USA:คาดการขึ้นภาษีอุปกรณ์การแพทย์จีนอาจส่งผลดีต่อมาเลเซีย,ปท.อื่นๆ
เซี่ยงไฮ้--30 พ.ค.--รอยเตอร์
ผู้บริหารบริษัทบางแห่งระบุว่า การที่สหรัฐปรับขึ้นภาษีนำเข้าถุงมือแพทย์, เข็มฉีดยา และหน้ากากอนามัยจากจีน ไม่มีแนวโน้มว่าจะช่วยให้บริษัทผู้ผลิตสินค้าดังกล่าวในสหรัฐมีประสิทธิภาพทางการแข่งขันมากยิ่งขึ้น เพราะว่าบริษัทผู้ผลิตสินค้าประเภทนี้ที่ใช้ต้นทุนต่ำในประเทศอื่น ๆ มีแนวโน้มที่จะรีบเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดนี้แทนที่บริษัทจีน ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐประกาศในช่วงกลางเดือนนี้เรื่องการปรับขึ้นภาษีศุลกากรครั้งใหญ่สำหรับสินค้าจำนวนมากที่นำเข้าจากจีน โดยทำเนียบขาวประกาศว่า มาตรการใหม่นี้จะกระทบสินค้าที่นำเข้าจากจีนเป็นมูลค่า 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า, ชิปสำหรับคอมพิวเตอร์, อุปกรณ์ทางการแพทย์, เหล็กกล้าและอะลูมิเนียม, แบตเตอรี่, แร่ธาตุสำคัญ และแผงเซลล์แสงอาทิตย์ โดยมาตรการดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ของสหรัฐในการกระตุ้นการผลิตภายในประเทศ และในการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะขาดแคลนอุปทานเหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงที่เกิดวิกฤติโรคระบาด
ผู้บริหารบริษัทบางแห่งระบุว่า ภาษีศุลกากรนี้ไม่มีแนวโน้มว่าจะช่วยเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันของบริษัทสหรัฐ เพราะว่าบริษัทจีนสามารถโยกย้ายการขนส่งสินค้าโดยผ่านทางห่วงโซ่อุปทานในต่างประเทศ และเพราะว่าซัพพลายเออร์จากประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะมาเลเซีย อาจจะฉวยโอกาสเพิ่มการส่งออกสินค้ามายังสหรัฐ ทั้งนี้ นายแดน อิซาคี ประธานสมาคมผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ของสหรัฐกล่าวว่า "ผมกล่าวมาโดยตลอดว่า ไม่ว่าเราจะปรับภาษีศุลกากรอย่างไรก็ตาม จีนก็จะหาทางหลบเลี่ยงสิ่งนี้ได้ ภาษีศุลกากรไม่ใช่ยาวิเศษที่เราจำเป็นต้องใช้" และเขากล่าวเสริมว่า บริษัทผู้ผลิตของสหรัฐจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือในทันที ไม่ใช่ในอีกสองปีข้างหน้า อย่างไรก็ดี มาตรการปรับเพิ่มภาษีนำเข้าถุงมือแพทย์ของจีนจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2026 ในขณะที่มาตรการปรับเพิ่มภาษีนำเข้าหน้ากากอนามัยกับเข็มฉีดยาจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนส.ค.ปีนี้
คณะกรรมการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐระบุว่า สหรัฐนำเข้าหน้ากากอนามัย, เข็มฉีดยา และถุงมือจากจีนเป็นมูลค่าเกือบ 640 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 ทางด้านสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ระบุในสัปดาห์ที่แล้วว่า ทางสำนักงานจะทำประชาพิจารณ์เรื่องผลกระทบจากข้อเสนอปรับขึ้นภาษีศุลกากร และสำหรับประเด็นที่ว่า การปรับขึ้นภาษีนำเข้าหน้ากากอนามัยและถุงมือแพทย์ในอัตรา 25% และการปรับขึ้นภาษีนำเข้าเข็มฉีดยาในอัตรา 50% ควรที่จะอยู่ในระดับที่สูงกว่านี้หรือไม่ ทั้งนี้ นายเอ็ดดี พาณิชย์กุล ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทลูเทมา ยูเอสเอกล่าวว่า การปรับขึ้นภาษีนำเข้าหน้ากากอนามัยในอัตรา 25% ถือเป็นเพียง "การส่งสัญญาณ" เท่านั้น และเขากล่าวเสริมว่า "จีนขายหน้ากากอนามัยในราคา 1 เซนต์ แต่เราผลิตหน้ากากอนามัยในราคา 5-10 เซนต์ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่เราจะแข่งขันได้" โดยบริษัทของเขาได้เปิดโรงงานหน้ากากอนามัยในเมืองซานดิเอโกในช่วงที่เกิดวิกฤติโรคระบาด
ข้อมูลการค้าของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่า จีนถือเป็นประเทศผู้ส่งออกหน้ากากอนามัยในปริมาณที่มากที่สุดในปี 2023 โดยจีนขายหน้ากากอนามัยในราคาเฉลี่ย 4.14 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม ในขณะที่มาเลเซียขายหน้ากากอนามัยในราคาเฉลี่ย 5.5 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ เชลซี ฉิว นักวิเคราะห์ของบล.เอเพ็กซ์ระบุว่า "จีนอาจจะหันเหความสนใจไปยังประเทศต่าง ๆ ในทวีปเอเชียและยุโรป" เพื่อจะได้ดำเนินธุรกิจต่อไป และเธอคาดว่าบริษัทผู้ผลิตถุงมือแพทย์ในจีนและมาเลเซียจะยังไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐจนกว่าจะถึงปลายปี 2025 หรือต้นปี 2026
นายโอเวน หลัว กรรมการผู้จัดการของบริษัทนิว เพนทาสตาร์ เมดิคัล โพรดัคท์ของจีนระบุว่า ทางบริษัทกำลังพิจารณาเรื่องการใช้ซัพพลายเออร์ที่ผลิตสินค้านอกประเทศจีน และพิจารณาเรื่องการปรับลดราคาสินค้าลง โดยบริษัทแห่งนี้ส่งออกเข็มฉีดยาให้แก่สหรัฐ และบริษัทแห่งนี้ทำงานร่วมกับบริษัทผู้ผลิตสินค้าราว 500 แห่งในประเทศอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงในไทยและมาเลเซีย ทั้งนี้ บริษัทท็อป โกลฟของมาเลเซีย ซึ่งถือเป็นบริษัทผู้ผลิตถุงมือแพทย์รายใหญ่ที่สุดในโลก คาดว่าภาษีศุลกากรของสหรัฐจะช่วยหนุนราคาถุงมือที่ผลิตภายในประเทศ หลังจากราคาถุงมือดังกล่าวดิ่งลงสู่ระดับต่ำกว่าต้นทุนการผลิต โดยเป็นผลจากการแข่งขันกับจีน--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;