รูปแบบฮาร์มอนิก GARTLEY: ทำงานอย่างไร?!รูปแบบฮาร์มอนิก GARTLEY: ทำงานอย่างไร?!
"Gartley" ตามชื่อของมัน ถูกสร้างขึ้นโดย Henry Mackinley Gartley
รูปแบบฮาร์มอนิกอื่นๆ ทั้งหมดเป็นการดัดแปลงจาก Gartley
โครงสร้างประกอบด้วยคลื่น 5 คลื่น:
XA: อาจเป็นการเคลื่อนไหวรุนแรงใดๆ บนแผนภูมิก็ได้ และไม่มีข้อกำหนดเฉพาะใดๆ สำหรับการเคลื่อนไหวนี้เพื่อให้เป็นจุดเริ่มต้นของ Gartley
AB: ตรงข้ามกับการเคลื่อนไหวของ XA และควรอยู่ที่ประมาณ 61.8% ของการเคลื่อนไหว XA
BC: การเคลื่อนไหวของราคาควรตรงข้ามกับการเคลื่อนไหวของ AB และควรอยู่ที่ 38.2% หรือ 88.6% ของการเคลื่อนไหว AB
CD: การเคลื่อนไหวของราคาครั้งล่าสุดตรงข้ามกับ BC และควรอยู่ที่ 127.2% (ส่วนขยาย) ของ CD หาก BC อยู่ที่ 38.2% ของ BC หาก BC อยู่ที่ 88.6% ของ BC CD ควรอยู่ที่ 161.8% (ส่วนขยาย) ของ BC
AD: การเคลื่อนไหวของราคาโดยรวมระหว่าง A และ D ควรอยู่ที่ 78.6% ของ XA
วิธีใช้
จุด D คือจุดที่คุณเข้ามา! นั่นคือสัญญาณการเข้าของคุณ
-หากเป็นรูปแบบ M ให้คุณซื้อ
-หากเป็นรูปแบบ W ให้คุณขาย2
ควรวางจุดตัดขาดทุนไว้ตรงไหน
-ด้านล่างหรือ "X" หากคุณเป็นผู้ซื้อ
-ด้านบน "X" หากคุณเป็นผู้ขาย
เปอร์เซ็นต์เหล่านี้ขึ้นอยู่กับอัตราส่วน Fibonacci ที่มีชื่อเสียง ซึ่งลึกลับพอๆ กับพีระมิดแห่งอียิปต์!
โดยสรุป รูปแบบ Gartley ก็เหมือนกับซิการ์คิวบาดีๆ หนึ่งชนิด: ต้องใช้ความอดทนและประสบการณ์จึงจะประเมินค่าได้อย่างแท้จริง แต่เมื่อคุณเชี่ยวชาญมันแล้ว มันสามารถกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในคลังอาวุธการซื้อขายของคุณ มีประสิทธิภาพเท่ากับหมัดของ Rocky Balboa!
การวิเคราะห์ด้านอื่นๆ
Block Trade คืออะไร?Block Trade คืออะไร เทรดอย่างไร ?
👯👯👯 สำหรับใคร ที่ชื่นชอบความท้าทาย และต้องการมีรายได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในหุ้น ให้รีบมาอ่านบทความนี้ เพราะหากเราลองเปรียบเทียบ การลงทุนในหุ้นด้วยจำนวนเงินที่เท่าๆกัน แต่เราสามารถสร้างผลตอบแทนและกำไรได้มากกว่าหลายเท่าตัวด้วย Block trade จะดีกว่ามั้ย มาครับมาตามอ่านกัน
Block Trade คืออะไร?
Block Trade เป็นหนึ่งในบริการที่บริษัทหลักทรัพย์จัดทำให้กับลูกค้าที่มีความต้องการลงทุนใน Single Stock Future (SSF) ซึ่งมีวิธีการซื้อขายแบบจับคู่ซื้อขาย (SSF) ที่ราคา และจำนวนสัญญาที่ตกลงกันไว้ เพื่อช่วยเรื่องสภาพคล่องที่ไม่เพียงพอ
Single Stock Futures (SSF) แรกเริ่มเดิมที คือ การซื้อขายสัญญา Futures ของหุ้นอ้างอิงที่เราสนใจนั่นเอง โดยมากแล้วหุ้นอ้างอิงเหล่านี้มักจะเป็นสมาชิกของ SET50 ซะเป็นส่วนใหญ่ แล้วบวกเพิ่มเข้าไปกับหุ้น SET100 อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเมื่อรวมกันแล้ว ปัจจุบันมีทั้งหมด 69 หุ้นอ้างอิงที่เราสามารถเลือกซื้อขาย Long-Short โดยใช้ Single Stock Futures เป็นตัวช่วยในการเพิ่มอัตราทดให้พอร์ตการลงทุนของเราได้
แต่การซื้อขาย SSF กลับไม่ราบรื่นเท่าที่ควร เหตุก็เพราะว่าผู้เล่นในสนามนี้โดยมากแล้วจะเป็นนักลงทุนทั่วไป ที่มาตั้งซื้อ-ขายกันเอง ทำให้ “สภาพคล่อง” ของสินค้าชนิดนี้น้อย เป็นผลให้นักลงทุนไม่สามารถซื้อขายกันได้อย่างสะดวก ด้วยเหตุนี้เองทำให้ SSF ได้รับความนิยมน้อย และนักลงทุนไม่ให้ความสนใจมากนักเนื่องจากปัญหาสภาพคล่องที่ต่ำ
จนกระทั่งเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นผู้เพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาด SSF วิธีการคือบริษัทหลักทรัพย์เหล่านี้จะทำตัวเป็นคู่สัญญาให้กับผู้ซื้อทุกคน โดยมีเงื่อนไขว่า ผู้ซื้อจะต้องซื้อจำนวนสัญญา SSF เป็นจำนวนขั้นต่ำตามเกณฑ์ที่มีกำหนดขึ้นมาจากตลาดหลักทรัพย์
การจับคู่สัญญาของผู้ซื้อ และบริษัทหลักทรัพย์นี้เองที่เรียกว่า “BLOCK TRADE”
โดยที่หากผู้เล่นต้องการเปิด สถานะ LONG บริษัทหลักทรัพย์ก็จะมารับเป็นคู่สัญญาเปิด สถานะ SHORT ทำให้ออเดอร์ทั้งสองฝั่งแมทช์กันได้
ดังนั้น ในกรณีที่ราคาหุ้นขยับขึ้นไป ผู้เล่นก็จะมีกำไร และทางบริษัทหลักทรัพย์คู่สัญญาตรงข้ามก็จะต้องรับขาดทุนไปด้วย แต่บริษัทหลักทรัพย์ไม่ต้องการเปิดความเสี่ยงตรงนี้จุดนี้ จึงใช้วิธีป้องกันความเสี่ยง โดยการเข้าไปซื้อ “หุ้นจริงบนกระดาน” เอาไว้เท่ากับจำนวนที่เป็นคู่สัญญาให้กับผู้เล่น เพราะฉะนั้นแล้วบริษัทหลักทรัพย์ก็จะ “ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย” จากการเป็นคู่สัญญากับนักลงทุน เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้นักลงทุนสามารถใช้ประโยชน์จากอัตราทดของสินค้านี้ได้
ตัวอย่างขั้นตอนการทำ Block Trade (ตัวเลขสมมติ)
- ผู้เล่นติดต่อมาร์เกตติ้งส่วนตัวเพื่อขอทำ Block Trade หุ้น CBG 1 แสนหุ้น
- มาร์เกตติ้งส่งคำสั่งเปิด long CBG 100 สัญญา ถึงบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นคู่สัญญา
- บริษัทหลักทรัพย์ทำการซื้อหุ้น CBG 100,000 หุ้นจากบนกระดานหลักเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงตามที่ได้กล่าวไปด้านบน
- ลูกค้ามีสถานะ long CBG 100 สัญญา หรือเทียบเท่ากับมีหุ้น CBG 100,000 หุ้น
*** เหตุการณ์ทั้งหมดใช้เวลาเพียง 1-2 นาทีเท่านั้น ***
หลังจากที่มีโบรคเกอร์เข้ามาเป็นตัวกลางในการทำธุรกรรมนี้แล้ว ปริมาณการเทรด SSF จึงโตขึ้นถึง 10 เท่าตัว จากเดิมที่มีการซื้อขาย SSF เฉลี่ย 10,000 สัญญา ต่อวัน เขยิบขึ้นมาที่ราวๆ 80,000 สัญญาต่อวัน ซึ่งในวันที่มีการเทรดกันคึกคักสุดๆ จำนวนสัญญาเคยขึ้นไปสูงถึง 150,000 สัญญาต่อวันเลยทีเดียว
ทำไมผู้เล่นถึงเข้ามาเทรด Block Trade กันมากมายขนาดนี้ !!?
