ReutersReuters

USA:ตลาดจับตาผลประกอบการบริษัทสหรัฐ,เน้นเทขายหุ้นที่มีผลกำไรน่าผิดหวัง

นิวยอร์ค--29 เม.ย.--รอยเตอร์

  • นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า หุ้นบริษัทสหรัฐมีมูลค่าสูงในปัจจุบัน และปัจจัยนี้ส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นบริษัทที่มีผลกำไรน่าผิดหวังออกมาในช่วงนี้ ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ที่ดิ่งลง 10.56% ในวันพฤหัสบดีที่ 28 เม.ย. หลังจากบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กแห่งนี้เปิดเผยผลประกอบการออกมา และรวมถึงหุ้นของบริษัทแคเทอร์พิลลาร์ที่รูดลง 7% หลังจากแคเทอร์พิลลาร์ประกาศเตือนเรื่องยอดขาย ทางด้านนักยุทธศาสตร์การลงทุนของธนาคารเจพีมอร์แกนระบุว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 ที่เปิดเผยผลกำไรที่ดีเกินคาดในไตรมาสนี้มีราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าบริษัทโดยรวมเพียงแค่ราว 0.2% เท่านั้น แต่บริษัทสหรัฐที่มีผลกำไรต่ำเกินคาดมีราคาหุ้นปรับตัวอ่อนแอกว่าบริษัทโดยรวมถึง 4% ซึ่งถือเป็นการปรับตัวอ่อนแอกว่าตลาดหุ้นโดยรวมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบอย่างน้อย 8 ปี ทั้งนี้ ในบรรดาบริษัทสหรัฐที่รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดออกมาแล้วนั้น บริษัท 78% เปิดเผยผลกำไรไตรมาสแรกที่ดีเกินคาด และมีแนวโน้มว่าผลกำไรไตรมาสแรกของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจปรับขึ้น 5.6% เมื่อเทียบรายปี

  • บริษัท 2 แห่งในกลุ่ม Magnificent Seven หรือบริษัทขนาดยักษ์ 7 แห่งของสหรัฐที่ประกอบด้วย บริษัทแอปเปิล, ไมโครซอฟท์, แอลฟาเบท, อะเมซอนดอทคอม, เอ็นวิเดีย, เมตา แพลตฟอร์มส์ และเทสลา จะรายงานผลประกอบการออกมาในสัปดาห์นี้ โดยบริษัทอะเมซอนในกลุ่มนี้มีกำหนดที่จะรายงานผลประกอบการในวันอังคารนี้ และแอปเปิลมีกำหนดจะรายงานผลประกอบการในวันพฤหัสบดี หลังจากเทสลาและเมตา แพลตฟอร์มส์เปิดเผยผลประกอบการที่ไร้ทิศทางชัดเจนในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ หุ้นแอปเปิลดิ่งลงมาแล้วกว่า 10% จากช่วงต้นปีนี้ และนักลงทุนคาดว่าแอปเปิลอาจจะรายงานว่า ผลกำไรร่วงลงในไตรมาสแรก หลังจากยอดขนส่งโทรศัพท์สมาร์ตโฟนของแอปเปิลในจีนดิ่งลง 19% ในไตรมาสแรก ทางด้านหุ้นอะเมซอนพุ่งขึ้นมาแล้วราว 18% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่นักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปยังธุรกิจประมวลผลระบบคลาวด์ของอะเมซอน และจะจับตาดูความเห็นของอะเมซอนที่มีต่อปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคสหรัฐด้วย

  • ไมโครซอฟท์กับแอลฟาเบทเพิ่งเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งในวันพฤหัสบดี และปัจจัยดังกล่าวมีส่วนช่วยหนุนให้ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดสัปดาห์ที่แล้วด้วยการพุ่งขึ้นรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย. หลังจากดัชนีเพิ่งย่อตัวลง 5% ครั้งแรกของปีนี้ โดยดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาแล้วราว 7% ในปี 2024 และทะยานขึ้นมาแล้วราว 24% นับตั้งแต่ปลายเดือนต.ค. 2023 ทั้งนี้ นายริค เมคเลอร์ หุ้นส่วนของบริษัทเชอร์รี เลน อินเวสท์เมนท์กล่าวว่า บริษัทสหรัฐรายงานผลประกอบการที่ดีในฤดูนี้ แต่บริษัทแห่งใดก็ตามที่รายงานผลประกอบการที่อ่อนแอเกินคาดจะเผชิญกับแรงเทขายอย่างหนักหน่วง นอกจากนี้ นักลงทุนบางรายก็มองว่า การที่ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมามีส่วนทำให้นักลงทุนพร้อมที่จะเทขายหุ้นบริษัทที่มีผลกำไรอ่อนแอเกินคาดด้วย โดยขณะนี้ค่าพีอีเรโชของดัชนี S&P 500 อยู่ที่ 20 เท่าของคาดการณ์ผลกำไรล่วงหน้า ซึ่งอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 15.7 เท่าเป็นอย่างมาก

  • นักยุทธศาสตร์การลงทุนของเจพีมอร์แกนระบุว่า "เรามองว่า บริษัทที่มีผลกำไรดีเกินคาดอาจจะไม่ได้มีราคาหุ้นพุ่งขึ้นในฤดูนี้ เพราะว่าตลาดหุ้นพุ่งขึ้นมาแล้วอย่างแข็งแกร่งก่อนฤดูการรายงานผลประกอบการ และสถานะการลงทุนก็อยู่สูงมากอยู่แล้ว" ทั้งนี้ หุ้นเทสลาพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในสัปดาห์ที่แล้ว โดยพุ่งขึ้น 14.4% จาก 147.05 ดอลลาร์ในวันศุกร์ที่ 19 เม.ย. สู่ 168.29 ดอลลาร์ในวันศุกร์ที่ 26 เม.ย. หลังจากเทสลาประกาศว่า เทสลาจะเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในช่วงต้นปี 2025 และนักลงทุนบางรายมองว่า หุ้นเทสลาได้รับแรงหนุนจากคำสั่งช้อนซื้อเก็งกำไรด้วย ในขณะที่หุ้นเทสลายังคงดิ่งลงมาแล้วกว่า 30% จากช่วงต้นปีนี้

  • นักลงทุนจับตาดูการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐด้วยเช่นกัน ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะ 4.739% ในวันที่ 25 เม.ย. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย. หรือจุดสูงสุดรอบ 5 เดือน หลังจากมีสัญญาณบ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อสหรัฐอยู่สูงเกินคาด โดยการพุ่งขึ้นของอัตราผตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) อาจจะส่งผลลบต่อตลาดหุ้นสหรัฐ--จบ--

Eikon source text

(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)

((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;

เข้าสู่ระบบหรือสร้างบัญชีฟรีถาวรเพื่ออ่านข่าวนี้