ช่วงที่ราคาค่อย ๆ ไต่ขึ้น แบบช้า ๆ มันกำลัง !!!บอกอะไรเรา!!!**ทำไม “แรงเท” ถึงสำคัญ**,
และ **ช่วงที่ราคาค่อย ๆ ไต่ขึ้นแบบช้า ๆ** มันกำลัง “บอกอะไร” เกี่ยวกับรายใหญ่ 👇
---
.
## 💧 1. “แรงเทลง” คืออะไรในมุมของรายใหญ่
“แรงเทลง” หรือ *Sharp Drop* ไม่ได้เกิดเพราะเทรดเดอร์ทั่วไปขายเยอะ
แต่มันคือ “การเทหลอก” จากรายใหญ่ (Smart Money) เพื่อ **สร้างสภาพคล่อง (Liquidity)**
ให้ตัวเองเข้า Position ได้ในราคาที่ดีที่สุด
### 🔍 ตัวอย่าง:
* ราคาไต่ขึ้นเรื่อย ๆ แบบช้า ๆ
* Retail trader (รายย่อย) เริ่ม “กล้า Buy”
* แต่ยัง **ไม่มีคนตั้ง Stop Loss เยอะพอ**
→ รายใหญ่ “ยังไม่สามารถเข้าไม้ใหญ่ได้”
→ จึงต้อง **เทแรงลง (Sweep)** เพื่อ “ลาก Stop Loss” ของฝั่ง Buy
→ หลังจากนั้น **ค่อย Buy กลับในจุดล่างสุด** (OB zone)
---
.
## 💡 2. ทำไม “การไต่ขึ้นช้า” = “ของรายใหญ่ยังอยู่ในมือ”
ช่วงที่ราคาค่อย ๆ ไต่ขึ้น:
* Volume ต่ำ
* Candle body เล็ก
* ไม่มี Break Structure ที่ชัด
* ไม่มี Volatility (แรงเหวี่ยง)
สิ่งนี้บอกว่า:
> “รายใหญ่ยังไม่ปล่อยของ”
> และ “ยังไม่มีฝั่งตรงข้ามพอจะกิน Stop Loss”
เพราะฉะนั้น…
รายใหญ่จะ **ไม่สร้าง Trend ใหม่** จนกว่าเขาจะ **สร้าง Liquidity พอให้เข้าไม้ใหญ่ได้ก่อน**
---
.
## ⚙️ 3. สัญญาณว่า “แรงเท” ใกล้จะมาแล้ว
อย่าลืมสังเกต 4 อย่างนี้ก่อนเกิด Liquidity Grab ใหญ่ ๆ:
1. ราคาไต่ขึ้นเรื่อย ๆ → แต่อยู่ในกรอบ Supply เดิม
2. Volume ลดลงเรื่อย ๆ
3. มี Fair Value Gap (FVG) ค้างไว้ด้านล่าง
4. Timeframe ใหญ่ (H1–H4) เริ่ม Divergence
👉 เมื่อครบ 4 เงื่อนไขนี้ — มักจะตามด้วย **แรงเทแรง ๆ (Stop Hunt)**
และ **กลายเป็นจุดกลับตัว (Reversal OB)** ในเวลาต่อมา
---
.
.
## 🧠 Mindset ระหว่างรอ “แรงเท”
> "อย่ารีบเข้าตลาดตอนที่มันนิ่ง"
> “ของจริงจะมาเมื่อเจ็บก่อนรวย”
รอให้ตลาด “ทุบแรงก่อน” แล้วค่อยเข้าเล่น “จุดเก็บของ” หลังจากการเท
นั่นคือจุดที่ “รายใหญ่เพิ่งเข้ามา” — และคือจุดที่ “เราควรตาม”
Mindset
แบบทดสอบ: คุณจะทำยังไงเมื่อเจอ “กับดักตลาด”แบบทดสอบ “Mindset ของเทรดเดอร์ต่อกับดักตลาด”**
ออกแบบมาเพื่อให้คุณได้ “วัดตัวเอง” ว่าตอนนี้อยู่ในจุดไหนของวงจรเทรด
ใช้ฝึกจิตและพัฒนาแนวคิดให้คมขึ้น
เหมาะมากสำหรับเทรดเดอร์ที่เข้าใจเรื่อง *สภาพคล่อง*
แล้วอยากต่อยอดจิตวิทยาเทรด
.
---
.
# 🧭 แบบทดสอบ: คุณจะทำยังไงเมื่อเจอ “กับดักตลาด”
.
> เลือกคำตอบที่ “ตรงกับสิ่งที่คุณมักทำจริง ๆ” มากที่สุด
> ไม่มีถูกผิด — แต่แต่ละข้อจะบอก “Mindset” ที่อยู่เบื้องหลัง
---
## 🔹 ข้อ 1: ราคาพุ่งทะลุแนวต้านอย่างแรง พร้อมแท่งเทียนเขียวใหญ่ (Breakout)
คุณจะทำยังไง?
A. กด Buy ทันที เพราะคิดว่าตลาดจะไปต่อ
B. รอดูแท่งถัดไปว่าปิดเหนือแนวต้านไหม
C. รอให้ราคาย่อกลับมาทดสอบแนวที่เบรก (Retest) ก่อนค่อยเข้า
D. ขายสวน เพราะคิดว่าเจ้า “หลอกเบรก”
> 💡 เฉลยเชิง Mindset:
>
> * A = **FOMO bias** (กลัวตกรถ, รายย่อย 90%)
> * B = เริ่มใช้ “การยืนยัน” แบบเทคนิคแต่ยังเสี่ยงโดนหลอก
> * C = **Professional mindset** (รอ liquidity confirm)
> * D = Over-confidence trader (อาจโดนลากก่อนลง)
---
## 🔹 ข้อ 2: ราคาลงมาแรง แล้วเกิดแท่งไส้ยาว (Rejection wick) บนโซน Demand
คุณจะทำยังไง?
