มุมมองวันนี้ทองคำอาจมีการรีบราวขึ้นมาทำราคา แกว่งในกรอบกว้างจากตัวเลขคาดการฌ์ ข่าวช่วง 19.30 น. ตัวเลขคาดการณออกมาแย่กว่าคาด ส่งผลดีต่อทองคำ กดดัน ดอลล่า อย่างไรก็ตามวันนี้ มีข่าวตัวเลขเศรฐกิจของ AUD,EUR,,u-jk; ฆยำฟาห ของทั้ง ECB,BOE ในวันนี้ด้วย ฉะนั่นกรอบราคาวันนี้ช่วงเช้าห้น้ำหนักไปทางฝั่ง Sell บ่ายก่อนถึงค่ำอาจมีการรีบราวทำราคาแล้วลงต่อก่อนเพื่อมารับข่าวค่ำ ฝั่งบาย กรอบราคา 1926-1968 กรอบราคาให้เป้นเพียงตัวตัดสิ้นใจ อย่างไรก็ตามต้องรอให้ ข่าวComfirm 19.30 น. อีกครั้ง วันนี้ให้ จับตาดุกลุ่ม ธฯบัตรสหรัฐ U30/U10 เพื่อประกอบการตัดสิ้นใจให้การเข้า Buy ทองคำเพื่อทำกำไร อีกครั้ง และห้ดุ volume ตลาด อย่าสวนถ้าจะสวน SL จุดยอมต้องมีและบริหารทุนกันด้วยนะคะ
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
มุมมองส่วนตัวทองคำยังไม่หลุดเทรนขาขึ้น ต้องรอตัวแปร ข่าวCPI จากคาดการณ์ข่าว วันนี้ Core CPI 19:30 น. ตัวเลข าดการ์ ออกมาแย่กว่าครั้งที่แล้ว ส่งผล #กดดันดอลล่า #หนุนทองคำ วันน้ ส่วนตัวคิดว่า ราคาทองคำอาจจะ ปรับตัว ลงก่อนข่าว cpi คืนนี้ รับสำคัญ 1949 ต้าน 1982 อย่างไรก็ตามให้ข่าว Confirm อีกครั้ง ระวังข่าวนอกตาราง แลัอย่าลืมSL /MM นะคะ
แนวทางสู่ภาวะถดถอย - มันคืออะไร?ภาวะถดถอยเป็นคำที่น่ากลัวสำหรับประเทศใด ๆ ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นเมื่อเศรษฐกิจหดตัว ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย แม้แต่ธุรกิจต่างๆ ก็ปิดประตู แม้แต่บุคคลก็สามารถเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยตาของเขาเอง:
1. คนตกงาน
2. การลงทุนสูญเสียมูลค่า
3. ธุรกิจขาดทุน
หมายเหตุ: ภาวะถดถอยเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรเศรษฐกิจ
หากคุณยังไม่ได้อ่านบทความนั้น คุณสามารถตรวจสอบแนวคิดที่เกี่ยวข้อง:
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยคืออะไร
การลดลงติดต่อกันสองไตรมาสของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศถือเป็นภาวะถดถอย ภาวะเศรษฐกิจถดถอยตามมาด้วยช่วงพีค แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะกินเวลาเพียงไม่กี่เดือน แต่เศรษฐกิจจะไม่ถึงจุดสูงสุดหลังจากสิ้นสุดการให้บริการไปหลายปี
ผลกระทบต่ออุปสงค์และอุปทาน - ความต้องการสินค้าลดลงเนื่องจากราคาแพง อุปทานจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และในทางกลับกันอุปสงค์จะเริ่มลดลง นั่นทำให้เกิด "อุปทานส่วนเกิน" และจะนำไปสู่การลดลงของราคา
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยมักเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ แต่อาจสร้างความเจ็บปวดได้ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทุกครั้งมีสาเหตุที่แตกต่างกัน แต่มีเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ภาวะซึมเศร้าคืออะไร - ภาวะถดถอยลึกซึ่งคงอยู่เป็นเวลานานนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าในที่สุด
ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย อัตราเงินเฟ้อจะลดลง
จะหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้อย่างไร?
1. นโยบายการเงิน
- ปรับลดอัตราดอกเบี้ย
- ผ่อนคลายเชิงปริมาณ
- เงินเฮลิคอปเตอร์
2: นโยบายการคลัง
- ลดภาษี
- การใช้จ่ายภาครัฐที่สูงขึ้น
3: เป้าหมายเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
4: ความมั่นคงทางการเงิน
ว่างงาน :
เราทราบดีว่าบริษัทต่างๆ มีการขยายตัวที่ดี แต่มีคำกล่าวที่ว่า "สิ่งใดมากเกินไปก็ไม่มีประโยชน์"
ในช่วงพีค
บริษัทไม่สามารถหารายได้ส่วนเพิ่มถัดไปได้
บริษัทต่าง ๆ กำลังรับความเสี่ยงและหนี้สินมากขึ้นเพื่อรีเซ็ตการเติบโต
ไม่เพียงแต่บริษัทเท่านั้น แต่นักลงทุนและลูกหนี้ก็ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเช่นกัน
ทำไมการเลิกจ้างจึงเกิดขึ้น
หลังจากช่วงพีค บริษัทต่างๆ จะไม่สามารถหารายได้ส่วนเพิ่มถัดไปได้ ตอนนี้ธุรกิจไม่มีกำไรแล้ว Cบริษัทเริ่มลดต้นทุนเพื่อเข้าสู่ระบบที่ทำกำไรได้ ตัวอย่างเช่น - แรงงาน
ปัจจุบันบริษัทต่าง ๆ กำลังทำงานโดยมีพนักงานน้อยลง พนักงานน้อยลงต้องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น มิฉะนั้นพวกเขาอาจถูกเลิกจ้างโดยบริษัทเช่นกัน คุณสามารถจินตนาการถึงภาระงานและความกดดัน
คุณอาจโต้แย้งว่าพวกเขาควรออกจากบริษัท! จริงหรือ พวกเราเพิ่งพูดถึงอัตราการจ้างงานที่ลดลง คุณจะได้งานอย่างไรเมื่อไม่มีงานทำ? ตอนนี้คุณเข้าใจแล้ว!
สมมติว่าผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจถดถอยต่อคนทั่วไป:
-*-เงื่อนไขที่ 1: เขาอาจถูกเลิกจ้าง
-*- เงื่อนไขที่ 2: บางทีเขาอาจถูกบังคับให้ทำงานนานขึ้น บริษัทไม่สามารถรักษาแนวโน้มเชิงบวกได้ พนักงานจำนวนน้อยลงกำลังทำงานมากขึ้นเนื่องจากการเลิกจ้างจำนวนมาก ค่าจ้างของเขาลดลงและเขาไม่มีรายได้ที่ใช้แล้วทิ้ง
ส่งผลให้อัตราการบริโภคลดลงส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อลดลง การชะลอตัวของเศรษฐกิจเกิดจากราคาที่ลดลงซึ่งทำให้กำไรลดลงส่งผลให้มีการลดงานมากขึ้น
สี่สาเหตุของภาวะถดถอย:
1. ภาวะช็อกทางเศรษฐกิจ
2. การสูญเสียผู้บริโภค
3. อัตราดอกเบี้ยสูง
4. ตลาดหุ้นตกกะทันหัน
1) Economic shocks - เมื่อเกิดภาวะช็อกจากภายนอกหรือเศรษฐกิจที่ประเทศเผชิญ ตัวอย่างเช่น โควิด-19,
2) ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค - การรับรู้เชิงลบเกี่ยวกับเศรษฐกิจและบริษัทจากผู้บริโภคที่ไม่มั่นใจในอำนาจการใช้จ่าย แทนที่จะใช้จ่ายพวกเขาจะเลือกประหยัดเงิน เนื่องจากไม่มีการใช้จ่ายจึงไม่มีความต้องการสินค้าและบริการ การขาดการใช้จ่ายส่งผลให้ความต้องการซื้อสินค้าและบริการลดลง
3) อัตราดอกเบี้ยสูง - อัตราดอกเบี้ยสูงจะลดการใช้จ่าย เงินกู้มีราคาแพง น้อยคนนักที่จะปล่อยกู้ การใช้จ่ายของผู้บริโภค ยอดขายรถยนต์ และตลาดที่อยู่อาศัยจะได้รับผลกระทบ จะไม่มีความต้องการที่ดีหากไม่มีการให้ยืม จะมีการผลิตลดลง
4) ตลาดหุ้นพังกระทันหัน - หลีกเลี่ยงความไว้วางใจของผู้คนในตลาดหุ้น เป็นผลให้พวกเขาจำเงินได้และอารมณ์ทำให้พวกเขาคลั่งไคล้ นอกจากนี้ยังถือเป็นปัจจัยทางจิตวิทยา ส่งผลให้ผู้คนไม่ใช้เงินและจีดีพีจะลดลง
การใช้จ่ายของผู้บริโภค:
ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย ผู้บริโภคไม่มีรายได้เพิ่มเติมที่เรียกว่ารายได้ที่ใช้แล้วทิ้ง
ส่วนของการใช้จ่ายของผู้บริโภค
-- สินค้าคงทน - มีอายุการใช้งานมากกว่าหนึ่งปี
-- สินค้าไม่คงทน - มีอายุการใช้งานน้อยกว่าหนึ่งปี
-- บริการ - บัญชี กฎหมาย บริการนวด ฯลฯ
นักท่องสินค้าคงทนในช่วงเศรษฐกิจถดถอย สินค้าไม่คงทนสามารถพิสูจน์ภาวะถดถอยได้เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานในแต่ละวันไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะถดถอย
ลองยกตัวอย่างหุ้นสองตัว
ABC Food เทียบกับ ABC car
แต่คุณจะหยุดซื้ออาหารเพราะภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่? คุณจะลดการบริโภคยาสีฟัน ขนมปัง และนมหรือไม่?
คำตอบคือ "ไม่"
ผู้บริโภคซื้ออาหารในปริมาณเท่าๆ กันในช่วงเวลาที่ดีหรือไม่ดี ในทางกลับกัน ผู้บริโภคจะแลกหรือแลกซื้อรถก็ต่อเมื่อพวกเขาไม่ได้ทำงานเท่านั้น แต่ยังมองในแง่ดีเกี่ยวกับความปลอดภัยของงานและมั่นใจว่าจะได้รับโปรโมชั่น หรืองานที่ได้รับค่าตอบแทนสูงกับนายจ้างรายอื่น และรายได้ที่ใช้แล้วทิ้งของผู้คนจะถูกดูดซับในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย
การใช้จ่ายของผู้บริโภคคือจุดสำคัญในการแทนที่ภาวะถดถอย
การขายรถยนต์:
อย่างที่เราคุยกัน มีคนไม่กี่คนที่ซื้อรถในช่วงเศรษฐกิจถดถอย ยอดขายรถใหม่นับเป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจ คุณอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับสินเชื่อ 0% บริษัทอำนวยความสะดวกสินเชื่อ 0% เพื่อเพิ่มยอดขายรถยนต์ คนส่วนใหญ่ซ่อมรถหรือซื้อรถเก่าในช่วงเศรษฐกิจถดถอย
คุณอาจเห็นการเติบโตของตลาดรถมือสองและยอดขายของบริษัทขายอะไหล่
ยอดขายบ้าน/ตลาดที่อยู่อาศัย:
ฉันมีคำถามตอนนี้!
สินทรัพย์ใดที่ใหญ่ที่สุดของคุณ? พวกคุณส่วนใหญ่จะพูดว่า my home!
ยอดขายบ้านใหม่เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ราคาบ้านยังส่งผลต่อความรู้สึกของผู้บริโภคที่มั่งคั่งอีกด้วย ราคาบ้านยิ่งสูง ยิ่งรวย และในทางกลับกัน เมื่อราคาบ้านสูงขึ้น ผู้บริโภครู้สึกว่าตนมีฐานะร่ำรวยและเต็มใจที่จะใช้จ่าย แต่เมื่อราคาบ้านลดลง การใช้จ่าย/การบริโภคก็ลดลง
หากราคาสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของคุณลดลง คุณไม่ใช้จ่ายและเศรษฐกิจต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัว อัตราที่สูงขึ้นจะหยุดการเพิ่มราคาบ้านเพราะต้องจ่าย EMI มากขึ้น ธนาคารกลางลดอัตราในช่วงเศรษฐกิจถดถอย และอัตราตลาดที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นเนื่องจากเงินกู้/อีเอ็มไอมีราคาถูก
อัตราดอกเบี้ย:
โดยทั่วไป อัตราดอกเบี้ยจะลดลงในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย ธนาคารกลางปรับลดอัตราดอกเบี้ย เป็นเหตุให้เงินกู้มีราคาถูก
ประโยชน์ของการลดอัตราดอกเบี้ย -
- - เพิ่มขึ้นในตลาดที่อยู่อาศัย
- - เพิ่มยอดขายสินค้าคงทน
- - เพิ่มการลงทุนทางธุรกิจ
- - พันธบัตรและอัตราดอกเบี้ยมีความสัมพันธ์แบบผกผัน ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำมีแนวโน้มที่จะทำให้นักลงทุนสนใจพันธบัตรมากกว่าหุ้น ซึ่งสามารถดำเนินการได้ดีในภาวะเศรษฐกิจถดถอย
- - ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย อัตราดอกเบี้ยถูกลงและธนาคารกำหนดเกณฑ์ในการขอสินเชื่อให้สูงขึ้น เพื่อให้ผู้คนสามารถเผชิญกับนามธรรมในขณะที่ให้กู้ยืมเงิน
ตลาดหุ้น:
ฉันต้องการชี้แจงว่าตลาดหุ้นไม่ใช่เศรษฐกิจ วัฏจักรเศรษฐกิจล้าหลังกว่าวัฏจักรตลาดและวัฏจักรความรู้สึก มันทำให้ฉันสบายใจในฐานะนักวิเคราะห์ทางเทคนิคและช่วงเวลาที่เศร้าใจในฐานะคนรักเศรษฐศาสตร์ บางครั้งก็อยู่ข้างหน้าและบางครั้งก็อยู่ข้างหลัง ภาวะถดถอย = ตลาดหมี
อุตสาหกรรมที่พิสูจน์ภาวะถดถอย:
* ลวดเย็บกระดาษของผู้บริโภค
* ความสุขที่มีความผิด
* ยูทิลิตี้
* ดูแลสุขภาพ
* เทคโนโลยีสารสนเทศ
* การศึกษา
ฉันจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ในอนาคต แต่สำหรับในตอนนี้ เราจะกลับไปที่ การวิเคราะห์ทางเทคนิค
จอกศักดิ์สิทธิ์ของนักลงทุน - วงจรธุรกิจ/เศรษฐกิจวัฏจักรธุรกิจอธิบายว่าเศรษฐกิจขยายตัวและหดตัวอย่างไรเมื่อเวลาผ่านไป เป็นการเคลื่อนไหวขึ้นและลงของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศพร้อมกับอัตราการเติบโตในระยะยาว
วงจรธุรกิจประกอบด้วย 6 ระยะ/ระยะ:
1. การขยายตัว
2. จุดสูงสุด
3. ภาวะถดถอย
4. ภาวะซึมเศร้า
5. รางน้ำ
6. การกู้คืน
1) การขยายตัว:
ภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบ: เทคโนโลยี ดุลยพินิจของผู้บริโภค
การขยายตัวเป็นขั้นตอนแรกของวงจรธุรกิจ เศรษฐกิจเคลื่อนตัวขึ้นอย่างช้าๆ และวัฏจักรเริ่มต้นขึ้น
รัฐบาลเสริมสร้างเศรษฐกิจ:
> ลดภาษี
> เพิ่มการใช้จ่าย
- เมื่อการเติบโตช้าลง ธนาคารกลางจะลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นให้ธุรกิจกู้ยืม
- ในขณะที่เศรษฐกิจขยายตัว ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะแสดงสัญญาณเชิงบวก เช่น การจ้างงาน รายได้ ค่าจ้าง ผลกำไร อุปสงค์และอุปทาน
- การจ้างงานที่เพิ่มขึ้นเพิ่มความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เพิ่มกิจกรรมในตลาดที่อยู่อาศัย และการเติบโตกลายเป็นบวก อุปสงค์ในระดับสูงและอุปทานไม่เพียงพอทำให้ราคาการผลิตเพิ่มขึ้น นักลงทุนใช้เงินกู้ในอัตราสูงเพื่อเติมเต็มแรงกดดันด้านอุปสงค์ กระบวนการนี้ดำเนินต่อไปจนกว่าเศรษฐกิจจะเอื้ออำนวยต่อการขยายตัว
2) จุดสูงสุด:
ภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบ: การเงิน พลังงาน วัสดุ
- ขั้นตอนที่สองของวัฏจักรธุรกิจคือจุดสูงสุดซึ่งแสดงถึงการเติบโตสูงสุดของเศรษฐกิจ การระบุจุดสิ้นสุดของส่วนขยายเป็นงานที่ซับซ้อนที่สุด เพราะสามารถอยู่ได้นานหลายปี
- ระยะนี้แสดงการลดลงของอัตราการว่างงาน ตลาดยังคงมีมุมมองเชิงบวก ในระหว่างการขยายตัว ธนาคารกลางจะมองหาสัญญาณของการสร้างแรงกดดันด้านราคา และอัตราที่เพิ่มขึ้นสามารถนำไปสู่จุดสูงสุดนี้ได้ ธนาคารกลางยังพยายามปกป้องเศรษฐกิจจากอัตราเงินเฟ้อในระยะนี้
- เนื่องจากอัตราการจ้างงาน รายได้ ค่าจ้าง ผลกำไร อุปสงค์และอุปทานสูงอยู่แล้ว จึงไม่มีการเพิ่มขึ้นอีก
- นักลงทุนจะผลิตมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อเติมเต็มแรงกดดันด้านอุปสงค์ ดังนั้นการลงทุนและสินค้าจะมีราคาแพง ณ เวลานี้ นักลงทุนจะไม่ได้รับผลตอบแทนเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ ราคาจะสูงขึ้นสำหรับผู้ซื้อที่จะซื้อ จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย เศรษฐกิจจะกลับตัวจากระยะนี้
3) ภาวะถดถอย:
ภาคส่วนได้รับผลกระทบ: สาธารณูปโภค สุขภาพ อุปโภคบริโภค
- การลดลงติดต่อกันสองไตรมาสของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศถือเป็นภาวะถดถอย
- ภาวะเศรษฐกิจถดถอยตามมาด้วยช่วงพีค ในระยะนี้เครื่องบ่งชี้เศรษฐกิจเริ่มถดถอย ความต้องการสินค้าลดลงเนื่องจากราคาแพง อุปทานจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และในทางกลับกันอุปสงค์จะเริ่มลดลง นั่นทำให้เกิด "อุปทานส่วนเกิน" และจะนำไปสู่การลดลงของราคา
4) ภาวะซึมเศร้า:
- ในช่วงขาลงที่ยืดเยื้อมากขึ้น เศรษฐกิจจะเข้าสู่ระยะตกต่ำ ระยะเวลาของอาการป่วยไข้เรียกว่าภาวะซึมเศร้า ภาวะซึมเศร้าไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่เมื่อเกิดขึ้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมากที่สามารถยกระดับผู้บริโภคและธุรกิจให้พ้นจากภาวะตกต่ำได้ เมื่อเศรษฐกิจถดถอยและลดลงต่ำกว่าการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ระยะนี้เรียกว่าภาวะซึมเศร้า
- ผู้บริโภคไม่กู้ยืมหรือใช้จ่ายเพราะมองเศรษฐกิจในแง่ร้าย เมื่อธนาคารกลางลดอัตราดอกเบี้ย เงินกู้มีราคาถูก แต่ธุรกิจไม่สามารถใช้ประโยชน์จากเงินกู้ได้ เนื่องจากพวกเขามองไม่เห็นภาพที่ชัดเจนว่าความต้องการจะเริ่มฟื้นตัวเมื่อใด ความต้องการสินเชื่อจะน้อยลง ธุรกิจจบลงด้วยการนั่งอยู่บนสินค้าคงเหลือและการผลิตกลับคืนซึ่งพวกเขาผลิตไปแล้ว
- บริษัทต่างๆ เลิกจ้างพนักงานมากขึ้นเรื่อยๆ และอัตราการว่างงานก็พุ่งสูงขึ้นและความเชื่อมั่นก็ลดลง
5) ราง:
- เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจติดลบ แนวโน้มก็จะดูสิ้นหวัง อุปสงค์และอุปทานของสินค้าและบริการที่ลดลงต่อไปจะทำให้ราคาตกลงมากขึ้น
- มันแสดงให้เห็นสถานการณ์เชิงลบสูงสุดเมื่อเศรษฐกิจมาถึงจุดต่ำสุด ตัวบ่งชี้ทางเศรษฐกิจทั้งหมดจะแย่ลง อดีต. อัตราการว่างงานสูงสุด และความต้องการสินค้าและบริการต่ำที่สุด (ต่ำสุด) เป็นต้น หลังจากเสร็จสิ้น ช่วงเวลาที่ดีจะเริ่มต้นด้วยระยะฟื้นตัว
6) การกู้คืน:
ภาคที่ได้รับผลกระทบ: อุตสาหกรรม วัสดุ อสังหาริมทรัพย์
- เนื่องจากราคาที่ต่ำ เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากอัตราการเติบโตที่ติดลบ และอุปสงค์และการผลิตก็เริ่มเพิ่มขึ้น
- บริษัทหยุดปลดพนักงานและเริ่มค้นหาเพื่อตอบสนองความต้องการในระดับปัจจุบัน เป็นผลให้พวกเขาถูกบังคับให้จ้าง เมื่อหลายเดือนผ่านไปเศรษฐกิจก็ขยายตัวอีกครั้ง
- วัฏจักรธุรกิจมีความสำคัญเนื่องจากนักลงทุนพยายามมุ่งความสนใจไปที่การลงทุนที่คาดว่าจะไปได้ดีในช่วงเวลาหนึ่งของวัฏจักร
- รัฐบาลและธนาคารกลางดำเนินการเพื่อสร้างเศรษฐกิจที่ดี รัฐบาลจะเพิ่มรายจ่ายและดำเนินการเพื่อเพิ่มการผลิต
หลังจากระยะฟื้นตัว เศรษฐกิจก็เข้าสู่ช่วงขยายตัวอีกครั้ง
สวรรค์ที่ปลอดภัย/หุ้นตั้งรับ - รักษาหรือคาดการณ์มูลค่าในช่วงวิกฤต จากนั้นจึงทำได้ดี เรายังสามารถคาดหวังผลตอบแทนที่ดีในประเภทสินทรัพย์เหล่านี้ อดีต. สาธารณูปโภค การดูแลสุขภาพ วัตถุดิบหลักของผู้บริโภค ฯลฯ ("เราจะหารือเพิ่มเติมในบทความที่กำลังจะมาถึงของเราเนื่องจากความยาวของบทความ")
อัลกอริทึมเทียบกับการซื้อขายด้วยตนเอง - กลยุทธ์ใดที่ครองอำนาจสูงบทนำ:
ในโลกที่ไม่หยุดนิ่งของตลาดการเงิน กลยุทธ์การซื้อขายได้พัฒนาไปอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการเพิ่มขึ้นของปัญญาประดิษฐ์ (AI) การเทรดด้วยอัลกอริธึมหรือที่เรียกว่าการเทรดแบบ algo จึงได้รับความนิยมอย่างมาก Algo Trading ใช้อัลกอริธึมที่ซับซ้อนและระบบอัตโนมัติเพื่อดำเนินการซื้อขายอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ มอบข้อได้เปรียบมากมายเหนือแนวทางการซื้อขายด้วยตนเองแบบดั้งเดิม
ในบทความนี้ เราจะสำรวจข้อดีและข้อเสียของการเทรดแบบ algo เมื่อเทียบกับการเทรดด้วยตนเอง โดยให้ภาพรวมที่ครอบคลุมของทั้งสองแนวทาง เราจะเจาะลึกความเร็ว ประสิทธิภาพ การตัดสินใจที่ปราศจากอารมณ์ ความสม่ำเสมอ ความสามารถในการปรับขนาด ความแม่นยำ ความสามารถในการทดสอบย้อนกลับ การจัดการความเสี่ยง และการกระจายความเสี่ยงที่เสนอโดย algo trading นอกจากนี้ เราจะหารือเกี่ยวกับความยืดหยุ่น ความสามารถในการปรับตัว สัญชาตญาณ ประสบการณ์ ความฉลาดทางอารมณ์ และความคิดสร้างสรรค์ที่การซื้อขายด้วยตนเองนำมาสู่ตาราง
ข้อดีของการซื้อขาย Algo:
ความเร็วและประสิทธิภาพ:
ข้อได้เปรียบหลักประการหนึ่งของการซื้อขายแบบอัลโกคือความเร็วและประสิทธิภาพที่น่าทึ่ง ด้วยอัลกอริทึมที่ดำเนินการซื้อขายในหน่วยมิลลิวินาที การซื้อขายแบบอัลโกจะขจัดความล่าช้าที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายด้วยตนเอง ข้อได้เปรียบด้านความเร็วนี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสทางการตลาดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและจับความแตกต่างของราคาที่อาจพลาดไป ด้วยการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็ว การเทรดแบบ algo ช่วยให้มั่นใจได้ว่านักเทรดสามารถเข้าและออกจากตำแหน่งในราคาที่เหมาะสมที่สุด
