รูปแบบชาร์ต
BTCUSD : ระบบ Break 52Days high มีสัญญาณ"ขาย" 28/12/2024อธิบาย : ระบบ Break 52Days High เป็นระบบที่จะดู High ย้อนหลังของแท่งเทียน เป็นเวลา 52 วัน และตีเส้นราคาลากมาเรื่อยๆ จนกว่าเมื่อไหร่ที่ราคาปิดแท่งเหนือกว่าเส้น 52 วันย้อนหลัง ระบบก็จะมีสัญญาณซื้อ ส่วนสัญญาณขายจะใช้ MA 52 วัน เพื่อตัดสินใจ โดยเมื่อไหร่ที่ราคาปิดแท่งต่ำกว่าเส้น MA52 ก็จะมีสัญญาณขาย นั่นเอง
ระบบนี้ดัดแปลงไอเดียมาจาก Break 52 Weeks High ที่ใช้กับตลาดหุ้น แต่ว่ามาใช้กับคริปโตแล้วมันช้าเกิน ก็เลยลองลดเหลือเป็น 52 วันแทน ก็ให้ผลที่ค่อนข้างน่าสนใจ เพราะหลายๆ ครั้งระบบนี้ก็ช่วยให้เราไม่ต้องเสียเวลาเข้าๆ ออกๆ ตอนตลาด sideway down หรือขาลงจ๋าๆ เพราะเราจะนั่งเฉยๆ ตลอดทางนั่นเอง ( เหมือนกับ 5 เดือนที่ผ่านมา )
ความเห็นของผม : หลังจาก ยึกๆ ยักๆ กันมาเป็นเดือน ในที่สุดก็เริ่มเสียทรงและทำให้ระบบแดงกันไปอีกระบบจนได้ครับ ถ้ามองว่าเป็นการปิดจ๊อบของปี 2024 ผมว่าก็น่าสนใจดีเหมือนกัน ขายออกมาก่อน reset ทุกระบบ ปีหน้าว่ากันใหม่ อย่างน้อยๆ ปีนี้ก็มีกำไรกันถ้วนหน้าแล้ว
BTC BreakHigh = เขียว ( 15/10/2024 )
------------------
Entry : 66000+-
Exit : 61000 (-7.5%)
Position Size = 13% ของพอร์ต ( Risk1% )*
* ปัดเศษเพื่อความง่ายต่อการคำนวณ
BTC BreakHigh = แดง ( 28/12/2024 )
------------------
Entry : 66000+-
TP : 94300 ( +42.87%)
Position Size = 13% ของพอร์ต ( Risk1% )*
Actual Profit = 13%*42.87% = 5.57% (5.5R)
---------------------------
สรุปผลกำไร สะสม ของทุกระบบ ในปี 2024 ได้ดังนี้
* รายการกำไรนี้ เป็นการคำนวณตรงๆ ยังไม่ได้ใส่ค่า fee และ slippage เข้าไปนะครับ ดังนั้น กำไรจริงๆ ของการทำตามระบบ ก็น่าจะต่ำกว่านี้พอสมควรครับ
(8Feb-17Mar) ATR = +6.61% ที่ความเสี่ยง 1% ( 6.61R )
(9Apr-14Apr) ATR = -1.06% ที่ความเสี่ยง 1% (-1.06R )
(10Feb-14Apr) BreakHigh = +4.94% ( 4.94R )
(2Feb-17Apr) ActionZone = +9.6% ( 9.6R )
(16May-15Jun) ATR = -0.023%
(19May-18Jun) ActionZone = -0.059%
(1Jan-25Jun) EMA120DCross = +5.95% ( 5.95R )
(16Jul-3Aug) ATR = -0.5%
(16Jul-3Aug) EMA120DCross = -0.5%
(20Jul-5Aug) ActionZone = -0.9%
(24Aug-27Aug) EMA120DCross = -0.7%
(26Aug-30Aug) ActionZone = -0.75%
(24Aug-2Sep) ATR = -1.04%
(14Sep-2Oct) ATR = +0.05%
(19Sep-2Oct) EMA120DCross = -0.155%
(25Sep-2Oct) BreakHigh = -0.538%
(15Oct-23Dec) ATR = 5.74%
(15Oct-28Dec) BreakHigh = 5.57%
(19Sep-???) ActionZone = ?%
(15Oct-???) EMA120D = ?%
Sum กำไรสะสมของปี 2024 = 26.66% + 5.57% = 32.23% ที่ความเสี่ยง 1% ต่อระบบต่อครั้ง
* โดยกำไรด้านบน ยังไม่ใช่กำไรสุทธิ เพราะยังเหลืออีก 2 ระบบที่ยังไม่ได้ realized profit นะครับ ซึ่งตอนนี้อีก 2 ระบบที่เหลือมีกำไรรวมราวๆ +10.9% ถ้ารวมกับยอดที่ realized ไปแล้วอีก 32.23% ในปีนี้ก็มีกำไรเบื้องต้นอยู่ที่ 43.13% ครับ สำหรับความเสี่ยง 4% ก็ตีคร่าวๆ ก็เกือบ 11R เลยนะ ถือว่าเป็นปีที่ดีมากๆ ปีนึงครับ
วางแผนการบ้านปีหน้า และ รอบเทรดเดือนหน้า ( 2 - 10 มค 68 )ผ่านมา 1 ปี กับการเทรด ถ้ารวมกับปีที่ผมเริ่มเทรด ก็ทั้งหมด 11 ปี
ตอนเริ่มเทรด ผมมุ่งที่ตลาด future และบอกตนเองว่าจะ Master ใน index ให้ได้และเท่านั้น ไม่มีสนใจหุ้นปกติเลย
และเมาหมัดอยู่หลายๆๆๆๆๆ ปี กว่าจะ ขาแข็ง ชกไม่มั่ว ไปเปิดดู dairy ที่ตนเองทำเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ก็ปวดใจมากพร้อมสบถว่า ทำไปได้
11 ปี เจออะไรบ้างที่ทำให้จำ อันดับแรก slippage 50 - 60 จุดนับจากเปลี่ยนตัวคูน futures จากจุดละ 1000 เป็นจุดละ 200 , ระเบิดราชประสงค์ , รัฐประหาร ยุคปู , ร9 สวรรคต , สงครามการค้าจีน สหรัฐ , โรคระบาด แต่ก็สามารถรอดมาได้โดยไม่โดน force sell หลักๆมาจาก มองว่าการลงทุนของเราทำการค้าอยู่ เราเปิดร้านที่ชื่อ S50 ซื้อมาขายไป มองแบบธุรกิจ ไม่มองแบบการพนัน มองแค่ราคาชึ้นลงเท่านั้น
มันจึงนำมาซึ่งการ วางแผนความเสี่ยงและการเงิน อย่างรัดกุม
โอเค เรามาเข้าเรื่อง กราฟที่เห็นเป็นกราฟรายเดือน ถ้าดูเผินๆ เหมือนกำลังจะฟอร์มตัวขี้น
การใช้ กราฟ รายเดือน เรามองระยะเห็นผลคืออย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไป
แต่ก็จะเห็นแนวต้านใหญ่ๆอยู่ ถ้าใครเชื่อผมใน กระทู้ที่ผ่านมา คุณควรจะกำไร อย่างน้้อย 15 จุด ถ้าออกวันนี้
สว่นตัวปีหน้าผมมอง ไม่น่าจะไปได้ดีเกิน 3 เดือน หลังจากนั้น น่าจะเกิดการสวิงขนาดใหญ่และนาน ค่อยๆ ไปเลือกทาง ขึ้นหรือลงช่วง พค. หรือ มิย.