A. เข้า Buy ทันทีเพราะเห็นแท่งกลับตัว
B. รอดู 1-2 แท่งต่อไปว่ามีแรง follow หรือไม่
C. ใช้เครื่องมืออื่นยืนยัน (เช่น Volume, BOS, CHOCH)
D. ปิดจอหนี เพราะกลัวลงต่อ
> 💡 เฉลยเชิง Mindset:
>
> * A = **Impulsive entry** (ไวไป, ขาดการยืนยัน)
> * B = มีวินัย เริ่มเข้าใจพฤติกรรมราคา
> * C = **Smart trader** (เทรดจากข้อมูล ไม่ใช่อารมณ์)
> * D = Fear-based trader (มักเสียโอกาสเพราะกลัว)
---
## 🔹 ข้อ 3: หลังจากโดน Stop Loss สองไม้ติด คุณจะ...
A. เพิ่ม lot เพื่อ “เอาคืน” (Revenge Trade)
B. ลดขนาด lot แล้วเทรดต่อทันที
C. หยุดเทรดชั่วคราว เพื่อทบทวน setup
D. ปิดกราฟ แล้วเปิดดู YouTube หรือ scroll มือถือ
> 💡 เฉลยเชิง Mindset:
>
> * A = **อันตรายสุด!** อารมณ์นำ → เสี่ยงล้างพอร์ต
> * B = ดีขึ้น แต่ยังติด mindset “ต้องชนะตอนนี้”
> * C = **Master mindset** (โฟกัสระยะยาว ไม่ใช่ไม้เดียว)
> * D = Escapism (หนีปัญหา ไม่เรียนรู้จากมัน)
---
## 🔹 ข้อ 4: คุณเห็นราคาทำ New High ต่อเนื่องแบบไม่มีจุดย่อ (ATH Phase)
คุณจะ...
A. ไล่ตามเพราะกลัวตกรถ
B. รอจังหวะพักฐาน (consolidation)
C. มองหาสัญญาณ “เจ้าเริ่มปล่อยของ” (Volume divergence / sweep)
D. Sell เลย เพราะคิดว่า “มันต้องลงแล้ว”
> 💡 เฉลยเชิง Mindset:
>
> * A = FOMO Trader (หลงกระแส)
> * B = Balanced Trader (มีวินัย รอความชัด)
> * C = **Liquidity Hunter Mindset** (อ่านเจ้าออก, เข้าใกล้ระดับโปร)
> * D = Contrarian without confirmation (กล้าแต่ไม่มีเหตุผล)
---
## 🔹 ข้อ 5: หลังเข้าไม้ Buy แล้ว ราคาไม่ไปไหน ซึม ๆ อยู่หลายชั่วโมง
คุณจะ...
A. ปิดทิ้ง เพราะเบื่อ
B. ขยับ SL ให้แคบลง “กันเสียเยอะ”
C. ปล่อยไว้ตามแผน เพราะยังไม่หลุดโครงสร้าง
D. เปิด position เพิ่มเพราะอยากเร่งกำไร
> 💡 เฉลยเชิง Mindset:
>
> * A = ขาดความอดทน (impatient mindset)
> * B = Fear-based control (แผนไม่ชัด)
> * C = **Trader มีระบบ** (วินัยเหนืออารมณ์)
> * D = Greedy behavior (โลภ, เพิ่ม risk โดยไม่มีเหตุผล)
---
## 🔹 ข้อ 6: เจอกราฟแกว่งเร็ว ผันผวนสูง (Volatility Spike)
คุณจะ...
A. เข้าเทรดเลย เพราะ “น่าจะวิ่งแรง”
B. ลด lot size ลงครึ่งหนึ่ง
C. หยุดรอดูให้ตลาดนิ่งก่อน
D. ใช้โซนใหญ่ (H1/H4) เป็นหลักแทน M1-M5
> 💡 เฉลยเชิง Mindset:
>
> * A = Over-trading (เสพ adrenaline)
> * B = Risk control mindset
> * C = High emotional discipline
> * D = **Pro-level adjustment** (เข้าใจสภาพตลาดเปลี่ยน ต้องขยายมุมมอง)
---
## 🔹 ข้อ 7: หลังจากได้กำไรติดกันหลายวัน
คุณจะ...
A. เพิ่มขนาด lot เพื่อ “เร่งพอร์ต”
B. เทรดเท่าเดิม เพราะอยากรักษาความสม่ำเสมอ
C. หยุด 1 วัน เพื่อ reset อารมณ์
D. ขยายแผนเทรด — เพิ่ม TF หรือคู่เงิน
> 💡 เฉลยเชิง Mindset:
>
> * A = Ego trap (มั่นใจเกินไป → เสี่ยง crash)
> * B = Balanced mindset
> * C = **High-performance mindset** (เข้าใจจังหวะพักของสมอง)
> * D = Creative expansion (ดี แต่ควรคุม risk)
---
# 🔍 สรุปผล (นับคะแนน Mindset)
* ถ้า Kio ตอบ **ส่วนใหญ่เป็น C หรือ D** → Mindset แบบ “Smart Money / Professional”
* ถ้าส่วนใหญ่เป็น **B** → อยู่ในช่วง “Transition” (เริ่มคิดแบบระบบ)
* ถ้าส่วนใหญ่เป็น **A** → อยู่ใน “Emotional Trader Zone” (ยังเทรดจากความรู้สึกมากกว่าข้อมูล)
---
## 🧘♀️ คำแนะนำสั้น ๆ ต่อ Mindset แต่ละระดับ
🧘♀️ ระดับ | Emotional Trader
ลักษณะ - เทรดจากอารมณ์ / เร่งรีบ
ควรพัฒนาเรื่อง - ฝึกหยุดก่อนเข้า, จดบันทึกเหตุผลก่อนกด
.