1. หุ้นที่สามารถทำ Block Trade ได้นั้น โดยมากจะเป็นหุ้นใน SET50 และ SET100
2. เลือกทิศทางได้ทั้งในฝั่ง LONG และ SHORT เพราะฉะนั้น ไม่ว่าตลาดจะเป็นขาขึ้น,ขาลง หรือแม้แต่ไซด์เวย์ ก็มีโอกาสให้กับผู้เล่นอยู่เสมอ
3. การทำ Block Trade ใช้เงินน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการซื้อหุ้นในตลาด
👽👽👽 เป็นอย่างไรกันบ้างครับพอจะเริ่มเป็นแนวทางในการหาเงินหรือกำไรเพิ่มขึ้นมั้ยครับ แอดว่ามันเข้าท่าดีนะครับ สำหรับคนที่มีเงินทุนน้อย และชอบเทรดในตลาดหุ้นที่มีทั้ง short และ long บอกเลยว่ามันได้ฟิลดีเหมือนกันนะเออ
แล้วอย่าลืม หมั่นฝึกฝนการเทรดให้ได้ทุกวัน ยิ่งเราเทรดบ่อยๆเราจะเก่งขึ้นเองครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM และสร้างแผนการเทรดที่ดีด้วยนะครับ จะช่วยทำให้เราแกร่งมากยิ่่งขึ้น และเจ็บน้อยลง แอดเอาใจช่วยนะครับ
Retest Trading แบบไหนให้ได้กำไรRetest Trading แบบไหนให้ได้กำไร
👽👽 เคยเป็นกันบ้างมั้ยกับการอ่านกราฟทางเทคนิคแล้วโดนกราฟหลอก ไปทางไหนก็ผิดทาง รีเทสแล้ว รีเทสอีก ก็ยังผิดทาง หรือเราจะอ่านกราฟผิดกันนะ มาครับ บทความนี้แอดมีคำตอบให้
กลไกของกลยุทธ์การ Retest
กลไกของกลยุทธ์ Retest มักมาควบคู่กันพร้อมกับ Breakout เสมอ หลักและใจความสำคัญ ที่จำเป็นในการเทรดก็คือการอ่านแนวรับแนวต้านให้ออก และจำเป็นต้องใช้เครื่องมือตัวบ่งชี้ทางเทคนิคช่วยด้วยอีกทางหนึ่ง
สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงก็คือ
1. เมื่อกราฟราคาพุ่งขึ้นสูงสุดหรือลงต่ำสุด และทะลุแนวรับหรือแนวต้าน โดยมีปริมาณ Volumn การซื้อขายที่สูงหรือต่ำตามมาติดๆ
- การ Breakout ในแนวรับหรือแนวต้าน จะเกิดขึ้นเป็นอันดับแรก
- อันดับต่อมาที่ต้องเฝ้าระวังคือ การย่อ..........หรือการเปลี่ยนทิศทางกระทันหันเพื่อหลอกล่อเม่าน้อยๆให้มาติดกับ
- ถัดจากการล่อเม่าเสร็จสิ้น ราคาจึงจะวิ่งกลับไป Retest ณ จุด จุด เดิมอีกครั้ง
- จุดนี้แหละ ที่เราต้องเฝ้าระวัง เพื่อหาจุดเข้าสวยๆเข้าฮะ
รูปแบบแท่งเทียนที่พบได้บ่อยที่สุดในกลยุทธ์ Break and Retest ได้แก่
1. Wedge Pattern แสดงถึงเส้นแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงภายในช่วงราคาที่แคบลงเรื่อยๆ
2. Consolidation Pattern บ่งบอกถึงช่วงราคาในแนวนอน หรือกราฟไซด์เวย์ สำหรับการเล่นสั้น ทั้งขาขึ้น และขาลง ซึ่งยังหาแนวโน้มที่ชัดเจนไม่ได้แต่คันมือ จัดเบาๆไปก่อน
3.Triangles Pattern รูปแบบสามเหลี่ยม คือการทะลุกรอบสามเหลี่ยมออกไป เป็นไปได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
4. The Channel Patterns แสดงถึงเส้นแนวโน้มเส้นขนาน ซึ่งเป็นไปได้ทั้งไซด์เวย์สลับฟันปลา และไซด์เวย์อัพ ไซด์เวย์ดาว์น โดยราคาจะวิ่งไต่กรอบเส้นเทรนไลน์ไปเรื่อยๆ เป็นเส้นคู่ขนาน
**** นอกจากรูปแบบแท่งเทียนแล้ว อินดิเคเตอร์ที่จัดว่าเด็ดและช่วยในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้แก่ MACD หรือ RSI เพื่อช่วยยืนยันทิศทางของแนวโน้มที่เราคาดการณ์ไว้
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ แอดหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เราอ่านกราฟได้ดี อ่านกราฟได้เก่งมากขึ้นนะครับ จำไว้เสมอว่ากราฟมีขึ้นแล้วก็มีลง ไม่ต้องไปเครียดกะมันหมั่นึกฝนและเพิ่มเติมความรู้อย่างสม่ำเสมอ รับรอง เทรดยังไงก็รอดครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM กันด้วยนะครับ วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่งแน่นอนครับ แอดเอาใจช่วยสู้ๆ
วิธีหลีกเลี่ยงการ Over tradingวิธีหลีกเลี่ยงการ Over trading
👽👽 เคยเป็นกันบ้างมั้ย กับการเทรดที่มันมากจนเกินไป หรือการเทรดแบบ Over trading การซื้อขายมากเกินไป และนั่นเป็นจุดจบของสายเติมและสายมือเติบ เพราะการเทรดอะไรที่มันเกินตัวย่อมเสียมากกว่าได้เสมอ วันนี้แอดมาแนะนำวิธีการหลีกเลี่ยงการ over trade หรือเอาแบบตรงตัวก็คือการหลีกเลี่ยงการล้างพอร์ตนั่นเอง
เพราะโลกนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบตลอดเวลาฉันใด การเทรดก็ย่อมไม่มีทางที่จะเทรดได้ตลอดไปฉันนั้น มันจะต้องมีเวลาได้ และ เวลาเสียบ้างไม่มากก็น้อย เราต้องยอมรับตรงนี้ให้ได้และปล่อยให้มันเป็นไปตามกลไกของตลาด
Over Trading คืออะไร?
การซื้อขายที่มากเกินไป ไม่ว่าจะเปิดลอทใหญ่ หรือการเปิดออเดอร์หลายๆไม้ที่ทำให้ระดับมาร์จิ้นลดลงต่ำ ถือเหมารวมว่าเป็นการเทรดแบบ Over trading ทั้งสิ้น เพราะผลที่ตามมาส่วนใหญ่ คือล้างพอร์ตล้วน ๆฮะ
แล้วมันสามารถแก้ไขได้จริงๆมั้ย ??? จริงครับ ทุกหนทางย่อมมีทางออกเสมอ มันแก้ไขได้ แน่นอนฮะ ถ้าเราเริ่มรู้จักคำว่าไม่โลภ และไม่รีบ
สิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เมื่ออยากเทรดแบบ Over trading
1. มีเงินทุนมากพอมั้ย และสามารถเติมได้ตลอดหรือเปล่า หรือหมดแล้วหมดเลย !?????
2. มีแผนเทรดหรือยัง??? แล้วเทรดตามแผนจริงๆหรือเปล่า??? สิ่งสำคัญที่สุด ที่ทุกคนต้องคิดให้รอบคอบเมื่อเปิดออเดอร์ทุกครั้ง คือการปฏิบัติตามแผนการซื้อขายแบบเคร่งครัด
3. หลีกเลี่ยงการผันผวนแรงๆ ถ้ารู้ว่าเทรดผิดทางก็แค่ปิดออเดอร์ทิ้งแล้วหยุดฮะ อย่าปล่อยให้โดนลากจนหมดตัว เสียทั้งเวลา เสียทั้งเงิน เสียทั้งความรู้สึก
4.โปรดจำไว้ว่าตลาดไม่ได้เปิดแค่วันเดียว มันเปิดทุกวัน ไม่ต้องรีบเทรด ไม่ต้องรีบรวย ค่อยเป็นค่อยไปเอานะ
5.วันไหนอารมณ์ไม่ดี หรือเก็บกดอารมณ์มาจากที่อื่น ไม่ต้องเทรด เพราะมันจะมีแต่เสียกับเสียอย่างเดียว ไม่มีชนะ ไม่ต้องคิดเข้าข้างตัวเองนะ สติๆๆๆๆๆ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ แอดหวังว่าบทความนี้จะช่วยเตือนสติเทรดเดอร์หลายๆคนที่กำลังบ้าคลั่งจากการดิ่งลงของกราฟทองนะฮะ จำไว้เสมอว่ากราฟมีขึ้นแล้วก็มีลง ไม่ต้องไปเครียดกะมัน เราแค่เดินตามทางที่มันไปก็พอ ลองนำไปปรับใช้และต่อยอดกันดูนะครับ วินัยสำคัญสุดๆ อย่าลองตัวเองไปวันๆก็พอ แอดเอาใจช่วยนะครับ สู้ๆ
Guerrilla Marketing การตลาดแบบกองโจรGuerrilla Marketing การตลาดแบบกองโจร
👽👽 ปัจจุบันเทรนด์และไวรัลใหม่ ๆ วนเวียนมาให้เราเห็นกันได้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็น ติ๊กต่อก ไอจี เฟสบุ๊ค บางคนก็ทำโฆษณาแบบเดิม ๆ อาจไม่ดึงดูดใจลูกค้ามากพอ แต่บางคนก็ทำสะดังในชั่วข้ามคืน วันนี้ แอด พามารู้จักกลยุทธ์การตลาดแบบจู่โจม
👽👽 วันนี้แอดมีบทความดีๆสำหรบคนที่อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ หรือคนที่กำลังมองหารายได้เสริม มาฝากกันไม่แน่ว่า บทความนี้อาจช่วยให้คนต่อยอดความคิดและต่อยอดดีๆ ในการหารายได้เสริมก็เป็นได้ มาครับมันดีแบบไหน และเป็นอย่างไร มาตามอ่านกันดีกว่า
Guerrilla Marketing
คือกลยุทธ์การตลาดแบบกองโจร ที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการโจมตีกลุ่มเป้าหมายแบบฉับไว ดึงดูดความสนใจได้ทันที เหมือนกับความไวของโจร เพื่อให้เกิดการบอกต่อแบบปากต่อปาก และยังเป็นกลยุทธ์ที่ใช้งบประมาณต่ำกว่าการโฆษณารูปแบบอื่น ๆ
Guerrilla Marketing คืออะไร?
ต้องย้อนกลับไปช่วงยุค 80’s ปลาย ๆ 90’s ต้น ๆ เริ่มมีโฆษณาทางเคบิลทีวีมากขึ้น แต่เป็นโฆษณาที่น่าเบื่อ เน้นขายของมากกว่ามอบประสบการณ์ให้ผู้ชม ทำให้นักการตลาดหัวใส Jay Conrad Levinson ปรับกลยุทธ์ของวงการโฆษณาและคิดค้นศัพท์ใหม่อย่าง “Guerrilla Marketing”
เคล็ดลับการทำการตลาดแบบ Guerrilla Marketing ให้เป็นไวรัลในโซเชียล!
