S50Z24 กับการเทรดโดยใช้ Harmonic Bearish Butterfly การเทรดโดยใช้ Harmonic Bearish Butterfly คือการใช้รูปแบบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Harmonic Pattern) เพื่อระบุจุดกลับตัวของราคาที่มีโอกาสสูง
โดยรูปแบบ Bearish Butterfly มักใช้เพื่อจับจังหวะที่ราคาจะปรับตัวลงจากจุดสูงสุดใหม่ (D-point) ไปยังแนวโน้มขาลง มาดูการอธิบายแบบง่าย ๆ:
1. Bearish Butterfly Pattern คืออะไร?
Bearish Butterfly เป็นหนึ่งใน Harmonic Patterns ซึ่งประกอบด้วย 4 จุดสำคัญ (X, A, B, C, D) ที่มีความสัมพันธ์กันตาม Fibonacci Ratio
รูปแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อราคาขยับขึ้นในโครงสร้างที่ชัดเจน และราคามีแนวโน้มจะกลับตัวลงที่จุด D
เป้าหมายหลัก คือการเทรดในจังหวะที่ราคาขึ้นไปถึงจุด D (บริเวณ Fibonacci Extension) แล้วกลับตัวลง
2. โครงสร้างของ Bearish Butterfly
X -> A: ราคาปรับตัวขึ้น (แนวโน้มหลักเริ่มต้น)
A -> B: ราคาปรับตัวลง โดย B อยู่ที่ระดับ 78.6% ของ XA
B -> C: ราคากลับตัวขึ้นอีกครั้ง โดย C อยู่ที่ 38.2% - 88.6% ของ AB
C -> D: ราคาปรับตัวขึ้นต่อจนถึง D ซึ่งอยู่ในช่วง Fibonacci Extension 127.2% - 161.8% ของ XA
จุดสำคัญ:
จุด D คือบริเวณที่ราคามีโอกาสกลับตัวลง (เป็นจุดเข้าขาย หรือ Short Sell)
ใช้ Fibonacci และความสัมพันธ์ของราคาในการวัดตำแหน่งของจุดต่าง ๆ
3. ขั้นตอนการเทรด Bearish Butterfly
ระบุรูปแบบ:
ใช้เครื่องมือ Fibonacci ร่วมกับการสังเกตโครงสร้างราคาเพื่อยืนยันว่าเป็นรูปแบบ Butterfly
จุด D ควรอยู่ที่ Fibonacci Extension 127.2% - 161.8% ของ XA
รอให้ราคามาถึงจุด D:
เมื่อราคาขยับขึ้นถึงบริเวณนี้ ให้เริ่มมองหาสัญญาณกลับตัว (Reversal Signal) เช่น:
แท่งเทียนกลับตัว (Bearish Engulfing, Shooting Star)
TD SELL SETUP/COUNTDOWN
เปิดคำสั่งขาย (Short Sell):
เปิดคำสั่งที่จุด D พร้อมวาง Stop Loss เหนือจุด D เล็กน้อย
ตั้งเป้าหมายการทำกำไรที่จุดสำคัญ เช่น จุด C หรือ A เดิม
4. ตัวอย่างจากกราฟในภาพนี้
X = 947.8, A = 926.1, B = 942.6, C = 928.3, D = 954.5
จุด D อยู่ในช่วง Fibonacci Extension ที่คาดว่าราคาจะกลับตัวลง
คุณสามารถเปิดคำสั่ง Short Sell ใกล้กับ 954.5 พร้อมวาง Stop Loss เหนือระดับนี้
5. ข้อดีของการใช้ Harmonic Bearish Butterfly
ช่วยระบุจุดกลับตัวได้แม่นยำ
ใช้ Fibonacci Ratio ในการยืนยันตำแหน่งต่าง ๆ ทำให้มีเหตุผลทางเทคนิค
ข้อควรระวัง:
ต้องใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น ๆ เพื่อเพิ่มความมั่นใจ
รูปแบบนี้อาจไม่สมบูรณ์เสมอ ควรรอการยืนยันก่อนเข้าเทรด
รูปแบบชาร์ต
เมื่อราคาหุ้น CCET ขึ้นมาที่ระดับ Fibonacci 200% เราควรทำอย่างไรการตัดสินใจเมื่อราคาหุ้น CCET (หรือหุ้นใดๆ) ขึ้นมาถึงระดับ Fibonacci 200% ควรพิจารณาหลายปัจจัยก่อนดำเนินการซื้อหรือขาย ดังนี้:
1. ตรวจสอบแนวโน้มราคาก่อนหน้า
การขึ้นมาถึง Fibonacci 200% อาจเป็นสัญญาณของความร้อนแรงในตลาดหรือการเก็งกำไร:
หากราคาขึ้นต่อเนื่องจาก Fibonacci 100% หรือ 161.8% ด้วยแรงซื้อที่ชัดเจน อาจบ่งบอกถึง โมเมนตัมขาขึ้น ที่ยังแข็งแกร่ง
แต่หากมีสัญญาณแผ่วลง (เช่น Volume ลดลง, ราคาขึ้นไม่สูงกว่าระดับนี้) อาจเกิดการพักตัวหรือกลับตัว
2. วิเคราะห์พฤติกรรมราคาและปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis)
ดูว่ามี Volume เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนหรือไม่:
Volume สูง และราคาทะลุ 200% ขึ้นไป: อาจเป็นสัญญาณการ Breakout
Volume ต่ำ แม้ราคาขึ้นถึง 200%: ระวังการกลับตัวหรือแรงขายทำกำไร
3. ใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิคประกอบ
ตรวจสอบตัวชี้วัดอื่น เช่น:
RSI: หาก RSI เข้าโซน Overbought (>70) อาจเป็นสัญญาณว่าแรงซื้อเริ่มแผ่ว