🧘♀️ระดับ| Transition Trader
ลักษณะ - มีระบบแต่ยังลังเล
ควรพัฒนาเรื่อง - ฝึกเชื่อมั่นใน process, ไม่แก้ระบบบ่อย
.
.
🧘♀️ระดับ|Smart Trader
ลักษณะ - เทรดตามโครงสร้าง / รอจังหวะ
ควรพัฒนาเรื่อง - รักษาวินัยต่อเนื่อง, จัดการจิตใจวัน drawdown
.
🧘♀️ระดับ| Professional
ลักษณะ - อ่านเจ้าออก, รอ confirm
ควรพัฒนาเรื่อง - สอนคนอื่นได้, ใช้จิตสงบและวินัยเหนือเงิน
สิ่งที่เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ ทำในวันเสาร์–อาทิตย์สิ่งที่เทรดเดอร์มืออาชีพทำในวันที่ตลาดปิด”
มักเป็น **สิ่งที่ทำให้เขานำหน้าคนอื่น** ในสัปดาห์ต่อไป 💪
.
---
.
# 💼 สิ่งที่เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จทำในวันเสาร์–อาทิตย์
.
## 🧭 1. ทบทวนสัปดาห์ที่ผ่านมา (Review Week)
เทรดเดอร์ระดับโปรไม่ปล่อยให้ “กำไรหรือขาดทุน” ผ่านไปเฉย ๆ
แต่เขาจะกลับไปดูว่า...
.
* จุดเข้าทุกจุด → เข้าเพราะ *ตามแผน* หรือ *ตามอารมณ์* ❓
* จุดออก → ออกตามเงื่อนไข หรือกลัวเกินไป ❓
* Market Structure → ยังสอดคล้องกับมุมมองใหญ่มั้ย ❓
* Emotion ตอนเทรด → มีจุดไหนที่ “เราถูกเจ้าหลอกด้วยอารมณ์” หรือเปล่า
.
📒 บางคนจะเขียน “Trading Journal” หรือ “สรุปภาพตลาดรายสัปดาห์” เก็บไว้เลย
---
.
## 🧠 2. ฝึก Mindset & Psychology
.
เทรดเดอร์ที่เก่งจะรู้ว่า “ตลาดคือเกมจิตวิทยา”
วันหยุดคือเวลาที่เขา:
.
* อ่านหนังสือจิตวิทยาเทรด เช่น *Trading in the Zone*, *The Disciplined Trader*
* ฝึกสมาธิ / เดินจงกรม / วิ่ง / ฟังเพลง เพื่อรักษาโฟกัส
* เขียน Affirmation สั้น ๆ เช่น
.
> “ฉันไม่ต้องเทรดทุกวันเพื่อรวย ฉันต้องรอวันของฉันเท่านั้น”
.
-.--
## 📊 3. เตรียมโซนสำคัญ (Top-Down Analysis)
.
ก่อนตลาดเปิด เขาจะ:
.
* ไล่ดูกราฟตั้งแต่ **Monthly → Weekly → Daily → H4 → H1**
* มาร์กแนว **Liquidity Zone / OB / EQH / EQL / Imbalance**
* ทำ “Scenario Plan” ว่า
.
* ถ้าราคามาทาง A → ฉันจะทำอะไร
* ถ้าราคาทะลุไปทาง B → ฉันจะไม่ทำอะไร
.
🎯 เป้าคือ “วันจันทร์ไม่ต้องคิดมาก” เพราะทุกอย่างวางไว้หมดแล้ว
.
---
.
## ⚙️ 4. ปรับปรุงระบบเทรด (System Optimization)
.
* ดูผล Backtest → ว่าระบบยังคงเสถียรหรือไม่
* ปรับ SL, RR หรือ Timeframe ให้เหมาะกับสภาวะ Volatility ล่าสุด
* ทดสอบกลยุทธ์ใหม่ใน TradingView / FTMO demo
---
## 🧩 5. พักผ่อนจริง ๆ (Recovery)
.
เทรดเดอร์ระดับสูงรู้ว่า “สมองและจิตใจคือเครื่องมือทำเงิน”
วันหยุดเขาจะ:
.
* เดินเล่น, พบเพื่อน, เล่นเกม, ไปคาเฟ่ ☕
* ทำสิ่งที่เติมพลัง เช่น วางแผนเป้าหมายชีวิต, ทำ vision board
* ปิดจอมือถือ ไม่ดูกราฟสักวัน เพื่อให้สมอง Reset
.
---
.
## 💡 สรุปสั้น ๆ (Takeaway)
.
> เทรดเดอร์ธรรมดา ใช้วันหยุดพักจากกราฟ
> เทรดเดอร์ระดับโปร ใช้วันหยุด “เข้าใจกว่ากราฟ”
.
กับดักรายย่อยที่รายใหญ่สร้างขึ้น บทความแนวจิตวิทยาการเทรด เกี่ยวกับ กับดักที่รายใหญ่ทำไว้ให้รายย่อยติด
เพื่อให้เห็นชัดว่าตลาดไม่ได้วิ่งแบบสุ่ม แต่มี “เจตนา” ที่จะหลอกให้รายย่อยติดดอย/ติดดินอยู่เสมอ
---
.
# 🧠 จิตวิทยาตลาด: กับดักรายย่อยที่รายใหญ่สร้าง
.