การตัดสินใจโดยปราศจากอารมณ์: มนุษย์มีแนวโน้มที่จะมีอคติทางอารมณ์ ซึ่งอาจทำให้วิจารณญาณขุ่นมัวและนำไปสู่การตัดสินใจลงทุนอย่างไม่มีเหตุผล Algo Trading ขจัดอคติทางอารมณ์เหล่านี้โดยอาศัยกฎและอัลกอริทึมที่ตั้งโปรแกรมไว้ล่วงหน้า อัลกอริทึมทำการตัดสินใจตามพารามิเตอร์เชิงตรรกะ การวิเคราะห์วัตถุประสงค์ และข้อมูลในอดีต โดยขจัดอิทธิพลของความกลัว ความโลภ หรืออารมณ์อื่นๆ ของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ การเทรดแบบ algo ช่วยให้มีระเบียบวินัยและตัดสินใจได้อย่างมีจุดมุ่งหมายมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์การเทรดที่ดีขึ้นในที่สุด
ความสม่ำเสมอ: ความสม่ำเสมอเป็นปัจจัยสำคัญในความสำเร็จในการซื้อขาย การเทรดแบบ Algo ให้ข้อได้เปรียบในการรักษาแนวทางการเทรดที่สม่ำเสมอเมื่อเวลาผ่านไป อัลกอริทึมเป็นไปตามชุดของกฎที่กำหนดไว้ล่วงหน้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าการซื้อขายจะดำเนินการในลักษณะที่เป็นมาตรฐาน ความสม่ำเสมอนี้ช่วยให้เทรดเดอร์หลีกเลี่ยงการตัดสินใจที่หุนหันพลันแล่นหรือการเบี่ยงเบนจากกลยุทธ์การเทรดเดิม ซึ่งนำไปสู่แนวทางการลงทุนที่มีระเบียบวินัยมากขึ้น
ความสามารถในการปรับขนาดที่เพิ่มขึ้น: การซื้อขายด้วยตนเองแบบดั้งเดิมมีข้อจำกัดเมื่อพูดถึงความสามารถในการปรับขนาด เมื่อปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น มันจึงกลายเป็นเรื่องท้าทายสำหรับผู้ค้าในการดำเนินการตามคำสั่งอย่างมีประสิทธิภาพ การซื้อขาย Algo เอาชนะอุปสรรคนี้ด้วยการทำให้กระบวนการทั้งหมดเป็นไปโดยอัตโนมัติ อัลกอริทึมสามารถจัดการการซื้อขายปริมาณมากในหลายตลาดได้พร้อมกัน ทำให้มั่นใจได้ถึงความสามารถในการปรับขนาดโดยไม่สูญเสียความเร็วหรือความแม่นยำในการดำเนินการ ความสามารถในการปรับขนาดนี้ช่วยให้ผู้ค้าสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสทางการตลาดที่หลากหลายโดยไม่มีข้อจำกัดในการดำเนินงาน
ความแม่นยำที่เพิ่มขึ้น: การซื้อขายของ Algo ใช้ประโยชน์จากพลังของเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการซื้อขาย อัลกอริทึมสามารถวิเคราะห์ข้อมูลตลาดจำนวนมหาศาล ระบุรูปแบบ และดำเนินการซื้อขายตามพารามิเตอร์ที่แม่นยำ ด้วยการขจัดข้อผิดพลาดของมนุษย์และความเป็นส่วนตัว การซื้อขายแบบ algo จะเพิ่มความแม่นยำของการดำเนินการซื้อขาย ความแม่นยำที่ได้รับการปรับปรุงนี้สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์การซื้อขายที่ดีขึ้น เพิ่มผลกำไรสูงสุดและลดการขาดทุนให้น้อยที่สุด
ความสามารถในการทดสอบย้อนหลังและการเพิ่มประสิทธิภาพ: ข้อได้เปรียบที่สำคัญอีกประการหนึ่งของการซื้อขายแบบอัลโกคือความสามารถในการทดสอบกลยุทธ์การซื้อขายย้อนหลัง อัลกอริทึมสามารถวิเคราะห์ข้อมูลตลาดในอดีตเพื่อจำลองสถานการณ์การซื้อขายและประเมินประสิทธิภาพของกลยุทธ์ต่างๆ กระบวนการ backtesting นี้ช่วยให้เทรดเดอร์ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมโดยการระบุรูปแบบหรือตัวแปรที่สร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ด้วยการปรับกลยุทธ์อย่างละเอียดก่อนที่จะนำไปใช้ในตลาดสด นักเทรด algo สามารถเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จได้
การจัดการความเสี่ยงอัตโนมัติ: การจัดการความเสี่ยงอัตโนมัติ: การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญของการเทรด Algo Trading นำเสนอความสามารถในการจัดการความเสี่ยงแบบอัตโนมัติที่สามารถสร้างขึ้นในอัลกอริทึม ผู้ค้าสามารถตั้งโปรแกรมพารามิเตอร์ความเสี่ยงเฉพาะ เช่น คำสั่งหยุดการขาดทุนหรือกฎการกำหนดขนาดตำแหน่ง เพื่อให้แน่ใจว่าการขาดทุนถูกจำกัดและตำแหน่งได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม ด้วยการจัดการความเสี่ยงโดยอัตโนมัติ การซื้อขายแบบ algo ช่วยลดการพึ่งพาการตรวจสอบด้วยตนเองและช่วยป้องกันการชะลอตัวของตลาดที่อาจเกิดขึ้น
การกระจายการลงทุน: การกระจายการลงทุน: การซื้อขาย Algo ช่วยให้ผู้ค้าสามารถกระจายพอร์ตการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยอัลกอริธึมที่สามารถดำเนินการซื้อขายได้พร้อมกันในหลายตลาด ประเภทสินทรัพย์ หรือกลยุทธ์ ผู้ค้าสามารถกระจายการลงทุนและลดความเสี่ยงโดยรวม การกระจายความเสี่ยงช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดแต่ละแห่งและสามารถเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาวได้
การกำจัดอคติทางอารมณ์: ในที่สุด การซื้อขายแบบอัลโกจะกำจัดอิทธิพลของอคติทางอารมณ์ที่มักเป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจซื้อขาย ความกลัว ความโลภ และอารมณ์อื่นๆ อาจบดบังการตัดสินและนำไปสู่ทางเลือกในการลงทุนที่ไม่ดี โดยอาศัยอัลกอริธึม นอกจากนี้ การเทรดยังช่วยขจัดอคติทางอารมณ์เหล่านี้ออกจากกระบวนการตัดสินใจ แนวทางที่เป็นกลางนี้ช่วยให้เทรดเดอร์ตัดสินใจอย่างมีเหตุผลและอิงตามข้อมูลมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ประสิทธิภาพการซื้อขายโดยรวมที่ดีขึ้น
ข้อเสียของอัลโกเทรดดิ้ง
ช่องโหว่และความเสี่ยงของระบบ: หนึ่งในข้อกังวลหลักเกี่ยวกับการซื้อขาย algo คือช่องโหว่และความเสี่ยงของระบบ เนื่องจากการเทรดแบบ algo อาศัยเทคโนโลยีและระบบคอมพิวเตอร์เป็นหลัก การทำงานผิดพลาดทางเทคนิคหรือความล้มเหลวของระบบอาจส่งผลร้ายแรงตามมา ไฟฟ้าดับ เครือข่ายขัดข้อง หรือซอฟต์แวร์บกพร่องสามารถรบกวนการดำเนินการซื้อขายและอาจนำไปสู่การสูญเสียทางการเงิน เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ค้าที่จะมีมาตรการจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความท้าทายทางเทคนิคและความซับซ้อน: ความท้าทายทางเทคนิคและความซับซ้อน: การซื้อขาย Algo เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและอัลกอริธึมที่ซับซ้อน การใช้และการบำรุงรักษาระบบดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและทรัพยากรทางเทคนิคระดับสูง ผู้ค้าต้องมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับภาษาโปรแกรมและอัลกอริทึมเพื่อพัฒนาและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การซื้อขาย นอกจากนี้ การตรวจสอบและบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายและใช้เวลานาน ทำให้ต้องมีการอัปเดตและปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
การเพิ่มประสิทธิภาพมากเกินไป: ข้อเสียอีกอย่างของการเทรดแบบ algo คือความเสี่ยงของการเพิ่มประสิทธิภาพมากเกินไป ผู้ค้าอาจถูกล่อลวงให้ปรับแต่งอัลกอริทึมของตนมากเกินไปตามข้อมูลในอดีตเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมในอดีต อย่างไรก็ตาม การเพิ่มประสิทธิภาพมากเกินไปอาจนำไปสู่ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "curve fitting" ซึ่งอัลกอริทึมมีความเฉพาะเจาะจงกับข้อมูลในอดีตมากเกินไป และไม่สามารถทำงานได้ดีในสภาวะตลาดแบบเรียลไทม์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างความสมดุลระหว่างการปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมและสร้างความมั่นใจในความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด
การพึ่งพาข้อมูลในอดีตมากเกินไป: การซื้อขายของ Algo ต้องอาศัยข้อมูลในอดีตอย่างมากเพื่อสร้างสัญญาณการซื้อขายและทำการตัดสินใจ แม้ว่าข้อมูลในอดีตจะให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่า แต่ข้อมูลดังกล่าวอาจไม่ได้สะท้อนถึงสภาวะตลาดในอนาคตอย่างถูกต้องเสมอไป พลวัตของตลาด แนวโน้ม และความสัมพันธ์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ทำให้ข้อมูลในอดีตมีความเกี่ยวข้องน้อยลง ผู้ค้าต้องระมัดระวังที่จะไม่พึ่งพาผลงานในอดีตเพียงอย่างเดียว และติดตามและปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องให้เข้ากับสภาวะตลาดในปัจจุบัน
ขาดความสามารถในการปรับตัว: ข้อเสียอีกอย่างของการเทรดแบบ algo คือการขาดความสามารถในการปรับตัวต่อเหตุการณ์ในตลาดที่ไม่คาดคิดหรือการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของสภาวะตลาด โดยทั่วไปแล้วกลยุทธ์การซื้อขายของ Algo จะขึ้นอยู่กับกฎและอัลกอริธึมที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งอาจไม่รวมถึงเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดหรือความผันผวนของตลาดที่รุนแรง ผู้ค้าจะต้องระแวดระวังและพร้อมที่จะเข้าแทรกแซงหรือปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้วยตนเองเมื่อสภาวะตลาดเบี่ยงเบนไปจากกฎที่ตั้งโปรแกรมไว้อย่างมาก
ข้อดีของการซื้อขายด้วยตนเอง
ความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัว: การซื้อขายด้วยตนเองมอบข้อได้เปรียบของความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัว ผู้ค้าสามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็วและตอบสนองต่อสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์ ซึ่งแตกต่างจากอัลกอริทึม ผู้ค้ามนุษย์สามารถปรับกระบวนการตัดสินใจตามข้อมูลใหม่ เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด หรือแนวโน้มของตลาดเกิดใหม่ได้ ความยืดหยุ่นนี้ช่วยให้สามารถตัดสินใจได้อย่างคล่องตัวและสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสทางการตลาดที่กำลังพัฒนาได้
สัญชาตญาณและประสบการณ์: เทรดเดอร์ที่เป็นมนุษย์มีสัญชาตญาณและประสบการณ์ ซึ่งสามารถเป็นทรัพย์สินที่มีค่าในกระบวนการซื้อขาย จากประสบการณ์หลายปี เทรดเดอร์ได้พัฒนาความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับพลวัตของตลาด รูปแบบ และความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ สัญชาตญาณช่วยให้พวกเขาสามารถตัดสินใจโดยอาศัยความรู้และสัญชาตญาณที่สั่งสมมา องค์ประกอบของมนุษย์นี้เพิ่มแง่มุมเชิงคุณภาพให้กับการตัดสินใจซื้อขายซึ่งอัลกอริทึมอาจขาดไป
การตัดสินใจที่ซับซ้อน: การซื้อขายด้วยตนเองเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจที่ซับซ้อนซึ่งนอกเหนือไปจากกฎที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เทรดเดอร์วิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ เช่น ตัวบ่งชี้พื้นฐานและทางเทคนิค ข่าวเศรษฐกิจ และเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ เพื่อทำการตัดสินใจอย่างรอบรู้ ความสามารถในการพิจารณาตัวแปรหลายตัวและชั่งน้ำหนักผลกระทบที่มีต่อตลาดช่วยให้นักเทรดสามารถตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมซึ่งอัลกอริทึมอาจมองข้าม
ความฉลาดทางอารมณ์และความเชื่อมั่นของตลาด: มนุษย์มีความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการซื้อขาย อารมณ์สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าเกี่ยวกับอารมณ์ตลาดและจิตวิทยาของนักลงทุน ผู้ค้ามนุษย์สามารถวัดอารมณ์ตลาดได้โดยการตีความการเคลื่อนไหวของราคา อารมณ์ข่าว และการพูดคุยในตลาด การทำความเข้าใจและรวมอารมณ์ตลาดเข้ากับการตัดสินใจสามารถช่วยให้ผู้ค้าระบุการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่อาจเกิดขึ้นและใช้ประโยชน์จากโอกาสที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์
ความเข้าใจในบริบท: การซื้อขายด้วยตนเองช่วยให้ผู้ค้ามีความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับตลาดที่พวกเขาดำเนินการ พวกเขาสามารถวิเคราะห์ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่กว้างขึ้น การพัฒนาทางการเมือง และพลวัตเฉพาะอุตสาหกรรมเพื่อประเมินสภาพแวดล้อมของตลาดได้อย่างแม่นยำ ความเข้าใจตามบริบทนี้ช่วยให้นักเทรดมีมุมมองที่ครอบคลุมเกี่ยวกับปัจจัยต่างๆ ที่สามารถมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของตลาด ทำให้สามารถตัดสินใจได้อย่างรอบรู้มากขึ้น
ความคิดสร้างสรรค์และการฉวยโอกาส: ผู้ค้ามนุษย์นำความคิดสร้างสรรค์และการฉวยโอกาสมาสู่กระบวนการซื้อขาย พวกเขาสามารถมองเห็นโอกาสพิเศษที่อัลกอริทึมอาจไม่พิจารณา ด้วยการใช้ทักษะการวิเคราะห์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และแนวทางนอกกรอบ ผู้ค้าสามารถระบุกลยุทธ์การซื้อขายที่แปลกใหม่หรือสินทรัพย์ที่มีมูลค่าต่ำซึ่งอัลกอริทึมอาจมองข้าม ความคิดสร้างสรรค์นี้ช่วยให้ผู้ค้าสามารถใช้ประโยชน์จากความไร้ประสิทธิภาพของตลาดและสร้างผลตอบแทนได้
สภาวะตลาดที่ซับซ้อน: การซื้อขายด้วยตนเองจะเติบโตในสภาวะตลาดที่ซับซ้อนซึ่งอัลกอริทึมอาจมีปัญหาในการนำทาง ในสถานการณ์ที่ไดนามิกของตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผันผวน หรือได้รับอิทธิพลจากเหตุการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ ผู้ค้ามนุษย์สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและตัดสินใจตามวิจารณญาณและความเชี่ยวชาญของพวกเขา ความสามารถในการคิดและปรับกลยุทธ์ตามนั้นช่วยให้ผู้ค้าสามารถสำรวจสภาวะตลาดที่ท้าทายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อเสียของการซื้อขายด้วยตนเอง
อคติทางอารมณ์: การซื้อขาย Algo ขาดอารมณ์ของมนุษย์ ซึ่งบางครั้งอาจเป็นข้อเสีย ผู้ค้ามนุษย์สามารถวิเคราะห์สภาวะตลาดตามสัญชาตญาณและประสบการณ์ ในขณะที่อัลกอริทึมอาศัยข้อมูลในอดีตและกฎที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเท่านั้น อคติทางอารมณ์ เช่น ความกลัวหรือความโลภ อาจมีบทบาทในการตัดสินใจ แต่อัลกอริทึมไม่สามารถคำนึงถึงลักษณะของมนุษย์ที่แตกต่างกันได้
เวลาและความพยายาม: การใช้และการบำรุงรักษาระบบการซื้อขายแบบอัลโกต้องใช้เวลาและความพยายาม การพัฒนาอัลกอริธึมและกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพนั้นต้องการความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคและทรัพยากรที่สำคัญ ผู้ค้าจำเป็นต้องตรวจสอบและอัปเดตอัลกอริทึมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้แน่ใจว่ายังคงมีความเกี่ยวข้องในสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง ความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องนี้อาจใช้เวลานานและอาจต้องการบุคลากรหรือการสนับสนุนทางเทคนิคเพิ่มเติม
ความเร็วในการดำเนินการ: ในขณะที่การซื้อขายแบบ algo ขึ้นชื่อเรื่องความเร็ว การดำเนินการอาจมีความท้าทาย ในตลาดที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ความล่าช้าในการดำเนินการตามคำสั่งอาจนำไปสู่การพลาดโอกาสหรือผลลัพธ์ทางการค้าที่ไม่เอื้ออำนวย ระบบการซื้อขายของ Algo จำเป็นต้องติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพสูงและการเชื่อมต่อที่เชื่อถือได้เพื่อดำเนินการซื้อขายอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ข้อมูลที่มากเกินไป: ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน เทรดเดอร์มีข้อมูลจำนวนมหาศาล ระบบการซื้อขายของ Algo สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว แต่มีความเสี่ยงที่ข้อมูลจะล้นเกิน การกรองข้อมูลที่มากเกินไปและการระบุสัญญาณที่เกี่ยวข้องอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย ผู้ค้าต้องออกแบบอัลกอริทึมอย่างรอบคอบเพื่อมุ่งเน้นไปที่ข้อมูลที่จำเป็นและหลีกเลี่ยงการถูกครอบงำด้วยข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องหรือส่งเสียงดัง
พลังของ AI ในการปรับปรุงการซื้อขายอัลกอริทึม:
การวิเคราะห์ข้อมูลและการจดจำรูปแบบ: อัลกอริธึม AI เก่งในการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลและจดจำรูปแบบที่อาจเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ค้ามนุษย์ในการระบุ อัลกอริทึมที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถเปิดเผยความสัมพันธ์และแนวโน้มที่ซ่อนอยู่ได้ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลตลาดในอดีต ข่าว ความรู้สึกทางโซเชียลมีเดีย และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง สิ่งนี้ทำให้ผู้ค้าสามารถพัฒนากลยุทธ์การซื้อขายที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นโดยอิงตามข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
การวิเคราะห์เชิงทำนายและการพยากรณ์: อัลกอริทึม AI สามารถใช้ประโยชน์จากเทคนิคการเรียนรู้ของเครื่องเพื่อสร้างแบบจำลองการทำนายและการคาดการณ์ ด้วยการฝึกอบรมเกี่ยวกับข้อมูลตลาดในอดีต อัลกอริทึมเหล่านี้สามารถระบุรูปแบบและความสัมพันธ์ที่สามารถช่วยคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้ ความสามารถในการคาดการณ์นี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์แนวโน้มของตลาด ระบุโอกาสที่เป็นไปได้ และปรับกลยุทธ์ของพวกเขาตามนั้น
การตรวจสอบตลาดตามเวลาจริง: ระบบที่ใช้ AI สามารถตรวจสอบข้อมูลตลาดแบบเรียลไทม์ ฟีดข่าว และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียได้อย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ทำให้เทรดเดอร์สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของตลาด ข่าวด่วน และการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ได้ ด้วยการรวมข้อมูลตามเวลาจริงเข้ากับอัลกอริธึมของพวกเขา นักเทรดสามารถตัดสินใจซื้อขายได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะตลาดที่ผันผวนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ระบบปรับตัวและเรียนรู้ด้วยตนเอง: อัลกอริทึม AI มีความสามารถในการปรับตัวและเรียนรู้ด้วยตนเองจากข้อมูลตลาดและผลการซื้อขาย อัลกอริธึมเหล่านี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพกลยุทธ์การซื้อขายได้อย่างต่อเนื่องโดยอิงตามผลตอบรับแบบเรียลไทม์ผ่านเทคนิคการเรียนรู้แบบเสริมกำลัง ความสามารถในการปรับตัวนี้ช่วยให้อัลกอริทึมสามารถพัฒนาและปรับปรุงได้ตลอดเวลา เพิ่มความสามารถในการสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและปรับให้เข้ากับพลวัตของตลาดที่เปลี่ยนแปลง
การสนับสนุนการตัดสินใจขั้นสูง:
อัลกอริทึม AI สามารถจัดหาเครื่องมือสนับสนุนการตัดสินใจสำหรับเทรดเดอร์ นำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล การวิเคราะห์ความเสี่ยง และการดำเนินการที่แนะนำ ด้วยการรวมพลังของ AI เข้ากับความเชี่ยวชาญของมนุษย์ เทรดเดอร์สามารถตัดสินใจได้อย่างรอบรู้และรอบรู้มากขึ้น เครื่องมือสนับสนุนการตัดสินใจเหล่านี้สามารถช่วยในการจัดสรรพอร์ตโฟลิโอ การดำเนินการซื้อขาย และการจัดการความเสี่ยง เพิ่มประสิทธิภาพการซื้อขายโดยรวม
การซื้อขายแบบอัลกอริทึมจัดการกับข่าวและเหตุการณ์อย่างไร
ในโลกของตลาดการเงินที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ข่าวและกิจกรรมมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการเคลื่อนไหวของราคาและสร้างโอกาสในการซื้อขาย การซื้อขายแบบอัลกอริทึมได้กลายเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
Automated News Monitoring:
ระบบการซื้อขายแบบอัลกอริทึมมีความสามารถในการตรวจสอบแหล่งข่าวโดยอัตโนมัติ รวมถึงเว็บไซต์ข่าวการเงิน ข่าวประชาสัมพันธ์ และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ด้วยการใช้การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) และเทคนิคการวิเคราะห์ความรู้สึก อัลกอริทึมสามารถกรองข้อมูลข่าวสารจำนวนมหาศาล ระบุข้อมูลที่เกี่ยวข้องที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาด
การประมวลผลข้อมูลตามเวลาจริง:
อัลกอริทึมเป็นเลิศในการประมวลผลข้อมูลแบบเรียลไทม์และวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับตลาดได้อย่างรวดเร็ว อัลกอริทึมสามารถประเมินความเกี่ยวข้องและนัยสำคัญทางการตลาดของข่าวหรือเหตุการณ์ที่เฉพาะเจาะจงได้ด้วยการรวมฟีดข่าวและข้อมูลตามเหตุการณ์อื่นๆ สิ่งนี้ทำให้ผู้ค้าสามารถตอบสนองต่อโอกาสหรือความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ทันที
กลยุทธ์การซื้อขายที่ขับเคลื่อนด้วยเหตุการณ์:
ระบบการซื้อขายแบบอัลกอริทึมสามารถตั้งโปรแกรมเพื่อใช้กลยุทธ์การซื้อขายที่ขับเคลื่อนด้วยเหตุการณ์ กลยุทธ์เหล่านี้ออกแบบมาเพื่อใช้ประโยชน์จากความเคลื่อนไหวของตลาดที่กระตุ้นโดยเหตุการณ์เฉพาะ เช่น การเปิดเผยทางเศรษฐกิจ การประกาศผลประกอบการของบริษัท หรือการพัฒนาทางภูมิรัฐศาสตร์ อัลกอริทึมสามารถสแกนหาเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องโดยอัตโนมัติและดำเนินการซื้อขายตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น เกณฑ์ราคาหรือผลการวิเคราะห์ความคิดเห็น
การวิเคราะห์ความรู้สึก:
การวิเคราะห์ความรู้สึกเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการซื้อขายตามข่าวและเหตุการณ์ อัลกอริทึมสามารถวิเคราะห์บทความข่าว ความคิดเห็นของโซเชียลมีเดีย และข้อมูลข้อความอื่นๆ เพื่อประเมินความคิดเห็นของตลาดโดยรอบเหตุการณ์หรือรายการข่าวที่เฉพาะเจาะจง อัลกอริทึมสามารถตัดสินใจซื้อขายได้อย่างชาญฉลาดและปรับกลยุทธ์โดยการวัดความรู้สึกเชิงบวกหรือเชิงลบ
การทดสอบย้อนหลังและการเพิ่มประสิทธิภาพ:
การซื้อขายแบบอัลกอริทึมช่วยให้สามารถทดสอบย้อนหลังและเพิ่มประสิทธิภาพของข่าวและกลยุทธ์การซื้อขายที่ขับเคลื่อนด้วยเหตุการณ์ ข้อมูลย้อนหลังสามารถใช้เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของโมเดลการซื้อขายภายใต้สถานการณ์ข่าวต่างๆ ด้วยการวิเคราะห์ปฏิกิริยาของตลาดในอดีตต่อเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกัน สามารถปรับอัลกอริทึมอย่างละเอียดเพื่อปรับปรุงความแม่นยำและความสามารถในการทำกำไร
การซื้อขายข่าวอัลกอริทึม:
การซื้อขายข่าวแบบอัลกอริทึมเกี่ยวข้องกับการดำเนินการซื้อขายโดยอัตโนมัติตามทริกเกอร์ข่าวที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ตัวอย่างเช่น สามารถตั้งโปรแกรมอัลกอริทึมให้ซื้อหรือขายสินทรัพย์บางอย่างโดยอัตโนมัติเมื่อมีการเผยแพร่ข่าวเฉพาะหรือเมื่อตรงตามเงื่อนไขบางประการ แนวทางอัตโนมัตินี้ช่วยลดความจำเป็นในการตรวจสอบด้วยตนเองและรับประกันการดำเนินการที่รวดเร็วในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ข่าว
การบริหารความเสี่ยง:
ระบบการซื้อขายแบบอัลกอริทึมรวมเอามาตรการการจัดการความเสี่ยงเพื่อลดข้อเสียที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขายตามข่าวและเหตุการณ์ คำสั่งหยุดการขาดทุน อัลกอริทึมการปรับขนาดตำแหน่ง และกฎการจัดการความเสี่ยงสามารถรวมเข้าด้วยกันเพื่อป้องกันการเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์หรือผลลัพธ์ของข่าวที่ไม่คาดคิด สิ่งนี้ช่วยลดความสูญเสียและรับประกันความเสี่ยงที่ควบคุมได้
แฟลชแครช 2010: เหตุการณ์ตลาดประวัติศาสตร์
เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2010 ตลาดการเงินประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนที่เรียกว่า "Flash Crash" ภายในเวลาไม่กี่นาที ราคาหุ้นก็ดิ่งลงอย่างมาก และฟื้นตัวขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน ความปั่นป่วนของตลาดอย่างกะทันหันและรุนแรงนี้ส่งคลื่นกระแทกไปทั่วโลกการเงินและเน้นให้เห็นถึงช่องโหว่ของภูมิทัศน์การซื้อขายที่เชื่อมโยงถึงกันมากขึ้นและขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี
The Flash Crash เปิดโปง:
ในวันฤกษ์ดีนั้น เวลา 14.32 น. และ 14:45 น. EDT ตลาดหุ้นสหรัฐประสบปัญหาราคาตกต่ำอย่างกะทันหันและรุนแรง ภายในไม่กี่นาที ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) ดิ่งลงเกือบ 1,000 จุด ลบมูลค่าตลาดประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ หุ้นบลูชิปเช่น Procter & Gamble และ Accenture เห็นว่าราคาของพวกเขาพังทลายลงในช่วงสั้น ๆ จนเหลือเพียงเศษเสี้ยวของมูลค่าก่อนการพังทลาย การล่มสลายอย่างกะทันหันและน่าทึ่งนี้ตามมาด้วยการดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยราคาส่วนใหญ่ฟื้นตัวเมื่อสิ้นสุดช่วงการซื้อขาย
ปัจจัยที่มีส่วนร่วม:
ปัจจัยหลายอย่างรวมกันเพื่อสร้างพายุที่สมบูรณ์แบบสำหรับ Flash Crash องค์ประกอบสำคัญประการหนึ่งคือความแพร่หลายที่เพิ่มขึ้นของการซื้อขายด้วยความถี่สูง (HFT) ซึ่งอัลกอริทึมของคอมพิวเตอร์ดำเนินการซื้อขายด้วยความเร็วสูง การซื้อขายอัตโนมัตินี้ เมื่อรวมกับการเชื่อมโยงกันของตลาด ทำให้ความเร็วและความรุนแรงของความผิดพลาดรุนแรงขึ้น นอกจากนี้ การใช้คำสั่งหยุดการขาดทุนอย่างแพร่หลาย ซึ่งจะเริ่มทำงานเมื่อหุ้นถึงราคาที่กำหนด จะเพิ่มแรงกดดันในการขายเมื่อราคาลดลงอย่างรวดเร็ว การขาดมาตรการปกป้องตลาดและกลไกการกำกับดูแลที่เพียงพอยิ่งทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น
บทบาทของการซื้อขายอัลกอริทึม:
การซื้อขายอัลกอริทึมมีบทบาทสำคัญใน Flash Crash ในขณะที่ตลาดลดลงอย่างรวดเร็ว กลยุทธ์การซื้อขายแบบอัลกอริธึมบางอย่างล้มเหลวในการทำงานตามที่ตั้งใจไว้ ทำให้การขายออกรุนแรงขึ้น อัลกอริธึมเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อจับความคลาดเคลื่อนของราคาเพียงเล็กน้อย ลงเอยด้วยการมีส่วนร่วมใน "วงจรป้อนกลับ" ของการขาย ทำให้ราคายิ่งต่ำลง ความเร็วและระบบอัตโนมัติของการซื้อขายแบบอัลกอริทึมทำให้ยากต่อการแทรกแซงของมนุษย์เพื่อบรรเทาสถานการณ์แบบเรียลไทม์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การปฏิรูปตลาดและบทเรียนที่ได้รับ:
Flash Crash ของปี 2010 กระตุ้นให้เกิดการปฏิรูปด้านกฎระเบียบและเทคโนโลยีที่สำคัญ โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันในอนาคต มาตรการต่างๆ รวมถึงการใช้เบรกเกอร์วงจร ซึ่งจะหยุดการซื้อขายชั่วคราวในช่วงที่ราคาเคลื่อนไหวรุนแรง และการแก้ไขกฎเบรกเกอร์ทั่วทั้งตลาด นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการเฝ้าระวังตลาดและการประสานงานระหว่างการแลกเปลี่ยนและหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อตรวจสอบและตอบสนองต่อกิจกรรมการซื้อขายที่ผิดปกติ นอกจากนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเพิ่มความโปร่งใสและการตรวจสอบแนวทางปฏิบัติในการซื้อขายด้วยอัลกอริทึม
ผลกระทบต่อเสถียรภาพของตลาด:
Flash Crash ทำหน้าที่ปลุกผู้เข้าร่วมตลาดและหน่วยงานกำกับดูแล โดยเน้นย้ำถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายด้วยความถี่สูงและอัลกอริทึม โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างหลักประกันว่าโครงสร้างพื้นฐานและกฎระเบียบของตลาดจะก้าวทันกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เหตุการณ์ดังกล่าวยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ผู้เข้าร่วมตลาดจะต้องเข้าใจความซับซ้อนของระบบการซื้อขายที่พวกเขาใช้ และสำหรับหน่วยงานกำกับดูแลในการประเมินและปรับกรอบการกำกับดูแลอย่างต่อเนื่องเพื่อจัดการกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น
Flash Crash ของปี 2010 ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ตลาดการเงิน ซึ่งเผยให้เห็นช่องโหว่ในโลกของการซื้อขายทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ซับซ้อนมากขึ้นและเชื่อมโยงถึงกัน เหตุการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดการปฏิรูปที่สำคัญและนำไปสู่การมุ่งเน้นไปที่เสถียรภาพของตลาด ความโปร่งใส และการจัดการความเสี่ยง ในขณะที่มีความก้าวหน้าเพื่อปรับปรุงการป้องกันตลาดและการกำกับดูแลด้านกฎระเบียบ ความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องและการปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาความสมบูรณ์และเสถียรภาพของตลาดการเงินสมัยใหม่
การซื้อขายแบบอัลกอริทึมเติบโตในตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างไร
การซื้อขายแบบอัลกอริทึม (ALGO) สามารถจัดการกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้โดยใช้เทคนิคและกลยุทธ์ต่างๆ ที่ช่วยให้อัลกอริทึมสามารถปรับตัวและตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้เป็นบางวิธีที่ ALGO สามารถจัดการกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้:
การวิเคราะห์ข้อมูลตามเวลาจริง: ระบบของ Algo ติดตามข้อมูลตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเคลื่อนไหวของราคา ปริมาณ ฟีดข่าว และตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจแบบเรียลไทม์ ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลนี้อย่างทันท่วงที อัลกอริทึมสามารถระบุสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงและปรับกลยุทธ์การซื้อขายได้อย่างเหมาะสม สิ่งนี้ทำให้ Algo สามารถคว้าโอกาสและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้เร็วกว่าผู้ค้ามนุษย์
การกำหนดเส้นทางคำสั่งซื้อแบบไดนามิก: ระบบ Algo สามารถกำหนดเส้นทางคำสั่งซื้อแบบไดนามิกไปยังการแลกเปลี่ยนหรือแหล่งสภาพคล่องที่แตกต่างกันตามเงื่อนไขตลาดที่เป็นอยู่ ด้วยการประเมินปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพคล่อง ความลึกของบัญชีคำสั่งซื้อขาย และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ อัลกอริทึมสามารถปรับกลยุทธ์การกำหนดเส้นทางคำสั่งซื้อขายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการซื้อขาย ความยืดหยุ่นนี้ทำให้มั่นใจได้ว่า algo จะใช้ประโยชน์จากสภาวะตลาดที่เอื้ออำนวยที่สุด ณ ช่วงเวลาใดก็ตาม
กลยุทธ์การซื้อขายแบบปรับตัว: Algo สามารถใช้กลยุทธ์การซื้อขายแบบปรับเปลี่ยนได้ซึ่งออกแบบมาเพื่อปรับพารามิเตอร์หรือกฎตามสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง กลยุทธ์เหล่านี้มักจะรวมอัลกอริธึมการเรียนรู้ของเครื่องเพื่อเรียนรู้อย่างต่อเนื่องจากข้อมูลในอดีตและปรับให้เข้ากับพลวัตของตลาดที่กำลังพัฒนา ด้วยการปรับเปลี่ยนกฎและพารามิเตอร์แบบไดนามิก ระบบ algo สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจซื้อขายและคว้าโอกาสในสภาพแวดล้อมตลาดที่แตกต่างกัน
การจัดการความผันผวน: การเปลี่ยนแปลงของสภาวะตลาดมักมาพร้อมกับความผันผวนที่เพิ่มขึ้น ระบบ Algo สามารถรวมเทคนิคการจัดการความผันผวนเพื่อปรับความเสี่ยงให้สอดคล้องกัน ตัวอย่างเช่น อัลกอริทึมอาจปรับขนาดตำแหน่งแบบไดนามิก ตั้งค่าระดับการหยุดการขาดทุนที่เข้มงวดขึ้น หรือแก้ไขพารามิเตอร์การจัดการความเสี่ยงตามความผันผวนของตลาดในปัจจุบัน มาตรการเหล่านี้ช่วยควบคุมความเสี่ยงและปกป้องเงินทุนในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูง
การจดจำรูปแบบและการวิเคราะห์ทางสถิติ: ระบบของ Algo สามารถใช้การจดจำรูปแบบขั้นสูงและเทคนิคการวิเคราะห์ทางสถิติเพื่อระบุรูปแบบหรือความผิดปกติของตลาดที่เกิดซ้ำ ด้วยการจดจำรูปแบบเหล่านี้ อัลกอริทึมสามารถตัดสินใจซื้อขายได้อย่างชาญฉลาดและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม ความสามารถในการระบุและปรับให้เข้ากับรูปแบบนี้ช่วยให้เกิด algocapitalize ในสภาวะตลาดที่เกิดซ้ำในขณะเดียวกันก็สามารถปรับให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของตลาดได้
การทดสอบย้อนหลังและการจำลอง: ระบบของ Algo สามารถทดสอบและจำลองย้อนหลังได้อย่างกว้างขวางโดยใช้ข้อมูลตลาดในอดีต ด้วยการใช้อัลกอริทึมตามสถานการณ์ตลาดที่หลากหลายและชุดข้อมูลในอดีต ผู้ค้าสามารถประเมินประสิทธิภาพและความแข็งแกร่งของพวกเขาภายใต้สภาวะตลาดที่แตกต่างกัน กระบวนการนี้ช่วยให้สามารถปรับแต่งและเพิ่มประสิทธิภาพของกลยุทธ์ algo เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ดียิ่งขึ้น
โดยสรุปแล้ว algo จัดการกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ การกำหนดเส้นทางคำสั่งแบบไดนามิก กลยุทธ์การซื้อขายที่ปรับเปลี่ยนได้ การจัดการความผันผวน การจดจำรูปแบบ การวิเคราะห์ทางสถิติ และการทดสอบย้อนหลังอย่างเข้มงวด ด้วยการใช้ประโยชน์จากความสามารถเหล่านี้ algo สามารถปรับให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีประสิทธิภาพและใช้ประโยชน์จากโอกาสในขณะที่จัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าแนวทางการซื้อขายแบบดั้งเดิม
การเพิ่มขึ้นของ Algo Traders: การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นการเสียหลักหรือไม่?
แม้ว่าการซื้อขายแบบอัลกอริทึม (การซื้อขายแบบอัลกอรึทึม) สามารถทำให้องค์ประกอบบางอย่างเป็นแบบอัตโนมัติและเพิ่มประสิทธิภาพได้
ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่มันจะทดแทนได้อย่างสมบูรณ์ การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นวินัยทางการเงินที่ครอบคลุมการตรวจสอบข้อมูลราคาและปริมาณในอดีต รูปแบบกราฟ ตัวบ่งชี้ และตัวแปรตลาดอื่นๆ เพื่อแจ้งกลยุทธ์การซื้อขาย มีสาเหตุหลายประการที่ทำให้นักเทรด algo ไม่สามารถแทนที่การวิเคราะห์ทางเทคนิคได้ทั้งหมด:
การตีความจิตวิทยาตลาด: การวิเคราะห์ทางเทคนิครวมเอาความเข้าใจของจิตวิทยาตลาด ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนความเชื่อที่ว่ารูปแบบราคาในอดีตซ้ำรอยเนื่องจากพฤติกรรมของมนุษย์ มันเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ความเชื่อมั่นของนักลงทุน แนวโน้ม ระดับแนวรับและแนวต้าน และปัจจัยอื่น ๆ ที่สามารถมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของตลาด ผู้ค้าอัลโกอาจใช้ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคเพื่อระบุรูปแบบเหล่านี้ แต่อาจไม่สามารถจับความแตกต่างของอารมณ์ตลาดและปัจจัยทางจิตวิทยาได้ทั้งหมด
ความเป็นส่วนตัวในการวิเคราะห์: การวิเคราะห์ทางเทคนิคมักเกี่ยวข้องกับการตีความเชิงอัตนัยโดยเทรดเดอร์ เนื่องจากแต่ละคนอาจวิเคราะห์แผนภูมิหรือตัวบ่งชี้เดียวกันแตกต่างกัน ผู้ค้า Algo พึ่งพากฎและอัลกอริทึมที่กำหนดไว้ล่วงหน้าซึ่งอาจไม่ครอบคลุมองค์ประกอบเชิงอัตวิสัยทั้งหมดของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ผู้ค้ามนุษย์สามารถใช้ประสบการณ์ สัญชาตญาณ และวิจารณญาณของพวกเขาเพื่อทำการตัดสินใจที่เหมาะสมซึ่งอัลกอริทึมอาจจับไม่ได้ง่ายๆ
ความสามารถในการปรับตัวของตลาด: การวิเคราะห์ทางเทคนิคต้องการความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม แม้ว่าอัลกอริทึมสามารถตั้งโปรแกรมให้ปรับพารามิเตอร์บางอย่างตามข้อมูลตลาดได้ แต่อัลกอริทึมอาจไม่สามารถปรับตัวได้เช่นเดียวกับผู้ค้ามนุษย์ที่สามารถตีความแบบไดนามิกและตอบสนองต่อสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปตามเวลาจริง
เหตุการณ์ที่คาดเดาไม่ได้: การวิเคราะห์ทางเทคนิคมักถูกท้าทายจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น พัฒนาการทางภูมิรัฐศาสตร์ การประกาศทางเศรษฐกิจ หรือข่าวองค์กร ซึ่งอาจทำให้เกิดการหยุดชะงักของตลาดอย่างมีนัยสำคัญ ผู้ค้ามนุษย์อาจมีความสามารถในการตีความและตอบสนองต่อเหตุการณ์เหล่านี้ตามความรู้และความเข้าใจของพวกเขา ในขณะที่ผู้ค้า algo อาจต้องดิ้นรนเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันอย่างมีประสิทธิภาพ
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน: การวิเคราะห์ทางเทคนิคมุ่งเน้นไปที่ข้อมูลราคาและปริมาณเป็นหลัก ในขณะที่การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานพิจารณาปัจจัยที่กว้างขึ้น เช่น การเงินของบริษัท ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจมหภาค แนวโน้มอุตสาหกรรม และเหตุการณ์ข่าว ผู้ค้าอัลโกอาจไม่มีความสามารถในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและรวมเข้ากับกระบวนการตัดสินใจ ซึ่งอาจจำกัดความสามารถในการแทนที่การวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่างสมบูรณ์
โดยสรุป แม้ว่าการซื้อขายแบบ algo สามารถทำให้องค์ประกอบบางอย่างของการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นแบบอัตโนมัติได้ แต่ก็ไม่น่าจะแทนที่ได้ทั้งหมด การวิเคราะห์ทางเทคนิคประกอบด้วยการตีความเชิงอัตวิสัย จิตวิทยาตลาด ความสามารถในการปรับตัว และปัจจัยพื้นฐานที่อาจท้าทายสำหรับอัลกอริทึมในการทำซ้ำอย่างสมบูรณ์ ผู้ค้ามนุษย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ทางเทคนิคและความสามารถในการตีความการเปลี่ยนแปลงของตลาดจะยังคงมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจซื้อขายอย่างชาญฉลาด
ผู้ชนะขั้นสูงสุด - การซื้อขาย Algo หรือการซื้อขายด้วยตนเอง?