MACD: ดูว่ามีสัญญาณ Divergence (ความแตกต่างระหว่างราคาและ MACD) หรือไม่
Candlestick Patterns: หากมีแท่งเทียนกลับตัว (เช่น Shooting Star, Bearish Engulfing) ที่ระดับ 200% อาจบ่งบอกการปรับฐาน
4. ประเมินแนวต้านและเป้าหมายราคา
Fibonacci 200% อาจเป็นแนวต้านสำคัญ:
หากราคาไม่สามารถทะลุระดับนี้ได้ อาจพิจารณา ทยอยขายทำกำไร
หากทะลุและยืนได้ มีโอกาสที่ราคาจะไปต่อ (เช่น 261.8%)
5. วางกลยุทธ์
หากถือหุ้นอยู่:
ขายบางส่วน: หากราคาขึ้นเร็วและใกล้แนวต้าน 200% โดยไม่มีแรงสนับสนุนที่ชัดเจน
ถือรอต่อ: หากมีแรงซื้อชัดเจนและราคา Breakout ได้
ตั้ง Stop Loss ใกล้ Fibonacci 200% ในกรณีที่ราคาหลุดแนวนี้
หากกำลังพิจารณาซื้อ:
ระวังแรงขายทำกำไรที่ Fibonacci 200%
ซื้อเมื่อราคา Breakout และยืนเหนือระดับนี้ได้อย่างมั่นคง พร้อม Volume สนับสนุน
6. ปัจจัยพื้นฐานและข่าวสาร
ตรวจสอบปัจจัยพื้นฐานของ CCET เช่น:
งบการเงิน
ข่าวสารหรือเหตุการณ์สำคัญที่อาจส่งผลต่อราคา
หากมีข่าวดีที่สนับสนุน เช่น ผลประกอบการดีขึ้น หรือตลาดโดยรวมเป็นบวก อาจเพิ่มความมั่นใจในการถือรอต่อ
สรุป
หากราคาขึ้นเร็วและถึง 200% โดยไม่มี Volume สนับสนุนหรือมีสัญญาณกลับตัว: ทยอยขายทำกำไร
หากทะลุ 200% และมีแรงซื้อชัดเจน: ถือรอต่อหรือลงทุนเพิ่ม แต่ต้องตั้ง Stop Loss
ควรใช้เครื่องมือเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานประกอบการตัดสินใจเสมอ
การลงทุนมีความเสี่ยง อย่าลืมประเมินสถานการณ์ตามเป้าหมายและความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้
เมื่อราคาหุ้น DELTA บรรลุเป้าหมายการขึ้นที่ 261.8% ควรทำอย่างไรเมื่อราคาหุ้น DELTA บรรลุเป้าหมายการขึ้นที่ 261.8% ซึ่งเป็นระดับการวัดที่มักใช้ในเครื่องมือ Fibonacci Extension จะบ่งบอกถึงการขยายตัวที่มากกว่าปกติและอาจส่งสัญญาณดังนี้:
ผลที่อาจเกิดขึ้น
ความร้อนแรงของตลาด:
ราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นมาถึงระดับนี้อาจแสดงถึงแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง แต่ก็อาจเป็นช่วงที่แรงซื้อเริ่มลดลงเนื่องจากราคาสูงมากเกินไป (Overbought Zone)
นักลงทุนอาจเริ่มทำกำไร (Profit-Taking) ที่ระดับนี้
โอกาสกลับตัว:
ระดับ Fibonacci 261.8% มักเป็นโซนที่มีแรงขายเกิดขึ้น เพราะเป็นจุดที่นักลงทุนจำนวนมากรอทำกำไร
มีโอกาสที่ราคาจะชะลอตัวหรือกลับตัวลงมา (Correction)
คำแนะนำที่ควรพิจารณา
1. ประเมินความเสี่ยง
ตรวจสอบวอลุ่มการซื้อขาย: ถ้าราคาขึ้นมาถึง 261.8% พร้อมวอลุ่มลดลง ให้ระวังโอกาสกลับตัว
วางแผน Stop Loss: กำหนดระดับที่คุณพร้อมขายเพื่อป้องกันการขาดทุนหากราคากลับตัว
2. ติดตามข่าวสาร
ดูปัจจัยพื้นฐานที่อาจส่งผลกระทบ เช่น รายงานผลประกอบการหรือข่าวสำคัญของบริษัท
หากปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง อาจมีโอกาสให้ราคาขึ้นต่อ แต่หากราคาสูงเกินมูลค่ายุติธรรมควรขาย
3. วางกลยุทธ์การขาย (Taking Profit)
แบ่งขาย: หากคุณมีกำไรในหุ้นนี้แล้ว อาจขายบางส่วนที่ระดับ 261.8% เพื่อรับกำไรเข้าพอร์ต
ถือส่วนที่เหลือ: เก็บส่วนที่เหลือไว้ หากแนวโน้มยังดี
หลักทรัพย์ที่เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขาย
ระดับ 1 : ห้ามคำนวณวงเงินซื้อขาย และ Cash Balance
หลักทรัพย์ ชื่อย่อ วันเริ่มต้น วันสิ้นสุด
บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) DELTA 21 พ.ย. 2567 11 ธ.ค. 2567
Gold Market Outlook [22 พฤศจิกายน 2567]Gold Market Outlook
ทองคำทะยานแตะ $2,670 ท่ามกลางความตึงเครียดรัสเซีย-ยูเครน 🚀
ราคาทองคำส่งสัญญาณเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง โดยราคาพุ่งทะลุระดับ 2,670 ดอลลาร์ 📈 ปัจจัยหนุนหลักมาจากแรงซื้อในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หลังสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนทวีความรุนแรง 💥