- แนวทางผมถึงเดือนวันที่ 10 เดือนหน้าคือ ถือไปก่อนแล้วพิจารณาออกแถว 940 ถ้าถึง หวังอีกทีก็ 970 จากนั้นจะรอก่อน แต่ไม่คิดว่าจะขึ้นแรงขนาดนั้น
- สังเกตอย่างนึงว่า โรงงานใหญ่ๆทยอยปิดสะสมมา 2-3 ปี เยอะมาก (ที่ทยอยเปิดก็มีแต่น้อยกว่า)
- ผมสนใจข้อมูลรากหญ้า จากการเดินถนน จากข่าวทั่วไป ที่ไม่ได้ออกทางสำนักการคลัง การธนาคารของประเทศ สักเท่าไร นอกจากยอดหนี้บ้านค้างชำระ ถ้าขึ้น peak อันนี้ไม่ค่อยดีแล้ว แต่ว่าเท่าที่รู้ยังไม่มีรายงานประจำปีเท่าไร
- เอาเป็นว่า เปิดมา ผมยังมองดี ถ้าไม่มีอะไร เซอร์ไพรซ์ตลาด
ETHUSDT วิเคราะห์รูปเเบบ Elliott Wave Theory 27/12/2024ETHUSDT
Elliott Wave Theory ETH ดูเหมือนจะอยู่ใน คลื่นกระตุ้น (Impulsive Wave) เเต่ปัจบันเป็นตำแหน่งของ Correction Wave รูปเเบบ wave 4 คือการพักตัว บนกรอบเวลา Daily
ซึ่งปัจุบันราคาอยู่เเถวๆ 3,300–3,000 เป็นโซนราคาของการพักตัว
ณ ปัจุบันเกิดการพักตัวของ Wave 4 จนราคาเกิดการย่อมาเเถวๆ 3,300–3,000 ซึ่งถ้าราคา btc ไม่ดื้อจนเสียทรง คงจะเป็นการพักตัวสะสมกำลังที่ดี เพื่อเกิดการขึ้นต่อ ไปยัง Wave 5 ที่ประมาณ 4800 หรือมากกว่านั้น
คลื่นปัจจุบันที่กำลังดำเนินอยู่
ปัจจุบันเราอยู่ใน Wave 4 ของโครงสร้าง Elliott Wave
หาก ETH สามารถทะลุ 3500 ขึ้นไปได้ อาจเป็นสัญญาณยืนยันว่า Wave 4 จะเกิดพุ่งขึ้น
การซ้อนทับรูปแบบคลื่น Elliott Wave ในอดีต พบว่าคลื่นปัจจุบันมีความสอดคล้อง และเป้าหมายของ Wave 5 ที่คาดการณ์ไว้อาจขยายไปถึงประมาณ 4800
(Supply Zone): 4,000–4,100
ปัจบัน ETH ไม่สามารถทะลุระดับนี้ได้
ไม่ได้เเนะนำให้ซื้อขายตามเเต่อย่างใดทุกกรณีนะครับ
27/12/24 วิเคราะห์ S50H25 ตามหลักการของ "Tom Joseph" Type I Buy27/12/24 วิเคราะห์ S50H25 ตามหลักการของ "Tom Joseph" ผู้สร้างโปรแกรม Advanced GET ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยนักลงทุนวิเคราะห์แนวโน้มและคลื่น Elliott Wave อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือคำอธิบายและการวิเคราะห์ภาพ S50H25: ในที่นี่เราจะใช้้ TradingView วิเคราะห์แทน Advanced GET
---
## **การวิเคราะห์ภาพ S50H25**
### **1. ความเข้าใจพื้นฐาน (Elliott Wave และ Fibonacci Integration)**
- โครงสร้างในกราฟนี้ถูกวิเคราะห์โดยใช้ **Elliott Wave** เพื่อระบุคลื่นย่อย (subwaves) และคลื่นใหญ่ (primary waves)
- คลื่นปัจจุบันอยู่ใน **Wave 4 Correction** ที่จบลงในรูปแบบ Zigzag (ABC) และราคามีการเด้งกลับจาก **จุดต่ำสุดของ Wave C**
- การใช้ Fibonacci Retracement และ Extension ช่วยกำหนดแนวต้านและเป้าหมายการฟื้นตัว
---
### **2. จุดสำคัญในภาพ**
- **Wave C Completion:**
จุดต่ำสุดของ Wave C อยู่ที่ระดับ **874 (วันที่ 20/12/24)** ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่นักลงทุนควรเริ่มมองหาการกลับตัว
- **Type One Buy Setup:**
รูปแบบนี้แนะนำว่าโอกาสการเข้าซื้อเกิดขึ้นในโซนนี้ เนื่องจากราคากำลังฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด และมีความน่าจะเป็น (Win Rate) สูงถึง **80%** ตามข้อมูลในภาพ
- **Profit Taking Index (PTI):**
ค่า **PTI = 72** แสดงว่ามีโอกาสสูงที่ราคาจะเคลื่อนไปยัง **เป้าหมาย Wave 5** ตามโครงสร้างคลื่น Elliott Wave
---
### **3. การวิเคราะห์เป้าหมาย (Target Zones)**
- **Wave 5 Target:**
การใช้ Fibonacci Extension ช่วยกำหนดเป้าหมายของ Wave 5:
- เป้าหมายแรก: **0.618 (926 7/8)**
- เป้าหมายต่อไป: **1.000 (959 1/2)**
- เป้าหมายขยาย: **1.272 (982 3/4)** หรือ **1.618 (1012 3/8)** หากโมเมนตัมยังแข็งแกร่ง
- **แนวรับและแนวต้านที่สำคัญ:**
ระดับ Fibonacci Retracement:
- แนวรับแรก: **886 1/2 (0.146 Fibonacci)**
- แนวต้าน: **894 (0.236), 906 (0.382), 916 (0.500)**
---
### **4. การตัดสินใจซื้อ (Type One Buy)**
- **จุดเข้า (Entry):**
เมื่อราคายืนยันการกลับตัวจาก Wave C (ประมาณ 890–902)
- **จุดตัดขาดทุน (Stop Loss):**
ต่ำกว่าจุดต่ำสุดของ Wave C ที่ **874**
- **กลยุทธ์ Take Profit:**
ใช้ระดับเป้าหมายตาม Fibonacci Extension (เป้าหมาย Wave 5)
---
### **5. การจัดการความเสี่ยง**
- **Risk-to-Reward Ratio:**
วางแผนให้ความเสี่ยงต่อผลตอบแทนอยู่ที่ **1:2 หรือ 1:3**
- **Trailing Stop:**
ขยับ Stop Loss ตามการเคลื่อนที่ของราคาเมื่อถึงเป้าหมายกำไรระดับแรก
---
### **สรุปมุมมอง Tom Joseph**
- **กราฟ S50H25 แสดงโอกาสเข้าซื้อที่เหมาะสม (Type I Buy)** จากจุดต่ำสุดของ Wave C (874)
- การฟื้นตัวไปสู่ Wave 5 มีโอกาสสูง ด้วยค่า PTI = 72 และ Fibonacci Level ที่บ่งบอกการสนับสนุน
- ใช้เทคนิค Elliott Wave ร่วมกับ Fibonacci และการจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม เพื่อวางแผนการซื้อขายที่มีประสิทธิภาพ
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องมืออื่นใน Advanced GET เช่น **XTL**, **Divergence**, หรือ **Oscillator**, แจ้งมาได้ครับ!