การพิจารณาว่าการเทรดแบบ algo หรือการเทรดด้วยตนเองนั้นดีที่สุดนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ รวมถึงความชอบส่วนบุคคล เป้าหมายการเทรด และชุดทักษะ ทั้งสองแนวทางมีข้อดีและข้อจำกัด และสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบุคคลหนึ่งอาจไม่เหมือนกันสำหรับอีกบุคคลหนึ่ง ลองเปรียบเทียบทั้งสอง:
ความเร็วและประสิทธิภาพ: Algo Trading เป็นเลิศในด้านความเร็วและประสิทธิภาพ เนื่องจากอัลกอริทึมของคอมพิวเตอร์สามารถวิเคราะห์ข้อมูลและดำเนินการซื้อขายได้ภายในเสี้ยววินาที การซื้อขายด้วยตนเองเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของมนุษย์ ซึ่งอาจขึ้นอยู่กับอคติทางความคิดและปัจจัยทางอารมณ์ ซึ่งอาจนำไปสู่การดำเนินการที่ช้าลงหรือพลาดโอกาส
อารมณ์และระเบียบวินัย: การซื้อขายแบบ Algo ขจัดอคติทางอารมณ์ออกจากการตัดสินใจซื้อขาย เนื่องจากอัลกอริทึมทำตามกฎที่กำหนดไว้ล่วงหน้าโดยไม่ได้รับอิทธิพลจากความกลัวหรือความโลภ การซื้อขายด้วยตนเองต้องมีระเบียบวินัยและการควบคุมอารมณ์เพื่อทำการตัดสินใจอย่างเป็นกลาง ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับผู้ค้าบางราย
ความสามารถในการปรับตัว: การซื้อขายของ Algo สามารถปรับให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและดำเนินการซื้อขายตามกฎที่ตั้งโปรแกรมไว้ล่วงหน้า ผู้ค้าด้วยตนเองสามารถปรับกลยุทธ์ของพวกเขาได้เช่นกัน แต่อาจต้องใช้เวลาและความพยายามมากขึ้นในการตรวจสอบและปรับตัวให้เข้ากับพลวัตของตลาดที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว
ความซับซ้อนและความรู้ทางเทคนิค: การเทรด Algo ต้องใช้ทักษะการเขียนโปรแกรมหรือการใช้แพลตฟอร์มอัลกอริทึม ซึ่งอาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับเทรดเดอร์ที่ไม่มีพื้นฐานทางเทคนิค ในทางกลับกัน การเทรดด้วยตนเองอาศัยความเข้าใจในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและทางเทคนิค ซึ่งต้องมีการเรียนรู้และวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดอย่างต่อเนื่อง
การพัฒนากลยุทธ์: Algo Trading ช่วยให้สามารถพัฒนากลยุทธ์ได้อย่างเป็นระบบและแม่นยำโดยอิงจากการวิเคราะห์ข้อมูลในอดีตและการทดสอบย้อนกลับ ผู้ค้าด้วยตนเองสามารถพัฒนากลยุทธ์ของตนได้เช่นกัน แต่อาจเกี่ยวข้องกับการตีความแผนภูมิ รูปแบบ และตัวบ่งชี้ตามอัตวิสัยมากขึ้น
การจัดการความเสี่ยง: ทั้งการซื้อขายแบบ algo และการซื้อขายด้วยตนเองจำเป็นต้องมีการจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ Algo Trading สามารถรวมพารามิเตอร์การจัดการความเสี่ยงที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเข้ากับอัลกอริธึม ในขณะที่ผู้ซื้อขายด้วยตนเองจำเป็นต้องตรวจสอบและจัดการความเสี่ยงอย่างแข็งขันตามวิจารณญาณของพวกเขา
ท้ายที่สุดแล้ว วิธีการที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับแต่ละสถานการณ์ ผู้ค้าบางรายอาจชอบการซื้อขายแบบ algo เพราะความรวดเร็ว ประสิทธิภาพ และการตัดสินใจที่เป็นกลาง ในขณะที่บางรายอาจชอบความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของการซื้อขายด้วยตนเอง เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้ค้าจำนวนมากใช้ทั้งสองวิธีร่วมกัน ใช้การซื้อขายแบบอัลโกสำหรับกลยุทธ์บางอย่างและการซื้อขายด้วยตนเองสำหรับผู้อื่น
โดยสรุป การซื้อขายแบบอัลกอริทึมให้ประโยชน์ เช่น ความเร็ว ประสิทธิภาพ และการจัดการความเสี่ยง ในขณะที่การซื้อขายด้วยตนเองให้ความสามารถในการปรับตัวและสัญชาตญาณของมนุษย์ AI ปรับปรุงการซื้อขายด้วยอัลกอริทึมโดยการประมวลผลข้อมูล จดจำรูปแบบ และให้การสนับสนุนการตัดสินใจ Algos เชี่ยวชาญในการติดตามข่าวอัตโนมัติและกลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยเหตุการณ์ อย่างไรก็ตาม Flash Crash ของปี 2010 ได้เปิดเผยช่องโหว่ในภูมิทัศน์การซื้อขายที่เชื่อมต่อถึงกัน โดยการซื้อขายด้วยอัลกอริทึมทำให้ตลาดถดถอยยิ่งขึ้น ทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจให้ใช้มาตรการป้องกันและการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยรวมแล้ว วิธีการที่สมดุลซึ่งรวมจุดแข็งของการซื้อขายทั้งแบบอัลกอริทึมและแบบแมนนวลสามารถนำไปสู่กลยุทธ์การซื้อขายที่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นมากขึ้น
GBPAUD SHORT , technical analysis with money managementสมมุติ พอร์ต 100k
Risk 2%
แบ่งเข้า สองแบบ คือ risk per trade, grid trading
I believe that implementing a grid trading strategy may potentially increase the risk/reward ratio for traders who have a bearish narrative.
risk per trade = invest 0.5% RR 7
Risk 500 reward 3500
grid trading = 1.5 %
grid 1 = 0.5% RR2
Risk 500 reward 1000
grid 2 = 0.5% RR 4
Risk 500 Reward 2000
grid 3 = 0.5% RR 12
Risk 500 Reward 6000
in addition, to potentially increase profits when using a grid trading strategy, a trader can wait for a bearish candlestick pattern to occur before adding more short positions once the price hits each predetermined level. Furthermore, if the price rises for four consecutive candles with small-sized candlesticks, the trader may observe that the size of the candlesticks becomes increasingly smaller then add short position.
🌟✨GOLD 10/10/2022 " โซนน่าสนใจ "✨🌟🌟✨GOLD 10/10/2022 " โซนน่าสนใจ "✨🌟
- โซนนี้ถือว่าเป็นโซนที่น่าสนใจมากๆ เพราะในอดีตเป็นจุดที่เบรคเอ้าทะลุ Hi สำคัญได้
- พร้อมทั้งเกิดแท่ง IMB ใหญ่อย่าง H4 ด้วย
- ราคา DMZ ตรงนี้เป็น RBD เกิด OBimb สำคัญ
- ก็หวังว่าหากวันนี้ลงมาก็ลองเช็ค LTF หรือหา Rejection ชัดๆ ไว้ให้เราวาง SL ดูอาจจะได้ออเดอร์ดีๆจังหวะนึงเลยทีเดียว
===================================
หากเป็นประโยชน์ก็ฝากติดตาม-ถูกใจ ด้วยจร้า
===================================
วิเคราะห์ทองคำพุธที่ 10 สิงหาคม 2565 ทองคำปรับบวกก่อนรายงานเงินเฟ้อถูกเปิดเผยช่วงคืนวันนี้
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน ธ.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 7.10 ดอลลาร์ หรือ 0.4% ปิดที่ราคา 1,812.3 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ตลาดทองคำกลับมายืนเหนือระดับ 1800 ได้อีกครั้ง โดยการปรับขึ้นมาครั้งนี้ก็มีปัจจัยเดิมๆ ที่เกิดจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และส่วนหนึ่งก็มาจากที่นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยหลังตลาดหุ้นร่วง ขณะที่นักลงทุนก็ยังคงเฝ้าติดตามรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค CPI ที่จะรายงานในช่วงค่ำของวันนี้เวลา 19:30 น. ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งจากการติดตามข้อมูลของนักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค CPI ในเดือนกรกฎาคม ทั่วไปรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะปรับตัวลดลง 8.7% จากเดือนมิถุนายนที่ 9.1% ส่วนดัชดีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน CPI ไม่รวมหมวดอาหารและพลังงานของเดือนกรกฎาคมจะเพิ่มขึ้น 6.1% จากเดือนมิถุนายนที่ระดับ 5.9% ทั้งนี้หากตัวเลข CPI ซึ่งสะท้อนถึงตัวเลขเงินเฟ้อของเศรษฐกิจสหรัฐฯ หากออกมาลดน้อยลงตามคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่สังเกตุจากราคาพลังงาน (น้ำมัน) ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ก็จะส่งผลให้การตัดสินใจของเฟดต่อการดำเนินนโยบายการเงินอาจมีความชัดเจนมากขึ้น เพราะก่อนหน้าสัปดาห์ก่อนหน้าตัวเลขแรงงานออกมาดีเกินคาดทำให้ตลาดคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยที่รุนแรง ซึ่งตัวเลขเงินเฟ้อนั้นจะส่งผลต่อความแข็งแกร่งของดัชนีดอลลาร์ และการปรับเปลี่ยนการเคลื่อนไหวของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีได้เช่นกัน
ประเมินทางเทคนิคทองคำระยะสั้นวันนี้ทองคำกลับมาช่วงปรับฐานราคาอีกครั้งหลังปรับตัวเข้าโซน Overbought (ซื้อมากเกินไป) ทางเทคนิคประเมินว่าหากราคาทองคำยังมีแรงซื้อหนุนสนับสนุนไว้ แนวรับทองคำช่วง 1787-1778 จะเป็นช่วงที่ควรรอเข้าซื้อทองคำอีกครั้ง หากราคาทองคำไม่หลุดต่ำไปจากแนวรับดังกล่าว ซึ่งทองคำยังคงรักษาระดับได้ดีส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากการคาดการณ์เงินเฟ้อที่จะชะลอตัวลงในเดือนกรกฏาคมนี้ ทำให้มีโอกาสที่ทองคำจะปรับตัวขึ้นได้เหนือ 1810 ดอลลาร์ต่อออนซ์ นักลงทุนจึงควรวางแผนโอกาสการเข้าซื้อทองคำสะสมช่วงแนวรับสำคัญๆ สำหรับแนวต้านวันนี้จะอยู่ที่ช่วง 1800-1810 ดอลลาร์ต่อออนซ์
=================================
กลยุทธ์การเทรดทองคำกรอบรายชั่วโมง
=================================
Short Position : หากราคาทองคำไม่สามารถผ่านแนวต้าน 1800-1810 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้นั้น อาจเสี่ยงเปิดคำสั่ง “ขาย” ได้จากบริเวณดังกล่าว โดยเน้นการลงทุนระยะสั้นเท่านั้น พิจารณาขายออกบริเวณแนวรับ 1792-1787 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำปรับตัวสูงกว่า 1810 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
Long Position : รอซื้อคืนทองคำหากราคาทองคำย่อตัวลงมาบริเวณแนวรับ 1792-1787 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เน้นการลงทุนระยะสั้น พิจราณาขายออกบริเวณแนวต้าน 1800-1810 หากราคาไม่สามารถผ่านแนวต้านดังกล่าวได้ แต่หากผ่านขึ้นไปได้ก็ให้พิจารณาชะลอการปิดทำกำไรบางส่วนออกไปก่อน ประเมินแนวต้านถัดไปที่ระดับ 1817-1822 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำปรับตัวต่ำกว่า 1787 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายวัน (ระยะกลาง)
-------------------------------------------
Resistance :1803 / 1836 / 1856
-------------------------------------------
Support : 1756 / 1727 / 1681
-------------------------------------------
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายชั่วโมง (ระยะสั้น)
-------------------------------------------
Resistance : 1800 / 1808 / 1814
-------------------------------------------
Support : 1787 / 1778 / 1772
-------------------------------------------
แนวโน้มทิศทางทองคำวันนี้
Time Frame H1 = Uptrend
Time Frame H4 = Uptrend
Time Frame Day = Downtrend
Time Frame Week = Uptrend
Time Frame Month = Uptrend
-------------------------------------------------
กองทุน SPDR ถือครองทองคำ
-------------------------------------------------
สถานะการถือครองทองคำ = ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงการถือครอง
คงถือสุทธิ = 999.16 ตัน
ราคาซื้อขายล่าสุด = 1,774.25 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ปรับการถือครองครั้งที่ = 4
รวมการเคลื่อนไหวล่าสุด = -6.71 ตัน
-------------------------------------------------
*การลงทุนมีความเสี่ยงโปรดใช้วิจารณญาณให้รอบคอบก่อนการลงทุนทุกครั้ง
**ข้อมูลจากการวิเคราะห์ไม่ได้เป็นเครื่องมือชี้นำระดมทุน เพียงเป็นเครื่องมือประกอบความรู้ในการลงทุนในแต่ละวันเท่านั้น จึงไม่มีส่วนต่อความรับผิดชอบใดๆ อันเกิดขึ้นในภายหลัง
***การวิเคราะห์เป็นเพียงสมมุติฐานค่าสถิติจากอดีต จึงไม่ได้เป็นเครื่องมือการันตี 100% ต่อการสร้างผลกำไรในอนาคต
วิเคราะห์ทองคำอังคารที่ 9 สิงหาคม 2565 ทองคำกลับมาบวกอีกครั้งหลังดอลลาร์และพันธบัตรฯอ่อนตัวลง
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน ธ.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 14 ดอลลาร์ หรือ 0.78% ปิดที่ราคา 1,805.2 ดอลลาร์ต่อออนซ์
การกลับมาเพิ่มสูงขึ้นของทองคำ (COMEX) ที่สามารถยืนเหนือระดับ 1800 ได้เมื่อวานนี้ปัจจัยหลักๆ จากเหตุการอ่อนค่าของดอลลาร์ โดยดอลลาร์ได้ปรับตัวลดลง 0.17% ที่ระดับ 106.43 และยังมีพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ที่ร่วงลงสู่ระดับ 2.768% เมื่อช่วงคืนที่ผ่านมา ส่งผลให้ทองคำ (COMEX) ขยับตัวกลับไปบวกเหนือระดับ 1800 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ความกังวลของนักลงทุนต่อถดถอยเศรษฐกิจของสหรัฐนั้นก็ยังคงเป็นประเด็นเฝ้าติดตามข้อมูลต่างๆ เพราะจากรายงานตัวเลขแรงงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น อาจเป็นเหตุเร่งให้เฟดตัดสินใจในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่รุนแรงได้อีกครั้ง เพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น โดยพรุ่งนี้จะมีรายงานตัวเลขสำคัญที่นักลงทุนเฝ้าติดตามคือรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐ ซึ่งรายงานดังกล่าวคงจะส่งผลต่อการตัดสินใจแนวนโยบายการปรับอัตราดอกเบี้ยต่อไปของเฟด นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ตัวเลข CPI ของเดือน ก.ค. นี้ว่าจะบ่งบอกทิศทางเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดมาแล้ว จากสาเหตุที่น้ำมันได้ปรับตัวลงอย่างหนักในเดือน ก.ค.
ประเมินทางเทคนิคทองคำวันนี้ ทองคำฟิวเจอร์ยังเคลื่อนไหวในกรอบจำกัดหลังราคาบวกเมื่อช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา โดยราคาปรับย่อตัวลงเช้านี้เหนือระดับ 1785-1780 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากราคาทองคำสามารถทรงตัวเหนือบริเวณดังกล่าว อาจมีแรงซื้อเข้าหนุนทองคำได้อีกครั้ง ประเมินเป้าหมายราคาทองคำที่ระดับ 1794-1804 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากทองคำไม่สามารถทรงตัวเหนือบริเวณ 1785-1780 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้นั้น แนวรับถัดไปจะอยู่ในช่วง 1770-1774 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ช่วงเวลานี้ทองคำอาจเคลื่อนไหวในกรอบจำกัดเนื่องจากนักลงทุนยังเฝ้าติดตามรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในวันพุธนี้
=================================
กลยุทธ์การเทรดทองคำกรอบรายชั่วโมง
=================================
Short Position : หากราคาทองคำไม่สามารถผ่านบริเวณแนวต้าน 1795-1804 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ให้เสี่ยงเปิด “ขาย” ได้จากบริเวณดังกล่าว โดยเน้นการลงทุนระยะสั้น พิจารณาปิดทำกำไรที่แนวรับบริเวณ 1780-1775 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำปรับตัวสูงกว่า 1804 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
Long Position : หากราคาทองคำไม่หลุดต่ำกว่าแนวรับบริเวณ 1779-1770 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ให้เสี่ยงเปิด “ซื้อ” โดยเน้นการลงทุนระยะสั้น พิจารณาปิดทำกำไรที่แนวต้านบริเวณ 1795-1804 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากราคาทองคำหลุดแนวต้านดังกล่าวขึ้นไปได้ อาจเลือกปิดคำสั่งบางส่วนออกไปก่อน แล้วพิจารณาแนวต้านถัดไปที่ 1810 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำต่ำกว่า 1770 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายวัน (ระยะกลาง)
-------------------------------------------
Resistance :1803 / 1836 / 1856
-------------------------------------------
Support : 1756 / 1727 / 1681
-------------------------------------------
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายชั่วโมง (ระยะสั้น)
-------------------------------------------
Resistance : 1795 / 1804 / 1810
-------------------------------------------
Support : 1779 / 1774 / 1770
-------------------------------------------
แนวโน้มทิศทางทองคำวันนี้
Time Frame H1 = Uptrend
Time Frame H4 = Uptrend
Time Frame Day = Downtrend
Time Frame Week = Uptrend
Time Frame Month = Uptrend
-------------------------------------------------
กองทุน SPDR ถือครองทองคำ
-------------------------------------------------
สถานะการถือครองทองคำ = ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงการถือครอง
คงถือสุทธิ = 999.16 ตัน
ราคาซื้อขายล่าสุด = 1,774.25 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ปรับการถือครองครั้งที่ = 4
รวมการเคลื่อนไหวล่าสุด = -6.71 ตัน
-------------------------------------------------
*การลงทุนมีความเสี่ยงโปรดใช้วิจารณญาณให้รอบคอบก่อนการลงทุนทุกครั้ง
**ข้อมูลจากการวิเคราะห์ไม่ได้เป็นเครื่องมือชี้นำระดมทุน เพียงเป็นเครื่องมือประกอบความรู้ในการลงทุนในแต่ละวันเท่านั้น จึงไม่มีส่วนต่อความรับผิดชอบใดๆ อันเกิดขึ้นในภายหลัง
***การวิเคราะห์เป็นเพียงสมมุติฐานค่าสถิติจากอดีต จึงไม่ได้เป็นเครื่องมือการันตี 100% ต่อการสร้างผลกำไรในอนาคต
วิเคราะห์ทองคำจันทร์ที่ 8 สิงหาคม 2565 ทองดับฝันไม่ถึงฝั่ง 1800 หลังรายงานข้อมูลแรงงานที่แข็งแกร่งเกินคาด
ศุกร์ที่ผ่านมาทองคำปรับตัวร่วง โดยสัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน ธ.ค. ปรับตัวลดลง 15.7 ดอลลาร์หรือ -0.87% ปิดที่ราคา 1,791.2 ดอลลาร์ต่อออนซ์
การปรับร่วงของทองคำอีกครั้งหลังได้มีการเปิดเผยตัวเลขแรงงานที่ดีเกินคาด โดยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Non farm payroll : NFP) ตัวเลขออกมาที่ 528,000 ตำแหน่งในเดือนกรกฏาคม สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 258,000 ตำแหน่ง และอัตราการว่างงานเดือนกรกฎาคมได้ปรับลดลงสู่ระดับ 3.5% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 3.6% ตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้ดอลลาร์ปรับตัวสูงขึ้นเป็นเหตุให้กดดันราคาทองคำอีกครั้ง โดยดอลลาร์กลับมาเคลื่อนไหวปรับขึ้นที่ระดับ 106.57 เพิ่มขึ้น 0.82% หรือ +0.78% การปรับขึ้นของดอลลาร์นั้นเป็นผลจากการคาดการณ์ว่าเมื่อตัวเลขแรงงานที่ออกมาดีเกินคาดนั้น จะส่งผลต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ให้เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง
ประเมินทางเทคนิคทองคำยังคงแกว่งตัวผันผวนตามการขึ้นลงของดอลลาร์เป็นหลัก โดยปัจจัยหลักๆ ที่กระทบก็คงหนีไม่พ้นในเรื่องของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสำคัญๆ ต่างทั่วโลก ภาพรวมตลาดทองคำในกรอบเวลาต่างๆ
กรอบเวลารายสัปดาห์ (Week) : หลังเมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมาราคาทองคำได้ปรับตัวลงที่ระดับ 1680.74 ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน (Exponential Moving Average 200 ) และโดนปฏิเสธราคาที่บริเวณดังกล่าว ทำให้ทองคำ rebound กลับขึ้นมาอีกครั้ง แต่ตลอดเวลาที่ปรับขึ้นมานั้นทองคำยังต้องเผชิญกับแรงกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์และบอนด์ยีลส์อายุ 10 ปีของสหรัฐ โดยมองว่าตลาดทองคำในภาพรวมกว้างๆ นั้นยังคงเป็นตลาดหมี (Bearish market) อยู่ หากทองคำจะปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 1876 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เราถึงจะมองว่าภาพของฝั่งกระทิง (Bullish market) กำลังกลับมาอีกครั้ง ตราบใดที่ราคายังไม่สามารถผ่านแนวต้านดังกล่าวขึ้นไปได้นั้น ก็อย่าเพิ่งเบาใจสำหรับนักลงทุนฝั่งตลาดกระทิง ทางเทคนิคเรายังมองเห็นทองคำยังต้องเผชิญกับแนวต้านหลักๆ ตั้งแต่ 1772 และ 1830 ขึ้นไปให้ได้ก่อน ถึงจะมีลุ้นว่าทองคำจะปรับตัวขึ้นทดสอบ 1876 ดอลลาร์ต่อออนซ์
กรอบรายวัน (Day) : สำหรับในกรอบรายวันนั้น หลังทองคำปรับร่วงเมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมาแต่ก็ยังคงรักษาระดับไว้เหนือแนวรับบริเวณ 1756 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยแรงซื้อยังคงเข้าช่วยพยุงราคาไว้ ทางเทคนิคในกรอบรายวันเราให้ช่วงบริเวณรับราคาในระหว่าง 1756-1727 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยหากทองคำสามารถยืนเหนือบริเวณดังกล่าวได้นั้น อาจมีแรงซื้อเข้ามาผยุงราคาทองคำหลังราคาทองคำปรับราคาถูกลง โดยเมื่อทองคำมีราคาที่ถูกลงก็มักจะเป็นที่สนใจของนักลงทุนระยะสั้น เข้าทำการเก็งกำไรและเทขายสลับออกมา นักลงทุนจึงควรเฝ้ามองหาโอกาสจากการช่วงชิงการซื้อขายของทองคำในภาวะดังกล่าวตามแนวรับแนวต้านสำคัญๆ ประเมินว่าทองคำยังคงพยายามขึ้นทดสอบระดับ 1803 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยบริเวณดังกล่าวจะมีเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วันพาดผ่านอยู่ นักลงทุนควรให้ความสำคัญในแนวบริเวณดังกล่าว เพราะหากทองคำสามารถขึ้นไปได้ถึงจุดนั้น อาจเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนบางส่วนจะมองหาโอกาสการทำกำไรในบริเวณดังกล่าว