ประเด็นร้อนที่กระตุ้นตลาด ได้แก่การที่รัสเซียใช้ขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) โจมตียูเครนเป็นครั้งแรก ⚠️ ขณะเดียวกัน ผลประกอบการของ Nvidia ที่ชะลอตัวในไตรมาส 3 ก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นและหนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่ตลาดทองคำ 📊
ในด้านนโยบายการเงิน 🏦 ตลาดกำลังจับตาท่าทีของเฟด โดยล่าสุดโอกาสการปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนธันวาคม ลดลงเหลือ 52% จากเดิม 72% ในสัปดาห์ก่อน ขณะที่โอกาสคงดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็น 48% จาก 27% สะท้อนมุมมองที่เปลี่ยนไปหลังจากประธานเฟด เจอโรม พาวเวล ส่งสัญญาณไม่เร่งลดดอกเบี้ย เนื่องจากตลาดแรงงานยังแข็งแกร่งและเงินเฟ้อยังสูงกว่าเป้า 2% 📝
สำหรับกลยุทธ์การเทรดวันนี้ ⚖️ แนะนำให้ระมัดระวังการเข้าซื้อ-ขายในช่วงนี้ เนื่องจากราคาอยู่ในโซนแนวต้านสำคัญ และตลาดรอผลตัวเลข Flash PMI จากยุโรปและสหรัฐฯ ควร Wait & See ก่อนตัดสินใจ 🎯
จากมุมมองทางเทคนิค ราคาทองคำมีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบแคบระหว่างแนวรับแรกที่ $2,668 และแนวต้านแรกที่ $2,673 💭 หากทะลุกรอบดังกล่าว อาจมีแรงซื้อเพิ่มเติมไปทดสอบแนวต้านถัดไปที่ $2,680 และ $2,685 ตามลำดับ 📊 ในทางกลับกัน หากหลุดแนวรับแรก ให้ระวังการอ่อนตัวลงทดสอบแนวรับที่ $2,653 และ $2,639 🔍 แนะนำให้นักลงทุนติดตามปัจจัยพื้นฐานและทิศทางค่าเงินดอลลาร์อย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการตัดสินใจ 💪
📈📉 แนวรับ-แนวต้าน (07:00)
XAUUSD
สถานะ: Slightly Bullish 🎯
🔼 แนวต้าน 3: $2,685
🔼 แนวต้าน 2: $2,680*
🔼 แนวต้าน 1: $2,673
——————————
🔽 แนวรับ 1: $2,668
🔽 แนวรับ 2: $2,653
🔽 แนวรับ 3: $2,639
✍️ วิเคราะห์โดย: Beam 📊💡
XAUUSDปัจจัยส่งราคาแรงมากนะครับ ตอนนี้เริ่มทำกรอบชัดเจนแแล้วเป็นอัพเทรนแชลแนลโดยมีแนวฐานราคาใหม่ที่ 2620 แปลว่าเค้าไม่ควรหลุดหากจะไหลขึ้นต่อเรื่อยๆ ใครมีไม้รันมาก็ให้ใช้จุดนี้เป็นจุดกันทุนใหม่ได้เลย โดยแผนหลังจากนี้จะเป็นการหลุด Swing Low เล็กแล้วดึงกลับก็ค่อย Buy ไม่ต้องรอ Demand เหมือนเดิมเพราะการวิ่งแบบนี้จะไม่มาที่ Demand นะครับแค่กวาด SL แล้วขึ้นต่อเรื่อยๆ ให้ระวังเวลาราคาเข้าใกล้กรอบบนให้รอเค้าย่อค่อยหาจังหวะเทรดใหม่
เทคนิคคอล
-Hidden Base จุดนี้มองว่าย่อได้ลึกสุดนะครับและไม่ควรหลุดด้วย
-Demand H4 เป็นแนวฐานราคาใหม่หรือโครงสร้างราคาขาขึ้นใน H1 และ H4
-Swing Low ที่มีเส้นขีดให้มองเป็นจุด Liquidity รอเค้ากวาดจุดพวกนี้แล้วดึงกลับเพื่อพิจารณาเข้าออเดอร์
EURUSD: ทะลุแนวต้านหรือกลับตัว?คู่เงิน EURUSD กำลังฟื้นตัวทีละเล็กทีละน้อย โดยปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ระดับ 1.0588 หลังจากเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ แต่ยังไม่ควรดีใจเร็วเกินไป เพราะ "กำแพงแนวต้าน" EMA 34 และ EMA 89 กำลังตั้งอยู่ในช่วง 1.0600 – 1.0620 ซึ่งอาจทำให้ราคาชะลอตัวลงได้
ภาพรวมทางเทคนิคชี้ให้เห็นถึงโอกาสที่น่าสนใจ เมื่อเส้นแนวโน้มกำลังส่งสัญญาณถึงการฟื้นตัวที่อาจเกิดขึ้น หากราคาทะลุแนวต้านบริเวณ 1.0620 ได้ เป้าหมายถัดไปที่ระดับ 1.0650 จะเป็นที่จับตามอง แต่หากราคาไม่สามารถผ่านแนวต้านนี้ไปได้ การปรับตัวลงมาที่ระดับแนวรับ 1.0550 อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้
จุดเด่นในสัปดาห์นี้คือข้อมูลเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ ที่จะมีบทบาทสำคัญ! ข้อมูลเงินเฟ้อจะยังคงหนุนค่าเงินดอลลาร์ต่อไปหรือไม่? หรือยุโรปจะกลับมาสร้างความเปลี่ยนแปลง? เตรียมตัวให้พร้อม เพราะตลาดอาจสร้างเซอร์ไพรส์ที่ไม่มีใครคาดถึง!
