SET GDP ทั้งปีทำไว้ ที่2.4 % นำมาจับมุมมองกราฟSET:SET Key Takeaways:
📍GDP ไทย ไตรมาส 3/24 ขยายตัวได้ 3.0% YoY (1.2% QoQ) ขยายตัวมากกว่าตลาดคาดที่ 2.4% YoY (Bloomberg Consensus) แต่เป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับ BLS House view ที่ 2.9% YoY
📍ปัจจัยหนุนหลักในไตรมาสนี้ ได้แก่ การบริโภคภาครัฐ (+6.3% YoY) การลงทุนภาครัฐ (+25.9% YoY) และการส่งออกสินค้า (+8.3% YoY) ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนเติบโตชะลอลงที่ 3.4% YoY จากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวได้ 4.9% YoY
📍อย่างไรก็ดี การลงทุนภาคเอกชนยังน่าเป็นห่วง โดยหดตัว 2.5% YoY เป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 สะท้อนถึงภาคธุรกิจที่ฟื้นตัวได้บางสาขา
เนื้อหา:
GDP ไทยไตรมาส 3/24 ขยายตัวเร่งขึ้น โดยมี 3 ปัจจัยหนุนหลัก ได้แก่
1. การบริโภคภาครัฐขยายตัว 6.3% YoY ขณะที่การลงทุนภาครัฐขยายตัวได้สูงถึง 25.9% YoY ซึ่งเป็นผลจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณก่อนการสิ้นสุดปีงบประมาณ 67 บวกกับผลของฐานต่ำ
2. การส่งออกสินค้าไทยขยายตัวได้ดีกว่าที่คาด โดยโตถึง 8.3% YoY จากอานิสงส์ด้าน Front-loaded demand ของสหรัฐฯ และยุโรป ก่อนมาตรการขึ้นภาษีมีผลบังคับใช้ในช่วงปลายเดือนกันยายน ประกอบกับ Demand ของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ อาทิ HDDs ที่ยังคงเติบโตสูง ซึ่งเป็นกลุ่มที่หนุนการส่งออกของไทยตลอดทั้งไตรมาส 3/24 และ
3. การบริโภคภาคเอกชนที่ยังคงขยายตัวได้ดี 3.4% YoY แม้จะเป็นการขยายตัวในทิศทางที่ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวได้ 4.9% YoY โดยการใช้จ่ายในหมวดโรงแรม ร้านอาหาร เติบโตชะลอลงจากผลของ Low Season ด้านการท่องเที่ยว ส่วนสินค้าคงทนยังคงหดตัวต่อเนื่องถึง 9.9% YoY ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง อันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่คาดว่าจะกดดันการบริโภคภาคเอกชนโดยรวมของไทยไปอย่างต่อเนื่องไปถึงปีหน้า (หากไม่มีมาตรการมากระตุ้นการบริโภคเพิ่มเติม)
อย่างไรก็ดี การลงทุนภาคเอกชนยังคงหดตัว 2.5% YoY ซึ่งเป็นการหดตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า (-6.8% YoY) สะท้อนถึงการฟื้นตัวของภาคธุรกิจแบบไม่ทั่วถึง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากกำลังซื้อโดยภาพรวมยังไม่สามารถกลับมาแบบยั่งยืนได้ ทำให้ sentiment การลงทุนของภาคเอกชนโดยรวมยังไม่ฟื้นกลับมา
ทั้งนี้ เราคาดว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/24 น่าจะขยายตัวเร่งขึ้นได้ราว 3.6% YoY (Base case) จากผลของฐานต่ำและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ เช่น โครงการแจกเงิน 10,000 บาท ที่น่าจะการแจกเฟสสองแก่กลุ่มคนอายุ 50 – 60 ปี ก่อนสิ้นปี ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้ ร่วมกับมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว (เที่ยวคนละครึ่ง) ที่น่าจะออกมาเพิ่มเติมก่อนสิ้นปี รวมถึงการท่องเที่ยวในช่วง High Season โดยเราคาดว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติไตรมาส 4/24 น่าจะอยู่ที่ราว 9.5 ล้านคน และน่าจะทำให้ยอดทั้งปีมาแตะที่ 35.6 ล้านคน ตามที่เราคาดไว้ (คิดเป็นสัดส่วน 89.2% ของ Pre-covid) อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/67 ยังคงมีความเสี่ยงด้านการส่งออกที่เรามองว่าน่าจะชะลอตัวลงแรงกว่าที่คาด จาก Demand ของเศรษฐกิจคู่ค้าหลักอย่างสหรัฐฯ และจีนที่ชะลอลง ทำให้เรายังคงยืนมุมมองการเติบโตของเศรษฐกิจทั้งปี 67 โตที่ 2.6% YoY