สัญญาณ MaChao Flip Sell SETUP#9 ใน BTCUSD อ่านอย่างไรMaChao Flip อ่านโดยใช้หลักการของ TD Sequential
เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่พัฒนาขึ้นโดยได้แนวคิดจาก Thomas DeMark เพื่อช่วยระบุจุดที่ตลาดมีโอกาสกลับตัว (reversal points) หรืออยู่ในช่วงที่มีแนวโน้มอ่อนแรง (exhaustion).
### หลักการพื้นฐานของ TD Sequential:
TD Sequential ประกอบด้วย 2 ขั้นตอนหลัก:
1. **TD Setup**
2. **TD Countdown**
---
### 1. **TD Setup**:
เป็นขั้นตอนแรกที่ช่วยระบุทิศทางของแนวโน้ม
- **เงื่อนไข**:
- ต้องมีแท่งราคา 9 แท่ง (candlesticks) ติดต่อกัน โดยราคาปิดของแต่ละแท่งจะสูงหรือต่ำกว่าแท่งที่ 4 ก่อนหน้า (ขึ้นอยู่กับทิศทางของตลาด)
- ตัวอย่างเช่น:
- สำหรับ **ขาขึ้น (Bullish Setup)**: ราคาปิดของแท่งที่ 2 ถึง 9 ต้องสูงกว่าราคาปิดของแท่งที่ 4 ก่อนหน้า
- สำหรับ **ขาลง (Bearish Setup)**: ราคาปิดของแท่งที่ 2 ถึง 9 ต้องต่ำกว่าราคาปิดของแท่งที่ 4 ก่อนหน้า
- เมื่อครบ 9 แท่ง เราอาจมองว่าตลาดเริ่มอยู่ในช่วงที่อ่อนแรง (exhaustion) และมีโอกาสกลับตัว
---
### 2. **TD Countdown**:
เป็นขั้นตอนที่ใช้ยืนยันจุดกลับตัว
- **เงื่อนไข**:
- ต้องนับแท่งราคา 13 แท่งเพิ่มเติม (ไม่นับต่อเนื่องจาก TD Setup)
- แท่งที่ 13 ต้องมีราคาปิดต่ำกว่าหรือสูงกว่าราคาของแท่งก่อนหน้าที่กำหนด (เช่น จุด low สำหรับขาลง หรือ high สำหรับขาขึ้น)
- TD Countdown มีความยืดหยุ่นกว่า TD Setup และใช้เวลานานกว่า
- หากครบ 13 แท่ง ตลาดจะมีโอกาสสูงที่จะกลับตัว หรือเปลี่ยนแปลงแนวโน้มเดิม
---
### ข้อสรุปที่ง่ายขึ้น:
- **TD Setup**: ช่วยบอกว่าแนวโน้มกำลังเข้าสู่จุดอ่อนแรง
- **TD Countdown**: ช่วยยืนยันว่าตลาดพร้อมสำหรับการกลับตัวแล้ว
### การใช้งาน:
TD Sequential ใช้ได้ทั้งในตลาดหุ้น, Forex, Cryptocurrency และอื่น ๆ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการระบุจุดที่ตลาดมีโอกาสเปลี่ยนแปลง เพื่อตัดสินใจซื้อหรือขายในจังหวะที่เหมาะสม.
ข้อสำคัญคือ TD Sequential ควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น ๆ เช่น แนวรับ/แนวต้าน (Support/Resistance) หรือเส้นค่าเฉลี่ย (Moving Averages) เพื่อความแม่นยำที่มากขึ้น.
26 ธ.ค.67 วิธีนับ TD COMBO ใน SET 120MIN
**TD Combo** มีความแตกต่างจาก TD Sequential (Original) อย่างชัดเจนในส่วนของการเริ่มต้น
**Countdown Phase** ซึ่งใน TD Combo **Countdown Phase เริ่มต้นพร้อมกับ Setup Phase**
เป็นการนับที่เกิดขึ้นควบคู่กันตั้งแต่เริ่มต้น Setup Phase ไม่เหมือน TD Sequential Original ที่ Countdown จะเริ่มหลังจาก Setup Phase จบลง (ครบ 9 แท่ง)
### การนับ TD Combo ที่ถูกต้อง
TD Combo ยังคงแบ่งออกเป็น 2 เฟส คือ **Setup Phase** และ **Countdown Phase** แต่ลักษณะและเงื่อนไขแตกต่างจาก TD Sequential Original ในหลายแง่ ดังนี้:
---
### 1. **Setup Phase (9 Setup)**
**กฎการนับ Setup Phase:**
1. ราคาปิดของแต่ละแท่งเทียนต้อง:
- **ต่ำกว่า** ราคาปิดของแท่งที่ 4 ก่อนหน้า (ในขาลง) หรือ
- **สูงกว่า** ราคาปิดของแท่งที่ 4 ก่อนหน้า (ในขาขึ้น)
2. การนับจะต้องเกิดต่อเนื่องจนถึง 9 แท่ง หากมีแท่งเทียนที่ไม่ตรงตามเงื่อนไข การนับจะเริ่มต้นใหม่
3. เมื่อครบ 9 Setup จะสร้าง **TDST Line** ซึ่งเป็นแนวรับ (สำหรับขาขึ้น) หรือแนวต้าน (สำหรับขาลง)
**จุดสำคัญของ Setup Phase ใน TD Combo:**
- Setup Phase ระบุแนวโน้มต่อเนื่องในระยะสั้นและเริ่มต้นการตรวจสอบว่าตลาดอาจเข้าสู่จุดกลับตัวหรือไม่
- ใน TD Combo **Countdown Phase เริ่มต้นตั้งแต่แท่งที่ 1 ของ Setup Phase**
---
### 2. **Countdown Phase (13 Countdown)**
**กฎการนับ Countdown Phase (ใน TD Combo):**
1. Countdown เริ่มต้นพร้อมกับ Setup Phase (ตั้งแต่แท่งแรกของ Setup)
2. ราคาปิดของแท่งที่ถูกนับใน Countdown ต้อง:
- **ต่ำกว่า** ราคาปิดของแท่งที่ 2 ก่อนหน้า (ในขาลง) หรือ
- **สูงกว่า** ราคาปิดของแท่งที่ 2 ก่อนหน้า (ในขาขึ้น)
3. แท่งที่ถูกนับใน Countdown **สามารถเป็นแท่งเดียวกันกับที่อยู่ใน Setup Phase ได้** (แตกต่างจาก TD Sequential Original)
4. การนับ Countdown จะต้องครบ 13 แท่ง โดยไม่จำเป็นต้องต่อเนื่อง หากเงื่อนไขกลับมาตรง สามารถนับต่อได้
5. การทำลาย TDST Line จะทำให้การนับ Countdown Phase เป็นโมฆะ
**เป้าหมายของ Countdown Phase ใน TD Combo:**
- ระบุจุดที่ตลาดเข้าสู่จุดอิ่มตัว (Exhaustion) ทั้งในขาขึ้นและขาลง
- การนับ 13 Countdown ที่เกิดพร้อม Setup Phase ทำให้ TD Combo มีความเข้มงวดและแม่นยำมากขึ้น
---
### ตัวอย่างการนับ TD Combo
#### กรณีขาลง (Downtrend):
- **Setup Phase**:
- นับ 9 แท่งเทียนที่ราคาปิดแต่ละแท่ง **ต่ำกว่า** ราคาปิดของแท่งที่ 4 ก่อนหน้า
- **Countdown Phase**:
- ในขณะที่ Setup กำลังดำเนินการ หากแท่งเทียนใดมีราคาปิด **ต่ำกว่า** ราคาปิดของแท่งที่ 2 ก่อนหน้า จะนับเป็น 1 Countdown