XAUUSD: ท้าทาย EMA 89, โอกาสหรือความเสี่ยง?XAUUSD กำลังฟื้นตัวอย่างน่าทึ่ง โดยซื้อขายที่ระดับ 2,644 USD หลังจากทะลุกรอบขาลงก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม การเดินทางขึ้นของราคาทองคำกำลังเผชิญกับ "กำแพงเหล็ก" คือเส้น EMA 89 ที่ระดับ 2,657 USD ซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญที่อาจลดแรงขาขึ้นในปัจจุบัน
กรณีเชิงบวก: หากราคาทะลุผ่านโซน 2,644-2,650 USD แรงซื้อที่แข็งแกร่งอาจผลักดัน XAUUSD ไปถึงระดับ 2,657 USD ซึ่งเป็นจุดที่นักเทรดหลายคนกำลังรอคอย
กรณีเชิงลบ: หากไม่สามารถทะลุได้ ราคาทองคำอาจย้อนกลับลงไปที่ระดับแนวรับสำคัญ 2,580 USD ซึ่งเป็นจุดชี้ขาดว่าทิศทางขาขึ้นยังคงมั่นคงหรือไม่
ปัจจุบัน "กระแสลม" จากตลาดเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังส่งผลกระทบเล็กน้อยต่อราคาทองคำ เนื่องจากข้อมูลเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาบ่งชี้ว่าดอลลาร์สหรัฐสูญเสียข้อได้เปรียบบางส่วน อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อมูลเงินเฟ้อ PCE ที่กำลังจะมาถึง ทุกสถานการณ์อาจเกิดขึ้นได้ นักลงทุนควรเตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนที่ไม่คาดคิด
เรียนรู้ S50Z24 รูปแบบ **Bearish Butterfly Harmonic** ก่อนลงแรงรูปแบบ **Bearish Butterfly Harmonic** เป็นหนึ่งในรูปแบบฮาร์โมนิคที่นักวิเคราะห์ทางเทคนิคใช้เพื่อระบุโอกาสกลับตัวของราคาหุ้นหรือสินทรัพย์ในแนวโน้มขาขึ้น โดยทั่วไปจะเน้นการวัดเป้าหมายจากจุดกลับตัวที่มีความสัมพันธ์ตามอัตราส่วนฟีโบนักชี (Fibonacci) โดยโครงสร้างหลักของ Bearish Butterfly ประกอบด้วยจุดสำคัญ 5 จุด คือ **X, A, B, C, D**
### ลักษณะโครงสร้าง Bearish Butterfly
1. **XA**: การเคลื่อนที่เริ่มต้นของราคา (ต้นขาแรก) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของรูปแบบ
2. **AB**: การปรับฐานของราคาที่ต้องย้อนกลับมาประมาณ **78.6% ของ XA**
3. **BC**: การดีดกลับจาก B โดยมีความยาวประมาณ **38.2% ถึง 88.6% ของ AB**
4. **CD**: การเคลื่อนที่ครั้งสุดท้ายซึ่งมักจะมีเป้าหมายอยู่ที่ **127.2% ถึง 161.8% ของ XA**
### กฎสำคัญในการวัดเป้าหมาย
1. **จุด D** คือจุดกลับตัวที่สำคัญที่สุดและเป็นจุดที่นักเทรดมักจะวางคำสั่งขาย (short sell) หรือทำการปิดคำสั่งซื้อ (long position) โดยตำแหน่งนี้จะอยู่ที่:
- **127.2% หรือ 161.8% ของ XA**
- **หรือบางครั้งที่ความยาว CD อาจเทียบเท่ากับ 161.8% ของ AB**
2. **เป้าหมายกำไร (Take Profit) หลังจากราคากลับตัวที่ D**:
- เป้าหมายแรกอยู่ที่ระดับ **61.8% ของ CD**
- เป้าหมายที่สองอาจอยู่ที่ **100% ของ CD** หรือระดับแนวรับ/แนวต้านถัดไป
3. **การตั้ง Stop Loss**:
- วางไว้เหนือจุด D เล็กน้อย เพื่อป้องกันความเสี่ยงหากราคายังไม่กลับตัวตามคาดการณ์
### วิธีการใช้งานแบบง่ายๆ
1. ใช้เครื่องมือ Fibonacci Retracement และ Extension บนแพลตฟอร์มกราฟ
2. วัดระยะ XA ก่อนเพื่อหาค่าเป้าหมาย 127.2% และ 161.8%
3. ยืนยันจุด D ว่าตรงตามเงื่อนไขของอัตราส่วน Fibonacci
4. หลังจากระบุจุด D ได้แล้ว ให้รอการกลับตัว เช่น ใช้สัญญาณแท่งเทียนกลับตัว (Bearish Engulfing หรือ Shooting Star) ร่วมด้วย