กรอบรายชั่วโมง (H1) : สำหรับนักลงทุนระยะสั้นที่ให้ความสำคัญในกรอบรายชั่วโมงนั้น หลังทองคำปรับตัวเข้าในบริเวณ Demand zone ช่วง 1754-1770 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในค่ำคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา แต่ทองคำก็ยังคงรักษาระดับได้เหนือบริเวณดังกล่าว โดยทางเทคนิคหากทองคำยังไม่สามารถผ่านแนวต้านบริเวณ 1779-1785 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้นั้น อาจมีการเทขายทองคำอีกครั้งจนทำให้ราคาทองคำจะกลับมาเคลื่อนไหวในบริเวณ 1754-1770 ดอลลาร์ต่อออนซ์ นักลงทุนที่เฝ้าติดตามจังหวะเข้าซื้ออาจพิจารณารอจังหวะซื้อทองคำที่บริเวณดังกล่าวได้เช่นกัน แต่หากราคาทองคำสามารถผ่านแนวต้าน 1779-1785 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โอกาสที่ทองคำจะปรับตัวสูงขึ้นทดสอบแนวต้าน 1795-1804 ก็มีความเป็นไปได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอย่าลืมว่าทองคำขณะนี้มีปัจจัยกดดันจากเรื่องของอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างสูง จึงไม่แนะนำนักลงทุนให้วางแผนการเทรดในระยะกลางถึงยาว ควรเน้นการลงทุนระยะสั้นเป็นหลัก เทรดตามแนวโน้มราคาปัจจุบันจะดีที่สุด
=================================
กลยุทธ์การเทรดทองคำกรอบรายชั่วโมง
=================================
Short Position : หากราคาทองคำไม่สามารถผ่านแนวต้านบริเวณ 1779-1785 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อาจเสี่ยงรอขายทำกำไรระยะสั้นจากบริเวณดังกล่าว โดยเน้นการลงทุนระยะสั้นเท่านั้น พิจารณาปิดทำกำไรหากราคาทองคำเคลื่อนไหวไม่ผ่านแนวรับ 1762 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากราคาทองคำสามารถผ่านแนวรับดังกล่าวลงไปได้นั้นก็ให้ชะลอการปิดทำกำไรบางส่วนออกไปก่อน แนวรับถัดไปประเมินที่บริเวณ 1754 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำปรับตัวสูงกว่า 1785 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
Long Position : รอซื้อคืนทองคำบริเวณ 1762-1754 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากราคาทองคำไม่สามารถผ่านแนวรับดังกล่าวลงไปได้ ให้เน้นการลงทุนระยะสั้น พิจารณาปิดทำกำไรหากราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นทดสอบแนวต้านบริเวณ 1779-1785 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และไม่สามารถผ่านแนวต้านดังกล่าวขึ้นไปได้ หากราคาทองคำสามารถผ่านแนวต้านดังกล่าวขึ้นไปได้นั้นก็ให้ชะลอการปิดทำกำไรบางส่วนไปก่อน สำหรับแนวต้านถัดไปประเมินที่บริเวณ 1795-1804 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำปรับตัวต่ำกว่า 1754 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายวัน (ระยะกลาง)
-------------------------------------------
Resistance :1803 / 1836 / 1856
-------------------------------------------
Support : 1756 / 1727 / 1681
-------------------------------------------
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายชั่วโมง (ระยะสั้น)
-------------------------------------------
Resistance : 1779 / 1795 / 1804
-------------------------------------------
Support : 1770 / 1763 / 1754
-------------------------------------------
แนวโน้มทิศทางทองคำวันนี้
Time Frame H1 = Uptrend
Time Frame H4 = Uptrend
Time Frame Day = Downtrend
Time Frame Week = Uptrend
Time Frame Month = Uptrend
-------------------------------------------------
กองทุน SPDR ถือครองทองคำ
-------------------------------------------------
สถานะการถือครองทองคำ = ขายออก -1.16 ตัน
คงถือสุทธิ = 999.16 ตัน
ราคาซื้อขายล่าสุด = 1,774.25 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ปรับการถือครองครั้งที่ = 4
รวมการเคลื่อนไหวล่าสุด = -6.71 ตัน
-------------------------------------------------
*การลงทุนมีความเสี่ยงโปรดใช้วิจารณญาณให้รอบคอบก่อนการลงทุนทุกครั้ง
**ข้อมูลจากการวิเคราะห์ไม่ได้เป็นเครื่องมือชี้นำระดมทุน เพียงเป็นเครื่องมือประกอบความรู้ในการลงทุนในแต่ละวันเท่านั้น จึงไม่มีส่วนต่อความรับผิดชอบใดๆ อันเกิดขึ้นในภายหลัง
***การวิเคราะห์เป็นเพียงสมมุติฐานค่าสถิติจากอดีต จึงไม่ได้เป็นเครื่องมือการันตี 100% ต่อการสร้างผลกำไรในอนาคต
วิเคราะห์ทองคำศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2565 ทองคำกลับมาเคลื่อนไหวใกล้ระดับ 1800 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกครั้ง
ทองคำวานนี้ปิดบวกไป 30.5 ดอลลาร์ การซ้อมรบของจีนรอบบริเวณเกาะไต้หวันที่ได้เริ่มขึ้นเมื่อวานเป็นเหตุให้นักลงทุนเกิดความกังวลต่อสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้นักลงทุนเริ่มเข้าซื้อทองคำกันอีกครั้ง โดยตลาดสัญญาทองคำ COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน ธ.ค. เพิ่มขึ้นอีก 30.5 ดอลลาร์หรือ +1.72% ปิดที่ราคา 1,806.9 ดอลลาร์ต่อออนซ์
การกลับมาของทองคำเมื่อวานนี้เกิดจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และความวิตกกังวลเกี่ยวกับการขัดแย้งรอบใหม่ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา โดยทางการจีนได้มีการเปิดการซ้อมรบรอบเกาะไต้หวันหลังนางแนนซี่ เพโลซี่ ประธานรัฐสภาของสหรัฐได้มาเยือนเกาะไต้หวัน ทำให้สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐเริ่มมีมากขึ้น
ประเมินทางเทคนิคแล้ววันนี้ในกรอบรายวันเรายังเห็นการเคลื่อนไหวทองคำถึงโอกาสที่จะเข้าทดสอบระดับ 1800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ทั้งนี้ต้องมีแรงซื้อสนับสนุนต่อเนื่องถึงจะเคลื่อนไหวเข้าเหนือหรือทดสอบบริเวณดังกล่าวได้
ทั้งนี้หากราคาทองคำยังมีแรงปรับฐานเหนือบริเวณ 1779-1785 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้นั้น โอกาสที่ราคาทองคำจะปรับตัวสูงขึ้นได้อีกครั้งเพื่อผ่านแนวต้านระยะสั้นที่ 1795 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือระดับสูงสุดของเมื่อวานนี้ สำหรับวันนี้นักลงทุนเฝ้าติดตามรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ "รายงานการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Non farm payroll : NFP) นักวิเคราะห์คาดการว่าจะมีตัวเลขการจ้างงานที่ 250,000 ตำแหน่งในเดือนกรกฎาคม ลดลงจากเดิม 381,000 ตำแหน่ง จากเดือนมิถุนายน และตัวเลขรายงานอัตราการว่างงานของเดือนกรกฎาคม นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะมีอัตราการว่างงานคงที่ที่ระดับ 3.6% ของเดือนมิถุนายน ในเวลา 19:30 น. (ตามเวลาของประเทศไทย) ในช่วงวันนี้คาดว่าทองคำอาจแกว่งตัวในกรอบจำกัด เนื่องจากนักลงทุนยังคงชะลอการลงทุนเพื่อติดตามรายงานดังกล่าวในค่ำคืนนี้ จึงให้นักลงทุนระมัดระวังการลงทุนก่อนช่วงเวลาดังกล่าวไว้ด้วย
=================================
กลยุทธ์การเทรดทองคำกรอบรายชั่วโมง
=================================
Short Position : รอขายบริเวณ 1795-1800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากราคาทองคำไม่สามารถผ่านแนวต้านดังกล่าวขึันไปได้ เสี่ยงเปิด “ขาย” ได้จากบริเวณดังกล่าว โดยเน้นการลงทุนระยะสั้น พิจารณาทำกำไรบริเวณ 1779-1774 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำปรับตัวสูงกว่า 1800 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
Long Position : รอซื้อทองคืนบริเวณ 1779-1785 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากราคาทองคำไม่สามารถหลุดแนวรับดังกล่าวลงมาได้ เสี่ยงเปิด “ซื้อ” ได้จากบริเวณดังกล่าว โดยเน้นการลงทุนระยะสั้น พิจารณาทำกำไรบริเวณ 1795-1800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำปรับตัวต่ำกว่า 1779 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายวัน (ระยะกลาง)
-------------------------------------------
Resistance :1803 / 1836 / 1856
-------------------------------------------
Support : 1790 / 1756 / 1727
-------------------------------------------
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายชั่วโมง (ระยะสั้น)
-------------------------------------------
Resistance : 1795 / 1804 / 1810
-------------------------------------------
Support : 1785 / 1779 / 1774
-------------------------------------------
แนวโน้มทิศทางทองคำวันนี้
Time Frame H1 = Uptrend
Time Frame H4 = Uptrend
Time Frame Day = Downtrend
Time Frame Week = Uptrend
Time Frame Month = Uptrend
-------------------------------------------------
กองทุน SPDR ถือครองทองคำ
-------------------------------------------------
สถานะการถือครองทองคำ = ขายออก -2.32 ตัน
คงถือสุทธิ = 1,000.65 ตัน
ราคาซื้อขายล่าสุด = 1,765.05 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ปรับการถือครองครั้งที่ = 2
รวมการเคลื่อนไหวล่าสุด = -5.22 ตัน
-------------------------------------------------
*การลงทุนมีความเสี่ยงโปรดใช้วิจารณญาณให้รอบคอบก่อนการลงทุนทุกครั้ง
**ข้อมูลจากการวิเคราะห์ไม่ได้เป็นเครื่องมือชี้นำระดมทุน เพียงเป็นเครื่องมือประกอบความรู้ในการลงทุนในแต่ละวันเท่านั้น จึงไม่มีส่วนต่อความรับผิดชอบใดๆ อันเกิดขึ้นในภายหลัง
***การวิเคราะห์เป็นเพียงสมมุติฐานค่าสถิติจากอดีต จึงไม่ได้เป็นเครื่องมือการันตี 100% ต่อการสร้างผลกำไรในอนาคต
วิเคราะห์ทองคำพุธที่ 3 สิงหาคม 2565 วานนี้ทองคำไม่สามารถถึงฝันเหนือ 1800 ได้หลังดอลลาร์ได้แรงหนุนกลับมาอีกครั้ง
ทองคำวานนี้ปิดบวกไป 2 ดอลลาร์ จากความวิตกกังวลต่อความขัดแย้งใหม่ที่เสี่ยงจะเกิดขึ้นระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน ทำให้นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มมากขึ้น จนทำให้วานนีัทองคำกลับขึ้นไปทำ High ใกล้ๆ กับระดับ 1800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยทำจุดสูงสุดของวันเมื่อวานนี้ที่ระดับ 1805 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยตลาดสัญญาทองคำ COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน ธ.ค. เพิ่มขึ้นอีก 2 ดอลลาร์หรือ 0.11% ปิดที่ราคา 1,789.7 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ทองคำโดนสกัดการพุ่งขึ้นเมื่อวานนี้จากการแข็งค่าของดอลลาร์อีกครั้งหลังเฟดได้ออกมาส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหญ่อีกครั้ง จนทำให้ดอลลาร์กลับมาแข็งค่ากดดันราคาทองคำที่มีราคาที่แพงขึ้น ทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งปล่อยเทขายทำกำไรจากความกังวลดังกล่าว แต่ก็มีนักลงทุนส่วนหนึ่งที่วางเป้าหมายทำกำไรในบริเวณ 1800 เช่นกัน ทำให้ราคาบริเวณดังกล่าวเกิดความไม่สมดุลย์ ทั้งนักลงทุนที่มองเห็นกำไรที่เริ่มลดลงเกิดความกังวลต่อผลกำไรรอบนี้ก็เทขายออกมาเพื่อปรับฐานราคากันใหม่อีกครั้ง ทองคำจึงเป็นสิ่งที่เวลานี้ต้องมีการวางแผนสำรองการคาดหมายไว้มากกว่า 1 แผนเสมอ
เจ้าหน้าที่เฟดคือ แมรี เดลี่ ประธานเฟดในซานฟรานซิสโก ได้ออกมากล่าวกับสำนักข่าว CNBC ว่า “เฟดยังมีหนทางอีกยาวไกล ก่อนที่อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในความควบคุมได้ ซึ่งน่าจะชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น”
และเจ้าหน้าที่อีกคนคือ นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานเฟดประจำชิคาโก ได้ออกมาระบุว่ามีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งสำคัญอีกครั้ง
ข้อมูลเหล่านี้จึงเป็นเหตุให้ดอลลาร์กลับมาแข็งค่ากดดันทองคำให้ไม่สามารถกลับไปเหนือระดับ 1800 ดอลลาร์ได้ แต่ทั้งนี้ภาพรวมทองคำก็ยังมีนักลงทุนเฝ้าติดตามสถานการณ์ระดับราคาที่เหมาะสมในการเข้าทำกำไรต่อเนื่องเสมอ โดยเมื่อทองคำขยับขึ้นก็มักจะมีการทำกำไรสลับออกมาเป็นระยะๆ
ทางเทคนิควันนี้ภาพรวมทองคำยังเห็นการปรับฐานราคาเหนือบริเวณ Support zone 1746-1755 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากวันนี้ทองคำไม่สามารถขึ้นไปยืนเหนือระดับ 1781-1790 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้นั้น ก็อาจส่งผลให้ราคาทองคำกลับมาอ่อนค่าลงไปได้อีกครั้ง ทั้งนี้เราได้ประเมินแนวรับต้านสำคัญที่ระดับ 1768 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากทองคำผ่านตรงจุดนี้ไปได้ ก็ยังเป็นโอกาสให้นักลงทุนเข้าซื้อขายในระยะสั้นๆ ได้ ใครที่รับความเสี่ยงได้ก็อาจเสี่ยงเปิดซื้อทำกำไรระยะสั้นที่ระดับแนวต้าน 1781-1790 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สำหร้บเป้าหมายกำไรระหว่างวัน หากทองคำได้รับแรงหนุนเหนือแนวต้าน 1781-1790 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อีกครั้ง ประเมินแนวทำกำไรระหว่างวันที่ระดับ 1796-1803 ดอลลาร์ต่อออนซ์
=================================
กลยุทธ์การเทรดทองคำกรอบรายชั่วโมง
=================================
Short Position : รอขายบริเวณ 1781-1790 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากราคาทองคำไม่สามารถผ่านแนวต้านบริเวณนี้ขึ้นไปได้ พิจารณเข้าเก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้น เป้าหมายที่แนวรับ 1767 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากราคาสามารถผ่านแนวรับดังกล่าวได้ก็ให้ชะลอการทำกำไรบางส่วนออกไปก่อน พิจารณาแนวรับถัดไปที่ 1746-1755 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาขยับขึ้นเหนือกว่า 1790 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
Long Position : รอซื้อทองคืนหากราคาทองคำปรับตัวลงมาที่บริเวณ 1755-1746 ดอลลาร์ต่อออนซ์ พิจารณาเข้าเก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้น เป้าหมายการทำกำไรที่ 1781-1790 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากราคาทองคำสามารถขยับขึ้นไปเหนือกว่าก็ให้ชะลอการปิดทำกำไรบางส่วนออกไปก่อน แนวทำกำไรถัดไปประเมินที่ 1796-1803 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายวัน (ระยะกลาง)
-------------------------------------------
Resistance :1780 / 1803 / 1836
-------------------------------------------
Support : 1756 / 1727 / 1681
-------------------------------------------
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายชั่วโมง (ระยะสั้น)
-------------------------------------------
Resistance : 1781 / 1790 / 1796
-------------------------------------------
Support : 1754 / 1746 / 1733
-------------------------------------------
แนวโน้มทิศทางทองคำวันนี้
Time Frame H1 = Uptrend
Time Frame H4 = Uptrend
Time Frame Day = Downtrend
Time Frame Week = Uptrend
Time Frame Month = Uptrend
-------------------------------------------------
กองทุน SPDR ถือครองทองคำ (เมษายน)
-------------------------------------------------
สถานะการถือครองทองคำ = ขายออก -2.90 ตัน
คงถือสุทธิ = 1,002.97 ตัน
ราคาซื้อขายล่าสุด = 1,760.75 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ปรับการถือครองครั้งที่ = 1
รวมการเคลื่อนไหวล่าสุด = -2.90 ตัน
-------------------------------------------------
*การลงทุนมีความเสี่ยงโปรดใช้วิจารณญาณให้รอบคอบก่อนการลงทุนทุกครั้ง
**ข้อมูลจากการวิเคราะห์ไม่ได้เป็นเครื่องมือชี้นำระดมทุน เพียงเป็นเครื่องมือประกอบความรู้ในการลงทุนในแต่ละวันเท่านั้น จึงไม่มีส่วนต่อความรับผิดชอบใดๆ อันเกิดขึ้นในภายหลัง
***การวิเคราะห์เป็นเพียงสมมุติฐานค่าสถิติจากอดีต จึงไม่ได้เป็นเครื่องมือการันตี 100% ต่อการสร้างผลกำไรในอนาคต
วิเคราะห์ทองคำจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม 2565 ทองคำเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาปรับบวกเล็กน้อย รับการฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง
ทองคำช่วงนี้เรียกว่าผูกติดกับหมัดของสกุลเงินดอลลาร์จริงๆ พอฝั่งโน้นเบาแรงก็จะขยับขึ้นได้ แต่ก็ยังถูกจำกัดจากการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ทำให้การปรับฟื้นไม่ได้ดีเท่าที่ควรนัก
การร่วงลงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในสัปดาห์ที่แล้วก็พอเป็นปัจจัยให้เงินไหลเข้ามาระบบของทองคำได้บ้าง โดยดาวโจนส์ร่วงลง 2.9% ดัชนี S&P500 ร่วงลง 3.0% และ ดัชนี Nasdaq ร่วงลง 3.8%
สำหรับในสัปดาห์นี้นักลงทุนเฝ้าติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ ของสหรัฐฯ เพื่อที่จะทำการประเมินแนวทางการลงทุน และทิศทางแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานธนาคารกลางสหรัฐ สาขาเซนต์หลุยต์ กล่าวไว้ว่าการเทขายหุ้นสหรัฐในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมายแต่อย่างใด เพราะส่วนหนึ่งนั้นการเทขายออกของหุ้นเกิดจากความกังวลในเรื่องการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคากลางสหรัฐฯ และเขาได้ยืนยันว่าเศรษฐกิจของสหรัฐจะไม่เกิดภาวะถดถอยในปีนี้และปีหน้า นอกจากจะมีเหตุการณ์เหนือความคาดหมายเกิดขึ้นกับระบบของเศรษฐกิจสหรัฐ
มีข้อมูลจาก Refinitiv Lipper ได้ออกมาชี้แจงว่า นักลงทุนทั่วโลกขณะนี้ได้มีการปรับลดขนาดการลงทุนในกลุ่มของกองทุนพันธบัตรและกองทุนหุ้นในสัปดาห์นี้ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวเรื่องของเงินเฟ้อ และการปรับอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าว จนอาจเป็นเหตุให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถอถอยได้ นั่นจึงอาจเป็นเหตุให้ทองคำอาจมีแรงซื้อเข้าหนุนให้วิ่งกลับไปเหนือ 1850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อีกครั้ง
สัญญาตลาดทองคำ COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.9 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 0.05% ปิดที่ระดับ 1,842.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ประเมินทางเทคนิคทองคำวันนี้ โบรกเกอร์ FXCM
ทองคำทางเทคนิคในกรอบรายวันกำลังวิ่งตามแบบของ Harmonic Pattern (Gartley) แต่ก็ยังมีแนวต้านสำคัญที่อาจะเป็นอุปสรรค์ต่อการปรับฟื้นของทองคำได้ที่ระดับ 1891 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยเส้นค่าเฉลี่ย 50 วันนั้นยังไม่มีการปรับขึ้นมาในระหว่างนี้ แต่เส้นค่าเฉลี่ย 200 ในระยะยาวได้มีการปรับขึ้นต่อเนื่อง แม้ก่อนหน้าทองคำจะย่อตัวลงแรงก็ตาม แต่ภาวะแนวโน้มระยะยาวทองคำก็ยังมีโอกาสปรับขึ้นสูงได้
สำหรับแนวทางระยะสั้นกรอบรายชั่วโมงนั้น ทองคำกำลังพยายามขึ้นทดสอบแนวต้านที่ 1858-1860 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยหากราคาทองคำไม่สามารถผ่านแนวต้านบริเวณดังกล่าวได้นั้น อาจทำให้มีการเทขายทำกำไรระยะสั้นได้ที่บริเวณดังกล่าว
=================================
กลยุทธ์การเทรดทองคำกรอบรายชั่วโมง
=================================
Short Position : หากราคาทองคำไม่สามารถผ่านแนวต้านบริเวณ 1858-1860 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้นั้น อาจเสี่ยงเปิด “ขาย” ได้จากบริเวณดังกล่าว โดยเน้นการลงทุนระยะสั้นเป็นหลัก พิจารณาปิดกำไรหากราคาทองคำไม่หลุด 1849 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากหลุดลงไปก็ให้ชะลอการปิดทำกำไรบางส่วนออกไปก่อน ประเมินแนวรับถัดไปที่ 1839 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำปรับตัวสูงกว่า 1860 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