ในโลกการเทรด **ราคามักไม่ใช่สิ่งที่เห็นตรงหน้า**
สิ่งที่ขยับราคาแท้จริงคือ **สภาพคล่อง (Liquidity)**
และผู้ที่ครอบครองพลังดันราคามากที่สุดคือ **รายใหญ่ (Smart Money, สถาบัน, เจ้ามือ)**
รายย่อย (Retail) จึงตกอยู่ใน “เกมจิตวิทยา” ตลอดเวลา
.
---
.
## 🎭 กับดักที่รายใหญ่ใช้บ่อย
.
### 1. **Breakout Trap (กับดักทะลุแนวรับ/แนวต้าน)**
.
* ราคาทะลุแนวต้านแรง → รายย่อยรีบไล่ซื้อ (FOMO)
* แต่จริงๆ รายใหญ่เพิ่ง “ปล่อยของ” ขายใส่ → ราคาเทกลับ
📌 ผลลัพธ์: รายย่อยติดดอย
.
---
.
### 2. **Stop Hunt (ล่ากิน Stop Loss)**
* รายย่อยชอบตั้ง SL ใต้ Low / เหนือ High ที่ชัดเจน
* รายใหญ่กดราคาไปกิน SL → เก็บของราคาถูก / ปล่อยของแพง
📌 ผลลัพธ์: รายย่อยโดนตบออกก่อนที่ราคาจะไปในทิศทางเดิม
.
---
.
### 3. **False Reversal (หลอกกลับตัว)**
.
* ราคาทำแท่งเทียนกลับตัวสวยๆ → รายย่อยรีบเข้า Buy/Sell
* แต่รายใหญ่แค่ “สร้างภาพ” เพื่อให้คนเข้า Order
* พอมีสภาพคล่องพอ → ราคาไปอีกทางทันที
📌 ผลลัพธ์: รายย่อยติดกับ Emotional Candle
.
---
.
### 4. **Liquidity Grab (เก็บสภาพคล่องก่อนเทรนด์จริง)**
.
* ก่อนเทรนด์ใหญ่เริ่ม รายใหญ่มักจะ “วิ่งไปกิน SL ทั้งสองฝั่ง”
* เพื่อเก็บของให้เต็ม → แล้วค่อยดันไปทิศเดียวแรงๆ
📌 ผลลัพธ์: รายย่อยโดนกวาดออกหมด → ไม่ได้อยู่บนขบวน
.
---
.
### 5. **ข่าวและอารมณ์ (News Trap)**
* ข่าวแรงๆ ออกมา → รายย่อยรีบเทรดตามอารมณ์ (FOMO / Panic)
* แต่รายใหญ่เตรียม “ตำแหน่งตรงข้าม” ไว้อยู่แล้ว
📌 ผลลัพธ์: รายย่อยซื้อแพงขายถูก
.
---
.
## 🔑 จิตวิทยาที่รายใหญ่ใช้
.
* ใช้ **ความกลัว (Fear)** → กดให้หลุด SL
* ใช้ **ความโลภ (Greed)** → หลอกให้ไล่ราคา
* ใช้ **ความไม่แน่ใจ (Uncertainty)** → แกว่งไปมาจนรายย่อยถอดใจ
-.--
.
## ✅ วิธีเอาตัวรอดจากกับดัก
.
1. อย่าตั้ง SL ตื้นเกินไปตรงจุดที่ใครๆ ก็มองออก
2. รอ “Confirm” เสมอ อย่าตามแท่งเขียว/แดงแรงๆ ทันที
3. เข้าใจว่า Breakout = จุดที่รายใหญ่เอาไว้ “ปล่อยของ”
4. มองหาพฤติกรรมราคาใกล้ **Liquidity Zone** มากกว่าดูเพียงแนวรับ/แนวต้าน
5. ใช้จิตวิทยากลับด้าน → ถ้ารู้สึกอยากเข้าแรงๆ แปลว่าอาจโดนหลอก
.
---
.
✨ **สรุป:**
ตลาดไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนชนะ แต่สร้างขึ้นมาเพื่อ “เอาเงินจากคนส่วนมาก”
รายใหญ่ใช้ **กับดักทางจิตวิทยา** สร้างสภาพคล่องจากความกลัวและความโลภของรายย่อย
ถ้าเราอ่านเกมออก เราจะหยุดเป็นเหยื่อ และเริ่มเป็นนักล่าแทน
.
---
ทำไมการจัดการ Position สำคัญกว่าการพยายามจับจุดเล็ก ๆเวลาตลาด ผันผวนมากขึ้น (Volatility สูง)
การจัดการ Position สำคัญกว่าการพยายามจับจุดเล็ก ๆ
.
🎯 หลักคิด
.
Volatility สูง = แท่งแกว่งแรงขึ้น
→ SL ที่ปกติใช้ 5–10 เหรียญ อาจไม่พอ ต้องขยาย SL ให้กว้างขึ้น
ถ้าคุณ ไม่ลด Lot แต่ SL กว้างขึ้น → ความเสี่ยงต่อไม้จะโตเกินไป (Risk เกินแผน)
.
ดังนั้นสิ่งที่ควรทำคือ
👉 ลด Lot แต่ ขยาย SL เพื่อให้ “ความเสี่ยงเป็น % เท่าเดิม”
แล้วปล่อยให้กราฟวิ่งตามรอบใหญ่ (ถือเอาระยะทาง)
.
📌 ตัวอย่างง่าย ๆ
สมมติพอร์ต = 10,000 USD
คุณยอมเสี่ยง = 1% = 100 USD
.
ปกติ SL 10 เหรียญ
→ Lot size = 100 ÷ 10 = 10 หน่วย
.
