Optimus Futures

Optimus Futures ได้รับการควบคุมโดยองค์กรต่อไปนี้:
- CFTC (Commodity Futures Trading Commission)
- NFA (National Futures Association)

คุณจะต้องมีบัญชีเพื่อทำการเทรดซื้อขายกับ Optimus Futures บน TradingView หากคุณมีบัญชีอยู่แล้ว เพียงเชื่อมต่อกับ Optimus Futures บน หน้าต่างการซื้อขาย หากยังไม่มี ให้คลิก "เปิดบัญชี" ในโปรไฟล์ของโบรกเกอร์ แล้วระบบจะนำคุณไปยังเว็บไซต์เพื่อทำการลงทะเบียนให้เสร็จสมบูรณ์ เมื่อตั้งค่าบัญชีเรียบร้อยแล้ว ให้กลับไปที่ Superchart ของเรา ค้นหาไอคอนของโบรกเกอร์บนหน้าต่างการซื้อขายl แล้วเข้าสู่ระบบด้วยข้อมูลประจำตัวของคุณ

โปรดทราบว่าโบรกเกอร์แต่ละรายมีข้อกำหนดและเงื่อนไขที่แตกต่างกัน และ Optimus Futures มีเวลาเปิดทำการสำหรับบัญชีเป็นของตัวเอง — 1 day

ใช่แล้ว Optimus Futures มีบัญชีทดลองให้กับลูกค้าเพื่อทดลองใช้กลยุทธ์ก่อนที่จะเริ่มซื้อขายจริง

Optimus Futures กำหนดเงินฝากขั้นต่ำ 500 USD

โดยปกติโบรกเกอร์จะกำหนดให้มีเงินฝากเพื่อบริหารความเสี่ยง ครอบคลุมต้นทุนการซื้อขาย และปฏิบัติตามกฎระเบียบ เงินฝากทำหน้าที่เป็นหลักประกันสำหรับการซื้อขายแบบ Leverage ช่วยให้โบรกเกอร์ไม่ขาดทุนหากการซื้อขายไม่เป็นไปตามที่เทรดเดอร์ต้องการ นอกจากนี้ยังช่วยครอบคลุมค่าธรรมเนียม ป้องกันการฉ้อโกง และรับประกันกิจกรรมการซื้อขายที่จริงจัง

ใช่แล้ว Optimus Futures มีข้อมูลระดับ 2 ให้กับลูกค้า

ระดับ 2 คือบริการสำหรับผู้ที่สมัครสมาชิกซึ่งให้การเข้าถึงสมุดออร์เดอร์ของตลาดแลกเปลี่ยนแบบเรียลไทม์ ช่วยให้เทรดเดอร์และนักลงทุนมองเห็นภาพรวมเชิงลึกและโมเมนตัมของตลาดได้อย่างละเอียด ช่วยให้พวกเขาตัดสินใจซื้อขายได้อย่างชาญฉลาดและมีกลยุทธ์มากขึ้น

ใช่แล้ว Optimus Futures เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการถอนเงิน จำนวน Varies

Optimus Futures อนุญาตให้ใช้ประเภทออร์เดอร์ต่อไปนี้:
- Stop limit order
- Limit Order
- Stop order
- Market Order
- การเลื่อนจุดตัดขาดทุน

ใช่แล้ว คุณสามารถวาง Bracket Orders กับ Optimus Futures ได้

โบรกเกอร์ให้บริการเข้าถึงตลาดการเงินและดำเนินการซื้อขาย ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างเทรดเดอร์และตลาดแลกเปลี่ยน โดยจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานและเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการส่งคำสั่งซื้อขาย โบรกเกอร์ให้บริการต่างๆ เช่น การดำเนินการคำสั่งซื้อขาย กระบวนการเข้าถึงตลาด การวิจัย การวิเคราะห์ และการสนับสนุนลูกค้า นอกจากนี้ โบรกเกอร์ยังอำนวยความสะดวกในการใช้ Leverage การเทรดแบบมาร์จิ้น และช่วยรับรองการปฏิบัติตามกฎระเบียบ มอบสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับเทรดเดอร์ในการซื้อขายอย่างมีประสิทธิภาพ หากไม่มีโบรกเกอร์ เทรดเดอร์รายบุคคลอาจประสบปัญหาในการเข้าถึงตลาดและดำเนินการซื้อขายอย่างมีประสิทธิภาพ