จากรายงานนี้บ้านเรา GDP ทั้งปีทำไว้ ที่2.4 % พอมาจับกับภาพตลาดมอง 1 เดือนครึ่งที่เหลือบัานเราจะเล่นออกข้าง ในกรอบ 1436 ถึง1500 ยกเว้นมีปัจจัยใหม่เข้ามาครับ
Aunggul
BEM & CK: ครม.เห็นชอบผลการคัดเลือก BEM ชนะการประมูลรถไฟฟ้าสายสีสSET:BEM Highlights:
• วันที่ 16 ก.ค. 2024 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบผลการพิจารณาผลการคัดเลือกเอกเอกชน และร่างสัญญาร่วมลงทุนที่ผ่านการตรวจพิจารณาของสำนักงานอัยการสูงสุด และเงื่อนไขสำคัญของสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) วงเงิน 1.4 แสนล้านบาท ที่ BEM เป็นผู้ชนะการประมูล และปัจจุบันศาลปกครองสูงสุดก็ได้มีคำพิพากษาจนได้ข้อยุติทุกคดีแล้ว
• ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการนัดหมายเอกชนลงนามในสัญญา ซึ่งคาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญาได้ภายในสัปดาห์นี้
• BEM จะได้รับสิทธิก่อสร้างงานโยธาช่วงตะวันตก (บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรม) รวมถึงงานเดินรถไฟฟ้าตลอดสาย บางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ทั้งนี้เราได้รวมโครงการนี้ไว้ในประมาณการแล้ว
• ทั้งนี้คาดว่าจะเปิดให้บริการช่วงตะวันออก (ศูนย์วัฒนธรรม - มีนบุรี) ได้ในปี 2028 และช่วงตะวันตก (บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรม) ได้ในปี 2030
• สำหรับ CK คาดว่ามีโอกาสจะได้งานโยธาและติดตั้งระบบฯ รวมราว 1.09 แสนล้านบาท ทำให้ Backlog เพิ่มขึ้นเป็นราว 2.3 แสนล้านบาท แต่รายได้ปีแรก (2025) น่าจะเป็นงาน E&M เป็นหลัก (มูลค่าทั้งหมดราว 2-3 หมื่นล้าน) งานก่อสร้างน่าจะเริ่มปลายปี 2025 และคาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 4-5 ปี
View from fundamental: ข่าวดังกล่าวน่าจะเป็น positive sentiment ต่อราคาหุ้น BEM และ CK เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ต่อ BEM (ราคาเป้าหมาย 12.40 บาท) และ CK (ราคาเป้าหมาย 26 บาท)
มุมมองทางเทคนิคตัว BEM ขึ้นได้แต่มองติดกรอบบนโซน 8.20 บาท โครงสร้างใหญ่ยังเเป็น sideway down แต่สามารถเก็งกำไรระยะสั้นได้ครับ ราคาเป้าหมาย 8.20 บาท
RBF แนะนำเทรดเก็งกำไร ราคาเกิดสัญญาณกลับตัวจากแนวรับSET:RBF แนะนำเทรดเก็งกำไร ราคาเกินสัญญาณกลับตัวจากแนวรับ
ราคาวันที่แนะนำ 11.60
ราคาเป้าหมาย 12.50
จุดตัดขาดทุน 10.80
ตัดขาดทุน < 10.5 บาท
ตั้งเป้ารายได้ปี 2024 โต 9-12%
ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 2024 เติบโต 9-12% YoY หนุนโดยรายได้
ต่างประเทศมีการเติบโต 17-20% และรายได้ในไทยคาดเติบโต 6-9%
ซึ่งมองว่าเป้ารายได้ดังกล่าว ยังมีอัพไซด์ จากการขายสินค้ารีเทล
ใหม่ที่ออกมาเดือนก.พ. และลูกค้าเจ้าใหญ่ในต่างประเทศที่กำลังคุยอยู่
ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ไม่อยู่ในประมาณการปี 2024 ของตลาด