ตลาดผันผวน SL ต้องขยายเป็น 25 เหรียญ
→ Lot size = 100 ÷ 25 = 4 หน่วย
.
👉 ความเสี่ยงยังคง 100 USD เท่าเดิม แต่คุณมี “พื้นที่หายใจ” ให้กราฟแกว่งก่อนจะไปทางที่ต้องการ
✅ ข้อดีของการ “ลด Lot – ถือระยะทาง”
ไม่โดน SL ง่าย ๆ เพราะแกว่งแรง
RR (Risk:Reward) มักดีกว่า เพราะได้กินรอบใหญ่ ไม่ใช่แค่เก็บเศษ
ลดความเครียด เพราะไม่ต้องเฝ้าทุกแท่งเล็ก ๆ
.
⚠️ สิ่งที่ต้องระวัง
ต้องมั่นใจว่า “TF ใหญ่ยังเป็นทิศเดียวกับเรา” (เช่น H1–H4 ยังเป็นขาขึ้น ถ้าจะ Buy)
อย่าลด Lot จนเล็กเกินไปจนไม่คุ้มค่าเวลา (หาจุด Balance ของตัวเอง)
อย่าเผลอถือสวนเทรนด์ใหญ่ เพราะการถือระยะยาวสวนเจ้า = โดนกินแน่นอน
.
📌 สรุป
ตลาดผันผวนแรงขึ้น → ใช้กลยุทธ์ ลด Lot, ขยาย SL, ถือกินรอบใหญ่ จะปลอดภัยกว่า และเป็นสไตล์ “เล่นไปกับเจ้า” เพราะเจ้าเองก็ชอบสะสมพลังแล้วปล่อยรอบใหญ่ ไม่ใช่แค่แกว่งเล็ก ๆ
ทำไมเทรดเดอร์ต้องรอให้กราฟเข้ากับ Setup ของตัวเอง1. **ตลาดมีโอกาสทุกวัน แต่ทุนเราไม่ได้มีไม่จำกัด**
.
* ถ้าเข้าแบบสุ่ม ๆ เราจะเสี่ยงใช้เงินเกินความจำเป็น
* การรอให้ตรง Setup = เลือก “ช็อตที่มีความน่าจะเป็นสูงที่สุด”
.
2. **Setup = กรอบกติกาส่วนตัว**
.
* คือกติกาที่เรารู้ว่า เมื่อครบเงื่อนไข → มีโอกาสชนะมากกว่าแพ้
* ถ้าเทรดนอก Setup = เล่นพนัน ไม่ใช่เทรด
.
3. **รอ = ป้องกันอารมณ์ครอบงำ**
.
* ตลาดชอบหลอกให้รีบเข้า → ถ้าไม่มีกติกา เราจะโดนลากง่าย
* การรอ Setup เหมือน “วางกรอบกันตัวเองไม่ให้ Overtrade”
4. **บางวันไม่มีสัญญาณ = คือการเซฟเงินทุน**
.
* ไม่มี Setup = ไม่เสียเงิน
* เทรดเดอร์เก่งจะคิดว่า “ไม่เสีย = กำไร” เพราะเก็บทุนไว้รอโอกาสดีกว่า
.
5. **กราฟไม่มาตามโซน → คือธรรมชาติของตลาด**
.
* ตลาดไม่จำเป็นต้องวิ่งตามที่เราคิด
* หน้าที่เราคือ *“รอจังหวะที่เจ้ามือเผยไพ่”* ไม่ใช่บังคับตลาด
.
---
.
## 🎯 สรุป
.
* **การรอ Setup = เลือกศึกที่เรามีโอกาสชนะมากที่สุด**
* **วันที่ไม่มีจังหวะ ไม่ใช่วันเสียเวลา แต่คือวันเซฟทุน**
* เทรดเดอร์ที่รอเป็น → อยู่รอด
* เทรดเดอร์ที่รีบเข้า → มักหมดพอร์ต
เสาร์–อาทิตย์ ตลาดปิด ทำยังไงให้ Vib สูง + พัฒนาตัวเอง🌟 Weekend Ritual:
เสาร์–อาทิตย์ ตลาดปิด ทำยังไงให้ Vib สูง + พัฒนาตัวเอง
.
1. ชาร์จพลังร่างกาย (Body Reset)
นอนพักให้เต็มที่ ปรับวงจรนอน
ออกกำลังกายเบา ๆ → วิ่งจ๊อกกิ้ง, เดินกลางแจ้ง, โยคะ
เลือกกินอาหาร high-vibration (ผลไม้สด, น้ำผัก, น้ำเปล่าเยอะ ๆ)
👉 เพราะร่างกายที่สดชื่น = ใจที่ไม่เหนื่อยง่าย
.
2. ชาร์จพลังใจ (Mind Reset)
.
อ่านหนังสือ 1 บท/วัน (ไม่ต้องหนา แต่ต้องได้ “อะไรใหม่”)
เขียน Reflection Journal → “สัปดาห์นี้ฉันเรียนรู้อะไรจากตลาด?”
ทำ Meditation 10–15 นาที (อยู่กับลมหายใจเฉย ๆ ก็พอ)
👉 เพราะการหยุดคิดเรื่องกราฟ คือวิธีให้สมองกลับมา “คมกว่าเดิม”
.
3. พัฒนาสกิลเทรด (Skill Upgrade)
Backtest ระบบของตัวเอง → ย้อนดู 3–6 เดือน
ฝึกตีเส้น, อ่านแพทเทิร์น, จดสถิติ
เขียน Trading Plan สำหรับสัปดาห์หน้า → ว่า “ฉันจะโฟกัสคู่ไหน, ท่าไหน, RR เท่าไหร่”
👉 เพราะนักรบที่แท้จริง “ลับดาบตอนที่สนามรบปิด”
.