Long Position : หากราคาทองคำปรับตัวย่อลงทดสอบแนวรับบริเวณ 1849 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แล้วไม่สามารถผ่านแนวรับดังกล่าวลงไปได้นั้น ให้เสี่ยงเปิด “ซื้อ” ได้จากบริเวณดังกล่าว เน้นการลงทุนระยะสั้น เป้าหมายกำไรที่ 1858-1860 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากราคาทองคำปรับตัวขึ้นเหนือเป้าหมายดังกล่าวให้ชะลอปิดทำกำไรบางส่วนออกไปก่อน ประเมินแนวต้านถัดไปที่ 1865-1870 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำปรับตัวต่ำกว่า 1849 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายวัน (ระยะกลาง)
-------------------------------------------
Resistance :1891 / 1925 / 1960
-------------------------------------------
Support : 1842 / 1813 / 1780
-------------------------------------------
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายชั่วโมง (ระยะสั้น)
-------------------------------------------
Resistance : 1859 / 1865 / 1870
-------------------------------------------
Support : 1849 / 1839 / 1833
-------------------------------------------
แนวโน้มทิศทางทองคำวันนี้
Time Frame H1 = Uptrend
Time Frame H4 = Down trend
Time Frame Day = Uptrend
Time Frame Week = Up trend
Time Frame Month = Up trend
-------------------------------------------------
กองทุน SPDR ถือครองทองคำ (เมษายน)
-------------------------------------------------
สถานะการถือครองทองคำ = ล่าสุดซื้อเพิ่ม 7.25 ตัน
คงถือสุทธิ = 1,063.43 ตัน
ราคาซื้อขายล่าสุด = 1,846.35 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ปรับการถือครองครั้งที่ = 13
รวมการเคลื่อนไหวล่าสุด = -31.12 ตัน
-------------------------------------------------
*การลงทุนมีความเสี่ยงโปรดใช้วิจารณญาณให้รอบคอบก่อนการลงทุนทุกครั้ง
**ข้อมูลจากการวิเคราะห์ไม่ได้เป็นเครื่องมือชี้นำระดมทุน เพียงเป็นเครื่องมือประกอบความรู้ในการลงทุนในแต่ละวันเท่านั้น จึงไม่มีส่วนต่อความรับผิดชอบใดๆ อันเกิดขึ้นในภายหลัง
***การวิเคราะห์เป็นเพียงสมมุติฐานค่าสถิติจากอดีต จึงไม่ได้เป็นเครื่องมือการันตี 100% ต่อการสร้างผลกำไรในอนาคต
วิเคราะห์ทองคำพุธที่ 18 พฤษภาคม 2565 ทองคำปรับบวกขึ้นมาได้ 4.9 ดอลลาร์วานนี้หลังร่วงลงมาต่อเนื่อง
เมื่อวานนี้ผลการวิเคราะห์ทองคำก็เป็นไปตามที่วาดไว้อีกวันหนึ่ง วันนี้ผมมองว่าการปรับขึ้นในช่วงสั้นๆ เมื่อวานนี้ยังไม่เห็นการปรับขึ้นของทองคำที่ชัดเจน เนื่องจากพิจารณาในกรอบรายวันแล้วเรายังเห็นว่าทองคำยังมีแนวทางของการทดสอบราคาที่ระดับ 1842 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ปัจจัยเสริมที่ทำให้คิดเช่นนั้นก็มาจากบริเวณดังกล่าวมีเส้นค่าเฉลี่่ย 200 วัน (SMA200) ในแนวดังกล่าวอยู่ จึงต้องติดตามกันว่าที่ระดับบริเวณดังกล่าวทองคำจะสามารถฝ่ากลับขึ้นไปได้หรือไม่ ถ้าฝ่าขึ้นไปได้ เรามีโอกาสได้เห็นทองคำปรับขึ้นเหนือ 1850 ได้อีกครั้ง
วานนี้การปรับฟื้นของทองคำทำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นหลังขึ้นทดสอบแนวต้านบริเวณ 1829-1840 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่จากการกลับมาพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ และความกังวลเกี่ยวกับการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กลับมากดดันราคาทองคำอีกครั้ง สำหรับกองทุน SPDR กองทุนทองคำขนาดใหญ่ของโลกก็มีการปรับลดการถือครองต่อเนื่อง ทำให้น้ำหนักราคาทองคำจะกลับไปสู่ตลาดกระทิง (Bullish) ยังไม่คงเห็นเค้าลางชัดเจนสักเท่าไหร่ เหมือนเรายังยืนอยู่กลางสายหมอกที่เส้นทางการลงทุนทองคำยังไม่ชัดเจนมากนัก ก็ต้องมาดูว่า 1800 จะโดนทลายลงเมื่อไหร่ ซึ่งก่อนหน้าที่ผมคาดการณ์แนวรับไว้ที่ระดับ 1780 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ผมก็ยังยืนยันว่าโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับฐานลงมาสู่ระดับดังกล่าวยังมีความเป็นไปได้อยู่ ซึ่งหากหลุดจากแนวนี้ไม่ต้องพูดแล้วระดับ 1800 ในช่วงเวลาที่เรายังต้องติดตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
วันนี้ขอเล่ายาวๆ ถ้าใครอ่านก็จะมีประโยชน์ บริบททองคำในอดีตคือเครื่องมือต่อสู้กับเงินเฟ้อ แต่ต้องเข้าใจว่าปัจจุบันตลาดการลงทุนมันถูกเปลี่ยนผันไปจากเดิมเกือบทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการเกิดใหม่ของตลาดการลงทุน สินทรัพย์ใหม่ที่นักลงทุนรุ่นใหม่ๆ ให้ความสนใจและเข้าทำการซื้อขายอย่างกว้างขวาง ทองคำจึงลดสเน่ห์ลงไปพอสมควร แต่ด้วยมูลค่าความน่าเชื่อถือทองคำจึงยังคงเป็นสินทรัพย์ถาวรที่ใครๆ ยังให้ความมั่นใจอยู่
สัญญาตลาดทองคำ COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.9 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 0.27% ปิดที่ระดับ 1,818.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ประเมินทางเทคนิคทองคำวันนี้ โบรกเกอร์ FXCM
ตลาดทองคำทางเทคนิควันนี้ก็คงมีแนวทางเดิมอยู่ในกรอบรายวันหากราคาทองคำยังไม่สามารถผ่าน 1842 ดอลลาร์ต่อออนซ์ขึ้นไปได้นั้น ก็ยังมีโอกาสที่จะถูกขายออกทำกำไรระยะสั้นได้อีก ในกรอบระยะสั้นรายชั่วโมงในช่วงเช้านี้ถ้าราคาทองคำยังไม่หลุด 1810-1792 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มีโอกาสที่จะปรับฟื้นขึ้นระยะสั้นเพื่อทดสอบแนวต้าน 1822-1830 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ถ้าหากราคาทองคำไม่ผ่านแนวนี้ก็จะเห็นการปรับตัวต่ำของทองคำได้อีกครั้งหนึ่ง
=================================
กลยุทธ์การเทรดทองคำกรอบรายชั่วโมง
=================================
Short Position : หากราคาทองคำไม่สามารถผ่านแนวต้านบริเวณ 1822-1830 ขึ้นไปได้นั้น อาจเสี่ยงเปิด “ขาย” ได้จากบริเวณดังกล่าว โดยคงเน้นการลงทุนระยะสั้นเท่านััน พิจารณาทำกำไรหากราคาทองคำปรับย่อลงมาไม่เกินแนวรับ 1810-1792 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำปรับสูงกว่า 1830 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
Long Position : หากราคาทองคำปรับทรงตัวได้ในบริเวณ 1810-1792 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อาจเสี่ยงเปิด “ซื้อ” เน้นการลงทุนระยะสั้น พิจารณาปิดทำกำไรที่แนวต้าน 1830-1840 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำปรับต่ำกว่า 1792 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายวัน (ระยะกลาง)
-------------------------------------------
Resistance :1842 / 1891 / 1925
-------------------------------------------
Support : 1780 / 1701 / 1600
-------------------------------------------
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายชั่วโมง (ระยะสั้น)
-------------------------------------------
Resistance : 1822 / 1830 / 1840
-------------------------------------------
Support : 1810 / 1799 / 1792
-------------------------------------------
แนวโน้มทิศทางทองคำวันนี้
Time Frame H1 = Down trend
Time Frame H4 = Down trend
Time Frame Day = Down trend
Time Frame Week = Up trend
Time Frame Month = Up trend
-------------------------------------------------
กองทุน SPDR ถือครองทองคำ (เมษายน)
-------------------------------------------------
สถานะการถือครองทองคำ = ล่าสุดลดลง -4.07 ตัน
คงถือสุทธิ = 1,049.21 ตัน
ราคาซื้อขายล่าสุด = 1,815.00 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ปรับการถือครองครั้งที่ = 11
รวมการเคลื่อนไหวล่าสุด = -45.34 ตัน
-------------------------------------------------
*การลงทุนมีความเสี่ยงโปรดใช้วิจารณญาณให้รอบคอบก่อนการลงทุนทุกครั้ง
**ข้อมูลจากการวิเคราะห์ไม่ได้เป็นเครื่องมือชี้นำระดมทุน เพียงเป็นเครื่องมือประกอบความรู้ในการลงทุนในแต่ละวันเท่านั้น จึงไม่มีส่วนต่อความรับผิดชอบใดๆ อันเกิดขึ้นในภายหลัง
***การวิเคราะห์เป็นเพียงสมมุติฐานค่าสถิติจากอดีต จึงไม่ได้เป็นเครื่องมือการันตี 100% ต่อการสร้างผลกำไรในอนาคต
วิเคราะห์ทองคำอังคารที่ 17 พฤษภาคม 2565 ทองคำปรับฐานช่วงเช้ามืดวันนี้ หลังร่วงลงต่อเนื่องมาหลายวัน
การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์กลับมาอีกครั้งจากช่วงการปรับฐานราคาจากระดับ 104 ซึ่งมีโอกาสที่ดอลลาร์จะปรับฐานเข้าใกล้ 103 ก่อนจะตั้งทรงตัวได้หรือไม่นั้น ถ้าดอลลาร์ทรงตัวได้ในแนว 103 การปรับฟื้นที่นักลงทุนจะเข้าซื้อจากแนวดังกล่าวอีกครั้งก็มีความเป็นไปได้สูง จึงอาจเป็นเหตุผลให้เกิดการกดดันราคาทองคำขึ้นได้อีกครั้ง
การอ่อนค่าของดอลลาร์นั้นส่วนหนึ่งก็มาจากหลังมีการเปิดเผยตัวเลขดัชนีการผลิต (Empire State Index) จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก ร่วงลงสู่ระดับติดลบในเดือนพฤษภาคม โดยร่วงลงแตะ -11.6 จากระดับ 24.6 ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งการที่ตัวเลขติดลบต่ำกว่า 0 เป็นเครื่องสะท้อนถึงการหดตัวของภาคการผลิตในนิวยอร์ก นักลงทุนจึงเข้าซื้อทองคำในช่วงจังหวะดังกล่าว เมื่อเห็นความอ่อนไหวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้
ตลาดทองคำฟื้นคืนกลับมาในช่วงปรับฐานราคาอีกครั้ง โดยทองคำมีช่วงจังหวะน่าเข้าซื้อที่ใกล้ระดับ 1780 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้แรงซื้อเข้ามาสนับสนุนพร้อมกับการเทขายทำกำไรของนักลงทุนที่เข้าคำสั่ง “ขาย” ไว้ก่อนหน้า ซึ่งถ้าพิจารณาจากกรอบรายวันที่เราพบเจอรูปแบบของ Harmonic pattern “Gartley” นั้น ถ้าไม่เสียสมดุลที่ระดับ 1780 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็ยังมีโอกาสที่จะปรับราคาขึ้นจากแนวดังกล่าวได้ ตามรูปแบบที่ควรจะเป็น แต่เนื่องจากการปรับฐานระยะสั้นยังคงมีอุปสรรคจำกัด
ในส่วนของทองคำนั้นหากพิจารณาจากกรอบรายวัน โอกาสที่ยังมองเห็นถึงการกลับมาของตลาดกระทิง (Bullish) นั้นยังต้องดูว่าระดับ 1,780 จะรับราคาสุดท้ายไว้ได้หรือไม่ (เกิดแนวรับที่ฟอร์ม harmonic pattern gartley) ถ้าทองคำสามารถทรงตัวได้ที่แนวทางดังกล่าว (Day) เราก็ยังพอจะมีลุ้นว่าทองคำอาจมีแรงซื้อระยะสั้นเข้าหนุนตลาดในจังหวะที่ราคาทองคำปรับตัวต่ำเช่นนี้ มันเป็นโอกาสของการเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น ในตอนที่ดอลลาร์กำลังเข้าช่วงการปรับฐานราคาในระดับ 104-103 ตรงนี้เราอาจมองประเด็นการเข้าซื้อในระยะสั้นได้เช่นกัน โดยประเมินแนวต้านไว้ดังนี้ 1891, 1925, 1960 และ 2001 ตามลำดับ
สัญญาตลาดทองคำ COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.8 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 0.32% ปิดที่ระดับ 1,814 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ประเมินทางเทคนิคทองคำวันนี้ โบรกเกอร์ FXCM
ตลาดทองคำฟื้นคืนกลับมาในช่วงปรับฐานราคาอีกครั้ง โดยทองคำมีช่วงจังหวะน่าเข้าซื้อที่ใกล้ระดับ 1780 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้แรงซื้อเข้ามาสนับสนุนพร้อมกับการเทขายทำกำไรของนักลงทุนที่เข้าคำสั่ง “ขาย” ไว้ก่อนหน้า ซึ่งถ้าพิจารณาจากกรอบรายวันที่เราพบเจอรูปแบบของ Harmonic pattern “Gartley” นั้น ถ้าไม่เสียสมดุลที่ระดับ 1780 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็ยังมีโอกาสที่จะปรับราคาขึ้นจากแนวดังกล่าวได้ ตามรูปแบบที่ควรจะเป็น แต่เนื่องจากการปรับฐานระยะสั้นยังคงมีอุปสรรคจำกัดในกรอบรายวันเรายังคงเห็นเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน (Simple Moving Average 200) อยู่เหนือระดับราคาที่บริเวณ 1842-1850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อาจเป็นเหตุผลที่ทองคำปรับขึ้นได้เพียงระยะสั้นในรอบแรก ก่อนที่จะปรับตัวย่อได้ต่อ ฉะนั้นนักลงทุนควรให้ความสำคัญแนวต้านบริเวณ 1842-1850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ไว้ก่อน หากราคาทองคำไม่สามารถผ่านในบริเวณดังกล่าวได้ นักลงทุนอาจตัดสินใจซื้อขายได้จากบริเวณดังกล่าว แนะนำให้ติดตามแนวต้านนั้นไว้
สำหรับกรอบรายชั่วโมงผู้ลงทุนระยะสั้น ไม่ควรเข้าซื้อขายระยะกลางหรือยาวในเวลานี้ เนื่องจากดอลลาร์ยังคงมีความผันผวนในระยะสั้น ซึ่งผมประเมินไว้ว่าดอลลาร์พยายามจะปรับขึ้นเหนือ 104 เพื่อเข้าสู่ระดับ 105 ตรงนี้จึงยังคงเป็นแรงกดดันต่อเนื่องที่อาจทำให้ทองคำอาจมีการปรับร่วงมาทดสอบแนวรับ 1780 ได้อีกครั้ง หากแนวทางนี้ปรากฎก็ให้นักลงทุนได้เตรียมการวางแผนล่วงหน้าเพื่อหาทางออกในการเข้าทำกำไรให้เกิดประโยชน์กับพอร์ตของนักลงทุนให้ได้มากที่สุด สำหรับช่วงเช้ามืดวันนี้ราคาทองคำปรับฟื้นจนหลุดแนวต้าน 1820 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากราคาทองคำยังขยับไม่ได้เกินจากระดับ 1829-1840 ดอลลาร์ต่อออนซ์สำหรับกรอบรายชั่วโมง อาจมีช่วงปรับฐานย่อตัวเกิดขึ้นได้ จึงควรระมัดระวังแนวทางดังกล่าวไว้
=================================
กลยุทธ์การเทรดทองคำกรอบรายชั่วโมง
=================================
Short Position : หากราคาทองคำไม่สามารถผ่านแนวต้านบริเวณ 1829-1840 ขึ้นไปได้นั้น อาจเสี่ยงเปิด “ขาย” ได้จากบริเวณดังกล่าว โดยคงเน้นการลงทุนระยะสั้นเท่านััน พิจารณาทำกำไรหากราคาทองคำปรับย่อลงมาไม่เกินแนวรับ 1810 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากสามารถผ่านแนวรับดังกล่าวลงไปได้ก็ให้ปิดการทำกำไรบางส่วนออกไปก่อน ประเมินแนวรับถัดไปที่ 1799 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำปรับสูงกว่า 1840 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
Long Position : หากราคาทองคำปรับทรงตัวได้ในบริเวณ 1820-1822 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อาจเสี่ยงเปิด “ซื้อ” เน้นการลงทุนระยะสั้น พิจารณาปิดทำกำไรที่แนวต้าน 1834-1840 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำปรับต่ำกว่า 1820 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายวัน (ระยะกลาง)
-------------------------------------------
Resistance :1842 / 1891 / 1925
-------------------------------------------
Support : 1780 / 1701 / 1600
-------------------------------------------
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายชั่วโมง (ระยะสั้น)
-------------------------------------------
Resistance : 1829 / 1834 / 1840
-------------------------------------------
Support : 1822 / 1810 / 1799
-------------------------------------------
แนวโน้มทิศทางทองคำวันนี้
Time Frame H1 = Down trend
Time Frame H4 = Down trend
Time Frame Day = Down trend
Time Frame Week = Up trend
Time Frame Month = Up trend
-------------------------------------------------
กองทุน SPDR ถือครองทองคำ (เมษายน)
-------------------------------------------------
สถานะการถือครองทองคำ = ล่าสุดลดลง -2.61 ตัน
คงถือสุทธิ = 1,053.28 ตัน
ราคาซื้อขายล่าสุด = 1,823.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ปรับการถือครองครั้งที่ = 10
รวมการเคลื่อนไหวล่าสุด = -41.27 ตัน
-------------------------------------------------
*การลงทุนมีความเสี่ยงโปรดใช้วิจารณญาณให้รอบคอบก่อนการลงทุนทุกครั้ง
**ข้อมูลจากการวิเคราะห์ไม่ได้เป็นเครื่องมือชี้นำระดมทุน เพียงเป็นเครื่องมือประกอบความรู้ในการลงทุนในแต่ละวันเท่านั้น จึงไม่มีส่วนต่อความรับผิดชอบใดๆ อันเกิดขึ้นในภายหลัง
***การวิเคราะห์เป็นเพียงสมมุติฐานค่าสถิติจากอดีต จึงไม่ได้เป็นเครื่องมือการันตี 100% ต่อการสร้างผลกำไรในอนาคต
วิเคราะห์ทองคำจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม 2565 ทองคำนิวยอร์กวันศุกร์ที่ผ่านมาร่วงใกล้หลุด 1,810-1,800 ดอลลาร์
ตลาดทองคำนิวยอร์กยังคงเคลื่อนไหวปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากการแข็งค่าของดอลลาร์เหนือ 104 ทำให้ทองคำอยู่ในภาวะกดดันราคาลงจนหลุดระดับคาดการณ์ไว้หลายจุดด้วยกัน จนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาทองคำปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ระดับ 1,797.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในระหว่างวันทองคำสามารถรีบาวน์กลับมายืนเหนือระดับ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อีกครั้งโดยปิดระดับ 1808.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้การอ่อนค่าของทองคำยังคงอาจมีต่อเนื่องอีกสักระยะ เนื่องจากนักลงทุนยังคงให้ความสำคัญต่อดอลลาร์ จากการที่ตลาดหุ้นร่วงติดต่อกัน และ Bitcoin ที่โดนโจมตีจนเกิดความเสียหายอย่างหนัก ทำให้นักลงทุนแห่เข้ามาถือครองดอลลาร์กันไว้ก่อนในระยะนี้ เพราะปัจจัยเร่งเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยคงเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจเข้าซื้อดอลลาร์ของนักลงทุนในเวลานี้ ซึ่งส่วนตัวผมไม่เชื่อว่าดอลลาร์จะปรับแข็งค่าไปไกลมากนัก เพราะยังงัยระบบกลไกควบคุมค่าเงินก็ยังคงต้องนำออกมาใช้อยู่ดี แต่จะจบลงและเหมาะสมที่ตรงไหน นั่นคือสิ่งที่พวกเราต้องเฝ้ารอและหาคำตอบกันในประเด็นนี้
ในส่วนของทองคำนั้นหากพิจารณาจากกรอบรายวัน โอกาสที่ยังมองเห็นถึงการกลับมาของตลาดกระทิง (Bullish) นั้นยังต้องดูว่าระดับ 1,780 จะรับราคาสุดท้ายไว้ได้หรือไม่ (เกิดแนวรับที่ฟอร์ม harmonic pattern gartley) ถ้าทองคำสามารถทรงตัวได้ที่แนวทางดังกล่าว (Day) เราก็ยังพอจะมีลุ้นว่าทองคำอาจมีแรงซื้อระยะสั้นเข้าหนุนตลาดในจังหวะที่ราคาทองคำปรับตัวต่ำเช่นนี้ มันเป็นโอกาสของการเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น ในตอนที่ดอลลาร์กำลังเข้าช่วงการปรับฐานราคาในระดับ 104-103 ตรงนี้เราอาจมองประเด็นการเข้าซื้อในระยะสั้นได้เช่นกัน โดยประเมินแนวต้านไว้ดังนี้ 1891, 1925, 1960 และ 2001 ตามลำดับ
สัญญาตลาดทองคำ COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ปรับตัวลดลง 10.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 0.58% ปิดที่ระดับ 1,808.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ประเมินทางเทคนิคทองคำวันนี้ โบรกเกอร์ FXCM
สำหรับทองคำในช่วงเช้าวันพรุ่งนี้คาดทองคำจะเคลื่อนไหวในกรอบมากกว่า เนื่องจากตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจของสหรัฐไม่มีรายงานในวันดังกล่าว โดยประเมินว่าหากราคาทองคำกรอบระยะสั้น (รายชั่วโมง) ยังไม่สามารถวิ่งขึ้นเหนือระดับ 1820 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้นั้น อาจเกิดการเทขายทองคำระยะสั้นออกมาอีกรอบประเมินแนวรับที่บริเวณ 1799 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับกรอบรายวันจากที่ได้เกิด pattern ของ harmonic pattern gartley ขึ้นนั้น นักลงทุนสามารถเฝ้ารอติดตามเข้าซื้อทองคำได้ในช่วงเวลานี้ โดยเป้าหมายที่ควรจับตามองคือระดับแนวรับ 1780 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งถ้าไม่หลุดในแนวรับดังกล่าว แนะนำให้เข้าซื้อทองคำในระดับดังกล่าวเพื่อการเข้าเก็งกำไรระยะสั้นในรอบ
=================================
กลยุทธ์การเทรดทองคำกรอบรายชั่วโมง
=================================
Short Position : หากราคาทองคำไม่สามารถผ่านแนวต้านบริเวณ 1817-1821 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้น้้น ให้เสี่ยงเปิด “ขาย” ในบริเวณดังกล่าว โดยเน้นการลงทุนระยะสั้น พิจารณาเป้าหมายกำไรที่แนวรับ 1798 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำปรับตัวขึ้นสูงกว่า 1821 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
Long Position : หากราคาทองคำสามารถทรงตัวได้ที่บริเวณ 1798-1799 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ให้เสี่ยงเปิด “ซื้อ” ได้จากบริเวณดังกล่าว เน้นการลงทุนระยะสั้นเท่านั้น พิจารณาเป้าหมายแนวต้าน 1810 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำปรับตัวต่ำกว่า 1798 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายวัน (ระยะกลาง)
-------------------------------------------
