น
หลีกเลี่ยงการ Buy-the-dip ถ้าไม่มีพฤติกรรม Spring ใหม่ที่ชัดเจน
📌 สรุปเบื้องต้น (ณ 5เม.ย. 2025)
กรณี ความเป็นไปได้ แนวทาง
Phase E (ขึ้นต่อ) ✅ 60% เฝ้ารอสัญญาณเบรก + เทสต์แนวต้าน
Fail / ลงต่อ ⚠️ 40% เฝ้าแนวรับ ~$80K ถ้าหลุดให้ระวัง
ช่วยกดติดตามด้วยนะ ผมจะมาวิเคราห์กราฟ ด้วยระบบSMC
#smcลึกแต่เข้าใจง่าย #เทรดแบบไม่โดนแดก #oakmastertrader #บันทึกเทรดน้า
หุ้นต้นเทรนด์ HANSOH หุ้นต้นเทรนด์ เบรคกรอบสะสม
HANSOH Listed อยู่ในตลาดฮั่งเส็ง รหัส 3692
ผลประกอบการพลิกฟื้นกลับมา H2 2023 และต่อเนื่อง 2024 H1
PE 23.9
เงินปันผล 0.2 ต่อหุ้น
Free Float 18.07%
Technical Analysis
ฟอร์มกรอบสะสม Accumulation Phase ประมาณ 2 ปี มี Volume Normal Distribution
เบรคกรอบสะสมพร้อม Volume on chart
แนวต้าน 22 HKD ด้านบนมีแนวต้าน Volume น้อย ทำให้มี Upside เปิด จนถึงบริเวณ 30 HKD
MACD Day-Week = Up Trend
MACD Month = Just Up Trend
แนวสะสม Buy on Dip บริเวณ 18 - 20 HKD
แนวควบคุม Position เพื่อ Stop Loss บริเวณ 16 HKD ที่เป็นการทำลายโครงสร้างราคาภาพย่อย
หากหลุดก็รอการดึงกลับค่อยกลับเข้าไปใหม่อีกครั้ง เพียงแต่จะเสีย Momentum ทางขึ้นที่ดีไป
เป็นหุ้นที่ต้องซื้อขั้นต่ำ 2000 หุ้น
วงเงินทุนควรจะมี 3-5 แสนบาทขึ้นไป
ติดตามผลประกอบการต่อเนื่อง เพราะว่าถ้าผลประกอบการออกมาไม่ดี ราคาหุ้นอาจกลับลงไปเข้ากรอบสะสมอีกครั้งได้ เทรดด้วยความระมัดระวังครับ
SPX500 4h Wyckoff (Accumulation)
Preliminary Support (PS)
Selling Climax (SC)
Automatic Rally (AR)
Secondary Test (ST)
Spring or Shakeout
Test
Sign of Strength (SOS)
Last point of Support (LPS)
(Distribution)
Preliminary Supply (PSY)
Buying Climax (BC)
Automatic Reaction (AR)
Secondary Test (ST)
Sign of Weakness (SOW)
Last Point of Supply (LSPY)
Upthrust After Distribution (UTAD)
BITCOIN : Wyckoff, TF DAYAccumulation: Wyckoff Events
PHASE B = In Wyckoff analysis, Phase B serves the function of “building a cause” for a new uptrend
PHASE B = ช่วงนี้ ถูกเรียกว่า “Building a Cause” หรือสร้างเหตุ เพื่อสะสมหุ้นให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดผล ขาขึ้นรอบใหม่อีกครั้ง โดยใน Phase B บรรดาเหล่า นักลงทุนรายใหญ่ จะเข้ามาซื้อสะสมหุ้น และจะใช้เวลานานกว่าจะสะสมได้ครบ
NFA----------
Case Study : WIRECARD -99% และ Wyckoff Logicวันนี้ เห็นข่าว Wirecard ประกาศล้มละลาย ทำให้ราคาร่วงจาก 100 ลงไปเหลือแค่ 1.8 ณ ตอนนี้
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเปล่า ก็เลยลองเปิดกราฟดู เพื่อเรียนรู้ครับ ว่า มันเกิดอะไรขึ้น และ เราจะป้องกันตัวเรา ไม่ให้ตกไปอยู่ในสถานการณ์ที่พอร์ตหดลงไป -99% ได้อย่างไร