### สรุป
Bearish Butterfly Harmonic ใช้การวิเคราะห์ฟีโบนักชีเป็นหลัก โดยจุดสำคัญที่ต้องจับตามองคือ **127.2%-161.8% ของ XA** ที่ตำแหน่งจุด D หากราคากลับตัวที่บริเวณนี้ โอกาสที่ราคาจะปรับฐานหรือเปลี่ยนทิศทางมีความเป็นไปได้สูง นักเทรดควรใช้เทคนิคเสริม เช่น การวิเคราะห์แนวโน้มและปริมาณการซื้อขาย เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจเทรดครับ 😊
Gold Market Outlook【21 พฤศจิกายน 2567】Gold Market Outlook【21 พฤศจิกายน 2567】💫
ราคาทองพุ่งต่อเนื่องวันที่ 3 ท่ามกลางความตึงเครียดรัสเซีย-ยูเครน 🌍
ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 แตะระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นจากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน 🏆
ความตึงเครียดทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ลดเพดานการใช้อาวุธนิวเคลียร์ลง เพื่อตอบโต้การโจมตีด้วยอาวุธทั่วไปในวงกว้าง ⚔️
นักวิเคราะห์ระบุว่าสถานการณ์ดังกล่าวกระตุ้นความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของดอลลาร์ยังคงเป็นอุปสรรคต่อราคาทองคำ เนื่องจากทำให้ทองคำมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ซื้อต่างประเทศ 💹
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาการแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดหลายท่านในสัปดาห์นี้ โดยตลาดคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากเดิม 82.5% เหลือเพียง 55.7% ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา 📊
ทางด้านเทคนิค ราคาทองคำวันนี้หลังจากปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง 3 ววัน ราคาอยู่ในระดับค่อนข้างสูง ควรระวังการทดสอบแนวต้านที่ 2666 และแนวต้านสำคัญที่ 2679 📈
ปัจจัยพื้นฐานสำคัญวันนี้มีเพียงการเปิดเผยตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐและ Philly FED Manufacturing Index 📋
กลยุทธ์การเทรด:
- แนะนำรอดูโซนแนวต้าน หากทดสอบแล้วไม่ผ่านครั้งแรก เป็นโอกาสเปิด Sell ระยะสั้น
- หากราคาผ่านแนวต้านสำคัญ อาจต้องพิจารณาแผน Buy ใหม่ในภายหลัง 📊
📈📉 แนวรับ-แนวต้าน (09:00)
XAUUSD
สถานะ: Slightly Bullish 🎯
🔼 แนวต้าน 3: $2,680
🔼 แนวต้าน 2: $2,675
🔼 แนวต้าน 1: $2,659
——————————
🔽 แนวรับ 1: $2,641
🔽 แนวรับ 2: $2,634
🔽 แนวรับ 3: $2,619
✍️ วิเคราะห์โดย: Beam 📊💡
ทำไม DELTA มาติด Cash Balance ที่ Fibonacci 261.8%Fibonacci 261.8% มีค่า 173฿ มีความสำคัญอย่างไร?
ลองคิดแบบนี้นะ:
สมมุติว่าเรากำลังเล่นเกมปีนบันไดในสวนสนุก และบันไดแต่ละขั้นมีตัวเลขบอกระยะที่เราจะกระโดดไปข้างหน้า อย่างเช่น 1 ก้าว, 2 ก้าว, หรือ 3 ก้าว
Fibonacci Extension 261.8% ก็เหมือนเป็นขั้นบันไดที่อยู่ไกลออกไปมาก! มันบอกเราว่า ถ้าเรากระโดดไปเรื่อย ๆ (ตามระยะที่คาดไว้) เราน่าจะไปถึงจุดที่ไกลขึ้นได้ถึง 2.618 เท่า ของระยะเริ่มต้นที่เราคิดไว้
ในโลกของการซื้อขาย (เช่น หุ้นหรือคริปโตฯ) คนใช้ Fibonacci Extension 261.8% เพื่อเดาว่า ถ้าราคาสินค้าเริ่มวิ่งขึ้นไปไกล ๆ มันอาจจะไปถึง "เป้าหมาย" ที่ไกลแค่ไหนได้ในอนาคต โดยใช้ตัวเลขมหัศจรรย์นี้ช่วยประมาณ
ลองคิดง่าย ๆ เหมือนเราเดาว่ารถไฟเหาะจะวิ่งไปหยุดตรงไหน โดยมีตัวเลข 261.8% เป็นแผนที่ช่วยบอกจุดที่
มันอาจจะไปถึง!