ออร์เดอร์คือคำสั่งให้โบรกเกอร์ดำเนินการซื้อขาย - ซื้อหรือขายสินทรัพย์ในนามของเทรดเดอร์ ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ การยอมรับความเสี่ยงของคุณ และสภาวะตลาด ออร์เดอร์แต่ละประเภทอาจมีประสิทธิภาพแตกต่างกัน มาดูออร์เดอร์พื้นฐานกัน
- Market order เป็นออร์เดอร์พื้นฐานที่ออกแบบมาเพื่อซื้อหรือขายสินทรัพย์ทันทีที่ราคาถัดไป
- Limit order ระบุราคาสูงสุด (สำหรับการซื้อ) หรือต่ำสุด (สำหรับการขาย) ที่เทรดเดอร์ต้องการทำการซื้อขาย ออร์เดอร์จะดำเนินการเฉพาะเมื่อราคาถึงระดับที่กำหนดไว้ล่วงหน้า มีออร์เดอร์ซื้อและขายแบบ Limit order ซึ่งกำหนดให้ซื้อ/ขายสินทรัพย์ที่ราคาหรือต่ำกว่า/สูงกว่าราคาที่กำหนด
- Stop order ออร์เดอร์จะทำงานเมื่อสินทรัพย์เคลื่อนไหวสูงกว่าหรือต่ำกว่าระดับราคาที่กำหนด และจะดำเนินการในทิศทางเดียวกับที่ราคากำลังเคลื่อนไหวอยู่เสมอ มี Stop-loss order (ปิดสถานะโดยอัตโนมัติที่ระดับราคาที่กำหนดหากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับคุณ) และ (เริ่มการซื้อขายเมื่อราคาทะลุระดับราคาที่กำหนด)

Leverage คือกลไกที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเปิดสถานะที่ใหญ่ขึ้นด้วยเงินทุนที่น้อยลง โดยพื้นฐานแล้วหมายถึงการกู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์ ซึ่งมักจะคูณขนาดสถานะของคุณด้วย 5 เท่า 10 เท่า หรือมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น Leverage 5 เท่า เงินฝาก 100 ดอลลาร์ก็สามารถเปิดสถานะการเทรดมูลค่า 500 ดอลลาร์ โดยที่โบรกเกอร์ให้ยืมเงินคุณ 400 ดอลลาร์ที่คุณไม่มี นี่เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยม แต่โปรดจำไว้ว่าแม้ Leverage จะช่วยเพิ่มผลกำไรที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่ก็ทำให้ขาดทุนเพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีจัดการความเสี่ยง

การเตรียมตัวก่อนการเทรดจริงเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การเสมอ ใน TradingView คุณสามารถทำเช่นนี้ได้ด้วยฟังก์ชัน การเทรดจำลอง ของเรา

การเทรดแบบมาร์จิ้น หมายถึง การที่นักลงทุนซื้อสินทรัพย์โดยการกู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์ วิธีนี้ช่วยให้เทรดเดอร์มีอำนาจซื้อเพิ่มขึ้น ทำให้สามารถเปิดสถานะซื้อขายได้มากขึ้นโดยใช้เงินทุนเริ่มต้นน้อยลง แม้ว่าวิธีนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาดได้มากขึ้นโดยใช้เงินทุนที่น้อยลงและเพิ่มผลกำไรที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่ก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเช่นกัน:
- ความเสี่ยงในการขาดทุนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการลงทุนเกินเงินลงทุนเริ่มต้น
- ต้นทุนดอกเบี้ยจากเงินกู้ยืม
- ความเสี่ยงในการถูกเรียกมาร์จิ้นซึ่งต้องใช้เงินฝากเพิ่มเติม
ควรวิเคราะห์สินทรัพย์อย่างละเอียดและทดสอบกลยุทธ์ของคุณในบัญชีการเทรดจำลอง เพื่อให้แน่ใจว่าคุณพร้อมที่จะรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้