INVERTED YIELD CURVE ภาวะถดถอย! ในพันธบัตรสหรัฐอเมริกาสัญญาณเตือนภาวะเศรษฐกิจถดถอย!
Inverted Yield Curve คือ “ภาวะผิดปกติ” เกิดขึ้นเมื่ออัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้นสูงกว่าผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุยาว
Chart ในอดีตได้เกิด Inverted Yield Curve มาแล้วหลายครั้ง จากหลากหลายสาเหตุ แต่แทบทุกครั้งในอดีตหลังเกิด Inverted Yield Curve จะตามมาด้วยภาวะเศรษฐกิจถดถอย สะท้อนให้เห็นได้ด้วยการถดถอยของอัตราผลตอบแทนตามภาพ
แต่ Inverted Yield Curve ในปี 2022-2023 ครั้งนี้ อาจไม่เหมือนกับครั้งที่ผ่านๆ มา เพราะเศรษฐกิจโลกได้ถดถอยงรุนแรงไปแล้วในเหตุการณ์ COVID-19 ทำให้ลงไปสร้างจุดต่ำสุดเกือบถึง 0% และหลังจากนั้น FEDใส่คันเร่งปรับดอกเบี้ย ทำให้อัตราผลตอบแทนปรับขึ้นรวดเร็วและรุนแรง ระดับที่ทำให้ Chart แสดงการจบแนวโน้มของขาลง และได้ผ่านการทำจุดต่ำสุดของอัตราผลตอบแทนไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ภาวะผิดปกติของ Invertd Yield Curve ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเกิดการถดถอย แต่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหลังจากนี้ อาจไม่รุนแรงถึงระดับการเกิดจุดต่ำสุดใหม่ได้(New Low) และอาจจะเป็นเพียงแค่การพักเพิ่มสร้างแนวโน้มใหม่ในอนาคตแทน
**ยกเว้นเกิดปัจจัยลบใหม่ที่ใหญ่และรุนแรงกับเศรฐกิจโลกขึ้นอีกครั้ง
มนุษย์กราฟ | Humangraphy
Trend
พยากรณ์กราฟราคาพยากรณ์อากาศไม่ได้หมายความว่าจะเกิดขึ้นแน่นอน 100%
ความหมายของ พยากรณ์ คือ?
ทาย, ทำนาย หรือการคาดการณ์โดยอาศัยหลักวิชาการ
แล้วพยากรณ์เพื่ออะไร?
ก็เพื่อที่จะได้เตรียมความพร้อม เช่น ข่าวการพยากรณ์อากาศบอกว่า ...พรุ่งนี้ฝนมีโอกาสตก เมื่อข่าวออกมาแบบนี้จำเป็นจำต้องกางร่มกันฝนตั้งแต่ตอนนี้ไหม? ก็ไม่ต้องใช่หรือไม่? แต่สิ่งที่ทำคือเตรียมร่มกันฝนไว้เมื่อถึงเวลาค่อยใช้ แต่ถ้าหากถึงวันพรุ่งนี้แล้วฝนไม่ตกล่ะ จำเป็นต้องกางร่มกันฝนไหม? ก็ไม่ต้องใช่หรือไม่?
จับใจความดูดี ๆ แล้วพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
...พยากรณ์เพื่อคาดการณ์อนาคต แต่กระทำตามปัจจุบัน
พยากรณ์อากาศคาดว่าฝนจะตกในวันพรุ่งนี้ ซึ่งไม่หมายความว่าฝนจะตกแน่ ๆ 100%
ดังนั้นก็เตรียมร่มกันฝนไว้ // ถ้าฝนตก ก็กางร่มกันฝน // ถ้าฝนไม่ตก ก็ไม่ต้องใช้ร่มกันฝน
นี่แหละคือจุดที่ Trader มักจะพลาดกัน คือ เอาตัวเองไปผูกติดกับการคาดการณ์อนาคตแล้วกระทำตามนั้น
วิเคราะห์กราฟเราเห็นว่ามันมีโอกาสขึ้นไปถึงเท่านั้นเท่านี้ แต่ปัจจุบันแนวโน้มยังเป็นขาลง ดังนั้นก็ต้องกระทำตามปัจจุบัน (เทรดสวนแนวโน้ม = เจ๊ง)
แนวโน้ม (Trend)แนวโน้ม (Trend) คือ ทิศทางการเคลื่อนที่ของราคา ซึ่งจะมีอยู่ 3 แนวโน้ม
1.)แนวโน้มขาขึ้น (Up Trend)
คือ ทิศทางของราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นและสร้างฐานราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ
หรือจะพูดง่าย ๆ ก็คือการที่ราคาทำจุดสูงสุดที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน
- Low ใหม่จะสูงกว่า Low ก่อนหน้า
- High ใหม่จะสูงกว่า High ก่อนหน้า
## -- ## -- ## -- ## -- ## -- ##
2.)แนวโน้มขาลง (Down Trend)
คือ ทิศทางของราคาที่ปรับตัวต่ำลงเรื่อย ๆ
หรือจะพูดง่าย ๆ ก็คือการที่ราคาทำจุดต่ำสุดที่ต่ำลงเรื่อย ๆ พร้อมกับทำจุดสูงสุดที่ต่ำลงเรื่อย ๆ เช่นกัน
- Low ใหม่จะต่ำกว่า Low ก่อนหน้า
- High ใหม่จะต่ำกว่า High ก่อนหน้า
## -- ## -- ## -- ## -- ## -- ##
3.)แนวโน้มด้านข้าง (Sideway Trend)
คือ ทิศทางของราคาไม่มีทิศทางที่แน่นอน จะลงก็ไม่ลง จะขึ้นก็ไม่ขึ้น
หรือจะพูดง่าย ๆ ก็คือเคลื่อนที่ออกด้านข้าง
- Low ใหม่จะต่ำกว่าและสูงกว่า Low ก่อนหน้าก็ได้ สลับกันไปมาโดยเคลื่อนที่ออกด้านข้าง
- High ใหม่จะต่ำกว่าและสูงกว่า High ก่อนหน้าก็ได้ สลับกันไปมาโดยเคลื่อนที่ออกด้านข้าง
// OhManLan // // OhManLan // // OhManLan //
☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ OhManLan ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