NOTE: ระดับ 1 : ห้ามคำนวณวงเงินซื้อขาย และ Cash Balance
หลักทรัพย์ ชื่อย่อ วันเริ่มต้น วันสิ้นสุด
บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) DELTA 21 พ.ย. 2567 11 ธ.ค. 2567
ขยายช่วงดำเนินการ
XAUUSDตอนนี้ปัจจัยเรื่องครามหนุนราคาทองคำมากๆนะครับแต่ทางเทคนิคกราฟทองตอนนี้กลายเป็นเทรนขาลงในระยะสั้นไปแล้ว จากการนับคลื่นยังมองว่าขึ้นไม่จบถ้าไม่มีปัจจัยพื้นฐานเข้ามาหนุนแรงในช่วงพักคลื่น 4 ก็ให้รอ Buy ตามโซนที่ทำไว้ให้นะครับแต่หากมีปัจจัยหนุนเข้ามาก็ตกรถไปก่อนแต่ก็คงคอนเซฟช่องผมอยู่แล้วคือเน้นรอแล้วเข้าจังหวะที่ได้เปรียบเสมอ
เทคนิคคอล
-Fibo 38.20% จุดนี้โซนไม่กวาดเข้าออเดอร์ที่เลข Fibo ได้เลยหากเอาไม่อยู่จะย่อลึกก็ให้ไปรอโซนล่าง
-Support Zone ตรงนี้โซนกว้างมากนะครับแต่เป็นจุดที่ควรจะรับราคาอยู่เพื่อขึ้นต่อ หากหลุดโซนนี้ไปมองว่าไม่สวยแล้วราคาอาจรวงต่อได้เรื่อยๆ ให้เข้าออเดอร์และ MM ระยะแค่ในโซนอย่าปล่อยลากเพราะ H4 ยังเป็นขาลงอยู่
**อาจใช้เวลาพักตัวมากกว่า 1 วันอย่ากลัวตกรถนะ รอ....**
Gold Market Outlook【20 พฤศจิกายน 2567】Gold Market Outlook【20 พฤศจิกายน 2567】💫
ราคาทองพุ่งต่อเนื่องหลังความตึงเครียดรัสเซีย-ยูเครนกระตุ้นแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย 🌍
ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่สอง 📈 แตะระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ เนื่องจากความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ทวีความรุนแรง ส่งผลให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงหันมาถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่ตลาดจับตาสัญญาณจากเฟดเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ราคาทองพุ่งขึ้น 2% 🚀 นับเป็นการปรับตัวขึ้นรายวันที่มากที่สุดนับตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม และฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือนของสัปดาห์ที่แล้ว
นักวิเคราะห์ระบุว่า รายงานล่าสุดเกี่ยวกับการที่รัสเซียเปลี่ยนแปลงหลักการด้านนิวเคลียร์ หลังยูเครนโจมตีดินแดนรัสเซียด้วยขีปนาวุธพิสัยไกลเป็นครั้งแรก ส่งผลให้เกิดกระแสเงินไหลเข้าสู่ทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย 🛡️
ความน่าสนใจของทองคำได้รับแรงหนุนจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ และสภาพแวดล้อมอัตราดอกเบี้ยต่ำ 📊
สัปดาห์นี้มีกำหนดการที่เจ้าหน้าที่เฟดหลายท่านจะกล่าวสุนทรพจน์ ซึ่งอาจให้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยนักเทรดคาดการณ์ว่ามีโอกาส 62% ที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนธันวาคม 💭
นักวิเคราะห์จาก Commerzbank ระบุว่า "เนื่องจากปัจจัยสนับสนุนทองคำยังไม่ลดลง ระดับราคาที่ต่ำลงจึงดึงดูดความสนใจในการซื้อ" 📝
ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ การซื้อทองคำของธนาคารกลาง และการขาดดุลที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ และประเทศตะวันตกอื่นๆ ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาทองคำ นอกจากนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์หลังจากแข็งค่าแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 ปีในสัปดาห์ที่แล้ว ยังช่วยให้ทองคำน่าดึงดูดสำหรับผู้ซื้อในสกุลเงินอื่นๆ 💱
ด้านเทคนิค ราคาทองคำวันนี้ยังคงมีทิศทางปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยมีแนวต้านถัดไปที่ $2,670 และแนวต้านสำคัญที่ $2,680 เป็นจุดพิจารณาทำกำไรสำหรับสถานะ Buy 📊 สำหรับผู้ที่ยังไม่มีสถานะ หากราคาขึ้นไปยืนเหนือ $2,640 อาจพิจารณาเข้าซื้อตามแนวรับที่สูงขึ้น
📈📉 แนวรับ-แนวต้าน (09:10)
XAUUSD
สถานะ: Slightly Bullish 🎯
🔼 แนวต้าน 3: $2,680
🔼 แนวต้าน 2: $2,670
🔼 แนวต้าน 1: $2,650
——————————
🔽 แนวรับ 1: $2,631
🔽 แนวรับ 2: $2,617
🔽 แนวรับ 3: $2,594
✍️ วิเคราะห์โดย: Beam 📊💡