พอเปิดกราฟดู ... ได้แต่ตบเข่าดังฉาด! ร้องอุทานว่า .. ไอสั๊ส! มึงก๊อปกราฟ Bitcoin มาทำไมเนี่ย! 555
มันคือ Wyckoff Logic แบบว่า ชัด จนไม่รู้จะชัดยังไงเลยครับ
ถามว่า Wyckoff Logic คืออะไร ถ้าเล่าง่ายๆ สั้นๆ ก็คือ เป็นเหมือนข้อสังเกตุ ที่บอกว่า
ตลาดเนี่ย ปกติ มันจะมี 4 phase ด้วยกัน ก็คือ
1) Accumulation หรือ ช่วงสะสม
2) Mark Up หรือ ช่วง ดันราคา
3) Distribution หรือ ช่วงแจกจ่าย
4) Mark Down หรือ ช่วง ราคาร่วง
โดยระหว่างช่วง Mark Up กับ distribution เราจะได้เห็นช่วง "Buying Climax" กันก่อนทีนึง
และระหว่างช่วง Mark Down กับ new accumulation รอบหน้า เราก็จะได้เห็น "Selling Climax" กันก่อน อีกทีนึงเช่นกัน
โดยกราฟ Wirecard ได้แสดง phase ทั้งหมด อยู่ในกราฟ แบบว่า ชัด จนไม่รู้จะชัดอย่างไร
ซึ่ง... เรา ในฐานะ นักลงทุน ได้อะไรจากบทเรียนแบบนี้?
1) ช่วงที่อันตรายที่สุด คือ ช่วง Buying Climax เพราะมันจะไปเรียกเม่า และมือใหม่ ให้เข้ามาซื้อสินค้าชนิดนี้ กันเต็มไปหมด และทุกคนจะได้กำไรกันอย่างง่ายดาย ง่ายจนแบบว่า คิดว่า ตัวเองเก่ง ตัวเองแน่ อีโก้มาเต็ม กันเลยทีเดียว
โดยมือใหม่ ก็จะเหมือนกันหมดทั่วโลก คือ ซื้อๆ ขายๆ ไล่ราคาไปเรื่อยๆ ขายหมู ซื้อใหม่ ขายหมู เติมเงิน ซื้อใหม่ ขายหมู เติมเงิน ซื้อใหม่ วนไปเรื่อยๆ
และแทบจะร้อยทั้งร้อย ก็จะไปตายกันที่ยอดดอย หลังกราฟชัน 90 องศา...
เพราะจะมือแข็ง ไม่กล้าขายตัดขาดทุนออกมา หลังจากที่ราคาเริ่มกลับตัว เพราะคิดว่า "เดี๋ยวก็คงเด้งกลับไปเหมือนเดิมล่ะน่า.."
2) ช่วง Distribution Phase หรือช่วง sideway หลัง peak ก็อันตราย
เพราะจะเป็นช่วงที่คนที่ได้กำไรมาเยอะๆ ช่วงแรก แล้วไม่ดอย หรือดอยแล้วคัทไปแล้ว แต่ก็พยายามจะเทรดแบบเดิมอยู่ จะคืนกำไรให้ตลาดหมด
เพราะช่วงนี้ กราฟจะสะบัดไปมา ไร้ทิศทาง ซื้อปุ๊บ เอ้า ลงต่อ พอคัท เอ้า ดีด พอซื้อใหม่อีกที เอ้า ลงต่ออีกแล้ว
ถ้าเป็นไปได้ ช่วงนี้ ควรที่จะต้องนั่งกันเฉยๆ ให้เป็น และอย่าไปเทรดในสินค้าชนิดนี้อีก
3) ช่วง Mark Down จะเปิดฉากลงด้วยการหลุด low ของช่วง distribution แล้วก็เปิดฉากขาลง อย่างเป็นทางการ
ในเคสของ wirecard คือ ลิฟท์ขาดกันไปเลย 555
ซึ่งช่วงนี้ ถ้าเทียบกับ BTC ก็คือช่วงหลุด 6000 ลงไป 3000 น่ะแหละ
4) เคสของ wirecard มันรวม selling climax เข้าไปด้วย มีแต่คนขายทิ้ง ไม่มีใครอยากได้สินค้าชนิดนี้อีกต่อไปแล้ว ก็เลยร่วงกันเละเทะ จนทำ new low มากกว่าตอนเปิดตลาด
เคสแบบนี้ วิชาของลุงโฉลก แกบอกว่า ก็ช่างมันไปเลย อย่าไปสนใจมันอีก เพราะหมายถึง มันพังแล้ว ( ปกติ มันไม่ควรจะ new low ไง 55 เพราะเราจะลุ้นเวฟ 1-2 ขึ้น 3 ใหญ่ได้อยู่ ถ้ามันไม่ ทำ new low )
ถ้าสังเกตุดีๆ คุณก็จะเห็นความสัมพันธ์อีกอย่างนึงด้วย คือ
1) ช่วง mark up ราคาขึ้นมาแรงๆ คือช่วงปี 2017 ถึง กลางปี 2018
ช่วงนั้น ไม่ว่า asset ไหนๆ ก็ขึ้นกระจาย ... แสดงว่า ปีนั้น เงินมันล้นโลก?