1. ไอเดียโฆษณาต้องแตกต่าง ไม่ซ้ำใคร
2. แสดงโฆษณาให้ถูกที่ ถูกเวลา
กระแสไหนกำลังมาแรง ประเด็นไหนกำลังฮอต นั่นแหละคือโอกาสทองของตลาดกองโจร
3. รู้สึกเซอร์ไพรส์จนต้องแชร์ต่อ
ข้อดี VS ข้อเสียของการตลาดแบบกองโจร
ข้อดีของ Guerrilla Marketing
การตลาดแบบกองโจรสามารถช่วยกระตุ้นยอดขายสินค้าที่ซบเซา รวมถึงระบายสินค้าค้างสต๊อกได้ เพราะตัวโฆษณาช่วยสร้างกระแสไวรัลบนโซเชียลมีเดีย เข้ากลุ่มเป้าหมายในวงกว้างมากขึ้น และยังใช้ต้นทุนน้อย สามารถนำงบประมาณที่เหลือไปลงทุนกับส่วนอื่นได้
ข้อเสียของ Guerrilla Marketing
แม้จะสร้างกระแสไวรัลในชั่วข้ามคืนได้ แต่ก็เป็นเพียงกระแสระยะสั้นที่ทำให้คนมาสนใจได้ไม่นาน เพราะเดี๋ยวหลังจากนั้นก็จะมีเทรนด์ใหม่ ๆ ผุดขึ้นมาอีกเรื่อย ๆ และหากแบรนด์เลือกที่จะใช้กลยุทธ์การตลาดกองโจรบ่อย ๆ แทนที่จะสร้างความสนใจอาจเปลี่ยนเป็นความเบื่อหน่ายแทน
ตัวอย่างการทำ Guerrilla Marketing จากแบรนด์ชั้นนำทั่วโลก
ว่าแล้วเราก็ไปดูตัวอย่างการทำแคมเปญการตลาดแบบกองโจรจากแบรนด์ชั้นนำต่าง ๆ ทั่วโลกกันดีกว่าว่า แต่ละแบรนด์มีลูกเล่นและการนำเสนอสินค้าอย่างไรกันบ้าง
ตัวอย่าง FRONTLINE
เป็นผลิตภัณฑ์กำจัดเห็บหมัดสำหรับสุนัขและแมว ทางแบรนด์ได้ใช้ลูกเล่นด้วยการนำโฆษณาไว้ที่พื้นและหากมองลงมาจากชั้นบน คนที่เดินไปมาก็จะเหมือนกับเห็บหมัดบนตัวสุนัข ดังนั้น คำโฆษณาที่ใช้ก็คือ “Get them off your dog” หรือเอาพวกเขาออกไปจากตัวสุนัขของคุณ ด้วยการซื้อสินค้าของ FRONTLINE นั่นเอง
ตัวอย่าง KitKat
ต่อมาเป็นการทำ Guerrilla Marketing ที่ฉลาดมาก ๆ ของ KitKat แบรนด์ขนบขบเคี้ยวชื่อดัง ด้วยการสกรีนลายขนม KitKat ลงไปบนม้านั่งสำหรับนั่งพักตามสถานที่ต่าง ๆ เพราะสโลแกนของ KitKat ก็คือ “คิดจะพัก คิดถึงคิทแคท” นั่นเอง
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ การตลาดแบบกองโจรก็เป็นอีกสีสันในวงการโฆษณา หากแบรนด์ไหนต้องการทำแคมเปญโฆษณาแบบระยะสั้นก็สามารถนำกลยุทธ์ Guerrilla Marketing ไปปรับใช้กันได้เลยนะฮะ แต่ต้องอย่าลืมใส่ความเป็นตัวตนแบรนด์ลงไปด้วยนะ มิเช่นนั้น คนอาจจะจำได้แค่โฆษณา แต่ไม่รู้ว่าเป็นของแบรนด์อะไร เป็นแนวทางในการสร้างรายได้ได้ดีทีเดียวเชียว ลองนำไปปรับใช้และต่อยอดกันดูครับ
Safe Haven ในการลงทุนและการเทรด: แนวคิดและสถานการณ์ปัจจุบันSafe Haven คืออะไร?
ในโลกของการลงทุนและการเทรด “Safe Haven” หมายถึงสินทรัพย์ที่นักลงทุนมักหันไปหายามเกิดความไม่แน่นอนหรือความผันผวนในตลาด โดยสินทรัพย์ Safe Haven มีคุณสมบัติที่คงค่าหรือมีความเสี่ยงต่ำเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ ที่อาจเสี่ยงต่อการสูญเสียมูลค่าระหว่างช่วงวิกฤตทางเศรษฐกิจหรือความผันผวนทางการเงิน
ตัวอย่างของ Safe Haven ที่ได้รับความนิยม ได้แก่:
1.ทองคำ – ถือเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงและเป็น Safe Haven ที่นักลงทุนหันไปหาเมื่อตลาดการเงินมีความผันผวน
2.เงินสด – โดยเฉพาะในสกุลเงินที่แข็งแกร่งอย่างดอลลาร์สหรัฐและเยนญี่ปุ่น ซึ่งมีความมั่นคงและความเชื่อมั่นสูงในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน
3.พันธบัตรรัฐบาล – พันธบัตรจากรัฐบาลที่มั่นคง เช่น พันธบัตรของสหรัฐ ถือว่ามีความปลอดภัยสูงเนื่องจากมีโอกาสเสี่ยงต่ำที่รัฐบาลจะไม่สามารถชำระหนี้ได้
4.อสังหาริมทรัพย์ – แม้ว่าจะไม่ถือว่าเป็น Safe Haven ในทุกสถานการณ์ แต่บางครั้งอสังหาริมทรัพย์ในทำเลที่ดีอาจเป็นตัวเลือกที่ดีในยามที่ตลาดการเงินมีความผันผวน
ทำไม Safe Haven จึงสำคัญ?
Safe Haven มีความสำคัญเพราะมันช่วยปกป้องพอร์ตการลงทุนจากความผันผวนที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตทางเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่ตลาดหุ้นร่วงลงอย่างรวดเร็ว นักลงทุนอาจสูญเสียมูลค่าของพอร์ตการลงทุนไปมาก แต่หากมีการลงทุนในสินทรัพย์ Safe Haven จะช่วยลดความเสี่ยงและรักษามูลค่าของพอร์ตไว้ได้
สถานการณ์ปัจจุบันของ Safe Haven ในปี 2024
ปัจจุบันตลาดการเงินทั่วโลกยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น:
อัตราเงินเฟ้อ ที่สูงขึ้นในหลายประเทศ ส่งผลให้ธนาคารกลางหลายแห่งต้องดำเนินนโยบายดอกเบี้ยที่เข้มงวด ทำให้สภาพคล่องในตลาดลดลง
ความตึงเครียดทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินโลก
ราคาน้ำมันและพลังงาน ที่ผันผวนจากการปรับตัวของเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนในตะวันออกกลาง
ในปี 2024 ทองคำยังคงเป็น Safe Haven ที่ได้รับความนิยม โดยราคาทองคำมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกและการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง นอกจากนี้ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐยังเป็นที่ต้องการสูงจากนักลงทุนที่มองหาความปลอดภัยจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังสูง
สำหรับเงินสด โดยเฉพาะดอลลาร์สหรัฐ ก็ยังคงเป็นสกุลเงินที่มีความปลอดภัยสูง แม้ว่าค่าเงินดอลลาร์อาจผันผวนในบางช่วงเวลา แต่ยังคงเป็นที่พึ่งในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตทางการเงิน
การจัดพอร์ตการลงทุนโดยใช้ Safe Haven
การกระจายพอร์ตการลงทุนให้มีสินทรัพย์ Safe Haven เป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนหลายคนนำมาใช้เพื่อจัดการความเสี่ยงในระยะยาว การมีทองคำหรือพันธบัตรในพอร์ตการลงทุนจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นคงในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวน
สรุป การ Safe Haven เป็นอีกหนึ่งปัจจัย สำคัญในการมองตลาดและคาดการ์ณ การเข้ามาของเงินใดแต่ละประเทศ เป็นต้น ทำให้เราปลอดภัยมากขึ้น
เลือก Leverage แบบไหนดี
👺👺👺 มาครับวันนี้เอาใจมือใหม่หัดเทรดกันบ้าง กับการเลือกเลเวอเรจให้ถูกกับจริตของตัวเอง เพราะการจะเทรดให้ได้กำไรจำเป็นต้องมีปัจจัยเล็กๆและองค์ประกอบอื่นๆมาเป็นตัวผลักดัน หนทางสร้างกำไรจึงจำเป็นต้องมีแบบแผนตั้งแต่เริ่มแรก ดังนั้น ไอ่เจ้าเลเวอเรจนี่แหละครับที่จัดว่าสำคัญทีเดียวเชียว มาครับ ตามมาอ่านกันต่อได้เลย
เลือก leverage แบบไหนดี ?
Leverage คืออะไร ?
หากเราตัดสินใจที่จะเดินเข้าสู่วงการ การเทรดค่าเงินในตลาด Forex แล้วหล่ะก็ สิ่งหนึ่งที่ต้องเลือกเป็นอันดับแรกเลยก็คือ เลเวอร์เลจ
หากให้เปรียบเทียบคำว่า เลเวอร์เลจ คำนี้จะมีความคล้ายคลึงันกับเงินเดิมพัน และเงินยืม เลเวอร์เลจ ช่วยให้เรามีอำนาจในการซื้อขายในตลาดได้มากยิ่งขึ้นแบบทวีคูณ โดยยกตัวอย่างง่ายๆ
จากเดิมๆที่เราต้องมีเงินลงทุนประมาณ $100,000 ดอลลาร์ เราถึงจะสามารถเปิดออร์เดอร์ขนาด 1 lot ได้
แต่หากว่าเราเลือกเทรดแบบมี เลเวอร์เลจ ในการเทรด โดยเลือกเลเวอเรจที่ 1:100 เราจะใช้เงินลงทุนเพียง $1,000 ก็สามารถเปิดออร์เดอร์ 1 lot ได้แล้ว หรือจะเลือก เลเวอร์เลจ 1:1,000 เราจะใช้เงินลงทุนเพียง $100 ก็สามารถเปิดออร์เดอร์ 1 lot ได้
ตัวอย่างเลเวอเรจ
เลเวอร์เลจ 1:1 มีทุน $1,000 สามารถซื้อหุ้นได้ $1,000
เลเวอร์เลจ 1:100 มีทุน $1,000 สามารถซื้อหุ้นได้ $100,000
เลเวอร์เลจ 1:1,000 มีทุน $1,000 สามารถซื้อหุ้นได้ $1,000,000
จากตัวอย่าง เราจะเห็นได้ว่า เลเวอเรจ ยิ่งสูงเท่าไหร่ ยิ่งสามารถทำให้มีอำนาจในการซื้อมากยิ่งขึ้น เสมือนว่าเรายืมเงินจากเปอร์เซ็นต์ต้นทุนของเขาเอามาทำกำไรก่อนนั่นเอง แต่ต้องอย่าลืมนะครับว่า การลงทุนมักมาพร้อมกับความเสี่ยงเสมอ ยิ่งเราซื้อมากเท่าไหร่ความเสี่ยงยิ่งมากตาม แต่หากเรามีกำไร กำไรมันก็มากตามเช่นกัน
นั่นทำให้การใช้เลเวอเรจไม่ได้สวยหรูแค่ด้านเดียว ที่สำคัญสุดๆเลยนั่นก็คือการ Stop Out เรียกง่ายๆว่าล้างพอร์ตนั่นแหละครับ ยังไง??