- นับจนกว่าจะครบ 13 Countdown โดยสามารถทับซ้อนกับ Setup ได้
#### กรณีขาขึ้น (Uptrend):
- **Setup Phase**:
- นับ 9 แท่งเทียนที่ราคาปิดแต่ละแท่ง **สูงกว่า** ราคาปิดของแท่งที่ 4 ก่อนหน้า
- **Countdown Phase**:
- ในขณะที่ Setup กำลังดำเนินการ หากแท่งเทียนใดมีราคาปิด **สูงกว่า** ราคาปิดของแท่งที่ 2 ก่อนหน้า จะนับเป็น 1 Countdown
- นับจนกว่าจะครบ 13 Countdown โดยสามารถทับซ้อนกับ Setup ได้
---
### ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง TD Combo และ TD Sequential Original
**การเริ่มต้น Countdown** | เริ่มต้นหลัง Setup Phase (9 Setup) เสร็จ | เริ่มต้นพร้อมกับ Setup Phase
---
### สรุป
การนับ **TD Combo** มีลักษณะเฉพาะที่สำคัญคือ:
1. **Countdown Phase เริ่มต้นพร้อมกับ Setup Phase** ตั้งแต่แท่งแรก
2. แท่งที่ถูกนับใน Countdown Phase สามารถเป็นแท่งเดียวกับที่อยู่ใน Setup Phase ได้
3. Countdown Phase มุ่งเน้นการระบุจุดอิ่มตัว (Exhaustion) ด้วยเงื่อนไขที่แตกต่างจาก TD Sequential Original
January Effect จากสถิติ 14 ปี เกิดปรากฏการณ์นี้ในเซต 9 ปีJanuary Effect "จากสถิติย้อนหลัง 14 ปี พบว่าตลาดหุ้นไทยเกิดปรากฏการณ์นี้ใน 9 ปี"
หากใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคอลร่วมด้วย เมื่อดัชนีปิดในกรอบ 23.6-38.2 หรือ 1372.96-1434.69 โอกาสเกิด "January Effect" มีความเป็นไปได้ หากระบุเฉพาะเจาะจงละเอียดกว่านั้น KEY LEVEL คือ 1408.17 จะเป็นตำแหน่งยืนยัน Bull Run ต่อเนื่อง
หมายเหตุ 1408.17 คือ ดัชนีปิดสิ้นวันเมื่อ 10 เม.ย.2567 ดู กราฟประกอบด้านล่าง
ในช่วงปลายปี นักลงทุนมักให้ความสนใจกับปรากฏการณ์ "Santa Claus Rally" และ "January Effect" ซึ่งอาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย
Santa Claus Rally
"Santa Claus Rally" หมายถึงการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคมถึงต้นเดือนมกราคม ปัจจัยที่อาจส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์นี้ ได้แก่ การปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อประโยชน์ทางภาษี การใช้โบนัสสิ้นปีในการลงทุน และสภาพคล่องที่ลดลงเนื่องจากนักลงทุนบางส่วนหยุดพักผ่อน
January Effect
"January Effect" เป็นทฤษฎีที่เชื่อว่าราคาหุ้นมักปรับตัวขึ้นในเดือนมกราคม สาเหตุอาจมาจากนักลงทุนขายหุ้นในเดือนธันวาคมเพื่อประโยชน์ทางภาษี แล้วกลับมาซื้อใหม่ในเดือนมกราคม จากสถิติย้อนหลัง 14 ปี พบว่าตลาดหุ้นไทยเกิดปรากฏการณ์นี้ใน 9 ปี
สถานการณ์ปัจจุบัน
ในปีนี้ ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนจากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ แม้ว่าจะมีโอกาสเกิด "Santa Claus Rally" และ "January Effect" แต่ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะเกิดขึ้นเสมอไป นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของบริษัทและสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมก่อนตัดสินใจลงทุน
หากใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคอลร่วมด้วย เมื่อดัชนีปิดในกรอบ 23.6-38.2 หรือ 1372.96-1434.69 โอกาสเกิด "January Effect" มีความเป็นไปได้ หากระบุเฉพาะเจาะจงละเอียดกว่านั้น KEY LEVEL คือ 1408.17 จะเป็นตำแหน่งยืนยัน Bull Run ต่อเนื่อง
หมายเหตุ 1408.17 คือ ดัชนีปิดสิ้นวันเมื่อ 10 เม.ย.2567
ข้อควรระวัง
แม้ว่าปรากฏการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่ไม่ควรใช้เป็นเกณฑ์หลักในการตัดสินใจลงทุน ควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ผลประกอบการของบริษัท สถานการณ์เศรษฐกิจ และข่าวสารที่อาจส่งผลต่อตลาด
สรุปแล้ว แม้ว่าจะมีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นในช่วงปลายปีและต้นปีหน้า แต่การลงทุนควรพิจารณาปัจจัยหลายด้านและไม่ควรพึ่งพาปรากฏการณ์เหล่านี้เพียงอย่างเดียว ให้ใช้โซนราคาทางเทคนิคอลตามที่ระบุไว้ ในการตัดสินใจ
การฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วง 20-23 ธันวาคม 2567 ต่อเนื่อง24/12/24 ทำไมถึงคาดการณ์ ช่วงเวลาการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยได้ล่วงหน้า ในช่วง 20-23 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป
เราใช้หลักการจาก **Dynamic Trader** ของ Robert Miner
เป็นระบบการวิเคราะห์และการเทรดที่หาความสัมพันธ์ ของ **ราคา (Price), เวลา (Time), และรูปแบบ (Pattern)** ในตลาดการเงิน
เพื่อช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์แนวโน้มและจุดกลับตัวของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ รายละเอียดหลักมีดังนี้:
---
### **1. โซนการปรับตัวของราคา (Price Retracement Zones)**
- **หลักการสำคัญ:** การปรับฐาน (Corrections) ของราคา มักจะเกิดขึ้นในช่วงที่สามารถคาดการณ์ได้จาก **Fibonacci Retracement Levels**