4. ยกระดับ Vib (Energy & Soul)
อยู่กับคนที่รัก + ทำสิ่งเล็ก ๆ ที่เติมใจ เช่น ทำอาหาร, ดูหนัง, ฟังเพลง
เดินธรรมชาติ รับแสงแดด เชื่อมกับโลกจริง
เขียน Gratitude List: “3 สิ่งที่ฉันขอบคุณในสัปดาห์นี้”
👉 เพราะพลังบวกจากการขอบคุณ = ตัวแม่ดึงดูดกำไร
.
.
.
🧘 สำหรับวันหยุด
“วันหยุดนี้คือของขวัญให้ฉันชาร์จพลัง
ฉันเลือกพักเพื่อกลับมาแหลมคมกว่าเดิม
และฉันขอบคุณทุกบทเรียนในสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่หล่อหลอมให้ฉันแข็งแกร่งขึ้น”
ทำไมต้องออกจากตลาดทันทีเมื่อถึงเป้ากำไรประจำวันการออกจากตลาดเมื่อถึงเป้า เป็นทักษะสำคัญเท่ากับการหา entry ดี ๆ เพราะมันป้องกันการ “ถลำเพิ่ม” ที่สุดท้ายทำกำไรหาย หรือโดนกลับทำลายพอร์ต สรุปสั้น ๆ ก่อน:
เหตุผลหลัก — รักษากำไรที่ได้มา, ป้องกัน emotional / revenge trading, ป้องกัน volatility ที่ไม่คาดคิด, และรักษาวินัยของระบบ
.
ต่อไปนี้คือแผนแบบละเอียดที่ทำเป็นขั้นตอน ให้ทำตามได้จริงเลยครับ
# ทำไมต้องออกจากตลาดทันทีเมื่อถึงเป้ากำไรประจำวัน — และขั้นตอนปิดตลาดแบบละเอียด (Step-by-step)
---
# STEP A — ก่อนกดปิด (ทันทีที่ถึงเป้า)
(เวลา: 0–3 นาที)
.
1. **ตัดสินใจก่อน** — ย้ำกฎ: “วันนี้ได้ตามเป้า = หยุด” (พูดออกเสียงสั้น ๆ เช่น “หยุดวันนี้” หรือเขียนบนสติกเกอร์)
2. **ล็อกออเดอร์ที่เปิดอยู่**
.
* ถ้าคุณเปิดออร์เดอร์ค้าง: เลือกกลยุทธ์หนึ่งตามแผน (ดูตัวอย่างด้านล่าง) แล้วดำเนินการทันที
* Option 1 : ปิดทุกตำแหน่งทั้งหมด → ถอนความเสี่ยงออก
* Option 2 (แบ่งส่วน): ปิด 70–80% ของขนาดเพื่อเก็บกำไร ส่วนที่เหลือ 20–30% ให้วิ่งต่อด้วย SL ย้ายเป็น BE หรือ trailing stop ที่ชัดเจน
* Option 3 (ถ้าอยากให้มีโอกาสได้เพิ่ม): ปิด 50% → ย้าย SL ของส่วนที่เหลือเป็น BE + ตั้ง trailing stop = 1–1.5×ATR
3. **ยืนยันการปิด** — กดปิดหรือปรับคำสั่งให้เรียบร้อย (อย่าวางไว้เป็น “ลืม” แบบ market order ที่อาจพลาด)
4. **ปิดการแจ้งเตือนตลาดทันที** (notifications, price alerts) — ลดการถูกล่อตลอดเวลา
---
# STEP B — Shutdown ritual (ปิดจอจริง ๆ)
.
(เวลา: 3–10 นาที)
.
1. **ปิด/ล็อกหน้าจอเทรด** — ออกจากโปรแกรม trading / ปิด tab ของกราฟ
2. **ปิด/ปิดเสียง/ปิดการแจ้งเตือนโทรศัพท์** ของแอปเทรดและข่าวการเงิน
3. **ถอยจากโต๊ะ 5–15 นาที** — ลุกยืด ยืดเส้น เดินรอบบ้าน ดื่มน้ำ ล้างหน้า → ให้สมองเย็นลง
4. **หากิจกรรมตัดสมาธิ** เช่น ฟังเพลง, เดินออกไปซื้อของเล็กน้อย, ทำงานบ้าน — อย่าอยู่หน้าจอต่อ
---
# STEP C — Post-trade logging & emotional check (10–30 นาที)
.
1. **บันทึกใน Trade Journal ทันที** — ใช้ template ด้านล่าง (อย่าผลัด)
2. **ตอบคำถามอารมณ์:**
* วันนี้ฉันรู้สึกยังไงตอนเข้า/ออก? (ตื่นเต้น/กลัว/โลภ)
* ตัดสินใจตอนเข้า/ออกมาจากเหตุผลทางระบบหรืออารมณ์?
3. **จด 3 ข้อที่เรียนรู้วันนี้** (What went well, What went wrong, What to change)
4. **ตั้งการบ้านสำหรับพรุ่งนี้** — 1–2 จุดปรับปรุง เช่น “ลดขนาดเวลา volatility” หรือ “รอ confirmation M15”
.
**ตัวอย่าง Trade-Journal Template (สั้นๆ):**
.
* วันที่/เวลา:
* ตลาด/สัญลักษณ์:
* Entry: ราคา / Size / เวลา
* Exit: ราคา / Size / เวลา
* ผล (pips/\$ / %):
* เหตุผลเข้า: (สัญญาณ)
* เหตุผลออก: ถึงเป้า/SL/อื่น
* อารมณ์ตอนเทรด:
* Lesson (3 ข้อ):
.