เพราะยิ่งเราใช้เลเวอเรจมากที่สุดในการเทรด ไม่ว่าจะเป็น 1:1,000 , 1:2,000 , 1:5,000 หรือมากว่านี้ เราจะยิ่งเสี่ยงในการล้างพอร์ตง่ายเช่นกันจากการเทรดหนัก
เพราะการใส่ออเดอร์ได้มาก ยิ่งทำให้เราโลภมากยิ่งขึ้น ไอ่ความโลภนี่แหละที่ทำให้เราเทรด แบบ Over trade ใส่ลอตใหญ่มากเกินไป หากกราฟวิ่งผิดทางระยะวงสวิง ที่ติดลบก็พาล้มละลายได้เลยฮะ ฉะนั้นพึงระวัง และค่อยๆเทรดดีกว่านะครับ ไม่มากไปและไม่น้อยเกินไป ไม่งั้นเดี๋ยวจะเทรดไม่พอค่าไฟกันพอดี……เนาะ
แถมสูตรคำนวณ Lot Size ให้อีกนิดนะครับ ทุน / 10,000 เราจะได้ Lot ที่ใช้ในการเทรด
ตัวอย่างคำนวณ ทุน 100$ หาร 10,000 = 0.01 นี่คือ ลอตในการออกไม้นะครับ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ มือใหม่หัดเทรด สิ่งเล็กๆน้อยๆที่เราจำเป็นต้องรู้นะฮะก่อนที่จะเริ่มเทรด แอดว่ามันดีและเบสิคมากเลย การเตรียมการและใส่ใจแบบแผนการเทรดเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆเลยนะฮะ วางแผนดี มีชัยไปกว่าครึ่ง ว่างแล้วก็ลองกลับไปเช็ค Leverage ของเราดูกันนะฮะ จะได้คำนวณ Lot size ได้ถูก และเทรดแบบไม่ต้องลุ้นล้างพอร์ตอีกต่อไป ต้องลองนะฮะ
และที่สำคัญ ฝึกฝนการเทรดให้ได้ทุกวัน รับรองว่ากำไรไม่ไกลเกินฝันแน่นอนฮะ แอดเอาใจช่วย แล้วอย่าลืม MM กันด้วยนะ ชีวิตการเทรดของเราจะยืนยาวและมั่นคง แอดฟันธงให้เลย
MARKET STRUCTURE เทรดเดอร์ต้องรู้ก่อนเทรดจริงMARKET STRUCTURE
เทรดเดอร์ต้องรู้ก่อนเทรดจริง
👯👯👯กลับมาพบเจอกันอีกเช่นเคยกับบทความที่เกี่ยวข้องกับเทคนิคการเทรดโดยตรงเลยฮะ ยิ่งโดยเฉพาะสำหรับมือใหม่หัดเทรดนี่ จัดว่าสำคัญมากๆเลย เพราะมันคือสิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้ และทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ มาครับ มาทำความรู้จักกับ MARKET STRUCTURE กันดีกว่า ว่ามันสำคัญอย่างไร
Market Structure โครงสร้างตลาด
โครงสร้างตลาดในการเทรด คือการทำความเข้าใจในเรื่อง หลักการการเชื่อมโยงกราฟใน Timeframe แต่ละ Timeframe ว่ามีความสัมพันธ์ุกันอย่างไร ไอ่เจ้าตัวนี้แหละที่ทำให้เราสามารถอ่านกราฟออก และทำให้การเทรดนั้นดูง่ายขึ้นเยอะเเลย
อันดับแรกต้องเข้าใจก่อนว่า กราฟแท่งเทียนนั้นมีคลื่นเวฟ และมีเทรนด์ในตัวของมันเอง อ้างอิงตามทฤษฎีดาว ( Dow Theory ) ซึ่งเป็นทฤษฎีอมตะ ทฤษฎีต้นแบบในการอ่านคลื่นกราฟ โดยสามารถจำแนกแบ่ง เทรนด์ในการเทรดคร่าวๆดังนี้
1. Primary Trend คือแนวโน้มเทรนด์หลัก เทรนด์ใหญ่ ซึ่งทำให้เราแยกกราฟออกได้ว่าเป็นแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง
2. Secondary Trend แนวโน้มรอง ส่วนใหญ่เทรนด์แนวโน้มรองมักจะเป็นเทรนด์ในกรอบระยะสั้น รวมไปถึงการพักตัวหรือสวิงเทรนด์ไซด์เวย์ และมีโอกาสที่ราคาจะไปต่อหรือกลับตัวได้เช่นกัน
3. Minor Trend แนวโน้มย่อย ส่วนใหญ่กรอบเทรนด์แนวโน้มย่อยมักจะอยู่ในกรอบ TF เล็กๆ วิ่งในระยะสั้นๆ และเป็นการย่อลงเพื่อไปต่อตามเทรนด์ในแนวโน้มใหญ่
แท่งเทียนของราคา ใน TF ต่างๆจึงมีความสัมพันธ์กันกับ Market structure
เปรียบเทียบการแบ่งแยก Timeframe เล็ก และใหญ่ ในกราฟคู่เงินเดียวกัน
การอ่านเทรนด์ออกจาก Timeframe (TF) หลายTimeframe จากใหญ่ ไป เล็ก จะทำให้เราอ่านกราฟออกและแบ่งแยกการเทรดได้ ว่าจะ Buy หรือ Sell และทำให้เราเห็นจุด โลว์ และ จุด ไฮ ( HH , HL, LL ) ที่ใกล้ที่สุด และโอกาสในการชนะก็ค่อนข้างได้เปรียบมากขึ้นอีกด้วย
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ง่ายๆเบสิค และทำให้หลายๆคนมองเห็นจุดเข้าที่ได้เปรียบได้มากขึ้น จากสัญญาณที่แตกต่างกันในหลาย TF แบบนี้เราก็จะเทรดได้ง่ายแถมกำไรดีขึ้นด้วยนี่สิ ว่าแล้วก็อย่าลืมเอาคู่การเทรดและ การอ่านสัญญาณจากแท่งเทียนมาฝึกกันดูนะครับ แอดบอกเลยว่า กำไรเพิ่มขึ้นแน่นอน แล้วอย่าลืม หมั่นฝึกฝนการเทรดให้ได้ทุกวัน ยิ่งเราเทรดบ่อยๆเราจะเก่งขึ้นเองครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM และสร้างแผนการเทรดที่ดีด้วยนะครับ จะช่วยทำให้เราแกร่งมากยิ่่งขึ้น และเจ็บน้อยลง แอดเอาใจช่วยนะครับ
Profit Gap ของ Mark Douglas กำไรจากช่องว่างราคาสไตล์ มารค์ ดักลาส
👋หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว สำหรับวิธีการเทรดในหลายรูปแบบ รวมถึง การทำกำไรจาก ช่องว่างของกำไร Profit Gap แต่บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดีอย่างไร
วันนี้แอดจะมาแนะนำให้รู้จักกับ Profit Gap การทำกำไรจากช่องว่างของราคา (Gap)ให้ได้รู้กัน ตามมาครับ
👋บุคคลที่เป็นต้นแบบ วิธีการเติมเต็ม Profit Gap จากช่องว่างของกำไร ก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลครับนั่นก็คือ มาร์ค ดักลาส (Mark Douglas) ผู้เขียนหนังสือขายดี Trading in the Zone นั่นเอง
👋ซึ่งในหนังสือเล่มนี้แหละ เขาได้บอกแนวทางและวิธีในการทำกำไรจากช่องว่างของราคาเอาไว้ด้วย ซึ่งบางคนหากได้อ่านแล้วจะต้องงุนงง และแปลกใจ เพราะ Profit Gap ของ มาร์ค ดักลาส (Mark Douglas) นั้นค่อนข้างแตกต่างออกไป ซึ่งไอ่เจ้านี่แหละ เป็นสิ่งที่เทรดเดอร์ทุกคนที่อยากประสบความสำเร็จ ต้องเติมเต็มมันให้ได้ ช่องว่างของกำไร ความหมายก็คือ ผลต่างระหว่างกำไรที่ควรจะได้ในการเทรด กับผลกำไรที่เกิดขึ้นจริงในการเทรดนั้น
ยกตัวอย่างเช่น
👋👋เราเจอสัญญาณซื้อในหุ้น PTT ที่ราคา 45 บาท และจุดขายออกนั้นควรจะอยู่ที่ 50 บาท กำไรที่ควรจะได้ในการเทรดครั้งนี้จึงอยู่ที่ 5 บาท แต่เมื่อเราเทรดจริง เราได้ซื้อหุ้น PTT ที่ราคาหุ้นละ 45.50 บาท และรีบร้อนขายไปก่อนที่ราคา 46.50 บาท กำไรที่เกิดขึ้นจริงคือ 1 บาท ส่วนต่างระหว่าง 5 บาทและ 1 บาทนี้เองที่เป็น Profit Gap
แล้วมันสำคัญยังไง???
