ReutersReuters

USA:คาดตัวเลขเงินเฟ้อพุธนี้จะส่งผลกระทบสำคัญต่อตลาดหุ้นสหรัฐ

นิวยอร์ค--13 พ.ค.--รอยเตอร์

  • นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) สหรัฐประจำเดือนเม.ย.ที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานออกมาในวันพุธนี้ อาจจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถกำหนดได้ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐจะยังคงมีแนวโน้มที่ดีต่อไปหรือไม่ หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐเพิ่งพุ่งขึ้นในเดือนนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากฤดูการรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกที่สดใส และผลประกอบการที่แข็งแกร่งในภาคเทคโนโลยี โดยดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 9% จากช่วงต้นปีนี้ และปรับขึ้นเข้าใกล้สถิติสูงสุดที่เคยทำไว้ในช่วงปลายเดือนมี.ค. หลังจากดัชนีเพิ่งย่อตัวลง 5% ในเดือนเม.ย. ทั้งนี้ บริษัท 459 แห่งในดัชนี S&P 500 เปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกออกมาแล้ว และบริษัท 77% ในกลุ่มนี้เปิดเผยผลกำไรที่ดีเกินคาด ในขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ในตอนนี้ว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 อาจมีผลกำไรพุ่งขึ้น 7.8% ในไตรมาสแรก หลังจากที่เคยคาดการณ์ในเดือนเม.ย.ว่า บริษัทกลุ่มนี้อาจมีผลกำไรปรับขึ้นเพียง 5.1% ในไตรมาสแรก

  • นักลงทุนบางรายกังวลว่า การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐอาจจะยุติลงได้ ถ้าหากอัตราเงินเฟ้อไม่ได้ชะลอตัวลงต่อไป หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่แข็งแกร่งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และตัวเลขดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลกันว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้ ทั้งนี้ ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นเปลี่ยนทิศทางในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้สหรัฐเคยรายงานในวันที่ 10 เม.ย.ว่า อัตราเงินเฟ้ออยู่สูงเกินคาดเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน และหลังจากนั้นตลาดหุ้นก็ดิ่งลงเป็นเวลานานราว 2 สัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้

  • นักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์คาดว่า ดัชนี CPI ของสหรัฐอาจปรับขึ้น 0.3% ในเดือนเม.ย.เมื่อเทียบรายเดือน และนักลงทุนก็รอดูตัวเลขยอดค้าปลีกของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ และรอดูผลประกอบการของบริษัทวอลมาร์ท, บริษัทโฮม ดีโปท์ และบริษัทซิสโกที่จะออกมาในสัปดาห์นี้ด้วย ทั้งนี้ นายแมทธิว มิสกิน หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทจอห์น แฮนค็อก อินเวสท์เมนท์ แมเนจเมนท์กล่าวว่า "ถ้าหากดัชนี CPI พุ่งสูงขึ้น นักลงทุนก็มีแนวโน้มที่จะยุติการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2024"

  • ตลาดหุ้นได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งในฤดูนี้ ซึ่งรวมถึงผลประกอบการของบริษัทส่วนใหญ่ในกลุ่ม "Magnificent 7" หรือบริษัทขนาดยักษ์ 7 แห่งที่ประกอบด้วย บริษัทแอปเปิล, ไมโครซอฟท์, แอลฟาเบท, อะเมซอนดอทคอม, เอ็นวิเดีย, เมตา แพลตฟอร์มส์ และเทสลา ทั้งนี้ แอลฟาเบทได้ประกาศจ่ายเงินปันผลครั้งแรก และเปิดเผยยอดขายกับผลกำไรที่สูงเกินคาด ส่วนแอปเปิลรายงานว่ารายได้ลดลงไม่มากเท่าที่คาด และแอปเปิลเปิดเผยแผนซื้อคืนหุ้นขนาด 1.10 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นแผนซื้อคืนหุ้นครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์สำหรับบริษัทสหรัฐ ทางด้านเอ็นวิเดียจะเปิดเผยผลประกอบการในวันที่ 22 พ.ค.นี้ โดยในตอนนี้นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทกลุ่ม Magnificent Seven อาจพุ่งขึ้น 49.4% ในไตรมาสแรก

  • ในบรรดาบริษัท 6 แห่งในกลุ่ม Magnificent Seven ที่ประกาศผลประกอบการออกมาแล้วนั้น นักวิเคราะห์ได้ปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรประจำปี 2024 ของบริษัทกลุ่มนี้ขึ้นมาแล้ว 2.1% ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา แต่นักวิเคราะห์ปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรประจำปี 2024 ของบริษัททั้งหมดในดัชนี S&P 500 ขึ้นเพียง 0.1% ในช่วงเวลาเดียวกัน--จบ--

Eikon source text

(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)

((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;

เข้าสู่ระบบหรือสร้างบัญชีฟรีถาวรเพื่ออ่านข่าวนี้