---
# STEP D — กฎชัดเจนเพื่อป้องกันย้อนกลับ (วิธีบังคับวินัย)
.
1. **ตั้งกฎประจำวัน (Hard Rule)**: ตัวอย่าง
* “เมื่อกำไรต่อวัน = 1% ของพอร์ต → หยุดเทรดวันนี้”
* หรือ “เมื่อได้ 3 ชนะติด → หยุด 1 ชั่วโมง/หยุดวัน”
2. **ใช้ระบบเทคนิคช่วยบังคับ**:
* ตั้ง Auto-close / OCO / Close-all order เมื่อถึงยอดกำไร (หลายโบรกมีฟีเจอร์นี้)
* ตั้ง alarm/alert ที่บอกว่า “Reached daily target — DO NOT TRADE” และตั้งเสียง/ข้อความที่เตือนแรง ๆ
3. **จำกัดทุนที่เปิดได้ต่อวัน**: เปิดบัญชีแยก หรือย้ายเงินออกจากบัญชีเทรดเมื่อจบวัน
4. **ปิด hotkeys / disable one-click trading** — ทำให้ไม่สามารถเข้าออร์เดอร์ทันทีได้ (ลด impulse)
.
---
# STEP E — หากอยากปล่อยให้บางส่วนวิ่งต่อ (กฎชัดเจน)
ถ้าคุณอนุญาตให้ “บางส่วน” วิ่งต่อ กำหนดกฎชัดเจนก่อนวันเทรด เช่น:
* สูงสุด 20% ของพอร์ตเท่านั้น
* SL = BE (breakeven) + buffer (0.5×ATR)
* Trailing stop = 1.5×ATR หรือ fixed pip (เช่น 10–15 pips)
* ถ้ราคไปถึง +2×เป้าหมายรายวัน ให้ปิดส่วนที่เหลือทั้งหมด
ถ้าไม่มีกฎเหล่านี้ — อย่าให้เหลือ!
---
# STEP F — เทคนิคจิตวิทยา / วลีช่วย (เมื่อ FOMO อยากกลับเข้า)
.
* พูดกับตัวเองสั้น ๆ: “เป้าบอกให้หยุด — ฉันเคารพระบบ”
* ใช้ **รหัสหยุด (stop code)**: บันทึก 3 คำที่เตือนตัวเอง (เช่น “Risk Control”, “Plan First”, “Walk Away”)
* ถ้าหวั่นจะเช็กจอ → ตั้งนาฬิกา 1 ชั่วโมง เฉพาะกิจ (do not check) และทำงานอื่นแทน
---
# STEP G — ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉิน (ข่าวแรงหลังปิด)
.
* ถ้เป็นข่าว πολύใหญ่ และคุณมีตำแหน่งค้าง (คุณตัดสินใจให้มีส่วนเล็กเหลือ) — ให้ปฏิบัติตามกฎที่ตั้งไว้ (trailing SL หรือ close at next logical level)
* หากไม่มีตำแหน่งค้าง — **อย่าเข้าใหม่**: ให้รอถึง session ถัดไปหรือจนกว่าจะมีสัญญาณตามระบบ
---
# STEP H — สรุปวัน & เตรียมวันหน้า (สิ้นวัน)
.
1. ทำ End-of-day report: total P/L, #trades, winrate day, biggest mistake, biggest win
2. เซฟภาพหน้าจอกราฟสำคัญ 2–3 รูปที่แสดง trade คุณ
3. ตั้งเป้าสำหรับวันพรุ่งนี้ (watchlist, เหตุการณ์ข่าว, กฎพิเศษ)
4. พักผ่อน — นอนให้พอ อย่าฝืนเทรดต่อ
---
## ตัวอย่าง “Shutdown Script” (ใช้จริงก่อนปิดจอ)
.
1. **กดปิดทุกตำแหน่ง (หรือปรับตามกฎ)**
2. พูดออกเสียง: “หยุดวันนี้ — ส่งงานจบ”
3. ปิดโปรแกรมเทรด + ปิดแจ้งเตือนโทรศัพท์
4. ยืด 5 นาที แล้วจดบันทึก 10 นาที
---
# Checklist สั้น ๆ พกไว้ก่อนปิด (แสดงเมื่อถึงเป้า)
.
* ถึงเป้ากำไรประจำวันแล้วจริงหรือไม่ (คำนวณรวมค่าธรรมเนียม)
* ปิด/จัดการตำแหน่งตามกฎ (close all / partial / trail)
* ปิดแจ้งเตือนทั้งหมดของตลาด
* บันทึก trade ใน journal (entry/exit/เหตุผล/อารมณ์)
* ทำ shutdown ritual (เดิน/น้ำ/ห่างหน้าจอ 10–30 นาที)
* ตั้งการบ้านพรุ่งนี้ + เซฟภาพกราฟ
---
ราคาเคลียร์สภาพคล่องที่ Low แล้วดีดตัวแรง จากนั้นทำไมย่อแรง?🔹 สิ่งที่เกิดขึ้น
.
ราคาเคลียร์สภาพคล่องที่ Low
คนที่ Buy แถว Low (คิดว่าตรงนี้เป็น Support) → SL โดนกิน
คนที่ Sell Breakout (คิดว่าหลุด Low จะลงต่อ) → เข้า Sell
👉 เจ้าได้ “อาหาร” = ทั้ง Stop Loss + Order ใหม่จากฝั่ง Sell
.