👋สำคัญครับ มันสำคัญตรงที่ มันเป็นการวัดความแตกต่างระหว่าง "สิ่งที่ควรจะเป็น" กับ "สิ่งที่เป็นจริงๆ" ยิ่งเรามี Profit Gap ที่ห่างและบ่อยเท่าไหร่ นั่นแปลว่าเรามีการเทรดออกนอกแผนบ่อยครั้งมากขึ้น ใช้อารมณ์มากขึ้น และลดเหตุผลในการเทรดลง ก็คือใช้อารมณ์ ซึ่งผลร้ายของการที่มี Profit Gap มากๆ เข้าก็คือ เราจะกลายเป็นเทรดเดอร์ที่เทรดแบบไร้วินัย จนยากที่จะทำเงินจากตลาดได้ในระยะยาว เริ่มถึงบางอ้อกันแล้วใช่มั้ย
วิธีการเติมเต็ม Profit Gap
👋มาร์ค ดักลาส (Mark Douglas) แนะนำว่า สำหรับนักลงทุนที่ต้องการอยู่รอดในตลาดได้ยาวนาน ควรหาทางเติมเต็ม Profit Gap ของตนเองให้ได้มากที่สุด พูดอีกอย่างก็คือ ควรทำตามแผนหรือวิธีการลงทุนด้วยสติ ไม่ใช่ใช้อารมณ์ชักนำจนทำให้แผนเราเสีย
เมื่อทำตามแผนได้อย่างดีแล้ว เราจะสามารถนำผลลัพธ์จากการเทรดมาวิเคราะห์ได้ง่ายขึ้น หากเรามีผลการเทรดที่แย่ ก็เพียงแค่ปรับปรุงวิธีการใหม่ หากมีผลการเทรดที่ดี เราก็พัฒนามันให้ดีกว่าเดิมได้
👋👋👋 เห็นมั้ยครับว่าวิธีการคิดก่อนเริ่มจะเทรดนั้นสำคัญอย่างไร อย่าสักแต่ว่าอยากเทรดก็เทรดเลย ต้องดูแผนและรอเวลาก่อนในการทำ Profit Gap ก็เช่นกัน หมั่นฝึกฝนและเรียนรู้วิธีการเทรดให้มากๆ แต่อย่าพยายามทำกำไร แบบ Profit Gap กันมาก หากเราต้องเป็นนักเทรดเก็งกำไรระยะยาว สวัสดีครับ
EP34XAUUSD:Technical TREND LINE.only หารอบเทรดในแต่ละรอบตามแผนครับหารอบเทรดต้นรอบปลายรอบในแต่ละรอบเป็นรอบๆไป
เมื่อเรามีรอบหลักชัดเจนต่อไปหารอบรอง ส่วนรอบย่อย รอบอย่างย่อย รอบยิ๊บย่อย เราจะไปเทรดที่ไทม์เฟรมเล็กกว่าต่อไป
TF8H ที่ผมวาดและวิเคราะห์ไว้ตั้งแต่ Wed10Jun'24 04:00 ครับ
เงื่อนไขการอดทนง่ายมากเมื่อปรากฏรอบเทรดชัดเจนให้วาดรอบครอบแล้วทำการเทรดในรอบ เทรดสั้นในรอบ เทรดยาว buy on dip กล่าวคือ รอบหลัก รอบรอง รอบย่อย รอบอย่างย่อย รอบยิ๊บย่อย ของหน้าเทรดที่เราได้วางแผนไว้นั้นเองครับ
แค่นี้เราก็แบ่งรอบการเทรดได้อย่างชัดเจนครับ
ที่ผมแชร์เป็นไอเดียการวาดแผน หา รอบเทรดไม่ว่าจะเป็น ปลายรอบหรือต้นรอบ อย่างง่ายโดยใช้แค่เส้นเทรนมาวาดๆแล้วก็จะได้ต้นรอบเพื่อเข้าซื้อและปลายรอบไว้ทำกำไร
ในไทม์เฟร์ม5นาทีง่ายเลย สังเกตุกลางรอบครับเส้น LOC
***LOC ย่อมาจาก Line of Control คือ เส้นศูยน์กลางตามแนวของราคาที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุด***
ในวันที่ 12-13-14-15 ของไทม์เฟร์ม15นาที ราคาได้ลงมาที่จุด POC ลงทะลุแล้ว Jump Up ทันที
สรุปว่า : การวาดเทรนอย่างง่ายได้ผล 1000% 1000000% โดยเป็นพื้นฐานของการวิเคราะห์นั้นเอง
"รอบหลัก รอบรอง รอบย่อย รอบอย่างย่อย รอบยิ๊บย่อย" คิดคำใช้เรียกง่ายๆอย่างง้่ยให้ให้เข้าใจง่ายๆขึ้นมาเองไม่มีในตำราใหนนะเพื่อว่าเทรดไปอมยิ้มไป 55555
EP34XAUUSD:Technical TREND LINE.only หารอบเทรดในแต่ละรอบตามแผนครับหารอบเทรดต้นรอบปลายรอบในแต่ละรอบเป็นรอบๆไป
เมื่อเรามีรอบหลักชัดเจนต่อไปหารอบรอง ส่วนรอบย่อย รอบอย่างย่อย รอบยิ๊บย่อย เราจะไปเทรดที่ไทม์เฟรมเล็กกว่าต่อไป
TF8H ที่ผมวาดและวิเคราะห์ไว้ตั้งแต่ Wed10Jun'24 04:00 ครับ
เงื่อนไขการอดทนง่ายมากเมื่อปรากฏรอบเทรดชัดเจนให้วาดรอบครอบแล้วทำการเทรดในรอบ เทรดสั้นในรอบ เทรดยาว buy on dip กล่าวคือ รอบหลัก รอบรอง รอบย่อย รอบอย่างย่อย รอบยิ๊บย่อย ของหน้าเทรดที่เราได้วางแผนไว้นั้นเองครับ
แค่นี้เราก็แบ่งรอบการเทรดได้อย่างชัดเจนครับ
ที่ผมแชร์เป็นไอเดียการวาดแผน หา รอบเทรดไม่ว่าจะเป็น ปลายรอบหรือต้นรอบ อย่างง่ายโดยใช้แค่เส้นเทรนมาวาดๆแล้วก็จะได้ต้นรอบเพื่อเข้าซื้อและปลายรอบไว้ทำกำไร
ในไทม์เฟร์ม5นาทีง่ายเลย สังเกตุกลางรอบครับเส้น LOC
***LOC ย่อมาจาก Line of Control คือ เส้นศูยน์กลางตามแนวของราคาที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุด***
ในวันที่ 12-13-14-15 ของไทม์เฟร์ม15นาที ราคาได้ลงมาที่จุด POC ลงทะลุแล้ว Jump Up ทันที
สรุปว่า : การวาดเทรนอย่างง่ายได้ผล 1000% 1000000% โดยเป็นพื้นฐานของการวิเคราะห์นั้นเอง
"รอบหลัก รอบรอง รอบย่อย รอบอย่างย่อย รอบยิ๊บย่อย" คิดคำใช้เรียกง่ายๆอย่างง้่ยให้ให้เข้าใจง่ายๆขึ้นมาเองไม่มีในตำราใหนนะเพื่อว่าเทรดไปอมยิ้มไป 55555
Pareto Principle กฎ 80/20 ทำน้อยแต่ได้มากPareto Principle
กฎ 80/20 ทำน้อยแต่ได้มาก
👏👏👏 สวัสดีครับ กลับมาพบเจอกันในบทความรอบโลกกันอีกเช่นเคย วันนี้แอดพาทุกท่านไปรู้จักกับ กฎ 80/20 ที่ช่วยให้เราจัดลำดับความสำคัญและการบริหารเงิน บริหารเวลาได้แบบคุ้มค่าที่สุด มันเป็นอย่างไร แล้วใช้อย่างไร ตามมาอ่านบทความด้านล่างได้เลยครับ
กฎ 80:20 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กฎพาเรโต” (Pareto principle) หมายถึงผลลัพธ์ในสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น 80 % โดยมาจากตัวแปร 20 %
หลักการพาเรโตเป็นเครื่องมือทางสถิติที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากการสังเกตการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาลี นามว่า Vilfredo Pareto เมื่อปี 1906 ว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ในอิตาลีมาจากประชากรจำนวน 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งปรากฏว่าอัตราส่วน 80:20 นี้เป็นสามารถใช้ได้จริงและเกิดขึ้นจริงในวงการอื่นๆด้วยเช่นกัน และยังสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี
แต่หลักการพาเรโตนั้นมักถูกเข้าใจผิดว่า หมายถึง การทำงานน้อยๆ ผลิตน้อยๆ และใช้เวลาน้อยๆ แต่ได้ผลลัพธ์ที่มาก
จริงๆแล้วหลักการพาเรโต หมายถึง ทำงานอย่างฉลาดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและมีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้เหลือเวลาไว้ไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์
สิ่งที่สำคัญที่สุดของหลักการ 80/20 ก็คือ ความสามารถในการวางเป้าหมายและทำให้ได้ แต่ขั้นตอนในการทำอาจไม่ต้องทำถึง 100 % หรือ 80 % แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นได้มากถึง 80-100 % ซึ่งวิธีการที่ว่าก็คือ 20% ของการทำงานนั่นเอง
“การวางแผนจึงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับหลักการ 80/20 “
👉👉👉 หรือจะให้พูดง่ายๆก็คือการลงแรงด้วยทุน เพียงน้อยนิด 20 % แต่ได้ผลลัพธ์หรือ กำไร มากถึง 80 % และที่สำคัญ ไอ่เจ้า กฎ 80 /20 ที่ว่านี้ยังสามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุกๆสถานการณ์จนอาจเรียกได้ว่าเป็น “กฎครอบจักรวาล” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริหารจัดการงาน ความสัมพันธ์และการติดต่อกับผู้คน หรือแม้แต่ในเรื่องการดูแลตัวเอง เช่น การกิน การนอน การออกกำลังกาย เป็นต้น