Resistance :1842 / 1891 / 1925
-------------------------------------------
Support : 1780 / 1701 / 1600
-------------------------------------------
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายชั่วโมง (ระยะสั้น)
-------------------------------------------
Resistance : 1822 / 1834 / 1840
-------------------------------------------
Support : 1800 / 1799 / 1792
-------------------------------------------
แนวโน้มทิศทางทองคำวันนี้
Time Frame H1 = Down trend
Time Frame H4 = Down trend
Time Frame Day = Down trend
Time Frame Week = Up trend
Time Frame Month = Up trend
-------------------------------------------------
กองทุน SPDR ถือครองทองคำ (เมษายน)
-------------------------------------------------
สถานะการถือครองทองคำ = ล่าสุดลดลง -4.93
คงถือสุทธิ = 1,055.89 ตัน
ราคาซื้อขายล่าสุด = 1,810.85 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ปรับการถือครองครั้งที่ = 9
รวมการเคลื่อนไหวล่าสุด = -38.66 ตัน
-------------------------------------------------
*การลงทุนมีความเสี่ยงโปรดใช้วิจารณญาณให้รอบคอบก่อนการลงทุนทุกครั้ง
**ข้อมูลจากการวิเคราะห์ไม่ได้เป็นเครื่องมือชี้นำระดมทุน เพียงเป็นเครื่องมือประกอบความรู้ในการลงทุนในแต่ละวันเท่านั้น จึงไม่มีส่วนต่อความรับผิดชอบใดๆ อันเกิดขึ้นในภายหลัง
***การวิเคราะห์เป็นเพียงสมมุติฐานค่าสถิติจากอดีต จึงไม่ได้เป็นเครื่องมือการันตี 100% ต่อการสร้างผลกำไรในอนาคต
วิเคราะห์ทองคำศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม 2565 ทองคำนิวยอร์กยังปิดร่วงลงในวันพฤหัสบดี เหตุเดิมดอลลาร์แข็งค่า
ทองคำนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ยังปรับร่วงลงจากการแข็งค่าของดอลลาร์ โดยหลักๆ ก็คงเป็นความกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่เห็นได้ว่า FedWatch tool ได้ชี้ว่านักลงทุนเชื่อมั่น 100% ว่าเฟดจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 0.50% ในการประชุมนโยบายการเงินอีก 2 ครั้ง ในเดือนมิ.ย. และ ก.ค. ทำให้ดัชนีดอลลาร์ยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องสลับช่วงปรับฐานสั้น ทำให้ทองคำเจอแรงกดดันตลอดเวลา แม้ระหว่างวันอาจมีการปรับขึ้นได้บ้างของราคาทองคำ แต่ก็ไม่อาจปรับขึ้นจากแรงซื้อระยะยาว เพียงมีแต่การกทำกำไรระยะสั้นๆ ตามการทดสอบแนวรับและแนวต้านสำคัญๆ
สัญญาตลาดทองคำ COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ปรับตัวลดลง 29.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 1.57% ปิดที่ระดับ 1,824.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ประเมินทางเทคนิคทองคำวันนี้ โบรกเกอร์ FXCM
ประเมินทางเทคนิคทองคำวันนี้พิจารณาในกรอบรายวันกันก่อน กรอบรายวันตอนนี้ทางเทคนิคเราได้เห็นรูปแบบของ Gartley Pattern เกิดขึ้นมาโดยหากพิจารณาตามหลักการของรูปแบบดังกล่าวช่วงโอกาสในการเข้าซื้อประเมินไว้ที่ระดับ 1800-1809 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเป้าหมายราคาระดับช่วงแนวต้านบริเวณที่ 1 ระหว่าง 1977-1998 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนวต้านบริเวณที่ 2 ระหว่าง 2048-2071 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทองคำจะกลับไปเหนือระดับ 1900 แล้วทดสอบบริเวณ 2000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้หรือไม่นั้น หากพิจารณาตามเหตุการณ์ ณ ปัจจุบัน โอกาสที่จะเป็นก็มีความเป็นไปได้ ไม่ว่าความไม่แน่นอนจากสงครามที่อาจส่อเค้าขยายวงกว้างขึ้น และเหตุการแพร่ระบาดโควิดที่พบเป็นรายแรกที่เกาหลีเหนือ และที่จะไม่กล่าวถึงเลยไม่ได้คือภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงทั่วโลกขณะนี้ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่จะมีการเร่งปรับอัตราดอกเบี้ยรุนแรงขึ้น โดยคาดว่าจะปรับที่ระดับ 0.50% ในอีกสองครั้งที่จะมีการประชุมต่อจากนี้ จึงคงเป็นเหตุผลให้เกิดความผันผวนต่อราคาทองคำตลอดเวลา ปกติแล้วผมจะเป็นคนที่ชอบหารูปแบบของ Harmonic ในการตัดสินใจวางแผนการเทรดในกรอบรายวันเป็นหลัก ซึ่งจากรูปแบบนี้ถ้าประเมินกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ผมมีความเชื่อลึกๆ ว่าเรื่องการแข็งค่าของดอลลาร์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกลไกระยะสั้น ผมไม่เชื่อว่าดอลลาร์จะแข็งค่าสูงสุดที่เป็นอยู่ขณะนี้ได้ยาวเกินไป เพราะก็จะไม่ส่งผลดีต่อกลุ่มผู้ค้าส่งออกของสหรัฐฯ โดยเฉพาะความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากภาวะสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ที่มีเรื่องพลังงานเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องเป็นเรื่องต้นๆ ชาติยุโรปก็คงตัดสินใจซื้อพลังงานราคาแพงจากสหรัฐฯ ได้ลำบากมากขึ้น ยิ่งค่าดอลลาร์แข็งค่าเช่นนี้ก็จะส่งผลต่อราคาพลังงานที่จะนำเข้าจากสหรัฐฯ โดยตรงอยู่แล้ว เรื่องนี้จึงเป็นเหตุให้ติดตามได้ตลอดเวลาจริงๆ ประเมินสำหรับกรอบรายวันนั้น ถ้าหากรูปของ Harmonic (Gartley) ที่เปิดขึ้นไม่เสียทรง คาดว่าถ้าไม่หลุด 1800-1809 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวขึ้นไปได้อีกครั้ง แต่ทั้งนี้ถ้าพิจารณาส่วนย่อยนั้นเรายังคงเห็นอุปสรรคจากแรงซื้อที่ยังไม่สูงพอเท่าไหร่นัก เมื่อพิจารณาจากเส้น SMA50 ที่บริเวณ 1900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จะเป็นอุปสรรคพอสมควรที่จะทำให้ราคาทองคำฟื้นคืนตัวกลับไปได้อีกอย่างมั่นคงเหนือระดับ 1900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็ต้องเฝ้าติดตามหากราคาทองคำปรับตัวขึ้นไปได้จริง และเข้าใกล้บริเวณดังกล่าว
=================================
กลยุทธ์การเทรดทองคำกรอบรายชั่วโมง
=================================
Short Position : หากราคาทองคำปรับตัวขึ้นไม่ผ่านแนวต้านบริเวณ 1829-1834 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อาจเสี่ยงเปิด “ขาย” ได้จากแนวบริเวณดังกล่าว โดยคงเน้นการลงทุนระยะสั้นเท่านั้น พิจารณาปิดทำกำไรในกรอบแนวรับตั้งแต่ 1822-1810 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 1834 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
Long Position : หากราคาทองคำทรงตัวเหนือแนวรับบริเวณ 1822-1810 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้นั้น อาจเสี่ยงเปิด “ซื้อ” ได้จากแนวบริเวณดังกล่าว โดยเน้นการลงทุนระยะสั้นเป็นหลัก ให้พิจารณาปิดทำกำไรในกรอบแนวต้านบริเวณ 1840-1835 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำปรับตัวต่ำกว่า 1810 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายวัน (ระยะกลาง)
-------------------------------------------
Resistance :1842 / 1891 / 1925
-------------------------------------------
Support : 1842 / 1813 / 1780
-------------------------------------------
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายชั่วโมง (ระยะสั้น)
-------------------------------------------
Resistance : 1829 / 1834 / 1840
-------------------------------------------
Support : 1822 / 1810 / 1799
-------------------------------------------
แนวโน้มทิศทางทองคำวันนี้
Time Frame H1 = Down trend
Time Frame H4 = Down trend
Time Frame Day = Down trend
Time Frame Week = Up trend
Time Frame Month = Up trend
-------------------------------------------------
กองทุน SPDR ถือครองทองคำ (เมษายน)
-------------------------------------------------
สถานะการถือครองทองคำ = ล่าสุดลดลง -5.80
คงถือสุทธิ = 1,060.82 ตัน
ราคาซื้อขายล่าสุด = 1,821.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ปรับการถือครองครั้งที่ = 8
รวมการเคลื่อนไหวล่าสุด = -33.73 ตัน
-------------------------------------------------
*การลงทุนมีความเสี่ยงโปรดใช้วิจารณญาณให้รอบคอบก่อนการลงทุนทุกครั้ง
**ข้อมูลจากการวิเคราะห์ไม่ได้เป็นเครื่องมือชี้นำระดมทุน เพียงเป็นเครื่องมือประกอบความรู้ในการลงทุนในแต่ละวันเท่านั้น จึงไม่มีส่วนต่อความรับผิดชอบใดๆ อันเกิดขึ้นในภายหลัง
***การวิเคราะห์เป็นเพียงสมมุติฐานค่าสถิติจากอดีต จึงไม่ได้เป็นเครื่องมือการันตี 100% ต่อการสร้างผลกำไรในอนาคต
วิเคราะห์ทองคำพุธที่ 11 พฤษภาคม 2565 ทองคำยังปรับร่วงต่อเนื่องปัจจัยกดดันจากดอลลาร์เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยเป็นหลัก
ช่วงนี้จะได้ยินบ่อยๆ ถึงอาการเบื่อทองคำจากความผันผวนที่กดดันทองคำตลอดเวลา แต่ผมกลับมองว่านี้คือโอกาสที่จะทำให้เราสามารถหาช่องทางการลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอ ดีกว่านิ่งๆ หรือเป็นเทรนด์ยาวๆ เพราะสายสั้นจะมีโอกาสน้อยกว่าสายยาว สำหรับทองคำเมื่อมองกันที่ภาวะตลาดตอนนี้คงไม่หนีหายจากแรงกดดันจากดอลลาร์เป็นเหตุผลหลักๆ โดยตลาดทองคำร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน ในวันอังคารที่ผ่านมา เหตุความกังวลที่เกี่ยวกับเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐที่คาดว่าจะปรับรุนแรงขึ้นอีก จึงยังเป็นปัจจัยเร่งดอลลาร์ให้ขยับขึ้นในช่วงนี้
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบในเดือนมิถุนายน ได้ปรับตัวลดลง 17.6 ดอลลาร์ หรือ 0.95% ปิดที่ระดับ 1,841 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ทางฝั่งของ FedWatch Tool ได้บ่งชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนัก 75% ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมระหว่างวันที่ 14-15 มิ.ย. ที่จะถึงนี้ ซึ่งได้เพิ่มขึ้นจากระดับ 19% ของเดือนที่แล้ว นักลงทุนได้เฝ้าติดตามรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐประจำเดือนเมษายน ในวันนี้เวลา 19:30 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยนักวิเคราะห์ให้การคาดการณ์ว่า ดัชนี CPI เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคอาจมีการปรับตัวขึ้น 8.1% ในเดือนเมษายน เมื่อเทียบกับรายปี
ประเมินทางเทคนิคทองคำวันนี้ โบรกเกอร์ FXCM
ทางด้านเทคนิคการเทรดนั้น เรายังมองที่กรอบใหญ่เนื่องจากการปรับฐานในกรอบรายวันค่อนข้างชัดเจน จากที่ราคาทองคำได้มีความพยายามปรับตัวลงทดสอบเส้น SMA200 วันแถวๆ แนวบริเวณ 1,842 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งมีความเป็นไปได้ในระยะสั้นอาจมีความผันผวนได้ในแนวบริเวณดังกล่าว แต่ปัจจัยเร่งอื่นๆ ก็คงเป็นประเด็นที่ทำให้เรายังไม่ฟันธง 100% จากการแข็งค่าของดอลลาร์ยังคงเป็นอุปสรรคที่ทองคำจะปรับฟื้นตัวได้ที่บริเวณดังกล่าว แนะนำสำหรับคนเล่นช่วงสั้นอาจหาจังหวะได้จากบริเวณดังกล่าว ในกรณีที่เส้น SMA200 วันรองรับราคาไม่ได้ประเมินแนวรับถัดไปที่ 1,813 และ 1,780 ดอลลาร์ต่อออนซ์ตามลำดับ สำหรับในกรอบรายชั่วโมงนาทีนี้คงไม่มีอะไรที่จะลงเล่นได้แบบเข้าตลาดอย่าอยู่ให้นาน เพราะดูจะปลอดภัยมากกว่าสำหรับการเล่นช่วงนี้ สำหรับรายชั่วโมงวันนี้ถ้าหากราคาทองคำยังไม่ขยับสูงกว่า 1,846-1,855 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อาจมีการเทขายทำกำไรอีกครั้ง แนวรับติดตามวันนี้คือ 1,842-1,838 ดอลลาร์ต่อออนซ์
=================================
กลยุทธ์การเทรดทองคำกรอบรายชั่วโมง
=================================
Short Position : หากราคาทองคำปรับตัวขึ้นไปไม่ผ่านแนวต้านบริเวณ 1,846-1,855 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ให้เสี่ยงเปิด “ขาย” ได้จากบริเวณดังกล่าว เน้นการลงทุนระยะสั้น พิจารณาปิดทำกำไรที่บริเวณ 1,842-1,838 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากราคาทองคำหลุดต่ำกว่าให้เลื่อนการปิดทำกำไรบางส่วนออกไปก่อน พิจารณาแนวรับถัดไปที่ 1,813 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำปรับตัวขึ้นสูงกว่า 1,855 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายวัน (ระยะกลาง)
-------------------------------------------
Resistance :1891 / 1925 / 1960
-------------------------------------------
Support : 1842 / 1813 / 1780
-------------------------------------------
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายชั่วโมง (ระยะสั้น)
-------------------------------------------
Resistance : 1846 / 1855 / 1862
-------------------------------------------
Support : 1832 / 1818 / 1809
-------------------------------------------
แนวโน้มทิศทางทองคำวันนี้
Time Frame H1 = Down trend
Time Frame H4 = Down trend
Time Frame Day = N
Time Frame Week = Up trend
Time Frame Month = Up trend
-------------------------------------------------
กองทุน SPDR ถือครองทองคำ (เมษายน)
-------------------------------------------------
สถานะการถือครองทองคำ = ล่าสุดลดลง -7.25
คงถือสุทธิ = 1,068.65 ตัน
ราคาซื้อขายล่าสุด = 1,838.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ปรับการถือครองครั้งที่ = 6
รวมการเคลื่อนไหวล่าสุด = -25.90 ตัน
-------------------------------------------------
*การลงทุนมีความเสี่ยงโปรดใช้วิจารณญาณให้รอบคอบก่อนการลงทุนทุกครั้ง
**ข้อมูลจากการวิเคราะห์ไม่ได้เป็นเครื่องมือชี้นำระดมทุน เพียงเป็นเครื่องมือประกอบความรู้ในการลงทุนในแต่ละวันเท่านั้น จึงไม่มีส่วนต่อความรับผิดชอบใดๆ อันเกิดขึ้นในภายหลัง
***การวิเคราะห์เป็นเพียงสมมุติฐานค่าสถิติจากอดีต จึงไม่ได้เป็นเครื่องมือการันตี 100% ต่อการสร้างผลกำไรในอนาคต
วิเคราะห์ทองคำศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2565 ทองคำวานนี้ปรับตัวลดลง หลังดอลลาร์และบอนด์กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง
ตลาดทองคำนิวยอร์กกลับมาปรับตัวลดลงอีกครั้งเมื่อวานนี้ทำให้ราคาทองคำปรับตัวต่ำกว่า 1900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้ระหว่างวันราคาทองคำได้พยายามปรับขึ้นทดสอบ 1905 ดอลลาร์ต่อออนซ์แต่ก็ไม่สามารถประคองราคาได้ที่แนวดังกล่าว จนช่วงค่ำราคาทองคำก็ปรับตัวต่ำลงมาอีกรอบจากการฟื้นต้วของสกุลเงินดอลลาร์กับพันธบัตรรัฐบาลสหรับอายุ 10 ปี
ส่วนหนึ่งจาการเทขายทองคำวานนี้ก็มาจากการเก็งกำไรระยะสั้นของนักลงทุนเมื่อช่วงที่เฟดปรับอัตราดอกเบี้ยไป 0.50% ซึ่งทองคำก็เคลื่อนไหวมาในจุดที่เป็นการซื้อขายมากเกินไป (Overbought) ทำให้นักลงทุนตัดสินใจเทขายเพื่อทำกำไรระยะสั้นกันออกมา จึงคงเป็นส่วนที่เป็นเหตุผลหลักๆ ด้วยเช่นกัน
ในส่วนของการคาดการณ์การปรับอัตราดอกเบี้ยของเฟดในรอบต่อไป (มิ.ย.) นักลงทุนได้คาดการณ์กันไว้แล้วว่า เฟดอาจจำต้องปรับถึงระดับ 0.75% ซึ่งเป็นการปรับที่สูงมาก ส่งผลให้ดอลลาร์เวลานี้มีความผันผวนพอสมควร
แต่ทั้งนี้สถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน และการแพร่ระบาดไวรัสโควิดโอมิครอนในจีน ยังคงเป็นประเด็นรักษาระดับของราคาของทองคำไว้เช่นกัน ถ้าเราพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่สำคัญๆ ตอนนี้เกี่ยวกับการกดดันราคาทองคำนั้นๆ หลักเรามองไปที่สงครามการเงินระหว่างประเทศที่หลายฝ่ายหลายประเทศเริ่มช่วงชิงท่าทีต่อเงินสกุลของตนเองมากขึ้น รวมถึงภาวะสงครามการท่องเที่ยงที่เริ่มเกิดการแย่งชิงนักท่องเที่ยวอย่างดุเดือด ทำให้ความผันผวนเวลานี้ไปอยู่ที่ระบบเงินตราระหว่างประเทศ หนึ่งในนั้นก็คงเป็นสกุลเงินดอลลาร์ที่เป็นปัจจัยหลักๆ ต่อความผันผวนของทองคำนั่นเอง
ประเมินทางเทคนิคทองคำวันนี้ โบรกเกอร์ FXCM
ทางเทคนิดกรอบรายวันเรายังคงเห็นการเคลื่อนตัวราคาปรับลดลงต่ำเพื่อทดสอบเป้าหมายเดิม แม้ก่อนหน้าราคาจะปรับขึ้นไปทีระดับ 1,900 แต่ก็สะท้อนให้เห็นแล้วว่าเป็นการปรับขึ้นเพื่อทำกำไรระยะสั้นออกมาก หากเราวัดแนวรับที่ระดับ 1842 ดอลลาร์ก็ยังพอเห็นเหตุผลตรงบริเวณนั้นถึงความสำคัญ ว่าทองคำในระยะรายวันนั้นจะหลุดขาขึ้นโดยสมบูรณ์ไม่ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเราวัดเส้น SMA200 วันพาดผ่านแนวบริเวณนั้นเช่นกัน หากทองคำยังสามารถพิสูจน์ได้ว่านักลงทุนยังให้ความสำคัญถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ที่กำลังเป็นอยู่ เราอาจจะได้เห็นการฟื้นตัวกลับคืนจากแนวดังกล่าวได้ ก็ให้ติดตามจากแนวบริเวณนี้ในแผนการเทรดด้วย
=================================
กลยุทธ์การเทรดทองคำกรอบรายชั่วโมง
=================================
Long Position : หากราคาทองคำไม่หลุดแนวรับบริเวณ 1866-1863 ดอลลาร์ต่อออนซ์เราอาจเสี่ยงเปิด “ซื้อ” ได้จากแนวดังกล่า่ว โดยเน้นการลงทุนระยะสั้นเท่านั้น พิจารณาปิดทำกำไรแนวต้านบริเวณ 1886-1895 ดอลลสาร์ต่อออนซ์ หากราคาทองคำไม่สามารถผ่านแนวต้านบริเวณนี้ขึ้นไปได้ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำหลุดต่ำกว่า 1863 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
Short Position : รอขายทองคำหากราคาทองคำไม่สามารถผ่าน 1880-1887 ดอลลาร์ต่อออนซ์ขึ้นไปได้ให้เสี่ยงเปิด “ขาย” โดยเน้นการลงทุนระยะสั้นเท่านั้น พิจารณาปิดทำกำไรแนวรับบริเวณ 1,866-1,863 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากไม่สามารถผ่านแนวรับบริเวณนี้ลงไปได้ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำปรับตัวสูงกว่า 1,887 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายวัน (ระยะกลาง)
-------------------------------------------
Resistance :1891 / 1925 / 1960
-------------------------------------------
Support : 1842 / 1813 / 1780
-------------------------------------------
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายชั่วโมง (ระยะสั้น)
-------------------------------------------
Resistance : 1880 / 1887 / 1896
-------------------------------------------
Support : 1872 / 1863 / 1850
-------------------------------------------
แนวโน้มทิศทางทองคำวันนี้
Time Frame H1 = Down trend
Time Frame H4 = Down trend
Time Frame Day = Up trend
Time Frame Week = Up trend
Time Frame Month = Up trend
-------------------------------------------------
กองทุน SPDR ถือครองทองคำ (เมษายน)
-------------------------------------------------
สถานะการถือครองทองคำ = ล่าสุดลดลง -4.06
คงถือสุทธิ = 1,084.98 ตัน
ราคาซื้อขายล่าสุด = 1,877 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ปรับการถือครองครั้งที่ = 3
รวมการเคลื่อนไหวล่าสุด = -9.57 ตัน
-------------------------------------------------
*การลงทุนมีความเสี่ยงโปรดใช้วิจารณญาณให้รอบคอบก่อนการลงทุนทุกครั้ง
**ข้อมูลจากการวิเคราะห์ไม่ได้เป็นเครื่องมือชี้นำระดมทุน เพียงเป็นเครื่องมือประกอบความรู้ในการลงทุนในแต่ละวันเท่านั้น จึงไม่มีส่วนต่อความรับผิดชอบใดๆ อันเกิดขึ้นในภายหลัง
***การวิเคราะห์เป็นเพียงสมมุติฐานค่าสถิติจากอดีต จึงไม่ได้เป็นเครื่องมือการันตี 100% ต่อการสร้างผลกำไรในอนาคต
วิเคราะห์ทองคำอังคารที่ 3 พฤษภาคม 2565 ดอลลาร์-บอนด์ยังพุ่งกดดันทองคำไม่หยุด
ตลาดทองคำนิวยอร์กยังปรับตัวลดลงในวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยตลาดยังคงถูกแรงกดดันจาการแข็งค่าของดอลลาร์และบอดน์ยีลด์ โดยหลักๆ แรงกดดันยังคงมาจากการที่นักลงทุนมีคงกังวลเกี่ยวกับเรื่องการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากถึง 0.5% ในการประชุมระหว่างวันที่ 3-4 พ.ค.นี้
พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 3% ในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะขยับกลับมาสู่ระดับ 2.99% ฝั่งของดัชนีดอลลาร์ก็ปรับพุ่งขึ้น 0.76% แตะระดับ 103.74 เมื่อคืนนี้เช่นกัน
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commondity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย ปรับลดลง 48.1 ดอลลาร์ หรือ -2.52% ปิดที่ 1,863.6 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ประเมินทางเทคนิคทองคำวันนี้ โบรกเกอร์ FXCM