จุดสังเกตุ ต้นทุนฝรั่งรอบนี้-ในกรอบสีแดง เมื่อวานฝรั่งซื้อที่ 1.6พันล้าน
- ปกติการซื้อแบบนี้มักจะดันไป 30 - 50 จุด นั่นคือจุดสูงสุดแถว 965 นั่นเอง
- ขณะเดียวกันถ้าต่ำกว่ากรอบแดงคือ 936.5 ก์ไปรับที่ 929 ถ้าหลุดอีก หวังที่ 890 ได้เลย
- ส่วนตัวยิ่งสูงยิ่งหนาว อ่านการบ้าน wk นี้ไว้นะครับผมว่าน่าจะออกมารูปนั้น ผมก็ action ตามนั้น
- แล้วถ้าเลือกขึ้น เมื่อถึง high เดิมคง ออกก่อน แล้วค่อยว่ากัน
- ส่วนตัวคิดว่าไปไม่น่าเกิน 970
S50Z24 กับ Bearish Butterfly Pattern Bearish Butterfly Pattern เป็นหนึ่งในรูปแบบฮาร์โมนิกราคา (Harmonic Patterns) ที่ช่วยนักเทรดในการคาดการณ์การกลับตัวของราคาในตลาด โดยทั่วไปใช้กับตลาดที่มีแนวโน้มขาลง (Bearish) และมักเกิดขึ้นใกล้จุดสูงสุดก่อนที่ราคาจะปรับตัวลง
### โครงสร้างของ Bearish Butterfly Pattern
รูปแบบนี้ประกอบด้วย 4 จุดหลัก (X, A, B, C, D) และใช้ Fibonacci Ratios เพื่อยืนยันตำแหน่งดังนี้:
1. **XA**: เป็นขาขึ้นแรกเริ่ม (Initial move) ของรูปแบบ
2. **AB**: ย่อตัวลงมาประมาณ **78.6%** ของ XA
3. **BC**: ดีดตัวขึ้นไปประมาณ **38.2%-88.6%** ของ AB
4. **CD**: เป็นขาขึ้นสุดท้ายที่ยาวกว่า XA โดยมักอยู่ที่ **127.2%-161.8%** ของ XA
จุดที่สำคัญที่สุดคือ **D** ซึ่งเป็นจุดที่ราคามักกลับตัวลง (Reversal Zone)
### สัญญาณที่ใช้
1. **PRZ (Potential Reversal Zone)**: บริเวณจุด D ที่เกิดจากการคำนวณ Fibonacci จะเป็นจุดที่ราคามีแนวโน้มกลับตัว
2. **Confirmation**: เมื่อราคามาถึงจุด D ต้องใช้สัญญาณเพิ่มเติม เช่น แท่งเทียนกลับตัว หรือเครื่องมืออื่นๆ เพื่อยืนยันการกลับตัว
### การใช้งาน
1. **เข้าออเดอร์**: เปิดคำสั่งขาย (Short) ใกล้จุด D
2. **จุดทำกำไร (Take Profit)**: มักวางไว้ที่ระดับ Fibonacci Retracement ของ CD เช่น 38.2% หรือ 61.8%
3. **จุดตัดขาดทุน (Stop Loss)**: ตั้งไว้เหนือจุด D เพื่อป้องกันความเสี่ยง
### ตัวอย่างการมองภาพ
- คิดง่ายๆ ว่า Bearish Butterfly เหมือนผีเสื้อที่กำลังกางปีกขึ้นไป แต่พอถึงจุดสูงสุด (D) จะ "ร่อนลง" (ราคากลับตัวลง)
เหมาะสำหรับการวิเคราะห์ตลาดที่มีโครงสร้างชัดเจนและเน้นการเทรดตาม Fibonacci Ratios!
เทรนด์ทองคำ 18/11 - การฟื้นตัวของ S-T เริ่มต้นขึ้นตลาดทองคำในสัปดาห์ที่แล้วเป็นไปตามการคาดการณ์ของเรา ในขณะที่ช่วงการแข็งค่ายังคงดำเนินต่อไป ราคาทะลุแนวต้าน 2650(1) ในช่วงต้นสัปดาห์ โดยเริ่มเคลื่อนตัวลงสู่เป้าหมายของเราที่ 2600 ต่อมาราคาตกลงสู่ระดับต่ำสุดประจำสัปดาห์ที่ 2536 ตามข้อมูลเงินเฟ้อในวันพุธ หลังจากนั้นมีการดีดตัวขึ้นเล็กน้อย โดยปิดสัปดาห์ใกล้กับปี 2562 ในวันศุกร์ ซึ่งลดลง 102 ดอลลาร์
หลังการเลือกตั้งของสหรัฐฯ เงินดอลลาร์สหรัฐยังคงแข็งค่า ส่งผลให้ราคาทองคำร่วงลงกว่า 250 ดอลลาร์ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม แรงกดดันในการขายลดลงหลังจากการฟื้นตัวจากปี 2538 เป็นที่น่าสังเกตว่าประธานเฟด พาวเวลล์ กล่าวอย่างชัดเจนเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้วว่า ไม่มีการเร่งรีบในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามสภาวะตลาดในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการจำกัดศักยภาพของทองคำที่สูงขึ้นในขณะนี้ เนื่องจากไม่มีข้อมูลตลาดที่มีนัยสำคัญในปฏิทินสำหรับสัปดาห์นี้ ราคาทองคำจึงคาดว่าจะทรงตัวในทิศทางด้านข้าง
แผนภูมิ 1 ชั่วโมง (ด้านบน) > โมเมนตัมขาลงมีการชะลอตัวลงตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่แล้ว หากราคาทะลุออกจากเส้นแนวโน้มขาลงในปัจจุบัน (3) เราก็สามารถกำหนดเป้าหมายขาขึ้นเริ่มต้นที่ 2620 (4) เนื่องจากไม่มีข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ จึงถือว่าช่วงปี 2555-2620 (4) เป็นเขตปฏิบัติการชั่วคราว
กราฟรายวัน (ด้านบน) >ทองคำทะลุแนวต้าน 50% ในสัปดาห์ที่แล้ว (5) และดีดตัวขึ้นจากเส้น MA 100 วัน (6) เราคาดแนวต้านระยะสั้นได้ประมาณ 2,600-2,605(7) ในกรณีที่มีการละเมิดสูงกว่า 2600 เป้าหมายถัดไปคาดว่าจะอยู่ใกล้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 10 วันที่ประมาณ 2630