6 วิธีในการนำหลักการพาเรโต ไปใช้
1. ระบุงานที่สำคัญจริงๆที่ควรทำก่อนเป็นอันดับแรก เพราะในชีวิตจริงงานด่วนงานรีบ แต่ไม่สำคัญก็มีเยอะและแทรกงานสำคัญไปหมดเลย ทำให้เราสับสนได้ง่ายๆ
2. หาให้เจอว่ามีความสัมพันธ์ทางธุรกิจใด ที่ส่งผลให้องค์กรของคุณไปข้างหน้าได้ไกลกว่าเดิม และงานไหนที่ให้ผลตอบแทนและผลลัพธ์ที่คุ่มค่ามากที่สุด เพราะเครือข่ายความสัมพันธ์ที่ดี ทำให้การดำเนินงานง่ายและสะดวกขึ้นและเจริญขึ้นได้ง่าย
3. วางแผนการทำงาน อะไรที่ทำให้งานไม่เดิน กำจัดสิ่งรบกวน 20% เพื่อโฟกัสกับงาน 80 % หาวิธีหรือกระบวนการทำงานที่สามารถลดบางขั้นตอนที่ไม่จำเป็นออกไป
4. ไม่ต้องมีเป้าหมายเยอะ มีแค่เป้าหมายเดียวแล้วบรรลุเป้าหมายนั้นให้ได้ เพราะการมีเป้าหมายเยอะทำให้ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรคือเป้าหมายที่สำคัญจริงๆ เพราะทุกอย่างดูเหมือนจะสำคัญไปหมด ไม่รู้จะโฟกัสอะไรก่อน
5. เวลาในการทำงานก็สำคัญ หาให้เจอว่างานอะไรที่ใช้เวลาไปกับมันเยอะ แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เช่นการตอบอีเมลล์ลูกค้าเยอะๆหลายฉบับ แทนที่จะใช้เวลาเพียง 20 นาทีในการเจรจาหารือกับลูกค้าหรือที่ปรึกษา เพื่อจบในครั้งเดียว
6. งานที่ไม่ถนัด อย่าลังเลที่จะมองหาความช่วยเหลือ เป็นไปไม่ได้ที่คนเพียงคนเดียวจะถนัดทุกอย่าง และเป็นไปไม่ได้เช่นกันที่งานหนึ่งงานจะสำเร็จได้ด้วยคนเพียงคนเดียว โดยเฉพาะหากเป็นงานเร่งด่วนจะยิ่งส่งผลให้งานนั้นเกิดข้อผิดพลาดได้ง่ายขึ้นด้วย ฉะนั้นอย่าลังเลที่จะมองหาความช่วยเหลือจากคนที่ถนัดหรือมีเวลามากกว่าเพื่อให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับกฎ 80/20 ของพาเรโต ที่สามารถนำไปใช้และปฎิบัติได้จริง เพราะมันเป็นค่าเฉลี่ยที่เกิดขึ้นจริงๆในหลายๆองค์กรและชีวิตประจำวัน ซึ่งเราก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการเทรดได้ด้วยเช่นกันนะฮะ เราเอาไปใช้กันดูนะฮะ จัดระเบียบงานและความสำคัญให้ดี รับรอง่าชีวีสุขสันต์แน่นอนครับผม
สนับสนุนบทความนี้ด้วยการส่งเพชร 💎ส่งดาว🌟 และกดติดตาม
Risk of Ruin หรือ ความเสี่ยงของการหมดตัวRisk of Ruin หรือ ความเสี่ยงของการหมดตัว เป็นแนวคิดทางคณิตศาสตร์ที่ใช้ประเมินโอกาสที่นักลงทุนหรือผู้เล่นพนันจะสูญเสียเงินทุนทั้งหมด แนวคิดนี้มีประโยชน์ในการวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุนและการพนัน ช่วยให้นักลงทุนและผู้เล่นพนันตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด
สูตรคำนวณ Risk of Ruin
สูตร Risk of Ruin ทั่วไปมีดังนี้:
R = (1 - f) ^ (b / (a - f))
โดยที่:
R คือ ความเสี่ยงของการหมดตัว
f คือ อัตราส่วนความสำเร็จ (โอกาสชนะ)
a คือ อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อการเดิมพันที่ชนะ
b คือ อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อการเดิมพันที่แพ้
จากสูตรนี้ เราสามารถเห็นได้ว่า:
ความเสี่ยงของการหมดตัวจะลดลงเมื่ออัตราส่วนความสำเร็จ (f) เพิ่มขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง โอกาสสูญเสียเงินทุนทั้งหมดจะลดลงเมื่อโอกาสชนะเดิมพันเพิ่มขึ้น
ความเสี่ยงของการหมดตัวจะลดลงเมื่ออัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อการเดิมพันที่ชนะ (a) เพิ่มขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง โอกาสสูญเสียเงินทุนทั้งหมดจะลดลงเมื่อผลตอบแทนจากการชนะเดิมพันเพิ่มขึ้น
ความเสี่ยงของการหมดตัวจะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อการเดิมพันที่แพ้ (b) เพิ่มขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง โอกาสสูญเสียเงินทุนทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นเมื่อผลตอบแทนจากการแพ้เดิมพันเพิ่มขึ้น
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้
นักลงทุนต้องการประเมินความเสี่ยงของการหมดตัวจากกลยุทธ์การลงทุนใหม่ กลยุทธ์นี้มีอัตราส่วนความสำเร็จ 55% (f = 0.55) อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อการลงทุนที่ชนะ 10% (a = 0.10) และอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อการลงทุนที่แพ้ -5% (b = -0.05)
โดยใช้สูตร Risk of Ruin:
R = (1 - 0.55) ^ (0.05 / (0.10 - 0.55)) ≈ 0.202
จากผลลัพธ์นี้ นักลงทุนมี ความเสี่ยงของการหมดตัว ประมาณ 20.2% หมายความว่า มีโอกาส 20.2% ที่นักลงทุนจะสูญเสียเงินทุนทั้งหมดจากกลยุทธ์นี้
สรุป
Risk of Ruin เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับนักลงทุนและผู้เล่นพนัน ช่วยให้นักลงทุนและผู้เล่นพนันประเมินความเสี่ยงของกลยุทธ์และตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด
ข้อควรระวัง
สูตร Risk of Ruin เป็นเพียงโมเดลทางคณิตศาสตร์ ไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อความเสี่ยงของการหมดตัว เช่น จิตวิทยาของนักลงทุนหรือผู้เล่นพนัน สภาพตลาด และเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
EP26XAUUSD : Technical TREND LINE,Very easy Simple Analysis etc.จากการวาดเทคนิคอลตั้งแต่ต้น (ขิงเบาๆ)
แผนเดิมไอเดียเดิมยังใช้ได้ผลดีถึงแม้จะลบออกวาดแนวทางใหม่หลายร้อยรอบพันรอบ รอบๆ แล้วก็ตาม จากเดิมที่ใช้ Trend line ต่อมามีเพิ่มเติม Moving Average line และสุดท้ายที่ขาดไม่ได้เป็น Dow Theory มาประกบ ทั้งสามอย่างนี้ก็สามมารถก่อให้เกิดไอเดียแผนเทรดมากมายแล้วขอแค่ให้เรา ฝึกแล้วก็ฝึกและฝึกให้ชำนาญให้ได้นานๆ...ตลอดๆ ทำซ้ำ ทำซ้ำ ทำซ้ำ เรื่อยๆ ฝึกสิ่งง่ายๆสามสิ่งนี้ให้รู้ถึงแก่นกันไปข้างหนึ่งเลย
พอเราฝึกสามสิ่งนี้ให้ชำนาญรู้ซึ้งถึงแก่นแล้วต่อไปเราก็นำไปต่อยอดนั้นเองครับ(แต่ต้องให้ชำนาญรู้ถึงแก่นก่อนนะแล้วค่อยไปต่อยอดไม่อย่างนั้น จะกลับกลายเป็นยอดแย่ได้) อ้อๆพอมีสามสิ่งนั้นแล้วขอแถมอีกสิ่งคือ Timing cycle ***Timing cycle บ่งบอกทุกสิ่งอย่างไม่ว่าจะเป็น Timing cycle ของสินทรัพย์ที่เราใช้หรือ Timing cycle ของเราเองและอื่นๆที่เรา สรร มา***
รวมให้แล้วจาก 4 สิ่ง
Trend line
Moving Average line
Dow Theory
Timing cycle
หน้าเทรดไทม์เฟร์ม5นาทีที่ขยายมาจากไทม์เฟรม15นาที
โพสต์ต่อไปจะเป็นไอเดียที่พัฒนาต่อยอดจากไอเดียเดิมนี้ Technical TREND LINE,Very easy Simple Analysis etc. ที่ผมขิงมาตลอด26EP ต่อจากEPนี้จะเป็นการรวมรวมเอาความรู้ที่สั่งสมมาจาก GOOGLE FACEBOOK YOUTUBE ไลฟ์ความรู้ต่างๆมาเสริมไอเดียของเรากัน เรื่องต่อไปเป็นเรื่อง (ตั้งชื่อโพสต์อย่างไรให้คนมั่นใส 5555 ยอกๆ)