ราคาดีดแรงทันที (Rejection)
พอเจ้าได้ของครบ (Buy Liquidity) → เจ้า Buy กลับขึ้นไป
มันเลยเห็นเป็น “แท่งเด้งแรง”
ทำไมหลังจากนั้นถึงย่อแรงอีก
.
แรงดีดแรก = มาจากการ “กิน Stop Loss” + “Short Squeeze”
แต่การดีดนั้น ไม่ได้หมายความว่าเจ้าอยากลากต่อทันที
เจ้ามักจะ “เช็กโซน” → ดูว่ามีใครตามขึ้นมาบ้าง → แล้ว “ย่อแรง” เพื่อ
หลอกให้คนที่รีบ Buy ติดดอย
สะสมของเพิ่ม (Load Position) ที่ Demand Zone
.
🔹 Flow แบบละเอียด
ลงมาเคลียร์ Low → เก็บสภาพคล่อง
ดีดแรง (Impulse Move) → สัญญาณว่ามีการกลับตัวชั่วคราว
ย่อแรงตามมา (Pullback)
เพื่อทำให้ตลาด “ดูไม่ชัวร์”
และสร้างโอกาสให้เจ้าเข้าซื้อเพิ่มในราคาที่ดีกว่า
หลังจากนั้น ถ้าโครงสร้างเปลี่ยน (เช่น BOS / CHoCH) → ราคามักจะไปต่อ
.
🔹 ตัวอย่างที่คุณเจอในกราฟ
.
06:00 → เคลียร์ Low ($$$)
เด้งขึ้นแรง → เพราะกิน SL Buy และ Short Squeeze
จากนั้น ย่อแรงอีกครั้ง → คือจังหวะเจ้าเช็กตลาด + สะสมของใหม่
.
🔹 ภาษาของ Smart Money
.
Stop Hunt = เคลียร์ Low
Spring / Sweep = ดีดแรงครั้งแรก
Retest / Pullback = ย่อแรงตามมา
True Move = เทรนด์จริงที่จะตามมา (ถ้าเจ้าอยากลากต่อ)
.
สรุปสั้น ๆ:
👉 ดีดแรก = สัญญาณว่าเจ้าเริ่มกินของ
👉 ย่อแรงทีหลัง = การเช็ก + สะสมของเพิ่ม
👉 ถ้าตลาดพร้อม → ค่อยปล่อยของจริงขึ้นต่อ
Random walk ** บทวิเคราะห์นี้ไม่ได้ชี้นำในการเทรด ใช้ในการสังเกตและบันทึกพฤติกรรมราคาและสถานการณ์ต่างๆที่ผู้บันทึกได้ทำการเก็บข้อมูล
เปิดตลาดมายังไม่มีอะไรอัพเดทวันนี้เลยเอาเรื่องแนวคิด Random walk มาให้ทำความเข้าใจครับ
Random walk
----- การเคลื่อนตัวแบบสุ่มที่เกิดจากรูปแบบต่างที่ไม่สามารถคาดเดาได้ 100%
----- ในมุมของการเคลื่อนของราคาในตลาดการลงทุน มีกลุ่มเทรดเดอร์นักลงทุนที่หลายหลาย ไม่ว่าจะเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ กลุ่มการเงิน-ธนาคาร เทรดเดอร์รายใหญ่-รายย่อย ที่มี action, กลยุทธ์, มุมมอง, การเข้าถึงข่าวข้อมูลเชิงลึก ที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบสุ่มบนความสัมพันธ์ที่ไม่สอดคล้องกัน
----- ในยุคนี้มีคู่แข่งเพิ่มเข้ามาอย่าง algorithm trading, HFT ยิ่งที่ให้เกิดการเคลื่อนแบบสุ่มที่มาก ต่างจากในอดีต
----- การคาดเดา พยากรณ์จึงไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะจะเกิดอคติ ความคาดหวังที่สูง หากไม่เป็นไปตามที่คิด อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตและวิธิคิดที่ผิดเพี้ยน
----- Random walk เป็นพฤติกรรมที่เกิดในหลายๆเรื่อง ไม่ใช่แค่ในตลาดการลงทุน เช่น การเปลี่ยนแปลงของโมเลกุล การเคลื่อนตัวของนกพิราบ
การเทรดระยะยาว กับการเฝ้าติดหน้าจอไม่ได้ช่วยอะไรการเฝ้าดูราคาตลอดทั้งวันไม่ได้ช่วยให้เราทำงานได้ดี ในตลาดที่มีความผันผวนสูงแบบนี่ แต่มันอาจส่งผลที่มีความเสี่ยงสูงในการเทรดที่ไม่เป็นไปตามแผนการป้องกันความเสี่ยง ซึ่งนำมาสู่การขาดทุนอย่างต่อเนื่อง บางครั้งในขนาดที่เรากำลังมองดูเหรียญที่เรากำลังสนใจอยู่นั้น ราคากำลังวิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องและมันทำให้เราต้องการซื้อ ให้ไปดูกราฟรายสัปดาห์ก่อนว่าสิ่งๆนั้นกำลังอยู่ในช่วงการปรับฐาน หรือว่ามันเลยจุดที่จะเข้าซื้อไปแล้ว ถ้ามันวิ่งขึ้นมากเกินไปแล้วก็อย่าไปยุ่งกับมันดีกว่า สิ่งที่สำคัญกว่าการซื้อของได้ในราคาถูก คือการขายมันได้ก่อนที่ราคามันจะตกลงไป เราไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อในราคาที่ถูกที่สุด แต่เราจะต้องขายแล้วได้กำไร ดังนั้นผมจะบอกว่าสิ่งที่สำคัญกว่าการทำ Double Bottom ของกราฟ คือการทำ Double Top และ Divergence "ซื้อให้ช้าแต่ขายให้เร็ว"