P.To
SET GDP ทั้งปีทำไว้ ที่2.4 % นำมาจับมุมมองกราฟSET:SET Key Takeaways:
📍GDP ไทย ไตรมาส 3/24 ขยายตัวได้ 3.0% YoY (1.2% QoQ) ขยายตัวมากกว่าตลาดคาดที่ 2.4% YoY (Bloomberg Consensus) แต่เป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับ BLS House view ที่ 2.9% YoY
📍ปัจจัยหนุนหลักในไตรมาสนี้ ได้แก่ การบริโภคภาครัฐ (+6.3% YoY) การลงทุนภาครัฐ (+25.9% YoY) และการส่งออกสินค้า (+8.3% YoY) ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนเติบโตชะลอลงที่ 3.4% YoY จากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวได้ 4.9% YoY
📍อย่างไรก็ดี การลงทุนภาคเอกชนยังน่าเป็นห่วง โดยหดตัว 2.5% YoY เป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 สะท้อนถึงภาคธุรกิจที่ฟื้นตัวได้บางสาขา
เนื้อหา:
GDP ไทยไตรมาส 3/24 ขยายตัวเร่งขึ้น โดยมี 3 ปัจจัยหนุนหลัก ได้แก่
1. การบริโภคภาครัฐขยายตัว 6.3% YoY ขณะที่การลงทุนภาครัฐขยายตัวได้สูงถึง 25.9% YoY ซึ่งเป็นผลจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณก่อนการสิ้นสุดปีงบประมาณ 67 บวกกับผลของฐานต่ำ
2. การส่งออกสินค้าไทยขยายตัวได้ดีกว่าที่คาด โดยโตถึง 8.3% YoY จากอานิสงส์ด้าน Front-loaded demand ของสหรัฐฯ และยุโรป ก่อนมาตรการขึ้นภาษีมีผลบังคับใช้ในช่วงปลายเดือนกันยายน ประกอบกับ Demand ของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ อาทิ HDDs ที่ยังคงเติบโตสูง ซึ่งเป็นกลุ่มที่หนุนการส่งออกของไทยตลอดทั้งไตรมาส 3/24 และ
3. การบริโภคภาคเอกชนที่ยังคงขยายตัวได้ดี 3.4% YoY แม้จะเป็นการขยายตัวในทิศทางที่ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวได้ 4.9% YoY โดยการใช้จ่ายในหมวดโรงแรม ร้านอาหาร เติบโตชะลอลงจากผลของ Low Season ด้านการท่องเที่ยว ส่วนสินค้าคงทนยังคงหดตัวต่อเนื่องถึง 9.9% YoY ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง อันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่คาดว่าจะกดดันการบริโภคภาคเอกชนโดยรวมของไทยไปอย่างต่อเนื่องไปถึงปีหน้า (หากไม่มีมาตรการมากระตุ้นการบริโภคเพิ่มเติม)
อย่างไรก็ดี การลงทุนภาคเอกชนยังคงหดตัว 2.5% YoY ซึ่งเป็นการหดตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า (-6.8% YoY) สะท้อนถึงการฟื้นตัวของภาคธุรกิจแบบไม่ทั่วถึง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากกำลังซื้อโดยภาพรวมยังไม่สามารถกลับมาแบบยั่งยืนได้ ทำให้ sentiment การลงทุนของภาคเอกชนโดยรวมยังไม่ฟื้นกลับมา
ทั้งนี้ เราคาดว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/24 น่าจะขยายตัวเร่งขึ้นได้ราว 3.6% YoY (Base case) จากผลของฐานต่ำและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ เช่น โครงการแจกเงิน 10,000 บาท ที่น่าจะการแจกเฟสสองแก่กลุ่มคนอายุ 50 – 60 ปี ก่อนสิ้นปี ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้ ร่วมกับมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว (เที่ยวคนละครึ่ง) ที่น่าจะออกมาเพิ่มเติมก่อนสิ้นปี รวมถึงการท่องเที่ยวในช่วง High Season โดยเราคาดว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติไตรมาส 4/24 น่าจะอยู่ที่ราว 9.5 ล้านคน และน่าจะทำให้ยอดทั้งปีมาแตะที่ 35.6 ล้านคน ตามที่เราคาดไว้ (คิดเป็นสัดส่วน 89.2% ของ Pre-covid) อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/67 ยังคงมีความเสี่ยงด้านการส่งออกที่เรามองว่าน่าจะชะลอตัวลงแรงกว่าที่คาด จาก Demand ของเศรษฐกิจคู่ค้าหลักอย่างสหรัฐฯ และจีนที่ชะลอลง ทำให้เรายังคงยืนมุมมองการเติบโตของเศรษฐกิจทั้งปี 67 โตที่ 2.6% YoY
จากรายงานนี้บ้านเรา GDP ทั้งปีทำไว้ ที่2.4 % พอมาจับกับภาพตลาดมอง 1 เดือนครึ่งที่เหลือบัานเราจะเล่นออกข้าง ในกรอบ 1436 ถึง1500 ยกเว้นมีปัจจัยใหม่เข้ามาครับ