ข้อสังเกตุ
Trend line ราคาเคลื่อนจากต้นเทรนไปตามเทรนแล้วเกิดอย่างหนึ่งอย่างใดที่ปลายเทรน
Moving Average line ราคาเคลื่อนจากต้น MA ไปตาม MA แล้วเกิดอย่างหนึ่งอย่างใดที่ปลาย MA (อยู่บนอยู่ล่าง)
Dow Theory ราคา ยก low ยก high,ราคา ต่ำ low ต่ำ high
Timing cycle ของสินทรัพย์ที่เราใช้และของเราเอง
Cycle Sniper IndicatorCycle Sniper Indicator
👌 อินดิเคเตอร์คู่ใจ หากใครที่ชื่นชอบการเทรดสั้นแบบ พูดน้อยต่อยหนัก Sniper แล้วหละก็ บอกเลยว่า คุณต้องไม่พลาดอินดี้ตัวนี้
👌วันนี้แอดมีของดีของเด็ด มาฝากเพื่อนๆชาวเทรดเดอร์กันครับ เป็นอินดิเคเตอร์คู่ใจเหมาะสำหรับสายเล่นสั้น สายโหด เข้าเร็วออกเร็ว ตัวนี้แอดนั่งแกะออกมา จากอินดิเคเตอร์ที่เขาทำขายกัน อาจไม่เหมือนร้อยเปอร์เซนต์ แต่บอกเลยว่าเด็ดและดี ไม่แพ้กันแน่นอน
วิธีใช้และการทำงาน
👌👌ส่วนใหญ่ รูปแบบการทำงานและประมวลผลจะมาจากเส้นค่าเฉลี่ยโมเมนตั้มเป็นส่วนใหญ่ครับ เช่น CCI, ATR, MFI โดยการนำพวกเส้นเหล่านี้มาผสมกัน ใสค่าตัวเลขความน่าจะเป็นลงไป ทีนี้ก็ได้ค่าความน่าจะเป็น ให้เราได้เห็นกันแล้ว
👌👌 แอดต้องเกริ่นนำไว้ก่อน แต่แอดแกะสูตรของเขาให้เราเอาไปลองใช้กัน เผื่อจะเข้าตาและโดนใจใครบ้างไม่มากก็น้อย แถมฟรีด้วย ใช้อินดี้เบสิกที่เรามีนี่แหละ เอามาดัดแปลง ใช้ดีไม่แพ้กันเลยฮะ
การตั้งค่า
CCI 14
ATR 50
MFI period 14
หลังจากตั้งค่าเสร็จแล้ว มาดูวิธีใช้กัน
1. อันดับแรกให้ดูเส้น MFI เส้นสีฟ้าเป็นหลัก เพื่อดูการตัดกันของเส้น เพื่อทำการเข้าออเดอร์
ตัดขึ้นคือขึ้น BUY
ตัดลงคือลง SELL
2. ATR เส้นนี้ไว้ดูการตัดกันของเส้น
3. เส้นสุดท้าย CCI เอาไว้ดูแนวโน้ม แล้วดูแท่งเทียนประกอบตามด้วยนะครับ ก่อนเข้าออเดอร์ บอกเลยว่าเล่นได้ทุกทามเฟรม แต่ที่แนะนำ 15นาที จนถึง 1H กำลังดีครับ
หากราคาอยู่เหนือเส้น 100 เป็นขาขึ้น เน้นเข้า BUY
หากราคาอยู่ต่ำกว่า -100 เป็นขาลง เน้นเข้า SELL
**** ห้ามงงนะ ค่อยๆจำไปครับ อินดี้จัดว่าดี แอดชอบใช้อยู่นะ แถมใช้เวลาแกะโคํดตั้ง2 วันแหนะ ของดียังมีในโลกครับ ลองปรับตั้งค่าเอาไปใช้กันครับ
สนับสนุนบทความนี้ด้วยการส่งเพชร 💎ส่งดาว🌟 และกดติดตาม
Scalping in 1 min WIN 70% Scalping in 1 min WIN 70%
กลยุทธิ์การเทรดสั้น 1 นาที กำไร 70%
👌 หลายๆคนที่ชื่นชอบการเทรดสั้น อาจจะต้องตาลุกวาวเมื่อได้อ่านบทความนี้
หลายเทคนิคสำหรับการเทรดสั้นนั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 5 ถึง 15 นาที ขึ้นไป แต่บทความนี้ แอดจะมาแชร์วิธีการเทรดสั้นแบบชนิดที่เรียกว่า สั้นจริงๆ เพียงแค่ 1นาที เท่านั้น มีเทคนิคและทริคการเทรดแบบไหนกัน มาตามอ่านครับ
👊1. เตรียมคำนวน นับจุดให้เป็นก่อน ยกตัวอย่างง่ายๆเลย
EURUSD 0.98782 ราคา วิ่งขึ้นไป 0.98792 ( 98782- 98792 = 10 )
เท่ากับว่า ราคาต่างกัน 10 จุด ให้เรียกจุด เป็น PIP ครับ = 10 PIP ไม่งงนะ
👊2. กรอบการเทรด 1 นาที TF M1 แน่นอนเลยครับ จะเล่น 1 นาที ก็ต้องมาที่กรอบ 1 นาที แต่เราจะไปดูกรอบ 5 นาที ถึง 15 นาทีก่อนเพื่อสร้างกรอบเวลาในการเล่น และกำหนดกรอบการเล่น แต่เวลาเข้าออเดอร์ต้องไปกรอบ 1 นาทีเท่านั้น
👊3. เก็บกำไร 10-20 PIP แต่บางคนอาจเก็บ 20-50 ก็ได้แต่จะให้ดีไม่เก็บเกิน 50 PIP ครับ ส่วนตัวแอด เก็บที่ 10 PIP ครับ
👊4. เลือกเวลาในการเทรด ทริค อันนี้ แอดแนะนำให้เล่นช่วงไซด์เวย์ครับ
👊5. ตีเส้น แนวรับต้าน และกรอบไซด์เวย์ให้เรียบร้อย
👊6. อินดิเคเตอร์ที่เลือกใช้ Stochastic 5-3- 3 , EMA5 , EMA50, EMA100
👊 ให้ดูตามรูป แอดจะตีกรอบไซด์เวย์เอาไว้แล้ว และวัดระยะสวิงการวิ่งในกรอบไซด์เวย์อยู่ที่ 58 PIP เข้าสูตรเราเลย เก็บแค่ 10 PIP พอเลย
👊การออก LOTSIZE ลอทเก็บไม้ใหญ่นะครับเริ่มที่ 0.1 หรือ 1.0 ก็เอาที่ทุนเราไหวนะครับ ทุนต้อง100 เหรียญขึ้นไป คำนวนทุนกำไร เผื่อค่าความเสียหายที่ 7-10 PIP ต่อการเทรด 1 ครั้ง
วิธีการเทรด
1. ดูสัญญาณกลับตัวของเส้น STO ตัดขึ้นหรือตัดลง ที่ ตำแหน่ง 20 (รอตัดขึ้นเพื่อเข้าบาย )หรือ 80 (รอตัดลงเพื่อเข้าเซล) แต่ต้องอ้างอิงเส้น EMA ว่าเป็นเทรนขาขึ้น หรือ เทรนขาลง ด้วย
2. ดูเส้น EMA เป็นหลัก เมื่อเส้น EMA 50 ตัดลงผ่านเส้น EMA 100 ถือเป็นขาลง ถ้าอยู่เหนือเส้น ก็จัดว่าเป็นขาขึ้น (จากในรูปเป็นขาลงนะครับ)
3.เมื่อได้แนวทางการไปของราคาแล้วก็ให้ล๊อคออเดอร์ หรือ แพนดิ้งตามกรอบเส้นแนวรับแนวต้าน ภายในกรอบไซด์เวย์
4. เก็บกำไรโดยการตั้ง TP ที่ 10 PIP
👉👉👉ทริคนี้บอกเลย ไม่ง่ายและก็ไม่ยาก ต้องใช้ไหวพริบพอตัวอยู่ มือไวใจเร็วให้คล่องๆครับ และจะให้ดี ทดสอบที่พอร์ตเดโม่ก่อนนะ อย่าเผลอลองจริงหละ ถ้าดีก็รวยจริง แต่ถ้าไม่ทันก็จนเร็วนะครับ ค่อยเป็นค่อยไป ฝึกให้คล่องแล้วจะเก่งเอง
"สนับสนุนบทความนี้ด้วยการส่งเพชร 💎ส่งดาว🌟 และกดติดตาม ใน Blockdit ของเรา
Correlation ตลาดหุ้นไทยและตลาดอื่นๆSET:SET
เปรียบเทียบ correlation ของตลาดหุ้นไทยกับ
- ค่าเงิน (USDTHB/CNH)
- ตลาดต่างประเทศ (Hang Seng Index:HSI)
- Sentiment ตลาด (VIX)
- แนวโน้มบาทอ่อน มาพร้อมกับตลาดขาลง - สอดคล้องกับตัวเลขยอด Net sell ของต่างชาติ
- ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ตลาดไทยเคลื่อนไหวไปในทิศทางกับ Hang Seng มากที่สุด แต่เริ่มมี divergence เพราะ Hang Seng rebound จาก low มา 20%+ แต่หุ้นไทยยังทำ new low ของปีเรื่อยๆ
- ถึง mood ตลาดต่างประเทศจะดีมาก (VIX โซน 12) และ Hang Seng ฟื้น หุ้นไทยก็แทบไม่ได้รับ sentiment บวก
ดูเหมือน foreign net sell จะยังขายแล้ว ขายอยู่ ขายต่อ ถ้า foreign หยุดขายเมื่อไหร่ เมื่อนั้นหุ้นไทยคงมีโอกาสฟื้นได้บ้าง
The River Trading SystemThe River Trading System
👌ระบบเทรดแม่น้ำที่สายเทรดทองไม่ควรพลาด ที่ใช้ง่ายไม่ยุ่งยากซับซ้อน แถมจุดเข้าจุดออกก็แสนจะเบสิค แต่แม่นเว่อร์ถึง 95%
👌The River Trading System เป็นระบบเทรดระบบแม่น้ำ ที่อาศัยหลักการเข้าออเดอร์แบบตามเทรนด์ใหญ่ Following Trend
และเหมาะมากๆกับการเทรดสั้นแบบM scalping ใน Time Frame 5M-15 และที่สำคัญเทรดได้ทุกคู่เงิน รวมไปถึงทองด้วย ตัวนี้เหมาะมากสำหรับเทรดเดอร์สายขุดทอง
Indicators:อินดี้ที่ใช้
เส้น MA (Moving Average) = 21 , 62 , 85 สีอะไรก็ได้ อย่าให้ซ้ำกัน
เส้น Envelope 62 (0.05) สีอะไรก็ได้ อย่าให้ซ้ำกัน
วิธีการใช้งาน
เทรดขาขึ้น
1. เมื่อเส้น MA 21 ข้ามตัดขึ้นผ่านจากด้านล่าง ตัดผ่านเส้น MA 62 และ 85 และเส้น Envelope
เทรดขาลง
1.เมื่อเส้น MA 21 ข้ามตัดลงผ่านจากด้านล่าง ตัดผ่านเส้น MA 62 และ 85 และเส้น Envelope
RE-Entry: ซื้อเพิ่ม !!