- **ระดับที่สำคัญ:**
- **50% - 61.8% Retracement Zone:** โซนนี้คือเป้าหมายการปรับฐานที่พบบ่อยในตลาดที่มีแนวโน้ม (Trend) เช่น:
- ในแนวโน้มขาขึ้น ราคามักจะย่อลงมาประมาณ 50%-61.8% ของแนวโน้มก่อนหน้า ก่อนที่จะกลับตัวและขึ้นต่อ
- ในแนวโน้มขาลง ราคามักจะเด้งกลับขึ้นมาในช่วงเดียวกัน
- **ที่มา:** ระดับเหล่านี้มาจากตัวเลขสัดส่วนของ Fibonacci ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นิยมมากในเทคนิคอล
- **การใช้งาน:**
- ใช้โซนนี้เพื่อระบุแนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance)
- พิจารณาเข้าเทรดเมื่อราคามาถึงโซนนี้และมีสัญญาณยืนยัน
---
### **2. โซนการปรับตัวของเวลา (Time Retracement Zones)**
- **หลักการสำคัญ:** นอกจากราคาที่ปรับตัวแล้ว การปรับฐานของตลาดมักใช้ระยะเวลาในช่วงที่สามารถคาดการณ์ได้
- **ระดับที่สำคัญ:**
- **38.2% - 61.8% Time Retracement Zone:** หมายถึงระยะเวลาของการปรับฐานเมื่อเทียบกับระยะเวลาของแนวโน้มก่อนหน้า
- ตัวอย่าง: ถ้าแนวโน้มก่อนหน้ากินเวลา 10 วัน การปรับฐานอาจกินเวลาประมาณ 3.8 วัน (38.2%) ถึง 6.1 วัน (61.8%) ก่อนที่จะกลับตัว
- **การใช้งาน:**
- วิเคราะห์วงจรเวลา (Time Cycles) เพื่อคาดการณ์ว่าเมื่อไหร่การปรับฐานน่าจะสิ้นสุด
- ผสานการวิเคราะห์เวลานี้กับโซนราคาสำหรับจุดเข้าเทรดที่แม่นยำขึ้น
---
### **3. การผสมผสานระหว่างราคาและเวลา (Price-Time Confluence)**
- **หลักการสำคัญ:** โอกาสที่ดีที่สุดสำหรับการเทรดคือเมื่อ **ราคาและเวลา** เกิดการปรับตัวพร้อมกันในโซนเดียวกัน (**Price-Time Confluence**)
- **ตัวอย่าง:**
- หากราคาปรับฐานมาอยู่ที่ 50% และในขณะเดียวกันเวลาอยู่ในช่วง 38.2% ของแนวโน้มก่อนหน้า จะเป็นสัญญาณที่มีโอกาสสูงว่าการปรับฐานใกล้สิ้นสุดแล้ว
---
### **4. การวิเคราะห์รูปแบบ (Pattern Recognition)**
- **รูปแบบ ABC Correction:**
- Dynamic Trader มุ่งเน้นรูปแบบการปรับฐานที่เรียกว่า **ABC Correction** ซึ่งมาจากทฤษฎี Elliott Wave
- **โครงสร้าง:**
- **Wave A:** การเคลื่อนไหวแรกที่สวนทางกับแนวโน้มเดิม
- **Wave B:** การย้อนกลับบางส่วนของ Wave A
- **Wave C:** การเคลื่อนไหวต่อเนื่องในทิศทางเดียวกับ Wave A (มักจะยาวเท่ากับ Wave A)
- **การใช้งาน:**
- มองหาและเทรดเมื่อ Wave C สิ้นสุด โดยคาดว่าแนวโน้มหลักจะกลับมา
---
### **5. แนวทางปฏิบัติสำหรับการเทรด**
- **การปรับตัวไม่ได้เกิดขึ้นเสมอในทุกกรณี:**
- แม้ Fibonacci และโซนเวลาให้แนวทางที่ดี แต่การปรับฐานบางครั้งอาจไม่ตรงตามระดับเป๊ะ ๆ
- **ความยืดหยุ่น:**
- ใช้เครื่องมืออื่น ๆ เช่น สัญญาณจากกราฟแท่งเทียน (Candlestick Patterns) หรืออินดิเคเตอร์ เช่น RSI หรือ Moving Average เพื่อยืนยันการเทรด
- **การตัดสินใจ:**
- ใช้โซนราคาและเวลาเป็นกรอบการวิเคราะห์ แต่รอการยืนยันก่อนเข้าเทรดเสมอ
---
### **6. ซอฟต์แวร์และเครื่องมือ**
- Robert Miner มี **Dynamic Trader Software** ที่ช่วยอัตโนมัติในการ:
- คำนวณระดับ Fibonacci และโซนเวลา
- ระบุรูปแบบ ABC
- สร้างจุดเข้า-ออกสำหรับการเทรดตามการวิเคราะห์เหล่านี้
เราสามารถประยุกต์ใช้ บน MT5 และ TradingView ได้ในปัจจุบัน แต่อาจมีความคลาดเคลื่อนเล็กน้อย
---
### **สรุป**
Dynamic Trader ของ Robert Miner เป็นระบบที่ช่วยเทรดเดอร์สร้างกลยุทธ์อย่างมีแบบแผน โดยเน้นการผสมผสานของ **ราคา, เวลา, และรูปแบบ** เพื่อหาจุดที่เหมาะสมในการเข้าและออกจากตลาด
สำหรับในภาพนี้ เป็นเหตการณ์จริง ที่กำลังเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทยใน SET50 มีคำอธิบายดังนี้
จากภาพกราฟ SET50 ที่แสดงให้เห็น Fibonacci Retracement และช่วงเวลาคาดการณ์ เราสามารถสรุปหลักการของ **Dynamic Trader** ตามข้อมูลดังนี้:
1. **โซนการปรับตัวของราคา (Price Retracement Zone):**
- ราคาปรับฐานลงมาอยู่ในโซน **50% - 61.8% Fibonacci Retracement** (ช่วง 881.20 - 861.24) ซึ่งเป็นโซนที่มีโอกาสสูงที่การปรับฐานจะสิ้นสุด
- หากราคามีสัญญาณกลับตัวในโซนนี้ อาจเป็นจุดที่เหมาะสมสำหรับการเข้าเทรดในทิศทางแนวโน้มเดิม (ขาขึ้น)
2. **โซนการปรับตัวของเวลา (Time Retracement Zone):**
- ช่วงเวลาที่คาดว่าการปรับฐานจะสิ้นสุดอยู่ระหว่างวันที่ **23 ธันวาคม 2024 - 8 มกราคม 2025**
- การวิเคราะห์เวลาช่วยเสริมความมั่นใจในการคาดการณ์จุดกลับตัวของราคา
3. **การผสมผสานระหว่างราคาและเวลา (Price-Time Confluence):**
- หากราคาสิ้นสุดการปรับฐานในโซน Fibonacci Retracement พร้อมกับตรงช่วงเวลาที่คาดการณ์ (Price-Time Confluence) จะเพิ่มโอกาสที่การกลับตัวจะเกิดขึ้นจริง
### **ข้อเสนอแนะ:**
- รอดูการยืนยันด้วยสัญญาณทางเทคนิค เช่น แท่งเทียนกลับตัว (Reversal Candlestick) หรือ TD BUY SETUP#9 เพื่อเพิ่มความมั่นใจก่อนเข้าเทรด
หลักการนี้ช่วยให้คุณใช้โซนราคาและเวลาในการวางแผนการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ!