*ตัว RBF เป็นหุ้นกลุ่มอาหาร โดยส่วนใหญ่จะเทรดได้ดีในช่วงที่เศษฐกิจชลอตัวครับ
XIAOMI(1810)มุมมองรอซื้อบริเวณ 12.40 HKDHKEX:1810 ภาพรวมราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นเล่นเป็นกรอบไซด์เวย์อัพ
ล่าสุดราคาพักตัวลงมาในกรอบด้านล่างมองเป็นโอกาศซื้อในโซนแนวรับ
แนะนำรองสะสมที่ราคา 12.40 HKD มองราคาเป้าหมายระยะกลาง 15 HKD
และหลุด 11 HKD เป็นจุดถอนตัวครับ
(DRที่ซื้อผ่านตลาดไทยได้ XIAOMI80 ถ้าราคา แม่ลงมา12.40 ตัวDR จะเท่ากับ 5.40 โดยประมาณครับ )
EPG หุ้นแนะนำทางเทคนิคราคาเป้าหมาย 8.50SET:EPG รายได้หลักมาจากต่างประเทศ และแนวโน้มกำไรยังดูดีและได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า
ราคาทางพื้นฐานยังถูกกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี
มุมมองทางเทคนิค
โครงสร้างราคายังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นและพักตัวเสร็จเรียบร้อย
ราคาที่แนะนำซื้อ 7.70
ราคาเป้าหมาย 8.50
และตัดขาดทุนกรณีผิดทาง 7.30
GFPT หุ้นแนะนำเล่นระยะกลางราคาเป้าหมาย 12.80บาทSET:GFPT GFPT งบออกมาบ่ายนี้ดีกว่าคาด และประกาศจ่ายปันผล 0.15 บาท ปันผลไม่เยอะแต่มองไปข้างหน้าไตรมาศ1 กลุ่มเกษตรอาหารจะเล่น ฉีกออกจาก Set ได้
และ add เข้าหุ้นแนะนำ ราคาวันนี้ 11.70-11.80 ราคาเป้าหมาย 12.80 อัพไซด์ 9.42 % ตัดขาดทุนหากผิดทางที่ราคา 10.80 ครับ
รีวิวภาพ SET 01/02/2024 ลงมาที่แนวรับหลุดไม่หลุด ลุ้นวันนี้SET:SET ตลาดไทยลงมาแนวรับ ที่เคยทำไว้รอบที่แล้ว บริเวณ 1352 จุด
และยังขาดปัจจัยบวกใหม่
มุมมอง มีโอกาศลงหลุดต่ำกว่า 1352 จุด (หลุดหลอก)รับข่าวเฟดยังไม่ลดดอกเบี้ยเดือน มี.ค.
และเด้งกลับมาเล่นในกรอบออกข้างเหมือนเดิม
ลักษณะเดียวกับตลาด HK เช้านี้ที่ลงและกลับมาเล่นในแดนบวกได้ครับ
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
▪ ติดตามคดีการเมืองต่อ
▪ งบที่จะทยอยประกาศ สัปดาห์หน้ากล่มุ ADVANC INTUCH THCOM
▪ ผลโหวตผู้ถือหุ้นกู้ ITD (ITD254A) วานนี้ อนุมัติให้เลื่อนจ่ายหนี้
▪ ยอดขอวีซ่านอกสถานที่ในไทย มีสัญญาณเร่งตัวขึ้นต่อ จับตาท่องเที่ยว
▪ การประชุมโอเปกพลัส ต้นเดือน ก.พ.
▪ ซาอุดิ อารัมโก บ. น้ำมันรายใหญ่ พับแผนการเพิ่มกำลังการผลิต
▪ ติดตามมาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจและตลาดทุนจีนต่อ
▪ IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP โลก สหรัฐฯ และจีน ฯลฯ
▪ สถานการณ์ทะเลแดง ส่งผลกระทบต่อ Sentiment กล่มุ ส่งออกฯ
SET หลุด 1400 แนวรับถัดไปอยู่ตรงไหน และลงเพราะอะไรSET:SET เมื่อวานตลาดลง หลุด 1400 จุดแนวรับถัดไปอยู่ตรงไหน
มุมมองทางเทคนิค
แนวรับ 1370-1360
*แล้วตลาดลงจากเรื่องอะไร จากการรวบรวมข้อมูลที่ตลาดกังวลและมีแรงขายออกมา
1.ความกังวลเรื่องดอกเบี้ย FED อาจไม่ได้ลงเร็วอย่างที่คาดการณ์
2.GDP จีนที่ออกมาต่ำกว่าคาด ทำตลาดจีนและ ฮองกง ทำ NEW low เมื่อวาน
3 เงินดิจิตัลถูกเลื่อนออกไปไม่เป็นตามกำหนดเวลา
4.ความกังวลเรื่องของหุ้นกู้ของบริษัทจดทะเบียนว่าจะมีตัวอื่นตามมาอีกไหมนอกจาก ITD
มุมมอง
ให้น้ำหนัก SET ไม่ทำ NEW LOW และรอติดตามงบกลุ่มธนาคารที่จะประกาศออกมาหากไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์
ออกมาตามคาดการณ์ 1370-1360 เป็นจุดซื้อสวนตาลครับ