ปี 2016-2017 ก็เหมือนเป็นยุคทองของ Startup หรือ พวก crowdfunding ทั้งหลายด้วย ... แสดงว่า เงินมันล้นโลกจริงๆ นะ 555
2) ช่วงปี 2018-2020 คือช่วงที่ asset ทุกตัวปรับลงมาตลอด
BTC เองก็เน่ามาตลอดปี 2018 เพิ่งจะมาลืมตาอ้าปากได้ก็กลางปี 2019 แต่ว่า หลังจากนั้น ก็ sideway เน่าๆ ไม่ไปไหน
SET เอง ก็ไป peak ที่ปี 2018 แล้วหลังจากนั้นก็เป็นขาลงมาตลอด 2 ปี
ก็ ลองสังเกตุดู หวังว่า คงจะพอมีประโยชน์กันบ้างนะครับ 55
สรุปสั้นๆ คือ
1) กราฟชัน 90 องศาเมื่อไหร่ + มีแต่คนอยากซื้อ จงอย่าไปเข้าร่วม แต่จงตีตัวออกห่าง และทยอยเก็บกำไร ออกมานั่งข้างสนาม ( Wave 3 กับ 5 )
2) ช่วง sideway หลัง peak เป็นไปได้ก็ควรงดเทรดไปเลย เพื่อรักษากำไร ไม่ให้คืนกลับไปให้ตลาด ( Wave 3-4 หรือ Wave ABC )
3) นั่งรอช่วง accumulation ใหม่ หลัง selling climax จะเป็น โอกาสการเข้าที่สวยมากจุดนึง ( แต่กราฟต้องไม่ทำ new low ) ( Wave 1-2 )
แถม
BEAUTY กราฟเหมือนลอกกันมา
PALLADIUM คงไม่ต้องบอกว่า หลังจากนี้จะเกิดไรขึ้น
SIRI อย่าดูถูกราฟชัน 90 องศา... มันไม่เคยโกหก
การทำ Accumulation ของ SET เมื่ออิงกับ Wyckoff Logicกฏข้อนึงของ Wyckoff คือ กฏแห่ง Cause and Effect
การเกิด Mark Up เป็นผลของการสะสม (Accumulation) และการเกิด Mark Down เป็นผลจากแจงจ่ายของ (Distribution)
จากกฎข้อนี้หากเราพิจารณาจากภาพ Day ของ SET ที่ดีดกลับ 145 จุด เป็น V-Shape จาก 1585 ขึ้นมาถึง 1730 เราไม่เห็นการสะสมหุ้น ใน zone ล่างเลย ดังนั้น การที่ SET ทำกรอบ Sideway 1665-1730 จึงพิจารณาได้ 2 ทางคือ
1. หากจะขึ้นต่อ ต้องสะสม (re-Accumulation) ในกรอบใดกรอบหนึ่ง ก่อนที่จะ Mark Up จริง โดยทะลุ 1730 ไปด้วย Volume มหาศาล
2. หากในกรอบ นี้ เป็น Distibution เมือกระจายของในกรอบเสร็จ ก็จะเป็น Mark Down คือหลุด 1665 ลงมา
ลองติดตามศึกษากันดูครับ จุดสำคัญต่อจากนี้ คือ เมื่อชน 1730 เป็นรอบที่ 3 เราต้องเฝ้ามองดูการถอยแล้วละ หากถอยพร้อม Volume ที่มาก แบบนี้ไม่ดีแน่ แต่ถ้าหากถอย ด้วย Volume บางๆ พองาม แบบนี้ ลุ้น Mark Up รอบใหม่ได้เลย
ติดตาม โค้ชพี่ป๊อบได้ จากช่องทางเหล่านี้ครับ
Facebook : facebook.com
Youtube : youtube.com