Gold Market Outlook [24 ธันวาคม 2567]🌟 Gold Market Outlook
📍 ทองคำทรงตัวลงท่ามกลางดอลลาร์แข็งค่า-บอนด์ยีลด์พุ่ง ขณะตลาดเบาบางช่วงวันหยุด
💎 ภาพรวมตลาดทองคำ
ราคาทองคำปรับตัวลดลงเล็กน้อยในการซื้อขายที่เบาบางช่วงเทศกาลวันหยุด โดยได้รับแรงกดดันจากดัชนีดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น 0.4% แตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี ประกอบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปีที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ความน่าสนใจในการถือครองทองคำลดลง
📊 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคา
▪️ การปรับลดคาดการณ์ดอกเบี้ย
ตลาดยังคงย่อยข้อมูลจากการประชุม FOMC ครั้งล่าสุด ที่ส่งสัญญาณว่าอาจมีการชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงต้นปี 2568 ทั้งในเดือนมกราคมและมีนาคม ส่งผลให้ราคาทองคำร่วงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน
▪️ ผลงานทองคำปี 2567
ทองคำสร้างสถิติสูงสุดใหม่หลายครั้งในปีนี้ โดยปรับตัวขึ้น 27% นับเป็นผลตอบแทนรายปีที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 2553 ขับเคลื่อนโดยการซื้อของธนาคารกลาง ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลัก
▪️ ปัจจัยการเมืองสหรัฐฯ
การเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ในวันที่ 20 มกราคม และนโยบายเบื้องต้นที่อาจประกาศใช้ มีแนวโน้มเพิ่มความผันผวนในตลาดและอาจส่งผลบวกต่อราคาทองคำ
📈 วิเคราะห์ทางเทคนิค
ราคาทองคำเริ่มเคลื่อนไหวในกรอบแคบลงชัดเจน เนื่องจากเข้าสู่ช่วง Christmas Eve ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายเบาบางมาก แนะนำให้รอดูทิศทางตลาดก่อนเข้าลงทุนในช่วงนี้
📊 กรอบแนวรับ-แนวต้าน (07:40)
XAUUSD
สถานะ: 📉 Slightly Bearish
🔼 แนวต้าน 3: $2,638
🔼 แนวต้าน 2: $2,630
🔼 แนวต้าน 1: $2,619
——————————
🔽 แนวรับ 1: $2,613
🔽 แนวรับ 2: $2,605
🔽 แนวรับ 3: $2,600
✍️ วิเคราะห์โดย: Beam 🕵️♂️
Weekly Update Trend XAUUSD(Gold) by C.AugustAbout Trend
แนวโน้มทองคำแบ่งเป็น 2 ภาพคร่าวๆดังนี้
-ภาพ Secondary trend : มุมมองขาลง(Down trend) จนกว่าราคาจะเบรค High ที่ 2726.3
-ภาพ Minor trend : มุมมองขาขึ้น(Up trend) มีจุดยกเลิกมุมมองเมื่อราคาหลุด Low ที่ 2587.2
กลยุทธ์ คือ รอเด้ง Sell ให้ดีควรรอให้ภาพ Minor trend กลับมาสอดคล้องกับ Secondary trend ก่อนก็จะปลอดภัยกว่าการ Sell ตอนนี้เลย
__________
About Momentum
-หากสังเกตุจาก Squeeze Momentum นั้นจะเห็นได้ว่าในภาพ 1h มีการ Slope Down อยู่สวน Minor trend แต่สนับสนุนการลงของภาพ Secondary trend
-จากรอบของ Williams %R ราคามีการทำ Oversold และมีการยก Low จากวงกลมที่ผมได้วงไว้ล่าสุด และราคาก็มีการทำ Overbought ที่ทำ High สูงขึ้นด้วย ทำให้มีมุมมองขึ้นอยู่จากรอบของ %R หากให้ดีกับฝั่ง Sell ก็ต้องเห็นการรีบาวขึ้นมาแล้วเกิด Over bought แต่ไม่ทำ High สูงกว่า 2633.4 เกิด Reversal Candle stick ก็สามารถ Bet Sell ได้
-หากสังเกตุ Bollinger Band ก็จะเห็นได้ว่าล่าสุดราคาพึ่งจะมีการเบรค Lower Band ลงมาทำให้ภาพของความผันผวน+การเบี่ยงเบนมาตรฐานนั้น ราคาเวลานี้เบี่ยง้บยมาทางลง สนุบสนุนมุมมอง Sell
__________
-สรุปกลยุทธ์ควบคู่กับ Momentum คือ ยังคงเน้นไปที่เด้ง Sell สามารถ Bet Sell ได้บางส่วนแต่หาก Conservative trading นั้นรอให้เห็นถึงรอบ %R ทำ High Over bought ต่ำลงก่อนก็จะปลอดภัยกว่ากับการเล่น Sell
__________
About Expected Price
โดยมีแนวราคาคาดหวังกรณีที่ราคาเลือกที่จะลงต่อในสัปดาห์นี้ ที่ Range Volatile Week Low คือ 2566.5 กับ Range Month Low เลยที่ 2554.5 แต่หากราคาเลือกที่จะขึ้นในสัปดาห์นี้นั้นก็สามารถขึ้นไที่ Range Volatile Week High ได้ที่ 2675-2680 ได้เช่นกัน
**การวางแผนการเทรด BTC/USD จาก TD Countdown #13**23/12/24 เราจะวางแผนการเทรดจากกราฟ BTC/USD โดยใช้ข้อมูล TD Sequential และตัวแปรในกราฟร่วมกัน เพื่อสร้างแผนการเทรดที่เหมาะสมที่สุด:
---
### **การวางแผนการเทรด BTC/USD จาก TD Countdown #13**
#### **1. การประเมินสถานการณ์เบื้องต้น**
- **TD Countdown #13**: เป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มปัจจุบันอาจกำลังเข้าสู่จุดอิ่มตัว (จบแนวโน้ม)
- **โมเมนตัมใน AO (Awesome Oscillator)**: แท่งสีแดงแสดงว่าตลาดอยู่ในขาลงและโมเมนตัมอ่อนแรงลง
- **แนวรับ-แนวต้านสำคัญ**:
- Pivot Points: (98,527)