1. เมื่อราคาหวนเข้าสู่โซนเส้น Envelope
จุดออก Exit position
ให้ตั้ง SL (Stop Loss) 5 pips ต่ำกว่า หรือเหนือกว่าเส้น Envelope
เป้าหมายกำไร Profit Target Ratio 1:3
จุดปิดกำไร บางครั้งใช้ เส้น pivot level เข้ามาช่วยได้ด้วย
อย่าลืมใช้จุดแนวรับแนวต้านเป็นตัวช่วยหาจุดเข้าและจุดออกนะ
หากขี้เกียจตั้งค่าก็ใช้อินดิเคเตอร์จาก tradingview ได้เลย ที่เป็นตัว rainbow มีให้เลือกใช้เยอะมาก
Scalping in 1 min WIN 70% กลยุทธิ์การเทรดสั้น 1 นาที กำไร 70%
วิธีการเทรดสั้นแบบชนิดที่เรียกว่า สั้นจริงๆ เพียงแค่ 1นาที เท่านั้น ทริคดีๆในการเทรด
👌 Scalping หรือ การเทรดเก็งกำไรระยะสั้น ที่ใครๆก็ชื่นชอบ เพราะมันทำกำไรได้เร็วและไม่เครียดนาน ใช่ครับ ไม่เครียดนานจริงๆ เครียดแป๊บเดียวเอง กำไรก็ดีใจกันไป แต่ถ้าขาดทุนก็เศร้ากันไป นั่นแหละฮะ
แต่จะดีกว่ามั้ย ถ้าเรามีทริคเด็ดๆ สำหรับการเทรดสั้น เพื่อที่จะไม่ต้องเศร้ากันบ่อยๆ ทีนี้มาดูกันครับ ว่าต้องเตรียมตัวกันอย่างไรบ้าง ไปดูกันเลย
👊1. เตรียมคำนวน นับจุดให้เป็นก่อน
👊2. กรอบการเทรด 1 นาที TF M1 แน่นอนเลยครับ จะเล่น 1 นาที ก็ต้องมาที่กรอบ 1 นาที แต่เราจะไปดูกรอบ 5 นาที ถึง 15 นาทีก่อนเพื่อสร้างกรอบเวลาในการเล่น และกำหนดกรอบการเล่น แต่เวลาเข้าออเดอร์ต้องไปกรอบ 1 นาทีเท่านั้น
👊3. เก็บกำไร 10-20 PIP แต่บางคนอาจเก็บ 20-50 ก็ได้แต่จะให้ดีไม่เก็บเกิน 50 PIP ครับ ส่วนตัวแอด เก็บที่ 10 PIP ครับ
👊4. เลือกเวลาในการเทรด ทริค อันนี้ แอดแนะนำให้เล่นช่วงไซด์เวย์ครับ
👊5. ตีเส้น แนวรับต้าน และกรอบไซด์เวย์ให้เรียบร้อย
👊6. อินดิเคเตอร์ที่เลือกใช้ Stochastic 5-3- 3 , EMA5 , EMA50, EMA100
👊 ตีกรอบไซด์เวย์เอาไว้แล้ว และวัดระยะสวิงการวิ่งในกรอบไซด์เวย์ เก็บแค่ 10 PIP พอเลย
👊การออก LOTSIZE ลอทเก็บไม้ใหญ่นะครับเริ่มที่ 0.1 หรือ 1.0 ก็เอาที่ทุนเราไหวนะครับ ทุนต้อง100 เหรียญขึ้นไป คำนวนทุนกำไร เผื่อค่าความเสียหายที่ 7-10 PIP ต่อการเทรด 1 ครั้ง
วิธีการเทรด
1. ดูสัญญาณกลับตัวของเส้น STO ตัดขึ้นหรือตัดลง ที่ ตำแหน่ง 20 (รอตัดขึ้นเพื่อเข้าบาย )หรือ 80 (รอตัดลงเพื่อเข้าเซล) แต่ต้องอ้างอิงเส้น EMA ว่าเป็นเทรนขาขึ้น หรือ เทรนขาลง ด้วย
2. ดูเส้น EMA เป็นหลัก เมื่อเส้น EMA 50 ตัดลงผ่านเส้น EMA 100 ถือเป็นขาลง ถ้าอยู่เหนือเส้น ก็จัดว่าเป็นขาขึ้น (จากในรูปเป็นขาลงนะครับ)
3.เมื่อได้แนวทางการไปของราคาแล้วก็ให้ล๊อคออเดอร์ หรือ แพนดิ้งตามกรอบเส้นแนวรับแนวต้าน ภายในกรอบไซด์เวย์
4. เก็บกำไรโดยการตั้ง TP ที่ 10 PIP
👉👉👉ทริคนี้บอกเลย ไม่ง่ายและก็ไม่ยาก ต้องใช้ไหวพริบพอตัวอยู่ มือไวใจเร็วให้คล่องๆครับ และจะให้ดี ทดสอบที่พอร์ตเดโม่ก่อนนะ อย่าเผลอลองจริงหละ ถ้าดีก็รวยจริง แต่ถ้าไม่ทันก็จนเร็วนะครับ ค่อยเป็นค่อยไป ฝึกให้คล่องแล้วจะเก่งเอง
เงินพุ่งแซงทอง! อะไรคือเหตุผล และทำไมเงินถึงน่าสนใจกว่าทองในตอนนการวิเคราะห์ข้อความ: การพุ่งทะยานของราคานเงินแซงหน้าทองคำ
ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 ราคานเงินพุ่งสูงขึ้นถึง 23.77 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ เพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อนหน้า สร้างความฮือฮาให้กับนักลงทุนทั่วโลก ข้อความนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยหลักที่ผลักดันราคานเงินให้พุ่งสูงขึ้น รวมถึงการเปรียบเทียบกับทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนมักมองหาในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน
ปัจจัยหลักที่ผลักดันราคานเงิน
1.) ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจถดถอย: ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น เงิน ทำให้ความต้องการเงินเพิ่มขึ้น
2.) อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น: เมื่อเงินสดสูญเสียมูลค่าเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เงินกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการรักษามูลค่าของเงิน
3.) ความต้องการทางอุตสาหกรรม: เงินมีความต้องการสูงในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ซึ่งส่งผลให้ราคานเงินเพิ่มขึ้น
4.) ความอ่อนแอของดอลลาร์สหรัฐ: เมื่อเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ เงินจึงน่าสนใจยิ่งขึ้นสำหรับนักลงทุนต่างประเทศ
5.) ราคาทองคำที่สูงเกินไป: นักลงทุนบางคนอาจมองว่าราคาทองคำแพงเกินไป จึงหันมาลงทุนในเงินแทน เนื่องจากเงินก็เป็นหลุมหลบภัยที่ดีเช่นกัน
ปัจจัยที่กดดันราคาทองคำ
1.) นโยบายการเงินของธนาคารกลาง: การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้ออาจกดดันราคาทองคำ
2.) ความต้องการเครื่องประดับ: แม้ว่าทองคำจะเป็นที่นิยมสำหรับเครื่องประดับ แต่ความต้องการเครื่องประดับทองคำอาจจะไม่ได้เติบโตมากนัก
การวิเคราะห์
การพุ่งขึ้นของราคานเงินในช่วงเวลานี้สะท้อนถึงความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยในภาวะที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความไม่แน่นอน นักลงทุนเลือกเงินเป็นทางเลือกในการป้องกันความเสี่ยงจากการสูญเสียมูลค่าของเงินสดเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ความต้องการเงินในอุตสาหกรรมต่างๆ ยิ่งทำให้ราคานเงินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ในขณะเดียวกัน ราคาทองคำกลับได้รับแรงกดดันจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกและความต้องการเครื่องประดับทองคำที่ไม่เติบโตมากนัก นักลงทุนบางคนจึงมองหาทางเลือกอื่นในการลงทุน เช่น เงิน ที่มีความสามารถในการป้องกันความเสี่ยงได้เช่นกัน
การเปรียบเทียบระหว่างเงินและทองคำในบริบทนี้ ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจถึงปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกลงทุน และสามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดปัจจุบัน
Fibonacci Extension vs. Fibonacci RetracementFibonacci Extension vs. Fibonacci Retracement
By PapaFinanceTalk
March 10, 2024
______________________________
Fibonacci Extension and Fibonacci Retracement are two essential tools employed by traders to forecast price movements. While both utilize Fibonacci ratios, they serve distinct purposes and are applied differently. This article provides a comprehensive analysis of their key differences and practical applications.
______________________________
1. Fibonacci Extension
Fibonacci Extension projects potential price targets beyond the end of a price trend. It utilizes the length of the initial price swing or trend to estimate subsequent price extensions after a retracement or pullback. Commonly used Fibonacci Extension levels include 127.2%, 161.8%, 200%, 261.8%, and 423.6%.
Key Features :
- Predicting Continuation Price Targets: Fibonacci Extension leverages the initial price swing's length to approximate subsequent price targets.
- Trend Analysis: It is utilized in trending markets to anticipate where a trend may extend after a retracement or consolidation phase.
- Identifying Profit-Taking Points: Fibonacci Extension levels can serve as potential profit-taking or exit points for existing trades.
______________________________
2. Fibonacci Retracement:
Unlike Fibonacci Extension, Fibonacci Retracement focuses on identifying potential reversal or retracement points within a price trend. It utilizes the length of previous price swings to estimate areas where the current trend may pause or reverse. Commonly used Fibonacci Retracement levels include 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8%, and 78.6%.
Key Features:
- Identifying Reversal or Retracement Points: Fibonacci Retracement helps traders pinpoint areas where a price trend may reverse or retrace based on the length of previous price swings.
- Corrective Phase Analysis: It is commonly used during corrective phases within a price trend to anticipate potential reversal levels.
- Trade Signal Confirmation: Fibonacci Retracement levels can serve as confirmation points for trade signals generated by other technical indicators or price action analysis.
______________________________
Key Differences:
- Purpose: Fibonacci Extension aims to project price targets beyond the end of a trend, while Fibonacci Retracement focuses on identifying potential reversal or retracement points within a trend.
- Application: Fibonacci Extension is used in trending markets to identify potential profit-taking points, whereas Fibonacci Retracement is utilized during corrective phases to anticipate trend reversals or continuations.
- Fibonacci Ratios: Fibonacci Extension commonly uses higher ratios (e.g., 127.2%, 161.8%, 261.8%), while Fibonacci Retracement typically employs lower ratios (e.g., 23.6%, 38.2%, 61.8%).
______________________________
Conclusion:
Both Fibonacci Extension and Fibonacci Retracement are valuable tools for traders, offering complementary insights into price movements. By understanding their distinct purposes and applications, traders can effectively incorporate them into their trading strategies to make informed decisions and maximize their potential for success.
______________________________
Disclaimer: This analysis is for informational purposes only and should not be considered as investment advice. Always conduct your own research and consult with a financial professional before making any investment decisions.