จากที่ได้ประเมินไปก่อนหน้านั้น ทองคำหากพิจารณาในกรอบรายวันเรายังคงเห็นเป้าหมายราคากำลังลงไปทดสอบที่ระดับ 1842 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งก็เป็นแนวเส้น SMA200 วันเคลื่อนไหวในแนวดังกล่าว หากราคาทองคำทดสอบแนวดังกล่าวแล้วทรงตัวได้ เราอาจเห็นการฟื้นตัวของทองคำได้จากบริเวณดังกล่าว จึงแนะนำให้นักลงทุนเฝ้าติดตาม ในทางปัจจัยกดดันอื่นๆ นั้นก็คงจะหลีกไม่พ้นเรื่องการปรับอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่มีขึ้นในวันที่ 3-4 พฤษภาคม 2565 นี้ คาดว่าเฟดจะปรับมากถึง 0.5% ตรงนี้จะเป็นผลกดดันทองคำให้ร่วงลงได้่เช่นกัน แต่เนื่องจากระดับ 1842 จะเป็นแนวที่นักลงทุนอาจเฝ้าติดตามและรอเข้าซื้อเพื่อทำกำไรช่วงสั้นๆ ก็อาจส่งผลให้ทองคำอาจไม่ร่วงลงไปมากนัก แต่หาก 1842 ไม่สามารถรองรับแรงได้นั้น โอกาสที่ทองคำจะปรับตัวลงไปต่ำกว่า 1800 ดอลลาร์ก็มีความเป็นไปได้สูงเช่นกัน ประเมินแนวรับกรอบรายวันถัดไปที่ระดับ 1780 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับสายลงทุนรายชั่วโมง (เล่นสั้น H1-H4)
เฝ้าติดตามระดับ 1854 ดอลลาร์ต่อออนซ์ว่าสามารถรองรับการทดสอบราคาได้หรือไม่ หากราคาสามารถรองรับได้ในแนวดังกล่าวเราจะเห็นการเคลื่อนไหวปรับตัวขึ้นระยะสั้นได้ โดยเป้าหมายปรับขึ้นประเมินแนว 1870-1879 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากไม่ผ่านแนวนี้ก็มีโอกาสที่จะปรับร่วงต่อได้เช่นกัน สำหรับกรณีที่ 1854 ไม่สามารถรองรับราคาได้ เราประเมินว่าทองคำอาจลงไปได้ระยะแรกที่ 1830 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และ 1804 ดอลลาร์ต่อออนซ์ตามลำดับ
=================================
กลยุทธ์การเทรดทองคำกรอบรายชั่วโมง
=================================
Long Position : หากราคาทองคำสามารถเคลื่อนไหวในระดับ 1854-1839 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้นั้น เราอาจเสี่ยงเปิด “ซื้อ” ได้จากแนวบริเวณดังกล่าว โดยเน้นการลงทุนระยะสั้นเท่านั้น พิจารณาปิดทำกำไรหากราคาทองคำไม่สามารถผ่านแนวต้าน 1870-1879 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำปรับต่ำกว่า 1854-1839 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
Short Position : รอขายทองคำบริเวณ 1870-1879 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากราคาทองคำไม่สามารถผ่านแน้วต้านดังกล่าวขึ้นไปได้ เน้นการลงทุนระยะสั้นเท่านั้น พิจารณาปิดทำกำไรที่แนวรับบริเวณ 1854-1839 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำปรับตัวสูงกว่า 1879 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายวัน (ระยะกลาง)
-------------------------------------------
Resistance :1891 / 1925 / 1960
-------------------------------------------
Support : 1842 / 1813 / 1780
-------------------------------------------
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายชั่วโมง (ระยะสั้น)
-------------------------------------------
Resistance : 1870 / 1879 / 1895
-------------------------------------------
Support : 1854 / 1839 / 1830
-------------------------------------------
แนวโน้มทิศทางทองคำวันนี้
Time Frame H1 = Down trend
Time Frame H4 = Down trend
Time Frame Day = Up trend
Time Frame Week = Up trend
Time Frame Month = Up trend
-------------------------------------------------
กองทุน SPDR ถือครองทองคำ (เมษายน)
-------------------------------------------------
สถานะการถือครองทองคำ = ล่าสุดลดลง -2.32
คงถือสุทธิ = 1,092.23 ตัน
ราคาซื้อขายล่าสุด = 1,862.70 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ปรับการถือครองครั้งที่ = 1
รวมการเคลื่อนไหวล่าสุด = -2.32 ตัน
-------------------------------------------------
*การลงทุนมีความเสี่ยงโปรดใช้วิจารณญาณให้รอบคอบก่อนการลงทุนทุกครั้ง
**ข้อมูลจากการวิเคราะห์ไม่ได้เป็นเครื่องมือชี้นำระดมทุน เพียงเป็นเครื่องมือประกอบความรู้ในการลงทุนในแต่ละวันเท่านั้น จึงไม่มีส่วนต่อความรับผิดชอบใดๆ อันเกิดขึ้นในภายหลัง
***การวิเคราะห์เป็นเพียงสมมุติฐานค่าสถิติจากอดีต จึงไม่ได้เป็นเครื่องมือการันตี 100% ต่อการสร้างผลกำไรในอนาคต
วิเคราะห์ทองคำอังคารที่ 26 เมษายน 2565 สัญญาทองคำปิดร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือนในวันจันทร์ที่ผ่านมา
ตลาดทองคำนิวยอร์กยังปรับตัวลดลงจากภาวะการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เกิดจากการคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อในระบบอย่างรุนแรง คงเป็นปัจจัยกดดันทองคำโดยตรงในเวลานี้
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commondity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย ปรับลดลง 38.3 ดอลลาร์ หรือ -1.98% ปิดที่ 1,896 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ถือว่าเป็นระดับต่ำสุดนับแต่วันที่ 25 ก.พ. 65
ประเมินทางเทคนิคทองคำวันนี้ โบรกเกอร์ FXCM
ทองคำกรอบรายวัน (DAY) ยังคงทดสอบราคาที่แนวรับเดิมบริเวณ 1891 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งหากแนวรับดังกล่าวถูกทลายลง ทองคำยังมีโอกาสปรับลดลงต่อเนื่อง เป้าหมายประเมินหากแนวรับ 1891 ทลายลงนั้นคือ 1842 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในทางตรงกันข้ามกันหากแนวรับ 1891 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สามารถรองรับราคาทองคำได้อีกครั้ง โอกาสที่ทองคำจะปรับราคาขึ้นทดสอบแนวต้าน 1900 ก็ยังคงความเป็นไปได้อยู่ สำหรับการพิจารณาระยะสั้นในกรอบรายชั่วโมง (H1) เช้านี้เรายังเห็นการฟื้นตัวของราคาทองคำกลับมายืนเหนือ 1900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ แต่หากวันนี้ทองคำไม่สามารถผ่านแนวต้าน 1923-1917 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้นั้น ก็จะมีโอกาสที่นักลงทุนอาจเข้าทำการเทขายทองคำกันอีกรอบ ก็ยังประเมินเป้าหมายสำคัญของวันที่ระดับ 1891 ดอลลาร์ต่อออนซ์ต่อไป เนื่องจากเป็นเป้าหมายรับเดียวกับกรอบรายวัน จึงให้ระมัดระวังในแนวดังกล่าว หากนักลงทุนตัดสินใจเข้าทำการซื้อทองคำจากบริเวณดังกล่าว
=================================
กลยุทธ์การเทรดทองคำกรอบรายชั่วโมง
=================================
Long Position : หากราคาทองคำยังทรงตัวเหนือระดับ 1891 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อาจเสี่ยง “ซื้อ” ได้จากบริเวณดังกล่าว โดยเน้นการลงทุนระยะสั้นเท่านั้น เป้าหมายพิจารณาปิดทำกำไรระยะสั้นแนวต้านบริเวณ 1923-1917 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาหลุดต่ำกว่า 1891 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
Short Position : หากราคายังไม่สามารถผ่านแนวต้านบริเวณ 1923-1917 ดอลลาร์ต่อออนซ์ นักลงทุนอาจเสี่ยงเปิด “ขาย” ได้จากบริเวณดังกล่าว โดยคงเน้นการลงทุนระยะสั้นเท่านั้น พิจารณาปิดทำกำไรที่แนวรับบริเวณ 1891-1866 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำปรับตัวขึ้นสูงกว่า 1923 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายวัน (ระยะกลาง)
-------------------------------------------
Resistance :1925 / 1960 / 2002
-------------------------------------------
Support : 1842 / 1813 / 1780
-------------------------------------------
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายชั่วโมง (ระยะสั้น)
-------------------------------------------
Resistance : 1916 / 1932 / 1945
-------------------------------------------
Support : 1891 / 1866/ 1850
-------------------------------------------
แนวโน้มทิศทางทองคำวันนี้
Time Frame H1 = Down trend
Time Frame H4 = Down trend
Time Frame Day = Up trend
Time Frame Week = Up trend
Time Frame Month = Up trend
-------------------------------------------------
กองทุน SPDR ถือครองทองคำ (เมษายน)
-------------------------------------------------
สถานะการถือครองทองคำ = ล่าสุดลดลง -2.90
คงถือสุทธิ = 1,101.23 ตัน
ราคาซื้อขายล่าสุด = 1,898.15 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ปรับการถือครองครั้งที่ = 12
รวมการเคลื่อนไหวล่าสุด = +9.79 ตัน
-------------------------------------------------
*การลงทุนมีความเสี่ยงโปรดใช้วิจารณญาณให้รอบคอบก่อนการลงทุนทุกครั้ง
**ข้อมูลจากการวิเคราะห์ไม่ได้เป็นเครื่องมือชี้นำระดมทุน เพียงเป็นเครื่องมือประกอบความรู้ในการลงทุนในแต่ละวันเท่านั้น จึงไม่มีส่วนต่อความรับผิดชอบใดๆ อันเกิดขึ้นในภายหลัง
***การวิเคราะห์เป็นเพียงสมมุติฐานค่าสถิติจากอดีต จึงไม่ได้เป็นเครื่องมือการันตี 100% ต่อการสร้างผลกำไรในอนาคต
วิเคราะห์ทองคำจันทร์ที่ 4 เมษายน 2565 ทองคำปิดตลาดเช้าวันเสาร์ปรับร่วงลง 1.4% เหตุดอลลาร์และบอนด์ย้งแข็งแกร่ง
ตลาดทองคำนิวยอร์กร่วงลง 1.4% เหตุจากการแข็งค่าของดอลลาร์และบอนด์ยังเป็นปัจจัยหลักๆ ที่กดดันราคาทองคำ ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐได้ออกมาเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรหรือ NFP เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมาโดยตัวเลขการจ้างงานเพิ่มขึ้น 431,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. แต่ต่ำกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 490,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานได้ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 3.6% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.7% ขณะเดียวกันตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงเฉลี่ยของแรงงานซึ่งเฟดให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ถึงสถาวะเงินเฟ้อในปัจจุบัน โดยตัวเลขการจ้างงานเฉลี่ยรายชั่วโมงเพิ่มขึ้น 0.4% สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ข้อมูลที่ออกมาดังกล่าวจึงยังส่งผลต่อความคาดหวังว่าเฟดอาจจะมีการปรับดอกเบี้ยที่รุนแรงในการประชุมครั้งต่อไป จึงทำให้ดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นเป็นเหตุให้กดดันราคาทองคำ
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commondity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย ปรับลดลง 30.3 ดอลลาร์ หรือ -1.55% ปิดที่ 1,923.7 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ปรับตัวลดลง 1.6% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ประเมินทางเทคนิคทองคำวันนี้ โบรกเกอร์ FXCM
ทองคำวันนี้ขอไปโฟกัสที่กรอบราย 4 ชั่วโมงก่อน โดยการเคลื่อนไหวในกรอบ H4 นั้นทองคำยังคงเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideway โดยประเมินราคาทองคำหากยังไม่หลุดแนวรับ 1895 ดอลลาร์ต่อออนซ์นั้น โอกาสที่ทองคำจะปรับตัวขึ้นไปได้นั้นก็ยังคงมีอยู่ เพราะหากพิจารณาเหตุผลประกอบระยะยาวนั้น ทางด้านเงินเฟ้อที่รุนแรงขณะนี้อาจเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำได้ แต่หากพิจารณาระยะสั้น ทองคำจะมีความผันผวนพอสมควร สำหรับกรอบรายชั่วโมงนั้นทองคำยังคงแกว่งตัวโดยวันนี้หากราคาทองคำไม่หลุดกรอบแนวรับระยะสั้น 1920-1913 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อาจทำให้ทองคำขยับตัวขึ้นได้ระยะสั้นๆ ที่แนว 1926-1935 ดอลลาร์ต่อออนซ์
================
Indicator (TF H1)
================
True RSI (14) RSI ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้แนวบวก และตัดกับ SMA20 ขึ้นไป
เส้น SMA200 ยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางแนวระนาบ
เส้น SMA 50 ปรับตัวลดลงห่างจากเส้น SMA200 วัน
=================================
กลยุทธ์การเทรดทองคำกรอบรายชั่วโมง
=================================
Short Position : หากราคาทองคำไม่สามารถผ่านแนวต้าน 1930-1935 ดอลลาร์ต่อออนซ์ขึ้นไปได้ให้เสี่ยงเปิด “ขาย” ได้จากบริเวณดังกล่าว โดยเน้นการลงทุนระยะสั้น พิจารณาปิดทำกำไรบริเวณ 1920-1913 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากราคาทองคำลงไปไม่ทะลุแนวนี้ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำปรับขึ้นเหนือ 1935 ดอลลาร์ต่อออนซ์
Long Position : หากราคาทองคำย่อตัวลงมาบริเวณ 1920-1913 ดอลลาร์ต่อออนซ์และสามารถทรงตัวในบริเวณดังกล่าวได้ให้เสี่ยงเปิด “ซื้อ” โดยเน้นการลงทุนระยะสั้น พิจารณาปิดทำกำไรบริเวณ 1930-1935 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากราคาทองคำไม่สามารถผ่านแนวต้านบริเวณนี้ขึ้นไปได้ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำปรับตัวต่ำกว่า 1913 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายวัน (ระยะกลาง)
-------------------------------------------
Resistance :1960 / 2002 / 2070
-------------------------------------------
Support : 1891 / 1842 / 1813
-------------------------------------------
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายชั่วโมง (ระยะสั้น)
-------------------------------------------
Resistance : 1927 / 1936 / 1950
-------------------------------------------
Support : 1920 / 1913/ 1903
-------------------------------------------
แนวโน้มทิศทางทองคำวันนี้
Time Frame H1 = Down trend
Time Frame H4 = Down trend
Time Frame Day = Up trend
Time Frame Week = Up trend
Time Frame Month = Up trend
-------------------------------------------------
กองทุน SPDR ถือครองทองคำ (เมษายน)
-------------------------------------------------
สถานะการถือครองทองคำ = ซื้อเพิ่ม 0.29 ตัน
คงถือสุทธิ = 1,091.73 ตัน
ราคาซื้อขายล่าสุด = 1924.55 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ปรับการถือครองครั้งที่ = 1
รวมการเคลื่อนไหวล่าสุด = +0.28 ตัน
-------------------------------------------------
*การลงทุนมีความเสี่ยงโปรดใช้วิจารณญาณให้รอบคอบก่อนการลงทุนทุกครั้ง
**ข้อมูลจากการวิเคราะห์ไม่ได้เป็นเครื่องมือชี้นำระดมทุน เพียงเป็นเครื่องมือประกอบความรู้ในการลงทุนในแต่ละวันเท่านั้น จึงไม่มีส่วนต่อความรับผิดชอบใดๆ อันเกิดขึ้นในภายหลัง
***การวิเคราะห์เป็นเพียงสมมุติฐานค่าสถิติจากอดีต จึงไม่ได้เป็นเครื่องมือการันตี 100% ต่อการสร้างผลกำไรในอนาคต
วิเคราะห์ทองคำพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม 2565 ตลาดทองคำยังผันผวนตลอดเวลาหลังเจรจารัสเซียยูเครนยังไม่ชัดเชน
ตลาดทองคำนิวยอร์กวานนี้ปิดบวก 21 ดอลลาร์ ภายหลังดอลลาร์และบอนด์ฯ อ่อนค่าลงจึงเป็แรงหนุนทางครับให้กลับไปใกล้กับ 1940 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยระหว่างวันราคาทองคำทำจุดสูงสุดที่ระดับ1938.35 ดอลลาร์ต่ออนซ์ เป็นสัญญาณบวกอีกครั้งหลังทองคำปรับตัวลงต่ำสุดในรอบเดือนมีนาคาที่ระดับ 1889.91 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้แรงสนับสนุนการเข้าซื้อทองคำเมื่อวานนี้เกิดจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเจรจาของรัสเซียและยูเครนที่จะมีการทำข้อตกลงหยุดยิง หลังรัสเซียได้ออกมาแถลงว่าจะมีการลดกิจกรรมทางการทหารลง แต่เมื่อวานนี้รัสเซียก็ยังมีการถล่มยูเครนอย่างหนัก ซึ่งสวนทางกับคำพูดของรัสเซีย ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลต่อเหตุการณ์ดังกล่าวที่อาจจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อไปในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะความอ่อนไหวในเรื่องพลังงานที่ชาติตะวันตกยังต้องเผชิญอยู่ขณะนี้ นี่ยังคงเป็นเหตุให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำกลับมาอีกครั้ง
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commondity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย ปรับเพิ่มขึ้น 21 ดอลลาร์ หรือ +1.09% ปิดที่ 1,939 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ประเมินทางเทคนิคทองคำวันนี้ โบรกเกอร์ FXCM
ทองคำระยะนี้ต้องพิจารณาจากกรอบ 4 ชั่วโมงเป็นหลักเพราะจะสามารถมองหาโอกาสในระยะกลางและสั้นได้ดีกว่ากรอบ 1 ชั่วโมง สำหรับแนวราคาที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าทองคำจะปรับฟื้นคืนตัวได้นั้นราคาทองคำต้องปรับขึ้นเหนือระดับ 1940 ดอลลาร์ต่อออนซ์ก่อน จึงจะมีโอกาสที่ทองคำจะเคลื่อนไหวในฝั่งแดนบวกได้อีกสักระยะ แต่เนื่องจากนักลงทุนยังต้องติดตามตัวเลข NFP ในวันศุกร์นี้ อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ราคาทองคำยังผันผวนในกรอบแคบๆ ประเมินทางเทคนิควันนี้หากราคาทองคำยังทรงตัวเหนือระดับ 1920 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทองคำอาจแกว่งตัวในช่วงระหว่าง 1940-1920 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ให้ติดตามสถานการณ์ทางรัสเซียกับยูเครนจะเป็นปัจจัยหลักๆ ที่จะทำให้ทองคำสามารถดีดตัวพุ่ง หรือทิ้งตัวดิ่งได้ตลอดเวลานอกจากปัจจัยอื่นๆ ในระยะนี้
================
Indicator (TF H1)
================
True RSI (14) RSI ยังเคลื่อนไหวในแดนบวกเหนือระดับ 50 ส่วน SMA20 ก็เคลื่อนไหวในแดนบวกเช่นกัน
เส้น SMA200 ปรับตัวฟื้นขึ้นมาเล็กน้อยแต่ยังอยู่ในลักษณะแนวระนาบ
เส้น SMA 50 ปรับฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยตามการเคลื่อนไหวราคาที่ปรับตัวขึ้นไปยืนเหนืออีกครั้ง
=================================
กลยุทธ์การเทรดทองคำกรอบรายชั่วโมง
=================================
Short Position : หากราคาทองคำไม่สามารถผ่านแนวต้าน 1938-1942 ดอลลาร์ต่อออนซ์ขึ้นไปได้ให้เสี่ยงเปิด “ขาย” ได้จากบริเวณดังกล่าว โดยเน้นการลงทุนระยะสั้น พิจารณาปิดทำกำไรบริเวณ 1927-1920 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากราคาทองคำลงไปไม่ทะลุแนวนี้ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำปรับขึ้นเหนือ 1942 ดอลลาร์ต่อออนซ์
Long Position : หากราคาทองคำย่อตัวลงมาบริเวณ 1920-1914 ดอลลาร์ต่อออนซ์และสามารถทรงตัวในบริเวณดังกล่าวได้ให้เสี่ยงเปิด “ซื้อ” โดยเน้นการลงทุนระยะสั้น พิจารณาปิดทำกำไรบริเวณ 1940 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากราคาทองคำไม่สามารถผ่านแนวต้านบริเวณนี้ขึ้นไปได้ (ตัดขาดทุนหากราคาทองคำปรับตัวต่ำกว่า 1914 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายวัน (ระยะกลาง)
-------------------------------------------
Resistance :1960 / 2002 / 2070
-------------------------------------------
Support : 1891 / 1842 / 1813
-------------------------------------------
แนวรับ แนวต้าน กรอบรายชั่วโมง (ระยะสั้น)
-------------------------------------------
Resistance : 1938 / 1950 / 1957
-------------------------------------------
Support : 1920 / 1914/ 1908
-------------------------------------------
แนวโน้มทิศทางทองคำวันนี้
Time Frame H1 = Down trend
Time Frame H4 = N
Time Frame Day = Up trend
Time Frame Week = Up trend
Time Frame Month = Up trend
-------------------------------------------------
กองทุน SPDR ถือครองทองคำ (มีนาคม)
-------------------------------------------------
สถานะการถือครองทองคำ = ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงการถือครอง
คงถือสุทธิ = 1,091.44 ตัน
ราคาซื้อขายล่าสุด = 1919.25 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ปรับการถือครองครั้งที่ = 17
รวมการเคลื่อนไหวล่าสุด = +64.45 ตัน
-------------------------------------------------
*การลงทุนมีความเสี่ยงโปรดใช้วิจารณญาณให้รอบคอบก่อนการลงทุนทุกครั้ง
**ข้อมูลจากการวิเคราะห์ไม่ได้เป็นเครื่องมือชี้นำระดมทุน เพียงเป็นเครื่องมือประกอบความรู้ในการลงทุนในแต่ละวันเท่านั้น จึงไม่มีส่วนต่อความรับผิดชอบใดๆ อันเกิดขึ้นในภายหลัง
***การวิเคราะห์เป็นเพียงสมมุติฐานค่าสถิติจากอดีต จึงไม่ได้เป็นเครื่องมือการันตี 100% ต่อการสร้างผลกำไรในอนาคต






