- แนวต้าน: R1 (104,733), R2 (108,567), R3 (114,773)
- แนวรับ: S1 (92,321), S2 (88,487), S3 (82,281)
---
### **2. กลยุทธ์การเทรด (Trade Plan)**
#### **(A) สำหรับขาลง (Bearish Bias)**
##### **1. Follow Sell เมื่อราคา Break แนวรับสำคัญ**
- **Trigger Entry**: เมื่อราคาหลุด **92,321 (S1)** อย่างชัดเจน พร้อมวอลุ่มสูง
- **เป้าหมายกำไร (Take-Profit)**:
- ระยะสั้น: 88,487 (S2)
- ระยะยาว: 82,281 (S3)
- **ตั้ง Stop-Loss**: เหนือแนวต้าน Pivot ใกล้ที่สุด เช่น 94,500 (ราคาเปิดปัจจุบัน)
##### **2. Short Sell ในโซนต้าน**
- หากราคารีบาวด์ขึ้นไปในโซนต้าน **98,527 (Pivot)**:
- เปิดคำสั่ง Short Sell บริเวณโซนต้าน (R1) พร้อมตั้งเป้ากำไรที่ 92,321 (S1)
- Stop-Loss: 100,000 (เหนือ R1 เล็กน้อย)
---
#### **(B) สำหรับขาขึ้น (Bullish Bias)**
##### **1. Follow Buy เมื่อราคากลับขึ้นมาเหนือ Pivot**
- **Trigger Entry**: เมื่อราคายืนเหนือ **98,527 (Pivot)** อย่างมั่นคง พร้อมวอลุ่มสนับสนุน
- **เป้าหมายกำไร (Take-Profit)**:
- ระยะสั้น: 104,733 (R1)
- ระยะยาว: 108,567 (R2)-R3 (114,773)
- **ตั้ง Stop-Loss**: ต่ำกว่า 95,000 (ใต้ Pivot)
##### **2. Long Buy เมื่อราคาทดสอบแนวรับ S1-S2**
- หากราคาแตะ **92,321 (S1)** และเกิด Price Action การกลับตัว เช่น Pin Bar หรือ Bullish Engulfing:
- เข้าซื้อ (Long Buy) ในโซนแนวรับ
- ตั้งเป้าหมายกำไร:
- ระยะสั้น: 98,527 (Pivot)
- ระยะยาว: 104,733 (R1)
- ตั้ง Stop-Loss: 90,000 (ต่ำกว่า S1)
---
### **3. ตัวอย่างแผนการเข้า-ออก**
| สถานการณ์ | Trigger Entry | Take-Profit | Stop-Loss |
|--------------------|--------------------------|-----------------------|------------------|
| Short (Break S1) | < 92,321 (S1) | S2: 88,487 / S3: 82,281 | > 94,500 |
| Short (Rebound R1) | ~ 98,527 (R1) | S1: 92,321 | > 100,000 |
| Long (Break R1) | > 98,527 (R1) | R2: 104,733 / R3: 108,567 | < 95,000 |
| Long (Test S1) | ~ 92,321 (S1) | R1: 98,527 | < 90,000 |
---
### **4. การจัดการความเสี่ยง (Risk Management)**
- ใช้ **Risk/Reward Ratio** ขั้นต่ำ 1:2 หรือ 1:3
- ความเสี่ยงต่อการเทรด (Risk per Trade) ควรไม่เกิน 1-2% ของพอร์ตลงทุนทั้งหมด
- **Position Sizing**: ปรับขนาดการเทรดให้เหมาะสมตามระยะห่าง Stop-Loss และเงินทุน
---
### **5. ข้อควรระวัง**
- ระวังการเข้าเทรดในช่วงที่ไม่มีวอลุ่มหรือ Price Action ยืนยัน
- ตรวจสอบข่าวสารตลาดที่อาจมีผลต่อราคา เช่น การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ
---
แผนนี้เน้นทั้งการเทรดตามแนวโน้มและการจับจังหวะกลับตัวโดยใช้ TD Countdown #13 และ Pivot Points ร่วมกับอินดิเคเตอร์สนับสนุน เช่น AO และ FVG ครับ!
EURGBP Take Order nowเทรนหลักตอนนี้เป็น เทรน ขาขึ้น ใน TF D1-W1
กรณีเข้าออเดอร์ ณ จุดนี้ พิจารณาว่า เป็นการเข้าออเดอร์แบบ แพตเทิร์น Order block และ การทำ QML ใน TF m30
ใน TF m30 มีการทดสอบจุด Order block แล้วไม่ผ่าน มองว่าจุดนี้เป็นแนวต้านที่แข็งแรง และ ใน TF H1 เกิดการเทขาย ณ จุดสำคัญนี้
Zone entry : 0.82905
TP 1 : 0.82661
TP 2 : 0.82337
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาชมและกดติดตามด้วยนะครับ
🙏ขอให้ โชคดีเป็นของทุกคน🙏
กรุณาลงทุนแบบมีสติ GOOD LUCK
Gold Trend - MT ขาลงยังไม่เสร็จสมบูรณ์ใช่ไหม?ราคาทองคำมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากพลิกกลับจากระดับสูงสุดในสัปดาห์ก่อนที่ 2,726 จุด การลดลงเร่งตัวขึ้นหลังการประชุมอัตราดอกเบี้ยของเฟดเมื่อวันพุธ ไม่สามารถรองรับที่ 2,630(1) และกลับมาสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือนใกล้ 2585 จากนั้นวันศุกร์ ข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ลดลงเล็กน้อย ทำให้ทองคำดีดตัวขึ้นมาเหนือ 2,600 จุด ปิดสัปดาห์ที่ 2,622 ดอลลาร์ (ลดลง 25 ดอลลาร์จากสัปดาห์ก่อน)
ดังที่ได้กล่าวไว้เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน คาดว่ากำไรจะพุ่งเหนือ 2,700 อย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่สิ้นปีก็ใกล้จะสิ้นปีแล้ว หลังจากการประชุมของ Fed ปัจจัยพื้นฐานของตลาดก็เริ่มเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ประธานเฟด พาวเวลล์ ระบุว่า จำนวนการลดอัตราดอกเบี้ยจะลดลงในปี 2568 จากที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ 4 เท่าเหลือ 2 เท่า อัตราเงินเฟ้อที่ค่อนข้างสูงในปีหน้าและสภาพแวดล้อมที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงจะช่วยสนับสนุนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะเดียวกันก็รักษาราคาทองคำภายใต้แรงกดดัน นโยบายภาษีของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเป็นผู้นำราคาทองคำในปีหน้า
กราฟ 1 ชั่วโมง (ด้านบน) > ราคาทองคำดีดตัวขึ้นหลังแตะระดับ 2583 ปลายสัปดาห์ที่แล้ว กลายเป็นจุดต่ำสุด S-T คาดจุดรีบาวด์ใกล้ 2650 สัปดาห์นี้ ตลาดน่าจะค่อนข้างเงียบ เอา 2580-2650 เป็นช่วงซื้อขายตอนนี้จนกว่าตลาดจะพัฒนาต่อไปในสัปดาห์นี้
กราฟรายวัน (ด้านบน) > ทองคำถูกปฏิเสธโดย 2700 สองครั้งในกราฟรายวัน ทำให้เกิดรูปแบบ double top (3) การขายชอร์ตน่าจะควบคุมตลาดได้ เนื่องจากผ่านแนวรับจาก double top neckline (3.1) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากการดีดตัวของ S-T ในปัจจุบัน แนวโน้มขาลงน่าจะกลับมาดำเนินต่อและคาดว่าราคาจะกลับไปอยู่ที่ประมาณ 2540-50 ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า ระยะการทำงานของ MT จะเป็น 2535-2730(4)
P.To
BTCUSD : ระบบ ATR Trend Following มีสัญญาณ "ขาย" 23/12/2024อธิบาย : ระบบ ATR Trend Following ใช้หลักการง่ายๆ คือ เอา ATR x multiplier มาตีกรอบราคาที่จะแกว่งของ BTC ถ้าทะลุกรอบ ก็จะเกิดการ flip ของสัญญาณ เช่น จากซื้อเป็นขาย หรือจากขาย เป็นซื้อ เป็นต้น
ความเห็นของผม : รอบนี้ถ้าเรามอง%ของการขึ้น ก็ถือว่าเป็น % ที่เยอะมากอยู่ครับ โดย BTC ขึ้นไปสูงถึง +44% รวมถึงเป็นรอบการขึ้นที่ค่อนข้างนานอีกด้วย นั่นก็คือ กินเวลาไปราวๆ 2 เดือน และยังไม่พอ ยังทำ ATH ทะลุหน้าประวัติศาสตร์ 100k ที่หลายๆ คนมองว่า มันจะไปถึงได้ไงวะ ( รวมถึงตัวผมเองด้วยครับ 55 )
แต่ก็นั่นแหละ มันก็ไม่มีอะไรขึ้นไปได้ตลอด มีขึ้นก็มีลง เป็นเรื่องปกติ และในวันนี้ BTC Daily Trend ก็เปลี่ยนมาเป็นขาลงเรียบร้อยแล้ว จริงๆ เปลี่ยนมาเป็นขาลงตั้งแต่มันหลุด EMA18D แล้วไม่กลับขึ้นไปเลย ตั้งแต่วันที่ 19/12/2024 แล้วครับ แต่ก็ยื้อๆ ขอบล่างของ ATR มาหลายวัน จนเพิ่งจะมาหลุดวันนี้นี่แหละ
หลังจากนี้ มันก็จะมีทางเลือกแค่ 2 ทางเท่านั้น ก็คือ ไม่ขึ้น ก็ลงต่อ ถ้ามันจะกลับขึ้นไปใหม่ได้ มันก็ต้องไปปิดแท่งเหนือขอบบนของ ATR ที่ 105k ถ้าเราทำตามระบบ เราก็แค่เข้าใหม่เท่านั้นเองครับ แต่ ถ้ามันลงต่อ เราก็สบายๆ ตัวละ เพราะก็ได้ทยอยขายออกไปแล้วไม้นึง ตามระบบ ก็สามารถ lock กำไรไว้ได้เรียบร้อยแล้วนั่นเอง 55 ก็รอดูกันไปนะครับ ว่าจะไปทางไหนต่อ ขึ้นก็ได้ ลงก็ดี ไม่มีปัญหา :D
BTC ATR = เขียว ( 15/10/2024 )
------------------
Entry : 66000+-
Exit : 61000 (-7.5%)
Position Size = 13% ของพอร์ต ( Risk1% )*
* ปัดเศษเพื่อความง่ายต่อการคำนวณ
BTC ATR = แดง ( 23/12/2024 )
------------------
Entry : 66000+-
TP : 95186 ( +44.22% )
Position Size = 13% ของพอร์ต ( Risk1% )
Actual Profit = 13%*44% = 5.75% (5.7R)
---------------------------
สรุปผลกำไร สะสม ของทุกระบบ ในปี 2024 ได้ดังนี้
* รายการกำไรนี้ เป็นการคำนวณตรงๆ ยังไม่ได้ใส่ค่า fee และ slippage เข้าไปนะครับ ดังนั้น กำไรจริงๆ ของการทำตามระบบ ก็น่าจะต่ำกว่านี้พอสมควรครับ
(8Feb-17Mar) ATR = +6.61% ที่ความเสี่ยง 1% ( 6.61R )
(9Apr-14Apr) ATR = -1.06% ที่ความเสี่ยง 1% (-1.06R )
(10Feb-14Apr) BreakHigh = +4.94% ( 4.94R )
(2Feb-17Apr) ActionZone = +9.6% ( 9.6R )
(16May-15Jun) ATR = -0.023%
(19May-18Jun) ActionZone = -0.059%
(1Jan-25Jun) EMA120DCross = +5.95% ( 5.95R )
(16Jul-3Aug) ATR = -0.5%
(16Jul-3Aug) EMA120DCross = -0.5%
(20Jul-5Aug) ActionZone = -0.9%
(24Aug-27Aug) EMA120DCross = -0.7%
(26Aug-30Aug) ActionZone = -0.75%
(24Aug-2Sep) ATR = -1.04%
(14Sep-2Oct) ATR = +0.05%
(19Sep-2Oct) EMA120DCross = -0.155%
(25Sep-2Oct) BreakHigh = -0.538%
(15Oct-23Dec) ATR = 5.74%
(19Sep-???) ActionZone = ?%
(15Oct-???) BreakHigh = ?%
(15Oct-???) EMA120D = ?%
Sum กำไรสะสมของปี 2024 = 20.91+5.75 = 26.66% ที่ความเสี่ยง 1% ต่อระบบต่อครั้ง
* โดยกำไรด้านบน ยังไม่ใช่กำไรสุทธิ เพราะยังเหลืออีก 3 ระบบที่ยังไม่ได้ realized profit นะครับ ซึ่งตอนนี้อีก 3 ระบบที่เหลือมีกำไรรวมราวๆ +16.76% ถ้ารวมกับยอดที่ realized ไปแล้วอีก 26.66% ในปีนี้ก็มีกำไรเบื้องต้นอยู่ที่ 43.42% ครับ สำหรับความเสี่ยง 4% ก็ตีคร่าวๆ ก็เกือบ 11R เลยนะ ถือว่าเป็นปีที่ดีมากๆ ปีนึงครับ